6
วันเสาร์ วันที่ผมเคยรักบัดนี้กลับเป็นเวลาที่ทรมานเมื่อต้องมีไอ้ฉางมาทรมานจิตใจด้วยทั้งวัน ทว่าวันนี้ไอ้ฉางกลับหายไปตั้งแต่เช้า หายไปพร้อมแมวส้มรวมถึงข้าวของเครื่องใช้แมวต่างๆ ผมตื่นมาด้วยสภาพจิตใจที่แจ่มใส
แม้จะสงสัยว่าไอ้ฉางไปไหน แต่ก็ไม่คิดจะถามหรือตามเรียกมันมา
ให้มันมีวันที่ผมได้อยู่แบบปกติสุขสักทีเถอะ
ผมเพลิดเพลินกับการอยู่คนเดียวมาก ทั้งวันไม่มีร่างของใครมาทำให้เสียสายตา ไม่มีก้อนขนสีส้มให้ระแวงว่ากลัวจะเหยียบมันแทนพรหมเช็ดเท้า ไม่มีคำพูดกวนประสาท ไม่มีน้ำเสียงทุ้มเย็นคอยตั้งคำถามให้ฟัง ไม่มีเสียงดินสอเสียดสีกับกระดาษ ห้องเงียบแบบที่มีผมเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในห้องจริงๆ
เพลิดเพลินได้จนเลยเวลาเที่ยงวัน ผมก็ค้นพบว่ามันเงียบเกินไปอย่างน่าประหลาด จนนึกหงุดหงิดใจตัวเองจึงได้ลงไปหาอะไรกินแถวหอ พบปะผู้คน ให้เสียงพูดคุยดังเป็นแบ็คกราว ก่อนที่จะต้องกลับขึ้นห้องอีกครั้ง
เงียบจนน่าประหลาด เสียงนอกหน้าต่างดังลอยผ่านมาอย่างไม่คุ้นหู
ผมไม่ได้ยินเสียงรถวิ่งผ่าน เสียงนกร้อง ผ่านหน้าต่างห้องมานานแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้ฉางจะเป็นเพราะใคร ช่วงเวลาที่มันอยู่ ผมต้องเอาสมาธิไปจดจ่อกับบทสนทนากับมันเสียส่วนใหญ่ รู้ตัวอีกทีก็จำเสียงนกร้องข้างหน้าต่างไม่ได้เสียแล้ว
ผมนั่งมองจอคอม คิดไม่ออกว่าจะทำอะไร
ชีวิตประจำวันแสนธรรมดาที่ผมรักกลับกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อตั้งแต่ตอนไหน
นั่งดูซีรีส์ ไล่ดูเว็ปไซต์ต่างๆ ทำรายงานไปพลางๆ วกกลับมาไถเฟสบุ๊คเล่นๆ ก่อนกลับไปหาหนังเรื่องใหม่ดู กิจกรรมก็ปกติทั่วไปที่ผมมักใช้ช่วงเสาร์อาทิตย์ ถ้าไอ้เขียนไม่ได้ชวนไปไหน การนั่งอยู่ในห้องนิ่งๆ นับว่าเป็นความสุขอีกแบบ
เพียงแต่ เวลาเดินช้าจนน่าแปลก
ผมเงยหน้ามองนาฬิกา เพิ่งจะสามโมงครึ่ง แดดข้างนอกยังคงร้อนแผ่มาถึงในห้อง ไม่อยากออกไปไหน แต่ก็จนใจหาอะไรทำต่อ ผมไม่มีทางเลือก จัดการเปิดไฟล์งานที่ค้างเอาไว้ นั่งทำต่ออย่างเบื่อหน่าย
เบื่อ เบื่อ
ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว รู้ตัวอีกทีโทรศัพท์มือถือที่นิ่งมาตลอดทั้งวันของผมก็สั่นแจ้งเตือน ข้อความไลน์เผยชื่อรูมเมทไม่ได้รับเชิญคนใหม่ทำให้ผมรีบเปิดดู
‘ข้าว เปิดประตูหอให้หน่อย’
ใจผมเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่ ก่อนกลับมาเป็นปกติ ผมลุกไปเปิดประตูให้มันโดยไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกที่เกิดในใจว่าอะไร
เปิดประตูหอ เจอไอ้ฉางยืนอยู่พร้อมถือหม้อใบเล็กๆ ไว้ในมือ แขนสองข้างมีถุงพลาสติกคล้องไว้พะรุงพะรัง
“อะไร?”
“ข้าวเย็น”
ฉางตอบ เดินเข้ามาประชิดตัวผมจนต้องถอยหลังให้มันเข้ามาในหอ ฉางเดินนำผมขึ้นไปตามทางที่คุ้นเคย ไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว
ฉางหยุดรอผมที่หน้าประตูห้อง เมื่อสองมือมันไม่ว่างเปิด ผมเดินมาเปิดประตูให้มันโดยไม่พูดอะไร ไอ้ฉางก้าวเข้าห้อง จัดแจงหาที่ว่างก่อนวางของรุงรังในมือมันลงทีละชิ้น
“ขนอะไรมาเยอะแยะ”
“มีข้าวเย็นกับของใช้นิดหน่อย คนที่บ้านให้เอามาด้วย”
นี่มึงตั้งใจจะมาตั้งรกรากที่ห้องกูจริงๆ แล้วใช่มั้ย
“ข้าวก็มากินด้วยกันสิ ผมเอามาเผื่อ มีเป็นหม้อเลย”
ถามกูด้วยว่าอยากมั้ย
“แล้วแมวล่ะ?” ผมถามคำถามที่สงสัย เมื่อไม่เห็นแมวคู่ใจของมัน ใจจริงก็พอรู้แล้วว่าไอ้ฉางน่าจะเอากลับบ้านไปแล้ว แต่กระนั้นก็อยากถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ แน่ใจว่ามันจะไม่มาวุ่นวายห้องผมแล้วจริงๆ
“อยู่ที่บ้านผม มีคนเลี้ยงดูแล้ว ข้าวสบายใจได้”
ทำไมพูดเหมือนกูแคร์แมวมึงขนาดนั้นวะ แมวจรแบบนั้นจะเป็นยังไงใครจะสน ผมแค่ถามตามมารยาท
ในใจผมต่อว่าต่อต้านมันสุดฤทธิ์ แต่หาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมมุมปากจึงยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้…
ผมปล่อยให้มันทำกุกกักในห้องต่อไป ตัวเองไปนั่งที่โต๊ะประจำ พิมพ์รายงานที่ค้างไว้พร้อมกับฮัมเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัว จนพระอาทิตย์ตกดิน เสียงในห้องเงียบไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ผมหันไปมองผู้มาเยือนที่ตอนนี้นอนครอบครองเตียงผมไปอีกแล้ว
มันหลับไปตอนไหนอีกวะ ผมถอนหายใจ ไม่อยากปลุกไม่อยากยุ่ง ทว่าพอเห็นกับข้าวที่ไอ้ฉางเอามาจากบ้าน ตั้งวางอย่างเป็นระเบียบที่โต๊ะพับก็ต้องเปลี่ยนความคิด
“ฉาง กินข้าว”
ผมเรียกมัน แน่นอน ศพพูดไม่ได้เช่นใด ไอ้ฉางก็ไม่ตอบฉันนั้น
“ฉาง ตื่น”
วลีประจำถูกใช้ขึ้นมา ไม่รู้ทำไมบางทีผมเรียกอย่างนี้แล้วมันตื่นอย่างง่ายดาย แต่บางครั้งเรียกให้ตายก็ไม่ตื่น อย่างตอนที่มันมานอนกองหน้าประตูห้องผม เรียกยังไงมันก็ไม่ตื่น ถึงได้จำใจแบกมันเข้าไปนอนในห้องไม่ให้เกะกะทางเดิน ทว่าพอปล่อยมันนอนบนเตียงสักพัก ลองเรียกด้วยถ้อยคำนี้อีกทีมันกลับตื่นอย่างง่ายดาย
ไม่รู้ใจมันจริงๆ
อย่างครั้งนี้ ผมเรียกมันก็ไม่ตื่น เรียกซ้ำหลายทีมันก็ไม่ขยับ ทำตัวเป็นซากศพได้อย่างสมบูรณ์แบบจนผมจนใจ กระทั่งกะเพราะอาหารร้องประท้วง ทำให้ผมขอทานข้าวเย็นล่วงหน้าไม่บอกมันแล้วกัน
ตักข้าวใส่จานที่ฉางมันเตรียมมา ห้องผมไม่มีอุปกรณ์ทำอาหารใดๆ ทั้งนั้นนอกจากไมโครเวฟและกาน้ำร้อน ถ้วยชามช้อนส้อมอีกเล็กน้อย เอาไว้เผื่อต้มมาม่ากลางดึกประทังชีวิตเท่านั้น
อาหารในหม้อเป็นแกงเขียวหวานน่าตาน่ากิน และเมื่อผมได้ตักมันเข้าปากชิมรสชาติดูแล้วก็พบว่า...
โคตรอร่อย!
รสชาติกลมกล่อม ไม่เผ็ดไม่หวานเกินไป กำลังพอดี เรียกได้ว่าเป็นรสชาติในอุดมคติของผมเลย ผมฟาดเรียบหมดจานอย่างรวดเร็ว ไม่ได้กินจนหมดหม้อ ผมเหลือไว้ให้ไอ้ฉางเหมือนกัน แต่จนผมทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว ไอ้ฉางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ผมเดินไปทางมัน
“ฉางตื่น”
ซากศพขยับตัว
“กินข้าว”
คราวนี้มันพลิกตัวกลับมาหา เผยให้เห็นสภาพใบหน้าง่วงงุน หัวยุ่งตาปรือ ดวงตาสีดำสนิทนั้นจ้องมาที่ผมอย่างเลื่อนลอย
“ไปกินข้าว”
“อืม...กิน
ข้าว”
ไอ้ฉางตอบเสียงงึมงำ ไม่รู้ทำไม ประโยคธรรมดานั้นกลับทำให้ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจ รู้สึกแปลกๆ เหมือนคนละความหมายกับที่ผมต้องการจะสื่อ คงเพราะมีชื่อตัวเองอยู่ในนั้นทำให้ไม่คุ้นชิน
ผมสรุปกับตัวเอง
“ข้าวไม่กินหรอ”
“กูกินเสร็จไปเมื่อกี้”
“ไม่รอเลย...”
“ก็มึงไม่ตื่น”
คราวนี้ไอ้ฉางเงียบ ไม่ส่งเสียงรบกวนประสาทมาแล้ว ผมนั่งทำงานปล่อยมันทานข้าวไปอีกสักพัก ก่อนเข้าไปอาบน้ำตามเวลา ออกมาก็เห็นไอ้ฉางนอนตายอีกแล้ว...
ผมมองไปที่โต๊ะญี่ปุ่นพับได้ที่ตอนนี้เปลี่ยนสภาเป็นโต๊ะอาหารชั่วคราว เห็นไอ้ฉางเก็บกวาดไว้แล้วเล็กน้อย ทว่าในหม้อแกงเขียวหวานยังมีน้ำแกงเหลืออยู่ไม่น้อย
ผมกะปริมาณที่คิดว่าไอ้ฉางกินคนเดียวก็หมดแน่ๆ แล้ว เหนือความคาดหมาย ไอ้ฉางดันกินไม่หมด คนตัวโตตรงหน้าทานน้อยกว่าที่คิด ผมเองก็กินอิ่มแล้ว แต่มองเห็นอาหารแสนอร่อยตรงหน้าก็แสนเสียดาย จะเก็บไว้กินวันต่อไปคงไม่ได้ ห้องผมไม่มีตู้เย็น
ผมตัดสินใจ ฟาดอาหารตรงหน้าอีกครั้ง
เอาวะ น่าจะพอกินไหว ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ของดีๆ แบบนี้ไปนอนกองอยู่ในถังขยะ
...ก่อนที่จะมานอนทรมานอยู่บนเตียง...
“ข้าว?”
“...”
“เป็นอะไรอ่ะ ไม่สบายหรอ”
“...อิ่ม”
“?”
“เสียดายของ มึงกินเหลือ กูเลยกินให้หมด”
“ข้าวกินหมดเลยหรอ?”
“อือ เสียดาย ตอนนี้อิ่มสัด”
ผมนอนอืดตอบไอ้ฉางที่ไม่รู้มันตื่นตอนไหนอยู่บนเตียง อิ่มจริง อิ่มจนจุกแต่มีความสุข รสชาติละมุนยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นอยู่เลย ทันทีที่กินหมดผมก็มานอนแผ่อย่างนี้ จานชามยังไม่ได้ล้าง
“เหลือตั้งเยอะ เก็บไว้ก็ได้นี่”
“ไม่ได้ ห้องกูไม่มีตู้เย็น”
“ถ้าข้าวอิ่มทิ้งไปก็ได้ ไม่มีใครว่าหรอก”
“ก็บอกแล้วว่ากูเสียดาย อร่อยขนาดนั้น ใครจะกล้าทิ้งลง บ้านมึงนี่ทำอาหารเก่งเป็นบ้าเลยฉาง”
“อร่อยขนาดนั้นเลยหรอ”
“อือ ไม่เคยกินแกงเขียวหวานที่ไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อน มึงกลับบ้านอีกก็ฝากเอามาอีกนะ กูชอบ”
“...พูดอย่างนี้ผมก็เขินแย่”
“กูชมคนทำ ไม่ได้ชมมึง”
“ก็ผมไง”
“...?”
ผมสงสัยในคำพูดของมัน ก่อนสมองจะพยายามประมวลผล อย่าบอกนะ..
“ผมทำเอง”
แทบสำลัก ทว่าอิ่มจนจุก ผมทำได้แค่ลุกขึ้นมานั่งเบิกตาโพลง
“ข้าวชมแบบนี้ผมก็เขินนะ” ไอ้ฉางว่าพร้อมอมยิ้ม ส่งสายตามาทางผม ท่าทางมันไม่มีส่วนไหนที่บ่งบอกว่าเขินเลยสักนิด
“ไหนบอกว่าเอามาจากบ้านไง”
“แล้วผมบอกตอนไหนว่าที่บ้านทำ”
“...”
“ผมทำไว้ตอนกลางวันให้ที่บ้านกิน มันเหลือก็เลยเอามาฝากข้าวด้วย ไม่คิดว่าจะกินเกลี้ยงแบบนี้ ผมดีใจนะเนี่ย”
“นอนไปเลยไป!”
VI
เพิ่งเคยเห็นข้าวเขินแบบนี้ครั้งแรก ข้าวตัวขาว พอเขินทีหน้าก็ขึ้นสีแดง เห็นชัดง่ายดาย อย่าว่าแต่ข้าวเขินเลย ผมก็เขินนะ ข้าวเล่นชมผมซะขนาดนี้เนี่ย
ทว่าพอสิ้นสุดเสียงตะโกนไล่ให้ผมไปนอน ข้าวก็ไม่ยอมพูดตอบอะไรผมอีก ทิ้งตัวลงนอนเก็บหน้าเก็บตา ไล่คนอื่นไปนอน แต่ตัวเองกลับนอนหนีเสียเองเนี่ย...
ยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้ว
จะน่ารักเกินไปแล้วต้นข้าว
เมื่อข้าวไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ผมลุกจากเตียง ทำหน้าที่เป็นผู้อยู่อาศัยที่ดี ล้างจานชามที่ข้าวทิ้งไว้ให้ เมื่อครู่ยังไม่ได้ล้าง เพราะข้าวใช้ห้องน้ำอยู่ ผมทำได้แค่เก็บกวาดเอามันมากองรวมกันเท่านั้น
สิ้นสุดการล้างจาน ข้าวก็ยังไม่มีวี่แววจะลุกขึ้นมา
ไม่มีแมวฉางให้เล่นด้วยแล้วก็เหงาเหมือนกัน ข้าวก็ไม่สนใจ ผมเข้าไปอาบน้ำก่อนออกมา ปกติแล้วผมมักจะอาบน้ำหลังเขาหลับ แต่ตอนนี้ถือเป็นข้อยกเว้น ข้าวยังคงนอนนิ่ง เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ...ทำงานก็ได้
สองทุ่ม ข้าวเริ่มเคลื่อนไหว ขยับตัวก่อนชันตัวนั่ง คิดว่าหายเขินแล้ว ผมนั่งในจุดที่มองเห็นข้าวได้จึงจ้องไปที่เขาทันทีที่ข้าวลุก
ข้าวขมวดคิ้วมองมา
“ทำอะไรน่ะ”
“งานไง”
คณะสถาปัตยกรรม ขึ้นชื่อเรื่องงานระดับนรก และตามคำร่ำลือ ผมถึงได้มานั่งหัวปั่นไม่ได้หลับไม่ได้นอนเช่นนี้ ยิ่งปีสามแล้ว ทั้งงานในงานนอกตีกันจนหัวหมุนไปหมด
ข้าวขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เห็นได้ชัดเลยว่าไม่คุ้นกับการกระทำของผมตอนนี้...ไม่แปลก ผมไม่เคยนั่งทำงานต่อหน้าข้าว ทำเหมือนชีวิตนี้ไม่มีเรื่องงานมาวุ่นวาย อืม ไม่จริงแต่อย่างใด ทว่าเมื่ออยู่กับข้าว เหตุใดจึงต้องให้ความสนใจกับงานกันเล่า ข้าวน่าสนใจกว่าเยอะ
แต่เพราะครั้งนี้ข้าวไม่สนใจผม แถมไม่ได้หลับสนิท ทำให้จะเข้าไปแอบจ้องเหมือนปกติก็ไม่ได้ ผมถึงต้องมาลงกับตัวเลือกนี้
ข้าวไม่พูดอะไร ลุกออกจากเตียง เดินไปนั่งที่โต๊ะหนังสืออย่างที่ชอบทำเป็นประจำ ผมไม่กวนข้าว รีบลงมือทำงานตรงหน้าให้เสร็จตามเป้าหมาย คลิกเมาส์ตีแคด(CAD)จนแปลนเดินหน้าไปพอสมควร เมื่อพอใจกับผลลัพธ์แล้ว ผมเซฟงานและปิดแล็ปท็อปทันที ผมง่วงแล้วและจะไม่ทำโอที
เหนื่อยแล้ว อยากนอน
“ฉาง”
ทว่าคนในสเปคกลับเรียกชื่อผมขึ้นมาในระหว่างที่กำลังคิดปีนขึ้นเตียง ผมเงียบเป็นคำตอบ รอว่าข้าวจะพูดอะไรต่อ
“กูสงสัยอ่ะ ที่พวกเพื่อนมึงพูด...ที่ว่ามึงเจอแล้วนี่คือ...เจออะไร?”
“...”
“ฉาง”
ข้าวหันมามองหน้าผม แกล้งหลับก็ไม่ทันแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ตอบ จ้องหน้าข้าวกลับ หลับมันต่อหน้านี้เลยดีมั้ยนะ
“เจอที่ว่า หมายถึงอะไร”
“หมายถึงผมเจอข้าวไง”
“กูรู้ว่ามันมีมากกว่านั้น”
“...”
“ฉาง-”
“ครั้งหน้าข้าวอยากกินอะไร”
“มึงอย่าเปลี่ยนเรื่อง”
“ต้มยำดีมั้ย ข้าวกินเผ็ดได้ไหม หรือต้มข่าดี”
“ฉาง!”
“หรือลองเป็นอาหารฝรั่ง”
“ฉาง...โว้ย เอาต้มข่า ทีนี้ตอบกูมา”
“ข้าวชอบแบบหวานๆ หรือเผ็ดๆ”
“ฉางมึงอย่าเปลี่ยนเรื่อง”
“เอาหวานหน่อยละกันเนอะ”
“ไอ้ฉาง”
“ข้าว ผมง่วงแล้ว จะให้ผมคิดอะไรมากมายอีก แค่คิดงานก็เหนื่อยจะแย่”
“แค่ตอบคำถามกูมันยากมากหรือไง”
“คำถามข้าวถามว่าอะไรผมลืมไปแล้ว”
“มึงนี่มัน...! กูถามว่า... เฮ้ย มึงอย่าหลับดิ้”
“...”
ข้าวรู้ไหม สกิลการหลับของผมไวระดับปิศาจ
หัวถึงหมอนปุ๊บ ผมชัตดาวน์ตัวเองทันทีไม่ต่างจากการถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์
♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦
ทีละนิด ทีละนิด