❤️::::พี่ชายที่ร้าย[Mpreg]::::❤️ EP.21 อวสาน l Up:24-11-2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤️::::พี่ชายที่ร้าย[Mpreg]::::❤️ EP.21 อวสาน l Up:24-11-2018  (อ่าน 56167 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เลวเข้าเส้นจริงๆ นังธี  :serius2:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 5

ความสูญเสีย



           “แค่กๆๆ”

          “ยายครับ! เข้ามาหาผมหน่อย”

          “มีอะไรวิน เรียกยายซะเสียงดังเชียว”

           “ตาหนูตัวร้อนจี๋เลยครับ แถมยังไอไม่ยอมหยุดเลย”

            เมื่อคืนอาการยังไม่หนักขนาดนี้เลย แต่พอผมออกไปทำกับข้าวช่วยยายแล้วเข้ามาอีกที ตาหนูกลับตัวร้อนจี๋ ไอไม่ยอมหยุดอีกด้วย

            ยายจันทร์ใช้หลังมือแตะที่หน้าผากตาหนูแล้วหันมาเอ่ยกับผม “เอ็งรีบพาตาหนูไปหาหมอก่อนเร็ว เดี๋ยวทางนี้ยายจัดการเอง”

            “ครับยายจันทร์ ถ้างั้นฝากดูตาหนูก่อนนะครับ ผมจะไปเรียกวินหน้าบ้าน”

            “ได้จ้ะเดี๋ยวยายดูให้”

            ว่าแล้วผมก็รีบเดินออกไปหน้าบ้าน ในใจก็เป็นห่วงตาหนูมาก กลัวว่าแกจะเป็นอะไรหนักไป ตาหนูเป็นคนที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง หากสัมผัสอากาศเย็นหน่อยก็จะไม่สบายทันที อาจจะเป็นเพราะช่วงท้องผมเกิดอาการเครียดบ่อย จึงทำให้ลูกเกิดมาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอย่างนี้

            ยืนรออยู่เกือบห้านาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวินมอเตอร์ไซต์ผ่านหน้าบ้านเลย เป็นอย่างนั้นทำให้ผมร้อนใจแทบจะเป็นบ้า ทำไมวันที่เรามีเรื่องจำเป็นถึงต้องมีอุปสรรคอย่างนี้ด้วยนะ ในระหว่างนั้นรถยนต์หรูสัญชาติเยอรมนีก็ขับมาจอดที่หน้าบ้าน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ธีนั่นเอง

            หลังจากเขาลงจากรถแล้วก็เดินตรงมาหาผมทันที มองหน้าเหมือนมีคำถาม เพราะสภาพผมตอนนี้แทบจะดูไม่ได้

            “มายืนทำอะไรตรงนี้” เขาถามผมด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดัน ถ้าไม่ชอบใจไม่ต้องถามก็ได้นะ

            “รอรถ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น ไม่มีทางอ้อนวอนขอร้องเขาเด็ดขาด ทั้งที่ความจริงแล้วผมควรจะทำทุกวิถีทาง เพื่อพาตาหนูไปส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

            “จะไปไหนทำไมต้องมารอตั้งแต่เช้าอย่างนี้”

            “เรื่องของผม”

            “แล้วตาหนูล่ะ”

            “อยู่ข้างในกับยายจันทร์”

            ในระหว่างนั้นวินมอเตอร์ไซต์ก็มาพอดี ผมเริ่มยิ้มออก รีบโบกรถเอาไว้ทันที

            “ลุงรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปอุ้มลูกในบ้านแปบนึง” ว่าแล้วก็เอี้ยวตัวหมุนกลับ จะเดินเข้าไปในบ้าน แต่ก็มีมือดีมารั้งแขนผมไว้เสียก่อน

            “มึงจะพาลูกไปไหน” เขาถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

            “ไปหาหมอลูกไม่สบาย”

             พี่ธีทำสีหน้าเบื่อหน่าย ส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาวินมอเตอร์ไชต์ “ลุงไปเถอะครับ อ่ะนี่ค่าเสียเวลา” เขาล้วงเอากระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบธนบัตรใบสีแดงยื่นให้ พี่วินยิ้มพอใจแล้วขับรถออกไปทันที

            “ทำไมพี่ทำอย่างนี้ผมจะพาตาหนูไปหาหมอ!” ผมตะโกนใส่หน้าเขาเสียงดัง

            “มึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอ จะพาลูกนั่งวินไปหาหมอ ไอ้โง่เอ๊ย!”

            “เรื่องของผม...ลูกผม”

            “กูจะพาลูกไปหาหมอเอง” ว่าแล้วพี่ธีก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในบ้านไม่รอฟังผมพูดเลย

            ผมรีบเดินตามหลังไปด้วยความโมโห ผมไม่อยากให้ลูกขึ้นรถของเขา เพราะกลัวว่าพี่ธีจะพาผมกับลูกไปที่อื่น ที่ไม่ใช่โรงพยาบาล

            “เดี๋ยวผมจะพาตาหนูไปหาหมอเองครับยาย” พี่ธีเอ่ยกับยายจันทร์

            “ไม่! ผมไม่มีทางให้ตาหนูขึ้นรถพี่แน่นอน”

            “ลูกป่วยหนักขนาดนี้มึงยังจะมางี่เง่าอีกเหรอวะ หรือจะให้ลูกตายก่อน” เขาตวาดใส่หน้าผม สายตาคมคู่นั้นจ้องมองมา ราวกับจะฆ่ากันให้ตายเสียอย่างนั้น

            “พาตาหนูไปโรง’บาลก่อนเถอะ อย่าเพิ่งมาทะเลาะกันตอนนี้เลย” ยายจันทร์เตือนสติพวกผมทั้งสองคน

            ใช่สิ! ตอนนี้ควรนึกถึงตาหนูเป็นอันดับแรก ผมมันงี่เงาจริงๆ “ได้ครับยาย...แต่ผมจะเป็นคนอุ้มลูกเอง” ว่าแล้วผมก็เดินไปอุ้มตาหนู เดินออกไปไม่รอเขา พี่ธีส่ายหน้าให้กับความบ้าของผมอย่างเซ็งๆ

            แล้วแต่จะรู้สึกยังไง เพราะผมไม่ได้แคร์ความรู้สึกเขาอยู่แล้ว

            ผมกับตาหนูนั่งอยู่เบาะหลัง จากนั้นก็สั่งให้พี่ธีขับรถไปยังโรงพยาบาลใกล้บ้าน แต่ทว่าเขากลับปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของผม ให้เหตุผลว่าโรงพยาบาลที่ผมจะพาลูกไปนั้นมันเกรดต่ำ ไร้มาตรฐาน เขาจะพาลูกไปรักษาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในประเทศเท่านั้น



            ไม่นานนักพวกเราก็มาถึงโรงพยาบาลหรูแห่งหนึ่ง เขาแย่งลูกจากผมมาอุ้มไว้เอง แล้วเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ต่างก็ให้ความสำคัญกับลูกของผมมาก เมื่อพวกเขารู้ว่าเด็กคนนี้คือลูกชายของพี่ธี ราวกับว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลของเขาเองซะอย่างนั้น

            ในระหว่างที่หมอกำลังตรวจอาการอยู่นั้น พี่ธีเป็นคนอุ้มตาหนู ส่วนผมยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง พวกเราลืมความบาดหมางไปครู่หนึ่ง ให้ความสำคัญกับตาหนูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

            ด้วยเพราะพิษไข้ทำให้ตาหนูหลับไปในระหว่างทำการตรวจ จึงต้องพามานอนพักที่ห้องพิเศษ และตอนนี้คุณหมอก็มาที่ห้อง เพื่อตรวจอาการของตาหนูให้ชัดเจนอีกที

            “เป็นยังไงบ้างครับหมอ” ผมเอ่ยถามทันทีหลังจากคุณหมอตรวจอาการตาหนูเสร็จแล้ว

            “เด็กมีไข้สูงและพบว่ามีอาการปอดบวมด้วยครับ คงต้องให้นอนที่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการสักสองสามวัน”

            “ลูกชายผมจะปลอดภัยใช่ไหมครับหมอ”

            “ครับปลอดภัยแน่นอน ช่วงที่อยู่ในโรงพยาบาลหมอจะดูแลให้เป็นอย่างดีเลยครับ”

            “ขอบคุณมากๆ นะครับคุณหมอ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความดีใจ

            “ถ้างั้นหมอขอตัวไปดูคนไข้ห้องอื่นก่อนนะครับ”

            คุณหมอส่งยิ้มให้เราทั้งสอง ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

            ผมรีบหันไปสนใจตาหนูที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ในห้องพิเศษหรูหราราวกับไม่ใช่โรงพยาบาลอย่างนี้ ค่ารักษาพยาบาลคงจะแพงน่าดู แต่ผมคงไม่ให้เขามารับผิดชอบแน่นอน เพราะไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร

            “มึงเลี้ยงลูกยังไงปล่อยให้เป็นอย่างนี้” เขาเริ่มยิงคำถามที่สื่อว่ากำลังโทษผมซะอย่างนั้น

            “จะเลี้ยงยังไงก็เรื่องของผม เพราะตาหนูคือลูกผมคนเดียว”

            “อย่ามาทำเป็นปากดีใส่กู ถ้าไม่มีปัญญาก็เอาตาหนูมาให้กู กูจะเลี้ยงเอง”

            “ไม่มีทาง ผมจะเลี้ยงลูกเอง ไม่มีทางให้ตาหนูไปอยู่กับคนอื่นหรอก”

            “คนอื่นงั้นเหรอ...สงสัยมึงคงจะลืมไปแล้วว่ากูเป็นใคร ต้องรื้อฟื้นความจำกันหน่อยแล้วมั้ง” เขาไม่ว่าเปล่า สาวเท้าเดินเข้ามาหาผม ทำหน้าเหี้ยมราวกับมัจจุราชที่กำลังจะเข้ามากระชากวิญญาณ

            “พะ...พี่จะทำอะไรนี่มันโรงพยาบาลนะ” ผมเดินถอยหลังไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับผนังห้อง

            “แล้วไง” ดูเหมือนคนเลวๆ อย่างเขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย “ที่นี่มันโรงพยาบาลแม่กูรู้ไว้ด้วย” ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงพาผมมาที่นี่

            “ถ้าผมรู้จะไม่มีทางพาตาหนูมาที่นี่เด็ดขาด คนอย่างพี่มันก็ไม่ต่างจากสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่ง ไม่สิ! พี่มันต่ำกว่าสัตว์เดียรัจฉานพวกนั้นซะอีก” ผมด่าออกไปซึ่งๆ หน้า ให้เขารู้ตัวว่าทำตัวเลวทรามต่ำช้ามากแค่ไหน

            “มึงหลงกลกูเข้าให้แล้วล่ะไอ้วิน หึๆ กูอยากรู้จังว่ามึงจะตัวหอมเหมือนเดิมไหม” สายตาของเขาโลมเลียไปตามเนื้อตัวผม ราวกับจะกลืนกินไปทั้งร่าง เห็นอย่างนั้นผมก็พยายามจะวิ่งหนีออกไปอีกทาง แต่เขากลับรั้งตัวผมมากอดจากทางด้านหลังไว้

            “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะไอ้สารเลว ลูกนอนอยู่นี่ทั้งคนมึงยังจะทำระยำอย่างนี้อีกเหรอ!” ตอนนี้สรรพนามที่เคยใช้ถูกเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ผมจะไม่มีวันยอมให้เขาทำร้ายอีกเด็ดขาด

            “มึงก็รู้ว่าคนอย่างกูทำได้ทุกอย่าง” ว่าแล้วเขาก็อุ้มผมขึ้นในท่าเจ้าสาว กระตุกยิ้มเย้ยประกาศชัยชนะ ก่อนจะพาเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งผมเพิ่งรู้ว่ามันมีประตูเชื่อมหากันได้

            ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าห้องที่เชื่อมอยู่ข้างกันนั้นจะเป็นห้องนอนหรู มีทุกอย่างครบครัน

            “โอ๊ย!”

            เขาโยนผมลงบนเตียงแล้วรีบคร่อมตัวผมไว้ ตรึงข้อมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ โน้มใบหน้าคมเข้ามาใกล้จนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา ผมพยายามเบนหน้าหนี ไม่อยากสบตาคมคู่นั้นให้มันรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ผมเกลียดเขา เกลียดมากที่สุดในชีวิต

            “ไอ้เลว มึงปล่อยกูไปเดี๋ยวนี้นะ จะจองเวรจอมกรรมกันไปถึงไหน ฮึก” น้ำตาผมไหลลงมาเป็นสาย เสียใจที่เสียท่าให้กับเขาจนได้ พี่ธีคนนี้เจ้าเล่ห์มากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก ตั้งแต่เด็กจนโตผมรู้จักเขาน้อยไปจริงๆ

            “ทำไมว่าผัวตัวเองอย่างนั้นล่ะ” เขายกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ ก่อนจะใช้ลิ้นสากเลียบนใบหน้าผมอย่างช้าๆ เมื่อได้รับสัมผัสนั้นทำให้ขนผมลุกซู่ มันไม่ได้รู้สึกเสียวซ่านอะไรเลย แต่เป็นเพราะผมขยะแขยงต่างหากล่ะ

            “ฮือๆๆ ไอ้ทุเรศ ไอ้ระยำ มึงมันไม่ใช่คน ปล่อยกูเดี๋ยวนี้” ผมร้องไห้เสียงดัง พยายามดิ้นรนขัดขืนเขา

            “กูปล่อยแน่! แต่ขอให้กูได้ตักตวงความสุขจากมึงก่อนละกัน” ว่าแล้วเขาก็ซุกใบหน้าลงที่ซอกคอผมทันที

            “ไอ้เหี้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ อื้ออ...” ผมยังพ่นคำก่นด่าไม่สะใจเลย พี่ธีก็หยุดมันด้วยการประกบริมฝีปาก

            เขาบดจูบผมอย่างดูดดื่ม ราวกับโหยหาสิ่งนี้มาแสนนาน แต่ผมกลับรู้สึกขยะแขยงรสสัมผัสนี้ เขาขืนใจผมอีกแล้ว และครั้งนี้มันเจ็บปวดกว่าครั้งที่แล้วมาก เพราะลูกชายผมนอนป่วยอยู่ห้องข้างกันนี่เอง เขายังทำได้ลงคอ

            เสื้อผ้าผมถูกเปลื้องออกไปจนหมด ร่างกายที่บดเบียดกันของเราทั้งคู่ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ เนื้อตัวผมเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งรสสวาท เนินอกที่เคยขาวสะอาดถูกดูดเม้มจนเป็นรอยจ้ำสีแดง

            “ตัวมึงยังน่าสัมผัส ยั่วตายั่วใจกูอยู่เหมือนเดิมเลยว่ะ” เขาพร่ำบอก แต่ผมได้แต่นอนนิ่ง น้ำตาไหลพราก ปล่อยให้เขาทำตามใจ เพราะถึงยังไงก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้อยู่แล้ว

            “อ๊ะ” ผมจำเป็นต้องร้องเสียงหลงออกมา เมื่อเขาส่งแท่งร้อนเข้าไปรวดเดียวจนสุด ผมเบิกตากว้าง ขบเม้มริมฝีปากล่างเอาไว้ มือทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนเอาไว้อย่างนั้น ปล่อยให้เขาเสพสมกับเรือนร่างของผมให้หนำใจ ถือซะว่าทำบุญทำทานให้สัตว์ตัวหนึ่งไปเท่านั้นเอง

            “มึงยังแน่นเหมือนเดิมเลยว่ะ จำได้รึยังว่ามึงเคยเป็นเมียกูมาก่อน” พี่ธียังพูดจาเยาะเย้ยถากถางผมไม่หยุดหย่อน แม้ว่าจะทำระยำกับเรือนร่างผมอยู่ก็ตาม

            เขายัดเยียดมันเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลี่ยนท่วงท่าไปเรื่อยๆ จนเขาพอใจ ผมจะจำความเจ็บปวดนี้เอาไว้ในใจ สักวันผมจะต้องทำลายเขาให้ได้ จากคนที่ไม่เคยคิดจะจองเวรจองกรรมกับใคร แต่คราวนี้เขาเป็นคนที่ปลุกไฟแค้นในตัวผมให้มันลุกโชนขึ้นแล้ว

            “อ๊ะ จะ...จะแตกแล้ว อ๊ากกก!!!”

            หลังจากเขาเร่งจังหวะรัวบั้นท้ายถี่ยิบติดต่อกันหลายครั้ง ผมก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวพุ่งกระฉูดเข้ามาในช่องทางปริมาณมาก ในขณะเดียวกันเขาก็ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างพอใจเหลือเกิน

            “พอใจแล้วก็ออกจากตัวกูเดี๋ยวนี้ กูจะไปหาลูก ฮึก” ผมพยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้ เอ่ยกับเขาด้วยสรรพนามที่หยาบคาย

            “ไม่! กูยังไม่พอใจ” เขาลูบไล้เนินอกผมเล่นอย่างพอใจ สายตาคมจ้องมองมาที่ผมปานจะกลืนกิน

            “มึงยังต้องการอะไรอีก แค่นี้ชีวิตกูก็พังมากพอแล้ว”

            “ชีวิตมึงจะพังมากกว่านี้อีก ถ้าไม่ยอมให้ลูกไปอยู่กับกู”

            “หมายความว่ายังไง?” ผมได้ยินก็หันขวับไปมองหน้าเขาทันที อย่าบอกนะว่าจะพรากลูกไปจากผม ผมไม่มีวันยอมเด็ดขาด

            “กูจะให้เงินมึงสิบล้านบาท เพื่อแลกกับตาหนู นี่ถือว่ากูใจดีกับมึงมากพอแล้วนะ”

            “ไม่! ต่อให้เงินร้อยล้านผมก็ไม่ยอม” ว่าแล้วก็ผลักอกเขาให้ออกห่างจากตัว ผมจะต้องพาลูกออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนเขาจะพรากลูกไปจากผม

            ความเจ็บปวดทางร่างกายในตอนนี้ มันไม่สามารถทำให้ผมละความพยายามในการลุกขึ้นจากเตียงได้ เพราะลูกคือสิ่งที่สำคัญกับผม สิ่งที่จะทำให้ผมเจ็บปวดเจียนจะขาดใจได้ก็คือเรื่องลูกเท่านั้น จึงพยายามลุกขึ้นจากเตียงอย่างทุลักทุเลรีบสวมใส่เสื้อผ้า

            “มึงจะไปไหน” เขาถามขณะยังนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายใจ

            “กูจะพาลูกไปรักษาที่อื่น” เขายังคงนอนนิ่งไม่ได้ทำอะไร เห็นอย่างนั้นผมก็เอะใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามเดินออกไปจากห้องเพื่อไปหาลูกชาย แต่พอเปิดประตูเท่านั้นล่ะ ก็พบกับชายหนุ่มฉกรรจ์สวมชุดสูทสีดำขลับ สวมแว่นตาดำยืนเฝ้าประตูอยู่ถึงสี่คน

            “นี่มันอะไรกัน!” ผมเดินถอยหลังกลับมาเรื่อยๆ จนแผ่นหลังชนเข้ากับอะไรบางอย่าง ไม่นานพี่ธีก็สวมกอดผมจากด้านหลังไว้

            “พวกมึงเฝ้าลูกกูไว้ อย่าให้ใครเข้าใกล้เด็ดขาด”

            “ครับ”

            สิ้นเสียงรับคำสั่งประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้ง ผมพยายามขัดขืนดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระ ผมต้องไปเอาลูกกลับมาให้ได้

            “ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะไอ้สารเลว ทำไมพวกมึงถึงได้เลวกันอย่างนี้วะ ฮือๆๆ ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!”

            “กลับบ้านไปซะแล้วเอาเงินสิบล้านไปใช้ให้สบายๆ กูสัญญาว่าจะเลี้ยงลูกเป็นอย่างดี”

            “ไม่! กูไม่มีทางยอมเด็ดขาด” ผมหมุนตัวกลับมา แล้วฟาดมือเข้าที่ใบหน้าหล่อนั้นอย่างระรัว เขายืนนิ่งให้ผมทำอยู่อย่างนั้นจนใบหน้าเริ่มแดงช้ำไปเสียหมด ทำไมนะ อยู่ๆ ถึงได้ยอมผมอย่างนี้

            “กูจะให้โอกาสมึงตบตีกูแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

            “พี่ธีครับ ผมขอร้องล่ะอย่าทำอย่างนี้เลย ไม่มีลูกผมก็ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว” ผมนั่งลงกับพื้นยกมือไหว้เขา ร้องไห้อ้อนวอนอยู่อย่างนั้น

            “ถึงมึงจะดิ้นตายอยู่ตรงนี้ กูก็ไม่มีทางยอมให้ลูกไปอยู่กับมึงเด็ดขาด ถ้ามึงเห็นแก่ลูกจริงๆ ออกไปจากชีวิตลูกซะ แล้วก็ไม่ต้องมาให้แกเห็นหน้าอีก นี่คือสิ่งที่กูจะพูดกับมึงเป็นครั้งสุดท้าย” เขาพูดแค่นั้นก็เดินออกจากห้องไป ผมไม่ยอมรีบกอดขาพี่ธีไว้ เพื่อขอร้องเขาอีกครั้ง

            “พี่ธีครับ ฮือๆๆ ผมขอร้องล่ะอย่าทำอย่างนี้เลย ถ้าพี่พาลูกไปผมจะฆ่าตัวตายให้ดู” เขาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับผม

            “เอาเลยถ้ามึงคิดว่าการตายคือทางออกที่ดีแล้วจริงๆ กูพูดได้แค่นี้ล่ะ” เขาสลัดเท้าจนผมล้มฟลุบลงบนพื้น ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ผมจึงเดินตามไปที่ห้องพักผู้ป่วยซึ่งอยู่ติดกัน

            “พวกมึงเอาตัวมันกลับไปที่บ้านเดี๋ยวนี้” เขาสั่งลูกน้องทั้งสี่คน ได้ยินอย่างนั้นผมก็ตั้งท่าจะสู้แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะผมโดนล็อกตัวเอาไว้ขยับแทบไม่ได้ จากนั้นก็ชักปืนมาขู่ผม

            “ตาหนูลูกแม่ ฮือๆๆ ปล่อยเดี๋ยวนี้กูจะไปหาลูก” ผมเอื้อมมือจะไปหาลูก แต่พวกนั้นยังคงจับตัวผมไว้ พี่ธีนั่งอยู่ข้างเตียงได้แต่ยิ้มเยาะ ก่อนจะปัดมือเป็นสัญญาณให้พาตัวผมไป

            “พามันกลับไปที่บ้าน ก่อนไปกูขอเตือนมึงไว้ก่อนเลยว่า มึงจะไม่มีวันได้เห็นหน้าลูกอีกแน่นอน และไม่ต้องตามหาเพราะกูจะพาลูกไปอยู่ในที่ที่มึงตามหาไม่เจอแน่นอน”

            “ไอ้สารเลวสักวันกรรมจะตามสนองมึง กูขอแช่งให้มึงไม่ตายดี” มีโอกาสได้พูดแค่นั้น ผมก็โดนลากตัวออกจากห้อง และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าลูกชาย มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของคนเป็นแม่แล้ว

            ผมถูกนำตัวขึ้นรถตู้มาส่งที่หน้าบ้าน พวกมันผลักผมลงจากรถจนล้มลงกับพื้น น้ำตาผมมันไหลจนเหือดแห้งไปหลายรอบ จนไม่มีจะไหลแล้ว นั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านราวจะขาดใจอยู่อย่างนั้นสักพัก ก็เดินอย่างไร้สภาพเข้าไปในบ้าน ป่านนี้ยายจันทร์คงจะไปขายข้าวแกงแล้ว ผมจะบอกกับยายจันทร์ยังไงดี

             เดินเข้าไปในบ้านกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะข้าวของหล่นกระจายเกลื่อนพื้นไปหมด เห็นอย่างนั้นผมก็เริ่มใจไม่ดีแล้ว กลัวว่ายายจันทร์จะมีอันตราย

            “ยายจันทร์ครับ! ยายอยู่ไหน ฮึก”

              ผมเดินอย่างลนลานตามหายายไปทั่วบ้าน ในที่สุดผมก็เจอยายจันทร์ แต่เป็นการเจอในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม ภาพที่เห็นนั้นทำเอาผมหัวใจแหลกสลาย น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

            “ยาย!! ฮือๆๆ ไม่นะยาย มันต้องไม่เป็นอย่างนี้!!!”

            ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องเหี้ยเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นกันผมในวันเดียวกัน โดนพรากลูกไปจากอก แถมยายจันทร์ผู้ที่เป็นทุกอย่างของผม ต้องมาโดนฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณอย่างนี้ สภาพยายจันทร์ตอนนี้เลือดไหลท่วมตัว โดยเฉพาะที่บริเวณคอ มีบาดแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ที่เกิดจากของมีคมกรีด ผมกอดยายจันทร์เอาไว้อยู่อย่างนั้นร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด

            “ฮือๆ ใครทำยายอย่างนี้ครับ ยายจันทร์ฟื้นขึ้นมาหาผมสิครับยาย” ผมกอดยายจันทร์ไว้แน่น ร้องไห้ราวจะขาดใจเสียให้ได้

            ในระหว่างนั้นก็มีเสียงหวอรถตำรวจดังมาจากหน้าบ้าน ทั้งที่ผมยังไม่ได้แจ้งความเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมตำรวจถึงได้รู้ล่ะ ผมเริ่มคิดว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำแน่นอน หรือว่าจะเป็นฝีมือของพี่ธี ใช่แน่ๆ ต้องเป็นเขา เรื่องเลวๆ อย่างนี้คงไม่มีใครแน่นอน

            “นายธาวินออกมามอบตัวเดี๋ยวนี้ ตำรวจล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นผมก็ตกใจ อย่าบอกนะว่ามีคนฆ่ายายจันทร์แล้วใส่ร้ายผม จะทำอย่างไรล่ะทีนี้ ผมจะทำอย่างไรดี

            “ยายครับถ้ามีโอกาสผมจะมากราบยายอีกครั้ง ผมสัญญา” ผมตัดสินใจ วางยายจันทร์ไว้บนพื้นดังเดิม มองภาพนั้นอีกครั้งให้มันติดตา เผื่อในอนาคตมันจะได้ช่วยเตือนสติผม ว่าพวกเขาทำอะไรกับคนที่ผมรักเอาไว้บ้าง

            ก่อนตำรวจจะบุกเข้ามาด้านใน ผมจึงตัดสินใจวิ่งออกไปทางหลังบ้าน กระโดดลงคลองน้ำเพื่อหนีการถูกจับกุม จากสิ่งที่ผมไม่ได้ทำมันเลย ผมสัญญาว่าจะทำทุกวิถีทาง เพื่อจะเอาลูกคืนมาและแก้แค้นให้ยายจันทร์ให้ได้...ผมสัญญา

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาม่าจริงๆๆ  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้อออ อะไรจะดราม่าขนาดนี้

ออฟไลน์ Fufufeel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชีวิตดราม่าจังเลยค่ะ เราชักสงสัยแล้วว่าใครเป็นพระเอกกันนะ :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทำไมทำร้ายกันขนาดนี้

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :a5: ไอ้นี่เป็นพระเอกจริงๆอะ เลวช้าขนาดนี้แล้วมากลับตัวกลับใจแล้วใช้ชีวิตดีหวานชื่นไม่เอานะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เลวสุดขั้ว ชั่วสุดใจเลยนังธี  :katai1: :fire:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1087
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
มันใช่เหรอพระเอก เลวจัง

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :katai1:   อื้อหือ นี่คือพระเอกจริงอ่ะ ทำไมเลวเหี้ยได้บริสุทธิผุดผ่องจริงๆ

คือดูจากชื่อเรื่อง แล้วทำไมมีแววว่าจะกลับไปมุ้งมิ้งกันแน่ๆ  คือถ้าเลวขนาดนี้แล้วยังได้คู่กัน คงต้องขอผ่าน
แต่จะแอบๆตามไว้ก่อน เผื่อเราเดาผิด

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
หืมมมมม เล่นอย่างนี้เลยเหรอ?!

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
หวังว่าเพื่อนเพชรคงไม่ใช่ธีหรอกนะ  :katai1:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เดี๋ยวนะ  :a5:  :z6:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 6

ความโชคดี



          ผมหลบหนีจากการถูกจับกุมมาได้ ผ่านการดำน้ำคลองมาเรื่อยๆ มาโผล่อีกทีก็ถึงสะพานแห่งหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าปลอดภัยจึงขึ้นไปหลบอยู่ข้างพุ่มไม้ด้วยอาการหนาวสั่น นอนอยู่อย่างนั้นทั้งคืนจนรุ่งเช้า

          ตื่นเช้ามาผมได้แต่นั่งเหม่อลอย ไม่รู้จะไปแห่งหนไหนดี ผมต้องใช้ชีวิตคนเร่ร่อนอีกแล้วอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่จำความได้ผมก็ไม่เคยคิดร้ายกับใครมาก่อน แต่ความเป็นคนดีนั้นกลับไม่มากพอ ที่จะทำให้ผมรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวงได้เลย จากนี้ผมจะไม่ยอมใครอีกแล้ว จะไม่ยอมให้พวกมันมาทำผมอะไรผมอีกแล้ว ผมสาบานว่าจะเอาคืนคนพวกนั้นให้สาสมอย่างที่สุด

            “ฮือๆๆ ยายจ๋า ผมสาบานว่าจะแก้แค้นพวกมันคืนให้ยายนะจ๊ะ ตาหนูของแม่จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แม่คิดถึงหนูมากเหลือเกิน” ผมนั่งกอดเข่าร้องไห้ พร่ำเพ้ออยู่อย่างนั้น มองไปทางไหนทุกอย่างก็ดูเป็นแต่สีเทาไปหมด มันช่างดูหมองหม่น ไร้ซึ่งความหวัง ผมยากจะตายตกตามยายจันทร์ไปเหลือเกิน แต่ถ้าทำอย่างนั้นยายจันทร์ก็ต้องตายเปล่า ผมจะอยู่เพื่อรอสักวัน ที่จะทำให้พวกมันไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ชีวิต

            ผมปาดน้ำตาที่แก้มออกไปจนหมด ตั้งสติคิดหาทางเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ให้ได้เสียก่อน ตอนนี้ตำรวจกำลังตามจับตัวผม จะทำอย่างไรดีเพื่อจะสามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกโดยไม่มีใครผิดสังเกต จู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว ผมพอมีเงินติดตัวอยู่บ้างจึงเดินเข้าไปในตลาดอย่างระแวดระวังตัว เดินหาร้านขายเสื้อผ้าและวิกผม ในวินาทีนี้ผมจะต้องอำพรางตัวเป็นผู้หญิง เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

            “พี่จ๊ะมีวิกผมขายด้วยไหม หนูอยากแต่งหญิงเต็มตัวแล้ว” ผมทำท่าทางเลียนแบบสาวประเภทสองให้เนียนที่สุด คนขายจะไม่ได้ผิดสังเกต

            “มีสิจ๊ะ อย่างหนูถ้าได้แต่งหญิงครบเครื่องต้องสวยมากแน่ๆ” แม่ค้ามองหน้าผมอย่างพินิจพิจารณา ผมได้แต่ยิ้มรับอย่างช่วยไม่ได้

            “นี่จ้ะ ทรงนี้เหมาะกับหนูมาก ใส่แล้วลองมาส่องกระจกดูสิ”

            ผมรับวิกผมมาใส่ แล้วจ้องมองดูตัวเองในกระจกบานใหญ่ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำเอาผมแทบจำตัวเองไม่ได้ วิกผมหน้าม้ายาวสลวยถึงกลางแผ่นหลัง รับกับใบหน้ารูปไข่ของผมได้เป็นอย่างดี ดูแทบไม่ออกว่าผมเป็นผู้ชายมาก่อน

            “สวยมากจ๊ะ ถ้าได้สวมชุดยิ่งดูไม่ออกเลยว่าหนูเป็นกะเทย”

            “ถ้างั้นหนูขอเปลี่ยนเลยได้ไหมจ๊ะพี่”

            “ได้สิจ๊ะเข้าไปเปลี่ยนในนั้นได้เลย”

            ผมเดินถือชุดที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้เข้าไปในห้องลองเสื้อ จัดการถอดเสื้อผ้าชุดเก่าออกแล้วเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ทันที ชุดที่ผมใส่ตอนนี้เป็นเดรสสั้น สายเดี่ยวสีแดงเพลิง เห็นตัวเองในกระจกแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ นี่คือรูปลักษณ์ใหม่ของผมที่จะแอบเข้าไปหาตาหนูที่โรงพยาบาล ก่อนจะออกจากห้องแต่งตัว ผมก็หยิบเสื้อผ้าชุดเดิมใส่ถุงพลาสติก กะจะเอาไปทิ้งในถังขยะด้านนอกด้วย

            “เป็นยังไงบ้างจ๊ะพี่หนูสวยหรือเปล่า” ผมถามแม่ค้าเจ้าของร้าน เธอมองผมอย่างตะลึง เดินเข้ามาสำรวจรอบตัวผมอย่างเหลือเชื่อ

            “สวยมากจ้ะหนู พี่ดูไม่ออกเลยว่าหนูเคยเป็นผู้ชายมาก่อน”

            “ขอบคุณจ้ะพี่ แล้วพี่ว่าหนูควรซื้ออะไรเพิ่มหรือเปล่า ช่วยแนะนำหน่อยจ้า”

            “ชุด ผม ก็โอเคแล้ว จะเหลือก็แค่รองเท้าส้นสูง แล้วก็กระเป๋าสะพายใบเล็กๆ ถ้าได้ทั้งหมดนี้รับรองผู้ชายมองตาเป็นมันแน่เลย”

            “ถ้างั้นจัดมาเลยจ้ะหนูอยากสวยครบเครื่อง” ผมยิ้มให้แม่ค้าสาว เจ้าหล่อนเดินไปเลือกหยิบของมาให้ผม ในใจตอนนี้ผมคิดแต่เรื่องแก้แค้นคนพวกนั้นเพียงอย่างเดียว

            “นี่จ้ะกระเป๋ากับรองเท้า”

            “ถ้างั้นหนูใส่เลยนะจ๊ะพี่” ด้วยความไม่คุ้นชินกับการใส่ส้นสูง ทำให้ผมแทบจะล้มลงกับพื้น แต่ก็พยายามใส่แล้วเดินอยู่หลายรอบก็เริ่มคล่องตัว แต่จะติดปัญหาตรงที่มันเจ็บเท้าเพราะเป็นของใหม่

            หลังจากจ่ายเงินแล้วผมก็ออกมาจากร้านในรูปลักษณ์ใหม่ โยนเสื้อผ้าชุดเดิมทิ้งลงถังขยะไป สถานที่ที่ผมจะมุ่งหน้าไปตอนนี้ก็คือโรงพยาบาล ผมจะไปดูว่าตาหนูเป็นอย่างไรบ้าง ป่านนี้คงจะร้องไห้งอแงอย่างแน่นอน คิดได้อย่างนี้ก็คิดถึงลูกชายมากเหลือเกิน

            ผมนั่งแท็กซี่มาถึงหน้าโรงพยาบาล พอก้าวขาลงจากรถแล้วก็สวมแว่นกันแดด มองดูโรงพยาบาลสุดหรูของครอบครัวนั้นอย่างโกรธแค้น หากไม่จำเป็นว่ามาหาลูกชายผมจะไม่มีวันเข้ามาเหยียบที่นี่เด็ดขาด

            ผมเดินเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างระแวดระวัง แม้ว่ารูปลักษณ์ใหม่จะไม่มีใครจำตัวผมได้ แต่ทว่ามันก็ยังไม่คุ้นชินอยู่ดี ขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่ตาหนูอยู่ ผมก็มองซ้ายขวาเพื่อดูว่ามีใครอยู่บ้าง หากมีลูกน้องของพี่ธีอยู่จะได้ระวังตัวมากขึ้น

            หน้าห้องที่ตาหนูนอนพักรักษาตัวอยู่ ไม่ได้มีการ์ดยืนเฝ้าอย่างที่ผมคิดเลยด้วยซ้ำ จึงเดินตรงเข้าไปอย่างช้าๆ ก่อนจะมองผ่านกระจกช่องเล็กที่บานประตู ปรากฏว่าตาหนูไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแล้ว พี่ธีเอาตาหนูไปไว้ไหน? โธ่! ลูกชายแม่จะโดนพาตัวไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ คิดแล้วน้ำตาก็จะไหลลงมา

            “ไม่ทราบว่ามาเยี่ยมผู้ป่วยเหรอคะ” เสียงพยาบาลสาวดังขึ้น ทำเอาผมแทบสะดุ้งด้วยความตกใจ รีบสวมแว่นตาทันที

            “เอ่อ....ค่ะมาเยี่ยมผู้ป่วย”

            “ห้องไหนคะให้ดิฉันช่วยหาไหม”

            “เอ่อ...คนไข้ห้องนี้ไปไหนแล้วเหรอคะ พอดีฉันเป็นญาติของคุณธีภพน่ะค่ะ” ผมรู้ถ้าโกหกว่าเป็นญาติของพี่ธี จะทำให้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

            “อ๋อ ญาติคุณธีภพนี่เอง คุณธีภพเพิ่งย้ายลูกชายกลับไปรักษาตัวที่บ้านเมื่อช่วงเช้านี่เอง คุณธีภพไม่ได้บอกคุณหรอกเหรอคะ”

            “สงสัยดิฉันรีบมาจนลืมโทรไปถามน่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” ว่าแล้วผมก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที

            พี่ธีพาตาหนูย้ายไปอยู่บ้านงั้นหรอกเหรอ อย่างนี้แล้วผมจะไปเจอหน้าลูกได้ยังไงกัน เพราะคงไม่มีทางเข้าไปในนั้นได้ ผมเกลียดเขาที่สุด คิดจะกีดกันแม่กับลูกไม่ให้เจอกัน ถึงยังไงผมก็จะไปบ้านหลังนั้น ได้เห็นหน้าบ้านก็ยังดี

            ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้ารั้วคฤหาสน์หรู สถานที่ที่เคยอาศัยอยู่มานานหลายปี ผมได้แต่ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว มองเข้าไปด้านในด้วยแววตาเศร้า ภาพแห่งความทรงจำอันเลวร้ายผุดขึ้นในหัวไม่หยุดหย่อน ภาพที่ผมโดนแม่ทุบตีมาตั้งแต่เด็ก ภาพพี่ธีข่มเหงผม ภาพเหล่านี้ทำให้ผมเป็นห่วงลูกชายมากเหลือเกิน กลัวว่าพวกเขาจะเลี้ยงดูแก ให้เติบโตมาเป็นเหมือนพวกเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆผมจะเสียใจมาก ผมอยากให้ลูกเป็นคนดี เป็นที่รักของทุกคน แต่คงได้แค่ทำใจเพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากภาวนาให้ตาหนูรับเอาแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต และอย่าได้มีอันตรายใดๆเลย

            “แม่สัญญาว่าจะหาทางพาหนูออกมาจากบ้านหลังนั้นให้ได้” ขณะยืนมองเข้าไปในบ้านตาละห้อยอยู่นั้น ก็มีเสียงบีบแตรดังมาจากด้านหลัง

            ปี๊บๆ

            “มาทำอะไรลับๆ ล่อที่หน้าบ้านฉันยะ” เสียงแหลมนี้ผมจำได้ดี มันคือเสียงของแม่ แม่ที่ไม่เคยนับว่าผมเป็นลูกเลย แม่ที่รับผมมาเลี้ยงให้เป็นแค่คนใช้เท่านั้นเอง

            “ขอโทษค่ะ พอดีดิฉันมาขายประกัน” ผมแสร้งพูด ก้มหน้าไม่กล้าสบตา กลัวว่าแม่จะจำผมได้

            “บ้านนี้ไม่ทำประกันกับคนต่ำๆ อย่างหล่อนหรอกย่ะ อย่ามาสะเออะยืนอยู่บ้านฉันรีบออกไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจมาจับ มาขายประกันหรือขายตัวกันแน่ก็ไม่รู้” แม่ยังคงเป็นคนเดิมไม่เคยเปลี่ยน นิสัยชอบดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่า แถมยังปากร้ายเหมือนเดิม

            “ดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ” ว่าแล้วผมก็รีบเดินออกไป แต่ทว่ากลับมีเสียงผู้ชายเอ่ยทักไว้เสียก่อน

            “เดี๋ยว! เธอมีนามบัตรไหมล่ะเผื่อฉันสนใจอยากจะทำ เดี๋ยวจะติดต่อไป” พ่อนั่นเองที่เอ่ยกับผม ในบ้านหลังนี้คนที่ผมยังคงรักและคิดถึงอยู่ตลอดเวลานั่นมีเพียงพ่อ แม้ว่าท่านจะช่วยอะไรผมได้ไม่มาก แต่ท่านก็เมตตาและเอ็นดูผม ที่เป็นอย่างนั้นเพราะทรัพย์สมบัติเป็นของแม่ทั้งหมด พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าตอนแต่งงานกับแม่พอมีแต่ตัว นั่นทำให้พ่อเป็นเบี้ยล่างแม่มาตลอดไม่ต่างจากผมเลย

            “มะ...ไม่มีค่ะ” ผมถือโอกาสมองหน้าพ่ออีกครั้ง พ่อดูแก่ไปเยอะพอสมควร

            “คุณอย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เห็นสาวๆ สวยๆ เป็นไม่ได้ เธอรีบไปเลยก่อนที่ฉันจะให้คนมาลากตัวออกไป”

            “ผมแค่สงสารแม่หนูนั่นต่างหาก เขาอุตส่าห์มาขายถึงหน้าบ้าน” เสียงพ่อทะเลาะกับแม่ในรถ

            “ขอบคุณนะคะพี่สงสารหนู แต่ไม่เป็นไรก็ได้ค่ะหนูขอลานะคะ” ผมยกมือไหว้พ่อ ก่อนจะรีบเดินออกมาโบกรถออกไปทันที

            ทำไมคนดีๆอย่างพ่อต้องมาใช้ชีวิตคู่กับคนเลวอย่างแม่ด้วย ก็อย่างว่ามันคงเป็นเวรกรรมที่สร้างไว้เมื่อชาติที่แล้ว ก็เหมือนผมที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆจากการกระทำของคนบ้านนี้

            ในเมื่อสิ้นไร้หนทางแล้ว ผมก็ตัดสินใจไปที่ตลาดอีกครั้ง ซื้อกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบเพื่อใส่สัมภาระ ก่อนจะเจียดเงินที่มีติดตัวอยู่ ซื้อเสื้อผ้าผู้ชายไว้ใส่สองสามชุด เข้าไปในห้องน้ำสาธารณะเปลี่ยนกลับมาเป็นผู้ชายอีกเหมือนเดิม สวมหมวกแก๊ปแว่นกันแดดสีดำเพื่ออำพรางตัว เดินถือกระเป๋าไปตามถนนเรื่อยเปื่อย ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนดี อาการเหม่อลอยผมเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว แสงแดดจ้าทำให้ร้อนจนเหงื่อกาฬไหลไม่หยุดหย่อน ก่อนภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันจะค่อยๆเลือนราง รู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน และนั่นก็ทำให้สติผมดับวูบ พร้อมกับร่างที่ล้มลงข้างถนน

            ไม่รู้ว่าผมหมดสติไปนานแค่ไหน แต่ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนเตียงในห้องที่ไม่คุ้นตา ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างหรูหราราวกับอยู่ในราชวังทางยุโรป ผมพยายามพยุงตัวลุกขึ้นแล้วมองไปรอบห้อง ก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลอย่างที่คิด แล้วใครกันที่ช่วยผมไว้ อยากไหว้ขอบคุณเขาเหลือเกิน เพราะถ้านำตัวผมไปส่งโรงพยาบาลรับรองว่าตำรวจได้ตามตัวผมเจอแน่นอน

            “ฟื้นแล้วเหรอคะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยกับผม เธอเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำดื่มเย็นๆ ดูท่าทางน่าจะเป็นสาวใช้ของบ้านหลังนี้

            “ครับ ว่าแต่ที่นี่ที่ไหนครับ”

            “ที่นี่เป็นบ้านของคุณโจวค่ะ”

            “คุณโจว? แล้วใครเป็นคนผมมาที่นี่ครับ”

            “ก็คุณโจวนั่นล่ะค่ะ”

            “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน ผมอยากจะขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้” เขาคนนั้นจะเป็นใคร ไว้ใจได้หรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ที่รู้เขาคือคนดีที่ช่วยเหลือผมไว้

            “รอสักครู่นะคะคุณโจวกำลังจะเข้ามา คุณรออยู่ในห้องนี้ก่อน” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง ว่าเขาคนนั้นจะรูปร่างหน้าตา และนิสัยเป็นอย่างไรบ้าง

            ไม่นานหลังจากนั้น ชายสูงวัยสวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทาอีกที เดินเข้ามาหาผมในห้อง คงไม่ต้องเดาว่าเขาคนนั้นคือใคร เพราะมั่นใจว่าจะต้องเป็นคุณโจวอย่างแน่นอน

            “ขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือผมเอาไว้” ผมรีบยกมือไหว้เขาทันที ผู้ชายคนนี้อายุราวหกสิบกว่าแล้ว วัยใกล้เคียงกับพ่อของผม ดูจากหน้าตาแล้วเขาคงจะเป็นคนใจบุญน่าดู

            “ไม่เป็นไรอั๊วเต็มใจช่วย ว่าแต่ลื้อชื่ออะไรล่ะจะได้เรียกชื่อถูก”

            “ผมชื่อเอ่อ....” กำลังคิดอยู่ว่าจะบอกชื่อจริงไปดีไหม ผมยังไม่รู้จักเขาดีพอเลย กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย

            “ไม่ต้องห่วงอั๊วไม่ทำร้ายลื้อหรอก ไว้ใจได้”

            “ผมชื่อธาวินครับ หรือเรียกสั้นๆ ว่าวินก็ได้”

            เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงแล้วเอ่ยถามผมต่อทันที “ลื้อกำลังจะไปไหน ทำไมถึงได้นอนเป็นหมดสติอยู่ข้างถนนอย่างนั้น”

            “คือผม...เป็นคนเร่ร่อนครับ เดินไปเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายปลายทาง ตอนนี้ผมก็อาการดีขึ้นแล้ว ผมขอตัวนะครับ ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยเหลือผม” ผมยกมือไหว้เขาอีกครั้ง แล้วจะลุกขึ้นจากเตียง

            “ถ้าไม่มีที่ไปอยู่กับอั๊วที่นี่ก็ได้นะ ที่นี่มีงานเยอะแยะให้ทำ อั๊วรู้ว่าลื้อไม่ใช่คนเร่ร่อนหรอก และกำลังหนีอะไรบางอย่างด้วย จริงไหม?”

             ผมหยุดชะงักอยู่ที่เดิมเมื่อได้ยินอย่างนั้น

            “ถ้าผมเล่าความจริงให้คุณฟัง คุณจะจับผมส่งตำรวจไหม” ผมลองเสี่ยงดูว่าเขาคนนี้จะทำอย่างไรกับผม หลังจากรู้ความจริงแล้ว หากโชคดีอาจจะได้ที่ซุกหัวนอน และมีกำลังใจสู้เพื่อกลับไปแก้แค้นพี่ธีอีกก็เป็นได้

            “แสดงว่าลื้อต้องคดีมา?”

            “ใช่ครับ แต่ผมโดนใส่ร้าย ผมไม่ได้เป็นคนทำ มีคนต้องการแกล้งผม”

            “อั๊วเชื่อลื้อ เล่าเรื่องทั้งหมดให้อั๊วฟัง บางทีอั๊วอาจจะช่วยเหลือลื้อได้”

            “ทำไมคุณถึงเชื่อผมง่ายอย่างนั้นล่ะ” ผมสงสัยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เชื่อและไว้ใจผมง่ายดายขนาดนี้ ทั้งที่เพิ่งจะได้นั่งคุยกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ

            “เพราะอั๊วดูคนออกยังไงล่ะ อายุปูนนี้แล้วผ่านอะไรมาก็เยอะ ทำไมแค่คนอย่างลื้ออั๊วจะดูไม่ออก แววตาของลื้อบอกว่าเรื่องที่พูดมาเป็นความจริง การพูดการจาก็มีสัมมาคารวะไม่ได้เลวร้ายอะไร”

            “ถ้าคุณเชื่อใจผม ผมก็จะเชื่อใจคุณ เรื่องมันเริ่มต้นจาก........” หลังจากนั้นผมก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับคุณโจวฟัง ในระหว่างเล่าน้ำตาผมก็ไหลลงมาอยู่เนืองๆ ว่าจะไม่ร้องแต่มันก็กลั้นไว้ไม่ได้ “เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้ล่ะครับ”

            “ลื้อต้องการจะแก้แค้นเขาคนนั้นใช่ไหม” เขาอ่านใจผมออกมาโดยตลอด ทำให้ผมเริ่มศรัทธาผู้ชายคนนี้เข้าให้เสียแล้ว ผมอยากเก่งเหมือนเขา ผมอยากจะเรียนรู้การอ่านใจคนออกบ้าง เผื่อว่ามันจะได้ใช้ในอนาคต

            “ใช่ครับ ผมจะเอาคืนเขาให้สาสม แก้แค้นให้ยาย และเอาลูกชายผมกลับคืนมาให้ได้” ผมเอ่ยด้วยแววตาที่แข็งกร้าว ไม่ว่าเขาจะให้ทำอะไรผมก็ยอม เพื่อให้ความตั้งใจของผมในครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี

            “ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลา ถ้าลื้อต้องการจะแก้แค้นคนพวกนั้น ลื้อต้องไปเมืองจีนกับอั๊ว ไปชุบตัวใหม่ เปลี่ยนนิสัยใหม่ เรียนรู้การเข้าสังคมใหม่ๆ ลืมตัวตนเก่าที่เคยเป็น ลื้อจะทำได้ไหม”

            “ผมทำได้ทุกอย่าง ขอแค่มีโอกาสได้กลับมาแก้แค้นเขาให้ได้” ผมตอบด้วยสายตาที่มุ่งมั่น ไฟแค้นในดวงตาผมมันลุกโชน พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ได้ในพริบตา

            “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เตรียมเดินทางได้เลย ไม่ต้องห่วงเรื่องพาสปอร์ตเพราะอั๊วจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้เอง”

            “ขอบคุณครับคุณโจวที่ช่วยเหลือผม ทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักผมดีด้วยซ้ำ” ผมยกมือไหว้เขาอีกครั้ง เป็นความโชคดีเหลือเกิน ผมต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนถึงสองครั้งสองครา แต่ก็มีคนใจดีช่วยเหลือผมทุกครั้ง คิดแล้วก็คิดถึงยายจันทร์ที่เคยช่วยเหลือผมไว้อย่างนี้ แต่ก็ต้องมาจากโลกนี้ไปเพราะผมเป็นต้นเหตุ ผมจะไม่มีวันให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด ผมจะเข้มแข็งและเป็นฝ่ายเข้าไปทำลายคนพวกนั้นบ้าง

            “ต่อไปนี้ลื้อคือ ‘อี้เฟย’ ลูกชายของอั๊ว จากนี้ไปลื้อต้องเรียกอั๊วว่าเตี่ยเข้าใจไหม” คุณโจวสร้างตัวตนให้ผมใหม่ ผมรู้สึกว่ากำลังได้เกิดใหม่อีกครั้งแล้ว

            “ครับเตี่ย อี้เฟยคนนี้จะทำตามคำสั่งของเตี่ยอย่างไม่มีข้อแม้เลยครับ”

            เราทั้งสองคนยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ผมไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่คุณโจวช่วยเหลือผมเพราะอะไร แต่ผมก็จะจงรักภักดีกับเขา ถือซะว่าเขาเป็นพ่อแท้ๆ

             เมื่อมีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว ผมจะทำทุกวินาทีให้คุ้มค่าสุด เพื่อฝึกฝนตนเองตัวเองให้แข็งแกร่ง พร้อมสำหรับการแก้แค้นในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร่...แต่มันต้องมีวันนั้นอย่างแน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2018 17:28:42 โดย ไมเลอร์ »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ความแซ่บมาแล้ว  อดใจรอไม่ไหวแล้วววว

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ได้เวลาเอาคืน

ออฟไลน์ ►MoNkEy-PrInCe◄

  • อินเตอร์ไลน์
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 726
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
มาต่อออ พระเอกแม่งเหี้ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai1: ยายตายอาจไม่ใช่ธีทำ
แต่ธีก็ซวยโดนรวบยอดทีเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2018 21:55:21 โดย sailom_orn »

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พระเอกแม่งเลวเกิน รับไม่ได้
 :katai1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
จริงๆธีอาจจะไม่/ด้สั่งให้คนไปฆ่ายายหรอก อาาจจะเป็นแม่ธีอีกที

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สงสารแต่ลูกตัวน้อย ๆ ไม่รู้ว่าชะนีย่ามันจะทำร้ายหรือเปล่านะ  :m16:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 7

หวนคืน



           ห้าปีผ่านไป

            มหานครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน

            “คุณอี้เฟยครับ”

            เสียงเข้มของใครบางคนเอ่ยเรียก ขณะที่ผมยืนจ้องมองท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาบนตึกสูงระฟ้า ผ่านกระจกใสในห้องทำงานส่วนตัว

            ผมหันกลับไปมองแล้วส่งยิ้มให้เขา “ว่าไงอาหยาง”

            ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือ ‘อาหยาง’ เป็นมือขวาคนสนิทผมเอง อาหยางสูงประมาณ 180 เซนติเมตร รูปร่างกำยำสมส่วน เป็นหนุ่มหน้าตี๋ฉบับจีนแท้ เตี่ยมอบหมายให้อาหยางเป็นทั้งพี่เลี้ยงและบอดี้การ์ดส่วนตัวผม และเขาคนนี้ก็ดูแลผมมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา จนเราสนิทสนมกันมากในระดับหนึ่ง ผมนับถือเขาเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง

           “ที่คุณอี้เฟยสั่งให้ไปจองตั๋วเครื่องบิน ตอนนี้ได้ไฟลท์เรียบร้อยแล้วครับ เป็นพรุ่งนี้ตอนแปดโมงเช้า”

            “ดีมาก นายเองก็ไปเตรียมตัวให้พร้อม เราจะกลับไปหาเตี่ยที่กรุงเทพกัน”

            “ครับคุณอี้เฟย” เขายืนถือกล่องอะไรบางอย่างไว้ในมือ ผมขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย เหมือนอาหยางรู้ตัวเลยชูขึ้นมาให้ผมดู ยิ้มแหยๆ อีกด้วย

            “นั่นอะไรเหรอ” ผมมองหน้าเขายิ้มให้เล็กน้อย

            “คือ...ผมซื้อขนมมาฝากคุณอี้เฟยครับ ขนมเจ้านี้อร่อยมาก ลองชิมดูครับ” อาหยางยื่นถุงขนมมาให้ผม

            “ขอบคุณนะที่ดีกับฉันมาตลอด นายคือคนที่ฉันไว้ใจมากที่สุดในชีวิตแล้ว” ผมยิ้มให้ ยื่นมือไปรับมา

            “ผมจะจงรักภักดีกับคุณอี้เฟยไปตลอดชีวิตครับ”

            “ขอบคุณอีกครั้งนะที่คอยอยู่ข้างๆ ฉันมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา กลับกรุงเทพครั้งนี้คงจะเหนื่อยน่าดู ฉันคงไม่มีอะไรจะตอบแทนนอกจากความรักและความหวังดีเท่านั้นเอง”

            “แค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับคนอย่างผมแล้วครับ”

            “ถ้างั้นกลับไปพักผ่อนเถอะ ฉันขออยู่คนเดียวสักพัก”

            “ครับคุณอี้เฟย” เขาโค้งคำนับให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

            หลังจากอาหยางออกไปแล้ว ผมก็วางถุงขนมไว้บนโต๊ะทำงาน หันกลับไปมองยังท้องฟ้าสีครามเช่นเดิม พรุ่งนี้แล้วสินะที่ผมจะได้กลับเมืองไทยเป็นครั้งแรก หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เกือบจะห้าปีแล้ว

            ครั้งแรกที่ได้ก้าวเท้าลงเหยียบผืนแผ่นดินแดนมังกรแห่งนี้ ผมรู้สึกว่ากำลังได้เริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ เตี่ยพาผมเข้าไปทำความรู้จักกับลูกน้องในบริษัท และเรียนรู้งานในอาณาจักรธุรกิจมูลค่ามหาศาลของเตี่ย มีทั้งธุรกิจสีขาวและสีเทา

            เตี่ยเล่าให้ฟังว่าเคยมีลูกชายคนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม แถมใบหน้ายังละม้ายคล้ายผมราวกับคนเดียว แต่ทว่าเขาคนนั้นได้เสียชีวิตก่อนหน้าที่จะเจอผมหลายปีแล้ว เตี่ยเห็นผมครั้งแรกก็รู้สึกตกใจปนดีใจ ทำให้หวนคิดถึงลูกชายทันที และนั่นก็คือเหตุผลที่เตี่ยพาผมไปรักษาตัวที่บ้านแทนที่จะเป็นโรงพยาบาล และชื่ออี้เฟยคือชื่อของลูกชายของเตี่ยที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง

            ผมใช้เวลาทั้งหมดฝึกฝนด้านต่างๆ ทั้งด้านบุ๋นและบู๊ ปรับบุคลิกภาพใหม่ให้ดูเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์ใหม่ของผมเป็นหนุ่มแบดบอยหน้าตี๋ที่มีความหล่อระดับเทพ วินคนเก่าที่เคยจืดชืดได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ผมฝึกยิงปืน เรียนทั้งอังกฤษและจีนกลางจนพูดได้ราวกับเจ้าของภาษา ทุกอย่างที่ทำนี้เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากวินคนเดิม หากไปเผชิญหน้ากับคนที่เคยรู้จัก นั่นจะทำให้พวกเขาเชื่อว่าผมไม่ใช่วินคนนั้นจริงๆ ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะกลับไปทำลายเขา และพาลูกชายกลับมาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง

            ช่วงเวลาที่อยู่เมืองจีนผมไม่เคยลืมเรื่องราวในอดีตเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นแรงกระตุ้นให้ผมต้องฝึกฝนตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อกลับไปทวงความยุติธรรมคืนให้กับตัวเองและยายจันทร์ ป่านนี้ตาหนูคงโตขึ้นมากแล้ว รู้สึกหวั่นใจว่าถ้าได้เจอหน้ากันอีกครั้งแกจะจำแม่คนนี้ได้ไหม และกลัวว่าแกจะถูกเลี้ยงให้เติบโตมาเป็นเด็กที่นิสัยไม่ดีเหมือนคนพวกนั้น ก็ได้แต่หวังว่าเลือดครึ่งหนึ่งของผมที่มีอยู่ในตัวตาหนู จะทำให้เขาเอาชนะความเลวร้ายพวกนั้นกลายเป็นเด็กที่ดีได้

*-*-*-*-*-*-*

            เวลาสี่ชั่วโมงกว่าที่ผมต้องนั่งอยู่บนเครื่องบิน ในที่สุดเครื่องก็แลนดิ้งลงบนผืนแผ่นดินไทย การกลับมาครั้งนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองคืออี้เฟย ลูกชายของคุณโจวนักธุรกิจพันล้านไม่ใช่วินคนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยฝึกฝนในขณะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ มันกำลังจะถูกนำมาใช้ในอีกไม่ช้า

            ก้าวแรกที่เหยียบย่างลงบนพื้น ผมรู้สึกได้ถึงชัยชนะที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน วินาทีนั้นผมยิ้มเหี้ยมเดินเชิดหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ ลุคใหม่ของผมทำเอาทั้งหนุ่มและสาวที่อยู่ในสนามบิน ต่างก็มองตาเป็นมันด้วยความสนใจ เห็นอย่างนั้นผมก็ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ที่รูปลักษณ์ใหม่นั้นชวนให้คนหลงใหลได้ไม่ยาก

            “เตี่ยครับ!” เมื่อเห็นเตี่ยยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ผมก็ตะโกนเรียก รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดทันที ผู้ชายคนนี้ดีกับผมมากเหลือเกิน จนชาตินี้ทั้งชาติคงไม่สามารถตอบแทนบุญคุณท่านได้หมด

            “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะไอ้ลูกชาย”

            “ครับเตี่ย ขอบคุณที่มารับผมด้วยตัวเองนะครับ” ตอนนี้น้ำตาผมเริ่มซึมออกมา จนต้องยกหลังมือขึ้นไปเกลี่ยมันออกจากขอบตา

            “กลับบ้านเรากันเถอะ อั๊วเตรียมของบางอย่างไว้รอต้อนรับ รับรองจะต้องถูกใจ”

            “อะไรน้าตื่นเต้นจังเลย”

            “ตื่นเต้นก็รีบกลับไปดูกัน..ป่ะ”

            หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งรถลีมูซีนกลับไปที่บ้าน บ้านที่ผมเคยได้รับโอกาสจากเตี่ยเมื่อห้าปีก่อน และบ้านหลังนั้นจะเป็นฐานที่มั่นของผม ในการต่อสู้กับคนบ้านนั้นในอีกไม่ช้า

            เมื่อรถเคลื่อนล้อมาหยุดที่หน้าบ้าน ก็มีชายฉกรรจ์นับสิบมายืนรอรับ พวกเขาสวมชุดสูทสีดำท่าทางดูน่าเกรงขาม พวกเขาเหล่านั้นคือลูกน้องเตี่ย ที่คอยรับใช้มานานหลายปี แต่ละคนฝีมือเก่งกาจระดับพระกาฬทั้งนั้น ถูกฝึกฝนในทักษะการต่อสู้มาจากเมืองจีนอย่างเข้มข้น ก่อนจะถูกส่งตัวกลับมาที่นี่

            ลงจากรถแล้วเตี่ยก็หันมาเอ่ยกับผม

            “อั๊วจะพาไปดูอะไรบางอย่าง”

            “ครับเตี่ย”

            ว่าแล้วผมก็เดินตามหลังเตี่ยด้วยความตื่นเต้น เตี่ยมักมีเรื่องอย่างนี้ให้ผมประหลาดใจอยู่บ่อยครั้ง เตี่ยพาผมเดินมาที่โรงรถ นั่นทำให้ผมเดาว่าสิ่งที่เตี่ยจะมอบให้คงต้องเป็นรถอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไหนกันแน่ เพราะรถที่จอดอยู่นั้นมีมากถึงสิบคัน

            “อย่าบอกนะว่าเตี่ยซื้อรถให้ผม”

            “ถูกต้อง กลับมาเมืองไทยทั้งทีลูกชายอั๊วต้องมีหน้ามีตาในสังคมไฮโซ คนจะต้องนับหน้าถือตาอี้เฟยคนนี้ นอกจากเงินทองและทรัพย์สินจะเป็นเครื่องประดับบารมีแล้ว รถก็เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกว่าเราไม่ใช่คนธรรมดา นี่คือรถที่เตี่ยตั้งใจซื้อให้เพื่อต้อนรับกลับบ้าน” ว่าแล้วเตี่ยก็เปิดผ้าคลุมรถออก เผยให้เห็นรถซูปเปอร์คาร์สีบรอนซ์เงิน ราคาหลายสิบล้าน ผมยิ้มให้เตี่ยก่อนจะโผเข้ากอดขอบคุณ

            “ขอบคุณเตี่ยมากๆ นะครับ ขอบคุณจริงๆ”

            “จะลองเข้าไปนั่งดูก่อนไหมแล้วค่อยเข้าไปในบ้าน”

            “ได้เลยครับเตี่ย”

            ว่าแล้วผมก็รีบเดินเข้าไปข้างตัวรถ เอื้อมมือไปสัมผัสลูบไล้อย่างเบามือ ชมความงดงามของรถคู่ใจคันใหม่ของผม จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไปนั่ง กวาดตามองดูไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ มันช่างดูหรูหราสมราคาเสียจริง

            ออกมาจากรถแล้วพวกผมก็เดินเข้าไปในบ้าน เพื่อร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยกันถึงเรื่องงานที่ต้องรับผิดชอบที่เมืองไทย และที่สำคัญคือเรื่องที่จะหาทางแก้แค้นพี่ธีคืนให้อย่างสาสม

            บนโต๊ะหรูที่ทำมาจากไม้สัก มีจานอาหารระดับภัตตาคารวางเรียงรายอยู่ เมนูแต่ละอย่างน่ารับประทานทั้งนั้น เตี่ยรู้ว่าผมไม่ค่อยได้ทานอาหารไทย วันนี้จึงจัดแต่เมนูอาหารไทยให้เกือบทั้งนั้น พวกเราสามคนนั่งรับประทานอาหารอยู่บนโต๊ะอย่างพร้อมหน้า ในระหว่างนั้นก็สนทนาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานไปด้วย

            “ขอบใจมากนะอาหยางที่ดูแลลูกชายอั๊วมาตลอด” เตี่ยเอ่ยกับอาหยางที่นั่งอยู่ข้างผม

            “ไม่เป็นไรครับท่านประธาน ผมยินดีรับใช้คุณอี้เฟยจนกว่าชีวิตจะหาไม่ครับ”

            “ขอบใจมาก ลื้อคือคนที่อั๊วไว้ใจมากที่สุด อั๊วเชื่อว่าลื้อจะไม่ทำให้อั๊วผิดหวัง จงช่วยเหลืออี้เฟยให้ภารกิจครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี จบงานแล้วอั๊วจะมีสิ่งตอบแทนให้แน่นอน”

            “ผมไม่ต้องการอะไรเป็นสิ่งตอบแทนครับ ผมขอแค่ได้ดูแลคุณอี้เฟยกับท่านประธานอย่างนี้ตลอดไปก็พอแล้วครับ” ผมเห็นแววตาที่มุ่งมั่นจริงใจของอาหยางก็รู้สึกซาบซึ้งใจ น้อยคนนักที่จงรักภักดีกับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่อย่างนี้ ผมนับถือน้ำใจเขาจริงๆ

            “ขอบคุณนายมากนะ” ผมยิ้มให้ เอื้อมไปกุมมือของอาหยางบีบเบาๆ สื่อว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา

            “ผมยินดีครับ” อาหยางยิ้มตอบ ยิ่งเขายิ้มอย่างนี้ความหล่อยิ่งเพิ่มทวีคูณ ผมเชื่อว่าอาหยางจะต้องเจอใครสักคนที่ถูกใจในเร็ววันอย่างแน่นอน

            “เตี่ยครับแล้วเรื่องแก้แค้นของผมล่ะครับ เตี่ยว่าเราควรจะเริ่มยังไงดี” ผมเปลี่ยนประเด็นเข้าเรื่องที่อยู่ในหัวทันที ใจจริงผมอยากจะเริ่มต้นการแก้แค้นตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบผืนแผ่นดินไทยซะด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับเตี่ย เพราะเตี่ยได้เตรียมวางแผนหาข้อมูลอะไรไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว

            “ใจเย็นๆ ไอ้ลูกชาย รับรองว่าลื้อได้แก้แค้นผู้ชายคนนั้นสมใจอยากแน่ แต่เราต้องวางแผนเรื่องนี้ให้ดี จะได้ไม่มีข้อผิดพลาด อั๊วเชื่อว่าตอนนี้ลื้อพร้อมทั้งกายและใจแล้ว”

            “ครับเตี่ย ผมพร้อมมาก ผมอยากเจอหน้าลูกชายเต็มทนแล้ว”

            “อั๊วมีเรื่องจะบอกให้ลื้อรู้ก่อนที่จะเข้าไปเจอเขา”

            “เรื่องอะไรครับเตี่ย”

            “ตอนนี้นายธีภพแต่งงานแล้ว กับลูกสาวหนึ่งในหุ้นส่วนของโรงแรมที่บริหารงานอยู่”

            แม้ว่าผมจะโกรธแค้นเขามากเพียงใด แต่ทำไมเมื่อได้รู้ว่าพี่ธีแต่งงานแล้ว หัวใจผมมันกลับรู้สึกเจ็บแปลบๆ ไม่นะ! ผมจะต้องไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น มันจะต้องมีเพียงความแค้นในใจผม คิดได้อย่างนั้นผมจึงยิ้มให้กับเตี่ย แล้วถามอะไรบางอย่างต่อไป

            “แล้วเขามีลูกด้วยหรือเปล่าครับเตี่ย”

            “ยังไม่มี รู้สึกว่าเมียของนายธีภพจะรักสวยรักงามมากจนไม่อยากมีลูก และที่สำคัญเธอคนนั้นเป็นลูกค้าประจำที่บ่อนของเราอีกด้วย” เตี่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ผมรู้ทันทีว่าตอนนี้เตี่ยกำลังคิดอะไร

            “ถ้าอย่างนั้นผมต้องเข้าไปดูแลบ่อนซะหน่อยเผื่อจะได้เจอเมียของศัตรูผม เผื่อว่าเธอจะมีประโยชน์อะไรบ้าง”

            “นั่นคือสิ่งที่อั๊วคิดเอาไว้ เธอคนนี้ล่ะจะเป็นคนที่เปิดประตูให้ลื้อได้เข้าไปในบ้านหลังนั้น”

            “ผมอยากจะเห็นสีหน้าคนบ้านนั้นจัง ว่าถ้าเห็นผมแล้วจะเป็นยังไง วินคนนั้นที่พวกเขาเคยข่มเหงรังแก มีใบหน้าเหมือนคุณอี้เฟย ทายาทนักธุรกิจพันล้านอย่างกับแกะ คิดแล้วก็น่าสนุกดีนะครับเตี่ย” แววตาที่เคยอ่อนหวานของผม ตอนนี้กลับกลายเป็นแววตาที่กระหายสงครามและชัยชนะไปเสียแล้ว ผมอยากเข้าไปในบ้านหลังนั้นให้เร็วที่สุด อยากไปเจอหน้าลูกชายที่ผมคิดถึงมาตลอด

            “เรื่องลูก ถ้าลื้ออยากเจอหน้าให้หายคิดถึงอั๊วพอมีวิธี”

            ได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบวางช้อนลงบนจานจนเกิดเสียง มองหน้าเตี่ยด้วยรอยยิ้ม ผมกำลังจะได้เจอตาหนูอย่างนั้นเหรอ ห้าปีแล้วสินะ ตาหนูโตขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไรบ้างผมอยากรู้เหลือเกิน

            “ยังไงครับเตี่ย!”

            “ตอนนี้ตาหนูเข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ถ้าลื้ออยากเจอต้องไปช่วงเวลาเลิกเรียน ช่วงนั้นเด็กๆ จะออกมารอผู้ปกครองมารับ” เตี่ยแนะนำผม

            “ครับเตี่ยถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะไปที่โรงเรียน ผมอยากเห็นหน้าลูกจะแย่แล้ว”

วันพรุ่งนี้แล้วสินะที่ผมจะได้เจอหน้าตาหนู รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

*-*-*-*-*-*-*

            วันต่อมาอาหยางเป็นสารถี ขับรถพาผมมาหน้าโรงเรียนที่ตาหนูเรียนอยู่ ภายในรั้วโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ มีแต่อาคารเรียนที่หรูหรา นั่นทำให้ค่าเทอมแพงหูฉี่ เด็กที่นี่ล้วนแต่เป็นลูกหลานของเศรษฐี เห็นอย่างนี้ผมก็อุ่นใจ ที่อย่างน้อยเขาก็ส่งเสียให้ตาหนูได้เรียนโรงเรียนดีๆ

            “คุณอี้เฟยจะลงไปดูใกล้ๆ ไหมครับ” อาหยางที่นั่งคุมพวงมาลัยอยู่เบาะคนขับเอ่ยถาม

            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันนั่งรอในนี้ก่อนดีกว่า” ผมตอบขณะจ้องมองที่หน้าประตูรั้วโรงเรียนอย่างไม่วางตา ตอนนี้เด็กๆ กำลังทยอยเดินออกมา โดยมีคุณครูยืนรอส่งนักเรียนอยู่สามคน

            ผมเฝ้าจับตามองดูเด็กทุกคนที่เดินออกมาอย่างไม่คลาดสายตา ในที่สุดผมก็เห็นเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวพรรณขาวสะอาด ไว้ผมรองทรงต่ำ สะพายกระเป๋าใบเล็กนักเรียนเดินยิ้มออกมากับเพื่อน แม้ว่าตาหนูจะโตขึ้นมาก แต่ผมก็ยังจำโครงหน้าหน้าแกได้ดี แววตาคู่นั้น รอยยิ้มนั้น ผมไม่เคยลืมเลือนไปจากใจ

            “ตาหนูของแม่ ฮึก” เมื่อเห็นหน้าลูกชายเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี ผมจึงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งเห็นความน่ารักของแก ยิ่งทำให้น้ำตาผมไหลลงมาไม่ขาดสาย

            ในระหว่างนั้นผู้ชายที่ผมเกลียดมากที่สุดก็ปรากฏตัว เขาเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวเปรี้ยวฉ่าดูเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ หน้าตาสะสวย แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภรรยาของพี่ธี

            เมื่อตาหนูเห็นทั้งสองคนมารับ ก็รีบวิ่งเข้าไปกอดพี่ธี ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ดูยิ้มแย้มท่าทางจะรักตาหนูดี ทำไมผมเห็นภาพนั้นแล้วถึงได้รู้สึกอิจฉา ทั้งอิจฉาและเกลียดไปพร้อมๆ กัน ผมเกลียดที่เขาให้ผู้หญิงคนอื่นมาเป็นแม่แทนผม ทั้งที่ตรงนั้นมันควรจะเป็นผมไม่ใช่คนอื่น

            “กลับเลยไหมครับ” อาหยางมองผมผ่านทางกระจกหน้า เขาคงเห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดีนักจึงเอ่ยถาม

            “ยัง...พาฉันไปที่ที่หนึ่งก่อน”

            “ที่ไหนครับคุณอี้เฟย”

            “บ้านเก่าฉันเอง”

            ผมบอกเส้นทางให้อาหยางขับรถไปยังบ้านของยายจันทร์ บ้านที่เคยให้ที่ซุกหัวนอน บ้านที่เคยให้ความรักและความอบอุ่นผมมาเป็นเวลานานนับปี บ้านที่ผมเรียกได้เต็มปากว่ามันคือบ้านที่แท้จริง

            เมื่อรถมาจอดเทียบถนนหน้าบ้านแล้ว ผมก็เปิดประตูก้าวขาลงไปเหยียบบนผืนแผ่นดินที่เป็นสมบัติของยายจันทร์ บ้านไม้ชั้นเดียวที่เคยมีชีวิตชีวา ตอนนี้โทรมไปมาก มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นปกคลุมเกือบทั่วทั้งหลัง ลานหน้าบ้านพื้นที่เล็กๆ เคยเป็นที่จอดรถเข็นขายข้าวแกง ตอนนี้เต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏ เห็นแล้วน้ำตาผมก็ไหลลงมา ผมคิดถึงยายจันทร์เหลือเกิน ป่านนี้ยายคงจะมองดูผมจากบนสวรรค์อยู่แน่นอน คิดแล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่สดใส ส่งยิ้มให้ยายจันทร์ ให้รู้ว่าตอนนี้ผมกลับมาหายายแล้ว

            “จะเข้าไปข้างในไหมครับคุณอี้เฟย” อาหยางถามผม หลังจากยืนเงียบอย่างนั้นได้สักพัก

            “นายรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปข้างใน”

            “แต่ผมเกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัย ให้ผมเข้าไปด้วยเถอะนะครับ”

            “ไม่เป็นไรหรอก ที่นี่คือบ้านของฉัน ไม่มีอะไรอันตรายหรอก” ผมยิ้มให้อาหยาง ก่อนจะหันกลับไปมองประตูหน้าบ้าน แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน

            เมื่อเดินเข้าไปผมแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ข้างในเต็มไปด้วยหยากไย่ พื้นไม้ที่เคยแข็งแน่นตอนนี้กลับผุพัง บางจุดแตกเป็นโพรงลงไปจนเห็นพื้นดิน แถมมีหญ้าขึ้นแซมไปทั่ว เครื่องครัวที่เคยใช้ขายข้าวแกงหล่นกระจุยกระจายไปทั่ว ดูแล้วน่าจะเป็นฝีมือวัยรุ่นแถวนี้ ที่เข้ามาใช้พื้นที่ในการมั่วสุมยาเสพติด เพราะมีเศษก้นบุหรี่ถูกทิ้งเกลื่อนไปทั่ว แถมยังมีอุปกรณ์สำหรับเสพยาถูกทิ้งไว้อีกด้วย เห็นสภาพบ้านแล้วทำเอาผมแทบจะรับไม่ได้

            เดินไปตรงยังเตียงนอนที่ยายจันทร์เคยใช้เป็นที่พักผ่อนกายา ก็เจอเสื้อตัวเก่งของยายถูกวางทิ้งอยู่บนพื้น มันถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ ผมปัดฝุ่นออกเบาๆ แล้วหยิบมันขึ้นมาถือไว้

            “ยายจ๋า ผมจะเอาตัวคนที่มันฆ่ายายมาเข้าคุกให้ได้ ผมสัญญา”

            หลังจากนั้นก็เดินไปศาลาริมน้ำ ตอนนี้ไม่สามารถนั่งชมบรรยากาศริมคลองได้เหมือนมัน เพราะมีหญ้าขึ้นปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ผมจึงเดินกลับออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก อาหยางเห็นอย่างนั้นก็มองด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยปากถามผมทันที

            “คุณอี้เฟยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

            “ฉันไม่เป็นไร เรากลับบ้านกันเถอะ”

            “ครับ”

            ว่าแล้วอาหยางก็เปิดประตูรถให้ ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถด้วยอาการเหม่อลอย ผมขอเป็นคนอ่อนแอแค่วันเดียว เพราะจากนี้ไปการแก้แค้นมันจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
 :monkeysad: เศร้านัก ต้องเอาคืนให้หนัก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ขออย่าง อย่าให้ไอ้คนนั้นเป็นพระเอกเลย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
จัดให้หนักเลย ให้สาสม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด