[End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62  (อ่าน 26414 ครั้ง)

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนYออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2019 20:53:03 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.1 | 07/07/2561
«ตอบ #1 เมื่อ07-07-2018 23:00:44 »


EP.1 Acker




เสียงกระสันดังขึ้นจากร่างบางภายใต้อ้อมกอดของร่างหนาทั้งสองจ้องมองไปในดวงตาของกันและกัน แก่นกลางของร่างกายร้อนเสมือนตกอยู่ใจกลางของภูเขาลาวา....


โอเค พักก่อน ผมว่านั่นมันเป็นบทนำสองบรรทัดแรกที่ค่อนข้างจะ....


อืม ‘เห่ย’ สิ้นดี


...ขอร้องเถอะ ปีนี้ 2018 แล้วยังมีใครใช้คำไวพจน์แทนอวัยวะเพศชายด้วยคำว่า ‘แก่นกลาง’ ของร่างกายอีกเหรอ?


เอาล่ะ ถ้าไม่รู้ผมจะเล่าให้ฟัง ปกติแล้วเวลานัดกันมามี sex น่ะ มันไม่ได้เอ่อล้นไปด้วยความสุขหรืออะไรเทือก ๆ แบบที่เขาว่ากันว่า sex คือการมอบความรักให้กันและกันหรอกนะ just sex อ่ะคุณ มันก็แค่การแลกเปลี่ยน ‘ดีล’ ที่คนสองคน (หรือมากกว่านั้น) เต็มใจจะยอมรับมัน


กระนั้นแล้ว ผมจะไม่เหมารวมหรอกนะ ว่าคนที่ ‘นัด’ ทุกคนจะไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่ากระทำการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย คนที่รู้สึกก็คงจะมีอยู่จริง และก็คงจะน่าสงสารหน่อย ๆ ที่หมอนั่นจะตกอยู่ในภวังค์ของความฝันที่แสนจะมีความสุขและเช้าวันต่อมาตื่นขึ้นมาก็โดนโลกของความเป็นจริงตบหน้า ถ้าคู่นอนชั่วคราวเมื่อคืนบล็อกไลน์ ทวิต หรือสักช่องทางที่พวกเขาไว้ใช้ติดต่อกัน


มันเป็นเรื่องปกติ เหมือนคุณจุดไฟแช็กขึ้นมา ขอเพียงประกายไฟเล็ก ๆ และแก๊สที่มากพอ ไฟก็จะลุกพรึบให้คุณอย่างง่ายดาย และดับลงไปในเวลาที่เร็วกว่าการก่อเกิดเป็นเท่าตัว


...นั่นแหละครับคือการนัดกันมามี sex หรือถ้าภาษาไทยก็จะมีการกร่อนคำสวย ๆ เป็นคำว่า “นัดเย” ตามที่คุณ ๆ เคยได้ยินกันมา


“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?” คนข้างบนบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักหลังจากควบมาราวสิบนาทีกว่า ๆ ผมชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วเป็นความหมายว่า ขออีกสามนาที เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงปฏิเสธ มุมปากตกลงจนแทบจะเบะออกมา และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมวางมือถือลงในขณะที่กำลังอ่านสปอยล์โตเกียวกูลภาค re ตอนล่าสุดอยู่ ก่อนจะขยับเอวเป็นการวอร์มออกกำลังกายไปในตัว


สีหน้าพอใจมากขึ้น รอยยิ้มมุมปากของเขาตอบผมแทบจะคำต่อคำ


ผมดันอกเขาเบา ๆ ให้พลิกตัวนอนหงายลงไปโดยไม่เสียจังหวะในการนำเข้าใหม่ จับเอวด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเบามือ ก่อนจะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความเร็วที่มากพอจะทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขอบคุณ


ทุกอย่างเสร็จสิ้นในเวลาห้านาที ผมถอดคอนดอมออกก่อนมันจะหดตัว มัดปากมันไว้ ก่อนจะเดินเอาไปทิ้งในถังขยะเล็ก ๆ ที่มุมห้อง ส่วนเขาเดินลิ่ว ๆ เข้าห้องน้ำไปแล้ว พอเช็ดคราบอะไรต่อมิอะไรเสร็จผมก็ใส่บ็อกเซอร์ แล้วทิ้งตัวลงไปนอนหงายเล่นรอเจ้าตัวออกมาจากห้องน้ำ


ไม่มีเสียงคราง? นอนอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นระหว่างการมี sex ?


คิดจริง ๆ เหรอว่าคนที่ทำหน้าที่รับทุกคนจะเสียวกระสันจนครางออกมาเหมือนในหนัง AV หรือนิยายต่าง ๆ (ที่คนแต่งอาจจะไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ด้วยซ้ำ) ไอ้เสียงครางอู้ว ๆ อ่า ๆ ซี๊ด ๆ อะไรนั่นอาจจะปลุกเร้าอารมณ์คนบางคน แต่ในทางกลับกัน เสียงก็อาจจะดับอารมณ์  คนบางคนด้วยเช่นกัน


จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ค่อยชอบการครางแบบเสแสร้งเท่าไหร่จริง ๆ นั่นแหละ มันก็มีบางคนที่เสียวจนครางออกมา แต่การแสดงน่ะ ถ้าเล่นไม่เก่งจริงมันดูออก


ส่วนเรื่องการ์ตูน ...ก็นะ ผมหาอะไรทำระหว่างทำอีกกิจกรรมไปด้วยมันก็เท่านั้น ผมอ่านการ์ตูน ไม่ได้ทำให้ส่วนที่กำลังใช้งานเสื่อมสมรรถภาพลงนี่ครับ ถ้าคุณเก็บแต้มมากพอ อาจจะเจอกิจกรรมแปลก ๆ ที่ทำพร้อม ๆ ระหว่างการทำเรื่องบนเตียงก็เป็นได้ แค่อ่านสปอยล์การ์ตูนไปด้วยน่ะจิ๊บ ๆ


คุณต้องเข้าใจ เซ็กซ์ไม่ได้เท่ากับความรักเสมอไป บางครั้ง just sex is just sex


“ไปอาบน้ำไป๊ เดี๋ยวพี่แวะไปส่งก่อนไปทำงาน” เขาออกมาแล้ว ท่าทางจะอิ่มกับการป้อนอาหารให้ความรู้สึกกับกิจกรรมเมื่อกี้ ผมเสียบสายชาร์ตมือถือทิ้งก่อนจะตบบั้นท้ายพี่เขาดังป๊าบแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ได้ยินเสียงโวยวายตามหลังมานิดหน่อยและเงียบลงหลังผมปิดเกล็ดบานเลื่อนในห้องน้ำ


ผมฮัมเพลง Talia ขึ้นเบา ๆ ได้ยินเสียงคนข้างนอกช่วยเปิดเพลงให้ราวกับรู้ใจผม ผมยิ้ม สระผมลวก ๆ ก่อนจะหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันลงไปแล้วละเลงช่องปาก ปกติแล้วผมมักจะชอบอะไรที่เกิดขึ้นและจบลงไปในคืนเดียว แต่อาหารบางจานควรค่าแก่การทานมากกว่าหนึ่งครั้ง


และนั่นคือข้อแตกต่างระหว่างคู่นอนชั่วคราวหรือคำจำกัดความว่า one night stand กับ friend with benefit อ๋อ...บางคนอาจจะเรียกว่าฟูบู (FUBU = F*ck buddy) ก็ได้นะ


จริง ๆ จะเรียกแบบไหนก็ตามสบาย เพราะจุดประสงค์การใช้งานก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก มันก็แค่คำที่บ่งบอกระยะห่างระหว่างคนสองคนในสถานการณ์บนเตียงเท่านั้นเอง


พี่กรเป็นฟูบูของผมอีกคน ...ใช่ครับ ใช้คำว่าอีกคนนั้น แปลว่าผมไม่ได้มีแค่พี่เขาคนเดียว ในมาตรฐานของเส้นศีลธรรมประเทศนี้แล้วสิ่งที่ผมทำอาจจะเป็นเรื่องที่น่าละอาย น่าเหยียดหยาม หรืออะไรต่าง ๆ นานา แต่ตราบเท่าที่ผมยังไม่ได้มีพันธะจริงจังเช่นแฟน และพี่กรก็ยังโสด การที่เราจะคงสถานะความสัมพันธ์ไว้แบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก


และผมไม่แคร์ด้วยเพราะสุดท้ายแล้วมันก็แค่ sex


ผมเช็ดหัวให้แห้งอีกครั้งก่อนจะแขวนผ้าขนหนูไว้กับตะขอเกี่ยวของห้องน้ำแล้วเดินออกไปข้างนอก ลิสต์เพลงไล่ไปที่ Back To Black ของ Amy Winehouse ผมฮัมเพลงหัวเราะชอบใจ สิ่งหนึ่งที่ประทับใจในตัวพี่กรก็ตรงความใส่ใจในความชอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมเนี่ยแหละ


ผมส่ายหัวโยกตัวเบา ๆ ตามจังหวะ พี่กรละสายตาจากหน้าจอ macbook มามอง


I loved you much


It’s not enough



“เต้นไหม?” พี่กรถาม พร้อมสวมกอดก่อนจะเอื้อมมือมาจับเอวผมเต้นไปตามจังหวะเสียงดนตรี ...จริง ๆ ถ้าจะพูดให้เจาะจงมากไปกว่านั้น คือพี่มันกำลังจับชั้นไขมันส่วนเกินตรงหน้าท้องของผมต่างหาก ชิ ไม่ต้องย้ำ รู้นะว่าช่วงนี้กินจุไปนิดหน่อยเอง ไม่หันกลับไปมองหน้ายังรู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งผม


We only said goodbye with words


I died a hundred times


You go back to her and I go back to



เราหมุนตัว ผมไม่รู้หรอกนะว่าเราเต้นจังหวะอะไร แค่อยากเต้นก็เต้น ก็เท่านั้น เสียงเพลงจบลงพร้อมผมเอี้ยวตัวไปงับติ่งหูพี่กรเบา ๆ ได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่จริงจังนักเป็นการตอบสนองว่าพึงพอใจแต่ไม่พูดออกมา แต่เพราะนาฬิกาที่ชี้ไปราวหกโมงเช้าแล้ว ถนนเส้นนี้ถ้าออกไปช้ากว่าเจ็ดโมงจะติดมาก ๆ ผมเลยไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากทิ้งไออุ่นเล็ก ๆ ไว้ที่ซอกคอแต่ไม่ทำร่องรอยอะไรเอาไว้


พวกทำรอยน่ะ มันพวกเด็กเห่อหมอน เห่อที่นอน เห่อทุกอย่าง และคิดว่าการทำร่องรอยเท่ากับชัยชนะ ...ซึ่งนั่นมันไม่จริง


“เรานี่ชอบ Amy มากเลยนะ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับ


“มากเกินกว่าใครจะเข้าใจ”


“เจอกันครั้งแรกเราก็พูดกับพี่แบบเนี่ยแหละ”


เขาหมายถึงครั้งแรกหลังจากที่เราทั้งคู่ต่างทดลองชิมรสชาติของกันและกันจนพอจะบอกได้ว่าอาหารจานนี้อร่อยแค่ไหนและเรากินไปกี่จาน ระหว่างนอนพักเพื่อรอบทานรอบต่อไปจึงเกิดเสียงเพลงและบทสนทนาดังกล่าวที่วนลูปออกมาในตอนนี้


“ป่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมพยักหน้า เดินไปเก็บทุกอย่างใส่เป้ใบเล็ก ๆ ที่ใส่ของมา พี่กรใส่รองเท้าคัทชูของตัวเอง ก่อนจะหันมาเช็กว่าไม่ลืมปิดสวิตช์ไฟฟ้า หรือลืมถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าใด ๆ เราออกจากห้องก่อนจะล็อกประตูห้องหรูด้วยคีย์การ์ด


 ต้องบอกว่าผมชอบระบบการรักษาความปลอดภัยของที่นี่นะ จะเข้า จะออก ก็ต้องใช้คีย์การ์ดทั้งหมด ข้อเสียคือถ้าระบบไฟฟ้าดับขึ้นมาคงยุ่งยากไม่ใช่น้อย แต่นั่นคงเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ กับคอนโดระดับห้าดาวแบบนี้


“ขออนุญาตนะครับ” ผมพูด เขาพยักหน้าหลังเราเดินมาถึงลานจอดรถ จริง ๆ แล้วจะเดินขึ้นรถเลยก็ได้ แต่ผมติดมารยาทในการขออนุญาต และเชื่อผมเถอะ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน การมีมารยาทจะเพิ่มความน่าเอ็นดูให้คุณได้เยอะ


“เกรดออกครบรึยังเทอมนี้” พี่กรถามหลังเลี้ยวรถออกมา


“ยังครับ เพิ่งออกมาสามตัว”


“ช้าเสมอต้นเสมอปลายนะ ยูฯ นี้”


“ช้าทุกอย่างยกเว้นเก็บตังค์ค่าเทอมครับ” ผมว่าก่อนเราหัวเราะประสานเสียงกัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเงียบลงอย่างรู้หน้าที่ก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกตัวรถอย่างคนมีมารยาท


วันทำงานปกติแบบนี้ก็ไม่แปลกถ้ารถจะติดอะไรแต่เช้า พี่กรรับสาย และคุยด้วยน้ำเสียงคนละโทนกับที่เราคุยกัน สีหน้าเดี๋ยวอมยิ้ม เดี๋ยวเขินอาย ก่อนจะวางสายไปภายในเวลาไม่นาน


“ฮั่นแน่” ผมยิ้มแซว พี่กรละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยมาตีแขนผมเบา ๆ แก้เขิน


“คนนี้เป็นไง มีแววจะผ่านโปรไหมพี่?” ผมถามต่อ พี่กรพยักหน้าก่อนจะพูด


“ก็ดีนะ โปรไฟล์พอ ๆ กับพี่แต่จบ ยูฯ นอก ทำงานสายใกล้เคียงกัน”


“เจ๋งดิแบบนั้น แล้วผ่านโปรเมื่อไหร่ แต่งกันตอนไหนพี่” ผมไม่วายหยอก


“ก็ดูไปเรื่อย ๆ แหละครับ ถ้าคนมันจะใช่มันก็ใช่เอง” พี่กรว่า เป็นอันว่าเราจบบทสนทนาหัวข้อ ‘ว่าที่ตัวจริงในอนาคต’ ของพี่กรลงด้วยประโยคนั้น ก่อนจะหันไปคุยเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ และข่าวเศรษฐกิจในรอบวันที่ดังออกมาจากวิทยุ


ไม่นานนักก็มาถึงหน้ามหาวิทยาลัยของผม ผมหันไปสวัสดีพี่กรอีกครั้ง โบกมือลา ก้าวเท้าลงจากรถ ยืนรอจนรถเคลื่อนตัวออกไปไกลลิบตา ก่อนจะเดินเข้าไปในซอยหอพักนักศึกษา


ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ‘นัด’ ครั้งต่อไป ถ้าพี่กรพร้อมเมื่อไหร่เขาจะเป็นฝ่ายไลน์มาชวนผมไปนอนค้างห้องเอง


ว่างก็นัด พร้อมก็จัด เสร็จสรรพก็โบกมือลา มันก็แค่ดีล ๆ หนึ่งที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาหนึ่ง


ความสัมพันธ์ของเราก็ง่าย ๆ แบบนี้ละครับ








หลังกลับมาจากพี่กร ผมนอนหลับเอาแรงไปชั่วโมงสองชั่วโมงทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป ก่อนจะตื่นมาเปิดคอมฯแล้วล็อกอินเข้าไปในโลกอีกใบ


โลกสมมติอีกใบที่ก็นับว่ามีผลกระทบต่อชีวิตของผมไม่มากไม่น้อย ใน ‘โลกมืด’ ของทวิตเตอร์ที่ใครต่อใครเขาเรียกกันว่า ‘อีกด้านของชีวิต’ ก็เช่นกัน สถานะของผมอีกด้านที่น้อยคนจะรู้ ก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะ “แอคเค่อ”  นะครับ


แอคเค่อคืออะไร? เอาเข้าจริง ๆ ผมว่าไม่มีใครทราบที่มาที่ไปชัดเจนหรอกครับ แต่ผมเดาว่ามันมาจากการกร่อนเอาคำว่า ‘แอค’ จากภาษาอังกฤษ คือ account และผสมกับคำว่า ‘เค่อ’ ที่กร่อนมาจากภาษาไทย คอ.วอ.ยอ กลายเป็น ‘แอคเค่อ’ บุคคลที่เล่นทวิตเตอร์ในลักษณะการหาคู่นอน เพื่อมาทำกิจกรรมทางเพศกันโดยละม่อม


สำหรับผมแล้ว การที่คุณเป็นคนดังหรือเป็นที่รู้จักประมาณหนึ่งในโลกออนไลน์นับว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ความโด่งดังนำพามาทั้ง (พวกที่อยากเป็น) มิตรมากมายและกลุ่มบุคคลไม่เป็นมิตร ก็น่าตลกดีที่แม้กระทั่งโลกแห่งการนัดเย ก็ยังมีการทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งพรรค เล่นพวก ประกาศศักดาว่ากลุ่มข้าน่ะเจ๋ง กลุ่มเธอน่ะฟัค ทั้ง ๆ ที่ทุกคนเล่นทวิตก็เพราะแค่มันไม่แบน (ในตอนนั้น เดี๋ยวนั้นเลย แต่นาน ๆ รีพอร์ตไปมันก็แบน) เวลาลงคลิป ‘ผลงาน’ แค่นั้นเองไม่ใช่เหรอ ?


ผมคลิกเม้าส์ไปที่ direct message ของตัวเองพร้อมเลื่อนดูบรรดา DM ที่ส่งเข้ามา


ไม่อวยตัวเองหรอกนะ แต่ผมก็เป็นผู้ใช้งานอีกคนในทวิตเตอร์ที่ก็มี followers ไม่น้อยเท่าไหร่นัก สถานะในโลกนั้นของผมค่อนข้างจะไม่ค่อยไปยุ่งวุ่นวายกับใครเสียเท่าไหร่ สังเกตได้จาก following ที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ followers ของผม


สาเหตุคือผมต้องการใช้ชีวิตให้เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ทั้งในโลกของความเป็นจริงและในโลกอิเล็กทรอนิกส์ การเป็นคนกลม ๆ ที่สามารถกลมกลืนลงไปกับสังคมจะทำให้คุณเป็นตัวเลือกท้าย ๆ เวลาโดนเพ่งเล็งจากผู้ล่า


กระนั้นเอง ยอด followers ก็ทำประโยชน์ให้กับคุณได้มากมายเช่นกัน (ถ้าคุณรู้จักวิธีการใช้งานมันจริง ๆ จัง ๆ ล่ะนะ)


ในกรณีนี้ เมื่อ followers คุณเยอะ ‘ผลงาน’ ก็จะกระจายออกไปในวงกว้าง สิ่งที่ตามมาคือ ‘กลุ่มคนที่มีความสนใจในตัวคุณ’ จะตามมาหาคุณถึงที่ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้อง DM ไปหาใครก่อน รวมทั้ง followers ยังเป็นเครื่องหมายแสดงอำนาจบางอย่างในหลาย ๆ และบอกไปถึงความโด่งดังของคุณในโลกสมมติแห่งนี้อีกด้วย


จริง ๆ แล้วคุณสมบัติที่จะทำให้คุณโด่งดังในโลกมืดของทวิตเตอร์ได้มีไม่มากมายนัก ถ้าจะแบ่งเป็นช้อยท์ให้เลือก ก็คงจะแบ่งออกได้เป็นสามข้อใหญ่ ๆ


หนึ่ง คุณมีรูปเป็นทรัพย์ ถ้าคุณไม่ได้มีความกล้าหาญที่มากพอจะโชว์ทั้งใบหน้าและของสงวน ก็อาจจะต้องมีหุ่นที่ผอมเพรียว กล้ามหน้าท้องที่พร้อมจะขึ้นเป็นลูก ๆ ชวนให้ผู้คนได้สัมผัส


รวมทั้งส่วนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือขนาดเครื่องเพศที่ใหญ่มากพอจะทำให้ใครก็ตามแต่เห็นแล้วต้องอยากลิ้มลอง (แค่ ‘ทำให้อยาก’ นะ แต่ไอ้จะอยากได้จนนัดจริง ๆ จัง ๆ หรือไม่ ...นั่นก็อีกเรื่อง) ต้องมีสักอย่างในสองสามข้อย่อยที่ว่ามานี้


สอง คุณเป็นประชากรชั้นนำในโลกของเกย์เวิร์ลซึ่งในที่นี้ผมกำลังพูดถึงสถานะบนเตียง ไอ้ที่เขาแซว ๆ กันในเพจศาสนาเพศที่สามชื่อดังว่าเป็นรุกเท่ากับชนะนั้น เอาจริงมันก็ไม่ได้เวอร์ถึงขนาดนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเป็นรุก มันเป็นแต้มต่อให้เลือกได้มากกว่าจริง ๆ


ทั้งนี้ต่อให้คุณมีสถานะเป็นรับ แต่ถ้าคุณยั่วเยมากพอ รุกบางคนก็อาจจะยอมพลีกายให้คุณก็เป็นได้


สาม ผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ ผลงานในที่นี้ก็หมายถึงคลิปวิดีโอ ความบันเทิงที่นำมาลงในทวิตเตอร์นั่นแหละครับ ยิ่งผลงานคุณมียอดรีทวิต และติดดาวมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงถึงความพอปพิวลาร์และเป็นตัวตัดสินใจให้กับใคร ๆ หลาย ๆ คนว่าคุณมีดีมากพอแค่ไหนที่เขาจะเป็นฝ่ายทัก DM มาเพื่อเสนอตัวให้กับคุณ


เมื่อสามสิ่งเวียนมาบรรจบ ก็ตู้มมม เกิดเป็น followers หลักหมื่นอัพ และนั่นจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ในการคัดสรรทางธรรมชาติของคุณยิ่งใหญ่มากขึ้น เรียกได้ว่า ‘ผลงานในอดีตสามารถต่อยอดผลงานในอนาคต’ ได้ คำพูดนี้ ไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็แลกมากับความน่ารำคาญใจในหลาย ๆ ประการที่เอาไว้ผมจะบ่นให้ฟังเป็นครั้ง ๆ ไป


ผมกดอ่าน DM พร้อมทั้งตอบข้อความที่คุยค้างไว้บ้าง สิ่งที่ต้องระวัง ถ้าไม่อยากให้มีอะไรมากวนใจในโลกความเป็นจริงของคุณ คือการพยายามเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ละคน แต่ละท่าน ก็มีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้กับตัวเองแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล


 สำหรับผมจะไม่มีการส่งภาพที่ระบุตัวตนของผมให้สำหรับคนในนั้นอย่างเด็ดขาด ตลอดไปจนถึงช่องทางการติดต่อแบบ one way นั่นคือ ถ้าไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ในโลกของผม คุณก็แค่ต้องหาตัวเลือกอื่นที่คุณรับกฎเกณฑ์ของเขาได้ก็เท่านั้น


หลังจากเช็กตารางนัดพร้อมตารางกิจวัตรประจำวันในชีวิตอื่น ๆ แล้ว ผมก็นัดน้องคนหนึ่งให้มาหาที่ห้องในค่ำคืนนี้ เจ้าตัวทั้งตกใจ และดีใจอย่างน่าขบขันในเวลาเดียวกันที่ผมเลือกเขา สัมผัสได้จากตัวอักษรและความประหม่าเมื่อถามถึงขนาดและความเจ็บปวดในการสอดใส่แล้ว ผมพนันนิด ๆ ว่าเจ้าเด็กนี่เพิ่งจะลองเชิงเล่นทวิตเตอร์ได้ไม่นานนัก


ครั้งแรกก็เลือกของใหญ่เลยเหรอเรา ? ผมคิดในใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธไป ความไม่ประสีประสาก็มีเสน่ห์ในตัวมันเองไม่น้อย     
พอบอกสถานที่นัดเจอพร้อมขอเบอร์และช่องทางการติดต่อเอาไว้แล้ว ผมก็ล็อกเอ้าท์ออกจากทวิตเตอร์พร้อมกดลบประวัติการเข้าใช้งานทวิตเตอร์บนหน้าเว็บไซต์ ล็อกคอมพิวเตอร์ กดปิดเครื่อง ก่อนจะหมุนตัวเตรียมเข้าห้องน้ำ


หมดเวลาของ ‘น้องไทเกอร์’ แล้ว...




“โต๊ะสิบขอน้ำเปล่าเพิ่ม 1 ขวดนะ พอเอาอันนี้ไปเสิร์ฟแล้วกลับมาเอาน้ำไปให้เขาด้วย”


“ครับ” ผมรับคำให้กับพี่ผู้จัดการร้าน พยักหน้าพร้อมดันแว่นสายตาอันหนาเตอะเข้าประกบกับใบหน้า ก่อนจะยกถาดอาหารออกไปเสิร์ฟตามหมายเลขโต๊ะที่ได้รับสั่งมา


ผมเดินก้าวออกไป ยิ้มแย้มพอเป็นพิธีไม่ให้ดูปลอมหรือเป็นรอยยิ้มการค้ามากเกินไป (ตามกฎของบริษัทว่ายิ้มได้ แต่ห้ามทำให้ลูกค้ารู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มเตรียมเชิดเงินเหยื่อ) ก่อนจะค่อย ๆ ยกอาหารเสิร์ฟตามที่ลูกค้ารับสั่ง ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว


วันปกติในช่วงวันใกล้สิ้นเดือนลูกค้าจะบางตาบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาแล้ว ลูกค้าน้อยเท่ากับงานสบายและได้เงินเท่าเดิม แต่ถ้าพูดกันแบบอ้อม ๆ หน่อย ก็แอบกังวลเหมือนกันว่าเขาจะปลดเด็กเสิร์ฟพาร์ทไทม์เช่นไอ้แว่นแบบผมออกไหม หากผลประกอบการณ์ออกมาขาดทุนในไตรมาสนี้


แม้ผมจะเป็นแอคเค่อคนหนึ่งที่มียอดฟอลฯหลักหมื่น แต่ในโลกของความเป็นจริง สถานะของผมก็ยังเป็นเจ้าเด็กแว่นหน้าโง่ที่ยังคอยทำหน้าที่บริการเสิร์ฟอาหารและบริการให้กับทุกคนที่พร้อมจะจ่ายเงิน (บวกภาษีอีก 7 %) ให้กับทางร้าน


ผมเองก็เป็นเหมือนคนอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป เราอาจจะมีด้านที่คุณไม่ประทับใจนัก แต่วิถีชีวิตของเราก็ยังต้องดิ้นรนต่อสู้ไปเพื่อปากเพื่อท้องเหมือนกัน


ชีวิตจริง ๆ ก็แบบนั้นแหละครับ ไม่แน่ว่าดาราที่คุณชื่นชอบ เจ้าของแฟนเพจบิ้วตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง ครูสอนภาษาทันสมัย รุ่นพี่นักกิจกรรมตัวยงในคณะ นักการเมืองรุ่นใหม่บางคนที่ออกทีวี หรือแม้กระทั่งพนักงานในบริษัทธรรมดาในบริษัทหนึ่ง อีกบทบาทในโลกสมมติของพวกเขาอาจจะเป็นโลกอีกใบที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้


และมันไม่เหมือนในนิยายหรอกนะครับ ที่ชีวิตทุกคนจะเพอร์เฟคหรือโฟลว์แบบไม่มีกระตุกทั้งเรื่อง


ประชากรที่จะสูงหล่อขาวตี๋พ่อแม่รวยลูกเจ้าของบริษัทอะไรเทือก ๆ นั้น ในชีวิตจริงถามว่ามีไหมที่จะมีบทบาทอีกหัวโขนเป็น 
แอคเค่อ? ก็มีครับ แต่มันน้อยอ่ะ น้อยแบบผมกล้าพูดได้ว่าเปอร์เซ็นที่คุณจะเจออะไรแบบนั้นมันมีไม่มากถ้านับจากทั้งหมด (ไม่นับพวกพยายามคีพลุคต่าง ๆ เพื่อการดึงดูด พวกนั้น มันของปลอม ไม่นับแล้วกัน)


เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าในความคิดของคุณ คุณคิดว่าคนเป็นรุกในอุดมคติจะต้องสูงหล่อขาวหน้าตาคมเข้ม เป็นเดือนมหาวิทยาลัย เรียนคณะแพทยศาสตร์หรือวิศวะ ชีวิตของผมและ    เดอะแก๊ง อาจจะไม่เหมาะกับคุณสักเท่าไหร่นัก ผมคิดว่างั้นนะ


ผมยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม รอยยิ้มอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง แต่การยิ้มช่วยสร้างสถานการณ์ที่ไม่น่าอึดอัดได้เป็นอย่างดี เคล็ดลับอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตของผม คือพยายามกลมกลืนเป็นคนธรรมดาทั่วไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ต้องพยายามกระโดดหาสปอร์ตไลท์หากคุณยังไม่พร้อมจะยอมรับความร้อนจากแสงสว่างที่สาดส่องลงมา


ชีวิตอีกหนึ่งวันของเด็กเสิร์ฟแบบ ‘ธนารักษ์’ กำลังจะจบลง ผมยิ้ม เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้เวลาเลิกงานแล้ว ลูกค้าในร้านเหลือแค่สามโต๊ะ และสองโต๊ะได้ทำการรับประทานอาหารเสร็จสิ้นไปหมดแล้ว ลูกค้าผู้ชายอีกคนกวักมือเรียกบริกรคนหนึ่งไปหา พูดคุยกันไม่นาน เจ้าบริกรนกน้อย (จริง ๆ เขาชื่อเบิร์ด แต่ผมว่า นกน้อยมันน่ารักกว่า) เพื่อนของผมก็เดินออกมาพร้อมกับกวักมือเรียกผมไปหาลูกค้าแทน


“ออกไปคุยกับลูกค้านอกร้านหน่อย” นกน้อยบอกกับผมแบบนั้น


เป็นอันรู้กันว่าปกติแล้วเด็กเสิร์ฟถ้าได้ทิปกับมือ หากยังอยู่บริเวณภายในร้าน ทิปนั้นจะถือเป็นทิปส่วนกลางที่ต้องหารพนักงานในร้านทุกคน ตามจำนวนชั่วโมงการทำงาน แต่หากลูกค้าอยากให้แบบเฉพาะเจาะจงจริง ๆ ว่า ฉันจะยัดเงินส่วนตัวให้ไอ้เด็กนี่คนเดียว ต้องเรียกออกไปให้บริเวณนอกร้านเท่านั้น จึงจะถือว่าทิปนั้นไม่ต้องใส่กองกลาง


แต่โดยสปิริตแล้วส่วนใหญ่เราก็จะเอามานำเข้ากองกลางกันทั้งนั้น เพราะคาริสม่า โชคชะตาและดาวเหนือของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนเช่นผม หรือไอซ์เด็กเสิร์ฟอีกคน แค่ยิ้มเฉย ๆ ก็ได้แล้วคนละห้าสิบหกสิบ เพราะฉะนั้นแล้วทางร้านไม่บังคับ แต่เพื่อความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เพื่อนร่วมงานรัก การเอาทิปเข้ากองกลางจะช่วยลดความบาดหมางในอนาคตลงได้ 50 %


ผมเดินตามคุณลูกค้าไปถึงนอกร้าน ก่อนจะยิ้มแล้วยกมือสวัสดีตามมารยาท เขาหันมามองหน้าผมพลางยิ้มและคลี่ฟันคู่สวยออกมาให้เห็น จากรูปร่างภายนอกผมคะเนว่า เขาน่าจะเป็นคนญี่ปุ่นเต็มตัวหรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องมีสายเลือดตะวันออกไหลเวียนอยู่ในร่างกายเขาแน่ ๆ


“ธนารักษ์ ... ชื่อจริงเพราะนะครับ” เขาว่าหลังจากมองป้ายชื่อพนักงานของผม พลางทำท่าหยิบแบงก์สีเทาออกมาจากกระเป๋า จะด้วยอะไรสักอย่าง แต่ในหัวของผมพยายามฉายภาพย้อนหลังระหว่างคน ๆ นี้กำลังเข้ามาในร้าน จำได้ว่าบริกรที่บริการไม่ใช่ผมแต่เป็นเจ้าไอซ์ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาจะเรียกผมมาคุยพร้อมให้ทิปหนักขนาดนี้โดยที่ผมไม่ได้บริการเขา


“แล้วบอกจะบอกชื่อเล่นได้ไหมครับว่าเราชื่ออะไร?” เขาถาม นิ้วทั้งสองนิ้วหนีบแบงก์พันเอาไว้


“ผมชื่อ ‘แทน’ ครับ” ก็ไม่ได้โกหกนะ ชื่อเล่นตัวอักษรแรกของผมเป็นตัวทีจริง ๆ รอยยิ้มประหลาดส่งผ่านกลับมาให้ผม เขายักคิ้วก่อนจะพูดต่อ


“ ‘แทน’ สินะ โอเค ... แทนเลิกงานกี่โมง พอจะมีเวลามานั่งคุยกันหน่อยไหมครับ?” เขาพูดเสียงเรียบ มุมปากมีรอยยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้มตาม


“น่าจะไม่สะดวกนะครับ” ผมว่า การเป็นแอคเค่อไม่ได้แปลว่าจะทำให้คุณคุยหรือนัดกับใครที่ไม่มีที่มาที่ไปได้ทุกคนนะครับ


อะไรบางอย่างภายในตัวผมกำลังตะกุยตะกายพื้นพร้อมส่งเสียงเตือนให้ระวัง แม้จะรู้สึกแปลก ๆ พร้อมเตรียมจะชิ่งแต่ผมก็ช้าเกินไปเมื่อเขาพูดประโยคถัดมาให้ฟัง


“ถ้า ‘แทน’ ไม่ว่าแล้ว ‘T-rex’ ละครับว่างไหม?”


ผมตกใจแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า พยายามอย่างมากในการบังคับใบหน้าให้ดูออกเป็นอาการงุนงงค่อนละคนสงสัยมากไปกว่าจะแสดงออกว่าตกใจ พร้อมตีหน้าซื่อและถามกลับไป


“ผมว่าคุณลูกค้าน่าจะจำคนผิดนะครับ ผมชื่อแทนจริง ๆ”


.....จริง ๆ ของผมคือผมใช้ชื่อปลอมในที่ทำงานจริง ๆ จะถามเด็กเสิร์ฟในร้านอีกเป็นร้อยยันผู้จัดการร้านก็ได้คำตอบเดียวกันทั้งร้อยครับ


เขาถอนหายใจทำหน้าปลดปลง พร้อมยกมือถือขึ้นมาจ่อตรงหน้าผม


“ผมขอโทษ แต่ผมแค่มีเรื่องอยาก ‘ขอความช่วยเหลือ’ จากคุณจริง ๆ” เขาพูดออกมา แต่ความสนใจของผมตอนนี้หล่นไปอยู่กับหน้าจอหมดแล้ว


ผมแอบขมวดคิ้ว รู้สึกโกรธแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า การควบคุมอารมณ์เป็นเรื่องปกติของคนทำงานโดยเฉพาะคนทำงานบริการแบบผมที่ต้องบริหารอารมณ์คน


กระนั้นเองผมก็สัมผัสได้ว่าตัวเองแอบคุกรุ่นไม่น้อยกับหลักฐานที่มัดตัวผมไว้อย่างแน่นหนา ผมถอนหายใจ ดันแว่นเข้ากับใบหน้าอีกครั้ง (ไม่ลืมดึงแบงก์พันใบนั้นเข้าในกระเป๋าอย่างแนบเนียน เพื่อเป็นการไม่หวังน้ำบ่อหน้าพร้อมแยกอีกใบไว้สำหรับเข้ากองกลาง) และให้คำตอบเขาไปอีกรอบ


“ผมเลิกงานหลังสามทุ่ม ไปรอผมข้างบนที่ร้าน... ผมจะไปหาคุณหลังเลิกงาน”


เขาพยักหน้าตกลงก่อนเดินเข้าไปจ่ายค่าอาหาร ผมเดินผ่านไป โดยทำเหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ภายในใจคุกรุ่นไปด้วยความโกรธไม่ใช่น้อย ตาสองข้างก็มองตามหลังเขาไปจนลิบตา ไม่รู้เหมือนกันว่าผมผิดพลาดตรงไหน แต่สุดท้ายแล้วผมได้แต่ยอมรับการกระทำของตัวผมเอง


ยิ่งนึกถึงภาพนั้นยิ่งหนักใจ หากจะมีอะไรมัดตัวผมไว้ได้อย่างแน่นหนาก็คงไม่แคล้วรูปภาพของผมกับเจ้า “หน้ากากเสือน้อย” ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวแอคเค่อของผมนั่นแหละ....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 17:35:12 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.1 | 07/07/2561
«ตอบ #2 เมื่อ08-07-2018 12:29:21 »

เอาจริงๆนะ เราฟอลแอคเค่อไว้เยอะมากกกก ไม่รู้ว่าคนแต่งตั้งใจเอามาแต่งรึป่าว คือนึกถึงแอคน้องเสือน้อยเลย zenotiger คือชอบแอคน้องเป็นการส่วนตัว55555

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.1 | 07/07/2561
«ตอบ #3 เมื่อ09-07-2018 21:06:53 »



สวัสดีครับ นิยายเรื่อง ‘แอคเค่อ’ นี้เป็นนิยายเรื่องแรกในนามปากกาของ ‘พ่อแมวพุงโต’

...แม้เราจะเขียนจั่วหัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว่าเป็นนิยาย แต่ข้อมูลหลาย ๆ อย่างก็อาจจะทำให้ทุกท่านสับสนได้ในหลาย ๆ ครั้งคราว ว่าเอ๊ะ คนนั้นคนนี้หรือคนโน้นนที่ใกล้ ๆ ตัว เขาเป็นแอคเค่อรึเปล่านะ ?

เลยต้องขออนุญาตมาย้ำอีกครั้งว่าเรื่อง ‘ทั้งหมด’ ที่แต่งขึ้นมานั้นเป็นเรื่องไม่จริง ชีวิตใครมันจะนิยายขนาดนั้น !!!

จึงขอยืนยันอีกครั้งว่านิยายเรื่องนี้ไม่มีเค้าโครงเรื่องจริงมาเลยแม้แต่น้อย

จริง ๆ นะ !!!

สำหรับช่องทางการติดตามพ่อแมวพุงโตนะครับ
ทวิตเตอร์ : @chunkydadcat
https://twitter.com/chunkydadcat
แฟนเพจ : พ่อแมวพุงโต
https://web.facebook.com/PotbellyDadcat/
(เราเด๋อเปลี่ยนชื่อลิงก์แฟนเพจไม่เป็น มันเลยกลายเป็นคนละคำกันเฉย แต่ทุกคำก็คือพ่อแมวนั้นแหล่ะนะ !!!)

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามและการรับชม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ และอยู่กับเราไปจนกว่าบทสรุปของเรื่องจะปรากฏออกมา

Ps. สำหรับท่านที่ต้องการกล่าวถึงนิยาย ขอร้องกันตรง ๆ ว่าอย่าใช้ #แอคเค่อ นะครับ แฮชแทกนี้มีเจ้าของทีเป็นกลุ่มคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ถ้าจะพูดถึงน้อง ๆ ทุกคน อยากกราบอ้อนวอนให้ใช้ #แอคเค่อของน้องแมว นะครับ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะมีคนพูดถึงไหม แต่ก็ขอกันมาไว้ก่อน เผื่อเวลาเพื่อน ๆ เสิร์จไปตามอ่านแฮชแทกจะได้ไม่เจออะไรที่ผิดแปลกไปจากที่คิดว่าจะเจอจ้า

แล้วเจอกันนะ :3

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.1 | 07/07/2561
«ตอบ #4 เมื่อ10-07-2018 07:13:24 »

ชื่อเรื่องน่าสนใจเลยกดเข้ามา โอโห เหมือนเรากำลังอ่านเรื่องเล่าเลยแฮะ สนุกอ่ะอ่านแล้วสมูธมากกกก
มาติดตามค่าาาา อยากรู้ว่าใครจะเป็นนายเอก พี่กร เด็กที่ทักdmคนนั้น หรือคุณคนนี้  :hao7:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Ep.2 Could you please …?




เวลาเดินช้าลงเสมอเมื่อคุณใจร้อน รอไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน ผมสแกนบัตรพนักงานออกก่อนจะย่ำเท้าด้วยความเร็วแสงวิ่งขึ้นไปที่ร้านกาแฟด้านบน แต่สุดท้ายก็ห้ามใจไม่ให้ตัวเองทำแบบนั้น

ยิ่งคุณร้อนรนคุณยิ่งเสียเปรียบ ยิ่งคุณนิ่งสงบคุณยิ่งมีอำนาจในการต่อรอง พอคิดได้แบบนั้นก็ฮัมบทสวดมนต์ที่ท่องได้ขึ้นใจ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านในร้านกาแฟดังกล่าว

คนเริ่มบางตาเพราะเวลาใกล้ปิดร้าน ผมเดินเข้าไปพร้อมขออนุญาตนั่งฝั่งตรงข้าม เขาผงกหัวรับก่อนผมทิ้งตัวลงฝั่งตรงข้าม เราจ้องตากันแบบนั้นราวครึ่งนาที ก่อนผมจะเป็นฝ่ายยอมแพ้เปิดประเด็นคำถามขึ้นมา

“คุณต้องการอะไร” ผมถาม พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้ออกมาโทนสูงหรือต่ำจนผิดปกติ เขายันตัวขึ้นมานั่งตัวตรงไม่พิงติดผนัง พร้อมยื่นโทรศัพท์ออกมาบนโต๊ะแก้ว

“ก่อนอื่นเลย ผมขอโทษที่ทำแบบนี้” พูดเสร็จก็ก้มหัวให้ผม

สารภาพตามตรง แม้ผมจะควบคุมอารมณ์ได้ แต่ตอนนี้ผมตกใจระคนสับสนมากกว่า คน ๆ นี้เดี๋ยวให้ทรัพย์ เดี๋ยวขู่ เดี๋ยวสุภาพ จนผมตามไม่ทัน

“ผมอยากให้คุณสบายใจได้ ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณ และผมไม่ได้ขอร้องคุณฟรี ๆ และเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจดังกล่าวว่า ผมมีเจตนาแค่มาขอร้องคุณจริง ๆ เชิญคุณลบภาพนั้นทิ้งได้เลย” เขาว่า พร้อมดันโทรศัพท์มาทางฝั่งผม ดวงตานั้นสองข้างสงบนิ่ง หนักแน่นเหมือนคำที่พูดมา

“ตอบคำถามผมมาก่อน คุณเป็นใคร ต้องการอะไรจากผม” ผมพูดเร็วปร๋อพร้อมเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ราคาแพงมาไว้กับตัว ตัดสินใจยังไม่ลบหลักฐานชิ้นนั้นจนกว่าจะชัดเจนอีกว่าฝ่ายต้องการอะไร เขาเอื้อมมือไปคว้าเป้ก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาสองสามเล่ม

“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทีเร็กซ์เคยเห็นหนังสือพวกนี้ไหม แต่ทั้งหมดนี่  ผมเป็นคนเขียนเอง” เขาว่า ก่อนดันหนังสือมาตรงหน้าผม

แม้จะไม่ใช่หนอนหนังสือตัวยง แต่ใช่ว่าผมจะไม่เคยเห็นหนังสือท็อปลิสต์ติดชาร์ตขายดี 10 อันดับแรกของร้านหนังสือ และเป็นหนังสือที่ขายดีติดต่อกันยาวนานในช่วงที่นิยายเรื่องนี้ถูกนำไปทำเป็นซีรีส์วัยรุ่นชื่อดังทางช่องเคเบิ้ลช่องหนึ่ง

“ไอ้เคยเห็นน่ะเคย แต่ผมจำได้ลาง ๆ ว่านักเขียนเขาไม่ออกมาเปิดเผยตัวไม่ใช่เหรอครับว่าเขาเป็นใคร ผมจำได้ว่าไม่เคยเห็นภาพเขาออกงานเลยสักครั้ง แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการที่คุณมีภาพแบล็คเมล์ของผม?”

เขาถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหยิบไอแพดออกมาสไลด์ ไม่นานก็วางให้มเห็นภาพหนังสือสัญญาระหว่างนักเขียนและสำนักพิมพ์ รวมไปถึงค่ายทำซีรีส์ชื่อดังดังกล่าว

“นั่นคือหลักฐานยืนยันว่าผมคือคน ๆ นั้นจริง ๆ ก่อนอื่นเลยผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ อิชสึกิ โช เรียกผมสั้น ๆ ว่า ‘โช’ ก็ได้ครับ ผมก็เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่รักอิสระและรักศิลปะที่ตัวเองสร้างมากเกินกว่าจะอยากให้ใครตัดสิน  มันจากอคติทั้งบวกและลบ ไอ้ที่ไม่เปิดเผยตัวน่ะมันทั้งเหตุผลทางการค้าและเหตุผลส่วนตัวครับ

เหตุผลทางการค้าคือ มันเป็นกิมมิคให้คนได้ตามงาน ยิ่งผมที่เป็นนักเขียนเป็นความลับมากเท่าไหร่ คนยิ่งสงสัย ผลงานของผมยิ่งน่าสนใจ ส่วนเหตุผลส่วนตัวก็อย่างที่บอกไป ผมรักผลงานของผม ผมรักศิลปะพวกนั้น ผมไม่ได้ต้องการชื่อเสียง ผมต้องการแค่ถ่ายทอดศิลปะของผมออกไป

มนุษย์เรามีอคติทั้งบวกคือการเข้าข้างในตัวบุคคล และลบคือความไม่ชอบใจในตัวบุคคล ผมอยากให้ผลงานของผมได้รับเสียงตอบรับไม่ว่าจะบวกหรือลบจากตัวผลงาน ...ไม่ใช่เพราะมีส่วนผสมที่เรียกว่าตัวผมเจือจางลงไปในผลงาน"

อาจจะเพราะโชเป็นนักเขียนเลยทำให้คำอธิบายของเขาค่อนข้างชัดเจนและรัดกุม เขาเว้นวรรคเหมือนรอให้ผมได้ย่อยข้อมูลและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะมองหน้าผมและเปิดสไลด์หน้าถัดไป

“ผมเชื่อว่าคุณคงเคยเห็นหรือได้ยินข่าวนี้”

“อ่า” ผมอุทานออกมาเบา ๆ ไอ้ข่าวที่เขาว่ามาน่ะ ผมยิ่งกว่าเคยได้ยินหรือเห็นเสียอีก

“เมื่อประมาณช่วงเดือนก่อนมีข่าวอัตราจ้างข้าราชการคนหนึ่งแบล็คเมล์เยาวชนด้วยการถ่ายคลิปวิดีโอขณะมีเพศสัมพันธ์กับเหยื่ออัดไว้ เพื่อบังคับเหยื่อให้กระทำซ้ำ ....หลาย ๆ แหล่งข่าวยังบอกต่อด้วยว่าบุคคลต้องสงสัยดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ HIV และนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสนใจประเด็นนี้และมาหาทีเร็กซ์ครับ”

ตอนนั้นในโลกสว่างเล่นข่าวกันอึกทึกครึกโครมไปหลายวันอยู่เหมือนกัน และก็นับว่าเป็นวาระแห่งชาติของโลกมืดก็ว่าได้เมื่อแอคเค่อแทบทุกคน ทุกฝ่ายที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักหรืออาจจะเป็นคู่กรณีเก่ากันมาก่อนพร้อมใจกันเล่นประเด็นนี้ ตลอดไปจนถึงการขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัว การประสานงานกันอย่างรวดเร็วจนสามารถหาหลักฐานเพิ่มเติมในการมัดตัวและจบเคสนี้ลงได้อย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นสันติสุขช่วงสั้น ๆ ของโลกทวิตด้านมืดก็ว่าได้

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่เขากระทำไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผม หรือแอคเค่อคนอื่น ๆ แต่ขอบอกด้วยความสัตย์จริง พวกเราแม้จะอยู่กันในโลกมืด แต่ก็ไม่เคยตีอกชกหัวหรือบังคับขู่เข็ญให้ใครมานอนทอดกายให้กับเรา ทั้งหมดนั้นคือความสมัครใจของคนทั้งสองคน(หรือมากกว่านั้น) ตั้งแต่การร่วมเพศ ยันการสร้างสรรค์ผลงาน

ต่อให้จะเป็นโลกมืดแต่โลกทุกใบก็มีกฎของมัน แม้ไม่มีการบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ข้อบังคับด้านความปลอดภัย เช่น การสังเกตเรื่องการใส่ถุงยางอนามัย หรือการป้องกันต่าง ๆ ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเนื่อง ๆ ถึงจะมีกลุ่มคนที่นิยมการไม่ป้องกัน แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดที่คิดแบบนั้น ผมอยากบอกไว้ตรงนี้

พวกเราอาจจะไม่ใช่คนดี แต่พวกเราไม่คิดว่าการทำร้ายกันไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนามันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างแน่นอน

ทั้งผมและโชต่างจมกับความคิดไปชั่วขณะ ก่อนเขาจะกล่าวจุดประสงค์ในการมาหาผมครั้งนี้

“ผมต้องการข้อมูลเกี่ยวกับแอคเค่อและการใช้ทวิตเตอร์ของเพศที่สามในลักษณะการหาคู่นอน ทั้งจุดประสงค์ ทั้งวิธีการ ทั้งการดำเนินชีวิต และอื่น ๆ เพื่อนำไปประกอบในการเขียนนิยายและบทซีรีส์ของเพศที่สามที่ทางค่ายสนใจ จะจัดทำขึ้นมา

สารภาพตามตรง เราต้องการขายประเด็นของเพศที่สามที่แตกต่างออกไปจากความสดใสในการเป็นเพศทางเลือกของค่ายอื่น ๆ คือมากกว่าการบอกว่าอะไรผิดหรือถูกในเรื่องของรสนิยม เราต้องการนำเสนอภาพอีกด้านของสังคมที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง

คือมันไม่ใช่แค่การที่คนที่ “คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย” สองคนตกหลุมรักกัน แต่มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อีกด้านของคนกลุ่มหนึ่งในสังคม ตลอดไปจนถึงการจำลองสถานการณ์รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาที่อย่างน้อยที่สุด ตัวผมเองก็คาดหวังว่าคนดูจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้ หากตัวเขาเองต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น มันอาจจะเป็นทางเลือกให้เขาได้สามารถตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้...”

“เพราะสื่อมีผลต่อผู้ชม/ก็สื่อมีผลต่อความคิดของผู้บริโภค”

ผมหยุดชะงักเมื่อเราทั้งคู่ต่อประโยคนั้นด้วยลักษณะความหมายที่ใกล้เคียงกัน โชยิ้มเห็นฟันอีกครั้งก่อนจะกล่าวต่อ

“เพราะแบบนี้ไงผมถึงเลือกคุณ”

แววตาของโชไม่ได้สื่ออารมณ์ไปถึงความรู้สึกลึกซึ้งแบบที่คนอื่นมอบให้ผมเวลากระทำกิจ แต่มันเป็นแววตาของคนที่เชื่อมั่นในบางสิ่งบางอย่าง และหนักแน่นในการตัดสินใจของตนเอง

“ผมจะไม่เขียนในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมันเป็นยังไง คุณลองนึกภาพดูนะ สมมติผมนั่งเทียนเขียนนิยายไปแบบมั่ว ๆ แล้วคนที่เขาอยู่ในสถานการณ์จริง ๆ เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง หรือเขียนเรื่องที่มันไม่เมคเซนส์ออกไป มันคงน่าตลกขบขันหรืออาจจะถูกตำหนิได้ว่าผมหาข้อมูลมาไม่มากพอ” เขาว่า

“แบบที่นิยายวายบางเรื่องชอบอธิบายว่าการหลั่งใน ฝ่ายรับต้องรู้สึกถึงความอบอุ่นของสัมผัสทั้ง ๆ ที่ลำไส้คนเรามันไม่สามารถสัมผัสอุณหภูมิได้น่ะเหรอครับ?” ผมหยอก ใช่ว่าผมไม่เคยอ่านนิยายพวกนั้นแล้วรู้สึกขัดใจเสียเมื่อไหร่

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง เห็นไหมครับ เวลาคนที่เขารู้จริงมาอ่านอะไรที่มันไม่เมคเซนส์ มันจะเกิดอาการหยิกแกมหยอกแรง ๆ แบบที่ทีเร็กซ์ว่ามาน่ะครับ”

เราเว้นช่วงกันอีกครั้ง ตอนนี้ผมเข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย และจุดประสงค์แล้ว แต่นั่นก็ยังไม่เคลียร์อยู่ดีว่าทำไมต้องเป็นผม ในเมื่อมีแอคเค่อ อีกเป็นร้อยเป็นพันไม่ใช่มีแต่ผมเสียเมื่อไหร่

“ผมเข้าใจที่คุณพูดมาทั้งหมด แต่นั่นยังถือว่าตอบคำถามของผมไม่หมด แล้วทำไมต้องเป็นผม แอคเค่อคนอื่น ๆ ก็มีอีกตั้งเยอะแยะ” คุณอาจไม่ระแวงคนได้ แต่คุณต้องระวัง นั่นคือสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

โชยกมือสางผมลวก ๆ ก่อนเขาจะแสดงสีหน้าท้อแท้ออกมานิดหน่อย

“ผมขอสารภาพอะไรอย่างหนึ่ง ช่วงแรกที่ได้ผมตั้งโจทย์กับตัวเอง และต้องหาข้อมูล ผมก็แอบไปไม่เป็นเหมือนกันนะกับทวิตเตอร์ คือมันเปิดโลกของผมมากเลย แบบ ผมไม่คิดว่าคนเราจะกล้าถ่ายอวัยวะเพศตัวเองโชว์ลงบนอินเตอร์เน็ต” โชว่า สีหน้าเริ่มขึ้นเลือดฝาดหน่อย ๆ

“ผมพยายามศึกษาทั้งวิธีการโพสต์ ทั้งการแท็ก การตั้งชื่อทวิตประหลาด ๆ การโต้ตอบสนทนาผู้คนในแวดวงนั้น แต่ก็มีหลายคำถามที่สงสัย เช่นช่วง  แรก ๆ ผมไม่ทราบว่า ‘บิน’ คืออะไร ทำไมต้องบิน? ตลอดไปจนถึงศัพท์แปลก ๆ อีกมากมายที่เอาจริง ๆ ผมไม่รู้ผมจะไปถามใคร ในชีวิตจริงสังคมของผมก็ไม่ได้แวดล้อมไปด้วยผู้คนที่มีลักษณะอันเปิดเผยแบบนี้” เขาว่าต่อ

“ขอแทรกหน่อยนะคุณ คือเออ....คุณเป็นผู้ชายแท้ ๆ ถูกไหม?” ผมถามต่อเพื่อความแน่ใจ

“ตอนนี้คิดว่าใช่” เขาว่า ยักไหล่ก่อนจะอธิบายต่อ

“รสนิยมของคนมันเปลี่ยนแปลงได้ทุกวันนี่คุณ เราอาจจะเคลมก็ได้ว่าวันนี้เราเป็นผู้ชาย แต่ถ้าสักวันผมเกิดชอบผู้ชายขึ้นมาผมจะอธิบายกับตัวเองยังไงล่ะครับ มนุษย์น่ะลื่นไหลทางเพศและรสนิยมได้นะคุณ งานวิจัยเขาบอกมาแบบนั้นนะไม่ใช่ว่าผมมโนเอง”

โชอธิบายต่อ ผมพยักหน้าเห็นด้วย ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายแท้ ๆ อยากทดลองเสียเมื่อไหร่กัน

“หลังจากพยายามส่องทวิตเตอร์ที่มี followers หลักหมื่นอัพหลายยูสเซอร์ ในที่สุดผมก็พยายามคัดกรองให้เหลือยูสฯที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันในหลาย ๆ ประการ เช่น ยูสฯที่ป้องกันทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์ ยูสฯที่มีการรณรงค์เรื่องการป้องกันทั้งทางตรงและทางอ้อม และคุณลักษณะอีกสองสามประการ จนมาเจอทวิตเตอร์ของคุณและคิดว่าคุณน่าสนใจดี”

ถ้าแบบนั้นผมก็เข้าใจได้ ด้วยคุณลักษณะที่ว่ามา แอคเค่อส่วนใหญ่ที่เข้าข่ายตามนี้ตีความได้เลยว่ารู้จักกับผมแน่ ๆ 70 % ส่วนอีก 30 % ที่เหลือเป็นพวกป้องกันตัวเองรัดกุมมาก ๆ และอาจจะไม่ติดต่อกับใครเลยแม้กระทั่งแอคเค่อด้วยกัน

“คุณเป็นคนที่แบบ ... จะอธิบายยังไงดี?” ผมรู้สึกว่าคาแรคเตอร์ของคุณมันจัดจ้าน และเป็นคาแรคเตอร์ที่สามารถดึงดูดผู้คนเข้าหาตัวคุณได้โดยไม่แบ่งฝักฝ่าย ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่หลาย ๆ คนสามารถไว้วางใจได้ ดูจากบทสนทนาโต้ตอบบทอินเทอร์เน็ตที่รัดกุมและไม่ล่วงเกินใครเลย ไม่เคยมีประวัติเสียหายใด ๆ ผมเลยคิดว่าถ้าผมคุยกับคุณได้ก็คงจะดีแต่...”

โชเว้นวรรค ผมขมวดคิ้วก่อนจะร้องอ้อเมื่ออีกฝ่ายเปิดหน้าจอสไลด์ให้ผมดู

“ผมไม่ตอบ dm คุณ”

“ใช่ คุณหยิ่ง”

“ผมเปล่าหยิ่ง ผมแค่ทำตามกติกา” ผมยักไหล่พร้อมชี้ให้เขาดูไบโอฯของผมเป็นการยืนยัน

“ก็คุณเล่นบอกว่าจะตอบ dm only bottom นี่หว่า ใครมันจะไปสามารถทำตามกติกานั้นได้ ในเมื่อผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายเลยสักครั้งจะรู้ได้ไงว่าตัวเองเป็นอะไร”

 เขาเบ้ปาก ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก่อนจะสไลด์ขึ้นลงให้ผมรับรู้ว่าเขาพยายามทัก dm ผมมาหลายรอบขนาดไหน

“เลยหาทางแบล็คเมล์ผมเพื่อลากตัวมาคุยเลยว่างั้น?” ผมเลิกคิ้ว เอาเรื่อง เขาหัวเราะแห้ง ๆ เชิงขอโทษอีกครั้งก่อนจะทำสีหน้าจริงจังและพูดต่อ

“ผมสาบานได้ นอกจากผมแล้วไม่มีใครมีรูปนั้นอีกแล้ว ผมขอโทษที่ผมอาจจะบอกไม่ได้ว่าผมไปได้มันมาได้ยังไง แต่หลังจากคุณลบไปมันจะไม่มีวันโผล่มาอยู่กับใครอีกเด็ดขาดแน่นอน ผมรับประกันด้วยชีวิตของผมได้”

หากคุณเป็นคน ๆ หนึ่งที่มีความลับที่ใหญ่มากเช่นการเป็นแอคเค่อ การไว้วางใจคนผิดนับว่าเป็นเรื่องที่อาจจะนำอันตรายมาสู่ตัวได้

แต่น่าประหลาด โชเป็นคนที่ดูเปิดเผยประการหนึ่ง ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง และการแสดงออกของเขา บ่งบอกว่าเขาคิด พูด และทำตามที่ว่ามาจริง ๆ โดยไม่มีการปิดบัง สัตว์ร้ายในตัวของผมตะกุยพื้นด้วยลักษณะที่คิดตรงกันกับผมว่าเราสามารถเชื่อใจเขาได้

อย่างน้อย ๆ การที่เขายอมมาเสียเวลานั่งอธิบายอะไรพวกนี้โดยไม่มีลักษณะของการข่มขู่ใด ๆ ก็พอจะเป็นความอุ่นใจประการหนึ่งให้กับผมได้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายผม ในลักษณะที่คนอื่น ๆ เคยเจอมาจากการไว้วางใจคนที่ผิดพลาด

เราทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปหลายนาที พนักงานเริ่มทยอยเก็บกวาดและเช็ดถูบริเวณภายในร้าน ผมถอนหายใจปลดปลงครั้งหนึ่งพร้อมตัดสินใจอีกครั้ง แม้อาจจะไม่รู้ว่าอนาคตเรื่องราวจะเดินไปในทิศทางไหน แต่หากการกระทำในครั้งนี้จะไม่ขัดต่อความถูกต้องในใจของผม ผมก็คิดว่าไม่ผิดอะไร ถ้าจะตัดสินใจเชื่อใจและช่วยเหลือคนแปลกหน้าคนนี้สักครั้ง

“ผมต้องทำอะไรบ้าง?” นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้เขายิ้มกว้างออกมา

ก็หวังว่าการตัดสินใจของผมจะไม่ผิดพลาดเป็น ‘ครั้งที่สอง’ ล่ะนะ




“เป็นไงมั่ง โอเครึเปล่า?” ผมถาม เจ้าเด็กน้อยยกนิ้วโป้งขึ้นมาแทนคำตอบก่อนจะนอนหอบสูดอากาศเข้าปอด เหมือนคนเพิ่งผ่านการวิ่งมินิมาราธอนมาหมาด ๆ

“สุดยอด เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็ก ๆ มาหาพี่เยอะ” เขาชม

ผมหัวเราะรับคำก่อนจะปล่อยให้เขาพักเหนื่อยสักแป๊บ พอเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้วก็พาเขาไปอาบน้ำ พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้เจ้าเด็กแสบเกิดความรู้สึกต้องการขึ้นมาอีกรอบ

ผมสระผมให้เจ้าแสบ ก่อนจะลูบสบู่เหลวไปตามทุกซอกของร่างกาย ก้มลงไปขัดเท้าทั้งสองข้างให้กับน้องมัน เจ้าตัวชักเท้าหนีนิดหน่อย แต่ก็ยอมปล่อยให้ผมขัดด้วยดี

“พี่ทำผมเขิน”

“จริงเหรอ คนอะไรเขินยังน่ารักเลย” ผมว่า สวมกอดแล้วจุ๊บต้นคอของเขาเบา ๆ หลังจากยืนขึ้น สีหน้าลูกครึ่งฝรั่งฝาดจนออกจะอมชมพูขึ้นมาหลัง คำชมนั้น หลังจากเอาผ้าเช็ดตัวขยี้ ๆ หัวให้เขาจนศีรษะแห้งเสร็จ เราทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมสวมบ็อกเซอร์ง่าย ๆ ก่อนจะส่งมือถือให้เขาดู

“ลองเช็กดูนะครับว่ามีตรงไหนที่ไม่โอเคหรืออยากให้พี่ลบไหม?”

ทุกครั้งหลังการถ่ายทำ “ผลงาน” ผมจะให้ตัวเอกในคลิปเป็นคนเช็กว่ามีอันไหนบ้างที่เขาสบายใจจะให้เผยแพร่ มีอันไหนบ้างที่เขาอยากให้มันปราศจากโลกใบนี้ไป

ผมยึดเอาความสบายใจของคู่นอนเป็นหลัก การไม่ล่วงเกินขอบเขตของกันและกันคือวิธีการรับมือที่ดีที่สุดในความสัมพันธ์บนเตียงของคนสองคน

น้องแม็กซ์รับมือถือไปอย่างว่าง่าย เขาสไลด์และกดเล่นคลิป ปิดปากหัวเราะอย่างน่ารักก่อนจะบอก

“ตอนเวลาไม่เห็นหน้าผมเต็ม ๆ นี่ผมก็น่ารักไปอีกแบบนะ”

“จะเห็นเต็ม ๆ หรือไม่เห็น พี่ว่าก็น่ารักทั้งหมด” ผมหยอด แต่สาบานได้  เขาน่ารักแบบเด็กวัยรุ่นโตเต็มวัยจริง ๆ

“โหอย่ามา ผมน่ารักสู้เด็กพี่ไม่ได้หรอก” เขาหยอกแกมหยิกกลับ

“อ้าวแล้วเราไม่ใช่เด็กพี่เหรอ” แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้หยอกกลับง่าย ๆ แน่

“โถ่ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ก็ลืมผม” เขาว่าเหมือนตัดพ้อเบา ๆ แต่จากดวงตาที่ผมสัมผัสได้ เขาแค่พูดหยอก ไม่ได้มีความหมายนัยยะใด ๆ อย่างสิ้นเชิง

“ไม่ลืมหรอก ถ้าเราไม่เบื่อพี่ไปซะก่อนเราก็คุยกันไปแบบนี้แหละ” น้องแม็กซ์พยักหน้ารับคำ ผมดึงเขามานอนทับแขนเบา ๆ ด้วยส่วนสูงที่มากกว่าผม ทำให้ขาเจ้าเด็กนี้ยาวจนพาดเลยตัวผมไปด้วยซ้ำ คล้ายกับพ่อโคอาล่าตัวเตี้ย ๆ กำลังโดนลูกน้อย ๆ กอด

“ขอบคุณนะครับ พี่ทำให้เฟิร์สเซ็กซ์ของผมมันวิเศษมาก” เขาว่า ผมขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะถาม

“จริงเหรอ? พี่ก็นึกว่าเราเคยมาบ้าง” ก็ถึงจะดูไม่ชำนาญเท่าพวกชั่วโมงบินเยอะ ๆ แต่เมื่อกี้ก็มีไม่มีช่วงนะครับที่เจ้าเด็กนี่เอาฟันครูดกับทีเร็กซ์(ไม่)น้อยของผม

“ผมเคยมีแฟนนะ แต่ผมกลัวมาตลอดเลย ผมกลัวว่าถ้าผมมีอะไรกับเขาแล้วมันจะเป็นยังไง ผมจะเจ็บไหม หรือผมจะมีความสุขรึเปล่า? แล้วมันจะปลอดภัยไหม เกิดถุงยางหลุดกลางคันต้องทำยังไง เกิดผมห้ามเขาไม่ได้ ทั้งเรื่องโรคเรื่องอะไร คือมันไม่มีใครมาคอยบอกผมเลยว่าครั้งแรกต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง” แม็กซ์ว่า

“คือที่โรงเรียนสอนสุขศึกษานะ แต่เขาสอนแค่วิธีช่วยตัวเอง แต่ไม่เห็นมีใครแนะนำวิธีการมีเซ็กซ์ที่ถูกต้องหรือปลอดภัยเลย ไอ้ที่บอกว่าให้ใส่ถุงก็เข้าใจ แต่ผมหมายถึงในกรณีที่เฉพาะเจาะจงกว่านั้น เช่นเด็กที่เป็นรับ เป็นเกย์ เป็นตุ๊ด เป็นเพศที่สามแบบผม ไม่เห็นมีใครมาบอกเลยว่าต้องป้องกันยังไง”

“อ่า” ผมครางรับคำ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจที่เขาพูดมา แต่ก็เข้าใจในบริบทของโรงเรียนเช่นกันว่าเรื่องแบบนี้มันก็คงสอนลำบากพอสมควรกับประเทศที่ยังไม่ได้เปิดกว้างเหมือนกับภาพลักษณ์ที่สร้างเอาไว้

“ผมถึงได้บอกไง ว่าผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงมาหาพี่บ่อย” เขายันตัวขึ้นก่อนจะพูดต่อ

“พี่ไม่ได้น่ารัก ไม่ได้หล่อแบบเวอร์ ๆ แค่ออกไปเดินห้างก็เจอคนหน้าตาดีกว่านี้แล้ว แต่สิ่งที่พี่มีคือความสบายใจ แบบ ผมมั่นใจว่าไอ้คลิปพวกนั้น มันจะไม่กลับมาทำร้ายผมแน่ ๆ คือมันก็น่าแปลกใจนะว่าทำไมผมถึงไว้ใจพี่ได้ขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เราเจอกัน แต่ทุกอย่างที่พี่ทำมันแทนคำตอบจริง ๆ พี่โคตรเซฟผมอ่ะ มีทั้งหน้ากาก มีทั้งผ้าคลุม ทั้งตัดเสียงออก คือมั่นใจได้จริง ๆ ว่ามันจะไม่มีอะไรที่ไม่น่าสบายใจหลุดออกไป แถมพี่ยังแคร์อีกต่างหากว่าผมแฮปปี้ไหม” เจ้าตัวว่าเสียงหวาน

“พี่จะสอนเราอย่าง อย่าเพิ่งไว้ใจคนง่าย ๆ แม้แต่กับพี่ก็อย่าเพิ่งไว้ใจ คนเราไม่มีใครโชว์ด้านที่ไม่ดีของตัวเองให้คนอื่นเห็นง่าย ๆ หรอก เราเองก็ต้องระมัดระวังด้วยนะ ถ้าจะไปนัดกับคนอื่น อย่าลืมที่พี่สอนนะ ถ้าจะปิดไฟ ก็สัมผัสถุงยางอนามัยบ้างว่ามีรอยรั่ว รอยขาด หรือมีปัญหาอื่น ๆ ไหม ถุงร่นไปถึงปลายลำรึเปล่า มีโอกาสหลุดจากด้านในไหม อีกฝ่ายดูไว้วางใจได้แค่ไหน” ผมสอนเขาต่อ อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะชอบบอกให้ทุกคนระแวดระวังตัว โลกใบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากโลกสว่าง เรามีทั้งคนที่ไว้วางใจได้และไม่ได้ให้เข้ามาวนเวียนพบเจอเสมอ ๆ

“ขอบคุณนะครับพี่ชาย สัญญากับผมนะ ว่าถ้ามีแฟนแล้วต้องบอกให้ผมรู้ ผมจะได้ไม่เข้าไปรบกวนพี่อีก” เขาว่า พลางส่งนิ้วก้อยมาให้กับผม

“สัญญาครับ พี่ไม่เคยหายไปจากชีวิตใครโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่มีการบอกกล่าวกันแน่นอน”

เพราะพี่รู้ดีว่าการหายไปจากชีวิตใครคนหนึ่งโดยไม่มีวี่แววมันเจ็บปวดขนาดไหน

ผมกับแม็กซ์นอนคุยกันถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป ความเป็นเด็กม.หกที่ต้องเตรียมตัวสอบพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงระบบการเข้ามหาวิทยาลัยเป็นว่าเล่นสร้างความหนักใจให้เด็กนี่ไม่น้อย สิ่งที่ผมทำได้คือการแนะนำแนวทางที่จำเป็น เชียร์อัพให้เขาพยายามอ่านหนังสือเตรียมตัวไว้ก่อน ขอแค่เราพร้อมมากพอ  ไม่ว่าจะเป็นระบบแบบไหนเราก็จะสามารถชนะมันได้อย่างแน่นอน

ไม่นานนักเราทั้งคู่ก็หลับไป ปล่อยให้เสียงเพลงบรรเลงตามท่วงทำนองของมันแบบนั้นไปเรื่อย ๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2019 17:29:04 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มาตามเลยค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เหมือนกำลังอ่านเรื่องเล่าอยู่เลย เรียลจังค่ะะ มารออัพทุกวันๆ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ตามมมมม น่าสนใจมากกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
«ตอบ #10 เมื่อ15-07-2018 21:43:17 »



Ep.3 The Informant




หลังจากตื่นนอนกันตอนสาย ๆ ของอีกวัน ผมพาแม็กซ์ไปอาบน้ำ พร้อมพาเจ้าตัวดีไปทานข้าวที่ร้านอาหารใต้หอ พอเสร็จสรรพก็ส่งน้องขึ้นรถประจำทางกลับบ้านไป

เจ้าแม็กซ์ไลน์มาขอบคุณผม สัญญาว่าจะหาเวลามาเจอกันให้ได้ในอีกหลาย ๆ ครั้ง ผมหัวเราะและตอบเขากลับไปว่าเอาที่เขาสะดวกได้เลย

เป็นอันจบการรักษาความสัมพันธ์ระยะสั้นที่อาจจะสามารถกลายเป็นพี่น้องกันจริง ๆ ในระยะยาวได้ หากเราเว้นวรรคให้คนแต่ละคนมีที่ว่างในการหายใจมากพอ

กิจกรรมของผมในวันหยุดวันนี้ยังไม่เสร็จสิ้น เรียกได้ว่ามันกำลังจะเริ่มต้นมากกว่ากับการ “ให้ความช่วยเหลือ” ใครบางคน

โชบอกกับผมว่า ปกติแล้วการสัมภาษณ์ของเขาจะไม่สามารถทำครั้งเดียวแล้วจบได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเขียนนิยายสไตล์เขา เขาบอกว่าเราอาจจะต้องเจอกันจนกว่าพล็อตเรื่องนิยายของเขาจะสามารถนำไปขึ้นรูป และเขียนได้จนจบเล่ม จริง ๆ ผมก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยสัมผัสมา

ดังนั้นถ้าสรุปง่าย ๆ ก็คือเราจะเจอกันอีกหลาย ๆ ครั้งจนกว่าเขาจะหมดข้อสงสัยในความเป็นแอคเค่อนั่นแหละนะ

เรานัดกันที่ร้านกาแฟแถวห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยของผม ที่นี่ค่อนข้างเงียบ ออกจะร้างด้วยซ้ำในบางเวลา แต่ก็เหมาะดีที่จะเป็นสถานที่สำหรับคุยเรื่องอย่างว่า แหมคุณ ก็ไม่ใช่ว่าผมจะต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ทุก ๆ เรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวนะ

ผมแต่งตัวด้วยชุดลำลองเรียบง่าย สวมแว่นตาอันหนา สางผมยาว ๆ แล้วทับลงด้วยหมวกสีน้ำเงินตุ่น ๆ อีกใบ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการการแต่งตัวแบบสามารถค้นหาได้ทั่วไป ผมชอบความธรรมดาของตัวเอง ยิ่งมีคนสามารถมองผ่านผมไปจากคนอื่น ๆ ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี

โดยสารรถประจำทางไม่นานก็มาถึงห้าง ผมมาถึงก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย พอไปถึงร้านกาแฟที่เรานัดกันก็พบว่าเขายังไม่มา ผมเลยเลือกจะเดินเข้าไปนั่งในมุมร้านกาแฟ จนเวลาล่วงเลยเวลานัดผ่านไปราวห้านาทีเศษ คนอีกคนที่นัดกันไว้ก็เดินลงมานั่งข้าง ๆ

โชสวมเสื้อสีน้ำอ่อนแขนยาวแต่พับขึ้นมาถึงข้อศอก พร้อมห้อยสร้อยไม้กางเขนอันเล็ก ๆ ไว้ที่คอ พอดูรวม ๆ กับกางเกงยีนส์และรองเท้าสีน้ำตาลนั่น ก็พบว่าหมอนี่แต่งตัวได้ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก เขาผงกหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษที่มาสายกว่าเวลาไปนิดหน่อย หลังจากสั่งเครื่องดื่มจากบริกร (แน่นอนว่าอีกฝ่ายเป็นคนเลี้ยงผม) เสร็จสรรพโชก็เข้าสู่กระบวนการทำงานทันที

“โอเค ก่อนอื่นเลย ผมขออนุญาตสอบถามก่อนนะครับ ผมขอบันทึกเสียงไว้ได้ไหม? แน่นอนว่าเสียงที่บันทึกนี่จะไม่สามารถมีใครมีได้นอกจากผม” เขาว่า

“จะว่าอะไรกันไหมถ้าผมจะบอกว่าไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่กับการบันทึกเสียง คุณเขียนหรือพิมพ์บันทึกเป็นโน้ตไว้ได้ไหมครับ ส่วนอันไหนไม่แน่ใจหรืออยากสอบถามเพิ่มเติมหรือถ้ากลัวว่าจะตกหล่นประเด็นอะไรก็สอบถามผมได้นะ”

ผมเชื่อใจเขา แต่นั่นมันคนละเรื่องกับการสร้างหลักฐานมัดคอตัวเอง

เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ทำร้ายผม แต่หลักฐานชิ้นนั้นอาจจะตกไปอยู่ในมือใครสักคนที่ไม่หวังดีก็ได้ มันไม่มีใครรู้อนาคตจริง ๆ ว่าชีวิตเรากำลังเดินไปทางไหน เพราะฉะนั้นแล้ว อะไรที่ระมัดระวังได้ ผมก็ขอระมัดระวังหรือถึงขั้นระแวง ดีกว่าไว้วางใจแล้วมาโดนฮุบทั้งตัวในภายหลัง

“ผมเข้าใจครับ” โชพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเก็บเครื่องบันทึกเสียงลงไปในกระเป๋าเป้ของเขา พอดีกับที่บริกรเดินมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้กับเราทั้งคู่ เราดูดคนละเล็กน้อยก่อนโชจะเริ่มเปิดปาก

“ก่อนอื่น คุณเล่นทวิตเตอร์มานานรึยังครับ?”

“ถ้านับแล้ว จริง ๆ ครั้งนี้ผมเล่นเป็นครั้งที่สองนะ เคยเล่นครั้งแรกตอนช่วงสมัยม.ปลายเหมือนกัน แล้วก็ปิดตัวลงไปครับ เพิ่งมาเปิดอีกทีเมื่อประมาณช่วงกันยายนปีที่แล้ว แล้วก็เล่นบ้างหยุดบ้าง มาจนถึงปัจจุบันนี้” ผมตอบกลับ เห็นเขากำลังพิมพ์ขะมักเขม้นลงในแลปท็อปส่วนตัวที่นำมาด้วย และบอกตามตรง หมอนี่พิมพ์แป้นพิมพ์ได้ไวมาก ๆ สมแล้วที่เป็นนักเขียน

“ช่วยอธิบายความแตกต่างระหว่างสถานะบนเตียงเท่าที่คุณพอจะอธิบายได้ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?”

“ก็เหมือนที่เคยได้ยินมากันนั่นแหละครับ แต่ถ้าแบ่งตามความเข้าใจผมนะ ในโลกทวิตเตอร์น่ะจะมี รุก ก็ตรงตัวเลย ทำหน้าที่เป็นคนสอดใส่ รับ ก็ตรงข้ามกับที่กล่าวถึงรุก ไบ ก็ผู้ชายที่สามารถมีอะไรได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะมีสถานะเป็นรุกทั้งคู่เท่านั้น ส่วน โบท ก็คล้ายกับไบ เพิ่มเติมแค่สามารถรับได้กรณีมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน จริง ๆ มันก็มีแค่นี้แหละ แต่ก็อาจจะมีบางคนเติมคำขยายลงไป โบทรับ โบทรุก ไบรับ ไบรุก แต่สุดท้ายมันก็แค่การแบ่งคำตามความพึงพอใจของคนเราอ่ะครับ” ผมร่ายยาว

“ผมเคยอ่านผ่าน ๆ มาบ้าง ไบจะค่อนข้างเป็นที่นิยมหรือน่าดึงดูดกว่ารุกอย่างเดียวรึเปล่า?” โชพูดไปพิมพ์ไป ผมสร้างประโยคคำตอบในหัวก่อนจะตอบกลับไป

“มันเป็นเรื่องแปลก ๆ เหมือนกัน แต่ส่วนผสมอะไรที่มีความ ‘ชายแท้’ อยู่ด้วยมันจะน่าดึงดูดมากกว่า คือถ้าบอกว่าเป็นรุกก็เข้าใจตรงกันใช่ไหมว่าคุณเป็นเกย์แน่ ๆ 100 % แต่พอบอกเป็นไบปุ๊บ เอาแล้ว คุณมีความแมนบวกเพิ่มขึ้นมาอีก 50 % ทั้ง ๆ ที่ไบบางคนก็จิกส้นสูง ปัดบัชออนต่าง ๆ เยอะแยะไปคุณ” ผมอธิบายพร้อมหัวเราะสำทับ

“ผมมองว่า คนเรามันมีแรงยุ แรงกระตุ้นในตัวเกี่ยวกับข้อห้ามต่าง ๆ เยอะ ... มันจะอธิบายยังไงดี ? แบบ ถ้าคุณเคลมว่าตัวเองเป็นชายแท้ แปลว่าคุณจะไม่ข้ามเส้นมามีอะไรกับผู้ชายด้วยกันถูกไหม เพราะมัน ‘ดูเหมือนว่า’ จะไม่สามารถเป็นไปได้ พอก้าวข้ามเส้นแบ่งที่ห้ามข้ามตรงนั้นมาได้ปุ๊บ มันเหมือนคุณได้ปลดปล่อยอารมณ์อะไรบางอย่างในตัวคุณเอง”

 ผมพยายามอธิบายตามความรู้สึกตัวเอง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาเข้าใจที่ผมพูดมากน้อยขนาดไหนเพราะเห็นโชเอาแต่พิมพ์พลางสลับถามคำถาม

“คุณมีสถานะบนเตียงเป็นรุกมาตลอดเลยใช่ไหมครับ?พอจะบอกได้ไหม ว่าทำไม และเคยคิดอยากจะลองเป็นรับบ้างไหม?” เขารัวคำถามต่อ แทบไม่ได้เงยหน้าจากหน้าจอ

“ใช่ครับ ผมเป็นรุกมาตลอด ถ้าถามว่าทำไม ส่วนตัวผมไม่คิดว่าตัวเองอยากจะยกขาให้กับใคร หรือจริง ๆ อาจจะยังไม่เจอคนที่ทำให้ผมสามารถยกขาได้ เหตุผลอีกส่วนก็...กลัวเจ็บ” ผมว่า โชเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ

“เอ้า ก็แปลกอะไรละคุณ ผมชอบมอบความสุขให้กับคนอื่นแต่ไม่ได้อยากโดนเองนี่”

“โอเค ๆ “ เขารับคำอย่างยอมแพ้ เว้นวรรค รัวแป้นก่อนจะถามต่อ

“ปกติแล้วคุณหาคู่นอนผ่านช่องทางไหนบ้างครับ?”

“จริง ๆ ก็หลากหลายนะ ก็แอปพลิเคชันเกย์ทั่ว ๆ ไป ฮอร์เน็ต บลูดี แจ็คดี ทวิตเตอร์ ประปรายบ้าง แล้วแต่ว่าจะดีลกันมากกว่า .... ในเฟสฯ ก็เคยมี” เขาหยุดพิมพ์แล้วเงยหน้ามองผมอีกครั้งคล้ายเชิงให้อธิบายให้ลึกกว่านี้หน่อย

“ก็แบบ คุยเชิงทีเล่นทีจริงกับบางคนอะไรอย่างนี้น่ะคุณ ถ้าเขาเล่นด้วย ก็ดีล ถ้าเขาไม่เล่นด้วยก็ปล่อยไป บางทีเขาก็ทักมาหาเราก่อนบ้าง บางทีเราก็ทักไปหาเขาก่อนบ้าง แล้วแต่อารมณ์และความต้องการ ณ ตอนนั้น” ผมรอให้เขาพิมพ์จนใกล้จะจบ นึกอะไรออกมาขึ้นมาอีกนิดหน่อยเลยพูดต่อ

“อ๋อ ขอเสริมอีกนิด จริง ๆ แล้วจากที่ผมเคยสังเกตและจากคนรอบ ๆ ตัว ทั้งแวดวงทวิตเตอร์และสังคมภายนอก ส่วนใหญ่แล้วชีวิตจริงคู่รักเกย์บางคู่เขาผลัดกันได้ และไม่ได้ยึดติด position ว่าใครต้องเป็นพ่อใครต้องเป็นแม่ขนาดนั้น

เออคุณ จะว่าไปแล้วผมถามหน่อยดิ นิยายที่คุณจะเอาไปเขียนเนี่ย บุคลิกตัวละครมันจะแบบ รุกต้องตัวสูง หล่อ เข้ม แมนสมชายชาตรี เรียนวิศวะ รับต้องเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ ผิวขาว มีเชื้อสายจีน เรียนพวกคณะสายศิลป์อะไรแบบนี้ป่ะ?”

ผมถามสิ่งที่ตัวเองสงสัย ก็เคยตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าเด็กประมง เด็กเกษตรมันไม่น่าจิ้นเหรอ?

เขาจิ๊ปากทำหน้ายุ่งยากใจนิดหน่อยก่อนจะตอบกลับ

“เอาตามความเป็นจริง ผมยังไม่ปั้นคาแรคเตอร์ตัวละครเลยครับ แต่เรื่องนี้พูดยากจริง ๆ ผมคิดว่าทีเร็กซ์น่าจะไม่ค่อยชอบใจรึเปล่า ถ้าคาแรคเตอร์ตัวละครมันจะต้องเป็นแบบอุดมคตินิยม?” โชอธิบายพร้อมโยนคำถามกลับมา

“ไม่ใช่ไม่ชอบใจ ใช้คำว่า ‘ไม่ค่อยเข้าใจ’ จะเห็นภาพมากกว่า คือมองในมุมของเกย์รุกที่ไม่ใช่ไทป์ในอุดมคติของสังคมอ่ะคุณ ผมก็แค่รู้สึกว่าทำไมเหรอ ถ้ารุกจะตัวเล็กกว่ารับ จะอ้วน จะหุ่นไม่ดี หน้าตาไม่เพอร์เฟค ผิวไม่ขาว ถ้าไม่ตรงตามนี้ พวกเราจะไม่มีสิทธิ์เป็นคนที่สมควรได้รับความรักที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดี เหมือน ๆ กับตัวเอกในนิยายเหรอ? หรือเราถูกจำกัดเป็นได้แค่ตัวประกอบเพราะขาดความน่าดึงดูด?”

โชอ้าปากเหวอนิดหน่อย เขาเงียบไปเหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดก่อนจะตอบกลับมาด้วยท่าทีระมัดระวัง

“มันยังเป็นกรอบนะ เป็นกรอบที่ยังติดอยู่กับงานศิลปะของไทย คือสื่อทุกชนิดน่ะไม่ว่าจะนิยาย ซีรีส์ ภาพยนตร์ ละครสุดท้ายแล้ว ต่อให้เป็นเรื่องของเพศทางเลือก แต่ก็ยังมีกรอบขนบธรรมเนียมของชายหญิงเข้ามาครอบหัวโขนไว้อีกที

เช่น ต่อให้ตัวละครเป็นชายชาย แต่จะต้องมีคนใดคนหนึ่งรับบทบาทสมมติเป็นผู้ชาย ส่วนอีกตัวละครก็ต้องรับบทบาทเป็นสมมติผู้หญิง ภายใต้กรอบของสรีระทางเพศที่เหมือนกัน

ผมพูดอีกครั้งนะ ผมเข้าใจสิ่งที่ทีเร็กซ์ไม่เข้าใจหรืออาจจะไม่ชอบใจนะ แต่อีกแง่มุมหนึ่ง ผมว่ามันก็เป็นสิทธิทางเลือกของเขาที่จะเสพงานศิลปะที่เขาชื่นชอบ และถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา นักเขียนน่ะ อยากเขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเขียนทั้งนั้น แต่มันจะมีคุณค่าอะไรตราบเท่าที่งานเขียนนั้น ไม่สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนักเขียนได้” โชเว้นวรรค ทำหน้าหนักใจก่อนจะพูดต่อ

“ผมรู้สึกว่ามันโหดร้ายนะ แต่มันก็คือโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเราต้องเผชิญ คนที่เขาชอบความเป็นอุดมคตินิยมเขาก็ไม่ผิดอะไรที่จะชอบความสมบูรณ์แบบ และการที่ทีเร็กซ์ไม่ชอบก็ไม่ผิดอะไรด้วยเช่นกัน ผมว่ามันเป็นเรื่องของมุมมองและวิวัฒนาการทางพหุวัฒนธรรมที่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาน่ะครับ”

“ผมเข้าใจ ๆ ผมเลยไม่คิดจะว่าอะไรหรอก ถ้าตัวละครของคุณมันจะต้องตรงตามไทป์แบบนั้น เพราะสุดท้ายแล้วก็อย่างที่คุณว่ามา มันเป็นสิทธิในการเลือกอ่านของนักอ่านจริง ๆ แล้วบุคคลที่ประกอบอาชีพนักเขียนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างคุณ ถ้าขายงานเขียนไม่ได้มันจะไปมีประโยชน์อะไร คุณไม่ได้สังเคราะห์แสงอาทิตย์แล้วท้องอิ่มนิครับ”

ก็อย่างที่ว่าไป ผมแค่ไม่เข้าใจมากกว่าจะไม่ชอบใจ อาชีพที่คนเราใช้ดำรงชีพ ถ้ามันหาเลี้ยงชีพหรือสร้างผลประโยชน์ไม่ได้ มันก็คงเป็นได้แค่งานอดิเรก

เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่โกรธหรือไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรอกครับถ้าตัวละครในเรื่องที่เอาข้อมูลจากผมไปเขียน จะต้องสูง ยาว เข่าดี มีชีวิตที่น่าอิจฉา เพราะสุดท้ายแล้ว ต่อให้จุดประสงค์ดีแค่ไหน เราก็ต้องคำนึงถึงเรื่องของผลประโยชน์จากการลงทุนลงแรงเช่นกัน

โชเป็นนักเขียนนิยายมืออาชีพ อาชีพของเขาคือการขายผลงานศิลปะที่ตัวเองรัก ทั้งยังมีการหาข้อมูลและใส่ใจในรายละเอียดของงานที่ตัวเองทำ งานแต่ละชิ้นก็ไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสองวันแล้วจบลงไปซะหน่อย ไหนจะการลงทุนลงแรงในการสัมภาษณ์ไหนจะค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมในการทำงาน แล้วมันจะผิดอะไรถ้าเขาจะพยายามรังสรรค์ผลงานให้ออกมาเป็น                ที่ยอมรับของผู้คนที่พร้อมจะสนับสนุนให้เขามีกำลังใจและทุนทรัพย์ในการทำงานต่อไปละครับ?

เราเอาเงินซื้อความฝันไม่ได้ แต่เราเอาเงินไปต่อยอดเส้นทางในการเดินทางไปตามหาความฝันได้ ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี

โชยิ้มให้ผมแทนคำขอบคุณในความเข้าใจสภาพและข้อจำกัดด้านงานเขียนของเขา หลังจากรัวนิ้วสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามคำถามถัดไป

“อันนี้ถามลงลึกหน่อย คุณเคยมีอะไรกับผู้หญิงไหม หรือที่ผ่านมาเคยมีอะไรแต่กับผู้ชาย แล้วมันแตกต่างกันมากน้อยเพียงใดสำหรับคุณ?”

“กับผู้หญิงผมก็เคย และกล้าพูดด้วยว่ามันเป็นเฟิร์สเซ็กซ์ครั้งแรกของผม กับรุ่นพี่ในโรงเรียนตอนม.สาม แน่ละ ผมไม่ได้ป้องกัน แต่หลั่งนอก ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าต่อให้หลั่งนอกก็มีสิทธิ์ท้องได้เหมือนกัน ...

 ส่วนความแตกต่างกันเนี่ย พูดยากอยู่นะคุณ มันก็แตกต่างกันหลายแง่มุม ตั้งแต่ว่าการมีอะไรกับผู้ชายมันยากกว่าการมีอะไรกับผู้หญิงอ่ะครับ”

“ยากกว่าเหรอครับ ยังไง?” โชถามพร้อมคีย์แป้นพิมพ์ตามคำพูด

“ก็ผู้ชายมันไม่มีน้ำหล่อลื่นไงคุณ บอกไว้ตรงนี้เลยนะ ถ้าคุณเคยไปอ่านนิยายวายเรื่องไหนและมีฉากการมีเพศสัมพันธ์กันแล้วมีน้ำหล่อลื่นไหลออกมา นั่นแปลว่านักเขียนคนนั้นทำการบ้านไม่ดีมากพอ ลำไส้ใหญ่คนเรามันผลิตน้ำหล่อลื่นได้ที่ไหนกันล่ะคุณ” ผมว่า หัวเราะปอย ๆ กับความไร้เดียงสาของนักเขียนท่านนั้น

“อีกเรื่องคือ เราต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่ช่องทางธรรมชาติหลัก ๆ มันคือส่วนท่อต่อที่เป็นระบบการขับถ่ายของเสียของร่างกาย มันยากตั้งแต่กระบวนการทำความสะอาดหรือในภาษาพูดก็คือ ‘ทำแท้ง’ ไปจนถึงการเชื่อมส่วนประกอบของคนสองคนเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ ตรงนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องสอนกันหน้างานถ้าน้องทำไม่เป็น”

ผมหยุดเว้นวรรค แอบเห็นหน้าน้องแม็กซ์ลอยมาแต่ไกลเล็กน้อย

“ผมถึงได้บอกไงว่าผู้ชายสองคนจะได้กันนะ มันไม่ใช่ง่าย ๆ มากกว่าเข้าได้ เข้าไม่ได้มันเป็นเรื่องของสุขลักษณะอนามัยนะ เพราะงั้นเวลาเจอนิยายที่ตัวเอกเมาแล้วมีอะไรกัน ผมก็อดจะคิดไม่ได้ ว่าถ้าไม่ใส่ถุงยางอนามัยแล้วไม่ได้เคลียร์ช่องทางแล้ว.....”

ผมตั้งคำถามพลางเว้นวรรคให้โชได้คิดตาม โชอ้าปาก เหวอไปนิดหน่อย ก่อนเขาจะดึงสติกลับมาได้แล้วถามต่อ

“ประเด็นนี้น่าสนใจนะครับ จะว่าไปแล้วเวลาอ่านนิยายวายก็ไม่ค่อยจะเจอฉากสุขอนามัยต่าง ๆ จริง ๆ นั่นแหละ” เขาว่า

“มันคงเสียอรรถรสมั้ง ? แบบ พระนายกำลังเข้าได้เข้าเข็ม อยู่ดี ๆ ตัวนายบอก ‘เธอ ๆ เรายังไม่ได้ทำความสะอาดมา ขอไปจัดการตัวเองก่อนนะ’ อะไรแบบนี้ก็อาจจะเสียอารมณ์รึเปล่า แบบ ... จังหวะมันได้?” ผมสันนิษฐาน

เรามองหน้ากัน ทำหน้าปั้นยากทั้งคู่ ก็ถูกที่ทั้งเขาทั้งผมว่ามานั่นแหละ ถ้าจะต้องมานั่งอธิบายในนิยายว่าคนกำลังจะได้กัน แต่ต้องวิ่งไปทำความสะอาดช่องทางก่อน มันก็ออกจะ...แปลก ๆ มั้ง?

“เอาเป็นว่า ผมจะเก็บประเด็นนี้ไว้ แล้วจะพยายามหาทางเขียนออกมาให้มันดูสมูทมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ”

ผมพยักหน้ารับคำ จริง ๆ ต่อให้เขาไม่เขียนถึงกระบวนการเตรียมตัว ผมก็คงไม่คิดจะโทษอะไรเขาหรอก ก็อาจจะแค่แบบ รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อยที่ผู้ชายสองคนมีอะไรกันได้แค่จังหวะมันได้โดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน

“โช เรื่องบุคลิกภาพหรือแบล็กกราวน์ของตัวละคร ผมไม่มีอะไรจะขอร้องคุณเลย แต่ผมมีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องคุณได้ไหมครับ?”

“ครับ ?” เขาเงยหน้ามาฟังผมพูด หยุดการพิมพ์ไปชั่วครู่

“ผมจะขอว่า ถ้าคุณจะเขียนฉากการมีเพศสัมพันธ์หรือฉากร่วมรัก ผมขอนะ ไม่บรรยายถึงส่วนการเตรียมตัวต่าง ๆ ได้ แต่ตัวละครทุกตัว ต้องมีการกล่าวถึงการป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ... คุณรับปากผมได้ไหม?”

ผมพูด โชทำหน้าหนักแน่นก่อนจะพยักหน้าตกลงกับสิ่งที่ผมขอ

“ผมตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้ว อาจจะดูเก้ ๆ กัง ๆ หรือผิดแปลกไปจากขนบธรรมเนียมของนิยายวายเรื่องอื่น ๆ แต่ตัวละครในนิยายของผม ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ ผมจะต้องให้พวกเขาป้องกันเสมออย่างแน่นอน ผมจะพยายามหาวิธีการในรอยต่อให้เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในแต่ละสถานการณ์ ....ผมรับปากครับ”

อย่างที่เราทั้งคู่เคยพูดต่อกันโดยไม่ได้ตั้งใจ สื่อทุกชนิดมีผลต่อผู้บริโภคเสมอ เราอาจจะมองว่าเราเป็นสื่อ เราเป็นแค่เรื่องในจินตนาการ เรามีหน้าที่แค่การให้ความบันเทิง

แต่อีกด้านหนึ่ง เราก็ต้องยอมรับว่าเรามีผลต่อผู้บริโภค เรามีผลต่อคนในสังคมไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม มันคือความรับผิดชอบของคนทำงานตรงนี้

เพราะผมเป็นคนให้ข้อมูลเรื่องราวทั้งหมด ณ ตรงนี้ ผมไม่อยากเป็นแม้แต่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ส่งผลให้ใครสักคนหนึ่ง ตัดสินใจทำอะไรผิดพลาดจนส่งผลต่อชีวิตทั้งชีวิตของเขาไป เพราะงั้นแล้วผมไม่แคร์เรื่องตัวละครจะสูงต่ำ ดำขาว อ้วนผอม รวยจน หรืออะไร ผมแคร์แค่ว่าพฤติกรรมของตัวละครนั้น ๆ จะต้องไม่ไปทำให้คนอ่านคนใดคนหนึ่งเกิดการทำตามในพฤติกรรมที่             ไม่เหมาะสมและเกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้นได้

ผมนั่งรอสักครู่ ไม่ถึงห้านาทีต่อมาโชก็ถามคำถามต่อไป

“คุณเคยรู้สึกอะไรกับคนที่มามี sex ด้วยไหม? ...หมายถึง คนเราสามารถมี sex กับคนแปลกหน้าได้โดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกันจริง ๆ น่ะเหรอ?”

วูบหนึ่งหลังจบคำถาม ภาพอะไรบางอย่างที่ฝั่งอยู่ข้างในหัวผมสะท้อนออกมาอีกครั้ง ระเบียงสีขาว กระถางต้นไม้สีเขียว ที่เขี่ยบุหรี่มุมบิ่น ๆ และกรอบแว่นตาสีดำสนิท .....ผมยิ้มเบาบางสายหนึ่ง ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เชื่อถือในคำพูดของตัวเอง

“ผมไม่รู้สึกอะไรหรอก Just sex มันเป็นแค่ดีลหรือข้อตกลงของคนสองคนหรือมากกว่านั้นโดยสมัครใจ มันเป็นแค่อารมณ์วูบหวาบในท้องน้อยที่ก่อตัวขึ้นและหาทางระบายออก พอปลดปล่อยเสร็จสิ้นทุกอย่างก็จบลงไปพร้อม ๆ กับถุงยางอนามัยที่ถอดออกมาจากปลายอวัยวะเพศของคนเรานั่นแหละ”

โชพิมพ์แป้นรัวแต่ก้มหน้าเงียบลงเหมือนต้องการปล่อยให้ผมจมลงกับภวังค์ความคิดของตัวเอง ขอบคุณเขาเป็นอย่างมากที่ไม่ถามหรือสงสัยต่อในท่าทีที่แสดงออกว่ามีอะไรบางอย่างข้างในที่เผลอหลุดออกไป

ผมยกน้ำปั่นขึ้นมาดื่มอีกสองสามอึก พยายามรีเซตความรู้สึกแปลก ๆ ที่โผล่ขึ้นมากลางวงสนทนาเมื่อชั่วครู่ ก่อนจะสำทับต่อ

“แต่ก็ต้องพยายามรักษาระยะห่างระหว่างคนสองคนดี ๆ นะครับ จริงอยู่ว่าเราอาจจะคิดว่ามันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนความต้องการของคนสองคน แต่เรื่องหัวใจของคนเรานะ มันซับซ้อนนะ ... ถ้าไม่อยากมีปัญหาตั้งแต่แรก ก็ขีดเส้นไปเลยว่าระยะห่างไหนคือระยะปลอดภัยในความสัมพันธ์ที่เปราะบางมากกว่าปีกแมลงปอ แบบการดีลเซ็กซ์

ยกตัวอย่างเช่นผม เอาเข้าจริง ๆ แล้วไม่เชิงไม่รู้สึก แต่ผมจัดการกับสภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ คือผมพยายามทำให้ชีวิตมันง่าย ๆ ผมจะคุยกับคนที่มานอนกับผมทุกคนเลยว่า ผมจะไม่ก้าวล้ำเส้นของใครนะ ผมจะอยู่แค่ในฟากของผม คุณอยากจะไปไหนก็ไปได้ เราต่างไม่มีพันธะใด ๆ ต่อกันและกันมากไปกว่าอดีตคนที่เคยนอนด้วยกัน

ผมจะไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองหรืออีกฝ่ายได้ ‘มีโอกาส’ เพิ่มพูนความรู้สึก ผมจะไม่ก้าวข้ามเส้นของคำว่าเป็นไปไม่ได้ ผมจะคิดอยู่เสมอว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์อะไรหรืออารมณ์แบบไหน หลังจากตื่นขึ้นทุกเช้า ผมจะยังคงเป็นผมคงเดิมที่ไม่มีพันธะอะไรกับใคร มีแค่ผม ...แค่ผมตัวคนเดียวเพียงเท่านั้น”

เราสองคนเงียบลงไป อาจจะเพราะวันปกติทำให้คนในร้านค่อนข้างบางตาจนออกจะเงียบในบางเวลา ผมเหม่อมองออกไปนอกกระจก เมฆฝนตั้งเค้าก่อตัวขึ้นมาแต่ไกล เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความหนาวเย็นจะแผ่ลงมาปกคลุมผืนแผ่นดินอีกครั้ง แสงอาทิตย์และความอบอุ่นจางหายไปแทนที่ด้วยความเย็นฉ่ำของละอองฝนอย่างช้า ๆ ผมนั่งเท้าคางมองก้อนเมฆค่อย ๆ เคลื่อนตัว ก่อนเสียงพิมพ์จะหยุดลงและตามด้วยเสียงของเขา

“ผมชอบคุณชะมัด”

“ครับ?” ผมหันมามองหน้าเขา เมื่อตะกี้ฟังไม่ถนัด

“ผมบอกว่า...ผมโคตรชอบคุณชะมัดเลย”

“........”

“บอกตามตรง ตอนแรกผมแอบผิดหวัง ผมคิดว่าคนที่มี followers เกือบครึ่งแสนน่าจะมีอะไรที่โดดเด่นมากกว่านี้

แต่ไม่เลย คุณกลับธรรมดามากจนน่าตกใจ มันตรงข้ามจนผมคิดว่า หรือผมจะมาหาผิดคนรึเปล่า? ยิ่งตอนคุณแสดงสีหน้าสงสัยแทนสีหน้าแปลกประหลาดใจ ตอนนั้นมือผมเหงื่อออก ตัวเย็นเฉียบมาก คิดแล้วคิดอีกว่า หรือผมจะทักคนผิดจริง ๆ ยิ่งคิดต่อว่าสองพันที่ล่อคุณออกมาจากร้านมันจะสูญเปล่า รึเปล่าวะ?”



ผมเกือบหลุดหัวเราะออกมากลางร้าน โชหยิบแว่นสายตาสำหรับมองคอมพิวเตอร์ออกมาเช็ดก่อนจะสวมใส่อีกครั้งแล้วพูดต่อ

“แต่คุณ...ภายใต้ตัวคุณ ภายใต้ชั้นผิวหนังหนา ๆ ภายใต้ความธรรมดาทั่วไป ภายใต้ความจืดชืดที่คุณแสดงออก ข้างในตัวคุณมันงดงามมาก ๆ คุณสวยงามมากใน ‘ความเป็นมนุษย์’ ของคุณ

คุณมีความรักที่มอบให้กับผู้อื่นโดยมาจากหัวใจเนื้อแท้ คุณมีความโลภ ในการถวิลหาความหมายของการใช้ชีวิตในแบบของคุณ คุณมีความโกรธ ความไม่พอใจกับบางสิ่งที่ยังดีไม่มากพอสำหรับตัวคุณเอง และคุณก็ยังมีราคะจริตในการใช้ชีวิตในรูปแบบของคุณ”

“คุณไม่ใช่ตัวละครในนิยาย คุณไม่ได้เป็นเพอร์เฟคแมน คุณเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง มีความเป็นมนุษย์ในตัวและยังเติบโตไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะหมดลมหายใจ สำหรับผม นั้นคือความงดงามของการมีชีวิตอยู่สำหรับคน ๆ หนึ่ง คนเราจะมีลมหายใจต่อไปทำไม ถ้าเราปราศจากความสุขในการมีชีวิต”

ผมนิ่งเงียบ ประมวลทุกคำพูดที่เขาพูดออกมา แม้จะโดนใครต่อใครชมมามากมาย แต่มาโดนชมแบบนี้ก็มีความรู้สึกเขินอายบ้างอยู่เหมือนกันนะครับ

“ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนเกือบห้าหมื่นคนถึงได้ติดตามคุณ มากกว่าคลิปชวนเสียวที่คุณลง ความเป็นมนุษย์ในตัวคุณมันหอมหวานมากจนเชื้อเชิญคนเข้ามาลิ้มลองซะขนาดนี้ คุณน่ะ ทำให้ผมมองข้ามไปหมดเลย มองข้ามความธรรมดาของใบหน้าของคุณ มองข้ามรูปร่างภายนอกที่เป็นอยู่ กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เหลืออยู่กับตัวคุณคือความสบายใจเท่านั้นเองจริง ๆ ”

“ผมจะลอยแล้วคุณ” ผมพูดแก้เขิน โชเลิกคิ้วพร้อมส่ายหน้า

“ไม่หรอก ผมจะยอคุณกว่านี้อีกหลายพันประโยคก็ไม่น่าจะลอย ถ้าประมวลจากค่า BMI ของคุณแล้วน่ะนะ” และประโยคนั้นเองที่ทำให้ผมยิ้มหวานแล้วชูนิ้วกลางให้กับเขา ก่อนเราสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน

นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้คุยกับใครอย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากกิจกรรมบนเตียงเข้ามามีส่วนร่วม

...จริง ๆ ก็มีส่วนร่วม แต่เป็นแบบทางอ้อมเท่านั้นเอง

ตอนนั้นเองที่ฝนเลยโปรยเม็ดลงมา ท้องฟ้าอึมครึมตามแบบที่มันควรจะเป็น ระหว่างที่โชกำลังจะอ้าปากถามคำถามถัดไป เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่ามีคนกำลังโทรศัพท์มาหา เขาพยักหน้าเป็นเชิงให้ผมรับโทรศัพท์ก่อน พร้อมมองออกไปข้างนอกอย่างคนมีมารยาท

‘N.ham’

ผมรับสายพร้อมกรอกเสียงลงไป “ว่าไงเจ้าแฮม วันนี้ได้ไปเรียนรึเปล่า?”

‘.....ฮึก...’

ผมขมวดคิ้ว ปกติแฮมจะไม่โทรศัพท์หาผมเล่นโดยไม่มีเหตุผล เพราะเขารู้จักนิสัยของผมดี และเมื่อตะกี้นี้ผมเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นตามสายมาเบา ๆ

“แฮมครับ ได้ยินพี่ทีไหม? แฮมอยู่ไหน เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ผมว่า น้ำเสียงร้อนรนนิด ๆ ด้วยความเป็นห่วงคนปลายสาย

‘อึก.....ฮื้อออออออออออออออออออออออออออออ’

จบประโยคของผม เสียงร้องไห้จากปลายสายก็ดังขึ้นมา ผมแอบเกลียดตัวเองที่จินตนาการดีมากเกินไปจนนึกภาพออกว่าเด็กที่ยังมีความบริสุทธิ์มาก ๆ แบบแฮมจะกรีดร้องด้วยความทรมานใจมากขนาดไหน

“แฮม เกิดอะไรขึ้น !! หนูอยู่ไหน” และประโยคต่อมานี่เองที่เรียกความสนใจให้โชกลับมามองหน้าผม ผมแอบกัดริมฝีปากเบา ๆ ใจเต้นรัวเพราะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย

‘พี่ที...แฮม....ฮึก...แฮมติดเชื้อ HIV’


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 18:27:42 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
«ตอบ #11 เมื่อ16-07-2018 00:28:06 »

 :a5:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
«ตอบ #12 เมื่อ20-07-2018 02:06:35 »

น้องแฮมมม

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
«ตอบ #13 เมื่อ22-07-2018 11:58:32 »

คุณโชนี่เป็นนายเอกใช่มั้ย? ชอบทีมากแบบบรรยายได้ดีจริงๆ
น้องแฮมลูกกกกกกกก ซวยแล้ว

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.3 ให้ข้อมูล | 15/07/2561
«ตอบ #14 เมื่อ23-07-2018 21:42:46 »

นี่มัน....  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว | 24/07/2561
«ตอบ #15 เมื่อ24-07-2018 17:55:30 »

ขออนุญาตรีไรท์เนื้อหาเป็นด้านล่างแทนนะครับ ขอบคุณครับ ;3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2018 00:52:46 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว | 24/07/2561
«ตอบ #16 เมื่อ24-07-2018 18:35:08 »

 o13 o13 o13...

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.4 ความกลัว | 24/07/2561
«ตอบ #17 เมื่อ24-07-2018 21:30:04 »

เรียลได้ใจจริงๆ ชอบบบบบบบบบ  :katai3:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


Ep.4 FEAR




ผมตกใจจนเผลอสบถคำหยาบ ก่อนสติจะแล่นกลับมาด้วยความเร็วสูง พอสอบถามที่อยู่ในปัจจุบันของน้องแฮม ผมก็วางสายพร้อมเตรียมตัวออกไปหาเขา โอเค ก่อนอื่นผมต้องขอตัวกับโชก่อน  แต่จะบอกเขายังไงดีในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของแฮม

"โช ผมขอโทษนะ แต่ผมมีธุระด่วนมากจริง ๆ" ผมแสดงสีหน้าจริงจัง โชพยักหน้าเข้าใจแต่ก็บุ้ยปากให้ผมมองออกไปข้างนอก

"ไม่ว่าธุระของคุณจะเป็นอะไร แต่ให้ผมไปส่งแล้วกันนะครับ"

"อ่า"

"คุณต้องใจเย็นกว่านี้ รีบเกินไปก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะไวขึ้นนะครับ"

ผมสบตากับเขาอีกครั้ง และก็เป็นเขาเองที่พูดถูกต้อง ผมต้องใจเย็นมากกว่านี้ จากที่นี่กว่าจะไปถึงคลินิกนิรนามในตอนนี้ที่ฝนโครมครามเม็ดใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายชั่งใจแล้วผมก็ตอบตกลงกับเขาไป

"งั้นรบกวนด้วยนะครับ"

“ได้เลยครับ"

เราสองคนลุกออกไปจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มที่เคาเตอร์หน้าร้าน ก่อนโชจะนำผมก้าวขึ้นไปสู่ลานจอดรถในชั้นสอง เดินไปจนถึง BMW คันหนึ่งที่จอดไว้ เขากดปลดล็อกเบา ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปฝั่งคนขับ

จริง ๆ ก็รู้ตั้งแต่ตอนให้ทิปสองพันแล้วล่ะว่ารวย แต่ไม่คิดว่าจะรวยขนาดนี้

“ขออนุญาตนะครับ" ผมพูดก่อนก้าวขึ้นไปนั่งเบาะอีกฝั่ง โชพยักหน้ารับแล้วออกรถยนต์ไปตามเส้นทางที่ GPS บอก ผมนั่งมองถนนและสายฝน ในหัวกำลังพยายามหาทางรับมือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอนึกขึ้นได้ก็หยิบมือถือออกมาโทร.ออกไปหาใครบางคน

“ฮัลโหล มาร์ ทำงานรึเปล่า?” ผมถามหลังปลายสายรับสาย

'คุยได้ ๆ ว่าไงมึง' เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังออกมาจากปลายสาย ผมคิดว่าเขาคงอยู่ในห้างสรรพสินค้าสักแห่ง

“มึง คือกูอยากขอคอนแท็กพี่คนที่มึงเคยสัมภาษณ์อ่ะ คนที่เขาติดเชื้อ HIV มาตั้งแต่ปี 2530 " ผมว่า โชยังเป็นคนรักษามารยาทด้วยการทำทีไม่สนใจตามเดิม แต่ผมคิดว่าเขาคงสงสัยไม่น้อย

'ได้ แต่มึงยังบอกกูตอนนี้ไม่ได้ใช่ไหมว่าจะเอาไปทำอะไร?'

"ใช่ กูยังบอกไม่ได้ ขอโทษด้วย"

'ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวกูฟอร์เวิร์ดคอนแท็กไลน์พี่เขาไปให้ในไลน์มึง แล้วเดี๋ยวทักไปบอกพี่เขาไว้ว่ามึงจะแอดไป มึงก็จัดการคุยต่อละกัน'

"โอเคมากมึง แต๊งกิ้ว"

'เค มีอะไรให้กูช่วยก็บอกแล้วกัน'

"รักมึงจัง" ผมว่า ผมรักมันจริง ๆ นะ

'เหอะ มึงไม่ได้รักกูหรอก มึงรักพ..'

"สัส เออ แค่นี้นะ วางแล้ว ไม่รักมึงแล้วไอ้ครก" ผมรีบรัวเสียง ก่อนปลายสายจะพูดถึงสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา

หลังวางสายไลน์ของผมก็แจ้งเตือนมาว่าไอ้มาร์ส่งคอนแท็กไลน์ของพี่เขามาให้ผมแล้ว ผมแอดไปก่อนจะทักทายอีกฝ่าย ไม่นานเจ้าของไลน์นั้นก็ตอบกลับผมมา

ผมสนทนาตอบกลับไป ก่อนจะขออนุญาตโทรไลน์หาพี่เขา แจ้งความประสงค์ถึงเรื่องที่อยากจะรบกวน ผมดีใจจนยิ้มออกมาที่พี่เขาเข้าใจ และเห็นด้วยกับความคิดเห็นของผม เรานัดแนะเวลาที่สะดวกสำหรับเรื่องที่คุยกันเสร็จสรรพเรียบร้อยก็วางสายไป

"คุณมีสติมาก" โชกล่าวหลังผมวางสาย

"คนไม่มีสติน่ะ ช่วยแก้ไขปัญหาให้ใครไม่ได้หรอกคุณ ผมแค่พยายามควบคุมสติของตัวเองเท่านั้นเอง"

"คุณเป็นคนฉลาดนะ รู้ตัวไหม?" เขาชม ผมส่ายหน้าช้า ๆ ถ้าผมฉลาดจริง ๆ คุณจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้กับผมได้ยังไงกัน? คุณต้องจับผมไม่ได้แล้ว

บทสนทนาของเราเงียบลงไปชั่วครู่ ก่อนโชจะพูดระหว่างเหลียวมองกระจกด้านหลังแล้วหมุนแฮนด์รถไปทางเลนขวามือ

"คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงต้องมาสัมภาษณ์คุณถึงขนาดมาเจอกันตัวเป็น ๆ แบบนี้" เขาถาม ผมพยักหน้ารับ

"ผมไม่รู้นักเขียนคนอื่นเป็นแบบผมไหม แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าจะเขียนเรื่องให้อินจาก 'ประสบการณ์มือสอง' ผมต้องเอาตัวเองลงไปเจอ ซับเหตุการณ์  ให้ได้" โชว่า ผมขมวดคิ้วแล้วถามกลับ

"ซับเหตุการณ์คืออะไร?"

"จริง ๆ มันเป็นคำที่ผมสร้างเองนะ ถ้านิยามของผม ซับเหตุการณ์คือ เหตุการณ์ที่แทรกขึ้นมาระหว่างเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินต่อเนื่องกัน เช่น วันนี้ผมมาสัมภาษณ์คุณ ถ้าเป็นนิยาย เรื่องมันอาจจะโฟลว์โดยไม่มีสะดุด สัมภาษณ์คุณจนจบโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรมาแทรก แต่พอมีมาแทรกปุ๊บ เนี่ยแหละ มันจะทำให้เนื้อเรื่อง 'ดูเหมือน' ว่ามีเค้าลางของเรื่องจริง

 ซึ่งคุณนึกออกไหม สมมติคุณเป็นหมอ คุณทำงานทุกวัน คุณจะเจอเหตุการณ์ที่หมอทั่วไป 'มีโอกาส' ที่จะเคยเจอหรือเกิดขึ้นกับคุณ พอคุณเขียนออกมา คนเป็นหมอมาอ่านก็จะแบบ ว้าว ทำไมเรื่องนี้มันดูเรียลจัง อะไรทำนองนี้ทั้ง ๆ ที่คุณไม่ได้เป็นหมอ"

ผมพยักหน้านึกตามที่เขาบอก ก็จริงแฮะ ถ้าอย่างผมเป็นแอคเค่อ แล้วลองอ่านนิยายเรื่องแอคเค่อ ถ้ามีเหตุการณ์ไหนที่เคยเกิดขึ้นหรือสามารถเกิดขึ้นได้จริง ผมคงรู้สึกว่านี่มันเป็นมากกว่านิยาย แต่คล้ายกับเอาเรื่องเล่าหรือประสบการณ์ส่วนตัวมาเขียน ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองอาจจะไม่เคยเล่นแอปพลิเคชันต่าง ๆ หรือคนแต่งอาจจะเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ

"อีกอย่างคือ 'ประสบการณ์มือสอง' น่ะ มันมีข้อควรระวังในการใช้ ผมอาจจะสามารถสัมภาษณ์คุณได้ 100 % ก็จริง แต่กลิ่น 'บรรยากาศของเรื่องราว' อาจจะไม่ติดมาด้วยเลยด้วยซ้ำ

 เพราะเวลาเราจะเขียนนิยายสักตอน เราต้องนึกให้ออกถูกไหม ว่าสถานการณ์ตอนนั้น อารมณ์กำลังอยู่ในโทนไหน เหตุการณ์กำลังดำเนินไปในรูปแบบใด มีอะไรที่ควรทิ้งไว้เป็นตัวบอกใบ้ หรือมีอะไรที่ควรจะเฉลยเลยรึเปล่า

และต่อให้ถ่ายทอดออกมาได้ ก็ไม่ 100 % ถ้าไม่ได้ลองสัมผัสด้วยตัวผมเอง ดังนั้นแล้วผมถึงต้องสัมภาษณ์ชนิดที่ว่าละเอียดยิบเพื่อสามารถถ่ายทอดความเป็นแอคเค่อของคุณได้ออกมาโดยไม่สูญเสียหรือแต่งเติมอะไรให้มันมากเกินไปหรือน้อยเกินไป...."

โชพูดต่อ ก่อนจะเสหน้าออกไปนอกรถ

"ผมไม่อยากตัดสินใคร แม้โลกจะตัดสินเราอยู่ตลอดเวลาก็ตาม...."

สายตาของเขาฉายแววเศร้าออกมา แค่แว่บเดียว เพียงชั่วพริบตาก็หายไปพร้อมกับเม็ดฝน

"โลกก็คือโลก โลกมีทั้งสีขาว สีดำ สีเทา และโลกไม่ได้มีแค่สีใดสีหนึ่ง คนที่พยายามบอกว่าโลกเป็นสีอะไร ก็แค่คนที่ไม่สามารถยอมรับได้ว่าบางสิ่งไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งเดียว ตอนนี้เป็นสีนี้ พรุ่งนี้เป็นอีกสี วันวานอาจจะไม่ใช่สีเดียวกัน และวันต่อ ๆ ไปก็ไม่สามารถคาดเดาได้อยู่ดีว่าจะมีสีอะไรเกิดขึ้นได้อีก"

"......"

"ผมชื่นชมที่คุณไม่ตัดสินผมหรือการกระทำของผม แต่ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเราจะทั้งโดนตัดสินและตัดสินคนอื่น มันเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ อาจจะพูดก็ได้ว่าโลกมันก็เป็นแบบนี้ คุณเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่คุณเปลี่ยนให้คนอื่นเข้าใจโลกในมุมมองของคุณได้มากขึ้นผ่านงานเขียนของคุณ นั่นเป็นสิ่งที่คุณทำได้ และคุณทำได้ดี" ผมพูด เว้นวรรคให้เขาได้ย่อยความคิดก่อนจะพูดต่อ

"เพราะงั้นแล้วต่อให้วันพรุ่งนี้โลกทั้งใบกำลังตัดสินคุณ ก็ไม่เท่าตัวคุณตัดสินตัวคุณเอง..."

เราทั้งสองคนเงียบลงอีกครั้ง เหลือเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ผ่านกระจกที่ส่งให้  ต่อกัน แม้วันนี้สัมภาษณ์ของโชอาจจะไม่สามารถเก็บครบได้ 100 % แต่อย่างน้อย ๆ ผมรู้สึกว่าเราเข้าใจกันและกันมากขึ้นไม่มากก็น้อย รถยนต์เคลื่อนที่ฝ่าถนนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งโชจอดรถตามพิกัดโลเคชั่นที่ผมบอกเขา ร่างเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ใต้ป้ายจอดรถเมล์ที่เลิกใช้งานไปแล้ว โชจอดเทียบริมฟุตบาธ ก่อนผมจะรีบลงไปหาเขา

"น้องแฮม !!"

เด็กแฮมเงยหน้าตามเสียงเรียกของผม ตาตี๋เล็ก ๆ คลอเบ้าไปด้วยน้ำตา ใบหน้าไม่เหลือรอยยิ้มใด ๆ เหมือนกับเจ้าเด็กกิจกรรมตัวดีที่ผมเคยเจอที่ค่ายแนะนำคณะของผม แฮมยกสองมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา ก่อนจะก้าวไว ๆ มากอดผม

"พี่ทีเร็กซ์ ผมควรจะทำยังไงดี ผมผิดไปแล้ว ผมทำให้ตัวเองกลายเป็นคนแย่ ๆ ไปแล้วพี่" เจ้าแฮมพูดอู้อี้ น้ำหูน้ำตาไหลไม่เป็นทางจนเปรอะเสื้อของผม ผมยังไม่พูดอะไร แค่ลูบหัวให้กำลังใจก่อนจะหันไปมองหน้าโช

"ขึ้นรถก่อนแล้วกันนะคุณ ตรงนี้คงยังไม่เหมาะ คุณไปนั่งข้างหลังกับน้องแล้วกันนะครับ" โชว่า สายฝนยังเทลงมาหนักแบบที่เขาว่าจริง ๆ ผมเม้มปากหนักใจเพราะคิดว่ามันอาจจะไม่สมควรรึเปล่าที่ผมไปนั่งด้านหลังกับน้องสองคน เหมือนโชอ่านใจผมได้ เขาส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ

"ผมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้ ไปนั่งข้างหลังเถอะครับ น้องยังต้องการคุณในเวลานี้" พอเขาพูดออกมาแบบนั้นผมก็ตอบรับด้วยความยินดีในความเข้าใจของเขา ผมถือกระเป๋าจาคอปของเจ้าแฮมก่อนจะพยุงน้องมันเดินไปขึ้นรถด้านหลัง ตามด้วยโชที่อ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ

ผมลังเลเล็กน้อยในการบอกจุดหมายปลายทาง แต่สุดท้ายแล้วสถานการณ์ตรงหน้าสำคัญกว่า ลองได้มาด้วยกันขนาดนี้แล้วต่อให้ไม่อยากไว้วางใจเขา เราก็ต้องไว้วางใจในการตัดสินใจของตัวเราเอง ในเมื่อเลือกแล้วว่าจะเชื่อใจ ผมก็ไม่ควรจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับสถานที่ ๆ ต้องการให้เขาพาไปอีก

"โชครับ ไปส่งผมที่หอผมหน่อยนะ"

"อืม"

บางครั้งคนเราก็ทำได้แค่เพียงภาวนากับการตัดสินใจของตนเองว่า มันจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

ผมไม่อยากตอบผิดอีกเป็นครั้งที่สอง



ฟ้าฝนไม่เป็นใจที่แท้จริง แม้กระทั่งขับกลับมาจนลงทางด่วนมาแล้ว ก็ยังมีเม็ดฝนโปรยปราย ผมถอนหายใจเหม่อมองออกไปนอกตัวรถ น้องแฮมร้องไห้สลับกับโทษตัวเองไปมาจนหลับไปแล้ว ผมขยับเสื้อกันหนาวของเจ้าตัวขึ้นมาคลุมก่อนจะเปิดปากพูดต่อ

"ถ้าไปถึงหอผมแล้วฝนยังตกแบบนี้ คุณขึ้นไปรอฝนหยุดตกที่หอผมก่อนแล้วกันนะ"

"จะดีเหรอ?" เขาถาม พลางมองกลับมาที่กระจกมองหลัง

"แล้วขับรถฝ่าฝนตกหนัก ๆ ไปมามันปลอดภัยตรงไหน ? ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร แต่ผมคิดว่าผมคิดดีแล้ว คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย" ผมย้อนเขากลับ เจ้าตัวจุ๊ปากเบา ๆ ก่อนจะต่อปากต่อคำกับผมต่อ

"ก็กระทั่งไลน์กับเบอร์โทรศัพท์คุณยังไม่ให้ผมเลย อย่างวันนี้ที่มา ผมยังสองจิตสองใจเลยว่าถ้าคุณไม่มาตามสถานที่ที่นัดหมายหรือติดต่อคุณขึ้นมาไม่ได้จะทำยังไง ผมจะขับรถข้ามประเทศมาเก้อรึเปล่า?"

ผมเงียบเพราะไม่รู้จะตอบอะไร จริงอย่างที่โชว่า แม้จะรับปากกันไปแล้ว แต่มันไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่ว่าผมจะมาตามนัด กระทั่งรูปถ่ายแบล็คเมล์นั้นผมก็ลบทิ้งไปแล้ว ถ้าผมจะไม่มาอย่างมากโชก็ทำได้แค่ไปหาร้านกู้ข้อมูล ยอมเสียเงินเพื่อเอาเรื่องผมไปขายล้างแค้นก็เท่านั้น

ที่ไม่ให้ช่องทางการติดต่อ ก็อย่างที่บอกไปอ่ะครับ ผมต้องป้องกันตัวเองก่อน เรียนให้ทราบตามตรงว่าผมก็รำคาญกับนิสัยหวาดระแวงและสัตว์ป่าในร่างตัวเองไม่น้อย แต่จากการใช้ชีวิตคนเดียวมาหลายปี สัญชาตญาณสัตว์ป่าของผมแม่นมากจนผมไม่กล้าออกนอกลู่นอกทาง แม้กระทั่งเหตุการณ์ใหญ่ก่อนหน้าที่จะเจอกับโช สัตว์ร้ายในร่างผมก็ตอบได้แม่นมาก อาจจะเพราะฝ่าฝืนความรู้สึกของตัวเองรึเปล่า ถึงทำให้เจอกับเรื่องแบบนั้น?

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่นานก็ถึงหอพัก ผมบอกให้โชจอดรถพร้อมปลุกน้องแฮมให้งัวเงียตื่นขึ้นมา เจ้าตัวสะดุ้งพร้อมตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้น้ำหููน้ำตาไหลอีกรอบเหมือนมีคนไปกดปุ่มสตาร์ทจนผมต้องปลอมประโลมให้มีสติขึ้นพอจะเดินไหว เราเดินเข้าทางประตูหน้าก่อนจะผมจะกดแตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู

ผมกดลิฟท์แสดงหมายเลขชั้นเจ็ด น้องแฮมสะอื้นตัวสั่นซุกหน้ากับแขนผมตลอดเวลา ประตูลิฟท์เปิดออกก่อนผมจะพาโชและเจ้าแฮมเดินมายังห้องริมสุดติดกับบันไดหนีไฟ 7012 คือหมายเลขห้องพักของผม ผมคว้านหากุญแจ เสียบ แล้วไขออกพร้อมหันมามองหน้าโช

"ห้องผมรกหน่อยนะ แล้วก็ ...welcome to my land"

แสงไฟในห้องสว่างขึ้นหลังจบประโยค ผมพาน้องแฮมไปนอนลงที่เตียงก่อนเจ้าตัวจะซุกหน้ากับหมอนแล้วนอนร้องไห้ไปแบบนั้น ผมหันไปมองเข็มนาฬิกา อีกสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะถึงเวลานัดหมายกับคุณคนนั้น ผมโบ้ยปากออกไปทางริมระเบียงเป็นเชิงให้โชเดินตามผมไป

"ห้องสวยดี" เขาว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าห้องที่มีแต่วอลเปเปอร์ทีมแมนยูฯมันสวยยังไง

"คุณสูบบุหรี่ไหม?" ผมถาม แล้วส่งบุหรี่ที่อยู่บนชั้นระเบียงให้เขา หลังจากโชพยักหน้า เขาคาบไว้ ป้องปาก และจุดไฟ ต่างจากผมที่คาบบุหรี่ไว้เฉย ๆ

"คุณชวนผมออกมานอกระเบียงเพื่อจะดูคุณคาบบุหรี่ไว้เฉย ๆ อ่ะนะ?" เขาทัก หลังผมแค่คาบบุหรี่ไว้แต่ไม่สูบ

"ผมไม่สูบบุหรี่...." ผมว่า

....จริง ๆ คือ ผมสูบบุหรี่ไม่ได้อีกแล้ว

โชยังเป็นคนมีมารยาทตามเดิม เอาจริง ๆ ผมชอบคนแบบนี้มาก ๆ เลยนะ คนที่รู้จังหวะว่าอะไรควรพูด อะไรควรถาม อะไรควรมองข้ามไป อย่างน้อย ๆ อยู่ด้วยแล้วคนพวกนี้จะไม่สร้างความไม่สบายใจให้คุณด้วยการรุกล้ำกล่องดำที่คุณเก็บซ่อนไว้ภายในใจ ผมคงสบายใจมาก ๆ ถ้าเขาเป็นคนแบบนี้ตลอดไปที่เรารู้จักกัน

"น้องแฮม...ติดเชื้อ HIV น่ะ" ผมว่า โชพ่นควันออกมาแล้วพยักหน้ารับ

"น้องยังเด็กอยู่มาก คงไม่แปลกอะไรถ้าจะสติแตก" เขาให้ความเห็น ผมมองกลับเข้าไปในห้อง เจ้าแฮมยังหลับอยู่ พอมองนาฬิกา แล้วก็เห็นว่า อีกสักพักกว่าจะถึงเวลานัดหมายกับคนอีกคน ผมเลยพูดต่อ

"คุณว่าอะไรที่ทำให้คน ๆ หนึ่งสติแตกได้ขนาดนี้หลังพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย...หรือหมายถึงน้องแฮมก็ได้" ผมตั้งคำถาม โชขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับมา

"เพราะว่ามันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เป็นแล้วต้องเป็นตลอดชีวิต?"

"นั่นก็ถูก แต่เรากำลังพูดถึงสังคม พศ.2560 กันนะคุณ โลกเราตอนนี้มีงานวิจัยออกมามากมายว่าต่อให้คุณป่วยเป็น HIV ถ้าคุณดูแลสุขภาพ ทานยาตรงเวลา ทำจิตใจให้แจ่มใส คุณก็สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้มากกว่าคนปกติเสียด้วยซ้ำไป

หรือจริง ๆ นอกจาก HIV แล้วก็ยังมีโรคอื่นอีกเยอะแยะเต็มไปหมดที่น่ากลัวกว่า HIV ด้วยซ้ำ แต่ .. Why ? ทำไมละ ทำไมพอเป็นโรคนี้แล้วคน ๆ หนึ่งถึงได้หวาดกลัวได้ขนาดนี้" ผมทิ้งคำถามให้เขาได้คิดต่อ

"คุณกำลังจะพูดถึงภาพจำของสังคมที่มีเกี่ยวกับตัวผู้ป่วย?" โชพูดพร้อมทำตาโต

"บิงโก คุณเริ่มมองสังคมแบบที่ผมกำลังมองขึ้นมาแล้วส่วนหนึ่ง" ผมว่า สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ

"ผมถึงพูดเสมอว่า 'สื่อ' ทุกประเภทมีผลต่อคนในสังคม เราฟอลโล่วกันและกัน คนทั่วไปนะอาจจะคิดว่าสื่อน่ะสร้างออกมาเพื่อเป็นต้นแบบให้คนในสังคม แต่สังคมก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าสื่อฟอลโล่วตามสังคมที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทอะไรก็ขับเคลื่อนตามกระแสที่สังคมพาไปทั้งนั้น

ตลกดีที่สังคมที่มีอำนาจในการฟอลโล่วอัพสื่อกลับไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงทั้งสังคมที่ตัวเองอยู่ และทั้งสื่อที่ขับเคลื่อนตามตัวเอง"

"อ่า...." โชครางรับคำและพยักหน้าเห็นด้วยตาม

"น้องแฮมน่ะ ..เด็กนั่นแม้จะใสซื่อ แต่ไม่ได้โง่ ภาพที่คุณเห็นตอนนี้ คือภาพของเด็กสิบหกคนหนึ่งที่กำลังสติแตกและตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง ท่ามกลางสังคมที่ติดภาพจำไปว่าคนติดเชื้อ HIV เท่ากับสำส่อน ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีรายละเอียดมากมายมากกว่าแค่คน ๆ หนึ่งไม่ได้ป้องกันตัวเองตอนกำลังมีเพศสัมพันธ์

โอเค คุณอาจจะบอกก็ได้ว่าเขาโง่เองที่พลาด ซึ่งก็พลาดจริง ๆ แต่คนผิดพลาดไปแล้วคือผิดพลาด เขาแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่ได้แล้ว แต่เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาหลังความผิดพลาดนั้นได้"

ผมเชื่อมั่นในตัวเจ้าแฮมและเชื่อมั่นในตัวคนรอบ ๆ เจ้าแฮม โดยเฉพาะ สองแฝด และ หนึ่งโต ถ้ายังมีเพื่อนที่ดีอยู่รอบ ๆ ตัวแบบนั้น ไม่ว่าจะเกิด อะไรขึ้น ผมว่าแฮมจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวของเขาเอง

"คุณรู้ไหมว่าเกย์ในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมไปตรวจเลือด? เพราะความกลัวยังไงล่ะ แค่คุณคิดจะไปตรวจเลือดก็จะมีคนบางคนความคิดบางอย่างแล่นออกมาแล้วว่าคนไปตรวจเลือดเท่ากับสำส่อน ทั้ง ๆ ที่จริงการตรวจเลือดมันก็แค่การเช็กสุขภาพในรูปแบบหนึ่งด้วยซ้ำ การตรวจเลือดไม่ได้บอกได้ว่าคุณมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อ แต่ยังบอกว่าในกระแสเลือดของคุณมีอะไรอยู่บ้าง

คนบางคนกลัวการไม่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม การถูกกีดกัน มากกว่ากลัวตัวเองจะอายุสั้นเพราะไม่ได้รับยาอีก จริงอยู่ มันเป็นเรื่องความรับผิดชอบของตัวบุคคลต่อสังคม แต่เราก็ต้องยอมรับว่าอีกด้านสังคมก็มีผลต่อการตัดสินใจกระทำการใด ๆ ของคน ๆ หนึ่งเช่นกัน"

ผมพูดยาว ก่อนเว้นวรรคแล้วสำทับอีกครั้ง

"ถ้าเราคิดว่าสังคมที่เราอยู่มันเหี้ย เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเรากำลังอยู่ ในสังคมแบบไหน และเรามีส่วนมากน้อยเพียงใดที่ทำให้เกิดสังคมแบบนี้ขึ้นมา สำหรับผมแล้วคนทุกคนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบกับสังคมกันทั้งนั้น คุณอาจจะบอกก็ได้ว่าแม่งไม่ใช่เรื่องของคุณ แต่ตราบเท่าที่คุณยังอยู่ในสังคม ทุกการกระทำของคุณส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสังคมไม่ว่าคุณจะเข้าใจหรือไม่ก็ตามแต่ ...นั่นแหละคือสังคมของ 'มนุษย์'"

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 19:07:01 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เรานิ่งกันไปเนิ่นนาน เหม่อมองเพียงควันบุหรี่จาง ๆ ที่ลอยไปรอบ ๆ ตัว

"นอกจากนั้นแล้ว ผมจะเล่าถึงเหตุการณ์ ๆ หนึ่งให้ฟัง ว่าสังคมมีส่วนร่วม ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง ... ตอนผมปีหนึ่ง ผมได้ออกไปทำค่ายอาสาต่างจังหวัดเกี่ยวกับปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายที่ตัวเองออกมาเยอะมาก ๆ

สิ่งที่พวกผมคิด คือการหาทางป้องกันให้กับน้อง ๆ ด้วยการแจกถุงยางอนามัยและสอนการสอดใส่อย่างถูกวิธี สถิติทางตัวเลขบอกกับเราว่ายอดการตั้งครรภ์น้อยลง พวกเราดีใจกันมาก พอปีถัดมาเราตั้งใจไปทำค่ายเดิมอีกครั้ง แต่ชาวบ้านกลับขับไล่และบอกว่าพวกเรากำลังทำให้เด็กพวกนั้นใจแตก"

"อ่า...."

"ปีถัดมา ยอดตัวเลขกลับมาเท่าเดิม...อาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ" ผมยิ้ม แค่นหัวเราะด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกแบบไหนกันอยู่ เราเงียบกันไปหลายนาทีกับข้อความที่เราสนทนาแลกเปลี่ยนกันไปมา สักพักใหญ่ ๆ โชก็ทำตาโต ก่อนจะรีบเปิดกระเป๋าแล้วหยิบแลปท็อปขึ้นมา

"คุณทำให้ผมคิดได้แล้ว"

"อะไรนะ?" ผมงง

"ผมนะ ตอนแรกคิดมาตลอดเลยว่าจะนำเสนอเรื่องแอคเค่อยังไงดี กับสังคมที่คนส่วนใหญ่มองว่าพวกที่ one nigth stand น่ะเป็นพวกสำส่อนหรือมีความผิดปกติทางจิตใจ ผมคิดว่าจะทำยังไง ให้นำเสนอออกมากลาง ๆ แบบที่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่คุณทำมันผิดหรือถูุก จะทำยังไงที่จะเป็นแค่โจทย์ที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด จะเขียนยังไงให้ไม่ชี้นำว่ามันเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่ดี ผมอยากทำแค่โยน message ลงไปแล้วให้ผู้อ่านเป็นคนตัดสินใจเอาเอง ว่าจะตอบคำตอบแบบไหน                 

แล้วผมก็คิดได้ว่า เห้ย งั้นทำไมผมถึงไม่เล่าถึงเรื่องของ แอคเค่อ ในมุมมองของคนที่มาหาข้อมูลแบบตัวผมเองกับคุณเลยล่ะ คือไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่ทำมันดีหรือไม่ดี แค่บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ สร้างซีนสัมภาษณ์เหมือนที่ผมกำลังทำกับคุณ แล้วก็โยนให้คนอ่านตัดสินใจเอาเองเลยว่ามันดีไม่ดียังไง ผมว่ามันน่าจะแฟร์ที่สุดแล้วในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง"

"what ? หมายถึงคุณจะเอาเรื่องที่คุณมาสัมภาษณ์ผมอ่ะนะ ไปเขียนเป็นนิยาย"

"อื้ม คร่าว ๆ ที่ผมสเก็ตช์ไว้ในหัวคือจะจำลองสถานการณ์ว่านักเขียนสักคนหนึ่งที่ต้องการเขียนเรื่องแอคเค่อแล้วมาสัมภาษณ์แอคเค่อด้วยกลวิธีต่าง ๆ เพื่อนำไปสร้างเป็นงานเขียน

แบบนี้นอกจากจะเรียลแล้วมันจะได้สามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเขียนชี้นำไง ให้อิสระกับคนอ่านไปเลยว่าคิดยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณว่าเป็นไง?" เขาถามกลับ นิ้วมือรัวคีย์บอร์ดจดสาระสำคัญ ๆ ที่ผมยังไม่เข้าใจว่าจะจดเอาไว้ทำไม

"ก็ได้นะ แต่ยังไงก็ช่วยเปลี่ยนข้อมูล สถานที่ต่าง ๆ ไม่ให้สามารถรับรู้ได้แล้วกันว่าใครคือผม ตกลงไหม?"

"แน่นอน แล้วถ้ามันทำได้จริง ....มันอาจจะเป็นอีกส่วนที่ช่วยลบความกลัวของผมด้วยก็เป็นได้”

"เรื่องที่คุณกลัว?" ผมถามกลับ ยกตัวขึ้นไปนั่งพิงระเบียง 

"จริง ๆ ผมไม่อยากพูดถึงมันเลย แต่ไหน ๆ คุณก็ให้ผมได้ทำความรู้จักกับคุณแล้ว ดังนั้นผมจะให้คุณได้รู้จักโลกของผมบ้างก็แล้วกัน ...ผมน่ะ กำลังกลายเป็นนักเขียนที่หมดไฟ ผมท้อแท้จนเขียนนิยายไม่จบมาหลายเรื่องแล้ว" เขาพูด พร้อมพ่นควันออกสุดสาย แล้วขยี้ปลายบุหรี่ทิ้งในที่เขี่ยบุหรี่

"แรกเริ่มแล้ว ผมใช้งานเขียนเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพราะงานเขียนเป็นสนามรบที่ใคร ๆ อยากทำก็ทำได้ และต่อให้คุณมีต้นทุนที่ดีกว่าก็ไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป

ผมเขียนเพราะผมอยากเขียน นิยายเล่มแรกที่ผมเขียนออกมาได้รับคำวิจารณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบ ทั้งบอกว่าไม่สมเหตุสมผลบ้าง ทั้งไม่สนุกบ้าง จบไม่ตรงใจบ้าง แต่ผมกลับดีใจทุก ๆ รีแอคชั่นที่ตอบกลับมา....." โชเว้นช่วงไปสักพักแล้วพูดต่อ

"แต่พอมาตอนนี้ ผมกลัว...กลัวที่จะเขียนงานชิ้นใหม่ ๆ ออกมา ผมถูกดึงเข้าไปอยู่ในโลกของทุนนิยมที่ปลายทางของการทำงาน ความประสบผลสำเร็จ ถูกวัดเป็นมูลค่าจากกระแสตอบรับหรือยอดขาย คือคุณเข้าใจใช่ไหมว่าทำงานน่ะมันต้องหวังผลตอบแทน มันเป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นงานที่เรารัก แต่มันคงไม่ดีแน่ ๆ ถ้ามันทำให้เราอิ่มไม่ได้

ท้องผมอิ่มก็จริงแต่หัวใจผมกำลังห่อเหี่ยว ยิ่งนิยายเล่มหลัง ๆ ของผม ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้รับการยอมรับเพราะนามปากกาของผม ผมยิ่งรู้สึกกลัวว่าจริง ๆ แล้วผมกำลังขายงานได้เพราะแค่บุญเก่ารึเปล่า? ผมถึงขนาดว่าจะเขียน แต่ละฉากแต่ละตอน ต้องมานั่งพะว้าพะวงว่าคนอ่านจะเข้าใจผมไหม จะเข้าใจกับการตัดสินใจของตัวละครรึเปล่า จะตัดสินพวกเขาไหม จะยังสนใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมต้องการสื่อสารต่อไหม ผมกลัวไปหมดเลย"

"คุณดูแคลนตัวเองไปรึเปล่า?" ผมตั้งข้อสังเกต โชส่ายหน้าช้า ๆ

"ผมไม่ได้ดูแคลนตัวเอง แต่ผมกลัวจริง ๆ ครั้งหนึ่งผมเคยเขียนให้ตอนจบไม่ได้จบลงด้วยความรักที่ดีงามแต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ของพวกเขาทั้งสองคน นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ผมโดนวิจารณ์อย่างเละเทะ ยอดขายต่ำจนผมรู้สึกว่าผมผิด ใช่ไหมที่มองว่าความรักมันมีวันหมดอายุ ผิดไหมที่บางครั้งความรักมันเป็นแค่การเรียนของคนสองคนในชั่วระยะเวลาหนึ่ง และตอนจบของเรื่องราวบางอย่างไม่ได้แปลว่าต้องสมหวังเสมอไป มันไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้เหรอ?"

"แล้วหลังจากนั้นมา ก่อนจะเขียนนิยายสักตอน ผมต้องมานั่งถามตัวเองว่าผมกำลังทำอะไร ผมกำลังทำให้ทุกคนพอใจในผลงานของผมโดยมองข้ามความรู้สึกของตัวผมเองรึเปล่า?  นี่ใช่นิยายที่ผมอยากเขียนจริง ๆ เหรอ นี่ใช่เรื่องราวที่ผมต้องการบอกทุกคนจริง ๆ ใช่ไหม ผมสงสัย สับสน และตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอด"

"......."

"เพราะงั้นแล้ว...ผมอยากพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง"


"พิสูจน์ตัวเอง?"

"อืม ผมตั้งใจว่าจะถอดนามปากกาเดิมทิ้งไป อาจจะตลกดี แต่ผมอยากกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจากศูนย์ ผมอยากลองเป็นผม เป็นแค่ตัวผมเอง อยากลองดูว่าถ้าไม่ใช้นามปากกาเดิมแล้วผมยังมีฝีมือมากพอให้คนมาตามงานของผมรึเปล่า ผมยังสามารถทำให้พวกเขาสนุกสนาน หัวเราะ ร้องไห้ ไปกับเรื่องราวที่ผมเขียนขึ้นมาไหม

และท้ายที่สุดแล้ว ผมยังจะได้รับแรงสนับสนุนและกำลังใจจนจบเส้นทาง นี้ไหม...หรือผมอาจจะท้อแท้จนเลิกล้มกลางคัน ปล่อยให้มันกลายเป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ไม่มีตอนจบก็เป็นไปได้ทั้งนั้น"

"คุณ..ฝืนตัวเองไปรึเปล่า?" ผมถาม

 แม้จะไม่เข้าใจเขามากนัก แต่ผมเองก็เคยเริ่มต้นใหม่ตอนทวิตเตอร์ปลิว การต้องมาสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ ให้โดนใจผู้คนจนยอดฟอลโล่วกลับมาเท่าเดิมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเริ่มต้นจากศูนย์ที่แปลว่าคุณจะไม่สามารถใช้กระแสจากบุญเก่าได้ นั่นแปลว่าทุกอย่างจะถูกตัดสินจากทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่จริง ๆ

"ไม่หรอก ผมไม่ได้ฝืน มันเป็นแค่บททดสอบสำหรับคนหมดไฟในตัวเอง สำหรับผมแล้ว ถ้านิยายของผมทำให้คนอื่นมีความสุขได้ ผมก็อยากจะบอกพวกเขาเหมือนกันว่าทุกสิ่งที่เขาตอบกลับให้กับตัวผมไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นท์ การกดไลก์ กดแชร์ หรือแม้กระทั่งยอดขาย ทั้งหมดคือกำลังใจในการทำให้ผมสามารถยืนหยัดได้ในวันที่ผมล้มลง ผมน่ะ ไม่ใช่พวกชอบร้องขออะไรจากใคร ผมแค่รู้สึกว่าการได้รับโดยไม่ได้ร้องขอมันมีมูลค่ามากกว่าเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่าเราอยากได้อะไรจากพวกเขา เพราะงั้นแล้วผมว่า ผมจะต้องทำมันให้ได้"

"ผมเชื่อมั่นว่าผมสามารถเขียนนิยายที่ทำให้คนอ่านยิ้มได้ โดยสามารถส่งสาส์นที่ตัวเองตั้งใจออกมาได้ไปในเวลาเดียวกัน ผมทำได้แค่เชื่อมั่นและภาวนาในความพยายามของตัวเองเท่านั้น ถ้าผลงานของผมมันดีมากพอ ผมเชื่อมั่นว่ามันจะสามารถส่งไปถึงใจของผู้อ่านได้แน่ ๆ"

โชยิ้มโดยไม่ฝืน แววตาทั้วสองข้างมั่นคงในคำพูด ฟันคูู่สวยคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

"ถ้าแบบนั้นแล้ว ผมก็ขออวยพรล่วงหน้าให้คุณและงานเขียนของคุณประสบความสำเร็จอีกครั้งครับ" ผมให้กำลังใจเพราะรู้ว่าหนทางข้างหน้าของโช คงยากลำบากมากโข เราสองคนเงียบลงไปก่อนที่เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรออก

"เออ อันนี้เป็นค่าเหนื่อยสำหรับวันนี้" เขาว่า พลางทำท่าหยิบแบงก์พันขึ้นมาจากกระเป๋า

"โน ๆ ผมว่าไม่ต้องให้ผมหรอก เราคุยกันยังไม่ถึงครึ่งชมด้วยซ้ำ" แม้จะตกลงกันไว้แล้วว่าจะมีค่าสัมภาษณ์ แต่ผมไม่อยากเอาเปรียบเขา เพราะมันยังไม่เต็มเวลาที่เราตกลงกันเลยด้วยซ้ำ

"ไม่หรอก คุณรับไปเถอะ ยังไงผมก็ได้กำไรเป็นกำลังใจในการทำงานแล้วไง" โชดื้อ และยื่นแบงก์พันมาตรงหน้าผมอีกครั้ง

ผมเม้มปาก หลับตา และถามตัวเอง สัตว์ร้ายในร่างกายของผมก้มหมอบในเชิงลักษณะไม่ยินดียินร้าย จมูกฟุดฟิดไปมาราวกับกำลังทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่พึ่งเข้าฝูง ผมตัดสินใจได้ในทันทีแล้วบอกกับเขาไป

"เอางี้แล้วกัน ผมไม่รับเงินของคุณแล้วล่ะ แต่คุณกับผม เรามาแลกเปลี่ยนกัน"

"ครับ?" โชทำหน้างง ผมสูดลมหายใจลึก ๆ อีกครั้งก่อนจะกล่าว

"ผมบอกว่า เรามาแลกเปลี่ยนโลกของกันและกันดูไหม?"

"....."

ผมตอกย้ำคำพูดของตัวเองด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลดล็อก แล้วกดเข้าไปที่ไลน์ของตัวเอง

"เริ่มต้นด้วยการรู้จักผมจริง ๆ จัง ๆ ... คุณว่าแบบนี้จะดีไหม?"

โชไม่ตอบคำถาม แต่รับมือถือของผมไปกดไอดีไลน์ของเขา

"อืม...ยินดีอีกครั้งที่เราได้รู้จักกันครับ ทีเร็กซ์"

เรายิ้มให้กันและกันอีกครั้งในลักษณะที่ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นกันด้วยการทำความรู้จักกันจริง ๆ จัง ๆ ตอนนั้นเองที่ไลน์ของผมสั่นแจ้งเตือน ผมยิ้มออกมาหลังเห็นข้อความของบุคคลที่ได้ทำการนัดหมายกันว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับการให้ความช่วยเหลือแก่เรื่องที่ผมขอร้อง

"ได้เวลา wake up เจ้าเด็กน้อยแล้วละ..."



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 19:13:37 โดย พ่อแมวพุงโต »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ powl-the-2nd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
เราเพิ่งได้เข้ามาอ่าน เขียนได้เท่จังเลยค่ะเราชอบมากก อยากมาให้กำลังใจในนี้เยอะๆ  :กอด1:
ก่อนอื่นเลยคือประทับใจlogicของตัวละครทั้งคู่ เราอินกับคำพูดของทีเร็กซ์เป็นพิเศษเพราะมีมุมมองต่อค่านิยมในสังคมและต่อสิ่งรอบๆ ตัวคล้ายเราเลย555
ส่วนสำนวนในเรื่องออกโทนเย็น (อธิบายไม่ค่อยถูก555) แต่ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยายจากนักเขียนที่เคยเขียนแนวความเรียงหรือเรื่องสั้น เป็นสำนวนแบบที่ไม่ค่อยเจอในงานเขียนนิยายวายเท่าไหร่ สำหรับเราแล้วเลยคิดว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นอีกอย่างในนิยายเรื่องนี้

ปล.เราเองก็มีเพื่อนสนิทที่อยู่ในวงการแอคเค่อนัดเจอกันเป็นคืนๆ ชอบไปคุยกับเขาแล้วได้ข้อมูลหลายอย่างที่คล้ายของคุณมากค่ะ (มีอันนึงเราว้าวมาก เขาบอกว่าตัวเองไม่อยากเป็นรุกเพราะเหนื่อย แต่ดีใจที่ได้เป็นผู้ให้) การคุยในเรื่องนี้เหมือนเปิดโลกที่เราไม่เคยสัมผัส ดีใจที่มีคนเอาเรื่องนี้ออกมาเปิดประเด็นในนิยายนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.5 Wake up the boy | 01/08/2561
«ตอบ #21 เมื่อ01-08-2018 23:56:26 »



Ep.5 Wake up the boy




ผมกับโชก้าวเท้าเข้าไปในห้อง แม้จะไม่ได้นัดแนะ แต่จากบทสนทนาบนรถที่ผมคุยกับคุณคนนั้น ผมคาดว่าโชน่าจะพอเดาออกว่าผมกำลังจะทำอะไร เขาแสดงสีหน้าให้กำลังใจก่อนผมจะตัดสินใจปลุกเจ้าหนูน้อยตื่นขึ้นมาเจอกับฝันร้ายในโลกของความเป็นจริง

ก่อนจะเติบโตทุกคนก็ต้องเดินฝ่าพายุสักลูกเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะนะ...

"แฮมครับ ..." ผมสะกิด จากเท่าที่เคยนอนในค่ายที่หอในมอร่วมกันมา แฮมค่อนข้างเป็นคนประสาทสัมผัสไว และก็เป็นแบบที่ผมคิด น้องสะดุ้งตัวตื่น ลุกขึ้นมากอดผมไว้

"พี่ทีเร็กซ์..." เขาเรียกชื่อผมเสียงสั่น แค่นั้นก็ทำได้แค่ซุกตัวลงกับพุงผม ก่อนจะร้องไห้อีกรอบ

"แฮมครับ หยุดร้องก่อน มองหน้าพี่ก่อนนะครับ" ผมว่า แม้ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ ผมลูบหัวเจ้าตัวดีก่อนจะพยายามทำให้น้องมองหน้าผม ดวงตาใส ๆ ทั้งสองข้างคล้ำและหม่น น้ำหมงน้ำมูกไหลเลอะเทอะเปอะเปื้อนไปทั่วทั้งใบหน้า

"หนูไปตรวจเลือดมาเมื่อเช้าถูกไหม?" ผมถาม น้องแฮมพยักหน้า แล้วทำท่าจะร้องอีกรอบ แต่โดนผมถามต่อก่อน

"หนูไปมีความเสี่ยงมาเกินสามสิบวันแล้วเหรอครับ?"

 ผมถามต่อถึงระยะที่ความเสี่ยงจะแสดงผลออกมา น้องแฮมหยุดสะอื้น ใบหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด ผมไม่ชอบเท่าไรที่ตัวเองต้องพยายามทำให้อีกฝ่ายขุดความทรงจำแย่ ๆ ขึ้นมา แต่เชื่อผมเถอะ บางครั้งบ่มหนามเจ็บครั้งเดียวแล้วจบดีกว่าปล่อยให้มันเป็นหนองไว้แบบนั้น ทอดเวลาต่อไปจนแผลบาดลึก

"ก็..ก็เกินนะครับ ผมไปมีอะไรมาน่าจะตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาฯ" ผมแอบคำนวณเวลาในใจ ตอนนี้เกือบ ๆ จะปลายเดือนมีนาคมแล้วเกินระยะเวลาที่เชื้อจะฟักตัวในระหว่างสามสิบถึงเก้าสิบวันพอดีหลังมีความเสี่ยง

"แล้วได้ตรวจซ้ำรึยังครับ?"

"ยั..ยังครับ พอคุณหมอที่คลินิกนิรนามแจ้งว่าผมติดเชื้อ HIV ผมก็ไม่มีสติเลยพี่ เขาพูดอะไรต่อจากนั้นผมก็จำไม่ได้แล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนโทรศัพท์ไปหาพี่" แฮมว่า พลางก้มหัวขอโทษ

ผมมองปฏิทิน วันนี้วันที่ 20 แล้ว พรุ่งนี้ผมมีเรียน ส่วนวันพุธผมยังว่าง ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นวันพุธที่ผมจะพาน้องแฮมไปตรวจเลือดย้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันผล

"วันพุธเราเลิกเรียนกี่โมง?"

"สามโมงครึ่งครับ"

"โอเค งั้นเราจะไปตรวจเลือดฟังผลซ้ำกันอีกครั้งวันนั้นหลังเราเลิกเรียน พี่ไม่ได้บอกให้ดีใจนะ แต่บางครั้งผลการทดสอบบางอย่างเราต้องทำมากกว่าหนึ่งครั้ง เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมครับ?"

น้องแฮมพยักหน้ารับคำ สีหน้าดีขึ้นมานิดหน่อยแต่น้ำตาจะไม่หยุดไหลดี ส่วนโชนั่งที่เก้าอี้ทำการบ้านของผมเงียบ ๆ

"พี่มีเรื่องจะถามแฮม"

"ครับพี่?"

"ผู้ป่วยโรค HIV กับผู้ป่วยโรคมะเร็งแตกต่างกันไหมครับ?" ผมถาม เว้นวรรคคำตอบให้น้องได้คิดตาม

"แตกต่างครับ" น้องแฮมว่า

"ในแง่ไหน?"

"มะเร็งมันติดต่อกันไม่ได้ครับ...แต่ที่ผมเป็นมันติดต่อกันได้ และเป็นโรคร้ายแรงที่สังคมรังเกียจ"

"ติดต่อผ่านทาง?" ผมถามต่อ เว้นวรรคให้น้องแฮมได้คิดตามเรื่อย ๆ

"ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยครับ"

"ไม่ใช่คำตอบที่ผิด แต่จริง ๆ แล้วการจะติดเชื้อ HIV ได้มันจะต้องมีทั้งช่องทางรับและช่องทางส่ง สารคัดหลั่งในร่างกายคนเราไม่ได้สัมผัสกันได้ง่าย ๆ ขนาดนั้น ....ปัจจุบันเองสังคมก็ค่อนข้างเปิดกว้างมากขึ้นแล้วนะครับ แล้วทำไมเราถึงร้องไห้เป็นเผาเต่าขนาดนั้น?" ผมตั้งคำถามกับรีแอคชั่นของแฮม เจ้าตัวพยักหน้าขึ้นลงก่อนจะตอบผมกลับมา

"เพราะจริง ๆ แล้วแฮมรู้สึกผิดกับตัวเอง แฮมรู้สึกผิดกับครอบครัว กับคนที่รักแฮม แฮมรู้สึกว่าแฮมไม่ได้รักตัวเองมากพอที่จะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้" เขาว่าจบ เขื่อนน้ำตาก็ทำท่าจะพังทลายลงอีกครั้ง ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะปรบมือสองสามครั้งเรียกสติแฮมจนเจ้าตัวสะดุ้ง

"Wake up the boy ...มองตาพี่ แล้วตอบคำถาม ใครผิดหวังในตัวเธอ?"

"ก็..ครอบครัวแฮ.."

"เขาบอกแล้วเหรอว่าผิดหวังในตัวเรา เขาบอกรึยัง บอกตอนไหนว่าผิดหวัง?" ผมว่าสวนกลับ ประสานตากับเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้า

"ก็..ก็ยังครับ แต่ว่ามัน..."

"มันทำไม?"

"มันก็น่าจะ..ผิดหวังไม่ใช่เหรอครับ?" เจ้าตัวว่าเสียงค่อย สีหน้าดูมีสติขึ้นตามลำดับ

"...หรือต่อให้ผิดหวังจริง ๆ แล้วยังไงต่อ? มีใครบ้างไม่เคยผิดพลาด มีใครบ้างที่เกิดมาแล้วไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง แต่แล้วยังไงอ่ะ เราจะขอโทษอีกกี่พันครั้งก็เปลี่ยนผลเลือดของตัวเองไม่ได้

แต่ที่พี่จะบอกเราคือ ครอบครัวนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีกันและกันเสมอ เพราะมันเป็นแบบนั้นมาตลอด และจะเป็นแบบนั้นตลอดไปไม่ใช่เหรอ เพราะแบบนั้นต่างหากเราถึงเรียกนั้นว่าครอบครัว"

"........"

"หนูยังต้องโต ยังต้องเจอเรื่องบัดซบกว่าแค่ผลเลือดบวก ยังต้องเจอใครมากมายอีกหลายคนที่ทั้งผิดหวัง ทั้งภาคภูมิใจ ทั้งชอบใจ ทั้งไม่ชอบใจในตัวเราเสมอ ๆ จะเลือดบวกเลือดลบเราก็ยังเจอเรื่องบัดซบที่เราต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่า 'กูต้องเกิดมาเพื่อเจอเรื่องเหี้ย ๆ แบบนี้จริง ๆ เหรอ?' และยังต้องเจอต่อไปจนกว่าเราจะตายจากโลกใบนี้ไป แล้วถามว่าทำไมเราจะต้องทุกข์ล่วงหน้ากับความบัดซบที่ยังมาไม่ถึงด้วย?"

"ครับ...."

"เสียใจได้ ใคร ๆ ก็ร้องไห้เป็น ไม่แปลก พี่ก็ร้องไห้บ่อย ๆ" ผมเว้นวรรค  ไม่กล่าวต่อด้วยว่าตอนตัวเองร้องไห้ทุเรศแค่ไหน "แต่หลังผ่านพ้นมรสุมของหยาดน้ำตาแล้ว เราต้องลุกให้เป็น โลกใบนี้อาจจะมีคนเข้าใจเราไม่มาก หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ แต่ชีวิตเรายังต้องเดินต่อไปเสมอ ๆ "

"แฮมเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่งที่พี่รู้จัก แต่จำไว้นะครับ ตราบเท่าที่เรายังเป็นมนุษย์ ใคร ๆ ก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ฉลาดแค่ไหนก็ทำเรื่องโง่ ๆ ได้ในบางเวลา บางสถานการณ์ หนูแค่ก้าวพลาดไปหนึ่งก้าว หนูยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

ยังมีพี่ มีเจ้าโต เจ้าแฝด มีคนอีกมากที่ต้องเข้าใจในตัวหนูแน่ ๆ และพี่ไม่เคยผิดหวังในตัวเราเลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา เพราะงั้นแล้ว ... อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับ" ผมกอดเจ้าตัวพลางลูบหัวเบาบาง

"พี่ที" เจ้าแฮมครางชื่อผมเสียงสั่น พลางกอดพุงผมแน่น

"เอาล่ะ พี่จะยังไม่ถามแล้วกันว่าไปทำอะไรกับใครมา เพราะคิดว่าเราน่าจะยังไม่พร้อมจะตอบคำถามของพี่ แต่ฟังพี่ไว้นะครับ การมีเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ที่ผิดคือเซ็กซ์ที่ไม่ปลอดภัย และการที่เราเป็น HIV แล้วไม่ได้แปลว่าจะสามารถมีเซ็กซ์ได้โดยไม่ป้องกันนะครับ แฮมเข้าใจที่พี่พูดไหม?"

"เข้าใจครับพี่" เจ้าแฮมรับคำเสียงใส สีหน้าดีขึ้นแม้จะยังมีขี้มูก อย่างน้อยที่สุดประกายตาของน้องแฮมดีขึ้นมาก แม้จะไม่ได้กลับมาสดใสเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้หม่นหมองราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาได้แตกสลายไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

"หลังวันพุธ ถ้าไปตรวจแล้วผลเลือดยังเป็นบวก เราต้องไปหาหมอ ต้องปรึกษากันต่อเนาะว่าจะทำยังไงต่อไป หลังจากนี้เราก็ต้องดูแลตัวเองดี ๆ อ๋อ ถึงพี่จะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่พี่อยากแนะนำอีกเรื่องก็คือ ควรเตือนคน ๆ นั้นซะนะ ว่าเขามีเชื้อ HIV เขาจะไม่ได้ไปมั่วซั่วกับใครจนทำให้ใครสักคนต้องหัวใจสลายแบบนี้อีก"

ผมว่า แม้ผมจะยังไม่คาดคั้นในตอนนี้ว่าใครหน้าไหนที่กล้ากระทำการอุกอาจแบบนี้ แต่ก็ขอมองโลกในแง่ดีไว้ก่อนว่าเจ้าตัวอาจจะไม่รู้เรื่องที่ตัวเองมีเชื้อ HIV จริง ๆ อย่างน้อยที่สุด ถ้าน้องแฮมไปบอกให้หมอนั่นรู้ตัว จะได้ป้องกัน ไปรับยาต้าน และจัดการชีวิตตัวเองได้เป็นลำดับขั้นตอนต่อไป

ก็หวังแต่ว่าเขาจะไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าตัวเองไม่ปลอดภัย ไม่ใช่ตั้งใจไม่ป้องกันเพื่อหวังผลทำลายชีวิตคนอื่น ๆ อีกมากมายหลายคน เพราะไม่อย่างงั้นเราอาจจะต้องเจอกันอีกหลายแมทช์มากกว่าแค่รู้จักกันผ่านคำพูดของบุคคลที่สามแน่ ๆ ผมรับประกันได้...

น้องแฮมรับปากผมเรื่องที่ผมบอกไว้ แม้จะยังไม่เล่ารายละเอียดถึงต้นเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมเชื่อว่าถ้ามันถึงเวลาที่พร้อมแล้ว เขาจะสามารถบอกเล่าให้ผมฟังได้อย่างปลอดโปร่งถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เรื่องบางเรื่องต้องปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมัน ตอนนี้ผมเองก็ถือว่าได้ทำเท่าที่ทำไปได้จนเกือบจะหมดแล้ว

"นอกจากนั้น พี่อยากให้เราได้ลองคุยกับใครบางคนด้วย" ผมว่า พลางสไลด์หน้าจอโทรศัพท์แล้วกดโทรไลน์ไปหาปลายสายที่กำลังรออยู่ น้องแฮมทำหน้างง ส่วนโชไม่แสดงออกว่ารู้สึกยังไงนอกจากแววตาที่ดูุประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็ก ๆ รอไม่นานนักอีกฝ่ายก็รับสาย

"สวัสดีครับพี่เอก" ผมพูดนามแฝงตามที่อีกฝ่ายขอร้อง พร้อมเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้ทุกคนได้ฟังพร้อมกัน

'สวัสดีครับ จริง ๆ อาจจะกระดากปากไปหน่อยถ้าต้องเรียกผมว่าพี่ เพราะอายุผมอาจจะเป็นรุ่นพี่พ่อของพวกน้อง ๆ ได้แล้ว แต่ยังไงเอาตามที่สะดวกก็ได้นะครับ' เสียงทุ้มต่ำปลายสายตอบกลับมา จากเสียงปลายสายที่ตอบกลับมา สามารถสื่อสารให้คนในห้องทั้งหมดรับฟังได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีอายุระดับหนึ่งจริง ๆ ตามโทนเสียงและวิธีการพูดที่สื่อสารออกมา

"เอ้า น้องแฮม สวัสดีพี่...โอเค เอางี้ ผมขอเรียกว่าคุณน้าเอกจะได้ไหมครับ? จะได้ไม่เคอะเขินกันเท่าไหร่?" ผมเสนอทางเลือกอื่น ปลายสายรีบตอบกลับผมมา

'ได้ครับ ๆ ผมก็อายตัวเองเหมือนกัน หลักห้าแล้วยังให้เด็ก ๆ มาเรียกพี่เนี่ย ฮ่าๆ'

"ฮ่า ๆ ครับคุณน้าเอก ตอนนี้ผมอยู่กับน้องผมนะครับ ผมอยากให้น้าเอก ลองคุยกับน้องผมหน่อยได้ไหมครับ?" ผมเปิดประเด็น เจ้าแฮมยังทำหน้างง จนผมพยักหน้าให้ส่งเสียงทักทายอีกฝ่ายไป

"สวัสดีครับคุณน้าเอก" เจ้าตัวว่าเสียงเรียบ ใบหน้ายังคงงง ๆ ว่าผมให้คุยทำไม

'สวัสดีครับหนู ฟังจากเสียงแล้วเด็กจริง ๆ ด้วยแฮะเรา ... อายุเท่าไหร่แล้วครับ?'

น้องแฮมหันกลับมามองหน้าผมเป็นเชิงถามว่าควรตอบไหม? ผมพยักหน้าไปเจ้าตัวจึงกรอกเสียงกับไปตามสาย "ปีนี้ผม 16 ครับ"

'อ่าห๊ะ...อายุเรามากกว่าหลานน้าปีเดียวเอง แล้วเป็นยังไงบ้างตอนนี้?'

"อ่า...." เจ้าแฮมครางเสียงต่ำ ใบหน้าหายงง ๆ แต่เหมือนระคนสับสนว่าตัวเองควรจะสื่อสารยังไงดี

'ไม่ต้องกลัวนะ พี่เราเขาไม่ได้เล่าอะไรมากไปกว่าแค่หนูกำลังมีเรื่องไม่สบายใจเท่านั้น ไหนเราพอเล่าให้น้าฟังได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วหนูรู้สึกยังไงบ้าง'

ผมไม่ได้เล่าอะไรนอกจากบอกใบ้กลาย ๆ ว่าน้องคนสนิทของผมกำลังมีปัญหาที่หนักและคล้ายกับตัวคุณน้าเขาในอดีตเท่านั้นเองครับ

ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ผมนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสนิทของตัวเองเคยทำโครงการประวัติการรักษา HIV ตั้งแต่ยุคสมัยเริ่มแพร่ระบาดใหม่ ๆ ในประเทศไทย พร้อม มีสัมภาษณ์ผู้ป่วยท่านหนึ่งที่อายุหลักห้าสิบแล้ว แต่ยังแข็งแรงและยังดำรงชีพในสังคมตามปกติ ตอนนั้นที่ฟัง ผมรู้สึกว่าคำตอบและ mindset ของคุณน้าเขาค่อนข้างโอเค ไม่คิดว่าสักวันจะมีเรื่องรบกวนกันจริง ๆ จัง ๆ จนได้

การให้กำลังใจเป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ข้าง ๆ กัน แต่คนที่จะเข้าใจกันและกันมากที่สุด คือคนที่เคยผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายคล้าย ๆ กัน ผมเชื่อแบบนั้น จึงลองเสี่ยงทายดูว่ามันจะได้ผลไหม และดูเหมือนคำตอบในครั้งนี้จะทำให้ผมเบาใจลงไปได้ในเรื่องของน้องแฮม

"ผมติดเชื้อ HIV ครับน้า" น้องแฮมว่า ตอบเสียงฉะฉาน แต่แววตาไม่ได้โรยราเหมือนแรกเริ่ม "ถามว่ารู้สึกยังไง ตอนแรกผมรู้สึกเหมือนโลกของผมมันพังทลายลงเลย ผมรู้สึกหมดคุณค่า ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมกลายเป็นสิ่งที่คนในสังคมเราไม่สามารถยอมรับได้อีกแล้ว แต่ว่า..." น้องแฮมหยุด เว้นวรรคเหมือนใช้ความคิดอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไป

"ผมเชื่อว่า ชีวิตของผมยังไปได้ต่ออีกไกล และผมยังทำอะไรให้กับสังคมได้อีกเยอะมาก ๆ ครับ ผมจะยังมีความสุขได้ ตราบเท่าที่ผมยังพยายามใช้ชีวิตต่อไปครับ"

แม้จะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยผมสัมผัสได้ว่าหัวใจและความสดใสของเจ้าดาวค่ายคนเดิมของคณะผมได้กลับมาอีกครั้ง น้องแฮมยิ้มออกมานิดหน่อย ส่งสายตาขอบคุณมาให้กับผม

'อาการเบากว่าที่น้าคิดแฮะ ... แต่ได้ฟังแบบนี้ก็ดีใจ ตอนนั้นนะ น้าอายุแค่ 14 เอง สมัยนั้นไม่มีหรอก การให้ความรู้ การป้องกันตัวเอง กระทั่งถุงยางยังไม่มีใครกล้าหยิบ กล้าซื้อเลย เพราะถ้าใครซื้อก็จะโดนสายตาของทุกคนรุมประณามว่าเป็นพวกมักมากในกามา'

ปลายสายตอบกลับมา ทุกคนในห้องต่างให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของคน ๆ หนึ่ง แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่แม้กระทั่งผมเองก็ยังสนใจบรรยากาศของสังคมในยุคก่อนจากปากคนที่เคยผ่านมันมา

'ช่วงที่น้าเป็นนะ ตอนนั้นโรคมันเพิ่งเข้ามาถึงไทยได้ปีสองปีเองมั้ง ความรู้ในการป้องกัน ยาเยออะไรไม่ต้องไปถามหาเลย เพราะไม่มีใครรู้จัก สื่อเองยังไม่ได้นำเสนอข่าวอะไรพวกนี้ด้วยซ้ำ น้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไง รู้แค่ว่าตัวเองป่วยเป็นโรค ที่รักษาไม่หาย สุดท้ายก็เลยออกจากโรงเรียน กลับไปคุยกับที่บ้านว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี'

"แล้วครอบครัวว่ายังไงบ้าง หลังคุณน้าบอกออกไปครับ?" น้องแฮมถามต่อ เจ้าตัวตอนนี้ให้ความสนใจทั้งหมดไปที่ปลายสายเรียบร้อยแล้ว

'จะว่ายังไงเหรอ? บอกไปคำแรกก็โดนด่าเช็ดเลยหลานเอ๊ย น้ำหูน้ำตาไหล ไม่คุยกับน้าไปสามสี่วัน.....' ปลายสายกล่าวด้วยน้ำเสียงซีเรียส ผมมองหน้าเจ้าแฮมที่แอบซีดลงนิด ๆ ก่อนน้าเอกจะกล่าวต่อว่า '... ก่อนวันที่ห้าแกจะต้มสมุนไพรให้ทาน'

"อ่า"

'ก็นั่นแหละ แกก็ด่าทุกวันนั่นแหละ ลูกทรพีบ้าง ลูกไม่รักดีบ้าง แต่ก็มีสมุนไพรหยูกยามาไม่ขาด อะไรที่เขาว่าดี เขาว่าช่วยบำรุง ช่วยรักษาก็หามาให้หมด เมื่อก่อนแกไม่เคยหรอกออกกำลังกาย แต่ทุกเย็นหลังทำงานเสร็จก็จะบังคับน้าไปวิ่งกับแก

กลายเป็นว่าทั้งบ้านหันมาใส่ใจกันเรื่องสุขภาพ หาของดีๆ ทานกันทั้งบ้าน หาของบำรุง ออกกำลังกายกันสารพัด ท่ามกลางคำด่ามากมาย เดี๋ยวก็ว่าปีสองปีก็ตาย เดี๋ยวก็ว่าอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็เดธ ....ปัจจุบันนี้คนที่พูดเนี่ยไปก่อนน้าหลายคนแล้วหนูเอ๊ย'

ปลายสายกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อถึงพูดถึงตอนท้ายของประโยค บรรยากาศในห้องดีขึ้นตามลำดับ เจ้าแฮมยิ้มอย่างสดใสก่อนจะถามคำถามต่าง ๆ ที่ตัวเองสนใจต่ออย่างร่าเริง

"แล้วเรื่องที่ทำงานเป็นยังไงบ้างครับ?"

'ก็คนไม่มีการศึกษานะหนู ทำอะไรได้นอกจากพวกงานใช้แรงงาน คิดอีกแง่ก็เหมือนน้าได้ออกกำลังกายทุกวันนะเพราะมันต้องใช้แรงกาย จะไปทำงานอะไรพวกที่เข้าระบบไม่ได้หรอกเพราะเขาตรวจเลือดไง เขาไม่เอาหรอกพวกที่เลือดบวกนะ มันเป็นกฎของบริษัทนะว่าไม่รับบุคคลที่มีโรคติดต่อร้ายแรงเข้าไปทำงาน'

เราเงียบกันไปอีกครั้ง ก่อนน้องแฮมจะแสดงความคิดเห็น

"เลือดบวก เลือดลบไม่เห็นเกี่ยวข้องกับทักษะการทำงานเลยนี่ครับ จริงอยู่ว่ามันเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ แต่ไม่ได้แปลว่าแค่อยู่ใกล้ ๆ กันก็จะติดโรคกันแล้วนี่นา?" น้องแฮมว่า คิ้วน้อย ๆ ขมวดเข้ากับตาคู่ตี่

"อันนี้พี่ขอแสดงความคิดเห็นหน่อยได้ไหม?" โชพูดขึ้นพร้อมกับที่ผมกับน้องแฮมหันไปมองเขา เจ้าตัวกระแอมไอก่อนจะพูดต่อ

"โอเค พี่เข้าใจที่แฮมว่านะ จริงอยู่ว่าโรคนี้ไม่ได้ติดต่อเพราะแค่อยู่ใกล้ ๆ กัน แต่พี่มองสองประเด็นดังนี้ หนึ่ง สังคมยังมีภาพจำที่ไม่ดีต่อโรคนี้มาก ๆ เป็นต้นว่าหนัง ละคร ภาพยนต์ สื่อต่าง ๆ ในตั้งแต่ในอดีตพยายามสร้างภาพจำว่าเป็นโรคที่น่ากลัวเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ใครคิดออกนอกกรอบเพราะสมัยนั้นยังไม่มีข้อมูลการรักษาอะไรที่แน่ชัด

แต่พี่ว่าข้อสองสำคัญกว่า คือระดับคนทำงานหรือหัวหน้าบริษัท หรือพวก HR นะ เวลาจะรับคนเข้าทำงานในระบบเนี่ย ไม่ใช่แค่ตัวบุคคลเท่านั้นนะครับที่เสียทรัพยากรในการมาทำงาน แต่ตัวบริษัทเองก็เสียทรัพยากรเช่นกันในการเทรนด์การทำงานให้แต่ละบุคคล ดังนั้นแล้วทุก ๆ การลงทุน เจ้าของทุนก็ต้องมองด้วยว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนด้วยไหม?

จริงอยู่ เราอาจจะบอกได้ว่าแม้จะเป็นโรคนี้แต่เราก็ยังแข็งแรง ยังสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของมนุษย์คนหนึ่งที่พึงจะกระทำให้แก่บริษัท แต่เราต่างไม่มีใครรู้อนาคต ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วในร่างกายเราแข็งแรงหรืออ่อนแอมากขนาดไหนในช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้น

ดังนั้นก็ตัดปัญหาตั้งแต่แรก เลือกลงทุนบนความ 'ไม่เสี่ยง' แต่แรกเลย พี่ไม่ได้จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องนะ แต่พี่แค่อยากให้เราลองมองหลาย ๆ มุมมอง จากทั้งคนตั้งกฎและคนที่ต้องปฏิบัติตาม การหาเส้นแบ่งตรงกลางที่จะทำให้ทุกคนพอใจนะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จริง ๆ นั่นแหละครับ"

ทุกคนเงียบหลังจากที่เขาพูดจบ ผมว่าที่โชพูดออกมานั้นเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก ๆ หลาย ๆ ครั้งเรามักจะมองเรื่องราวหลาย ๆ อย่างแต่ในมุมมองของตน โดยปราศจากการมองผ่านมุมมองของอีกฝ่ายที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับเรา

'การคิดต่าง' นะมันไม่ใช่ปัญหา แต่ 'การคิดต่างแล้วพยายามบังคับให้คนอื่นคิดตาม' นั่นแหละครับที่ทำให้เกิดปัญหาในสังคมมากมายหลายประการ

เพราะบางคำถาม ไม่ได้มีแค่หนึ่งคำตอบ หรือแม้กระทั่งหนึ่งคำตอบก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบทต่าง ๆ ทั้งสังคม ทั้งยุคสมัย ทั้งกาลเวลา

ดังนั้นเราจึงทำได้แค่เพียงมีสติและมองปัญหาต่าง ๆ โดยปราศจากอคติ ทั้งบวกและลบ อย่างที่โชเคยพูดกับผมเท่านั้นเอง เราแค่มองโลกแบบที่โลกเป็น ไม่จำเป็นต้องมองให้บวกเกินไปหรือสิ้นหวังเกินไปจนแทบมองไม่เห็นเส้นทางอนาคตของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

'ใช่เลยครับ ผมว่ามองมุมนั้นก็ไม่ผิดอะไรนะ ใจเขาใจเราเนาะ เขาจ้างเรา ก็คงอยากได้คนที่สามารถทำงานให้เขาได้เต็มประสิทธิภาพแหละ เราเองก็ต้องเกรงใจเขาเหมือนกัน' น้าเอกกล่าวเสริม

ผมมองท้องฟ้า ราวเกือบสองทุ่มแล้ว ฝนด้านนอกหยุดตก ท้องฟ้าและอากาศกลายเป็นความชุ่มช่ำเย็น ๆ หลังพายุฝนพัดผ่านไป หันไปมองโชที่กำลังพิมพ์อะไรไม่หยุดมือก็ได้แต่คิดว่าควรจะไปส่งเขากลับบ้านได้แล้ว ก่อนที่มันจะดึกไปมากกว่านี้

"โชครับ เดี๋ยวกลับบ้านเลยไหม?" ผมหันไปถามเบา ๆ เขาหมุนข้อมือตัวเองดูนาฬิกาก่อนจะพยักหน้าตกลงตามที่ผมบอก

"น้องแฮมครับ งั้นคุยกับน้าเอกไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปส่งพี่โชแป๊บ" ผมว่า เจ้าแฮมพยักหน้ารับคำ พลางหันไปสวัสดีพี่โชตามที่ผม ผมหยุดคิดนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ

"แล้วก็ เดี๋ยวพี่โทรศัพท์บอกแม่เราให้ว่าวันนี้นอนค้างห้องพี่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะว่าจะทำยังไงต่อไป" ผมเสนอทางออก ให้เวลาเจ้าแฮมได้ตั้งสติว่า จะจัดการปัญหานี้ยังไงต่อไป เพราะยังไงถ้าต้องรักษากันเป็นเรื่องเป็นราว คงต้องบอกผ่านไปยังผู้ปกครองของเจ้าตัวเท่านั้น

"ผมรักพี่ที่สุดเลย" เจ้าตัวว่าเสียงใส พลางกอดผมแน่น ส่วนผมก็ได้แต่ลูบหัวปลอบใจมันไป...คงจะดีมากกว่านี้ถ้ามึงไม่ร้องไห้จนเสื้อกูเลอะไปหมดน่ะ ไอ้แฮมเอ๊ย !

หลังเก็บของลงกระเป๋าเป้เสร็จ โชก็หิ้วข้าวของส่วนตัวขึ้นพร้อมพยักหน้าให้ผมเป็นเชิงให้เดินนำออกไป ผมก้าวเท้าออกจากห้อง ปิดประตูหลังจากเขาเดินตามออกมา

"คุณ...เก่งกว่าที่ผมคิดเยอะเลยนะ" โชว่าหลังใส่รองเท้าเสร็จ

"หื้ม?"

"ก็แบบ ถ้าลองกลับกัน เป็นผมคงสติแตกถ้าคนสนิทมาบอกว่าติด HIV ผมคงหัวหมุนและตั้งสติไม่ได้ไปพักใหญ่ ทำไดัก็คงแค่ปลอบโยนทำนองนั้นมั้ง?" เขาว่า

"ก็นะ...ผมบอกไปแล้วว่าคนไม่มีสตินะแก้ไขปัญหาให้ใครไม่ได้ทั้งนั้นแหละ"

เราสองคนยืนรอที่หน้าลิฟท์ ใบหน้าของโชแสดงเครื่องหมายคำถาม และมีข้อสงสัยแต่เจ้าตัวไม่ได้พูดออกมา พอเห็นแบบนั้น ผมเลยให้เขาเป็นคนพูดออกมา

"มีอะไรอยากถามผมรึเปล่า?"

"เออ..จะละลาบละล้วงไหม ถ้าผมจะถามว่า แล้วคุณล่ะ ไม่กลัวติดเชื้อ HIV บ้างเหรอ?" เขาว่าเสียงอ่อย ทำท่าเหมือนเด็กตัวโต ๆ ที่กลัวว่าถามคำถามไปแล้วจะเสียมารยาทไหมกับคนอายุมากกว่า

"คุณทำหน้าเหมือนเด็กที่กำลังกลัวโดนดุ"

"ผม 26 แล้วนะ ไม่เด็กแล้ว" เขาว่า ผมหันขวับไปมองด้วยความตกใจ ตอนแรกคิดว่าโชน่าจะไล่ ๆ กับผม ห่างกันไม่มากสักสองสามปีเสียอีก

"หน้าคุณเด็ก" ผมชม แต่พอเห็นเขายิ้มจนเห็นฟันขาว ก็เลยย้อนกลับไปเรื่องเดิมเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจ

"อืม HIV นะเหรอ?...ก็กลัวนะ แต่ผมก็ป้องกันในส่วนที่ทำได้ ผมน่ะใช้ถุงยางทุกครั้งเลย" กับคนแปลกหน้าและคนที่ไว้วางใจไม่ได้...ผมต่อความในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป

"แล้วก็..นอกจากถุงยางอนามัยแล้ว ผมทาน PrEP ด้วยนะครับ"

"เพร็บ ? มันคืออะไรอ่ะครับ?" เขาถามกลับ

"คุณไม่รู้จักเหรอ?" โชส่ายหน้ากลับเป็นการปฏิเสธ ลิฟท์เปิดกว้างออกมาให้เราสองคนเดินก้าวไปด้านใน

"มันคือยาอะไร ช่วยยังไง ราคาเท่าไหร่ สรรพคุณแบบไหน มีผลข้างเคียงไหม แล้วก็..."

เจ้าตัวควักโน้ตขึ้นมาจดพร้อมถามคำถามมารัว ๆ แต่ก็หยุดเงียบลง เมื่อเจอสายตาพิฆาตจากผมเป็นเชิงให้ใจเย็น ๆ โชหัวเราะแหะ ๆ เอาโน้ตเกาหัวแก้เก้อที่ลืมตัว เห็นแบบนั้นผมก็ได้แต่ถอดใจ ก่อนจะเปิดปากอธิบายให้เขาฟัง

"จะอธิบายยังไงดี ...คืองี้ PrEP" ผมหยุดพูดหลังเห็นเขากำลังจดเลยสะกดให้ฟัง

"สะกดด้วยพีพิมพ์ใหญ่ อาร์พิมพ์เล็ก อีพิมพ์ใหญ่ พีพิมพ์ใหญ่ ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis อธิบายง่าย ๆ มันคือยา Anti-virus ประเภทหนึ่ง สรรพคุณของมันคือการดักจับ HIV ก่อนที่มันจะลุกลามในร่างกาย มันช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ประมาณ 92% จริง ๆ มันมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่คุณลองไปรีเสิร์ชเพิ่มเติมมาก่อน แล้วรอบหน้าผมจะเอามาให้ดู"

ผมพยายามอธิบายให้กระชับที่สุดหลังลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง หันไปมองอีกที พ่อนักเขียนคนดีก็ตะบี้ตะบันจดข้อมูลที่ผมพูดอย่างเอาเป็นเอาตาย

สำหรับผมแล้ว โชค่อนข้างทุ่มเทให้กับการทำงานมากจริง ๆ จนดูเกือบจะสุดโต่งในบางมุมเลยแฮะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูตารางนัดหมายของเดือนถัดไป ไม่อยากจะชมหรอกนะ แต่โชเข้ามาถูกจังหวะที่ผมจะต้องไปรับยาเพิ่มพอดี

"เอางี้ 30 มีนาฯที่จะถึง คุณว่างไหม?" ผมถาม เขารีบสไลด์หน้าจอ ดูตารางงานของตัวเองก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงตกลง

"งั้นเราจะเจอกันอีกทีวันนั้นเลยก็ได้ แล้วเดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังตั้งแต่ที่มาที่ไปของยา ยันว่าไปรับได้ยังไง คุณจะได้ไปสถานที่จ่ายยาจริง ๆ เลยดีไหม?" ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มาถึงขนาดนี้ การพาเขาไปให้เห็นกับตา ได้ยิน กับหูเลย ก็น่าจะดีที่สุด

อย่างน้อยถ้ามีอีกสักคนในวงการสื่อเข้าใจว่ายา PrEP มีข้อดีข้อเสียยังไงและกระจายข้อมูลออกไปในวงกว้าง ....บางทีวันนี้เจ้าแฮมอาจจะไม่ได้มานั่งร้องไห้แบบนั้นก็เป็นได้

"ตกลงครับ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับความช่วยเหลือนะคุณ" เขาว่า หลังเราเดินมาถึงลานจอดรถ

"ผมก็ภาวนาขอให้คุณได้ช่วยเหลือผมบ้างเหมือนกัน" ผมว่า โชทำท่าขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ผมเลยต้องขยายความ "หมายถึงว่าที่คุณช่วยเขียนเรื่องราวอีกด้านให้สังคมได้รับฟังนะ อย่างน้อยขอแค่สัก 1 % เข้าใจและออกไปตรวจเลือด ดูแลสุขภาพตัวเองเพิ่มขึ้นสักนิดก็ดี"

โชยิ้มหลังผมพูดจบก่อนจะตอบกลับสั้น ๆ ว่า

"อืม ผมจะพยายามนะครับ"

"ครับ บาย"

"บายครับทีเร็กซ์" พูดจบเจ้าตัวก็ขึ้นรถ ผมหันหลังกลับเตรียมเดินเข้าหอ

"เดี๋ยว"

"หื้ม?"

"อ่า..เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมไลน์หานะ"

"อ่าห๊ะ"

"โอเค บาย ๆ อีกครั้งนะคุณไดโนเสาร์ตัวกลม"

สาบานได้ว่าถ้าเขาปิดกระจกรถไม่เร็วมากพอ ผมจะเขวี้ยงอะไรสักอย่าง ใส่หน้ามัน ผมส่ายหน้ากับผู้ใหญ่ยี่สิบหกที่ยังไม่รู้จักโต ก่อนจะเดินเข้าประตูหอไป ระหว่างรอลิฟท์ ไลน์ผมก็แจ้งเตือนข้อความใหม่

'ขอบคุณมากสำหรับวันนี้ ไว้เจอกันพฤหัสหน้านะ'

ผมส่ายหน้าอีกครั้งหลังเขากดส่งสติกเกอร์ไลน์เป็นรูปไดโนเสาร์ตัวกลม ๆ และเพราะไม่รู้จะตอบกลับว่าอะไรดีเลยแค่ส่งสติกเกอร์ยกนิ้วโป้งตอบกลับไป

ถ้าไม่นับ 'เขา' ก็คงมีแค่โชแหละมั้ง ที่เราเริ่มความสัมพันธ์ประหลาด ๆ กันโดยไม่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ... ไม่สิ จริง ๆ แล้วนั้นมันเรื่องหลักเลยต่างหาก แต่ช่างเถอะ ผมขี้เกียจคิดมากกับเรื่องราวบางอย่างที่ตัวเองคอนโทรลไม่ได้อยู่แล้ว สุดท้ายแล้วบางเรื่องก็แล้วแต่โชคชะตาจะนำพา

ก็หวังแค่ว่าปลายทางที่ยังมองไม่เห็น จะไม่ใช่ใต้ท้องทะเลลึก ๆ แบบที่ผมกำลังอาศัยอยู่

ใต้ท้องทะเลที่เป็นใจกลางห้วงมหาสมุทรของหยาดน้ำตา ...ปรภพที่ใครต่อใครเขาเรียกกันว่า "ความรัก"



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 19:52:40 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.5 Wake up the boy | 01/08/2561
«ตอบ #22 เมื่อ02-08-2018 00:51:18 »

เหมือนกำลังอ่านบทความเกี่ยวกับเพศศึกษาเลยค่ะ
เป็นนิยายที่แฝงความรู้ด้านนี้มากจริงๆ ได้แง่มุมต่างๆเยอะมาก
เนื้อเรื่องเอาจริงๆเราว่าก็ค่อนข้างวิชาการเลยนะ
แต่สื่อออกมาในรูปแบบของนิยาย ซึ่งเราว่ามันดีมากๆเลยค่ะ
คือมันไม่ใช่วิชาการแบบนั้นนะ แต่มันเป็นความรู้ที่มันสามารถใช้ได้จริง
หรืออ่านเพื่อรู้ไว้ก็ไม่เสียหาย มันเป็นสิ่งที่ควรจะรู้และตระหนักอะ
ดีจนต้องไปแชร์ให้เพื่อนๆมาอ่านเลยค่ะ ชอบความเรียลของเนื้อหามากเลย
เหมือนคุณคนเขียนคือโชที่มาถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟังแล้วอะ
นี่เรากำลังอ่านนิยายของโชมั้ยคะ
55555555555555555555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.5 Wake up the boy | 01/08/2561
«ตอบ #23 เมื่อ02-08-2018 03:02:13 »

มันเป็นอะไรที่อธิบายยากทางความรู้สึก แต่ที่บอกได้ชัดเจนก็คือ ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.5 Wake up the boy | 01/08/2561
«ตอบ #24 เมื่อ03-08-2018 19:00:34 »

เหมือนทีเร็กซ์มีความรักที่ฝังใจกับใครซักคนใช่มั้ย
อ่านแล้วได้ความรู้ค่ะ เหมือนกำลังอ่านบทความดีๆอยู่เลย

ติดตามต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้  o13

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
«ตอบ #25 เมื่อ10-08-2018 22:38:42 »



Ep.6 Helter-skelter




คุณเคยแหวกว่ายสายน้ำราวกับว่าตัวเองเป็นปลาตัวหนึ่งไหม?

....มากกว่าการดำดิ่งลงไปในน้ำ ลึกลงไปในระดับที่คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งที่ผิดแผกและแปลกประหลาดไปจากสภาพแวดล้อมปัจจุบัน  แค่จะขยับตัวไปทางไหนก็เห็นระลอกระริ้วของน้ำพริ้วไหวเป็นคลื่นเบา ๆ ทุกครั้งที่ขยับร่างกาย

เย็นเฉียบไปทั้งตัว ไม่สามารถใช้คำว่าเปียก เพราะทั่วทุกอณูของร่างกายสัมผัสกับน้ำตลอดเวลา คุณไม่รู้สึกว่าในร่างกายของตัวเองมีอะไรอบอุ่นอีกเลย

กระทั่งหัวใจของคุณก็ยังเย็นเฉียบไปตามกระแสน้ำที่ไหลวนอยู่รอบ ๆ ร่างกาย

มืดสนิทจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น แม้กระทั่งฝ่ามือของคุณยังมองเห็นเส้นลายมือได้อย่างเลือนราง แค่จะลืมตายังทำได้อย่างยากลำบาก ขยับตัวได้ไม่เท่าไหร่คุณก็เจอกับกรงยักษ์ขนาดมหึมาที่กักขังตัวคุณเอง ทั้งกรีดร้อง ทั้งตะโกนออกไปจนสุดเสียง แต่สัมผัสรับที่ตอบกลับมาคือความเงียบงัน ฟองอากาศที่ผลิตออกมาจากปอดฟองแล้วฟองเล่า ลอยขึ้นไปด้านบนเหนือศีรษะและไม่กลับออกมาอีก

ผมทรุดตัวลงตรงนั้น

ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว

ราวกับเป็นแค่เศษซากของอะไรสักอย่าง ผมไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าหัวใจของผมยังเต้นอยู่รึเปล่า

“.....ท..”

เสียงเบาราวกับกระซิบ แต่ดังกึกก้องขึ้นมาในหัวราวกับออกมาจากลำโพงยักษ์ ผมสะดุ้งตัวมองไปรอบ ๆ พยายามค้นหาต้นตอของเสียงดังกล่าว

ไม่เห็น ไม่มีแม้ร่องรอยหรือคำอธิบายด้วยซ้ำว่ามันมาจากไหน

“.....ทร....”

ผมหันซ้ายหันขวาหาต้นเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้ง แม้กระทั่งอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ผมยังสัมผัสได้ถึงเหงื่อของตัวเองที่ไหลออกมาจากขมับ

แสงสว่างเล็ก ๆ ถูกจุดขึ้นอยู่บริเวณมุมหนึ่งของ “ข้างนอก” กรงยักษ์ที่ขังผมเอาไว้ สองขาเดินตามราวกับหิ่งห้อยต้องแสงจันทร์ แม้จะเป็นแสงสว่างที่เล็กขนาดไหน แต่กับท้องทะเลที่ไร้แสงสว่าง มันมีค่าไม่ต่างอะไรจากพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาโปรดโลก ผมพยายามส่งเสียงตอบกลับ แต่ไม่มีการสั่นไหวใด ๆ สามารถนำพาเสียงของผมไปถึงเป้าหมายได้

“ทรอ......”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมแสงสว่างที่เจิดจ้ามากจนบดบังสายตาของผมไว้ ผมยกมือขึ้นมาบังตาจากแสงดังกล่าว รู้ตัวอีกทีก็มายืนชิดอยู่ริมลูกกรง สัมผัสอบอุ่นบางอย่างแล่นเข้ามาสัมผัสที่ไหล่ทั้งสองข้าง แสงสว่างเบาบางลง จนผมมองเห็นคนที่ยืนอยู่อีกด้านของกรงขัง ‘เขา’ ยืมยิ้มให้ผมก่อนจะส่งเสียงทักทายเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

“ทรอย”

“เชี่ย !!!”


ผมหวีดร้อง สะดุ้งตื่นขึ้นมาเต็มเสียงยันตัวลุกขึ้น ก่อนสติจะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว พอมองไปรอบ ๆ แล้วเจอเจ้าแฮมนอนหลับอยู่ข้าง ๆ ถึงพึ่งระลึกได้ว่าตัวเองเพิ่งตื่นจากฝันร้ายเมื่อชั่วครู่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดและหายใจออกอย่างช้า ๆ เป็นจังหวะคงที่ เพื่อปรับระดับความตื่นเต้น บอกตัวเองเอาไว้ว่าเมื่อกี้มันเป็นแค่ฝัน ผมแค่ฝันร้าย ตอนนี้ผมตื่นนอนแล้ว แล้วก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องปลุกเจ้าเด็กน้อยที่นอนข้าง ๆ ให้ตื่นนอนขึ้นมาด้วย

หลังจากเมื่อวานที่ผมไปส่งโชขึ้นรถเสร็จ พอกลับขึ้นมาก็พบว่าเจ้าแฮมยังนั่งคุยต่อไปเรื่อย ๆ กับน้าเอก ด้วยความไม่อยากรบกวน ผมจึงออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงจนกระทั่งเจ้าแฮมมาคืนโทรศัพท์ให้กับผมนั่นแหละ เรานั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเลยเพราะต่างคนต่างยุ่งมาก ๆ เจ้าแฮมเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นของสองแฝดและการผจญภัยโชคหล่นทับของหนึ่งโต บางเรื่องผมก็ขำ บางเรื่องผมก็เศร้าตาม ก็ทำได้แค่แนะนำไปตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมา

“น้องแฮมครับ ตื่นเร็ว” ผมว่า หลังนาฬิกาปลุกดังขึ้นบอกเวลา เพราะต้องส่งเจ้าเด็กนี่นั่งรถตู้กลับไปยังเส้นบีทีเอสให้ทันเวลาเข้าเรียน ทำให้ต้องตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพการจราจรที่ติดขัดตั้งแต่เช้า เจ้าแฮมงัวเงียยันตัวขึ้นมานั่ง ก่อนจะหงายตัวล้มลงไปนอนอีกครั้ง เล่นเอาผมต้องเปลืองพลังงานไปหลายก๊อกกว่าจะไล่เจ้าตัวแสบไปอาบน้ำได้

แม้จะมี sex ได้กับคนแปลกหน้า แต่ free sex ของผมก็ยังคงมี zone ที่ไม่ใช่ว่าใครจะข้ามเส้นมาก็ข้ามได้ เช่น ถ้าเรารู้จักกันในโลกของความเป็นจริง ในฐานะพี่น้องพ้องเพื่อนแบบเจ้าแฮม ผมจะไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายแม้แต่ก้าว เพื่อรักษาสัมพันธภาพอันเดิมให้คงอยู่ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยได้เพื่อน..หรือความสัมพันธ์บางอย่างที่มากกว่าเพื่อนจากจุดเริ่มต้นแบบนี้หรอกนะครับ ผมไม่มีปัญหากับจุดเริ่มต้นอะไรทั้งนั้น ต่อให้เริ่มต้นจาก sex ....ถ้าคนมันจะใช่ มันก็ใช่ ในทางกลับกัน ต่อให้เราเริ่มต้นกันด้วยรูปแบบอื่น ๆ ถ้ามันไม่ใช่ ให้รั้งเขาไว้ยังไงก็ทำไม่ได้

โลกใบนี้ ทุกอย่างไม่ได้สมหวังไปเสียหมดอย่างที่เราคิด ดังนั้นแล้วเราก็ทำได้แค่ประคับประครองบางสิ่งบางอย่างที่เราพอจะทำได้ การไม่เปิดโอกาสให้ความสัมพันธ์มันเริ่มต้นขึ้น ผมว่าบางครั้งมันก็ดีต่อหัวใจของคนเราในอีกรูปแบบหนึ่ง

ต้องเริ่มจากการรักตัวเองให้เป็น เราจึงจะมีหัวใจที่ส่งมอบให้กับผู้อื่นได้

ผมส่ายหน้าไปมา ไล่ความคิดทั้งหมดออกไปด้วยการเดินออกไปสูดอากาศยามเช้าที่ระเบียง เสียงนกเสียงกาแว่วดังมาแต่ไกล เสียงหยดน้ำกระทบพื้นกระเบื้องห้องน้ำดังออกมาแว่ว ๆ ก่อนจะเงียบลงเมื่อเจ้าตัวเล็กเดินออกมาแต่งตัวพร้อมฮัมเพลงไปมา

“จะไม่ให้พี่ไปด้วยจริง ๆ เหรอ?”  ผมว่า เมื่อคืนหลังจากคุยกันไป ๆ มา ๆ เจ้าแฮมเลือกที่จะไปตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งพร้อมครอบครัว

“ครับพี่ ผมตั้งใจแล้วว่าจะบอกครอบครัวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นแล้ว เราทำได้แค่ยอมรับสภาพและผลจากการกระทำของเรา ส่วนเรื่องที่พี่ขอผม...ผมขอเวลาอีกนิด ผมสัญญา ผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังแน่นอน”

เจ้าแฮมตอบกลับเสียงหนักแน่น แววตาของน้องแฮมเดือนค่ายของคณะผมกลับมาสดใสอีกครั้ง ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้จะมีความไม่มั่นใจเจือปนในแววตา แต่อย่างน้อยผมสัมผัสได้ว่าน้องเองก็โตขึ้นไปโดยที่เขาอาจจะไม่รู้สึกตัวในอีกก้าวใหญ่ ๆ ของชีวิต

ไม่มีอุปสรรค ชีวิตก็ไร้ความหมาย ต่อให้เราไม่อยากจะยอมรับ แต่รสชาติของหยาดน้ำตา จดจำได้ยาวนานมากกว่าความสุขจริง ๆ หากให้เขียนระหว่างความสุขและความทุกข์ น่าแปลกประหลาดที่คนส่วนใหญ่หรือแม้กระทั่งผม จับปลายปากกาเล่าเรื่องของเสียงร้องไห้ได้ง่ายกว่าเสียงหัวเราะ

หลังแต่งตัวเสร็จ ผมพาเจ้าแฮมไปส่งที่ท่ารถตู้ พร้อมทั้งโอบกอดเขาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง

“กลับบ้านดี ๆ นะครับแฮม” ผมลูบหัวเขาอีกครั้ง ก่อนเจ้าตัวจะยกมือไหว้ผมแล้วก้าวขึ้นรถไป

ผมหวังว่าทั้งเขาและผม เราจะได้ฟังข่าวดีอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้.....



 
“สัส เนี่ย พอมาถึงหน้างานแม่งก็บอกกูเว้ย ‘โหพี่ ผมไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ ขอภายนอกแล้วกันนะครับ’ กูแบบ อีเวร ไหนที่มึงเคลมนักเคลมหนาว่าตัวเองเป็นรับตัวท็อป แค่ใส่ถุงยางไซซ์ 56 ยังกลัวแหกเลย โคตรป๊อดสัส ๆ” เจ้ามาร์ว่า พร้อมส่ายหน้าไปมาด้วยความหัวเสีย แล้วกระดกกาแฟขึ้นจิบ

ขอบคุณมึงมาก ๆ นะครับเพื่อนรัก ที่เริ่มต้นเช้าวันใหม่ในมหา’ลัยของกูด้วยการเล่าเรื่องดี ๆ แบบนี้

“แหมมึง เด็ก ๆ ก็แบบนี้ป่ะวะ ปากกล้าใจป๊อด กูนึกว่ามึงชินแล้วนะ เรื่องคนรีเจกภายในเพราะขนาดน้องมึงเนี่ย” ไอ้ส้มเพื่อนกะเทยในกลุ่มกล่าว เจ้ามาร์ย่นจมูก พร้อมนั่งไขว้ห้างโดยไม่ได้แคร์สักนิดว่าตัวเองครอง top position

“ก็กูไม่ชอบอ่ะส้ม คือกูอ่ะจริงจังไง เตือนก็เตือนแล้ว ตอนเตือนก็มาหัวเราะกู คงคิดว่ากูโม้ไง เป็นไง เจอพญามังกรสะบัดธงชัยที วิ่งหนีกระเจิง” เจ้ามาร์พูดไปพร้อมไขว้ห้างไป ผมกับเพื่อนในกลุ่มหัวเราะ แม้จะบ่นด้วยอารมณ์ร้าย แต่เราทุกคนต่างรู้ว่าเจ้าของมังกรเก้านิ้วค่อนข้างชินชาไปเสียแล้วกับการโดนบอกปัดเพราะอาวุธที่ใหญ่เกินไป

ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหัวอกเจ้ามาร์นะ ผมเองก็มีบ้างเหมือนกันในบางครั้งที่โดนปฏิเสธเพราะขนาดที่ใหญ่กว่าไซซ์ค่าเฉลี่ยของเพื่อนร่วมชาติ แต่จะทำยังไงได้ครับ ไม่เป็นคนที่มายืนตรงจุดนี้ก็คงไม่เข้าใจ มันไม่ใช่การโอ้อวดอะไรเลย แต่มันเป็นเรื่องของความพอดีในความพอใจของแต่ละตัวบุคคลล้วน ๆ

คนเล็ก ๆ อยากใหญ่ คนใหญ่ ๆ ก็อยากกลับไปไซซ์กลาง ๆ ครับ บางครั้งมนุษย์ก็แบบนั่นแหละ หาความพอดีไม่ค่อยเจอ

“ว่าแต่ส้ม เจ้าน้องหนูใส่แว่นในสตอรี่ไอจีที่แกควงไปดูหนังด้วยคือใครจ๊ะ?” ทิพย์พูดขึ้นมา อ้าว new topic ก็มาว่ะ ตอนนี้เพื่อนทั้งกลุ่มหันไปมองเจ้าส้มคนสวยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแน่นอน นางเล่นตัวจนถึงที่สุดด้วยการนั่งไขว้ห้างเลียนแบบไอ้มาร์ พร้อมจิบกาแฟแล้วดัดเสียงสองตอบ

“ก็ดู ๆ กันอยู่อ่ะค่ะซิส” นางว่าพร้อมเอียงคอยิ้มมุมปาก เพื่อนทั้งกลุ่มรุมปาทิชชู่ที่พันมากับแก้วเครื่องดื่มใส่มันเป็นการแก้เลี่ยน

“อีเวร เปลี่ยนแฟนมากี่คนแล้ววะ  ว่าแต่..ได้ยัง?” ไอ้มาร์เบะปากตอนต้น ก่อนจะทำหน้าตาหื่นกามในท้ายประโยค ส่วนเจ้าส้มไม่ตอบอะไร แค่ยิ้มมุมปากและส่ายหน้าเล็กน้อย เป็นอันว่ากูไม่บอกค่ะซิส โอเค? จนโดนเจ้ามาร์ปาทิชชู่ใช้แล้วใส่ไปอีกครั้งข้อหาได้กินเด็กกางเกงน้ำเงิน(อีกแล้ว)

“ว่าแต่มึงเหอะที เป็นไงบ้าง?” พลอย เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มถามขึ้น ก่อนสายตาทุกคอจะหันมาโฟกัสผม

“โอเคเรื่องไหนวะ? ก็ไม่มีอะไรไม่โอเคนี่ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมขยับแว่นตาและยักคิ้วให้พวกมันทั้งโต๊ะกลม

“ก็ถ้ามึงโอเค พวกกูก็โอเค แต่ถ้ามีอะไรไม่โอเค..บอกพวกกูนะ  โอเคไหม?” ทิพย์ว่า ผมพยักหน้าอย่างหนักแน่น ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ผมคอลหาพวกมันไม่มีเกรงใจอยู่แล้วครับ

บรรดาเพื่อน ๆ พากันส่ายหน้าเอือมกับความดื้อของผม ก่อนทิพย์จะช่วยเปลี่ยนท็อปปิคอีกรอบเมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไรต่อ

“ว่าแต่วันเกิดพี่โต้ง วันอาทิตย์ที่จะถึงพวกมึงจะไปกันป่ะเนี่ย?” ทิพย์ถามขึ้น ทุกคนพยักหน้าขึ้นลงยกเว้นผม

พี่โต้งเป็นรุ่นพี่ในเอกของเราท่านหนึ่งที่นับว่ามีบุญคุณกับพวกเราหลากหลายประการ อีกทั้งเป็นคนแรก ๆ ด้วยซ้ำมั้งที่เสนอให้ผมเรียนแบบโครงการเด็กทุนพิเศษเพื่อจบภายในสามปีครึ่งก่อนเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ด้วยเงื่อนไขในชีวิตบางอย่างที่พ่วงเข้ามาของผม

“กูติดทำงานว่ะ” แม้จะน่าเสียดาย แต่หน้าที่ความรับผิดชอบต้องมาก่อน 

เสียงโห่ดังขึ้นมาเป็นทิวแถว ผมส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับอาการแสนงอน  ของพวกมัน

“มึงจะอินโทรเวิร์ดเกินไปแล้วสัสที ไม่รู้ล่ะ กูงอนจริงจัง มึงเลิกงานกี่โมง เอาชุดไปเปลี่ยนก็ได้ เดี๋ยวกูขับรถไปรับที่ห้าง” ดาวตก เพื่อนในกลุ่มอีกคนใช้ไม้ตายที่ทำให้ผมคิดหนัก สุดท้ายหลังโดนทุกคนจ้องหน้าผมก็พยักหน้าขึ้นลงอย่างขัดเสียไม่ได้

“เย้ ลากเจ้าไดโนเสาร์ออกถ้ำได้แล้วโว้ย ฉลอง!” มาร์ว่า ยกแก้วกาแฟขึ้นมาชน พร้อมปรบมือด้วยจริตจะก้านที่ทำให้ผมอยากประเคนเท้าใส่บั้นท้ายมัน ....มึงช่วยรักษาภาพพจน์ของคนเป็นรุกสักนิดก็ยังดีเถอะ เนี่ย ผมถึงได้  บอกไง ว่าลักษณะภายมันบอกอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับสถานะบนเตียงนอน

“โอเค งั้นตามนั้นนะ ดาวตกไปรับไอ้ทีที่ห้างหลังมันเลิกงาน ส่วนพวกกูจะล่วงหน้าไปก่อน เคไหม?” ส้มสรุปอีกครั้ง ทุกคนพยักหน้าขึ้นลง ก่อนเจ้ามาร์จะปรบมือเบา ๆ ชวนขึ้นตึก

“ป่ะมึง ขึ้นห้องกัน กูอยากไปเจอพ่อนิติยอดรักของกูแล้ว รักจังเลยเวลาเรียนเซคใหญ่กับพวกนิติเนี่ย...”

“มีคนไหนบ้างที่มึงไม่รักวะ?” อดไม่ได้ที่จะแซวมัน เจ้าตัวหันขวับมาทำตาขวางใส่ผม ก่อนจะเบ้ปากแล้วบ่นพึมพำ

“เห็นว่ารอบนี้หนักหรอกนะ จะไม่เอาคืนก็ได้” มันว่า ก่อนจะแลบลิ้นให้กับผม แม้มาร์จะเป็นคนนิสัยดูเหมือนเด็ก แต่ช่วงหนึ่งในชีวิตของผมก็ดีขึ้นมาได้เพราะได้มันช่วยเหลือเหมือนกัน มาร์เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก มากจนมันต้องพยายามลดทอนความสามารถนั้นลงด้วยการทำตัวปัญญาอ่อน และเรื่องนั้นมีแต่พวกเราที่เป็นเพื่อนมันจริง ๆ เท่านั้นที่รับรู้ทุก ๆ สาเหตุที่เกิดขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่ผมเคารพในตัวเพื่อนคนนี้และรักมันมาตลอดในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง

เราเดินกันเป็นกลุ่มเดินขึ้นบันไดวน ก่อนที่ไลน์ของผมจะเด้งข้อความเข้ามาสองข้อความในเวลาไล่เลี่ยกัน

‘ทาโร่ครับ วันนี้เลิกคลาสกี่โมง? ให้พี่ไปรับไหม พอดีวันนี้พี่หยุดนะครับ’

‘ผมไปเสิร์จข้อมูลมาเมื่อคืน เรื่องยาเพร็บน่าสนใจมาก ๆ เลยนะ อยากให้ถึงวันพฤไว ๆ จังเลย’

ข้อความแรกมาจากรุ่นพี่สจ๊วตคนหนึ่งที่รู้จักกับผม ส่วนอีกคน ก็ผู้ชายที่เพิ่งจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตผมได้ไม่นาน และก็อาจจะมีบทบาทในชีวิตผมไปอีกนาน ดูจากปริมาณข้อมูลทั้งเปเปอร์และเรฟเฟอเรนซ์อีกเป็นกะตั้กที่เขาส่งมาให้ผมดูเพื่อถามตอบเรื่องเพร็บ ก็น่าจะพออนุมานได้ว่าผมควรจะไว้วางใจให้เขารับรู้ทุกเรื่องของเพร็บเพื่อเอาไปขยายต่อจริง ๆ นั่นแหละ

ผมตอบกลับเวลาเลิกเรียนให้กับพี่สา ก่อนจะไลน์ไปกดอ่านข้อความของโช พร้อมกับนึกไปด้วยว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดี

‘สู้ ๆ นะครับ ข้อมูลเยอะหน่อย แต่ผลงานที่ดีก็มาจากการคัดกรองหลาย สิ่งกลั่นออกมานะครับ’

น่าจะเป็นการให้กำลังใจที่สุภาพและไม่รุกล้ำอีกฝ่ายมากเกินไป ผมคิดแบบนั้นนะ

ข้อความของผมขึ้น read ในไม่กี่วินาทีต่อมา ก่อนอีกฝ่ายจะพิมพ์กลับมาเช่นกัน

‘คุณก็ตั้งใจเรียนล่ะ วันพฤ หลังเสร็จเรื่องเพร็บ ผมจะพาคุณไปทานข้าวนะ’

ผมตาโตนิดหน่อย เพราะไม่ได้อยู่ในกำหนดการณ์ที่คุยกันไว้ ในขณะที่กำลังคิดว่าจะพิมพ์อะไรตอบกลับไปดี สุดท้ายก็ทำได้แค่ส่งสติกเกอร์ยกนิ้วโป้งเป็นเชิงตกลงไปให้กับเขา

ก็คงอยากคุยเรื่องงานต่อละมั้ง?

   

 “สวัสดีครับเฮีย” ผมยกมือไหว้หลังก้าวขึ้นรถเบนซ์และปิดประตูเสร็จ

“สวัสดีปลาเส้น เป็นไงบ้าง สบายดีไหมครับ?” สารถีจำเป็นสำหรับวันนี้ถาม ก่อนจะสตาร์ทรถและขับวนออกไปตามทางที่มหาวิทยาลัยทำเส้นทางเอาไว้ ผมพยักหน้าขึ้นลงก่อนอีกฝ่ายจะเอามือมาวางไว้ที่ตักของผมเป็นเชิงขออนุญาต

“คิดถึงจัง” เขาว่า มือลูบไล้ไปตามซิบกางเกงสแล็คของผมทีละนิ้ว ๆ จนทีเร็กซ์เริ่มไม่เล็กและขยายตัวด้วยความแออัด ปกติผมเองก็เป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้ว ยิ่งบนรถแบบนี้ยิ่งเป็นไปได้ยากที่ผมจะทำสมาธิให้สงบนิ่งได้

“ไปหิวมาจากไหนเนี่ยพี่?” ผมแซว พี่สาไม่พูดอะไรแต่ยังเอามือบังคับทั้งคันรถและคันโยกส่วนตัวของผม ก่อนจะเอามือรูดซิบเปิดอ้าแล้วควักดาบซามูไรคู่กายของผมออกมาเล่น

“วันนี้อยากลองขับรถเองไหม?” เขาถาม

ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร

ผมไม่ปฏิเสธรีเควสที่พี่สาว่ามา เห็นแบบนั้นเจ้าตัวจึง ขับรถไปจอดข้างทาง ก่อนที่เราจะสลับที่นั่งกันโดยไม่เสียจังหวะ แค่ทุลักทุเลนิดหน่อยตอนผู้ชายตัวโต ๆ สองคนปีนป่ายข้ามตัวกันไปมา ผมมานั่งประจำที่คนขับก่อนกางเกงของผมจะโดนรูดลงไปกองกับพื้นรถ เหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในที่คาเอาไว้ตรงหัวเข่า

“ไปไหนดีครับ?” ผมถาม พี่สายักคิ้วก่อนจะตอบกลับมา

“ไปบ้านร้างดีมะ?” เขาว่า ผมร้องอ่าออกมา

ก็ไม่ใช่ไม่เคยไปหรอกนะ แต่จริง ๆ ผมไม่ใช่สายเอ้าท์ดอร์ซะเท่าไหร่น่ะสิ ไอ้ให้ไปก็ไปได้ แต่คงต้องถอดเนคไทที่มีตรานศ.ออกก่อนพร้อมใส่เสื้อลำลองลงไป โชคดีที่ผมสวมทับมาด้วยเพราะต้องไปเรียนที่อาคารเรียนรวม(ที่หนาวราวกับเลี้ยงฝูงเพนกวินไว้ในห้อง) ผมพยักหน้าตกลง ก่อนจะขับรถยูเทิร์นไปตามเส้นทางที่จำได้ในหัว

“อื้ม....”

ผมครางรับคำ ไม่พูดดังไปมากกว่านั้น ปลายลิ้นร้อน ๆ ของพี่สาไล่ขึ้นลงตั้งแต่เส้นลำก่อนจะลากลิ้นลงมาถึงปลายโคน พี่สาเงยหน้ามองผม เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมต้องเหยียบคันเร่งเพื่อไปต่อ

ในรถดังไปด้วยเสียงครางเบา ๆ ในลำคอ กับเสียงคนพยายามดูดของแข็งแล้วดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ผมสะดุ้งตัวนิดหน่อยตอนช่วงเวลาที่รถติดแล้วมีคนเดินมาขายพวงมาลัย แม้จะรู้ว่าฟิล์มมืด แต่ถ้าคุณกำลังขับรถไป เกียร์คาปากใครอีกคนไป การจะรู้สึกเสียวแบบแปลกประหลาดยามเมื่อมีคนจ้องมองเข้ามาผมว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติเลย

นี่อาจจะเป็นความรู้สึกของพวกชอบไปเอ้าท์ดอร์ก็เป็นได้ ความรู้สึกหวาดกลัวปนระลึกใจท่ามกลางตัณหาที่ไหลท่วมทุ่งในกายาของคุณ เหมือนเป็นการต่อสู้ทางอารมณ์ระหว่างความผิดชอบชั่วดียังไงยังงั้นเลยแฮะ .....

ผมขับขึ้นทางยกระดับ ก่อนรถจะเคลื่อนตัว และขึ้นทางยกระดับอีกครั้งพร้อมชิดริมถนน เลี้ยวเข้าไปในซอยที่เป็นสถานที่ตั้งดินแดนลึกลับแห่งโลกทวิตเตอร์ เลี้ยวซ้าย ตรง เลี้ยวขวา ตรง และเลี้ยวซ้ายอีกครั้งบริเวณเกือบซอยสุดท้าย พร้อมฝ่าดงพุ่มกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา

แม้จะถูกขนานนามว่า “บ้านร้าง” แต่ในความเป็นจริงรถยนต์ที่จอดไล่จากบริเวณต้นซอยนับลงไปจนถึงท้ายซอยราว 6-7 คัน บ่งบอกเลยว่ามันไม่ได้ร้างอย่างที่ใครเขาเรียกกันเลยสักนิด

 ..นี่เพิ่งจะบ่ายสองเองนะ? คนพวกนี้ไม่ทำงานทำการกันรึยังไง? ผมสงสัยแต่ไม่ได้ถามและไม่คิดจะว่าใคร เพราะตัวเองก็มาด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับพวกเขา

คำแนะนำสั้น ๆ ถ้าคุณคิดอยากจะมา “เล่น” ที่นี่ หาบัดดี้เป็นของตัวเองมาครับ อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า เพราะต่อให้มีน้ำก็ไม่ได้แปลว่าน้ำนั้นจะน่าดื่ม สู้หาบัดดี้ที่เราคิดว่าเราโอเคกับเขา เขาโอเคกับเรา จะโอเคกว่าเที่ยวรถมาถึงที่นี่แล้วมาหวังว่าจะเจอคนที่ตรงไทป์กับคุณ ของแบบนี้อย่าคาดหวังนักเลยครับ ของแรร์ไม่ได้ออกบ่อย ๆ แบบในนิยายหรอก

ผมขับรถย้อนตรงบริเวณเนินดินสุดซอย ก่อนจะจอดไว้โดนหันหน้าออกไปทางปากซอยทางเข้า พี่สาเลิกดูดของแข็งของผม เพื่อปล่อยให้ผมสามารถเปลี่ยนชุดออกเป็นเสื้อลำลองได้โดยสะดวก พอจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินลงจากรถพร้อมเอาลงติดตัวมาแค่กระเป๋ากับมือถือ เจล บวกถุงยางอีกสองชิ้นในกระเป๋า

ทางเข้าเป็นแนวหญ้าที่โดนเหยียบจนกลายเป็นทางเดิน เพราะสังเกตเห็นคนที่จองพื้นที่เล่นในบ้านแล้ว ผมจึงชวนพี่สาเข้าไปเล่นในป่าไผ่ติดลำคลองบริเวณด้านหลังแทน เดินลัดเลี้ยวกอไผ่ไม่นานก็มาถึงจุดบริเวณติดกับลำคลอง อีกฝั่งไม่มีบ้านคน ส่วนด้านนอกถ้ามองเข้ามาก็ยากจะมองเห็นเพราะกอไผ่บังไว้ทั้งหมด

ถ้าจะเห็นได้คงต้องโรยตัวลงมาจากฟากฟ้าเท่านั้นแหละครับ นั่นคือสาเหตุที่ใครต่อใครกล้าหรือหน้าด้านมากพอจะถอดเสื้อผ้าบริเวณแถวนี้ แต่ก็ต้องระมัดระวังมือกล้องที่ไม่ได้รับเชิญด้วยเช่นเดียวกัน นับว่าเป็นความเสี่ยงในหลาย ๆ ด้าน ที่เอาจริง ๆ ก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันคุ้มค่ากับประสบการณ์ความเสียวที่ได้รับครั้งนี้ไหม?

พี่สามองซ้ายมองขวา ก่อนจะถกเสื้อผมขึ้นมาพักไว้ที่ท้ายทอยพร้อมตวัดลิ้นสะกิดไปที่หัวนมของผมเบา ๆ ผมลูบหัวเขาแล้วขยับมือไปตามสรีระของร่างกาย ก่อนจะไปหยุดที่บั้นท้ายพร้อมบีบเบา ๆ ให้อีกฝ่ายสะดุ้งตัวเล่นเป็นจังหวะ พอเห็นว่าได้ที่แล้วผมก็ปลดกางเกงลงไปที่ข้อเท้า กดศีรษะของอีกฝ่ายลงไปอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น

ปลายลิ้นร้อน ๆ ถูกห่อแล้วรูดเข้ารูดออกกับของแข็งของผม ผมเงยหน้ามองฟ้า ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงสายลมและแสงแดดยามบ่าย หัวใจเต้นเป็นจังหวะตึกตัก ๆ ทั้งตื่นเต้น ทั้งเสียว ทั้งหวาดกลัว เป็นสภาวะอารมณ์ที่ยากจะแยกแยะว่าอะไรจริงอะไรเท็จ

เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าผมแข็งแรงมากถึงขนาดสามารถต่ออีกรอบได้ โดยไม่ต้องหยุดพัก จังหวะจากริมฝีปากจึงไม่คิดจะลดความเร็วลง กลับเพิ่มมากขึ้นจนผมสัมผัสได้ถึงของเหลวที่กำลังถูกปั๊มออกมาจากร่างกาย

‘หวี่ หว๊อ’

เชี่ยยย พ่อมึงมา !!!

ผมสะดุ้งตัวดึงออกมาจากปากของพี่สา ก่อนเราทั้งคู่จะตกใจจนกระเจิงไปคนละทาง แม้จะเป็นคนที่ใจเย็น แต่ไม่ได้แปลว่าผมกลัวหรือสติแตกไม่เป็น ในหัวผมประเดประดังไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง แต่อย่างแรกสุดที่ขึ้นมาในหัวเลยคือผมต้องรอดออกไปจากที่นี่ก่อน ผมหันไปมองรอบ ๆ พี่สาวิ่งหนีหายไปอีกทางแล้ว

หลังจากพิจารณาจากเวลาสามวินาทีและเสียงตำรวจที่ดังขึ้นมาใกล้ ๆ สุดท้ายแล้วผมเลือกจะวิ่งกลับเข้าไปด้านในให้ลึกไปมากกว่าเดิม มากกว่าที่ผมเคยเดินเข้าไปเล่น

และในตอนจังหวะที่ผมกำลังจะเลี้ยวตัวไปนั้นเอง จู่ ๆ ผมก็ถูกแรงดึงมหาศาลของใครบางคนขึ้นเข้าไปข้างกอไผ่อีกฟาก ผมตาโต เตรียมจะร้องด้วยความตกใจสุดเสียง แต่มือลึกลับคู่หนึ่งก็ปิดปากผมอย่างสนิทจากด้านหลัง กระทั่งเสียงในลำคอผมยังไม่รอดออกไปแม้แต่พยางค์เดียว....


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 20:17:31 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
«ตอบ #26 เมื่อ10-08-2018 23:41:32 »

ลุ้นนะคะ ปกติไม่ค่อยอ่านหนังสือที่เป็นเรื่องเล่าที่มาจากชีวิตจริงเท่าไร และนิยายเรื่องนี้ก็เข้าเค้าทางความรู้สึกดิฉันด้วย คือกลัว 5555 ว่ามันจะหักจะเหชีวิตของคนๆหนึ่งให้ไปเจอกับอะไรบ้าง กลัวอินตามแล้วนอยด์ตาม อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือ กลัวค่ะ จริงๆนะ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
«ตอบ #27 เมื่อ11-08-2018 08:17:54 »

เป็นกำลังใจให้เรื่องส่วนตัวด้วยนะคะ​ ขอให้ผ่านมันไปได้​  :mew1:

ทีเร็กจริงๆชื่อทรอยหรือ​ หรือยังไง​ แล้วคือใครปิดปากที :katai1: จะตามอ่านไปเรื่อยๆงี้แหละค่าจนกว่าจะจบ

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
«ตอบ #28 เมื่อ11-08-2018 08:26:22 »

ตามเลย เป็นนิยายที่ให้อะไรมากกว่าความบันเทิงจริงๆ

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.6 เตลิด | 10/08/2561
«ตอบ #29 เมื่อ11-08-2018 15:20:22 »

เป็นกำลังใจให้นะคะ สำหรับทุกๆเรื่องเลย ไม่ว่าจะชีวิตจริงหรือนิยายก็ขอให้สู้ๆนะคะ
ทุกปัญหามีทางออกค่ะ ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อยค่อยหาวิธีการเนอะ อย่าเครียดเลยค่ะ
เค้าป้ายยาให้เพื่อนได้ตั้งหลายคนนนนน มีเพื่อนหลายคนของเราติดตามเรื่องนี้อยู่นะคะ
เค้ารอน้าาาา ปล.แอบเขินๆที่โดนพูดถึงเหมือนกันน้า .//////.
:mew1: :mew1: :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด