ยังไม่จบง่ายๆ ต้องมีอะๆร ต้องมีอะไรรรร
13
“พี่วิน?” ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงมือถือดัง เลยงัวเงียตื่นขึ้นมาดู เห็นพี่วินนั่งอยู่ปลายเตียง “ใครโทรมารึเปล่าครับ”
“ไม่มีนี่ กรนอนเถอะ” พี่วินหันมาลูบแขนผม โน้มตัวลงข้างๆ เอาศอกยันเตียงไว้และนอนตะแคงมองหน้าผม
“อือ พี่ก็นอนกับผมสิ” ผมอ้อนด้วยการคว้าตัวเขามากอดไว้แนบอก เอาคางวางเกยบนกลุ่มผมหอมนุ่ม กลิ่นที่ผมชอบและทำให้รู้สึกสบายใจ ได้ยินเสียงเขาหัวเราะคิกคักพลางกอดตอบผมและซุกหน้าเข้าหาอกผมมากขึ้น
“อ้อนเป็นเด็กเลย”
“กินเด็กแล้วเป็นอมตะนะพี่ ไม่ชอบเหรอ” ผมแกล้งกระเซ้า กดจูบที่หน้าผากมนแผ่วเบา
“แล้วถ้ากรอยากเป็นอมตะ ไม่ต้องไปหาเด็กที่อื่นมากินรึไง” เขาสะบัดเสียงใส่
ผมอมยิ้ม เหมือนเขาหึงผมเลย “สำหรับผม กินพี่แค่คนเดียวก็เป็นอมตะแล้ว”
“ทำเป็นพูดดี อีกหน่อยอาจจะเบื่อก็ได้ พี่แก่กว่ากรตั้งเป็นสิบปี” ท่าทางเขาจะเป็นคนคิดมากอยู่เหมือนกันนะ ปกตินักจิตวิทยาน่าจะจัดการอารมณ์กับความรู้สึกของตัวเองได้ดี แต่การที่เขาพูดและแสดงอารมณ์แบบตรงไปตรงมากับผม ผมก็ชอบนะ
“ผมก็จะแก่ตามพี่ให้ทัน แล้วเราก็จะแก่ไปด้วยกัน”
“พูดจริงเหรอ” เขาเงยหน้าขึ้น ช้อนสายตามองผม ผมเองก็ก้มมองเขา ก่อนจะจูบเบาๆ ที่ปลายจมูก
“ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ ให้เวลามันพิสูจน์ตัวมันเองดีกว่า นอนเถอะครับ” แล้วผมก็หลับตาลง เข้าสู่ห้วงนิทรา
******
เช้าวันต่อมา พี่วินพาผมไปส่งที่หอ แล้วก็แยกไปทำงานก่อน ส่วนผมต้องขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมของไปเรียน
“เมื่อคืนไปไหนมา ค้างที่บ้านเหรอ” พอเข้าไปในห้องปุ๊ป ก็เจอปั้นจั่นนั่งรออยู่ที่โซฟา
“อือ” ผมรับคำสั้นๆ เดินผ่านเลยไปหยิบผ้าเช็ดตัว จริงๆ ก็อาบน้ำมาแล้วแหละ แต่อยากอาบอีกที
“ทำไมไม่โทรมาบอก เรารอกรทั้งคืนเลยนะ โทรไปก็ไม่รับ แล้วยังปิดเครื่องหนีอีก” ปั้นจั่นลุกขึ้นเดินตามผม แสดงว่าเมื่อคืนพี่วินเป็นคนตื่นมาเจอและกดปิดเครื่องไป
“ก็นอนอยู่ มันรบกวน” ผมว่าพลางก้าวเท้าเข้าไปในห้องน้ำ “ขอกูอาบน้ำก่อน แล้วค่อยคุยกัน”
อาบน้ำเสร็จ เดินออกมาแต่งตัว ปั้นจั่นก็ยังคงนั่งรออยู่ที่โซฟา พอเห็นผม ก็รีบลุกมาหา
“กร ถามจริงๆ เมื่อคืนไปไหนมา”
“ก็บ้านไง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ หยิบเสื้อนักศึกษามาสวมพร้อมกางเกง กำลังจะสวมเข็มขัดต่อ ปั้นจั่นก็โผเข้ามากอดจากด้านหลัง “จะแต่งตัว มันเกะกะ”
“เรารักกรนะ ไม่ว่ากรจะมีใครอีกกี่คน เราก็ไม่ว่า ขอแค่กรอยู่กับเรา อย่าทิ้งเราก็พอ” เสียงของมันสั่นเครือ ผมสงสารมันนะบอกตรงๆ เข้าใจว่ามันเจ็บปวด ยากที่จะทำใจ เพราะผมก็มีอะไรกับมันไปแล้ว ถ้าแค่มันชอบผมเฉยๆ อาจจะยังคุยกันรู้เรื่องกว่านี้ แต่ผมก็พลาดเองที่คืนนั้นไม่ยับยั้งชั่งใจ พอโดนมันทำแบบนั้นก็ตามน้ำจนกู่ไม่กลับ มันเป็นความรับผิดชอบของผม ที่คงต้องทนจนกว่าปั้นจั่นจะตัดใจได้เอง
“ยังไงก็เพื่อนกัน กูไม่ทิ้งมึงหรอก” ผมตัดบทด้วยการดึงมือมันออกและใส่เข็มขัดจนเสร็จ พยายามไม่มองหน้าปั้นจั่นที่น่าจะร้องไห้อยู่ ผมไม่ได้อยากทำร้ายจิตใจใคร ถ้าผมไม่มีใครเลย ผมอาจจะรักมันได้ แต่ผมรักพี่วินไปแล้ว รักตั้งแต่ยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร
แต่สิ่งที่ผมกับปั้นจั่นเป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผมรักพี่วิน ปั้นจั่นก็รักผม ส่วนพี่วินก็มีภรรยาอีกคน ผมไม่รู้ว่าเขาแต่งงานกันเพราะความรักหรือเปล่า ในเมื่อพี่วินบอกเองว่าเป็นเกย์ แต่ยังไงสถานะของพวกเราตอนนี้ก็คล้ายๆ กัน ผมเลยไม่อยากให้ปั้นจั่นต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้
“เพื่อนเหรอ? กรคิดว่าเรายังเป็นเพื่อนกันได้อีกเหรอ เราทำขนาดนี้แล้ว ทำไมกรไม่สนใจเราบ้าง ทำไมรักเราไม่ได้” มันร้องไห้ฟูมฟายเสียงดัง “ไม่รักเราแล้วทำไมตอนนั้นไม่โวยวายด่าทอเรา ผลักไสเราออกไปให้พ้นๆ ทำไมต้องทำแบบนั้นกับเรา” ปั้นจั่นเหมือนจะขาดสติ มันเข้ามาทุบหลังผมรัวๆ จนผมต้องหันไปคว้าแขนมันไว้ให้หยุด
“กูขอโทษ”
“ไม่เอา! เราไม่เอาคำขอโทษ เราต้องการแค่กรอยู่กับเรา” มันดิ้นไปมา ผมพยายามจับไว้ให้อยู่นิ่งๆ เห็นปั้นจั่นเป็นแบบนี้แล้วผมเสียใจจริงๆ ผมไม่ได้อยากทำร้ายใคร ตอนที่ทำแบบนั้นกับพี่กานต์ ผมก็รู้สึกผิดแทบตาย ถึงได้ยอมให้มันกระทืบเอาฝ่ายเดียว คนที่ผมต้องสู้ด้วยมีแค่ไอ้พีทคนเดียวก็พอ
“เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเหอะปั้น กูมีคนที่ชอบแล้ว และกูจะคบกับเขา”
“ไม่เอา!” มันโวยวายกอดเอวผมแน่นไม่ยอมปล่อย ผมแกะมือนั้นออก แต่ปั้นจั่นก็ยังเข้ามากอดอีก ถ้าพี่วินเป็นผม และผมเป็นปั้นจั่น เราก็คงทำเหมือนกัน
“ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องเจอกันอีก” ผมขู่เสียงแข็ง มันชะงักไปแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ
“กร...ให้เราอยู่ข้างๆ กรไม่ได้เหรอ” มันร้องไห้ฟูมฟาย ทรุดตัวลงกอดขาผม
“ปั้น กลับมาเป็นเพื่อนกันเหอะ กูรักมึงไม่ได้ มึงเองก็ทนอยู่แบบนี้ไม่ไหวหรอก ตัดใจซะ” ผมพยายามโน้มน้าว นั่งยองๆ ลงตรงหน้ามัน “นะปั้น เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว กูจะเป็นเพื่อนที่ดีของมึงให้ได้”
“ฮือออ กร...กร...” ปั้นจั่นปล่อยโฮออกมาเสียงดังแล้วโผเข้ากอดผมอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ยอมให้มันกอดและร้องไห้จนพอใจ
ผมคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว เลยพาปั้นจั่นไปกินข้าวเช้าและเข้าเรียนตามปกติ ผมส่งไลน์ไปบอกพี่วินด้วยว่าเคลียร์กับคนที่อ้างว่าเป็นแฟนผมเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากให้พี่เขากังวล
ส่วนเรื่องภรรยาของพี่วิน ผมไม่คิดจะเข้าไปยุ่มย่าม ถ้าเขาไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา เพราะยังไงเขาก็แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นโดยไม่ได้เต็มใจอยู่แล้ว เขาเป็นคนบอกผมเอง ว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้ได้ แต่มันอาจจะต้องใช้เวลา แล้วยังมีเรื่องพ่อแม่ของพี่เขาอีก
การเป็นผู้ใหญ่ บางทีก็ยุ่งยากกว่าที่คิด ตัวผมตอนเด็กๆ ที่โดนกลั่นแกล้งจนกลายเป็นโรคนอนไม่หลับหรือฝันร้าย ดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่พี่วินต้องอดทนและพบเจอมาตลอดชีวิตของเขา
พี่วินไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของตัวเองกับใครได้เลย เขาปกปิดมันมาตลอด คบกับใครก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ และไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทนไหว สุดท้ายก็เลิกรา เขาเลยเลือกคบผ่านเนตแบบไม่เห็นหน้าตา เพื่อตัดปัญหา แค่คุยกันผ่านๆ ไม่ต้องผูกพัน แต่แล้วก็มาเจอกับผม เขาบอกว่าแรกๆ แค่เห็นใจ และตัวเขาก็เป็นนักจิตวิทยา เลยอยากลองคุยกับผมไปเรื่อยๆ จนมันเกินเลยกว่านั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทันรู้ตัว
******
“เลิกเรียนแล้วครับ เดี๋ยวเจอกันครับ” ผมกดวางสายหลังจากตกลงเรื่องสถานที่นัดกันในเย็นนี้ได้แล้ว ความรักแบบลับๆ ของผมกับพี่วิน ไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดใจเลยสักนิด ผมไม่ต้องการเรียกร้อง ไม่ได้ต้องการให้เขาเปิดเผย เพราะผมเป็นคนยังไงก็ได้อยู่แล้ว แค่ได้อยู่ด้วยกัน ในที่ของเราก็พอ
“แหมๆ นี่มึงมีแฟนแล้วจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย ก่อนหน้านี้ทำตัวขวางโลกโครตๆ สาวคนไหนมาตกหลุมวะ” เสียงไอ้แฟ้มแซว ปั้นจั่นหันมามองหน้าผม แล้วก็หันกลับไปทำงานของมันต่อ ผมรู้ว่าปั้นจั่นยังเสียใจกับเรื่องของผมอยู่ แม้เราจะพยายามทำตัวเหมือนปกติก็ตาม
“ไม่ใช่สาวที่ไหนหรอก” อยากจะบอกว่าเป็นหนุ่มต่างหาก แถมหนุ่มใหญ่ด้วย
“แล้วมึงไม่เครียดจนนอนไม่หลับแล้วใช่มั้ย” เวสป้าที่ตอนแรกเหมือนไม่ชอบหน้าผม ไปๆ มาๆ ก็เหมือนจะเข้ากันได้ดี มันเป็นห่วงคอยถามไถ่เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ส่วนตัวมัน มันบอกว่าหายดีแล้ว เพราะพอการเรียนเข้าที่เข้าทาง พ่อแม่มันก็พอจะยอมรับได้ ไม่มากดดันอะไรมาก
“อืม ขอบใจมึงมากนะที่ช่วยแนะนำหลายเรื่อง” ผมยิ้มสดใส ที่ผมนอนหลับสนิท ไร้เรื่องกังวลใจได้ เพราะมีพี่วินอยู่ข้างๆ ไม่ใช่เพราะยา แค่ได้พูดคุยกับพี่เขา ผมก็หายเครียดแล้ว และผมก็อยากให้พี่วินสบายใจเวลาอยู่กับผม ถึงได้ไม่เซ้าซี้เรื่องส่วนตัวของเขา ปล่อยให้มันเป็นไปตามเวลา
แต่เรื่องที่ผมยังค้างคาในใจ คงเป็นเรื่องไอ้พีท ที่พักนี้หายหน้าหายตา ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ผมทำร้ายมันปางตาย และมันก็พาพวกมารุมผม ผมคิดว่ามันอาจจะเลิกยุ่งกับผมไปเลย เพราะก็ได้แก้แค้นกันไปแล้ว ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ใจผมมันยังไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ เหมือนกับว่าจะต้องเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้นอีกเพราะมัน
“งั้นกูไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” ผมเลิกคิดมากแล้วหันไปบอกลาเพื่อนๆ ทุกคนโบกมือส่งยิ้มให้ ยกเว้นปั้นจั่นที่หน้าตึงๆ ใส่นิดหน่อย แต่ก็ยกมือโบกลามาให้ ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น
สาวเท้าเดินอย่างเร่งรีบไปที่มอเตอร์ไซค์ เพื่อจะไปตามนัดกับพี่วิน วันนี้พี่เขาบอกว่าอยากกินอาหารไทย เลยนัดกันที่ร้านอาหารทรงไทยแถวริมน้ำ ห่างจากมหาลัยไปไกลอยู่ เพื่อจะได้ไม่มีใครมาพบเจอ จริงๆ ผมอยากจะไปกินข้าวที่ห้องของพี่วินมากกว่า แต่มันยังไม่ค่ำมาก คนในมหาลัยก็เยอะ ถ้าผมเข้าหอพักอาจารย์เวลานี้ต้องมีคนเห็นแน่นอน โดยเฉพาะบรรดาอาจารย์ที่พักอยู่ด้วย
อีกไม่กี่ก้าว ก็จะถึงมอเตอร์ไซค์ของผมแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีคนมายืนขวางหน้า มันอีกแล้ว
“มีอะไร” ผมถอนหายใจแรงพลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ไอ้พีทยืนกอดอกจ้องหน้าผมเหมือนจะเอาเรื่อง แต่มันไม่กล้าลงมือตรงนี้หรอก คงไม่พ้นลากผมไปที่ลับสายตาคนอีก
“ถ้าไม่พูด กูไปนะ รีบ” ผมเดินเลี่ยงไหล่มันไปอีกทาง ไอ้พีทกระชากแขนผม เลยต้องหันไปมองมันอีกที
“คราวที่แล้ว...” มันเอ่ยขึ้นเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ผมขมวดคิ้ว มองหน้ามันอย่างงุนงง
“คือ แผลมึง เป็นไงมั่ง” มันทำหน้าเจื่อนๆ แก้มแดงนิดๆ
“หายดีแล้ว” อะไรของมัน ผมชักสีหน้า ทำผมขนาดนั้น แล้วยังมีหน้ามาทำเหมือนเป็นห่วง? หรือรู้สึกผิด?
“เหรอ งั้นก็ดีแล้ว” มันปล่อยมือจากแขนผม ยืนเช็ดจมูกตัวเองท่าทางเก้อเขิน “ขอโทษนะ”
“ห๊ะ” ผมยิ่งมุ่นคิ้วหนัก เมื่อกี้หูฝาดหรือผมประสาทแดก?
“กูบอกว่าขอโทษ” มันตะโกนหน้าแดงก่ำ แล้วก็รีบวิ่งหนีไป ทิ้งให้ผมมองตามไปด้วยความเอ๋อแดกแบบสุดตีน
ไอ้พีทมันไปกินยาอะไรผิดมารึเปล่า จู่ๆ ก็มาขอโทษ ทั้งที่ตีกันตั้งขนาดนั้น
ท่าจะบ้าแล้ว
หรือผมอาจจะฝันกลางวัน
คิดแบบนั้นสบายใจกว่าเยอะ ช่างมันแล้วกัน
ไปหาพี่วินดีกว่า