บทที่ 9
เผชิญหน้า
“กาแฟค่ะคุณอี้เฟย”
เสียงป้ากิ่งดังขึ้นอยู่ตรงหน้า ผมจึงเงยขึ้นไปส่งยิ้มให้ ตอนนี้กาแฟร้อนๆ ถูกวางอยู่บนโต๊ะทำงานผมเรียบร้อยแล้ว หลายวันที่ผ่านมาผมสังเกตได้ว่า ป้ากิ่งมีความสุขมากกับการทำงานมาก เธอเป็นคนยิ้มง่ายและมีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ทำให้พนักงานและลูกค้าต่างก็ชอบใจ ให้ทิปเธออยู่บ่อยๆ
“ขอบคุณครับป้า”
“ถ้าคุณอี้เฟยต้องการอะไรบอกป้าได้เลยนะคะ” ป้ากิ่งจ้องมองใบหน้าผมแล้วยิ้มอยู่อย่างนั้น ทำเอาผมรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก เลิกคิ้ว ยิ้มตอบก่อนจะเอ่ยถาม
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าครับป้า ทำไมถึงได้มองอย่างนั้น”
“เปล่าค่ะ ป้าขอโทษด้วยที่เสียมารยาท พอดีว่าป้าเห็นคุณอี้เฟยแล้วนึกถึงลูกชายน่ะค่ะ” เธอเอ่ยกับผมด้วยแววตาเศร้า ดูแล้วช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน
“อ้าว! ป้ามีลูกชายด้วยเหรอครับ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนทำไมปล่อยให้ป้าลำบากอย่างนี้ล่ะครับ” ผมเริ่มสนใจเรื่องของป้ากิ่งเสียแล้ว เธอมีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจมากเหลือเกิน ยิ่งได้พูดคุยยิ่งมีอะไรให้น่าค้นหา
“เอ่อ..”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ป้ากิ่งกำลังจะเอ่ยกับผม แต่ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะก่อน เป็นอาหยางนั่นเองที่กำลังเดินเข้ามา
“คุณอี้เฟยครับ ผมมีความคืบหน้าเรื่องนายธีภพมารายงานครับ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็พยักหน้ารับเชิงเข้าใจ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับป้ากิ่งอีกที
“ป้าครับเอาไว้เราค่อยคุยกันนะ ผมมีธุระต้องคุยกับอาหยาง”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นป้าขอตัวไปทำงานก่อน”
ผมยิ้มให้ ก่อนเธอจะออกไปนอกห้อง
“นั่งลงก่อนสิอาหยาง”
“ครับ”
เมื่ออาหยางนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานผมแล้ว ผมก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบสองสามอึกก่อนจะวางลงไว้บนโต๊ะเช่นเดิม
“เป็นยังไงบ้าง สำเร็จลุล่วงทุกภารกิจไหม”
“แน่นอนครับ หลังจากที่เราส่งหน้าม้าไปป่วน ทั้งโรงแรมและโรงพยาบาลของพวกมัน รวมถึงสร้างข่าวเสียๆ หายๆ ผ่านทางโลกโซเชี่ยว ทำให้ตอนนี้ผู้ถือหุ้นต่างก็เริ่มทยอยขายหุ้นคืนให้พวกมัน อีกไม่นานบริษัทของมันคงจะเจ๊งแน่นอน เพราะคงแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว ตอนนี้แทบจะไม่มีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเลย หลังจากมีข่าวพวกนั้นออกไป” อาหยางเล่ารายละเอียดความคืบหน้าให้ผมฟัง
“ดีมาก ต่อให้มันรวยแค่ไหน ก็คงแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาลขนาดนั้นไม่ไหวหรอก ตอนนี้มันคงจะนั่งกลุ้มใจอยู่สินะ...สมน้ำหน้า” ผมยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ อีกไม่นานเราจะต้องได้เจอกันแน่พี่ธี
“แล้วเรื่องอรจิราล่ะครับ เราจะเอายังไงต่อ”
“วันนี้ฉันนัดเธอไปดินเนอร์ เพื่อจะได้เกลี้ยกล่อมให้พาฉันไปที่บ้านหลังนั้น และขอเจรจาเป็นผู้ร่วมทุน ฉันเชื่อว่าคนอย่างพี่ธีฉลาดพอที่จะยอมรับข้อเสนอดีๆ จากฉันแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอตามไปดูแลคุณอี้เฟยด้วยนะครับ”
“แน่นอนเธอต้องไปอยู่แล้ว เพราะวันนี้ฉันจะให้เธอได้มีความสุขกับอรจิราไงล่ะ”
“ครับ” อาหยางขานรับก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อย
“นายโอเคใช่ไหมอาหยาง ถ้านายต้องฝืนไม่ต้องทำก็ได้นะ ฉันแคร์นาย” ผมอยากถามให้แน่ใจ เพราะดูจากสีหน้าของเขาแล้ว เหมือนจะมีความกังวลใจเล็กน้อย
“ผมทำได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่จริงใจมากจนผมรู้สึกได้
“ถ้างั้นคืนนี้เตรียมตัวให้พร้อม เราจะไปที่นั่นพร้อมกัน”
“ครับคุณอี้เฟย”
ผมอยากจะรู้นัก ถ้าพี่ธีได้เห็นคลิปวิดีโอของภรรยาแอบเริงรักกับชายชู้ เขาจะรู้สึกยังไง แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก เพราะผมจะเก็บคลิปนี้ไว้ใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ช่วงเย็นผมแต่งตัวให้ดูดีมีระดับมากที่สุด เพื่อจะได้มัดใจอรจิราให้อยู่หมัด ผมมาถึงก่อนจึงนั่งรอที่โต๊ะอาหารในภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง สั่งอาหารไว้รอเธอเสร็จสรรพ จะเหลือก็เพียงเจ้าหล่อนเท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง นั่งรอไม่นานอาหยางที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบงัน ด้วยการโน้มตัวมากระซิบที่ข้างใบหูผม
“เธอมาโน่นแล้วครับ”
เมื่อมองไปตรงหน้าก็เจอกับหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสั้นสายเดี่ยวสีแดงเพลิง เข้ารูปจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ยั่วตายั่วใจชายหนุ่มที่อยู่ตามรายทางได้ไม่น้อย
“ขอโทษนะคะ พอดีฉันแต่งตัวนานไปหน่อยเลยมาช้า หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะคะ” มาถึงเธอก็เอ่ยขอโทษขอโพย ที่มาถึงช้ากว่าเวลานัดหมาย
“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ เชิญนั่งเลยดีกว่า” ผมลุกขึ้นยืน เดินอ้อมไปเคลื่อนเก้าอี้ให้เจ้าหล่อนนั่ง พยายามทำให้เธอประทับใจมากที่สุด
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ย พร้อมส่งยิ้มหวานมาให้
“ผมสั่งอาหารไว้รอแล้วนะครับ หวังว่าคุณคงจะถูกใจ ทุกอย่างที่สั่งมาล้วนแต่เป็นเมนูจานเด็ดของที่นี่”
“ว้าว! ขอบคุณนะคะที่ทำเพื่อฉันขนาดนี้ ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน”
“ไม่เป็นไรครับ ถึงแม้ว่าเราเพิ่งจะเจอกัน แต่ผมก็รู้สึกดีกับคุณมาก ราวกับเคยรู้จักกันมาเป็นสิบปีซะอย่างนั้น”
ในระหว่างที่เราสนทนากันอยู่นั้น พนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ก็มาบริการรินไวน์ลงในแก้วให้
“ปากหวานอย่างนี้ คงจะพาสาวๆ มาดินเนอร์บ่อยสินะคะ”
“ไม่เลยครับ คุณคือคนแรกที่ผมพามา”
“พูดเอาใจเก่งอย่างนี้ ไม่หลงก็ไม่รู้จะว่ายังแล้วล่ะ”
“คุณอรครับผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ผมพยายามหาทางพูดเข้าเรื่อง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
“ได้เลยค่ะ ถามมาเลย” เธอเอ่ยหลังจากจิบไวน์แล้วอึกหนึ่ง
“ผมได้ยินข่าว ว่าช่วงนี้ธุรกิจที่บ้านสามีคุณไม่ค่อยสู้ดีนัก ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยผมยินดีนะครับ”
“คุณรู้เรื่องได้ยังไงคะเนี่ย” เธอจ้องมองหน้าผมด้วยความประหลาดใจ
“ก็ข่าวออกจะดังซะขนาดนั้น ใครก็พอจะเดาออกทั้งนั้นล่ะครับ ผมเห็นว่าคุณเป็นคนสำคัญเลยอยากจะเข้าไปช่วยเหลือ ได้ยินข่าวว่าผู้ถือหุ้นขายหุ้นกลับคืนไปหมด ผมเลยอยากจะเข้าขอซื้อหุ้นพวกนั้นจากสามีคุณ เพื่อช่วยพยุงกิจการน่ะครับ”
“เรื่องนี้ฉันตัดสินใจเองไม่ได้หรอกค่ะ ต้องให้สามีและแม่สามีฉันเป็นคนตัดสินใจ แต่ถ้าคุณสนใจจริงๆ ฉันสามารถพาคุณเข้าไปเจรจาได้นะคะ พรุ่งนี้เลยไหมล่ะ” เธอเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ รับประทานอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย
“ได้เลยครับผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ทำไมทุกอย่างมันถึงได้ง่ายดายขนาดนี้ ฟ้าช่างเป็นใจให้ผมซะเหลือเกิน
“ฉันแค่ล้อเล่นเองนะคะ” เธอขำออกมาเล็กน้อย เมื่อเห็นผมรีบตอบรับอย่างไม่ลังเลใจ
“แต่ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ ที่ผมตอบรับอย่างไม่คิดอะไรมาก เพราะมั่นใจว่าหากเข้าไปช่วยบริหารงาน จะสามารถทำให้ธุรกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น คุณก็รู้ว่าผมมีเงินทองมากมายขนาดไหน เงินจะสามารถทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้เร็วดั่งที่ใจต้องการ ผมเองก็อยากจะทำธุรกิจอย่างอื่นบ้าง จะได้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นไปอีก”
“แหม แค่บ่อนก็ไม่รู้จะเอาเงินเก็บไว้ไหนแล้ว ยังจะขยันอีก ฉันน่าจะเจอคุณก่อนพี่ธี จะได้ไม่ต้องมีชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้” เธอพูดพร้อมกับทำหน้าเซ็งขั้นสุด
“เจอตอนนี้ก็ยังไม่สายนี่ครับ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมอยากจะชวนคุณไปต่อ” ผมส่งสายตาเจ้าชู้ยักษ์ให้เธอ
“ที่ไหนคะ”
“ที่ที่จะทำให้เรามีความสุขกันไงล่ะครับ คุณพร้อมจะไปมีความสุขกับผมไหมล่ะ”
“ถ้าฉันไม่พร้อม...ก็บ้าแล้วล่ะค่ะ คนที่เพียบพร้อมอย่างคุณ หาได้ง่ายๆ ซะที่ไหนกันล่ะ” เธอไม่ว่าเปล่า กลับส่งสายตาหวานเยิ้ม ยั่วยวนผมซะเหลือเกิน คืนนี้เธอได้มีความสุขสมใจอยากแน่ แต่กับอาหยางนะไม่ใช่ผม หึๆ
“ดีมากครับแล้วเราจะได้ไปมีความสุขกัน ว่าแต่เรื่องไปที่บ้านคุณล่ะตกลงว่ายังไง”
“ถ้าคุณต้องการอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะแจ้งทางครอบครัวสามีฉันให้เอง ส่วนคุณก็ไปหาฉันที่บ้านพรุ่งนี้ได้เลยค่ะ ”
“ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นเรารีบทานกันดีกว่าจะได้ไปต่อเร็วๆ”
“ค่ะ”
พวกเรารับประทานอาหารมื้อเย็น ไปพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่อาจจะดูมีความสุข แต่นั่นมันเฉพาะกับอรจิรา แต่ผมมันคือการเข้าใกล้ความสำเร็จขึ้นไปอีกขั้น มีแต่ความสะใจและสะใจเท่านั้นเอง
หลังจากทานมื้อเย็นแล้ว ผมก็พาเจ้าหล่อนมาเปิดห้องในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง โดยให้อาหยางรออยู่หน้าห้อง รอจังหวะที่ผมจัดการทุกอย่างในห้องแล้ว จึงจะส่งสัญญาณให้อาหยางเข้าไปรับช่วงต่อ
ตอนนี้ผมกับอรจิราอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว ผมนั่งรออยู่บนเตียงขณะเจ้าหล่อนกำลังเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ หลังจากนั้นไม่นานอรจิราก็ออกมาในสภาพล่อแหลม มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันรอบตัว เผยให้เห็นท่อนขาเรียวที่ขาวสะอาดหมดจด แต่นั่นไม่สามารถปลุกความเป็นชายในตัวผมได้เลย แต่สำหรับอาหยางผมมั่นใจว่าไม่ยากเลยสำหรับเขา
“คุณอี้เฟยไม่เปลี่ยนชุดบ้างเหรอคะ” เธอเดินเข้ามานั่งข้างผม ก่อนจะเอื้อมมือเรียวมาเกลี่ยนิ้วไล้ไปตามแผงอก มืออีกข้างก็คล้องคอผมเอาไว้
“ไม่ล่ะครับผมอยากจะเปลี่ยนในระหว่างที่เราสนุกกัน มันน่าตื่นเต้นเร้าใจกว่า” ว่าแล้วผมก็ผลักตัวเธอให้นอนลงบนเตียง แล้วเดินไปหยิบผ้าปิดตาที่เตรียมมาด้วยไว้ในมือ ยืนจ้องมองเธอปานจะกลืนกิน เห็นอย่างนั้นอรจิราก็มองหน้าผมด้วยความสงสัย
“คุณถือผ้ามาทำไมคะ”
“ผมเป็นคนที่ชอบอะไรตื่นเต้นเร้าใจครับ เวลาผมมีอะไรกับสาวๆ มักจะปิดตาไว้อย่างนี้แล้วก็จัดการปรนเปรอพวกเธออย่างถึงใจ” ผมว่าพลางเดินขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะค้ำยันมือทั้งสองข้างคร่อมตัวเธอไว้ จ้องมองดวงตาหวานนั้นอย่างหื่นกระหาย จากนั้นก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปประกบจูบเธออย่างดูดดื่ม เมื่อเธอเริ่มเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบผมแล้ว ผมก็ผละใบหน้าออกมาจัดการใช้ผ้าปิดตาเธอทันที
“ปิดตาก่อนนะครับคนดี แล้วคุณจะได้รู้ว่าความตื่นเต้นมันเป็นยังไง”
“อย่าทำรอยบนตัวฉันนะคะ เดี๋ยวสามีฉันจะสงสัย”
“ครับผม จะไม่ให้ผิวขาวๆ ของคุณมีรอยช้ำแม้แต่น้อย”
“พร้อมรึยังครับที่รัก”
“พร้อมแล้วค่ะ”
ในจังหวะนั้นผมก็ส่งข้อความทางไลน์บอกให้อาหยางเข้ามาในห้อง เมื่อเขามาถึงผมก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้อาหยางตักตวงความสุขจากเธอตามต้องการ
“ห้ามเปิดตาจนกว่าผมจะอนุญาตนะครับคนดี” ผมกระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ขณะนั้นอาหยางก็กำลังเปลื้องผ้าตัวเองออกจนหมด เผยให้เห็นร่างกำยำสมส่วน จากนั้นก็ก้าวขาขึ้นไปบนเตียง จัดการดึงผ้าเช็ดตัวที่ปกปิดเรือนร่างสวยนั้นออกไป ความงดงามตรงหน้าทำให้ความเป็นชายของอาหยางตื่นตัวได้ไม่ยาก จากนั้นเขาก็ละเลงบทรักบนตัวเธออย่างชำนิชำนาญ ส่วนผมก็ยืนอยู่ข้างเตียงมองดูความร่านรักของผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของพี่ธี พร้อมกับบันทึกวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานชิ้นโบแดงอีกด้วย
--*-*-*-*-*
และแล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึง ผมตื่นขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเตรียมตัวเข้าไปที่บ้านหลังนั้น อรจิราได้แจ้งกับพี่ธีเรื่องที่ผมจะเข้าไปเจรจาธุรกิจในวันนี้ และเขาก็ตอบตกลง ผมจะได้เจอหน้าตาหนูใกล้ๆ แล้วสินะ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกตื่นเต้นซะเหลือเกิน
ผมขับรถซูปเปอร์คาร์ที่เตี่ยซื้อให้ ตรงไปยังบ้านของพี่ธีอย่างคุ้นชินเส้นทาง โดยมีอาหยางขับบิ๊กไบค์ตามประกบคอยรักษาความปลอดภัยให้อยู่ตลอดทาง
เมื่อรถเคลื่อนล้อเข้ามาให้รั้วบ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้เผชิญหน้ากับคนบ้านนั้นอีกครั้ง แต่ทว่าไม่ได้มีความรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะมีแต่ความแค้นเข้ามาแทนที่ความรู้สึกพวกนั้นไปหมดแล้ว
เมื่อรถจอดนิ่งสนิทแล้ว ผมก็เปิดประตูก้าวขาลงจากรถด้วยท่วงท่าที่สง่าผ่าเผย ยืนมองคฤหาสน์หลังนั้นด้วยแววตาที่แข็งกร้าวภายใต้แว่นกันแดดสีชา ก่อนจะถอดมันออกเหน็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อแบรนด์ดังที่สวมใส่อยู่
“คุณอี้เฟยจะให้ผมเข้าไปด้วยไหมครับ” เมื่ออาหยางลงจากรถแล้ว ก็เดินมาเอ่ยถามผมทันที
“ไปสิ! เราจะไปด้วยกัน ไปดูหน้าผู้ชายคนนั้นใกล้ๆ ดูให้ชัดๆ ให้จำขึ้นใจ ว่าเขาเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง”
“ครับคุณอี้เฟย”
“ว่าแต่เป็นยังไงบ้างมีความสุขใช่ไหมล่ะ” ผมเอ่ยถามถึงเรื่องเมื่อคืนนี้
“ก็ดีครับ” เขาตอบแค่นั้นก่อนจะส่งยิ้มอายๆ ให้ผม
“ทำไมยิ้มแบบนั้นล่ะอาหยาง หรือว่านายอายที่ฉันยืนดูด้วย”
“ก็นิดหน่อยครับ ผมไม่เคยแก้ผ้าทำอะไรอย่างนั้นต่อหน้าใครมาก่อน”
“อีกหน่อยนายก็จะชินเองล่ะ มันคงไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวแน่นอน”
“ครับ”
ในระหว่างที่พวกเรากำลังสนทนากันอยู่นั้น อรจิราก็เอ่ยเสียงแทรกเข้ามา ทำให้เราทั้งสองต้องหันไปมองยังต้นเสียงทันที
“คุณอี้เฟยสวัสดีค่ะ” เธอส่งยิ้มหวานมาให้ ทำหน้าเขินอายเล็กน้อย ผมรู้ว่าเธอกำลังนึกถึงรสสวาทของอาหยางเมื่อคืนนี้อย่างแน่นอน
“สวัสดีครับ คุณอรนอนหลับฝันดีใช่ไหมครับเมื่อคืนนี้”
“แน่นอนค่ะ ฝันดีมากที่สุด”
“ผมก็ฝันดีเหมือนกันครับ ฝันเห็นคุณอรทั้งคืนเลย” ว่าแล้วก็ส่งสายตาหื่นกระหายไปให้เธอ
อรจิราทำท่าเหนียมอายก่อนจะเอ่ยต่อไป “เชิญด้านในเลยค่ะ ทุกคนรออยู่ในบ้านแล้ว”
“ครับผม”
พวกเราเดินตามหลังอรจิราเข้าไปในบ้านอย่างมั่นอกมั่นใจ อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าผมก็จะได้เผชิญหน้ากับเขาแล้ว ผู้ชายที่เป็นต้นเหตุให้ชีวิตผมต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ นับจากวินาทีนี้เขาจะเป็นเพียงแค่เศษดิน ที่ผมจะเหยียบย่ำเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ รวมถึงใครก็ตามที่เคยทำอะไรผมไว้เอาจะเอาคืนให้สาสมที่สุด
แวบแรกที่เราทั้งคู่เห็นหน้ากันและกัน พี่ธีก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ลุกขึ้นจากโซฟาทันที รวมถึงพ่อกับแม่ที่ต่างก็จ้องมองมาที่ผมอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง คงกำลังคิดว่าผมคือวินคนเดิมสินะ แต่ขอโทษด้วยผมไม่ใช่คนที่พวกเขารู้จักเลยสักนิด
“ทุกคนนี่คือคุณอี้เฟยที่อรพูดถึงไงคะ” อรจิราแนะนำผมให้กับทุกคนในบ้านรู้จัก
“สวัสดีครับทุกคน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ผมเอ่ยทักทายแต่ไม่ยอมยกมือไหว้ ส่งยิ้มหน้าระรื่นให้กับพวกเขา รู้สึกสะใจไม่น้อยเมื่อเห็นสีหน้าแต่ละคน...ราวกับเห็นผีซะอย่างนั้น
พี่ธีจ้องหน้าผมอย่างจับผิด เขาไม่ละสายตาจากผมแม้แต่วินาทีเดียว ก่อนจะเผลอเอ่ยคำที่คิดอยู่ในใจออกมา
“วิน! มึงใช่ไหม”
“ใช่! แกแน่ๆ แกคือไอ้วินใช่ไหม ฉันจะแจ้งตำรวจมาจับแกไอ้ฆาตกร” แม่บุญธรรมผมเองก็เอ่ยทักทายด้วยข้อกล่าวหาเมื่อห้าปีที่แล้ว คงจะคิดถึงผมมากสินะ หึๆ
“ขอโทษนะครับ ใครคือวินงั้นเหรอ?” ผมถามกลับด้วยสีหน้างงงวย ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
“ทุกคนคงจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ นี่คุณอี้เฟยนักธุรกิจพันล้าน เพิ่งกลับมาจากเมืองจีนเมื่อไม่นานมานี้เอง” อรจิราเองก็รู้สึกงง จึงเอ่ยชี้แจงให้ทุกคนฟังอีกครั้ง
“ไม่อยากเชื่อเลย ว่าจะมีคนหน้าเหมือนกันอย่างนี้บนโลกด้วย” แม่บุญธรรมผมเอ่ยขึ้น สายตายังคงจับจ้องมองมาที่ผมอย่างจับผิด แต่ผมไม่แสดงพิรุธอะไรให้พวกเขาเห็นแม้แต่น้อย เพราะทุกอย่างที่ผมฝึกฝนมาจากเมืองจีนเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ
“บนโลกใบนี้ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นล่ะครับคุณเอ่อ...”
“ฉันชื่อวรรณีค่ะ”
“ครับคุณวรรณี”
“แล้วคุณล่ะครับ” ผมเอ่ยถามพ่อ ท่านเองยังคงอึ้งมองหน้าผมแทบไม่กะพริบตา
“ผมพงษ์ศักดิ์ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองท่านนะครับ”
“ถ้างั้นเชิญนั่งก่อนดีกว่าครับคุณอี้เฟย” พี่ธีผายมือเชิญผมให้นั่งลงที่โซฟาข้างกัน
“ขอบคุณครับ” เมื่อนั่งลงแล้วก็มีสาวใช้นำน้ำมาเสิร์ฟทันที
“แล้วที่มาด้วยนั่นคือ” พี่ธีถาม พลางมองหน้าอาหยางไปด้วย
“นั่นอาหยางเป็นบอดี้การ์ดผมเองล่ะครับ”
พี่ธีพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยกับผมต่อไป
“ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องรู้สึกอึดอัดใจ คุณหน้าคล้ายกับคนที่ผมรู้จักมากเหลือเกิน เหมือนมากราวกับคนเดียวกัน” เขายังคงจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา
“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ ทุกวันนี้คนหน้าตาเหมือนกันออกเยอะแยะ ผมเองก็เคยทักคนผิดมาหลายครั้งอยู่เหมือนกัน” ผมเอ่ยกับทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อให้พวกเขาเลิกระแวงผม
“ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะครับ...ผมธีภพ”
“ผมอี้เฟย ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
เราทั้งสองจับมือกันเพื่อสร้างมิตรภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น สายตาเราประสานกันแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายละสายตาออกไป
“ไม่ทราบว่าคุณอี้เฟยอายุเท่าไหร่แล้วครับ”
“ครบยี่สิบสี่ปีนี้ครับ”
“บังเอิญจังเลยนะครับ ใบหน้าก็เหมือนกันอายุก็เท่ากัน ถ้าไม่บอกว่าคุณเป็นนักธุรกิจพันล้านผมคงเชื่อว่าคุณคือคนที่ผมรู้จักไปแล้ว”
“คนที่ชื่อวินเป็นใครกันเหรอครับ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสำคัญกับพวกคุณทุกคนสินะ เห็นทำท่าตกใจกันซะทั้งบ้าน”
พี่ธีหันไปมองหน้าพ่อกับแม่แวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองผมอีกที
“เป็นเมียเก่าผมเองล่ะครับ”
อรจิราได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ เธอคงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเมียน้อยซะอย่างนั้น
“อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วคุณวินอยู่ที่ไหนล่ะครับตอนนี้” ผมยังคงยิ้มให้เขา แต่ในใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบๆ ทำไมที่ธีถึงได้บอกว่าผมเป็นเมีย ทั้งที่ความเป็นจริงผมแทบจะไม่เฉียดเข้าใกล้สถานะนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ผมขอไม่ตอบละกันนะครับ ผมว่าเรามาคุยธุระกันต่อดีกว่า”
“ได้เลยครับ เข้าเรื่องเลยนะครับ คือผมได้ยินข่าวว่าตอนนี้ธุรกิจของคุณ สถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ผู้ถือหุ้นเทขายหุ้นคืนให้คุณหมด ผมเลยอยากจะเสนอตัวเข้ามากอบกู้วิกฤติทางการเงินในครั้งนี้ครับ” ผมบอกความต้องการไป
“รู้สึกว่าคุณจะรู้ข้อมูลบริษัทผมดีจังเลยนะครับ ราวกับว่าคุณตั้งใจจะเข้ามาหาพวกผมก่อนอยู่แล้ว” พี่ธียังคงเป็นพี่ธี เขายังคงไม่วางใจผม
“เพราะผมกับคุณอรเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะครับ เห็นเพื่อนมีปัญหา ผมเลยอยากช่วยเหลือเพื่อน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“เพื่อนในบ่อน” พี่ธีเอ่ยประชดประชันภรรยา ได้ยินอย่างนั้นอรจิราก็หันขวับไปมองหน้าสามีด้วยความไม่พอใจ
“คุณอย่าทำให้เสียบรรยากาศได้ไหม” อรจิราทักท้วงสามี
“ใช่ครับเราเจอกันที่บ่อน มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนี่ครับ มีเงินทั้งทีก็เอาไปใช้ปรนเปรอความสุขให้กับตัวเอง แก้เบื่อ แกเซ็ง ชีวิตคนเรามันสั้นครับ อยากทำอะไรก็ควรรีบทำ ชีวิตมันไม่แน่ไม่นอน บางทีเราอยู่ที่บ้านตัวเองแท้ๆ อาจจะมีคนมาฆ่าเราถึงที่ก็เป็นไปได้” ผมร่ายยาว พลางนึกถึงเรื่องของยายจันทร์ที่โดนฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมในบ้านตัวเอง
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยสักหน่อย รู้สึกว่าคุณกับภรรยาผมจะสนิทกันมากจนเกินไปนะครับ” คงจะเริ่มระแวงเมียตัวเองแล้วสินะ อีกไม่นานหรอกคุณจะได้รู้ได้เห็นกับตาแน่นอน
“คุณชักจะเสียมารยาทแล้วนะคะธี”
“เสียมารยาทตรงไหน ผมแค่ถามทำไมคุณถึงได้เดือดเนื้อร้อนใจอย่างนี้ หรือมันมีอะไรจริงๆ” เขาตวาดแหวใส่หน้าภรรยาอย่างลืมตัว
“ตาธีอย่าอารมณ์ร้อนสิลูก ส่วนเธอออกไปกับฉัน ปล่อยให้ผู้ชายเขาคุยกัน ถ้าเธออยู่ด้วยคุยกันไม่รู้เรื่องแน่”
“แต่คุณแม่คะ”
“ไปดูแลลูกบ้าง ตานนท์ไม่สบายอยู่ข้างบนโน่น”
“ก็ได้ค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันขวับไปมองแม่บุญธรรมอย่างลืมตัว ตาหนูไม่สบายงั้นเหรอ มิน่าล่ะตั้งแต่มาถึงยังไม่เห็นหน้าเลย วันนี้คงไม่ได้เห็นหน้าตาหนูแล้วสินะ
“คุณอี้เฟยครับ” เสียงเข้มของพี่ธีเอ่ยเรียก ทำให้ผมหลุดจากภวังค์หันไปมองด้วยสีหน้าเหลอหลา
“ตกใจอะไรงั้นเหรอครับ หน้าซีดเชียว”
“เปล่าครับไม่มีอะไร”
“ผมต้องขอโทษเรื่องเมื่อครู่ด้วยนะครับ ผมคงหวงภรรยามากเกินไป”
“ผมไม่เคยโกรธใครอยู่แล้วครับ ยกเว้นถ้าเขาคนนั้นมาทำร้ายผมก่อน” ผมเอ่ยประชดประชันคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ผมก็เหมือนกันครับ” เขาจ้องมองมาที่ผมอย่างมีเลศนัย ทำไมผมถึงอ่านความรู้สึกนั้นไม่ออกนะ มันยากจริงๆ
“ผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ” ก่อนที่จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ ผมจึงพยายามดึงเข้าประเด็นที่ต้องการทันที
“ถ้าคุณอี้เฟยต้องการซื้อหุ้นจริงๆ ผมก็ยินดีขายให้ครับ แต่แค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ คุณจะไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายกับการบริหารงาน หน้าที่นั้นจะยังคงเป็นของผมเหมือนเดิม คุณแค่รอรับเงินปันผลประจำปีเท่านั้นเอง ถ้าคุณรับข้อตกลงได้ผมก็ยอมครับ” เขายังคงไม่ไว้ใจ จึงดักผมไว้ทุกทาง แต่คนอย่างผมไม่มีทางยอมแน่นอน
“คุณคิดดีแล้วเหรอที่จะขายหุ้นให้ผมแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ อย่าลืมนะว่าตอนนี้คุณกำลังแบกรับภาระไว้ตั้งมากมาย ไหนจะค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน เงินเดือนลูกน้อง ลูกค้าก็หนีหายไปหมด ไม่มีรายรับเข้า ถ้าไม่ได้รับเงินค่าหุ้นจากผมคุณจะยังไหวอยู่ไหม ขายให้ผมสี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์เถอะนะครับ อย่างน้อยคุณก็มีเงินสำรองมากขึ้น ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร ผมอยากช่วยเหลือคุณจริงๆนะ ถึงยังไงคุณก็เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเหมือนเดิมอยู่แล้วนี่ แต่ขอให้ผมเข้าไปช่วยคุณบริหารงานด้วยเท่านั้นเอง” ผมศึกษาข้อมูลมาก่อนล่วงหน้าจึงรู้ภูมิหลังของบริษัทนี้เป็นอย่างดี
“ผมบอกตรงๆ ว่าผมยังไม่เชื่อใจคุณ”
“ทำไมล่ะครับ หน้าผมมันเป็นคนขี้โกงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็เปล่า...แต่ผมรู้สึกว่าคุณไม่ได้ต้องการแค่ลงทุนอย่างเดียว”
“คุณคิดมากไปแล้วนะครับ ผมแค่ต้องการช่วยเหลือคุณเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย” ผมแค่นยิ้มให้กับความหวาดระแวงของเขา
“......”
พี่ธีนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพรูลมออกจากปากเบาๆ เหมือนได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว
“ว่าไงครับ”
“ตกลงผมจะขายหุ้นให้ตามจำนวนที่คุณร้องขอ และให้คุณเข้ามาบริหารงามร่วมกับผมได้ แต่ในฐานะที่ปรึกษาพิเศษก็แล้วกัน”
ก็แค่นี้ล่ะผมไม่ได้สนว่าจะได้ตำแหน่งสูงสุดของบริษัท แต่ผมแค่ต้องการเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เขาเพื่อจับตามองและหาทางจ้องทำลายเขาเท่านั้นเอง
“ไม่มีปัญหาครับผมพร้อมที่จะร่วมงานกับคุณทุกเมื่อ เพื่อทำให้ผลประกอบการไตรมาสนี้ดีขึ้นให้ได้”
ผมส่งยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ แต่ในดวงตาคมคู่นั้นกลับยังมีความคลางแคลงใจในตัวผมอยู่ แต่ก็ช่างเถอะเพราะนั่นมันคือจุดประสงค์ของผม ให้เขาอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตยิ่งดี