บทที่ 12
วันนี้ที่รอคอย
“ทำไมเธอถึงทำอย่างนี้เมษา จะไปก่อกวนอรเขาทำไม”
“ก็เมรักคุณนี่คะ อยากให้คุณเปิดตัวเมบ้าง ยังไงเมก็เป็นเมียคุณแล้วนะ”
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีทาง เธอเป็นคนอยากเข้ามาอยู่ในสถานะนี้เอง ก็ต้องอยู่แบบนี้ไปตลอด”
“เมไม่มีทางยอมหรอก”
“แต่เธอก็รู้ว่าฉันมีเมียมีลูกแล้ว ยังจะมาทำอย่างนี้อีก ฉันไม่เขี่ยเธอทิ้งมันก็ถือว่าเป็นบุญแล้วนะ”
“ถ้าคุณยังไม่ให้เมเป็นเมียที่ออกหน้าออกตาอีกคน รับรองว่าเมไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่”
“ถ้าเธอทำอย่างนั้นฉันไม่เอาเธอไว้แน่”
ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน ตอนนี้ผมอยู่ประตูหน้าห้องกะว่าจะเข้าไปหาพี่ธี แต่ก็มาได้ยินอะไรดีๆ เข้า ไม่เสียแรงที่ผมวางแผนเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เมษาทำหน้าที่ได้ดีมากเลยทีเดียว ทำเอาพี่ธีถึงกับกุมขมับได้เกือบทุกวัน เพราะเจ้าหล่อนตามตื๊อไม่เลิกเพื่อจะได้เดินควงอย่างออกหน้าออกตา แต่พี่ธีไม่ยอมเพราะกลัวว่าจะเป็นขี้ปากพนักงานในออฟฟิศ รวมถึงหากอรจิรารู้เรื่องเข้าจะมาตามอาละวาดถึงที่แน่นอน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ผมเคาะประตูห้องแล้วถือวิสาสะเปิดเข้าไป ก็เห็นทั้งสองคนกำลังยืนอยู่ข้างกัน เมษาส่งยิ้มมาให้ผมเล็กน้อยอย่างรู้กัน ส่วนพี่ธีก็เอาแต่จ้องหน้าผมอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ผมมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ” เขาเอ่ยกับผม ก่อนจะหันหน้าไปเอ่ยกับเลขาสาวบ้าง “เธอออกไปก่อนเมษา”
“ค่ะท่านประธาน” เมษาส่งยิ้มให้กับเจ้านาย ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว พี่ธีก็เชิญผมนั่งที่เก้าอี้ เขานั่งจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดอะไรในใจ ทั้งสีหน้าและแววตาคู่นั้น บ่งบอกว่าเขากำลังรู้สึกไม่พอใจผมซะเหลือเกิน
“ทำไมคุณชอบมองหน้าผมแบบนั้นล่ะครับ”
“ทำไม? ผมมองไม่ได้เหรอ”
“เปล่าครับ ตาของคุณจะมองใครก็ได้ แต่ที่คุณแสดงออกมามันไม่เหมาะสมเท่านั้นเอง”
“ผมรู้ว่าคุณคือคนวางแผนเรื่องทั้งหมด”
ผมรู้ว่าพี่ธีหมายถึงเรื่องเมษา แต่ผมกลับทำหน้างงเล็กน้อย ราวกับไม่รู้ว่าเรื่องที่พูดมามันคืออะไรกันแน่
“วางแผนเรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่องเมษาโดนฉุด เรื่องที่ผมโดนวางยาปลุกเซ็กส์ ทุกอย่างมันดูบังเอิญไปหมด ราวกับมีคนวางแผนเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว และคนที่ผมสงสัยก็คือคุณ เพราะตั้งแต่คุณเข้ามาชีวิตผมก็มีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด” เขาชี้หน้าผม ทำหน้าถมึงทึงราวกับยักษา
“คุณชอบคิดไปเองอยู่เรื่อยเลยคุณธี ผมจะทำอย่างนั้นไปทำไมล่ะครับ” ผมแค่นยิ้ม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยียวนกวนประสาทเขา
“ก็คุณ....” เขาจ้องเขม็งมือที่วางอยู่บนโต๊ะกำจนสั่นเทา สายตาคมที่มองมานั้นเต็มไปความเกรี้ยวกราด แต่ทว่ากลับไปยอมเอ่ยปากออกมาว่าจะพูดอะไรกับผม
“ก็คุณอะไรครับ” ผมเลิกคิ้วถามเขาอีกครั้ง
“เปล่า...ไม่มีอะไรครับ ผมว่าผมต้องไปพบจิตแพทย์บ้างแล้วล่ะ ช่วงนี้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยอยู่ ขอโทษด้วยนะครับ” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ ทำเอาผมถึงกับงง พี่ธีจะพูดอะไรออกมานะผมอยากจะรู้จริงๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าช่วงนี้คุณคงมีเรื่องให้คิดหนักน่าดู” ใช่สิทั้งเรื่องเมียทั้งสองคน แถมยังมีเรื่องธุรกิจที่กำลังจะดิ่งลงเหวอีกด้วย คิดเหรอว่าผมมาเป็นที่ปรึกษาจะทำให้บริษัทดีขึ้น ผมมาช่วยฉุดมันดิ่งลงเหวต่างหากล่ะ
“ครับ ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่าไหม”
“ดีครับผมกำลังจะแนะนำคุณอยู่พอดีเลย เราควรจะหาผู้ถือหุ้นรายใหม่ ที่มีธุรกิจสื่ออยู่ในมือเข้ามาร่วมบริหารนะครับ เพราะตอนนี้สถานการณ์มันไม่ได้ดีขึ้นเลย ผมกลัวว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปทุกอย่างมันจะพังไปมากกว่านี้อีก”
“ไหนคุณบอกว่าจะช่วยผมไงล่ะ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้แนะนำผมให้หาผู้ร่วมทุนคนใหม่”
“ผมเป็นนักธุรกิจก็ต้องการกำไรเป็นธรรมดา ที่นี่ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ทำอะไรก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย หากเป็นอย่างนี้ต่อไปมีแต่ทุนจะจม บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน” ถึงคราวที่ผมจะต้องเป็นผู้บริหารของที่นี่อย่างเต็มตัวแล้วสินะ เพราะอีกไม่นานผู้ร่วมหุ้นรายใหม่ซึ่งเป็นหน้าม้าของผมจะเข้ามาถือหุ้นจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นผมก็รวบหุ้นทั้งสองส่วนเข้ามาเป็นของผม และสัดส่วนที่มากเกินกว่าครึ่งนั้นก็จะทำให้ผมมีอำนาจในการบริหารงาน
“ผมเองก็คิดว่าคุณจะมีดีมากกว่านี้ซะอีก ที่ไหนได้ก็แค่นักธุรกิจธรรมดาไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย” เขาเอ่ยประชดประชันผม
“ผมยอมรับว่าผมไม่ได้เก่งอะไรมากนัก แต่ผมก็เป็นคนที่กว้างขวางพอตัว รู้จักคนในแวดวงสื่อหลายคน ผมสามารถแนะนำให้เขามาลงทุนกับเราได้นะครับ ผมจะยอมแบ่งหุ้นในส่วนของผมให้กับเขา และคุณเองก็ควรจะแบ่งในส่วนของคุณขายด้วยเช่นเดียวกัน”
“ทำไมผมจะต้องทำตามที่คุณแนะนำด้วยล่ะ”
“ก็แล้วแต่นะครับ ถือว่าผมแนะนำแล้ว การมีผู้ถือหุ้นทำงานในวงการสื่อ มันก็ดีที่เราจะสามารถให้เขาโปรโมตธุรกิจในเครือได้ โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากเท่าที่ควร หากมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นรายได้ก็จะมากขึ้น ถึงตอนนั้นแล้วมันมีแต่ได้กับได้ไม่ใช่เหรอครับ ที่พูดเพราะผมเป็นห่วงคุณที่ต้องแบกรับภาระมาตลอด คิดดูดีๆ นะครับ ผมว่ามันดีกว่าการไปกู้เงินจากธนาคารมา ดอกเบี้ยก็ไม่ใช่ถูกๆ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน” พี่ธีขมวดคิ้ว มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เพราะเรื่องนี้มันเป็นการตัดสินใจที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ผมว่าเขาคงจะยอมทำตามคำแนะนำผมแน่นอน เพราะตอนนี้สถานการณ์ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะผมได้ไปปล่อยข่าว ทำลายชื่อเสียงของธุรกิจในเครือของพี่ธีอยู่เป็นระลอก
ในระหว่างที่เรากำลังอยู่ในห้วงแห่งความเงียบงันนั้น ก็มีสายโทรเข้ามาหาพี่ธี
Rrrrr….
“ว่าไงอร”
(นังนั่นส่งข้อความมาหาอรอีกแล้ว คุณกำลังอยู่กับมันใช่ไหม)
“คุณจะบ้าเหรอผมทำงานอยู่บริษัท อย่าทำตัวน่าเบื่อได้ไหม”
(ฉันไม่เชื่อคุณจะต้องกกมันอยู่แน่ๆ ถ้าฉันจับได้จะจับนังนั่นแก้ผ้าประจานเลยคอยดู)
“เฮ้อ! แค่นี้ล่ะผมไม่อยากจะเสียเวลากับคุณแล้ว”
(กรี๊ดด!! ไอ้ผัวเฮงซวย วันนี้คุณไปรับลูกคนเดียวเลยฉันไม่ไปด้วยหรอก)
ตู๊ดๆ ๆ ๆ
วางสายแล้วพี่ธีก็ถอนหายใจเสียงดัง ผมได้แต่นั่งปรายตามองออกไปชมทิวทัศน์ด้านนอก ผ่านกระจกแก้วบานใหญ่
เห็นสภาพแล้วก็รู้สึกสมน้ำหน้าซะเหลือเกิน
“จริงๆ ผมควรจะออกไปข้างนอกก่อน ไม่น่ามานั่งฟังเรื่องส่วนตัวของคุณเลย”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ ในเมื่อคุณเองก็รู้จักกับภรรยาผมดี เผลอๆ อาจจะรู้จักดีกว่าผมก็ได้”
“คุณพูดราวกับว่ากำลังหึงหวงภรรยา”
“ก็คงงั้นมั้งครับ” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย คาดเดาอารมณ์ได้ยากซะเหลือเกิน
“ผมกับคุณอรเป็นแค่เพื่อนกับจริงๆ ครับ คุณสบายใจได้ ผมไม่มีทางคิดอย่างนั้นกับคุณอรแน่นอน”
“ก็คงจะจริง เพราะว่าคุณคงจะทำอย่างนั้นนกับเมียผมไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยอย่างมีเลศนัย ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ” ทำไมเขาชอบพูดทิ้งปริศนาไว้อย่างนี้อยู่เรื่อยเลยนะ
“ผมก็แค่ล้อคุณเล่นเท่านั้นเองครับ อย่าคิดอะไรมากเลย หึๆ” เขาพูดแล้วก็ขำออกมาเบาๆ ทำเอาผมถึงกับกำมือจนสั่น แต่ใบหน้ากลับส่งยิ้มให้เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ”
“อ้าว! คุณจะไปไหนงั้นเหรอ”
“ผมมีธุระต่อครับ” ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะเดินออกไป แต่จู่ๆ พี่ธีก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมา มันเป็นประโยคที่ทำให้หัวใจผมเต้นระรัว รู้สึกตื่นเต้นมากเหลือเกิน
“เย็นนี้ไปรับลูกกับผมไหมครับ”
“ระ...รับลูกงั้นเหรอครับ” ผมเอ่ยตะกุกตะกัก แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ยอมหยุด
“ใช่ครับรับลูกของเราไง” เขามองหน้าผมแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา
ไม่นานนักผมก็เริ่มได้สติ หลังจากเผลอแสดงพิรุจให้เขาเห็นเสียนาน
“ลูกของเราหมายถึง...”
“โทษทีครับ ผมอาจจะพูดไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร เรานี่หมายถึงผมกับอรน่ะครับ”
“ออครับ ผมไปด้วยก็ได้ครับ อยากเห็นหน้าลูกชายคุณอยู่เหมือนกัน อยากรู้ว่าจะหน้าตาน่ารักเหมือนกับคุณอรไหม”
“ผมรับรองว่าน่ารักเหมือนแม่มากครับ เหมือนมากจริงๆ” เขาเอ่ย พลางจ้องมองใบหน้าผมแทบไม่ละสายตาไปไหนเลย
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวออกไปข้างนอกสักครู่นะครับ”
“เชิญครับ”
เมื่อเดินออกมานอกห้องแล้ว ผมก็ส่งสัญญาณโดยการยักคิ้วให้กับเมษาหนึ่งที ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นเดินตามหลังผมไปที่บันไดหนีไฟ
“เป็นยังไงบ้างครับคุณเมษา”
“ตอนนี้ฉันกำลังกวนประสาทยัยเมียหลวงเกือบทุกวันค่ะ อีกไม่นานหรอกเธอจะทนไม่ไหวจนเลิกกันแน่นอน หลังจากนั้นฉันก็จะได้เป็นเมียที่ออกหน้าออกตาแต่เพียงผู้เดียว” สีหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน ที่มันอาจจะเป็นจริงได้ยากซะเหลือเกิน เพราะผมคิดว่าแม่บุญธรรมคงไม่ยอมให้เลิกกันง่ายขนาดนั้นแน่
“ขอให้คุณโชคดีนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ถ้าไม่มีคุณอี้เฟยมาจุดประกายให้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ได้เป็นเมียอีกคนของคุณธีภพอย่างนี้”
“ไม่เป็นไรครับผมยินดี”
“แล้วคุณอี้เฟยจะให้ฉันทำอะไรเป็นการตอบแทนล่ะคะ”
“ผมไม่ต้องการอะไรหรอกครับ ขอแค่ให้คุณได้สมหวังกับความรักก็พอ”
“ขอบคุณนะคะ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้ของคุณเลยค่ะ”
“ครับผมขอให้คุณโชคดีนะครับ และที่สำคัญผมแนะนำให้คุณเปิดตัวกับคุณอรไปเลยว่าเป็นเมียอีกคนของคุณธี ถ้าอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ เมื่อไหร่จะได้มีหน้ามีตาในสังคมล่ะครับ”
“แต่ฉันยังกลัวๆ ว่าคุณธีจะไม่พอใจเอา แค่ฉันไปป่วนคุณอร คุณธีก็ยังไม่ค่อยชอบใจเลยค่ะ”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว จะกลัวอะไรล่ะครับ ยังไงคุณก็เสียตัวให้เขาไปแล้ว ผมเชื่อว่าเขาไม่มีทางทิ้งคุณแน่”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำตามคำแนะนำของคุณค่ะ ฉันจะบุกไปถึงบ้านให้พ่อกับแม่ของคุณธีรู้เรื่องด้วย คราวนี้ล่ะทุกคนจะได้รู้ว่าฉันก็มีสิทธิ์ในตัวคุณธีไม่ต่างจากคุณอรเลยแม้แต่น้อย” แววตาที่มุ่งมั่นของเธอ ทำให้ผมเชื่อได้ว่าอีกไม่นานบ้านหลังนั้นจะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลาต้องไปรับตาหนูที่โรงเรียน พี่ธีก็เร้าหรือให้ผมนั่งรถไปกับเขา ผมจึงโทรเรียกให้ลูกน้องมาขับรถกลับไปไว้ที่บ้าน นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถไปพร้อมกับเขา ระหว่างทางพี่ธีชวนผมคุยไปเรื่อยเปื่อย โดยจะถามเรื่องผมซะเป็นส่วนมาก จนเบื่อที่จะตอบคำถามซะเหลือเกิน
พวกเรามาถึงก่อนเวลานิดหน่อย จึงเข้าไปนั่งรอที่ม้านั่งในสนามเด็กเล่น พี่ธีคงไม่รู้ว่าภายในใจผมมันตื่นเต้นมากแค่ไหน เพราะท่าทางที่แสดงออกมา ให้เขาเห็นนั้นไม่มีพิรุธใดๆ พูดคุยยิ้มแย้มเป็นปกติ
“ทำไมคุณถึงชวนผมมาที่นี่ด้วยล่ะครับ” ผมหันไปเอ่ยกับเขาที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ผมก็แค่อยากให้คุณมาเห็นความน่ารักของลูกชายผมเท่านั้นเอง ตอนนี้มันคงใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ” พี่ธีเอ่ยกับผมเสียงเอื่อยๆ ท้ายประโยค
“ใกล้ถึงเวลาอะไรครับ คุณชอบพูดจาแปลกๆ อยู่เรื่อยเลย” ผมเอ่ย พลางชะเง้อมองหาตาหนู เมื่อไหร่จะออกมาก็ไม่รู้ นี่ก็เลยเวลาเลิกเรียนมาตั้งหนึ่งนาทีแล้ว
ใช่ครับตั้งหนึ่งนาทีแล้ว...
“ใกล้ถึงเวลาที่ลูกชายผมจะออกมาแล้วไงครับ” เขาส่งยิ้มมาให้ ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มนี้มันเป็นยิ้มที่บริสุทธิ์ปราศจากการปรุงแต่งใดๆ ซึ่งผมไม่เคยเห็นอย่างนี้จากตัวเขามาก่อน
“อ้อ...ลืมถามไปเลยว่าลูกชายคุณชื่ออะไรครับ”
“นนท์ครับ เด็กชายธาดา ตั้งพาณิชย์สกุล”
หือ!
“ธาดางั้นเหรอครับ” ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ที่ธีเปลี่ยนชื่อจริงให้ตาหนู เขาถือวิสาสะอะไรมาเปลี่ยนชื่อให้ลูกผมอย่างนี้
“ใช่ครับ...คุณอี้เฟยมีอะไรงั้นเหรอ”
“ปะ...เปล่าครับผมแค่คิดว่าชื่อเพราะดี” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขา
ในระหว่างนั้นก็มีเสียงเด็กชายตะโกนดังแว่วมา ผมรีบหันขวับไปมองก็เห็นคนที่ผมอยากเจอมากที่สุด วิ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา พร้อมกับรอยยิ้มกว้างราวกับกำลังดีใจมากเหลือเกิน ที่เห็นผู้เป็นพ่อมารับถึงในโรงเรียน
“คุณพ่อคร้าบบบ!!!”
“มาแล้วเหรอครับคนดีของพ่อ” เขานั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ก่อนจะอ้าแขนรอรับกอดจากลูกชาย หอมแก้มซ้ายขวาอย่างชื่นอกชื่นใจ มันเป็นอะไรที่ทรมานมากเมื่อผมไม่สามารถกอดลูกชายตัวเองได้ ผมคิดถึงเด็กคนนี้มากเหลือเกิน อยากกอดเขาเหมือนที่พี่ธีกอดอยู่ตอนนี้
“น้องนนท์ไหว้คุณอาอี้เฟยสิครับ”
“สวัสดีครับ” ตาหนูยกมือไหว้ ส่งยิ้มมาให้ผม
“สวัสดีครับน้องนนท์” ผมอยากจะเอื้อมมือไปจับแก้มใสๆ นั่นเหลือเกิน แต่คงทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น
“วันนี้ทำไมคุณแม่ไม่มาด้วยล่ะครับ” ตาหนูหันไปสนใจพี่ธี ก่อนจะเอ่ยปากถามถึงอรจิรา
หากผมไม่โดนเขาพรากลูกไปจากอก ป่านนี้คนที่ตาหนูเรียกว่าแม่คงจะเป็นผมไปแล้วสินะ แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้มีโอกาสอย่างนั้นบ้าง แต่ก็มีบางเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจได้ นั่นคือเห็นตาหนูเป็นเด็กดีมีสัมมาคารวะ ไม่ได้รับนิสัยร้ายๆ จากพ่อและย่าของเขามาด้วย
“คุณแม่ติดธุระครับ พ่อว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”
“ครับคุณพ่อ”
“ป่ะคุณ เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้านก่อน”
“ไม่เป็นไรครับผมให้คนที่บ้านมารับแล้ว” ใจจริงผมก็อยากจะให้เขาไปส่ง เพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับลูกนานขึ้น แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ธีรู้จักบ้าน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นที่ใช้วางแผนเล่นงานเขา
“ออครับ” เขาว่าพลางส่งยิ้มมาให้ ขณะยืนจูงมือตาหนูอยู่ ท่าทีที่เขาอยู่กับลูก ช่างเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่น ผิดคาดกับที่ผมคิดเอาไว้มาก
“ตาหนูอยู่กับคุณอาแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวพ่อไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“ได้ครับคุณพ่อ”
“ฝากลูกชายผมสักครู่นะครับ”
“ครับ”
หลังจากพี่ธีเดินไปเข้าห้องน้ำข้างอาคารเรียนแล้ว ผมก็หันไปส่งยิ้มให้กับตาหนู นั่งลงตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะอย่างเบามือ ในที่สุดผมก็ได้สัมผัสตัวลูกชายแล้ว ช่างมีความสุขมากเหลือเกิน
“วันนี้น้องนนท์เรียนเหนื่อยไหมครับ”
“ไม่เหนื่อยเลยครับ น้องนนท์ชอบเรียนหนังสือมากที่สุด คุณพ่อสอนว่าให้น้องนนท์ตั้งใจเรียน โตขึ้นจะได้ไปช่วยคุณพ่อทำงานครับ” ตาหนูเป็นเด็กที่พูดเก่ง ยิ้มเก่ง และมีอัธยาศัยดีมาก ไม่ได้ตื่นกลัวผมที่เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรกเลย
“ดูท่าทางน้องนนท์จะรักคุณพ่อมากเลยนะ” ตอนนี้ขอบตาผมร้อนผ่าว กำลังจะร้องไห้ออกมา ยิ่งเห็นใบหน้าที่ใสซื่อนี้ ยิ่งทำให้ภาพความทรงจำเมื่อห้าปีก่อน ที่เคยนอนกอด เคยอุ้ม เคยดูแลไม่เคยห่าง มันกลับมาฉายวนซ้ำในหัวอีกครั้ง
“ครับ...น้องนนท์รักคุณพ่อมาก เพราะคุณพ่อใจดีแถมยังชอบพาน้องนนท์ไปเที่ยวบ่อยๆ คุณอาทำไมตาแดงอย่างนั้นล่ะครับ”
“ฝุ่นเข้าตาอาครับ” พูดจบน้ำตาผมก็ไหลลงมาทันที ผมพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองสะอื้นไห้ออกมา
“คุณอาร้องไห้ทำไมครับ ไม่ร้องนะครับ” ตาหนูไม่พูดเปล่า กลับเอื้อมมือมาปาดน้ำตาบนแก้มผมออกให้ เห็นอย่างนั้นน้ำตายิ่งไหลลงมาไม่ยอมหยุด
“อาไม่ร้องแล้วครับ” ผมรีบเกลี่ยน้ำตาตัวเองออกจนหมด แล้วจับมือน้อยๆ นั่นมากุมไว้ที่กลางอก
“คุณพ่อบอกว่าถ้าร้องไห้แสดงว่าเราอ่อนแอ ฉะนั้นห้ามร้องไห้ให้ใครเห็นเพราะเขาจะมองว่าเราอ่อนแอ คุณอาอย่าร้องไห้อย่างนี้อีกนะครับ คนอื่นจะว่าคุณอาอ่อนแอ”
“ครับผม...คุณอาจะไม่ร้องไห้ให้น้องนนท์เห็นอีกแล้วนะ”
“เก่งมากครับคุณอา” ตาหนูยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
ผมจะจำรอยยิ้มนี้ไว้ให้แม่น เพื่อเป็นแรงผลักดันให้แก้แค้นคืนให้สำเร็จโดยเร็ว เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
“ไปกันเถอะครับ”
เสียงพี่ธีดังมาจากข้างหลัง ทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติ หยิบแว่นสีชาในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาใส่ เพื่อบดบังร่องรอยของการร้องไห้มาเมื่อสักครู่
“คุณพ่อครับคุณอาระ...” ผมยกมือขึ้นมาจุ๊ที่ปากห้ามตาหนูไว้เสียก่อน เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยักคิ้วให้ผมทันที
“คุณอาทำไมครับ” เขาเดินมายืนข้างลูกชายแล้วก้มหน้าถาม
“คุณอาน่ารักมากๆ เลยครับ” ได้ยินอย่างนั้นผมก็ส่งยิ้มให้ตาหนู ผมไม่รู้ว่าเขาเลี้ยงลูกมาแบบไหน แต่สิ่งที่ตาหนูเป็นอยู่ในตอนนี้มันโอเคมากๆ และสิ่งที่เขาสอนลูกมันเป็นอะไรที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานทางด้านจิตใจได้ดีเช่นเดียวกัน ฉะนั้นแล้วผมจะถือว่านี่คือผลงานหนึ่งเดียวของเขาที่ทำให้ผมรู้สึกยอมรับได้
“อ๋อ พ่อก็นึกว่าอะไร ตาถึงนะเราเนี่ย”
“ไปกันเถอะครับคนน่ารัก...ของน้องนนท์” เขาหันมาเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าเขาควรจะไปพบจิตแพทย์ เพราะในช่วงที่เราได้มีโอกาสคลุกคลีกันนั้น เขาอารมณ์แปรปรวนอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้เขากลับทำให้ผมรู้สึกอยากจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว มีพ่อ แม่ และลูก อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าอย่างนี้ตลอดไป...ซึ่งมันคงไม่มีวันนั้นแน่นอน