17
เพราะกรตั้งมั่นไว้ในใจแล้วว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวของวิน จึงไม่ได้ถามถึงคืนนั้นที่วินกลับบ้านไปกับภรรยา หลังจากมีปากเสียงกันที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า วินเองก็ไม่รู้ว่ากรเห็นเหตุการณ์ และไม่ได้พูดหรือเล่าอะไรให้ฟัง ทั้งสองคนยังคงนัดเจอกันในบางวันและวิดีโอคอลคุยกันก่อนนอนทุกคืนตามปกติ
แต่ความรู้สึกของกรมันบอกว่า วินไม่ปกติ
“พี่วิน ถ้าเหนื่อย จะกลับเลยก็ได้นะครับ” วันนี้ก็เหมือนอีกหลายๆ วันที่พวกเขานัดมาเดินเที่ยวและกินข้าวด้วยกัน วินบอกว่าเจอทุกวันไม่ได้ และกรก็ไม่ได้เรียกร้องหรือตั้งคำถามอะไรกับเรื่องนั้น เขารู้ว่าอาจารย์มีงานยุ่ง ไหนจะเรื่องที่บ้านอีก
“อ๊ะ เอ่อ...” วินเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กหนุ่มที่จ้องเขาอยู่ แววตาของกรแสดงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง และมันทำให้วินรู้สึกหวั่นไหวเสมอ
วินรักเด็กคนนี้มากขึ้นทุกวัน กรไม่เคยถามเซ้าซี้เรื่องของเขาแม้สักครั้งเดียว ทั้งที่คบกันในฐานะแฟนแล้ว กรก็มีสิทธิ์จะเรียกร้องจากเขาให้เต็มที่ ทั้งที่เมื่อก่อนตอนคุยกันแบบไม่เห็นหน้า พวกเขาทำเรื่องลามกด้วยกันประจำ แต่พอได้คบกันจริงจัง กรค่อนข้างให้เกียรติวินอย่างมาก เป็นเด็กที่รู้จักกาลเทศะ เวลาอยู่ในที่สาธารณะ น้อยครั้งมากที่จะเผลอทำตัวรุ่มร่ามใส่ ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินจำเป็น เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองในรถ กรก็แค่จับมือหรือไม่ก็ขอจูบ ไม่เคยทำเกินเลยกว่านั้น แม้ว่าวินจะเปิดช่องว่างและให้โอกาสอย่างเต็มที่ แต่กรไม่เรียกร้อง เหมือนแค่ได้อยู่ข้างๆ ก็พอใจแล้ว คงเพราะอาการของกรดีขึ้นมากแล้วด้วย เด็กหนุ่มจึงควบคุมอารมณ์ต่างๆ ของตัวเองได้มากกว่าแต่ก่อน
“พี่...แค่เครียดๆ น่ะ ไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอก” วินตัดสินใจบอกออกไปตามตรง เขาไม่ได้เหนื่อยกาย แต่เป็นที่หัวใจ
“นักจิตวิทยาก็เครียดเป็นสินะครับ” กรแกล้งแซวด้วยดวงตายิ้มๆ แต่วินยังยิ้มไม่ค่อยออก กรอยากจะถาม แต่ก็ไม่กล้า
“กร...พี่มีเรื่องต้องบอก” หลังจากตัดสินใจอยู่นาน วินก็คิดว่าควรเล่าเรื่องของตัวเองให้กรฟังบ้าง แม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้ถามก็ตาม แต่ยังไงก็ต้องอยากรู้ ต้องสงสัย เพียงแค่กรเป็นคนขี้เกรงใจเกินไป
“ครับ?” ยิ่งมองหน้าและแววตาซื่อๆ ของเด็กหนุ่มร่างสูงที่เอียงคอมองมาแล้ว วินยิ่งเจ็บแปลบในอก
“พี่ยังเลิกกับเข็มไม่ได้”
“เหรอครับ” กรเพียงรับคำสั้นๆ และไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น บางครั้งความนิ่งของเด็กอายุแค่ 18-19 คนนี้ก็ทำให้ภวินท์รู้สึกไปไม่เป็นเหมือนกัน
กรนิ่งเกินไปแล้ว
“ถ้านายไม่ไหว จะเลิก...”
“อย่าพูดคำนั้นได้มั้ยครับ” กรขัดขึ้นมาทันที “ผมบอกว่ารอได้ ก็คือจะรอ ต่อให้นานแค่ไหน ก็จะรอ”
ภวินท์สะท้านในอกจนต้องย่นคิ้วเข้าหากัน กรเด็กกว่าเขาหลายปีมาก แถมยังมีปัญหาในชีวิตมาพอสมควร แต่กรก็สู้กับตัวเองจนผ่านมาได้ขนาดนี้ ถ้าไม่เข้มแข็งพอคงทำไม่ได้แน่นอน ภายนอกอาจจะดูอ่อนแอและหวาดกลัว แต่ภายในของกรไม่อ่อนไหวและเปราะบางง่ายๆ
“ต่อให้ต้องรอทั้งชีวิต ผมก็เตรียมใจไว้แล้ว ว่าจะอยู่ข้างๆ พี่แบบนี้ตลอดไป” เพราะสีหน้าของภวินท์ ทำให้กรขยายความเพิ่มไปอีก มือหนาแสนอบอุ่นของเด็กที่อายุน้อยกว่าเป็นสิบปียื่นไปแตะที่แก้มซ้ายของเขาแผ่วเบา ก่อนจะผละจากแทบจะในทันที เพราะกลัวว่าจะมีคนเห็นเข้า
กรกำมือข้างนั้นไว้แน่นที่ข้างตัว พยายามส่งยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ ต่อให้อยากจับมือวินไว้แน่นแค่ไหน กรก็รู้ว่าสุดท้ายต้องยอมปล่อยอยู่ดี
ตรงนี้ ที่นี่ ไม่ใช่ที่ของกร
กรรู้ตัวดี
“กร...” วินหรุบตาลงมองเท้าตัวเอง จะรักใครสักคนและอยู่ด้วยกัน ทำไมมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ คืนนั้นเคลียร์เรื่องเมียน้อยกับเข็มแล้วก็จริง แต่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องหย่า เพราะเจ้าหล่อนเล่นตวาดใส่แว้ดๆ จนเถียงแทบไม่ทัน ขืนพูดเรื่องหย่า มีหวังได้โทรไปเฉ่งเขาให้พ่อกับแม่ฟังแน่นอน
“กลับกันเถอะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยชวน และรอให้ภวินท์เป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน วันนี้กรจอดรถไว้ที่คณะของวิน และนั่งรถยนต์คันสีดำมาด้วยกัน นานๆ ครั้งมาด้วยกันบ้าง ไม่ทำให้เป็นจุดสังเกต ส่วนใหญ่ก็รู้กันว่าอาจารย์ภวินท์มีนักศึกษาที่ต้องดูแลรับผิดชอบมากมาย ช่วงไหนจะไปกับใครเป็นพิเศษก็อีกเรื่อง
ระหว่างนั่งมาในรถ กรยังคงชวนคุยตามปกติ พูดเรื่องหนังที่ชอบดู เรื่องเรียน เรื่องเพื่อนๆ ที่ช่วงนี้มีเพิ่มขึ้นและสนิทกับพวกเวสป้ามากขึ้นแล้ว หลังจากเจอวิน ทุกอย่างก็ดีขึ้นจริงๆ
“วันนี้ให้พี่ไปส่งที่ห้องนะ” วินเหลือบมองปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มที่กำลังกดหาเพลงฟังจากคลื่นวิทยุ
“ก็ได้นะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมให้ไอ้เวสมารับตอนเช้าก็ได้” กรยิ้มรับ เลือกคลื่นที่เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบาย เพราะรู้ว่าวินชอบแนวไหน
ภวินท์เงียบอึดใจ และเอ่ยขึ้นเมื่อเลี้ยวรถเข้าไปในซอยหอพักของกรแล้ว
“พี่จะค้างที่ห้องของกร ได้รึเปล่า”
กรเงยหน้ามองคนพูดทันที สมองประมวลผลไม่นานก็เข้าใจความหมายที่วินพูดออกมา เด็กหนุ่มยกมุมปากขึ้นยิ้มเป็นคำตอบรับ
เป็นครั้งแรกที่วินขอมาค้างที่ห้องของกรด้วยตัวเอง
“อื้อ เบาหน่อย” ร่างโปร่งบางร้องประท้วงเมื่อถูกเด็กหนุ่มรุกเร้าจนหายใจหายคอไม่ทัน ริมฝีปากร้อนและเล็มชิมความหวานของเรียวปากสวยสีชมพูอ่อนอย่างกระหาย ไม่ว่าจะจูบอีกกี่ครั้งก็ไม่เคยรู้สึกว่าพอ เวลาจูบกันในรถ กรจะทำอย่างเบาปาก ไม่ได้ดูดเม้มและขบกัดรุนแรงเร่าร้อนขนาดนี้ ทำให้วินไม่ค่อยชินเท่าไหร่
“ผมอยากกอดพี่จนแทบคลั่ง แต่ต้องอดทนไว้ รอให้พี่เป็นฝ่ายเรียกร้องก่อน” มือหนาสอดไล้เข้าไปในเสื้อเชิ้ตตัวบาง บีบเค้นตามแนวโค้งเว้าของบั้นเอวบางหนักมือจนผิวขาวอมชมพูของวินขึ้นสีแดงเป็นปื้น
“ทำไมล่ะ” ใบหน้าสวยเงยแหงนให้เด็กหนุ่มดูดเลียที่คอ รู้สึกจักจี้นิดหน่อยกับผมนุ่มๆ ของกรที่ละคอ
“เพราะผมไม่อยากโดนพี่ปฏิเสธ”
วินนิ่งไปเล็กน้อยกับคำตอบนั้น กรคงกลัวว่าถ้ารุกมากไป วินจะรังเกียจและไม่ยอมให้กอด ความรู้สึกของคนที่ถูกปฏิเสธ กรคงไม่อยากได้รับมัน
ร่างบางเอื้อมแขนโอบกอดเด็กหนุ่มไว้แน่น อยากให้รู้ว่า จะไม่มีวันปฏิเสธความรักของกรเป็นอันขาด
“พี่...รักกรนะ” สิ้นคำนั้น กรละริมฝีปากจากคอขาวขึ้นมามองหน้าเขาด้วยแววตาทอประกาย เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มและประกบจูบอีกครั้งอย่างโหยหา
อยากจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ กอดกันไว้อย่างนี้
Rrrr
จู่ๆ เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนของกรก็ดังขึ้นขัดจังหวะ วินผลักร่างตรงหน้าออกและบอกให้รับสายก่อน
กรทำตามอย่างว่าง่าย แม้จะหงุดหงิดเล็กน้อย แต่พอเห็นหน้าจอแสดงชื่อที่โทรเข้ามา ก็รีบกดรับทันที
“ครับแม่?”
[กร! พ่อเขา...พ่อ....ฮือออ] เสียงร้องไห้ของแม่ดังลอดออกมา จนวินเองยังต้องลุกขึ้นมองด้วยความไม่สบายใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะแม่” กรร้อนรน เพราะไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้มาก่อน สังหรณ์ใจว่าต้องเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรบางอย่าง
กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ก็นานพอสมควร แม่บอกว่าพ่อเกิดอุบัติเหตุ รถเฉี่ยวชนกับรถมอเตอร์ไซค์ พ่อหักหลบจนพลิกคว่ำไหลลงไปในคูน้ำ และตอนนี้ก็นอนไม่ได้สติอยู่ในห้อง ICU เรื่องเกิดเมื่อตอนเย็น กว่าแม่จะตั้งสติได้และโทรบอกกรก็เกือบดึกแล้ว
“ผมต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย พวกน้องๆ อยู่กันตามลำพัง” กรหยิบแว่นตามาใส่ คว้ากระเป๋าเป้แล้วเก็บข้าวของยัดลงไปลวกๆ วินจัดเสื้อผ้าเข้าที่และลุกตามไป
“งั้นให้พี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ แค่พาผมไปเอารถก็พอ” เพราะมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ที่หน้าคณะจิตวิทยา “พี่กลับไปนอนที่ห้องเถอะ”
“อืม แล้วแต่กรละกัน” วินพยักหน้า ก่อนจะวิ่งตามกรไปลงลิฟท์
วินส่งกรที่หน้าคณะ รอจนกรขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปจากมหาวิทยาลัยแล้วจึงกลับห้องของตัวเอง ส่วนกรตรงกลับบ้าน ดีที่ดึกแล้วรถไม่ติด ไปถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนได้ พวกน้องๆ ยังไม่เข้านอน นั่งรอกรอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก
“พี่กร!” นภนต์กับนภันต์ร้องเรียกพี่ชายพร้อมกันแล้ววิ่งเข้าไปกอดไว้ เด็กๆ คงจะกลัวและขวัญเสียที่ได้ข่าวพ่อ แถมยังต้องอยู่บ้านกันตามลำพังเป็นครั้งแรกตอนกลางดึก
“พี่มาแล้ว ไปนอนกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย” กรวางมือบนหัวเล็กๆ ของน้องๆ ทั้งสองคน นานแล้วที่ไม่ได้เจอหน้ากัน แต่พวกน้องๆ ก็ยังมองเขาด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนเคย
กรคิดทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านๆ มา ตั้งแต่ถูกรังแกตอนม.ต้นและผลการเรียนตกลง ทั้งพ่อและแม่ก็แทบไม่เคยพูดจาดีๆ ด้วยเลย แต่พอช่วงม.ปลาย น้องๆ เริ่มมีผลงานที่โรงเรียน เข้าแข่งขันวิชาการต่างๆ และได้รางวัลเหมือนสมัยเขาอยู่ประถม พ่อกับแม่ก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้น แม้จะไม่ได้ให้ความสนใจกับตัวเขาเท่าที่ควร แต่กรก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะเด็กวัยรุ่นอย่างเขาก็ไม่ได้อยากเกาะติดกับพ่อแม่ ยิ่งพอเข้ามหาวิทยาลัยได้ พ่อกับแม่ก็กลับมาเอาอกเอาใจเหมือนเดิม แถมยังตามใจกว่าเดิมด้วย จะเรียกว่าตามใจหรือเปล่า กรไม่แน่ใจ แต่ตอนที่ขอไปอยู่หอก็ให้ ขอมอเตอร์ไซค์ไว้ขับไปมอก็ให้ แถมไม่มาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวอีกด้วย เป็นความใจดี ที่บางครั้งก็ดูห่างเหินแปลกๆ
พ่อคงรู้ว่ากรไม่ค่อยอยากเจอหน้า ส่วนใหญ่เป็นแม่ที่โทรหาและขอให้กลับบ้าน แต่กรก็อ้างนั่นอ้างนี่ไม่ค่อยอยากกลับมาบ้าน ตั้งใจว่าเรียนจบเมื่อไหร่ก็จะแยกออกไปอยู่คนเดียวเลยด้วยซ้ำ ถึงตอนนั้นพวกน้องๆ ก็คงโตกว่านี้แล้ว ดูแลตัวเองได้มากแล้ว แม้จะห่วงแม่นิดหน่อย แต่กรคิดว่าการอยู่บ้านต่อไป ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ต่อให้พ่อกับแม่จะไม่ก้าวก่ายชีวิตของเขาในตอนนี้ แต่ถ้ารู้เรื่องที่กรชอบผู้ชาย...อาจจะมีปัญหาอีกก็ได้
เพราะกรรู้ว่าพ่อกับแม่ห่วงหน้าตาทางสังคมยิ่งกว่าอะไร ไม่ต่างจากบ้านของอาจารย์ภวินท์นักหรอก
เช้าวันต่อมา แม่ฝากให้กรดูแลน้องไปก่อน เพราะต้องไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล ที่บ้านมีรถยนต์อีกคัน แม่บอกให้เขาเอาไปใช้ จะได้ไปรับไปส่งน้องๆ ที่โรงเรียนได้ โรงเรียนของแฝดอยู่ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัยของกรพอดี แม่เลยอยากฝากให้พาน้องไปอยู่ด้วยชั่วคราว ซึ่งกรไม่อยากรับฝาก แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
“เฮ้ย! ทำไมวันนี้มึงขับรถมาวะ ทุกทีเห็นขี่มอเตอร์ไซค์” เสียงแฟ้มร้องทักทันทีที่เห็นกรลงจากรถยนต์คันสีขาวของแม่แล้วเดินขึ้นมาบนตึกเรียน ปั้นจั่นชะเง้อมองกรเหมือนเคย ส่วนเวสป้าก็มองที่รถ
“อย่าบอกนะว่าแฟนมึงเปย์มา”
“จะบ้าเหรอ ของแม่กู” กรโยนกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงตรงที่ว่าง ซึ่งอยู่ข้างๆ ปั้นจั่นพอดี พวกแฟ้มมองหน้ากันทันที บรรยากาศระหว่างปั้นจั่นกับกรยังไม่ค่อยสู้ดีนัก
“งานเมื่อวานของจารย์รฐา กูซีร็อคไว้ให้แล้ว” ปั้นจั่นยื่นชีทงานไปให้กรที่หันหน้าไปรับมา กรยิ้มให้พร้อมคำขอบคุณ แฟ้มกับเวสป้ายังแปลกใจนิดๆ แต่ไม่กล้าถามมาก ในเมื่อกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ตามปกติแล้วก็ดี
“แล้วทำไมแม่มึงให้เอารถมาขับวะ” เวสป้าเบนเข็มมาที่เรื่องแรก
“พ่อกูเข้าโรงบาล แม่เลยให้เอารถไว้ส่งน้องไปโรงเรียน นี่ก็ต้องตื่นแม่งตี 4” กรส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“พ่อกรเป็นอะไรมากรึเปล่า แบบนี้ก็ต้องดูแลน้องไปก่อนเหรอ” เป็นปั้นจั่นที่ถามขึ้นด้วยความห่วงใย ต่อให้ความสัมพันธ์มันจะเปราะบางและเหมือนจะแตกหักได้ตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ แต่ก็ยังอยากอยู่ข้างๆ
ซึ่งมันคงไม่ต่างกับที่กรอยากอยู่ข้างๆ วิน
“อืม พ่อคงต้องนอนโรงบาลอีกอาทิตย์สองอาทิตย์ กูเลยต้องกระเตงน้องมาไว้ที่หอด้วย เพราะพวกมันทำอะไรเองไม่ค่อยเป็น”
“พวกมัน?” ปั้นจั่นทำหน้าสงสัย
“กูมีน้องสองคน เป็นแฝด” กรตอบอย่างไม่ใส่ใจ เปิดสมุดจดงานที่ปั้นจั่นส่งมาให้
“มีน้องแฝดซะด้วย อยากเห็นว่ะไอ้กร พี่มันหน้าตาดี น้องก็คงน่ารัก” เวสป้าแซว กรหัวเราะหึพลางยักไหล่
“น้องกูอายุแค่ 12 ยังอยู่ป.6 อยู่เลย แล้วก็...เป็นเด็กผู้ชายว่ะ”
“ทำไมมึงเพิ่งบอกเนี่ย ไอ้สัสกร” คนที่แอบฝันว่าจะเจอสาวน้อยฝาแฝดน่ารักน่าชังโดนดับฝันมันซะอย่างนั้น ทำเอาเพื่อนๆ หัวเราะกันสนุกสนาน
พ่อฟื้นแล้ว แม่ส่งไลน์มาบอกกรเรียบร้อย แต่อาการยังทรงๆ ต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานอย่างที่คิด กรกะว่าวันเสาร์นี้จะพาน้องไปเยี่ยม เขาส่งไลน์ไปบอกวินเรื่องพ่อแล้วตั้งแต่เมื่อคืน รวมทั้งเรื่องที่ต้องรับน้องๆ มาดูแลที่หอด้วย วินอยากไปเยี่ยมพ่อของกรด้วย แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไปในฐานะอะไร กรเองคงยังไม่ได้บอกที่บ้านเรื่องที่คบกับผู้ชาย และจากที่เคยมาปรึกษา ทางบ้านของกรน่าจะคล้ายๆ บ้านของวิน เรื่องของพวกเขาจึงควรเป็นความลับกับทั้งสองครอบครัว
“กร จะไปรับน้องที่โรงเรียนเหรอ” ปั้นจั่นเดินตามลงมาหลังเรียนคาบบ่ายเสร็จแล้ว กรหันไปพยักหน้ารับ ขายังคงเดินลงบันไดจนถึงขั้นสุดท้าย แล้วเดินต่อไปยังลานจอดรถ โดยมีปั้นจั่นเดินตามอยู่ใกล้ๆ
“มีอะไรรึเปล่าปั้น?” กรหันไปถามก่อนจะกดรีโมทปลดล็อครถ
ปั้นจั่นมองหน้าเขาเหมือนอยากจะพูดอะไร “คือ...ให้เราช่วยอะไรมั้ย?”
“อะไร? ยังไง?” กรไม่เข้าใจคำถาม เขายืนขมวดคิ้วมองหน้าปั้นจั่นกลับไป
“ก็ กรดูยุ่งๆ เมื่อเช้าก็หน้าตึงๆ ดูแลเด็กตั้งสองคนคงปวดหัวแย่ ให้เราช่วยมั้ย”
“จะดีเหรอวะ” กรอยากให้ช่วยเรื่องนี้จริงๆ แต่ก็เกรงใจเพื่อน ปั้นจั่นรีบยิ้มกว้าง
“ดีสิ เราชอบเล่นกับเด็กๆ นะ มีน้องวัยเดียวกับน้องๆ ของกรด้วย”
“อืม ก็ได้ ขอบใจล่วงหน้านะ” กรยิ้มรับ
“งั้น เราไปรับเด็กๆ ด้วยคนนะ” ปั้นจั่นเข้ามาเกาะแขนกรอย่างสนิทสนมเหมือนเคย แม้รู้เต็มอกว่ากรมีแฟนแล้ว แต่ปั้นจั่นก็ยังอยากพยายามต่อไป ทุกวิถีทาง
กรบอกว่ามีแฟนแล้วก็จริง แต่ไม่เคยเห็นเอารูปมาลงอวดเพื่อนๆ หรือพามาเจอที่คณะเลยสักครั้ง ปั้นจั่นไม่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร แต่ถ้าไม่กล้าเปิดเผยตัวขนาดนี้ บางที อาจจะยังมีหวังที่จะทำให้กรเปลี่ยนใจก็ได้
กรพาปั้นจั่นไปรับน้องๆ ที่โรงเรียน พวกเด็กๆ เห็นหน้าปั้นจั่นครั้งแรกก็เหมือนจะชอบแล้ว เพราะปั้นจั่นหน้าตาน่ารักและตัวเล็ก แถมยังยิ้มแย้ม ต่างจากพี่ชายตัวโตที่ชอบทำหน้านิ่ง ไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะให้
“พี่กรเป็นยักษ์ ส่วนพี่ปั้นจั่นเป็นแฟรี่” นภันต์ ชี้นิ้วไปที่สองคน กรขับรถอยู่ และมีปั้นจั่นนั่งข้างๆ ส่วนสองแฝดนั่งเบาะหลัง กำลังเดินทางกลับไปที่หอพักของกร
“พูดอะไรเพ้อเจ้อว่ะ” กรส่ายหน้าไปมา
“พี่กรพูดไม่เพราะ!” นภนต์ร้องขึ้นมา แสร้งทำหน้าเหมือนตกใจเสียเต็มประดา อยู่ที่โรงเรียนเด็กๆ ก็พูดแบบนี้กับเพื่อนๆ แต่พออยู่บ้านก็จะคุยกันอย่างสุภาพ เพราะพ่อกับแม่ไม่ชอบ
“แฟรี่ น้องภันต์อยากกินไอติม” นภันต์โผมาเกาะที่หลังเบาะของปั้นจั่นแล้วเขย่าแขนรัวๆ
“จะแวะกินกันก่อนมั้ยล่ะ อีกแป้ปก็ได้เวลามื้อเย็นพอดี” ปั้นจั่นหันไปถามความเห็นจากคนขับ ที่ยังคงหน้านิ่งเหมือนเคย
“แวะห้างข้างหน้าแล้วกัน” กรว่าพลางเตรียมเลี้ยวรถเข้าไปทางลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า พวกเด็กๆ ร้องไชโยกันลั่นรถ
กรฝากให้ปั้นจั่นดูแลน้องๆ แล้วไลน์ไปบอกวินว่าแวะมากินข้าวที่ห้างฯ แถวมหาวิทยาลัย ก่อนจะรีบเดินตามปั้นจั่นที่มีเจ้าหนูที่ตัวโตเกือบเท่าปั้นจั่นจับมือไว้คนละข้าง
ทั้งสี่คนแวะกินไอศกรีมในร้านดังที่นภันต์ร่ำร้องก่อนเป็นที่แรก อีกชั่วโมงหนึ่งจะได้เวลาอาหารเย็นพอดี เด็กๆ ดูจะติดใจพี่ชายคนใหม่เหลือเกิน สนุกกับการอ้อนให้ปั้นจั่นป้อนน่าดู เพราะปกติกรไม่ใช่พี่ชายที่จะมานั่งเอาใจให้น้องๆ ออดอ้อน
“คืนนี้แฟรี่จะมานอนที่ห้องด้วยมั้ย น้องภันต์อยากให้มา” คนที่ติดที่สุดเห็นจะเป็นนภันต์ ซึ่งเป็นน้องเล็กที่สุดในบ้าน เลยติดนิสัยขี้อ้อนเป็นพิเศษ
“นั่นห้องพี่รึเปล่าเจ้าภันต์” กรหันไปทำหน้าดุใส่น้อง ถึงจะทำตัวตามปกติกับปั้นจั่นได้แล้ว แต่ถ้าต้องอยู่ร่วมห้องกันอีก กลัวว่าความทรงจำบางอย่างมันจะผุดขึ้นมา
“ภนต์ก็อยากให้พี่ปั้นมานอนนะ จะได้มีคนกล่อม แล้วก็ให้กอด” นภนต์สมทบ กรถึงกับกลอกตาไปมา
“จะนอนเบียดกันได้ยังไงตั้งสี่คน แล้วพวกนายก็โตขนาดนี้ ยังต้องให้กล่อมนอนอีกเหรอวะ”
“พี่กรพูดไม่เพราะอีกแล้วอ่า แฟรี่” นภันต์กอดแขนแฟรี่ส่วนตัวแนบแน่นแล้วทำปากยู่ใส่กร
กรเบะปากนิดๆ ปกติก็พูดหยาบๆ กับเพื่อนกันทั้งนั้น แค่ไม่อยากเอามาใช้กับคนที่บ้าน กลัวจะติดแล้วเผลอพูดใส่กัน พ่อกับแม่จะได้ดุเอา แต่บางทีความกวนของแฝดก็ทำให้เขาอยากจะด่าแรงๆ
“พี่คงไปนอนด้วยไม่ได้หรอก แต่จะส่งถึงห้องเลยนะ” ปั้นจั่นยิ้มน้อยๆ ให้เด็กๆ ปั้นจั่นรู้ว่ากรลำบากใจ เลยไม่อยากให้ยุ่งยากไปกว่านี้ แม้แฝดจะงอแงนิดหน่อยก็ตาม
กินข้าวเย็นเสร็จ กรก็รีบพาน้องๆ กลับห้อง กลัวจะค่ำไปกว่านี้ จากห้างฯ นี้ไปหอพักของเขาก็ไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว แต่รถติดมาก เลยใช้เวลาไปนานพอสมควร ปั้นจั่นไปส่งเด็กๆ ถึงห้องตามที่บอกไว้
“แฟรี่ เล่นเกมมั้ย” นภันต์ดึงแขนปั้นจั่นให้เดินตามเข้าไปในห้อง เมื่อเช้าพี่ชายของพวกเขาขนเครื่องเกมมาไว้ให้ที่ห้องแล้ว รวมทั้งโน้ตบุ๊คกับไอแพดด้วย
“นี่ PS4 Pro ที่พวกเราขอพ่อกับแม่ตอนที่แข่งตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ได้ที่ 1 ที่ 2 มาล่ะ” นภนต์ยกเครื่องเกมรุ่นใหม่ล่าสุดให้ปั้นจั่นดู
“โห เก่งจังเลยครับ แข่งระดับประเทศเลยใช่มั้ย” ร่างเล็กของพี่ชายคนใหม่นั่งลงกับพื้นตรงหน้าเด็กทั้งสอง ก่อนที่นภนต์จะวางเครื่องเกมลงที่เดิมและยื่นจอยให้ปั้นจั่น
“ใช่แล้ว พวกเราเป็นอัจฉริยะเหมือนพี่กรเลย” นภันต์เป็นคนตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง
กรเดินมายีหัวน้องชายทั้งสองคนด้วยความหมั่นเขี้ยว “เลิกพูดมากได้แล้ว ทำการบ้านก่อนแล้วค่อยเล่น”
“ทำเสร็จหมดแล้วน่า” นภันต์ร้องบอก เอามือปัดๆ มือของพี่คนโตที่ขยี้ผมจนยุ่งเหยิงไปหมด
“งั้นเอามาดูหน่อยดิ” กรกระดิกนิ้วเรียก สองหน่อเลยต้องหยิบการบ้านทั้งหมดออกจากกระเป๋าส่งไปให้พี่ชายตรวจดู กรไม่ได้ทำแบบนี้กับน้องๆ มานานมากแล้ว แต่ตอนนี้ต้องดูแลแทนพ่อกับแม่ แม้เขาเองจะไม่ได้อยากกดดันน้อง เพราะตัวเองเคยถูกกดดันมาตลอด แต่พอมาอยู่ในสถานะผู้ปกครอง เหมือนกรจะเข้าใจอะไรมากขึ้นอีกนิด
“เข้มงวดจังเลยคุณพี่ชาย” ปั้นจั่นยิ้มแซว เดินไปช่วยกรตรวจดูการบ้าน “ลายมือสวยเหมือนกรเลย”
“พูดมากน่า” กรรู้สึกเขินแปลกๆ กับคำชม เมื่อก่อนมีแต่คนชมเรื่องความอัจฉริยะของเขา เก่งอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เรื่องเล็กๆ อย่างลายมือสวย เพราะเขาตั้งใจเขียน กลับไม่มีใครสนใจเลย
เมื่อดูว่าการบ้านของเด็กๆ เรียบร้อยดีแล้ว กรก็ปล่อยให้แฝดยึดตัวปั้นจั่นไว้คนละข้างแล้วพากันเล่นเกมอย่างสนุกสนาน อาจเพราะเรื่องของเขา ทำให้พ่อกับแม่ลดความตึงเครียดเรื่องเรียนของพวกน้องๆ ลง หากทำคะแนนดีหรือได้รางวัลใหญ่ๆ มาก็เลยมีของตอบแทนให้ กรมองดูน้องๆ ที่สดใสร่าเริงตามวัยต่างจากตนสมัยก่อนแล้วก็ถอนหายใจ
พวกเด็กๆ ยื้อตัวปั้นจั่นไว้เหนียวแน่นมาก จนสุดท้ายก็ต้องยอมให้นอนค้าง ด้วยความที่แฝดกับปั้นจั่นตัวไม่ใหญ่มาก ก็พอจะนอนเบียดๆ กันสี่คนได้อยู่ แต่กรรู้สึกว่ามันอึดอัด เลยกะจะนอนที่โซฟาแทน
ปั้นจั่นกำลังกล่อมพวกน้องๆ เข้านอน ส่วนกรนั่งกึ่งนอนอยู่ที่โซฟา ไลน์คุยกับวินเป็นระยะ อาจารย์กลับถึงห้องแล้ว และกำลังเตรียมการสอนสำหรับวันพรุ่งนี้ ปกติพวกเขาจะวิดีโอคอล แต่คืนนี้ไม่สะดวก เลยใช้แค่ไลน์ธรรมดา กรอยากให้วินเจอพวกน้องๆ เหมือนกัน อาจารย์ทั้งสวยและใจดี แฝดจะต้องชอบไม่แพ้ปั้นจั่นแน่ๆ เขาอยากให้วินเข้ากับครอบครัวได้ เหมือนที่เห็นปั้นจั่นเข้ากับพวกน้องๆ ได้ดีในวันนี้
“กร ให้กูนอนที่โซฟาแทนก็ได้นะ” ปั้นจั่นลุกมาหาเมื่อน้องๆ หลับสนิทหมดแล้ว นภนต์หลับยากหน่อย แต่ก็ไม่เกินฝีมือพี่เลี้ยงเด็ก
“ไม่ต้องอ่ะ มึงนอนกับพวกมันเหอะ ตื่นมาเห็นมึงคงดีใจกว่าเจอหน้ากู” กรตอบไปนิ้วก็จิ้มไลน์ไป
“อะไรวะ นั่นน้องมึงนะ ฮ่าๆ” ปั้นจั่นอดขำไม่ได้กับพี่น้องพวกนี้ เด็กๆ ทั้งซนและแสบไม่เบา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นน้องชายของกรผู้แสนจะเงียบขรึมและหน้านิ่งเหมือนพวกไร้อารมณ์
แต่ก็นะ...ถ้าไร้อารมณ์จริง คงไม่เร่าร้อนขนาดนั้น ปั้นจั่นพิสูจน์มาแล้วด้วยตัวเอง
“กร...” เสียงอ่อนหวานของปั้นจั่นดังอยู่ข้างหูพร้อมฝ่ามือนุ่มๆ ที่ลูบไล้ลงมาบนแผงอก กรสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน
“ทำเหี้ยอะไร” เขาขมวดคิ้วถาม ปั้นจั่นเหมือนจะรู้สึกตัว เลยดึงมือออกทันที
“เปล่า จะนอนตรงนี้จริงๆ เหรอ” ใบหน้ากลมแป้นเจือสีแดงจางๆ ด้วยความเขินอายกับท่าทางที่เผลอไผลเมื่อครู่ ยอมรับอย่างหน้าไม่อายเลยว่าต้องการเหมือนคืนนั้น อยากให้กรกอดรัดไว้แน่นๆ อีกครั้ง แต่สถานะของพวกเขา ไม่อาจกลับไปเป็นแบบนั้นได้อีกแล้ว
“อือ ไปนอนเหอะ กูจะนอนแล้ว” กรตอบรับ ก่อนจะกดส่งสติ๊กเกอร์ Good night ไปให้อาจารย์
ปั้นจั่นยืนมองกรยิ้มกับโทรศัพท์พักหนึ่ง แล้วก็เดินกลับไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนตรงกลางที่พวกแฝดเว้นไว้ให้ สายตายังคงเหลือบมองคนที่ค่อยๆ เอนตัวพิงแขนโซฟาแล้วหลับตาลง
ไม่ว่ายังไง ก็ยังรักกรอยู่ดี
******
เรื่องนี้ยังคงคอนเซปดราม่าตลอดกาล ปั้นจั่นดูน่าหมั่นไส้ แต่ก็น่าร้ากนะ