“ รักคืนรัง ”
ตอนที่ 6
ชินดนัยประคองร่างอ่อนปวกเปียก ที่สวมชุดคลุมอาบน้ำสีขาวเรียบร้อยแล้วออกมาจากห้องน้ำ หน้าตาของธรณ์แม้จะยังซีดเซียว แต่ก็ถือว่าดูดีกว่าตอนที่ยาออกฤทธิ์มากนัก ส่วนสภาพร่างกายหลังจากปลดปล่อยจนหลุดพ้นความทรมาน ก็อ่อนเพลียหนักจนแทบจะล้มพับ ดีที่มีชินดนัยคอยประคอง เพราะกว่าที่ยาจะหมดฤทธิ์ก็กินเวลาร่วมสามชั่วโมง
ธรณ์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความอ่อนแรง ชินดนัยโน้มตัวลงมองเพื่อนรักด้วยความฉุนปนระอา นึกอยากจะกร่นด่าอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นเพื่อนรัก และเคยผ่านเข้าสู่ช่วงแห่งการเป็นวัยรุ่นมาด้วยกัน ชินดนัยก็คงไม่กล้าเอ่ยปากอาสาช่วยธรณ์ และธรณ์ก็คงไม่มีวันยอมชินดนัยอย่างเด็ดขาด ชินดนัยแทบไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าธรณ์ไม่สามารถควบคุมตัวเองจนโทรศัพท์หาเขาได้ ผลสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร
“น้ำหมดตัวหรือยังล่ะ?” ชินดนัยถามคนที่นอนพังพาบอยู่บนเตียงเสียงเรียบ
ธรณ์เหลือบตามามองชินดนัย ก่อนจะกระตุกยิ้มร้ายกาจออกมา แม้จะหมดสิ้นแรงกาย แต่แรงปากธรณ์ยังดีอยู่ และดีพอที่จะขยับปากเอ่ยยั่วโมโหชินดนัยด้วย
“มือมึงนี่ห่วยหว่ะชิน สู้ผู้หญิงที่เคยนอนกับกูไม่ได้ซักคน”
“ขนาดมือกูห่วย มึงยังเสร็จไปตั้งสามรอบ”
ธรณ์หัวเราะร่าออกมาด้วยความชอบอกชอบใจ เขากับชินดนัยไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกันลึกซึ้ง มากกว่าความเป็นเพื่อนรัก ที่เติบโตมาด้วยกันในรั้วโรงเรียนประจำ เป็นครอบครัวของกันและกันในยามที่ไม่มีใคร ในยามที่ต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง สำหรับธรณ์แล้ว สิ่งที่ชินดนัยทำก็เป็นแค่การช่วยเขาปลดปล่อย ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรมาเจือปนแม้แต่น้อย
ชินดนัยปล่อยให้เพื่อนนอนพักอยู่ครู่เดียว ก็ตีหน้าเคร่งเอ่ยเรื่องสำคัญ
“เรื่องที่มึงให้กูสืบ กูได้ความคืบหน้ามานิดหน่อย มึงมีแรงฟังหรือเปล่า”
“มีสิ แต่กูคอแห้งมากเลยนี่ สงสัยลูกกูคงตายไปเป็นล้านแล้ว” ธรณ์ตอบก่อนจะยันกายขึ้นมานั่งพิงพนักหัวเตียง
“มึงรออยู่นี่ละกัน เดี๋ยวกูไปเอาน้ำให้ อย่าเพิ่งหลับล่ะ”
ชินดนัยปล่อยให้เจ้าของห้องอยู่ลำพัง ส่วนตัวเขาก็เดินลงมายังห้องครัว ดึกป่านนี้คงไม่น่าจะมีแม่บ้านหลงเหลืออยู่แล้ว แต่แค่น้ำเปล่าแก้วเดียว มันคงไม่หนักหนาสาหัสอะไรเท่าไหร่ ชายหนุ่มจัดแจงคว้าแก้วมาจากตู้ ก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำมารินใส่ พอเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินกลับขึ้นไปหาธรณ์ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเงาตะคุ่มนั่งอยู่ตรงห้องรับแขก เขาเอื้อมมือไปกดสวิตช์แล้วก็เอ่ยทักทันที
“อ้าว...คุณเขตต์ ทำไมไม่เปิดไฟล่ะครับ”
ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ชินดนัยยืนยันเลยว่า สายตาของเขตแดนที่มองมาที่เขา มันฉายแววไม่เป็นมิตรอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงขยับริมฝีปากยิ้มให้คนอายุมากกว่า ที่นั่งจิบบรั่นดีอยู่ตรงโซฟารับแขก โดยที่ไม่ได้คิดจะเปิดไฟแม้แต่น้อย
“เห็นป้าอุ่นบอกว่าธรณ์ดูเหมือนไม่ค่อยสบาย” เขตแดนเปรยเสียงเรียบ
ชินดนัยชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบกลบเกลื่อนสีหน้าของตนเองด้วยความรวดเร็ว เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าเขตแดนรู้ว่าธรณ์ไปเที่ยวแล้วถูกมอมยา ธรณ์จะเป็นอย่างไรบ้าง ทางที่ดีก็ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายรู้เสียจะดีกว่า
“ไม่เป็นอะไรมากครับ นี่ผมก็แค่ลงมาเอาน้ำดื่มให้ธรณ์”
พอเขตแดนไม่ได้พูดอะไร ชินดนัยจึงเดินเลี่ยงออกมา แต่ถ้าเกิดชายหนุ่มหันมามองซักนิด คงจะเห็นว่าเขตแดนมองตามมาไม่วางตา นักธุรกิจหนุ่มกระดกบรั่นดึอึกสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะนั่งหมุนแก้วเปล่าเล่น ปล่อยความคิดวนเวียนไปถึงเจ้าของบ้าน ที่กำลังถือวิสาสะเข้ามารบกวนจิตใจเขา
เขาไม่ใช่คนไม่รู้ประสา ว่าเมื่อตอนดึกเกิดอะไรขึ้นในห้องของธรณ์ แม้จะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดระหว่างผู้ชายสองคน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ยาก ถ้าหากเขตแดนจะรับไม่ได้ เหตุผลเดียวที่นึกออกก็คงจะเป็นเพราะ...เป็นธรณ์ อิสรพัฒน์มากกว่า
แค่ได้ยินเสียงครางของธรณ์ดังลอดออกมานอกประตู จินตนาการของเขตแดนก็ไปไกลจนเจ้าตัวเองยังคาดไม่ถึง แค่นึกว่าธรณ์และชินดนัยต่างอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน มีความสุขไปด้วยกัน มือที่ถือแก้วก็พลันเกร็งแน่นอย่างไม่รู้ตัว
เขตแดนไม่พอใจ แม้จะรู้ว่ามันเป็นสิทธิ์ของธรณ์
และถ้าเขาจะขอใช้สิทธิ์ของความเป็นผู้ปกครองบ้างล่ะ...====================
ธรณ์รับแก้วน้ำจากชินดนัยมาดื่มจนหมดแก้ว ก่อนจะวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง ส่วนชินดนัยก็ถือโอกาสอาบน้ำอาบท่าชำระล้างร่างกายเสีย เพราะเวลาก็ล่วงเลยจนเข้าสู่วันใหม่ ชายหนุ่มเองจึงไม่คิดที่จะกลับบ้านแล้ว ทีแรกชินดนัยก็จะให้ธรณ์หาห้องว่างให้ แต่ธรณ์บอกว่าดึกแล้ว แม่บ้านก็เข้านอนกันหมด ห้องหับก็คงไม่ได้ทำความสะอาด ถ้าจะนอนก็ให้นอนห้องเดียวกัน
ธรณ์เองก็ผลัดเสื้อคลุมเป็นชุดนอนลายทางเรียบร้อย ก่อนจะรื้อเอาเสื้อยืดและกางเกงเอวยางยืด ให้ชินดนัยผลัดเปลี่ยนใส่แทนชุดนอน นอนเล่นอยู่ไม่นาน ชินดนัยก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางสดชื่น
“ตอนกูลงไปเอาน้ำกูเจอคุณเขตต์ด้วย”
ประโยคบอกเล่าจากชินดนัยทำเอาธรณ์ชะงักกึก ก่อนจะหันขวับมามองเพื่อนรักแล้วถามเสียงเรียบ
“เขาถามอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า เขาแค่บอกว่า ดูเหมือนมึงจะไม่ค่อยสบาย”
“แล้วมึงไม่ได้บอกอะไรเขาไปใช่ไหม”
พอเห็นชินดนัยส่ายหน้าแทนคำตอบ ธรณ์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขตแดนคงเป็นคนสุดท้าย ที่เขาอยากให้รู้ว่าถูกมอมยา เขาไม่อยากถูกมองว่าอ่อนแอจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือประมาทจนเกิดเรื่องขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องให้เขตแดนรู้จึงเป็นการดีที่สุด ธรณ์มั่นใจว่า ถ้าเขาไม่พูดและชินดนัยไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้แน่ว่าเขาถูกมอมยา และเกิดอะไรขึ้นในห้องนี้บ้าง
“แล้วถ้าพรุ่งนี้ป้าอุ่นถามล่ะ มึงจะตอบว่ายังไง”
คำถามของชินดนัย ทำให้ธรณ์ฉุกใจคิด เพราะป้าอุ่นเรือนเห็นตอนที่ชินดนัยอุ้มเขาเข้ามาพอดี เขาคงจะต้องบอกว่าป่วย แต่จะป่วยเป็นอะไรดีล่ะ ที่ดูสมเหตุสมผลพอ
“เดี๋ยวกูบอกว่าหน้ามืดละกัน”
สุดท้าย ธรณ์ก็คิดได้แต่โรคธรรมดาสามัญ แต่คงเป็นโรคที่น่าเชื่อถือสำหรับธรณ์ เพราะเมื่อตอนบ่ายเขาก็อาการไม่สู้ดี จนหวิดจะวูบไปหลายรอบ เพราะเดินตรวจโรงงานกับเขตแดน ถ้าบอกว่าเกิดเป็นลมขึ้นมา ก็คงจะพอถูไถไปได้บ้างไม่มากก็น้อยละกัน แต่ก่อนที่จะคิดถึงเหตุการณ์วันพรุ่งนี้ ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังติดค้างคาใจธรณ์อยู่
“ตกลงมึงสืบมาได้เรื่องว่ายังไงบ้าง” ธรณ์เอ่ยถามคนที่ตอนนี้ทิ้งตัวลงมานอนบนเตียงแล้วเรียบร้อย โชคดีที่เตียงนอนของธรณ์เป็นขนาดคิงไซส์ จึงไม่ต้องห่วงว่าจะต้องมานอนแนบชิดกับชินดนัย อย่างน้อยก็เหลือที่ว่างตรงกลางอยู่พอสมควร
“พ่อมึงถูกยิง แต่ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล”
“แล้ว?...”
“กูเพิ่งสืบได้แค่นั้นเอง มึงบอกกูเมื่อวานเองนะ จะเอาอะไรมากมายวะ”
“เนี่ยนะ ความคืบหน้านิดหน่อยของมึง กูไม่เห็นว่ามันจะคืบหน้าตรงไหนเลย”
ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนรักกัน ธรณ์คงไม่ลังเลที่จะยันชินดนัยลงจากเตียง แต่สิ่งที่รู้มาก็ทำเอาธรณ์รู้สึกหนักอกหนักใจไม่น้อย จนเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่ชินดนัยยื่นมือมาตบบ่าอย่างให้กำลังใจ
“เอาน่า กูไม่อยากให้มึงเครียดเลยหว่ะ”
“กูรู้ ถึงกูจะไม่ค่อยถูกกับเขาซะเท่าไหร่ แต่เขาก็เป็นพ่อกูหว่ะชิน”
ชินดนัยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นอกจากนอนมองแผ่นหลังของธรณ์ จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า แผ่นหลังที่ดูแข็งแกร่งของธรณ์ แท้ที่จริงแล้วมันก็คือเกราะกำบังที่เจ้าตัวสร้างขึ้นเท่านั้น และสำหรับคนที่เคยเห็นช่วงเวลาที่ธรณ์อ่อนแอมาแล้ว เขาย่อมไม่อยากที่จะทำลายเกราะกำบังของธรณ์ อย่างน้อย...ถ้ามันจะปกป้องธรณ์ได้ เขาก็จะปล่อยให้ธรณ์สร้างเกราะกำบังต่อไป
ชายหนุ่มนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด แม้ว่าเจ้าของห้องจะนอนหลับสนิท จนได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอแล้ว แต่สำหรับเขา...ยังมีเรื่องมากมายที่รอให้เขาขบคิดอยู่
เรื่องบางเรื่องที่รู้มา แม้ไม่อยากพูดออกไป แต่ซักวันก็ต้องบอก
ขอแค่ให้เขามั่นใจกว่านี้ก่อน ว่าเพื่อนรักพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่างด้วยความรอบคอบและมีสติ
สิ่งที่เห็น...มักไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป====================
แม้จะชินกับการสวมหน้ากากเข้าหาคนอื่น แต่เขตแดนกลับรู้สึกว่ามันยากเหลือเกิน เมื่อต้องมาปั้นหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรที่เกิดขึ้นมาคืน ทั้งภายในใจเจ้าตัวกำลังรู้สึกกรุ่นโกรธด้วยความไม่พอใจ ตอนที่เห็นธรณ์เดินลงมาพร้อมกับชินดนัย ชายหนุ่มเสยกกาแฟขึ้นจิบ เขาพยักหน้ารับคำทักทายจากชินดนัย แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่จะปฏิเสธว่า บทสนทนาระหว่างสองเพื่อนสนิทไม่เข้าหูเขา ก็ดูจะเป็นการโกหก
ตอนป้าอุ่นเรือนยกข้าวต้มมาวางบนโต๊ะ ก็มองเจ้านายของเธอด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะอดไม่ได้ ต้องเอ่ยปากถามออกมา
“เมื่อวานคุณธรณ์ไม่สบายเหรอคะ ป้าเห็นคุณชินอุ้มคุณธรณ์เข้ามา”
ธรณ์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองชินดนัย ซึ่งอาการทั้งหมดก็ไม่รอดพ้นไปจากสายตาของเขตแดน ที่แม้ว่าจะทำทีเป็นอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ แต่ก็ยังคงลอบมองธรณ์ไม่วางตา
“พอดีผมเป็นลมน่ะครับ”
“แล้วดีขึ้นหรือยังคะคุณธรณ์”
เขตแดนฟังธรณ์โต้ตอบกับป้าอุ่นเรือนแล้วก็อยากจะหัวเราะหยัน เป็นลม...เขาอาจจะเชื่อก็ได้ว่าธรณ์เป็นลม ถ้าไม่บังเอิญไปได้ยินอะไรที่มันบาดหูเข้า เมื่อตอนไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องของธรณ์เมื่อคืน แม้กระทั่งตอนนี้ เสียงครางของอีกฝ่ายก็ยังติดหูเขาอยู่เลย
เขตแดนนั่งรอธรณ์จัดการกับอาหารเช้าอย่างอดทน ก่อนจะเอ่ยปากถามชินดนัยตามมารยาท ว่าอีกฝ่ายจะกลับบ้านอย่างไร เมื่อรับรู้ว่าที่บ้านของชินดนัยจะส่งรถมารับ เขตแดนจึงไม่ได้ถามต่อ พอจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย เวธน์ก็มาถึงพอดี
“นายจะขับรถไปเองหรือจะไปพร้อมกับฉัน”
ธรณ์ใช้เวลาชั่งใจคิดอยู่เพียงครู่เดียว ก็ตอบตกลงที่จะไปกับเขตแดน เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองยอมอะไรมากมายหรอก ก็แค่ไม่อยากให้เป็นเหมือนเมื่อวาน เผื่อเขตแดนจะลากเขาไปไหนมาไหนอีก สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ขับรถตัวเองอยู่ดี
เพื่อนรักสองคนแยกกันตอนที่ธรณ์เดินมาขึ้นรถ ส่วนที่บ้านของชินดนัยก็ส่งรถมารับ ธรณ์ไม่วายกำชับชินดนัยให้รีบสืบหาความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีของพ่อเขา อีกฝ่ายก็รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะก่อนจะแยกกันไป พอหันกลับมาจะขึ้นรถ ธรณ์ก็เห็นเขตแดนยืนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาดำจัดมองตรงมาอย่างสงบนิ่ง แต่อะไรบางอย่างมันบอกธรณ์ว่า เหมือนเขตแดนกำลังสะกดกั้นอารมณ์อยู่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาใส่ใจซักเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงแค่ไหวไหล่ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ
====================
พอมาถึงที่บริษัท เขตแดนและธรณ์ก็แยกย้ายไปคนละทาง ธรณ์รับเอารายชื่อคู่ค้าชาวต่างชาติจากภวินท์มาดู เพราะต่อจากนี้ไปเขาจะต้องเป็นคนประสานงานตลอด ชายหนุ่มทำเครื่องหมายลูกค้าที่สำคัญไว้ เพื่อที่จะได้คอยดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ และคาดหวังว่ามันจะเป็นผลประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว
“คุณธรณ์ครับ มิสเตอร์จอห์น วิลสัน คู่ค้ารายใหม่ติดต่อเข้ามา ว่าจะเดินทางมาที่นี่อีกสองสัปดาห์ครับ”
“ขอรายละเอียดให้ผมหน่อย”
“ปกติถ้าเป็นคู่ค้ารายใหม่ ส่วนใหญ่ท่านประธานจะสกรีนก่อนนะครับ มิสเตอร์วิลสันนี่ท่านประธานยังไม่ได้สกรีนประวัติเลยครับ”
ธรณ์ขมวดคิ้วฉับ พยายามทำความเข้าใจกับระบบการทำงานของแผนกต่างประเทศ ที่เมื่อก่อนดูเหมือนจะขึ้นตรงกับเวธน์และเขตแดน แต่ตอนนี้เมื่อมันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของธรณ์ ธรณ์จึงคิดว่าเป็นหน้าที่เขาที่ดูแลรับผิดชอบ ให้ดำเนินงานไปตามระบบเดียวกับแผนกอื่น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะให้มิสเตอร์วิลสันนัดหมายวันที่ต้องการเข้าพบมานะครับ”
“ได้เลยคุณภวินท์ รบกวนด้วยนะครับ”
นับว่าภวินท์เป็นผู้ช่วยฝีมือดีของธรณ์ ที่นอกจากจะให้คำแนะนำแล้วยังคอยช่วยเหลือธรณ์เป็นอย่างดี จนการทำงานแต่ละวันของธรณ์ผ่านไปด้วยความรวดเร็ว เรียกว่าไม่ทันไรก็หมดวันแล้ว
เวลาติดต่อประสานงานกับเขตแดน ธรณ์ก็พยายามลดความมึนตึงลง เขาไม่ค่อยหาเรื่องเขตแดนก่อน ตราบเท่าที่เขตแดนไม่มาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องส่วนตัว รวมถึงอุปนิสัยของเขา แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน ธรณ์ก็ยอมรับฟังเป็นอย่างดี แต่คงไม่ใช่กับวันนี้ ที่เขตแดนรับหน้าที่ขับรถแทนเวธน์ และพาธรณ์ไปทานอาหารเย็นกับคุณสงคราม เพราะพอเลี้ยวพ้นออกมาจากบริษัทไม่ทันไร ผู้บริหารหนุ่มก็เอ่ยเสียงเรียบ โดยที่สายตายังจับจ้องถนนหนทางอยู่ ไม่ได้เหลียวมามองผู้ร่วมทางซักนิด
“ช่วงนี้เห็นนายไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยว ไม่ได้ขยันสร้างข่าวคาว ถ้าพ่อรู้คงดีใจ”
ธรณ์ชะงักไปเล็กน้อย เพราะนับตั้งแต่วันที่โดนมอมยา เขาก็ห่างหายจากการตระเวนราตรีมาพอสมควร ถึงจะชอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา แต่ธรณ์ก็ไม่ชอบ ถ้าเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากยา และเขาเองก็ไม่อยากจะคอยรบกวนชินดนัย ในกรณีที่เขาเกิดไปพลาดพลั้งเสียทีขึ้นมาอีกด้วย เลยตัดปัญหาด้วยการที่ไม่ออกไปไหนซะ
“ผมนึกว่าคุณจะเป็นคนที่ดีใจที่สุดเสียอีก” ธรณ์แกล้งเย้า เพราะอีกฝ่ายมักจะค่อนขอดเขาเรื่องเที่ยวกลางคืนเป็นประจำ ดังนั้นน่าจะเป็นฝ่ายดีใจเสียมากกว่า ที่เขาไม่ออกไปไหน
“แล้วฉันบอกนายตอนไหน ว่าฉันไม่ดีใจ” เขตแดนเอ่ยเสียงเรียบ หน้าตาก็ยังคงเรียบนิ่งเช่นกัน
ความจริงแล้วเขตแดนก็อยากจะดีใจอยู่เหมือนกัน แต่วูบหนึ่ง ความคิดไร้สาระก็แล่นผ่านเข้าสู่ความคิดของเขาว่า หรือความจริงแล้วธรณ์อาจจะเพิ่งแน่ชัดกับรสนิยมของตนเอง หลังจากที่มีความสัมพันธ์กับชินดนัย เพราะเขตแดนเองก็สังเกต นับจากวันนั้นที่เขาคิดว่าธรณ์กับชินดนัยได้ก้าวข้ามผ่านเส้นความเป็นเพื่อนไป ธรณ์ก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก
เขตแดนต้องยอมรับเลยว่า ถ้าเป็นเรื่องของธรณ์ทีไร เขามักจะไม่เป็นตัวของตัวเองทุกที แม้จะพยายามทำท่าสุขุม แต่คงมีเพียงเจ้าตัวที่รู้ดีว่า ความจริงแล้วเขากำลังร้อนรนมากเพียงใด
เขาพยายามพร่ำบอกตัวเองว่า ที่เขาไม่ชอบ คงเป็นเพราะมันเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เขาจึงต้องว่ากล่าวตักเตือนธรณ์ในฐานะผู้ปกครอง แต่เขตแดนก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า เขาหงุดหงิดจริงๆ ที่รับรู้ว่าธรณ์มีความสัมพันธ์กับใครไปทั่ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกัน ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่ธรณ์เคยคั่วมาตลอด
“ผมเกรงใจชินมันด้วย” ธรณ์เปรยเรียบๆ
ทว่าคำพูดของธรณ์กลับทำเอาอารมณ์ของเขตแดนขุ่นมัวขึ้นมาอีกอย่างไม่มีสาเหตุ หากจะรู้ซักนิด สำหรับธรณ์แล้ว ความหมายในความเกรงใจของเขาคือ ไม่อยากรบกวนให้ชินดนัยต้องไปคอยหิ้วเขากลับ หรือมาคอยดูแลเขาอีก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
แต่สำหรับเขตแดน เขาคิดว่าหลังจากที่ธรณ์มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชินดนัยแล้ว ธรณ์อาจจะเกรงใจชินดนัย เลยละเว้นการเที่ยวกลางคืน คิดแล้วชายหนุ่มก็เผลอเกร็งข้อมือแน่น ยิ่งรับรู้ว่า ชินดนัยมีอิทธิพลกับธรณ์มากกว่าที่เขาคิด เขตแดนก็ยิ่งพาลหงุดหงิด ทั้งที่พยายามพร่ำบอกตัวเองว่า เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาควรจะมีสติมากกว่านี้ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่กัน ที่เรื่องของธรณ์กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็ก
ไม่ใช่แค่เขตแดนที่มีอิทธิพลกับธรณ์ แม้แต่ธรณ์เองก็มีอิทธิพลกับเขตแดนไม่ต่างกัน====================
[มีต่อนะคะ]