แจ้งข่าวเปิดพรีเล็กน้อยค่ะ
รายละเอียดตามภาพเลยน้าา
หากสนในสามารถสั่งได้ที่>>
https://goo.gl/kG7bdeฝากผลงานของเราด้วยน้า
...................................................................................
• •* หาคู่*• •ตอนพิเศษ “ทะเลาะ?”
การทำงานภายใต้องค์กร Dinosaur World Organization หรือดอร์วูนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับไดโนเสาร์กลายพันธุ์อย่างผมที่เจอมาตั้งแต่จำความได้แม้จะมีหลายคนที่บอกว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่วุ่นวายมากซึ่งก็จริงอย่างที่ว่า...
“ม่ายยยยยยย!!”เสียงตะโกนของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการคืนชีพดร.ฟราซิส เบนซ์ ฟงเซ่พ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าของฐานหนึ่งดังขึ้นทำเอาเชสที่เดินมาข้างๆถึงกับหันควับไปมองอย่างตกใจ
ตอนนี้ผมกำลังพาเชสมาทัวร์ภายในฐานหนึ่งที่แสนคุ้นเคยจากการวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ...จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ต้องเข้าไปช่วยดร.ฟรานซิสหรือคุณปู่ในห้องวิจัยเนื่องจากโดนจองหนังสือทับจนขยับตัวไปได้ ถือเป็นโชคที่ผมอยู่แถมพอดีเลยเข้าไปช่วยได้ถ้าเป็นมนุษย์ปกติคงไม่ได้ยินเสียงเรียกเบาๆนั่นหรอก
“เรื่องปกติน่ะ”ผมบอกคนข้างกายโดยที่เดินกลับไปหาอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งหันไปมองที่มาของต้นเสียงอยู่
“เรื่องปกติ?...เกิดอะไรขึ้น”
“ก็คงมีไม่กี่อย่างหรอก”ถ้าไม่ถูกกองงานวิจัยหรือหนังสือทับก็คง...
“ฉันจะไม่อาบน้ำเด็ดขาด!!”เสียงตะโกนเดิมเพิ่มเติมคือร่างในชุดเสื้อกราวสีขาวหม่นวิ่งมาตามทางเดินอย่างสุดชีวิตราวกับกำลังหนีไดโนเสาร์กินเนื้อก็ไม่ปาน
“คุณปู่”ผมเรียกชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการคืนชีพเสียงเรียบ
อย่างที่คิดเลย...ถ้าไม่ได้ถูกกองหนังสือทับก็มีแค่ถูกบังคับให้อาบน้ำ
ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรนัก
“อานโน่?...โอ้ว...หลานรักช่วยปู่ด้วย”คุณปู่ที่กำลังวิ่งหน้าตั้งเบรกจนรองเท้านั่นเกือบไฟลุกก่อนจะเลี้ยววิ่งตรงเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คุณปู่เหรออานโน่...แปลว่า...”เหมือนเชสจะไม่แน่ใจว่าคนที่ดูท่าทางไม่เต็มตรงหน้าจะเป็นชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการคืนชีพ
จะให้เชื่อง่ายๆเลยก็คงไม่ใช่...จากท่าทางที่คุณปู่แสดงออกดูเหมือนจะเพี้ยนๆ ซึ่งก็เพี้ยนจริงแต่ถ้าพูดเรื่องการทำงานหรือการวิจัยเขาจะกลายเป็นคนละคนทันที
ก็จริงอย่างที่มีคนพูดไว้ว่าอัจฉริยะมักไม่เต็ม
หมับ!
“หลานปู่...คิดถึงมากเลย”ปู่กระโดดกอดผมเต็มแรงด้วยความคิดถึง
“...ครับๆ...”ตอนนี้ผมทำได้เพียงเบนหน้าหนีเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดเท่านั้น
กลิ่นเหม็นหืนออกเปรี้ยวๆนี่ทำเอาผมแทบขาดใจตาย
ทำไมไม่มีใครเอาเสื้อกราวนี่ไปซักแล้วเทน้ำยาปรับผ้านุ่มสักสิบลิตรก่อนจะตามด้วยหัวน้ำหอมอีกสักสามขวดกันนะ...กลิ่นขนาดนี้นี่ไม่ไหวจริงๆ รู้สึกจะมากกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันด้วย
เสื้อกราวนี่ถือเป็นขีปนาวุธได้เลย...ถ้าโยนเข้าไปหาไดโนเสาร์อาจมีสลบก็เป็นได้
“มาหาปู่สินะ”พอปู่กอดผมจนพอใจแล้วก็ถามขึ้นด้วยรอยิ้ม
“...เปล่าครับ”
“...”ปู่ที่ได้ยินถึงกับเบิกตากว้างก่อนจะทำหน้าเศร้าจนผมรู้สึกผิด
“เอ่อ...ปู่ครับ...”
“ไม่ได้มาหาปู่เหรอ...นั่นสินะ...ขนาดลูกชายสุดที่รักยังเอาแต่ไปทำภารกิจจนลืมพ่อตัวเองไปแล้วจะหวังให้หลานมาหาคงจะมากไปสินะ...”
“ปู่ครับ...คือ...”เอาไงล่ะ...เล่นทำหน้าเศร้าแบบนี้จะให้อธิบายยังไงดี
“ไม่เป็นไรปู่เข้าใจ...หลานก็เหมือนแม่ที่มีงานต้องทำ...ไม่มีเวลามาหาคนแก่ๆแบบนี้หรอก”พูดจบก็ทำท่าปาดน้ำตาโดยใช้ชายเสื้อกราวอันแสนสกปก
“ไม่ใช่นะครับ...จริงอยู่ที่แม่ทำงานหนักแต่ก็คิดถึงปู่อยู่เสมอนะ...ผมเองก็คิดถึงปู่เหมือนกัน”
“จริงเหรอ?”
“ครับ...วันนี้ผมพาคู่หูมาเดินดูฐานหนึ่ง...คิดอยู่ว่าขากลับจะพาไปหาปู่เพราะงั้นอย่างเศร้าไปเลยนะครับ”ผมรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าปู่มีท่าทีอ่อนลง
ที่พูดไปไม่ได้โกหกสักนิด...ยังไงผมก็ตั้งใจว่าจะพาเชสไปแนะนำให้คุณปู่รู้จักอยู่แล้ว
“งั้นเองเหรอ สมแล้วที่เป็นหลานรักของปู่...อานโน่!!”คุณปู่คว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่นอีกครั้งด้วยความดีใจจนน้ำตาลคลอ
แม้จะอายุมากแล้วแต่นิสัยเด็กๆนี่ยังไม่หายสักทีนะ
“ครับๆ...ว่าแต่หนีใครมาครับ?”ผมถามต่อพลางมองไปยังทางเชื่อมที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคนวิ่งมา
“ก็พวกเจสน่ะสิ...ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงคิดจะลากปู่ไปอาบน้ำทั้งที่พึ่งอาบไปแท้ๆ”ปู่อธิบายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“พึ่งอาบนี่...เมื่อไหร่ครับ”ผมถามเสียงนิ่งเพราะไม่มีว่าคำว่าพึ่งของคนตรงหน้าจะหมายถึงเมื่อวานเหมือนอย่างมนุษย์ปกติ
“ก็...เมื่อเดือนก่อน”ทันทีที่คำตอบดังขึ้นเชสที่อยู่ข้างๆถึงกับขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ก็นะ...ขนาดในประเทศฝรั่งเศสอันหนาวเหน็บที่อาบน้ำนานๆครั้งยังไม่นานถึงเดือนเลยแต่ในเขตอบอุ่นออกแนวร้อนแบบนี้การไม่อาบทุกวันถือเป็นเรื่องแปลก
“ปู่ครับ...ผมบอกแล้วนะว่าไม่อาบน้ำได้แต่ไม่ควรเกินสามวัน”ผมพูดพลางชูสามนิ้วขึ้นมา
ตอนเด็กๆที่ถูกฝากไว้กับปู่นั้นมีหลายครั้งที่ผมต้องบังคับให้เขาอาบน้ำ...แน่นอนว่าการทำแบบนั้นมันไม่ง่ายสักนิดกว่าจะยอมอาบแต่ละครั้งผมก็เกือบหมดความอดทนเขวี้ยงปู่ของตัวเองลงน้ำไปหลายรอบ
“...ก็มัน...”
“ไม่ต้องมาก็มันเลย...ไม่ต้องทำหน้าหง๋อยด้วย”ถึงจะทำหน้าแบบนั้นก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ
เหม็นขนาดนี้ผมอาจตายได้ถ้าขืนอยู่ใกล้นานกว่านี้
“แต่...”
“คุณฟรานครับ!”เสียงตะโกนของเหล่าคนที่ตามมาดังขึ้นก่อนจะตีวงล้อมเจ้าของชื่อจนหมดทางหนี
“ไม่ๆๆๆ...ขออีก10วันฉันจะยอมอาบเลย”ปู่พยายามต่อรอง
“ไม่ได้ครับ...แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว...รีบไปอาบเดี๋ยวนี้เลย”พี่เจสบอกก่อนจะคว้าแขนปู่มาจับไว้แน่นไม่ให้หนีไปไหน
พี่เจสนี่เป็นหนึ่งในผู้ช่วยวิจัยของปู่...ด้วยความสามารถอันโดดเด่นทำให้ถูกเรียกตัวมาทันทีที่จบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา
“ม่ายยยย~”
“ปู่ครับ”ผมเดินเข้าไปใกล้คนที่กำลังถูกลากนิ่งๆ
“อานโน่...ช่วยปู่ด้วย”ถึงจะขอแบบนั้นแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ผมช่วยไม่ได้
ขอโทษนะปู่
“ปู่ไม่อยากรู้จักคู่หูผมเหรอ”ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะรู้ว่าการที่จะทำให้ปู่อาบน้ำได้โดยสมัครใจคือการหาสิ่งที่ปู่สนใจมาเป็นตัวล่อ
“คู่หู...ของอานโน่? จริงสิ...เซโครก็บอกอยู่ว่าเป็นคนที่มีความสามารถแถมยังมีความรู้หลายด้านไม่ว่าจะเป็นการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์”ใบหน้าที่เริ่มมีความสนใจนั่นทำเอาผมอยากจะร้องเยสออกมาดังๆเลย
ปู่สนใจเรื่องเชสแล้ว
“ใช่ๆ เชสน่ะเก่งมากเลย ปู่ต้องคุยกับเขาถูกคอแน่ๆ...แต่ก่อนหน้านั้นควรจะไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ทำไมล่ะ”
“มันเป็นมารยาทนี่...ปู่เคยสอนไม่ใช่เหรอว่าการพบกันครั้งแรกต้องสร้างความประทับใจให้ได้น่ะ”
“...ก็ใช่”
“เนอะ...เดี๋ยวผมไปรออยู่ที่ห้องปู่...เพราะงั้นรีบไปอาบน้ำเถอะ”ผมบอกออกไป
“...ก็ได้”คำตกลงที่ได้ยินเรียกร้อยยิ้มจากรอบข้างได้หมดทุกคน บางคนถึงขั้นน้ำตาคลอเลยก็มี
ผมว่าพวกเขาต้องวิ่งไล่จับมาหลายชั่วโมงแล้วแน่ๆ...ถ้าขืนปล่อยให้วิ่งไล่กันแบบนี้ต่อไปงานของฐานหนึ่งคงไม่เดินพอดี
“ไว้เจอกันนะครับ”ผมยกมือโบกลาปู่ที่ถูกประกบไปห้องน้ำด้วยรอยยิ้ม
“...อานโน่”
“หื้อ?...ทำหน้าซะเครียดเลยนะ”เมื่อหันไปหาเชสก็เห็นว่าอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาเสยเส้นผมสีน้ำตาลอย่างเครียด ใบหน้านั่นก็ตึงๆเหมือนพึ่งผ่านการอบรมอันยาวนานกว่า15ชั่วโมงโดยไม่พัก
“นั่นคือพ่อของคุณเซโครจริงๆสินะ”เชสถามย้ำ
“ใช่ ฟรานซิส เบนซ์ ฟงเซ่...บิดาแห่งการคืนชีพคนนั้นแหละ”
“เขาดู...ไม่ค่อยเหมือนคุณเซโครเท่าไหร่”
“คิก...นายเอาปู่ไปรวมกับแม่ไม่ได้หรอกนะ”
“ทำไมล่ะ”เชสถามต่อทันที
“พวกเขามีสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือมีความคิดและสมองอันฉานฉลาดแต่นอกนั้นน่ะ...ไม่เหมือนเลยสักนิดเดียว”แม่เป็นคนใจเย็น จะวิเคราะห์สถานการณ์รอบด้านอย่างรอบคอบผิดกับปู่ที่มักไม่คิดให้ดี ยิ่งเวลามีอะไรสนใจก็มักจะเอามารวมกันไปหมดอย่างพ่อที่เป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์รุ่นทดลองหรือแม้แต่ผมเองก็เหมือนกัน
ผมไม่ได้คิดจะว่าปู่แต่ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ทำให้ผมมีอาวุธที่ไดโนเสาร์กลายพันธุ์คนอื่นไม่มี
“ดูจากที่เห็นก็คงงั้น”
“ฉันจะพาเดินไปรอบๆก่อนแล้วค่อยไปห้องปู่กัน”ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเดินนำเชสไปอีกครั้ง
“ได้”
จากนั้นผมก็พาเชสเดินทัวร์ตั้งแต่ชั้นใต้ดิน2ชั้นและชั้น1ที่เป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์กระดูกจนถึงชั้น5ที่เป็นมีไว้สำหรับการทดลองยาไม่ว่าจะเป็นยาสลบ ยาชาหรือยาพิษต่างๆ พวกยาที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษใช้ส่วนมากมาจากที่นี่ทั้งนั้นยกเว้นของแม่ที่ทำยาขึ้นมาด้วยความสามารถของตัวเอง…และจากนี้ก็คงต้องยกเว้นเชสด้วยเพราะจากที่ดูในการต่อสู้ที่ผ่านมาเขาก็ใช้ยาเฉพาะของตัวเองเท่านั้น
“...อานโน่”
“อะไร”ผมถามพลางนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่เต็มไปด้วยขยะ เอ้ย กองเอกสารงาวิจัยภายในห้องของหัวหน้าฐานหนึ่งหรือดร.ฟรานซิสนั่นเอง
“ก็พอรู้ว่าไม่ใช่คนรักสะอาด...แต่นี่ออกจะเกินไปหน่อยมั้ง”เชาบอกก่อนจะหยิบกางเกงขาวยาวสีขาวออกเหลืองที่วางอยู่บนโซฟาขึ้นมาด้วยใบหน้าที่บอกไม่ถูก
“นี่ยังน้อยไป...ส่งมานี่สิ”ผมยื่นมาไปรับกางเกงตัวนั้นพร้อมกับลุกขึ้นโยนมันใส่ตะกร้าที่วางด้านข้างตู้หนังสืออย่างแม่นยำโดยไม่ต้องมองหาสักนิด
รู้สึกว่าจะวางไว้ที่เดิมนะ
ไม่อยากบอกหรอกว่าตะกร้านั่นผมเป็นคนริเริ่มนำมาวางเองเมื่อสี่ปีก่อน ทั้งที่วางตะกร้าไว้ให้ใกล้ขนาดนี้ยังจะเดินมาถอดที่โซฟาอีกเหรอปู่
คิดแล้วก็อดเคืองไม่ได้
“นายเคยอยู่กับคุณฟรานเหรอ?”เชสถามก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“อืม...แต่จะพูดว่าเคยก็ไม่ได้นานหรอก ประมาณว่าจะมาอยู่ด้วยเฉพาะตอนที่พ่อกับแม่ออกไปทำภารกิจ”
“อ้อ...นี่มัน...”น้ำเสียงของเชสที่เปลี่ยนไปทำให้ผมหันไปมองอย่างสงสัยก่อนจะเจอกับคู่หูพ่วงตำแหน่งคนรักกำลังหยิบเอกสารงานวิจัยที่วางกองอยู่ข้างโซฟาขึ้นมาอ่านอย่างสนใจ
“เชส?”
“เอกสารนี่เป็นการวิเคราะห์พิษของแมงป่องและสกัดออกมาใช้ประโยชน์ในด้านการรักษา...ไม่อยากเชื่อเลยว่าด้วยพิษของมันสามารถนำมาทำยาแบบนี้ได้”
“เอ่อ...”
“เอกสารนี่ด้วย...ข้อมูลของพืชมีพิษที่อยู่ในป่าลึก ไปหาข้อมูลมาได้ยังไงกัน”เชสตอนนี้เรียกว่าหมดความสนใจในตัวผมอย่างสิ้นเชิง ทั้งสองมือก็หยิบเอกสารงานวิจัยขึ้นมาอ่านเรื่อยๆโดยที่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่นก็ไล่อ่านข้อมูลเหล่านั้นด้วยความสนใจ
แกร็ก
“อานโน่...ปู่มาแล้ว!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับประตูห้อง
กลิ่นแรกที่สัมผัสได้คือความหอมจนผมต้องหันไปมองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าชายกลิ่นหอมตรงหน้าจะเป็นปู่ที่ไม่ชอบการอาบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ
“ติดกระดุมผิดเม็ดแล้วครับ”พูดจบผมก็ลุกขึ้นไปจัดการติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าให้ใหม่
ดูท่าจะรีบมาคุยกับเชสสินะ
“ขอบใจ...อ๊ะ...เธอใช่ไหมกลาเช่ เฟวรีเย่”ทันทีที่ติดกระดุมเสร็จปู่ก็เดินเข้าไปหาเชสที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านงานวิจัยอยู่
“ครับ...คุณฟรานคือผมมีข้อสงสัยอยู่ ขอถามได้ไหมครับ”
“ได้สิ อะไรล่ะ”
“คือเอกสารนี่บอกไว้ว่าการผสมยีนสองชนิดเข้าด้วยกันจะทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านได้และเมื่อเกิดการต่อต้านยีนทั้งสองชนิดก็จะไม่สามารถนำมาใช้ได้ แต่ตรงนี้มีที่เขียนด้วยลายมือเหมือนจะบอกว่ามีวิธีใช่ลายมือคุณรึเปล่าครับ”
“ใช่ๆ...สนใจเรื่องการผสมยีนด้วยเหรอ”ปู่ถามกลับไป
“ครับ...พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจดี”เชสตอบกลับ
“เยี่ยมเลยๆ งั้นฉันจะอธิบายให้ฟังนะ”
“ได้เหรอครับ”ถึงตรงนี้เชสก็ตาลุกวาวด้วยดีใจ
“แน่นอน...เริ่มจากการผสมยีนใช่ไหม”
“ครับ”
“ถ้าจะผสมโดยไม่ให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านเราก็จำเป็นต้องมีตัวเชื่อมยีนทั้งสองเข้าด้วยกันโดยดูความเหมาะสมเป็นหลักอย่าง...”ปู่นั่งลงที่โซฟาข้างเชสก่อนจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่ผมเคยได้ฟังมาก่อน ทั้งที่คิดว่าเชสคงจะขมวดคิ้วอยู่แน่แต่เชสกลับไม่ใช่อย่างนั้นเพราะตั้งใจฟังมากแถมยังพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจอีก
ก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีความรู้ด้านนี้อยู่พอสมควรแต่ไม่คิดว่าจะมากถึงขนาดฟังสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์อย่างปู่พูดได้ทุกคำ ขนาดผมบางทียังมีไม่เข้าใจในคำพูดพวกนั้นเลย
การสนทนาของทั้งคู่ใช้เวลาไปมากกว่าสองชั่วโมงแต่ก็ยังไม่จบ ผมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยก็เดินดูรอบๆห้องโดยมือข้างหนึ่งก็หยิบกองเสื้อผ้าที่ถอดกองไว้โดยใส่ตะกร้าละอีกมือก็จัดการหยิบหนังสือเล่มหนาจัดเข้าชั้นไปเรื่อยๆ
ห้องอันสกปรกตอนนี้ค่อยๆกลับมาเป็นห้องที่สะอาดขึ้นทีละน้อย ขั้นสุดท้ายของการทำความสะอาดคือการกวาดถูห้องซึ่งก็เสร็จเรียบร้อย
อ่า...กลิ่นอับๆของห้องหายไปแล้ว
ดีจริงๆ
“...แล้วก็นะถ้าเรานำสารที่เป็นตัวเร่งหยดใส่ลงในนั้นละก็...”
“จะเกิดเป็นสารใหม่ที่มีความทนทานสูง”เชสพูดแทรกสิ่งที่ปู่กำลังจะพูด
“ใช่แล้ว...เธอนี่เก่งจริงๆเลยนะ จบวิทยาศาสตร์มาเหรอ”
“เปล่าครับ...ผมจบบริหาร”
“จริง?...เด็กบริหารเก่งวิทยาศาสตร์ขนาดนี้เลย”ปู่ดูตกใจที่เชสไม่ได้จบด้านวิทยาศาสตร์มาอย่างที่คิด
ไม่ว่าใครก็คงตกใจทั้งนั้นแหละ...ด้วยความรู้ที่เชสมีดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่จบบริหาร
“ผมสนใจน่ะครับ...ตอนนี้วิทยาศาสตร์ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยผมในการปฏิบัติภารกิจ”เชสอธิบายต่อ
“จะว่าไปเห็นว่าเป็นคู่หูที่มีความสามารถระดับแนวหน้าเลยนี่”
“ก็ไม่ขนาดนั้น...ผมยังมีเรื่องต้องเรียนรู้อีกเยอะ”
“ไม่ใช่มั้ง...อานโน่ คู่หูของหลานเป็นยังไงบ้าง?”ปู่หันมาถามผมบ้าง
“เชสเหรอ ว่าไงดีล่ะ...เขาก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละ”ผมตอบปู่
“งั้นบอกปู่หน่อย”
“ปู่จะรู้ไปทำไมล่ะ”ไม่จำเป็นต้องรู้สักหน่อย
“ก็อยากรู้นี่...เชสก็อยากรู้เหมือนกันใช่ไหม”ปู่หันไปถามเชสต่อ ดวงตาสีน้ำเงินของเชสหันมามองผมเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่...
“ก็อยากรู้อยู่...ฉันมีข้อเสียอะไรอานโน่?”เชสถามต่อ แววตาที่มองมานั่นเต็มไปด้ยความสงสัย
ในเมื่อมีแต่คนอยากรู้ก็มีแต่ต้องสินะ
“บอกก็ได้...เชสเป็นคนที่มีความละเอียดรอบครอบสูง...อย่างการทำภารกิจจับไดโนเสาร์ เชสจะไม่เข้าไปจับไดโนเสาร์ทันทีแต่จะใช้เวลาสักพักเพื่อคิดแผนซึ่งนั่นก็ถือเป็นข้อเสียเพราะระหว่างที่กำลังคิดก็มีหลายครั้งที่ไดโนเสาร์วิ่งไปแล้ว”
“ที่ฉันต้องคิดก่อนก็เพราะไม่อยากให้นายต้องได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ต่างหาก”เชสพูดแทรก
“ฉันรู้น่า...แต่แค่บาดเจ็บนิดหน่อยฉันไม่เป็นไรหรอก”
“ถึงจะแค่นิดหน่อยแต่บางครั้งก็อาจเกิดการติดเชื้อได้...กันไว้ก่อนก็ดีกว่านี่”เชสเถียงกลับ
“ก็ไม่ได้บอกว่าที่นายทำผิดสักหน่อย...คนที่อยากฟังข้อเสียงของตัวเองคือนายนะเชส”ผมบ่นออกไป
“ชิ...”
“ไหนอานโน่ก็บอกข้อดีข้อเสียแล้วเชสลองบอกของอานโน่บ้างสิ”ปู่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ห๊ะ?...ไม่ต้องก็ได้...”
“ดีเลย”ยังไม่ทันพูดจบอีกฝ่ายก็ทำหน้าพอใจก่อนจะส่งสายตามาบอกประมาณข้อเสียของผมมีสักร้อยข้อได้
เป็นสายตาที่น่าโมโหจนอยากกระโดดเข้าไปกัดคอซะจริงๆ
“อานโน่เป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์ที่มีทั้งไหวพริบและทักษะในการต่อสู้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่มากเพราะแบบนั้นเลยมักจะประมาทในช่วงก่อนปิดฉากการต่อสู้ทำให้เพี้ยงพร้ำได้ง่ายๆ”
“ไม่ได้ประมาทสักหน่อย...ก็รู้แล้วว่ายังไงก็ชนะไม่เห็นต้องคิดมากเลย”ผมสวนกลับหน้าตรึง
“แล้วถ้าเกิดไม่ชนะขึ้นมาล่ะ”
“ห๊ะ?”
“ถ้าในระหว่างที่นายอ่อนการป้องกันแล้วเกิดมีการพลิกสถานการณ์ขึ้นมาล่ะจะว่าไง”
“ไม่มีทาง...ต่อให้โดนพลิกฉันก็จะพลิกกลับให้ชนะจนได้แหละ”
“ถ้าไม่ประมาณแต่แรกก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาพลิกสถานการณ์ไปมาหรอก”
“แล้วทีนายล่ะเชส...ภายนอกก็ดูเหมือนคนใจเย็นแต่เอาเข้าจริงก็ฟิวขาดได้ง่ายๆแถมยังชอบหาเรื่องเสี่ยงเจ็บตัวอีก”ผมไม่ยอมให้มาว่าอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ
“ใครหาเรื่องเจ็บตัวกัน...ทีนายยังใจร้อนมุทะลุแถมเอาแต่ใจจนทำเสียแผนมาเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ว่าไงนะ...นายก็เอาแต่รอจนเสียโอกาสที่จะโจมตีไปตั้งเท่าไหร่”
“นายเองก็เอาแต่พุ่งชนจนบาดเจ็บมาไม่รู่เท่าไหร่เหมือนกันแหละน่า”
“เชส!”
“อานโน่!”
สุดท้ายพวกเราก็ตะโกนใส่กันเสียงดังลั่นพร้อมกับลุกขึ้นยืนจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยมีคุณปู่ที่พยายามยกมือขึ้นปรามพวกเราให้สงบลงแต่ด้วยอารมณ์ตอนนี้ไม่สงบง่ายนักหรอก
“จะหาเรื่องกันใช่ไหมเชส”
“นายนั่นแหละที่หาเรื่อง...อานโน่”เชสเองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“เอ่อ...อย่าทะเลาะกันเลยนะทั้งสองคน”ปู่บอกด้วยใบหน้าตื่นๆอย่างไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
“คนที่หาเรื่องทะเลาะก่อนก็เชสนั่นแหละ...ที่ฉันใจร้อนบุกเดี่ยวไปจัดการนั่นก็เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยให้ไดโนเสาร์หนีไปได้เดี๋ยวเชสก็จะถูกว่าได้”พึ่งเข้ามาทำงานในหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ไม่นานการทำงานพลาดจึงเป็นสิ่งที่ไม่ให้เกิดขึ้นมากที่สุดแต่เจ้าตัวก็เอาแต่นิ่งโดยไม่รู้เลยว่าผมห่วงเขาขนาดไหน
“การที่ฉันใจเย็นก็ไม่ได้ว่าไม่สนใจสักหน่อย...การรีบร้อนทำภารกิจให้เสร็จๆไปมันอาจมีผลดีแต่ก็ทำให้นายต้องเจ็บตัวมากกว่าปกติด้วย เพราะฉันไม่อยากให้นายต้องเจ็บตัวถึงต้องคิดให้รอบครอบและรอโอกาสก่อนจะโจมตีไงเล่า”
“...”เสียงตะโกนในประโยคสุดท้ายทำให้พวกเราทำคู่ถึงกับนิ่งไปเพราะไม่คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคิดจะเป็นแบบนี้
ที่เชสทำแบบนั้นไปก็เพราะไม่อยากให้ผมเจ็บ
และที่ผมทำแบบนั้นไปก็เพราะไม่อยากให้เชสโดนว่า
พวกเราต่างคิดในสิ่งที่เหมือนๆกันเพียงแต่ได้ข้อสรุปออกมาคนละอย่างเท่านั้น
“เชส...”
“อานโน่...”เป็นอีกครั้งที่พวกเราต่างเรียกชื่อของกันและกันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่มาก
ทันทีดวงตาสีน้ำเงินเข้าที่สบกับดวงตาสีแดงอ่อนของผมนั้นไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆอีก...พวกเราต่างรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายคิดดี
จากใบหน้าที่ตึงๆเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆก่อนจะเป็นรอยยิ้มกว้างที่มาพร้อมเสียงหัวเราะที่นานๆทีจะได้ยินเชสหัวเราะแบบนี้
“ฮะฮะฮะ...พวกเรานี่ทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระชะมัด”ผมขำไปพูดไป
“หึ...นั่นสิ”
“อ่า...ดีกันแล้วสินะ”ปู่เองก็ยิ้มออกเมื่อเป็นว่าบรรยากาศเครียดเริ่มคลายตัวลง
“...ก็...ครับ”
“ได้คู่หูที่ดีมากเลยนะอานโน่”ปู่หันมาบอกด้วยรอยยิ้ม
“ครับ”ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
จากนั้นพวกเราก็อยู่คุยกับปู่กันพักใหญ่ก่อนจะขอตัวกลับไปพักที่ห้อง อาจถือว่าเป็นโชคดีที่ตลอดทั้งวันไม่มีโทรศัพท์เรียกให้ออกไปทำภารกิจ
แสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าหายไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างของพระจันทร์ที่ส่องสว่างตลอดการเดินกลับของพวกเรา ผมที่เดินตามหลังเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ทำเกือบเต็มดวงด้วยรอยยิ้ม...วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ทะเลาะจริงจังกับเชสแต่ถึงจะเรียกว่าทะเลาะแต่ก็คืนดีกันได้โดยไม่ต้องมีแม้คำขอโทษ
หมับ!
“เชส!”ผมกระโดดกอดคออีกฝ่ายจากด้านหลังก่อนจะเรียกชื่อเสียงดัง
“...เสียงดังน่า”ถึงจะทำเสียงไม่พอใจแต่เขาก็ขยับตัวให้ผมขึ้นไปขี่หลังดีๆ
“ไม่หนักเหรอ?”ผมถามพลางวางคางบนไหล่ของเชส
ตอนนี้เชสกำลังเดินกลับไปบ้านโดยที่มีผมขี่หลังอยู่ ครั้งแรกที่ได้ขี่หลังเชสทำเอารู้สึกใจเต้นแปลกๆเหมือนกัน
“หนัก”
“ลงก็ได้นะ”
“ไม่ต้อง”พอผมทำท่าจะลงอีกฝ่ายก็ส่งเสียงห้ามก่อนจะแกล้งโดยการหมุนไปรอบจนผมที่อยู่บนหลังต้องกอดคอเชสไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้ตก
“พอ...พอแล้ว...ไม่ลงแล้ว!”ผมตะโกนบอกเสียงดังพร้อมหลับตาสนิท
“พูดแล้วนะ”
“ขี้แกล้ง”ผมบ่นเสียงเบา พอผมตกลงเชสก็กลับมาเดินตามปกติอีกครั้ง
“แล้วแกล้งไม่ได้?”อีกฝ่ายหันหน้ามาถาม
ดวงตาสีน้ำเข้มที่ถูกแสงจันทร์ส่องมากระทบนั้นยิ่งทำให้ดวงตานั้นดูน่าดึงดูมากกว่าเดิมหลายเท่า เพียงแค่ถูกดวงตานั้นมองหาหัวใจมันก็เต้นเร็วขึ้น...ไม่เพียงแค่นั้นยังขยับหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายราวกับโดนดึงให้เข้าไปหา
“...ยอมให้แกล้งได้คนเดียวแหละ”ผมตอบเสียงเบาโดยที่ดวงตายังประสานกับอีกฝ่ายอยู่
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไรก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ผมยอมให้...
“ลองให้คนอื่นสิ...โดนแน่อานโน่”เชสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โดนอะไรล่ะ”ผมถามทั้งที่พอรู้คำตอบ
“หึ...”สิ้นเสียงนั้นริมฝีปากของเชสก็หันมาประกบอย่างเชื่องช้า ไม่มีการลุกล้ำไม่มีแม้แต่การขบเม้มอย่างที่โดนเป็นประจำ
ทั้งที่จูบกันออกปล่อยแต่พอเป็นสัมผัสเบาๆนี่ก็ทำให้ผมแทบหยุดหายใจ
เป็นเหมือนการลงโทษที่แทบขาดใจจริงๆ
เขาก็รู้ว่าสำหรับผมแค่นี้มันไม่พอ...
“เชส...”
“ไม่พอรึไง”
“ก็รู้นี่...”
“ถ้าฉันไม่ทำล่ะ”เชสย้อนพร้อมยกยิ้มขึ้น
“ถ้านายไม่ทำ...ฉันจะทำเอง”พูดจบผมก็จัดการปิดปากเชสด้วยปากของผมเบาๆก่อนจะเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อลิ้นร้อนของเราสัมผัสกัน เชสที่บอกว่าจะไม่ทำตอนนี้กลับรุกเข้ามาอย่างหนักหน่วงจนผมแทบจะลายด้วยความรู้สึกดี
แต่จะให้รู้สึกดีฝ่ายเดียวก็ไม่ยอมหรอก
ผมจะไม่ยอมเป็นคนเดียวที่รู้สึกดี
คิดได้แบบนั้นผมก็รุกเชสกลับจนจูบนี้รุนแรงและร้อนรุ่มกว่าครั้งไหนๆที่เคยเป็น
หัวใจสองดวงเต้นปรานเป็นจังหวะเดียวกันอย่างน่าฟัง
เพียงแค่ได้ยินผมก็รู้ว่าเขาเองก็รู้สึกดีไม่ต่างจากผม
มนุษย์เพียงคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกเชื่อใจ
มนุษย์เพียงคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว
มนุษย์เพียงคนเดียวที่ยอมให้อย่างหมดหัวใจ
....................................................................................
แอบมาอัพตอนพิเศษพร้อมแจ้งข่าวพรีหนังสือเล็กน้อยค่ะ
ตอนพิเศษนี้ไม่มีอยู่ในเล่มค่ะ เราพึ่งแต่งมาสดๆเลย
รู้สึกคิดถึงทั้งคู่อยู่ไม่น้อย
หลังจากเรื่องนี้จบไปก็นานพอดูในที่สุดก็จะออกรวมเล่มแล้วค่ะ
ฝากอุดกนุนผลงานของเราด้วยนะคะ
ขอบคุณค่า^^
ปล.ภายในปีนี้ภาค3จะมาแน่นอนค่ะ เตรียมรออ่านกันได้เลย!
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪