Ti Voglio {ฉันอยากมีนาย!}
shot.22 ภาพแรกที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาคือบานประตูกระดาษที่ถูกออกแบบด้วยแนวเส้นตารางรูปแบบเรียบง่าย เสื่อสานเก็บขอบรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้านั่นก็ดี บรรยากาศเงียบสงบของห้องโล่งกว้างที่ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้และแผ่นภาพลายอักษรพู่กันนั่นก็ด้วย สิ่งเหล่านั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสถานที่แห่งนี้ถูกออกแบบด้วยสไตล์ญี่ปุ่นเป็นแน่แท้
รัตติกรกระพริบตาเพื่อปรับแสง ก่อนจะมองสำรวจไปรอบตัวอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่พบก็คือร่างกายของเขาอ่อนแรงขนาดที่การพลิกตัวหันไปอีกด้านกลายเป็นสิ่งที่พรากเอากำลังของเขาออกไปแทบจะหมดทั้งตัว ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการนอนนิ่งอยู่กับที่เฉยๆแล้วพยายามเรียกกำลังวังชาของตนเองให้กลับมาได้มากที่สุด
ระหว่างนั้นหนุ่มชาวไทยก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบตัว ทั้งห้องเงียบสงัด แม้กระทั้งเสียงที่แว่วมาจากข้างนอกก็เป็นเสียงของลมที่พัดหวีดหวิวเพียงเบาๆเท่านั้น ยามที่สูดหายใจเข้าไป กลิ่นอายเย็นแบบแห้งๆก็หอมติดจมูกเขามาด้วย เหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจนเขาต้องสงสัย...
ที่นี่มีมนุษย์คนอื่นนอกจากเขาอยู่มั้ยนะ? หลังจากพยายามกำมือเข้าออกจนเริ่มมีแรง รัตติกรก็เลิกผ้าห่มผืนหนาออกจากตัว ชุดที่เขาใส่อยู่เป็นยูกาตะสีขาวลายเทาฟ้า ยิ่งชัดเจนเข้าไปอีกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่เลียนแบบการตกแต่งของชาวญี่ปุ่น ทว่าที่ๆเขาอยู่ก็คือแดนอาทิตอุทัยแห่งนั้นนั่นเอง
หนุ่มชาวไทยค่อยๆลากเท้าจนไปหยุดอยู่ที่ประตูเลื่อนกระดาษฝั่งหนึ่งของห้อง ลมเบาๆพัดผ่านรอยแยกของประตูเข้ามาบ่งบอกว่าทางนี้น่าจะเป็นทางออกไปของนอกของตัวบ้านมากกว่าการกลับเข้ามาข้างใน พอค่อยๆเลื่อนประตูเปิดออก สีขาวเป็นประกายของหิมะก็สะท้อนเข้าตาเขาทันควัน
เบื้องหน้าเป็นภาพของสวนแบบญี่ปุ่นกว้างขวาง ปุยหิมะอ่อนบางทับถมกันตามสุมทุมพุ่มไม้ ลานหิน และอ่างไม้ไผ่ที่ตอนนี้หยุดนิ่งเพราะน้ำที่คอยหยดลงมาเพื่อเปลี่ยนทิศทางของไม้ไผ่ลำน้อยได้กลายเป็นหยดน้ำที่จับตัวแข็ง ทุกสิ่งยังดูสดใหม่ เหมือนว่ายังไม่มีใครได้บุกรุกเข้ามาในสวนแห่งนี้ และหิมะเหล่านั้นก็เพิ่งหยุดตกได้ไม่นานเช่นกัน
เห็นดังนั้น คนที่ชอบอะไรเย็นๆเป็นพิเศษอย่างรัตติกรก็เลื่อนประตูห้องให้ปิดลง แล้วค่อยๆเดินเท้าเปล่าออกไปจากชานพื้นไม้ที่สร้างออกมาให้เจ้าของบ้านมานั่งชมสวนเล่นในวันที่อากาศดี ร่างเพรียวบางได้สร้างรอยเท้าแรกบนพรมสีขาวผืนใหญ่และรอยต่อๆไปตามทางที่เขาค่อยๆเดิน ลำคอที่แห้งผากตั้งแต่ตื่นมาถูกเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยหิมะที่เจ้าของร่างใช้มือช้อนขึ้นมาเลียกินเล่นเหมือนน้ำแข็งไส
รัตติกรสูดอากาศเย็นๆเข้าเต็มปอด มันหนาวก็จริง แต่ก็ทำให้เขาปลอดโปร่งและสดชื่นมากกว่าตอนที่เพิ่งตื่นมาอยู่มากโข หนุ่มชาวไทยเดินต่อไปยังสวนส่วนที่เป็นลานกว้างๆแล้วเอนตัวลงนอนกับพื้นหิมะที่เย็นเฉียบหว่าอ่อนนุ่ม เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าที่เขาเห็นเป็นสีเทาขมุกขมัว บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าอีกไม่นานหิมะอีกระรอกก็จะตกลงมาอีกครั้ง
เปลือกตาบางปิดลงอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มต้องการกลับไปครุ่นคิดถึงความฝันที่เป็นเรื่องจริงในอดีตของตนเอง ตอนนั้นโชคดีที่ถึงแม้จะความจำเสื่อม แต่แม่ของเขาก็ตามหาเขาจนเจอ แน่นอนว่าเพราะไม่มีใครอย่างรื้อฟื้นความทรงจำของเขาให้กลับมา ดังนั้นข่าวของเรื่องนี้จึงถูกปิดเงียบและในเวลาต่อมาก็ถูกทำลายหายไปในที่สุด
เพราะพรสวรรค์ที่ได้รับมากลับทำให้เขากลายเป็นเด็กที่“พิเศษ” ชีวิตหลังจากที่สูญเสียความทรงจำของรัตติกรไปจึงกลายการถูกพาเข้าชั้นเรียนของเด็กหัวกะทิ ตั้งแต่นั้นมารัตติกรก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเด็กธรรมดาได้อีกต่อไป เขาไม่มีเพื่อน ไม่ได้ออกไปเล่นในสนามเด็กเล่นเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างเช่นที่คนธรรมดาสักคนหนึ่งควรจะมี ในขณะที่จบปริญญาตั้งแต่อายุเพียงไม่กี่ปี รัตติกรก็ได้เจอแม่ของตนเองน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายในขณะที่อายุได้ยี่สิบปี เขาก็เสียแม่ของตนเองไปให้กับอุบัติเหตุทางรถยนต์
โลกทั้งใบจึงเหลือเพียงหนังสือที่รัตติกรวางตำแหน่งมันไว้ในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุดเท่านั้น...
เพิ่งมารู้เอาตอนนี้เองว่าสาเหตุที่ทำให้เขายึดติดกับหนังสือขนาดนั้นก็เป็นเพราะเหตุการณ์ลักพาตัวนี้ ตอนที่หนีความจริงแล้วจดจ่ออยู่แต่กับกระดาษโน๊ตบนพนังห้องทำให้สมองเขาจดจำว่าทางเดียวที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องเจ็บปวดกับความทรงจำที่โหดร้ายก็คือการให้เขายึดติดอยู่กับตัวหนังสือเหล่านั้น
พอไม่ได้อ่านหลายๆวัน มันถึงได้ออกอาการเอาเหมือนตอนที่เขาอยู่ที่คฤหาสน์ของลาร์เฟียร์ที่ปาเลอร์โม่นั่นเอง
“ตลกร้ายชะมัด หึ...”รัตติกรลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าที่เคยเห็นกลายเป็นสีเทาเข้มกว่าเดิม ครู่เดียวเกล็ดน้ำแข็งสีขาวก็เริ่มก่อตัวขึ้นในอากาศแล้วตกลงมาอย่างอ้อยอิ่ง สัมผัสเย็นเฉียบแตะต้องที่ใบหน้าอุ่นๆของเขา หิมะเกล็ดนั้นจึงกลายเป็นหยดน้ำแล้วค่อยๆกลิ้งไหลลงไปตามเส้นโค้งของใบหน้า...
ร่างเพรียวบางยกมือขึ้นแล้วคว้าไปในอากาศ กะจะคว้าจับหิมะเล่นคล้ายกับการจับแมลง ทว่าสิ่งที่ได้มาไว้ในกำมือกลับเป็นฝ่ามือใหญ่อันร้อนผ่าวที่คว้าจับมือเขาเอาไว้แทน...
ร้อน...จนอากาศเย็นๆที่อยู่รอบตัวสลายหายไปได้ในพริบตา...
“ลูน่า!!!” เฮือก!
รัตติกรสะดุ้งจนเผลอปล่อยสะบัดมือที่จับเอาไว้ออกไปแล้วหันไปมองตามเสียงตะโกนเรียกหาพระจันทร์ของใครบางคนที่ดังลั่นจนทำลายบรรยากาศสงบรอบตัวให้แตกกระจายไปในพริบตา
“จะตะโกนหาอะไรครับ?”
ลาร์เฟียร์ เวสเปอร์อยู่ในชุดสูทสีขาวสะอาดตายืนจังก้าอยู่เหนือร่างกายของเขา ดวงตาสีสนิมคมกริบจ้องเขม็งไปยังตัวการที่นอนทำหน้าตายกลางหิมะอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เรียกให้ปรอทอารมณ์ของดอนแห่งปาเลอร์โมให้พุ่งจนแทบอยากจะกระชากตัวบางๆนั่นมากอดรัดจนร้องไม่เป็นภาษาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป!
“คิดว่าเธอนอนป่วยมากี่วัน ฟื้นขึ้นมาถึงทำซ่าส์มานอนตากหิมะแบบนี้?”
“ไม่รู้ครับ ตอนหลับผมไม่ได้นับ”เหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติไปแล้วว่าทุกประโยคที่เขาคุยกับเจ้าพ่อมาเฟียนี่ต้องมีการกวนประสาทเกิดขึ้น
ลาร์เฟียร์ เวสเปอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ น่าแปลกที่เขาดีใจมากกว่าจะโมโห รัตติกรที่นอนหลับเงียบๆนั้นอยู่ด้วยแล้วสบายกว่าเห็นๆ ไม่นึกเลยว่าตัวเขาเองจะคิดถึงคำยียวนกวนประสาทนี่จนกระทั่งได้มาคุยกันอีกครั้งแบบนี้
ตอนที่เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วไม่เห็นรัตติกรนอนอยู่ที่เดิมนั้นเล่นเอาในอกวูบโหว่งจนเขาแปลกใจตัวเอง หากว่าตอนนั้นเขาไม่เหลือบไปเห็นบานประตูห้องอีกฝั่งที่ปิดไม่สนิทแล้วล่ะก็ ได้มีการบ้านแตกเพราะเขาหาเจ้าตัวดีนี่ไม่เจอแน่นอน!
ภาพที่เห็นจากบานประตูที่เปิดออกมานั้นช่างสวยงาม ยามเมื่อทั้งบรรยากาศที่ขาวสะอาดตาและร่างที่สวยงามอยู่ในองค์ประกอบเดียวกัน ร่างเพรียวที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นหิมะขาวทำเอาเขาใจหล่นวูบเมื่อคิดว่าเจ้าตัวเป็นอะไรไป จนกระทั่งมือเรียวสวยยกขึ้นคว้าจับหิมะเล่นเท่านั้นแหละ ลาร์เฟียร์ถึงรู้ว่าเขาเป็นห่วงคนตรงหน้าซะจนคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่!
ถ้าไม่ติดว่าความจริงอากาศตอนนี้ติดลบเข้าไปแล้วไม่รู้กี่องศา เขาได้สำเร็จโทษหมอนั่นเอาตรงนี้แน่ๆ!!
“กลับเข้าห้องเดี๋ยวนี้เลย!”ก่อนที่เขาจะเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีกจนรับตัวเองไม่ได้ ช่วยรีบๆกลับมาอยู่ในที่ๆเขาดูแลเจ้าราชสีห์จอมพยศตัวนี้ได้สักทีเถอะ!
รัตติกรยักคิ้วใส่เจ้าพ่อหนุ่ม แต่ก็ยอมลุกขึ้นจากพื้นตามที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่ใช่ว่าเขากลัวหรอกนะ แต่สถานภาพร่างกายเขาตอนนี้เอาชนะไอ้คนบ้าอำนาจนี่ไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ
“ข้างนอกอากาศออกจะดีนะครับ”
“เธอยังไม่ทันจะหายดีก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวให้มันมากนัก”เจ้าพ่อหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น
“ตัวก็ตัวผม ใช่ของคุณซะเมื่อไหร่”เจอหาเรื่องเข้ารัตติกรเลยหยุดอยู่กลางทางไม่ยอมเดินกลับเข้าไปในห้องตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก ปรอทอารมณ์ของคนเป็นห่วงแต่ไม่แสดงออกเลยพุ่งทะลุจุดเดือด เดินออกไปกระชากตัวบางๆนั่นมาแบกขึ้นหลังแล้วยกกลับเข้าห้องโดยไม่ฟังเสียงทัดทานและแรงปะทุษร้ายที่ไม่ต่างจากแมวข่วนแต่อย่างใด
“ออกไปทั้งชุดตัวบางๆแบบนั้น รองเท้าก็ไม่รู้จักใส่ เสื้อเปียกขนาดนี้เป็นหวัดขึ้นมามันเดือดร้อนคนอื่นเขาไม่เข้าใจรึไง?”บ่นไปก็ก้าวอาดๆไปจนถึงตู้เสื้อผ้าที่วางอยู่ริมห้อง เขาวางแมวดื้อที่ขู่ฟ่อๆลงกับพื้นแล้วจับเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที!
“เฮ้ย! คุณ! อย่ามาจับคนอื่นเขาแก้ผ้าง่ายๆได้มั้ยวะ! ปล่อยผม!!”รัตติกรดิ้นพล่านเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของดอนแห่งปาเลอร์โม่ แถบผ้าคาดเอวที่เรียกว่าโอบิถูกดึงจนเริ่มคลายออกจากกัน คอเสื้อที่ถูกรั้งเอาไว้ก็ร่นลงไปกองอยู่กับเอว ถ้าไม่ติดว่ายังมีผ้ารัดเอวไว้หลวมๆกับแขนเสื้อที่เขายังไม่ยอมถอดออก ป่านนี้ยูกาตะตัวเดียวที่ปกคลุมกายเขาเอาไว้ได้ลงไปอยู่ที่พื้นหมดแล้วแน่ๆ!
“เธออยู่นิ่งๆไม่เป็นรึไง?”
“เป็นจนกระทั่งเจอคุณนั่นแหละ! ผมทำของผมเองได้ไม่ต้องมายุ่ง!! ปล่อยนะ!”ด้วยแรงแขนที่ไม่ค่อยจะมี การดันไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อกันไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวก็เป็นอะไรที่กินแรงไปมหาศาล รัตติกรเค้นพลังจนหน้าดำหน้าแดง ลาร์เฟียร์ที่มองอยู่จึงทั้งขันทั้งฉิวเจ้าราชสีห์ที่ไม่รู้จักยอมลงตัวนี้
“ดื้อ”ว่าจบก็ก้มลงกัดที่จมูกโด่งรั้นเบาๆ ก่อนจะยอมปล่อยตัวคนดื้อที่ว่าให้เป็นอิสระตามที่เจ้าตัวต้องการ
รัตติกรชะงักคล้ายกับถูกสาป อิสระที่ได้รับกระทันหันแบบไม่นึกฝันทำให้เขาลืมหนีจากอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง สัมผัสจักจี้น้อยๆยังหลงเหลืออยู่ที่ปลายจมูก เจ้าตัวจึงรีบถูมันออกโดยแรงแล้วหันหลังกลับไปรื้อเสื้อจากตู้ที่ตั้งอยู่เบื้องหลัง
“ประสาทกลับรึไง?”รัตติกรบ่นกลับเบาๆแล้วหยิบชุดที่สีเรียบที่สุดออกมาใส่ ลาร์เฟียร์เลิกคิ้วใส่แผ่นหลังของรัตติกร นี่คิดว่าเขาไม่ได้ยินที่บ่นนั่นเลยเหรอ?
หนุ่มชาวไทยปลดเสื้อออกจากแขนของตน เพราะมีโอบิรัดไว้ที่เอว เสื้อทั้งตัวจึงไม่ตกลงไปกองกับพื้น รัตติกรใส่ยูกาตะชุดใหม่เข้าไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้แผ่นหลังเปล่าๆของตนเองถูกจับจ้องด้วยดวงตาสีสนิมคมๆของลาร์เฟียร์ที่นั่งมองเขาไม่ละสายตาเลยแม้แต่น้อย
ถอดเสื้อตัวเดิมออกเรียบร้อย เหลือแค่การผูกสายรัดเอวที่รัตติกรเพิ่งมาค้นพบความยุ่งยากเอาก็ตอนที่จะเอื้อมมือไปจับข้างหลังแล้วต้องสะดุ้งเฮือกเพราะแผลที่กำลังจะสมานตัวนั้นตึงจนไม่สามารถยืดแขนไปมากกว่านั้นได้
“ให้ช่วยมั้ย?”
“ไม่เป็นไรค... อ๊ะ! คุณ!!”มือหนาฉุดคนตัวเล็กกว่าจากด้านหลัง ผลที่ได้คือทั้งตัวของรัตติกรล้มลงไปกองอยู่บนตักของเจ้าพ่อหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิรอรับเป็นมั่นเหมาะ แขนแข็งแรงทั้งสองข้างกดเอวของร่างเพรียวไม่ให้ลุกขึ้นยืนแล้ววกมือไปหยิบโอบิที่เกาะเอวบางไว้อย่างหมิ่นเหม่มาถือไว้ในมือ
“ขอให้คนอื่นเขาช่วยบ้างมันไม่ได้เสียศักดิ์ศรีอะไรมากมายนักหรอก นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวฉันทำให้”
“เผด็จการ!”รัตติกรเอี้ยวตัวหันกลับไปด่าเจ้าพ่อหนุ่มเสียงเขียว แต่พอคำทั้งหมดหลุดออกจากปากเท่านั้นแหละถึงได้รู้ว่าใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงไม่ถึงคืบ!
“จะจัดการคนอย่างเธอได้มันก็ต้องวิธีนี้แหละ”รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แตะแต้มที่รูปหน้าคมสัน ก่อนที่เจ้าของร่างจะโน้มใบหน้าลงมาเล็กน้อยเพื่อครอบครองริมฝีปากสีแดงๆที่เผยอค้างเอาไว้อย่างที่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่ามันเชิญชวนให้เขาอยากจูบมากขนาดไหน
มือเล็กดันเขาออกทันควันเมื่อเจ้าตัวตั้งสติได้ รัตติกรหน้าขึ้นสีเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาอายนะ เขาโกรธต่างหาก!
“คุณ!!”
“หืม? ทำไม ไม่ชอบรึไง ตอนพาเธอกลับมาที่นี่เธอมีแต่บอกว่าเอาอีกๆทั้งนั้น นี่ฉันสนองให้นะ”
“ไม่ได้ขอเว้ย! ไม่ได้บอกด้วยว่าจะเอาอีกน่ะ!”หนุ่มชาวไทยแยกเขี้ยวใส่เจ้าพ่อหนุ่มที่ยิ้มยียวน
“ปากแข็งจริง ทั้งๆที่นุ่มออกขนาดนั้นแท้ๆ”
“คุณลาร์เฟียร์!!”
“ว่าไงลูน่า?”เจ้าพ่อหนุ่มยิ้มขำพร้อมกับขมวดปมโอบิในมือให้รัตติกรแล้วค่อยๆขยับให้มันย้ายมาอยู่ข้างหลังของเจ้าตัว ราชสีห์หนุ่มที่ยังไม่หายบาดเจ็บดีแยกเขี้ยวใส่เขาฟ่อๆไม่ต่างจากแมวไร้ทางสู้ เห็นแล้วลาร์เฟียร์ยิ่งอยากหาเรื่องแกล้งเข้าไปอีก
“เอ้า เสร็จแล้ว ทีนี้ก็กลับไปนอนพักซะ เดี๋ยวฉันให้เด็กเอายามาให้ ยังไม่หายดีแท้ๆดันออกไปตากหิมะ ไข้ขึ้นมาอีกฉันจะหัวเราะให้”
“ผมจะเป็นอะไรไปมันก็เรื่องของผม! จะตายมันก็ตัวผมเอง! คุณไม่ต้องมายุ่ง!!”รัตติกรผุดลุกขึ้นยืนทันควันเมื่อถูกปล่อยออกจากอ้อมแขนของเจ้าพ่อหนุ่ม หากแต่ก็เสียท่าล้มลงที่เก่าเพราะหน้ามืดจากการลุกกระทันหัน
แต่คราวนี้ไม่มีมือแกร่งมารับเขาเอาไว้ หนุ่มชาวไทยล้มลงบนตักของลาร์เฟียร์ก็จริง ทว่าเพราะประโยคเมื่อครู่ของรัตติกร ดอนแห่งปาเลอร์โมจึงไม่ยื่นมือออกมารับอีกฝ่ายเอาไว้อย่างที่ตั้งใจจะทำในตอนแรก...
ดวงตาสีน้ำตาลไหม้หรี่ลงเล็กน้อย รัตติกรไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องมารับตัวเองเอาไว้เหมือนตัวเอกในนิยาย แต่ท่าทางเฉยชาทั้งที่เมื่อครู่ได้หยิบยื่นความห่วงใยมาให้เขากลับเป็นอะไรที่เสียดแทงใจกว่าที่คิดไว้
เขาอยู่มาทั้งชีวิตโดยไม่เคยขอความห่วงใยจากใคร...
ดังนั้นถึงจู่ๆจะได้มาแล้วเสียไปมันก็ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม!
ร่างเพรียวลุกขึ้นจากอีกฝ่ายอีกครั้ง คราวนี้ช้าๆอย่างรู้สังขารตัวเองว่ายังไม่พร้อม ลาร์เฟียร์มองคนป่วยที่ไม่ยอมลงตรงหน้าแล้วได้แต่โมโหในใจ
เขาไม่เคยห่วงใครขนาดนี้...ไม่สิ เขาไม่เคยห่วงว่าของเล่นของเขาจะเสียหายเท่าของเล่นชิ้นนี้...
เจ้าของเล่นที่ไม่รักตัวกลัวตาย...ทั้งๆที่เขาอยากจะทนุถนอมมันเอาไว้ให้อยู่ข้างตัวแบบนี้ไปอีกหน่อย...
น่า...หงุดหงิด!!
เจ้าพ่อหนุ่มมองของเล่นตัวที่ว่าซึ่งตอนนี้ยังคงยืนหลับตานิ่งๆอยู่กับที่ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคว้าร่างของคนป่วยไม่รู้จักเจียมตัว ก่อนจะพาร่างนั้นกลับไปนอนที่ฟูกหนานุ่มกลางห้องแล้วตวัดผ้านวมห่มคลุมร่างที่พยายามจะดิ้นหนีนั่นให้กลับไปนอนนิ่งๆแต่โดยดี
มือหนายึดปลายผ้านวมทั้งสองด้านกดลงกับพื้น ส่งผลให้แนวผ้าที่ตึงรั้งร่างของรัตติกรเอาไว้ให้หยุดอยู่กับที่ ริมฝีปากหนาที่ร้อนระอุโน้มลงกลืนกินกลีบปากบางเย็นชื้นเป็นเชิงบังคับ ปลายลิ้นสอดใส่เข้าไปในโพรงปากหวานฉ่ำของอีกฝ่ายแล้วเร่งเร้าจนกระทั่งร่างข้างใต้หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะดิ้นอีกต่อไป
“อื้อ!”เจ้าพ่อหนุ่มเร่งจังหวะทิ้งท้ายถึงยอมปล่อยให้รัตติกรได้อิสระคืนดังเดิม ใบหน้าสวยได้รูปขึ้นสีแดงสวยอย่างที่เขาชอบ ร่างเพรียวบางหอบเล็กน้อยแต่ยังคงใช้สายตาที่พยศเอาเรื่องนั่นมองเขาอย่างอาฆาต
ไม่ยอมลงเลยจริงๆ...“รัตติกร...ชีวิตที่เธอไม่รักนั่นน่ะ ถ้าไม่ต้องการก็เอามาให้ฉันซะ...”
ลาร์เฟียร์ เวสเปอร์ก้มลงกระซิบที่ริมหูของร่างที่อยู่เบื้องล่าง เขากัดมันเบาๆและรับรู้ได้ถึงร่างกายที่กระตุกสั่นเล็กน้อย...
มือหนาเลื่อนขึ้นไปวางแนบอกซ้ายของอีกฝ่าย รับรู้ถึงหัวใจดวงหนึ่งที่เต้นรัวเร็วอยู่ภายใต้เนื้อหนังที่สวยงาม...
“ทั้งชีวิต ทั้งร่างกาย หรือแม้กระทั่งหัวใจดวงเล็กๆนี่ก็ตาม...”น้ำหนักมือกดลงไปเล็กน้อยเพื่อย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าต้องเป็นหัวใจดวงไหน...
ดวงตาสีสนิมที่มองสบฉายแววกร้าวแกร่งอย่างที่เจ้าตัวชอบใช้ แล้วริมฝีปากหนาที่ชอบพูดชอบทำแต่อะไรร้ายๆนั่นก็พูดประโยคสุดท้ายออกมา...
“เอามาให้ฉันทั้งหมดนี่...เดี๋ยวจะดูแลเอง!”__________________________________________________
ฮิ้ว ป๋าสวีททททท 555
ป๋าเขาสวีทได้เท่านี้ล่ะครับ จะฟินกันแก้คิดถึงได้มั้ยก็แล้วแต่นักอ่านทุกคนนะครับ ฮ่าๆ
เห็นผมลงวันติดกันอย่าแปลกใจ ประเทศไทยหิมะไม่ได้ตกฮะ
เรื่องของเรื่องคือช่วงนี้มันก็ใกล้จะกำหนดส่ง...
เรื่องของเรื่องก็เลยกลายเป็นว่าผมต้องเข้าโหมดเก็บตัวเพื่อปั่นงานหลังจากหนีไปเที่ยว(ไปเรียนๆ)ที่ญี่ปุ่นเดือนนึงเต็มๆ(ปกติก็อัพเดือนละตอน แง่ว)
ครับ ช่วงนี้เจอกันบ่อยแน่นอนฮะ
ปล.ขอบอกว่าถึงจะใกล้กำหนดส่ง แต่เรื่องที่ลงอยู่ยังไม่ใกล้จบนะครับ //กระอักเลือด
ว่าแล้วก็ลาไปนอน ประเทศไทยร้อนจริงน้อ
เจอกันในเร็ววันคร้าบ
Namioto Yo