บทที่ ๕
“อะ ลุง ... ของฝาก” ชนกยิ้มแป้นก่อนจะวางของเล็กๆลงบนโต๊ะ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางหลังร้าน
ปรมินทร์หยิบอมยิ้มบนโต๊ะมาถือไว้ มองดูกระดาษห่อ ก่อนจะเอี้ยวตัวเข้าไปมองภายในครัวที่มีเสียงโวยวายเล็กน้อยลอดออกมา ภาพที่เห็นคือบุณฑทริกกับสาวิตรีกำลังแย่งกันเลือกอมยิ้มภายในห่อกัน มีชนกยืนยิ้มพลางคาดผ้ากันเปื้อนอยู่หน้าลอคเกอร์
“เฮ๊อะ” ชายหนุ่มแค่นเสียง แล้วกลับมานั่งตัวตรงอย่างเดิม แกะห่ออมยิ้มแล้วส่งด้านที่เป็นก้อนสีเหลืองอ่อนมีลายสีน้ำตาลเข้มคาดเป็นทางเข้าปาก คิดในใจว่าเดี๋ยวสักพักจะเข้าไปหยิบอมยิ้มจากห่อนั้นมาตุนไว้อีกสักหลายๆอัน
ช่วงเที่ยงร้าน P&B มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการกันมากพอสมควร พนักงานในร้านทุกคนมีงานเต็มมือเหมือนทุกๆวัน เหตุการณ์ในร้านยังคงเป็นปรกติ จนกระทั่ง
“นายนก” ปรมินทร์ส่งเสียงเรียก กวักมือให้เด็กหนุ่มเดินมาหาที่เคาเตอร์ “ทำไมไม่ใส่หมวก”
“อ๋อ” ชนกที่มีสีหน้าสงสัยยิ้มแล้วตอบ “มีสาวน้อยอยากได้อะ ผมทนรบเร้าไม่ไหวเลยให้ไป”
“สาวน้อย?” ปรมินทร์ขมวดคิ้ว ชนกพยักหน้าตอบรับแล้วยิ้มร่า “น่ารักมากสินะ ถึงได้ยอมให้ไปน่ะ แล้วนี่จะเอาหมวกที่ไหนใส่"
“เดี๋ยวผมไปเอาหมวกเชื้อรามาใส่ก่อนก็ได้” ชนกเบ้หน้า ย่นจมูก แล้วแมยิ้ม แววตาส่อแววขึ้เล่น “จริงๆน๊า สาวน้อยคนนั้นน่ารักจริงๆอะ”
“เฮ๊อะ” ปรมินทร์แค่นสียง แล้วหันไปกวาดสายตามองไปตามโต๊ะที่มีลูกค้านั่งอยู่ “ไหน ... น่ารักขนาดไหน”
แล้วปรมินทร์ก็มองเห็นเจ้ากราฟิลด์ยิ้มร่าอยู่บนศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อย อายุราวๆ ๔ ขวบที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เด็ก มือน้อยๆจับส่วนที่เป็นหางแมวแกว่งไปมา
“เป็นไง น่ารักช่ายม๊า” เสียงของชนกทำให้ปรมินทร์หันกลับมามองใบหน้าขึ้เล่นของเด็กหนุ่ม
ปรมินทร์ถอนหายใจ เปิดลิ้นชักแล้วหยิบหมวกสีเหลืองมีลายสีน้ำตาลสวมลงไปบนศีรษะของชนก
“ใส่นี่แล้วกัน ไหนดูดิ๊” พูดพลางขยับหมวกหน้าเจ้าเสือทิกเกอร์ให้เข้าที่ เสร็จแล้วก็กอดอก จุ๊ปากเบาๆ “ไม่ไหว ไม่ไหว ใส่แล้วดูเจ้าเล่ห์หนักยิ่งกว่าเดิม”
“นั่นดิ” ชนกยิ้มกว้าง “ใครจะใส่แล้วน่ารักเหมือนลุงล่ะ ขอบคุณนะครับ” พูดจบก็วิ่งปร๋อออกไปทำงานต่อ
“ไอ้เด็กบ้า” ปรมินทร์พูดเบาๆ เพราะไอ้คำว่า ‘ใส่แล้วน่ารัก’ นั่นแหละ วันแรกที่เขาใส่หมวกใบนั้น มีลูกค้าประจำบางคนพูดทักเขา ทำให้ชายหนุ่มถอดมันออก แล้วเก็บไว้ในลิ้นชักไม่ใส่มันอีกเลย
ตกบ่าย เจ้าการ์ฟิลด์กลับมายิ้มร่าอยู่บนเคาเตอร์ เพราะมารดาของเด็กหญิงตัวน้อยนำมาคืนให้ก่อนออกไปจากร้าน
“ลุงก็ใส่สิ” ชนกทำตาโต มุมปากมีรอยยิ้ม “คนเขาจะได้เห็นว่าลุงยิ้มมั่ง คนไรทำหน้ามุ่ยทั้งวัน”
“ไอ้เด็กบ้า” ปริมนทร์ส่งเสียงไม่ดังนักไล่หลังเด็กหนุ่ม ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทำงานต่อ
“เมื่อไหร่จะถอดหมวกออกซะที” ปรมินทร์อดพูดออกมาไม่ได้ ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารว่างตอนบ่ายอยู่
“ฮั่นแน่” ชนกยิ้มยียวน “อยากได้คืนละสิ ถ้างั้น ...” พูดแล้วก็ถอดหมวกรูปเสือทิกเกอร์ออก ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะสวมมันลงบนศีรษะของปรมินทร์
“เฮ้ย ไม่ต้องเลยไอ้เด็กบ้า เอาไปวางไว้บนเคาเตอร์โน่น” ปรมินทร์โวยวาย “แล้วพวกนายก็เลิกหัวเราะเยาะได้แล้ว”
“ไมได้หัวเราะเยาะนะคะ” สาวิตรีทำตาโต “หนูแค่เห็นพี่กับนายนกทะเลาะกันแล้วสนุกดี”
“นั่นสิ กับกับพี่ชายคนโตทะเลาะกับน้องชายคนเล็ก” บุณฑริกพูดพลางหัวเราะและหันมองปรมินทร์กับชนกสลับกันไปมา
“พี่ชายคนโตเหรอ” ชนกกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ เท้าคางแล้วยิ้มที่มุมปาก “ให้เป็นดีมั้ยน้อ”
“เฮอะ ... มีน้องอย่างนาย ได้ประสาทกินวันละหลายรอบ” ปรมินทร์เบ้หน้า แล้วหันไปทางบุณฑริก “แล้วเป็นไงมั่ง ตกลงว่าลูกค้าชอบวาฟเฟิลแบบไหน”
“จะนับเลยเหรอ” บุณฑริกถามกลับ
“งั้นผมไปหยิบกล่องคะแนนมาเลยนะ”
พูดจบชนกก็ลุกขึ้นวิ่งไปที่เคาเตอร์แล้วหยิบกระปุกเล็ก ๆ ๒ใบที่วางอยู่บนเคาเตอร์ ใบหนึ่งสีดำอีกใบหนึ่งสีขาว เป็นกระปุกที่ไม่มีฝาทั้งสองใบ แล้ววิ่งกลับมานั่งที่โต๊ะ
“ทำไมต้องวิ่งด้วยนะ แค่นี้เอง” ปรมินร์แกล้งทำหน้ามองผ่านกระจกไปนอกร้าน
“ไม่ว่าสักเรื่องจะได้มะ ขี้บ่นเป็นตาลุงเชียว” ชนกเบ้หน้า แต่ก็กลับมายิ้มอีก “ลืมไป เป็นตาลุงนี่ ต้องขี้บ่นเป็นธรรมดา เน๊อะ พี่สา”
“พี่เขาก็แบบนี้แหละจ๊ะ วันไหนไม่บ่นคงไม่สบายแน่” สาวิตรีหันไปสนับสนุน แล้วพากันหัวเราะคิกคัก
บุณฑริกรีบห้ามทัพก่อนการโต้เถียงจะยืดยาวออกไป แล้วแจกงานให้สาวิตรีและชนกช่วยกันนับเม็ดพลาสติกเม็ดกลมที่อยู่ในกระปุกทั้ง ๒ ใบ ผลออกมาปรากฎว่าจำนวนเม็ดพลาสติกในกระปุกทั้งสองมีจำนวนใกล้เคียงกัน
“ไหวมั๊ย” ปรมินทร์พูดออกมาสั้นๆ
“สบาย” บุณฑริกตอบพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ
“พี่ป๊อปถามว่า ถ้าต้องทำวาฟเฟิล ๒ แบบ พี่บัวจะทำไหวมั๊ย แล้วพี่บัวก็ตอบว่า แค่นี้ทำได้สบายมาก” สาวิตรีหันไปอธิบายให้ชนกที่ทำหน้างง ๆ ฟัง
“อ๋ออออออ ...” ชนกลากเสียงยาว “แต่น่าสงสัยนะ ผู้ชาย ๒ คน แค่มองตากันก็เข้าใจ นี่พี่ป๊อปกับพี่บัวเป็นแฟนกันเหรอ” ชนกเบิกตาโตสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“เฮ้ย!” ปรมินทร์และบุณฑริกอุทานออกมาพร้อมกัน
“น้องนกคิดได้ยังไงน่ะ” สาวิตรีพูดแล้วหัวเราะคิกคัก
“อ้าว ... ไม่ใช่เหรอ” ชนกทำสีหน้าเหมือนผิดหวัง
“ก็ไม่ใช่น่ะสิวะ ไอ้เด็กบ้า เอาอะไรคิดวะ” ปรมินทร์ตวาดเบาๆ ยกมือขึ้นคล้ายจะทุบเด็กหนุ่ม
“โหยลุง แค่นี้ต้องโมโหจนทำร้ายร่างกายกันเลยเหรอ” ชนกเด้งตัวออกจากเก้าอี้ พูดพลางหลบไปอยู่หลังเก้าอี้บุณฑริก “พี่บัวยังไม่เห็นว่าอะไรเลย”
“ใช่ ... ไม่ว่าหรอก แต่จะให้รางวัล” บุณฑริกพูดจบก็ตวัดมือเขกศีรษะเด็กหนุ่มเสียงดังโป๊ก
“โอ๊ย ... พี่บัวง่ะ ที่แท้ก็โหดเหมือนกัน” ชนกพูดพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะป้อยๆ
ปรมินทร์เห็นท่าทางของชนกแล้วก็ต้องส่ายหน้า อดยิ้มไม่ได้ เช่นเดียวกันกับสาวิตรี ที่หัวเราะจนตัวงอ
“ขอให้รางวัลไอ้เด็กบ้าอีกรางวัลก็แล้วกัน” ปรมินทร์พูดแล้วก็ปรี่เข้าหาชนก
“หว่าย ...”
ชนกร้องเสียงดังพลางวิ่งหนีไปรอบโต๊ะ ปรมินทร์ก็วิ่งไล่ เรียกเสียงหัวเราะและเสียงเชียร์จากหนุ่มสาวอีก ๒ คนที่นั่งอยู่ แล้วขณะที่ปรมินทร์จับตัวชนกได้นั่นเองเอง ...
“ปล่อยเด็กคนนั้นเดี๋ยวนี้นะ” เสียงห้าวๆดังขึ้นทางหน้าร้าน
เสียงนั้นทำให้ทุกคนพากันหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดทำงาน กางเกงสแลคสีดำ เสื้อเชิตสีฟ้าอ่อนแขนยาวติดกระดุมแขนเสื้อเรียบร้อย ผูกเนคไทสีน้ำเงินเข้ม มือข้างหนึ่งหิ้วกระเป๋าเอกสารสีดำ จ้องมองปรมินทร์ด้วยสายตาดุๆอยู่บริเวณหน้าเคาเตอร์