Ti Voglio {ฉันอยากมีนาย!}
shot.21 รัตติกรรู้สึกเหมือนกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในกระแสน้ำสีดำสนิทที่อุ่นจัดจนไม่สบายตัวและเข้มข้นจนทำให้เขาอึดอัด มันทิ้งน้ำหนักจนถ่วงเขาลงไปลึกเรื่อยๆ ทว่ามันจะเป็นการลึกลงไปหรือลอยไปทิศทางอื่น รัตติกรก็ไม่แน่ใจนัก เพราะสีดำที่รายล้อมรอบตัวอยู่นั้นมืดสนิทไปหมดทุกส่วนจนไม่สามารถแยกได้ว่าทางไหนเป็นบนหรือล่าง
เสียงบางอย่างอื้ออึงอยู่ในหู คล้ายกับตอนที่จุ่มศีรษะลงในอ่างน้ำแล้วพยายามจะฟังเสียงต่างๆแต่ไม่ได้ยินอะไรเป็นเรื่องเป็นราว
เอี๊ยด... อ๊าด... เสียงอะไร?
เอี๊ยด...อ๊าด... “ม..า...กับ” เอี๊ยด... อ๊าด... “ช่วย...” รัตติกรหันซ้ายหันขวา ทว่าสิ่งที่มองเห็นยังคนเป็นสีดำที่ล้ำลึกไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อพยายามจะจับว่าเสียงเหล่านั้นดังมาจากทางไหนก็ยิ่งต้องแปลกใจ
มันดังอยู่ในหัวของเขาเอง... ฟึ่บ!!!
แรงดูดกระทันหันอย่างมหาศาลเกิดขึ้นทันทีอย่างฉับพลันจนเขาไม่ทันตั้งตัว สีดำที่ปกคลุมรอบกายค่อยๆถูกแต่งแต้มจนกลายเป็นภาพบางอย่างขึ้นมา เสียงเอี๊ยดอ๊าดจนแสบแก้วหูนั้นดังขึ้นเรื่อยๆคล้ายกับทุกสิ่งถูกเร่งจังหวะให้ผ่านไปเร็วขึ้นไม่ต่างจากการกดรีเหตุการณ์ไปข้างหน้าแม้แต่น้อย
รัตติกรหอบหายใจพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเองเพื่อหวังว่ามันจะช่วยอะไรบ้างแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี แต่เสียงเสียดสีเหล่านั้นมันดังอยู่ข้างในหัวของเขาไม่ใช่ภายนอก ดังนั้นความทรมาณที่เกิดขึ้นจึงไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
ทั้งความเร็วและเสียงที่แสบแก้วหูถูกเร่งระดับขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มขดตัวลงแล้วกอดจิกหัวเข่าเอาไว้แน่น เพราะทั่วทั้งความมืดมิดนี้สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้ว่ามีอยู่จริงก็คือร่างของเขาเองเท่านั้น...
วี้ดดดดดดดดดดดดด!! ฟึ่บ!
เหมือนเร่งความเร็วไปที่จุดสูงสุดแล้วจู่ๆก็ถูกถอดปลั๊กออกไปดื้อๆ ทุกสิ่งหยุดชะงักจนความเงียบที่ไม่มีสาเหตุนี้น่ากลัวกว่าเสียงที่เคยร้องดังในตอนแรกเสียอีก มันเหมือนเขาหูหนวกกระทันหันจนรัตติกรไม่กล้าแม้แต่ละลืมตาขึ้นมามองสิ่งต่างๆรอบตัว
เอี๊ยด...อ๊าด...
เสียงนั้นกลับมาอีกแล้ว?
แสงอ่อนๆส่องลอดผ่านเปลือกตาบาง รัตติกรเหมือนเห็นเส้นเลือดสีแดงที่สานตัวไปมาคล้ายกับกิ่งไม้ที่แตกก้านใบ เขาค่อยๆกระพริบตาขึ้นช้าๆ และพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง...
ที่ไหน?
หนุ่มชาวไทยรู้สึกว่าตัวเองลุกขึ้น แม้สมองของเขาจะไม่ได้ออกคำสั่งว่าอยากจะลุกก็ตาม สิ่งของต่างๆที่มองเห็นรอบตัวดูสูงใหญ่ไปหมด แม้แต่ประตูบานที่อยู่ข้างหน้าเขาก็ต้องเขย่งตัวแล้วใช้มือเล็กๆคว้าลูกบิดที่อยู่สูงเหนือหัวเอาไว้...
เขาเตี้ยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? “คุณแม่ น้องกรออกไปเล่นชิงช้าที่สนามน้า”รัตติกรได้ยินเสียงเล็กๆออดอ้อนดังออกมาจากปากของตนเอง ก่อนที่ภาพเบื้องหลังบานประตูจะปรากฏเป็นหญิงวัยกลางคนหน้าตาเรียบเฉยคนหนึ่งที่นั่งทำบางอย่างกับเอกสารซึ่งวางกระจายอยู่เต็มโต๊ะกินข้าว
เธอคนนั้นเหลือบมองเขาแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไข้หายแล้วเหรอน้องกร?”
“หายแย้ว น้องกรฟิตเปรี๊ยะ”ว่าจบไอ้เจ้าน้องกรก็ทำท่าเบ่งกล้ามโชว์หม่าม้าคนที่ว่า จะไม่ว่าอะไรเลยถ้ารัตติกรไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนทำท่าทางประกอบนั่น
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา(วะ)!?
มือใหญ่ที่ติดจะเย็นเล็กน้อยทว่าก็นุ่มนิ่มเอื้อมมาจับหน้าผากของเขาอย่างคนที่ต้องการจะวัดไข้ รัตติกรคิดว่าตัวเองกำลังทำตาแป๋วส่งให้หญิงสาวคนนั้นอยู่
หน้าตาของเธอดูคุ้นเคย...เหมือนเคยเห็นมาแล้วจากที่ไหนสักแห่งในอดีตที่รางเลือน...
สัมผัสและน้ำหนักของฝ่ามือที่วางไว้เหนือหัวนั้นชวนให้คิดถึงมากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก...
“แล้วรีบกลับนะลูก คืนนี้แม่ไปทำงาน น้องกรไปนอนกับป้าดานะครับ”
“คับผ้ม”เจ้าน้องกรตะเบ๊ะอย่างทหารกล้าแล้วยืนตัวตรงแน่ว จะไม่แปลกเลยท่าเขาจะไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำท่านั้นตามไปด้วย
รัตติกรใช้สายตาของน้องกรคนนั้นมองหญิงสาวที่ยกเอกสารในมือขึ้นมาอ่านอีกครั้ง เขาพยายามขุดลึกเข้าไปในความทรงจำของตนเองว่าเคยเห็นในหน้านี้ที่ไหนกันแน่
ร่างของเด็กน้อยเดินออกมาจากห้องที่แม่ของเขาอยู่ ลักษณะของที่นี่เหมือนเป็นแฟลตขนาดเล็กที่มีเพียงห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องนั่งเล่นอีกหนึ่ง ประตูทางเข้าออกหน้าสุดมีกระจกบานสูงที่แม่ของเด็กคนนี้คงจะใช้ไว้สำรวจตัวเองอีกที่ก่อนจะออกไปข้างนอก ที่นั่นเองรัตติกรถึงได้เห็นหน้าค่าตาของเจ้าเด็กนี่เป็นครั้งแรก
ร่างเล็กที่ติดจะผอมบางไปสักหน่อยนั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดสีแดงเก่าๆและกางเกงขาสั้นสีครีม ผมสีดำตัดสั้นเสริมด้วยหน้าม้าปรกคิ้ว ตากลมโตสีน้ำตาลไหม้ใสแป๋วนั่นจึงถูกขับให้โดดเด่นขึ้นมา
เขาเคยเห็นเด็กคนนี้ที่ไหนมาก่อน...
ผู้คนที่คุ้นเคย ทุกสถานที่ล้วนคุ้นตา เขารู้แม้กระทั่งว่าถ้าเปิดประตูทางเข้านั้นออกไปแล้วจะต้องเจอกับอ่างปลาหางนกยูงที่เต็มไปด้วยสาหร่ายสีเขียวๆ
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพราะที่แห่งนี้...คือบ้านของเขาบ้านที่เขาอาศัยอยู่กับแม่ตั้งแต่ที่เขายังอายุได้แค่สามสี่ขวบ...
พอนึกขึ้นได้ สิ่งที่รัตติกรอยากทำมากที่สุดคือหันกลับเข้าไปในบ้านแล้วมองหน้าหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง กลับไปมองใบหน้าที่ลืมไปแล้วจนกระทั่งได้มาเห็นอีกครั้ง กลับไปฟังเสียงที่ไม่ได้ยินมานานจนได้กลับมาฟังอีกครา
เพิ่งรู้เอาตอนนี้ ว่าคิดถึงมากขนาดไหน...
ความโดดเดี่ยวที่อยู่กับมันมานานเกินไปทำให้เขาชินชากับการไม่มีใคร...
ทำไม...ถึงเพิ่งมานึกออกได้ตอนนี้กันนะ?ร่างเล็กของเขาวิ่งออกมาจากบ้านด้วยอาการเริงร่า ขาสั้นๆสองข้างก้าวลงจากบันไดอย่างทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะต้องคอยจับราวไว้เพื่อยืดขาลงไปแตะกับบันไดอีกขั้นให้ได้ก่อนด้วยเพราะส่วนสูงที่ไม่อำนวย โชคดีที่ห้องพักของเขาอยู่ที่ชั้นสอง ดังนั้นจึงไม่ต้องเหนื่อยกับการลงบันไดมากมายนัก
ข้างหน้าแฟลตเป็นสวนขนาดเล็กที่มีชิงช้าสองตัว กระดานลื่นเก่าๆอีกหนึ่งอัน นอกจากนั้นก็เป็นต้นไม้สูงกับม้าหินอ่อนที่เตรียมไว้ให้ชาวแฟลตได้ใช้เวลาอยากมานั่งเล่น ทว่าเวลาตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแก่ๆ แดดยังร้อนเกินกว่าจะมีใครออกมาข้างนอกห้อง ดังนั้นลานแห่งนี้จึงเงียบเหงา มีเพียงเสียงรถยนต์วิ่งตัดผ่านไปมาที่ถนนใหญ่ข้างหน้าแค่เพียงประปราย
รัตติกรตอนเด็กเดินเข้าไปจับจองชิงช้าหนึ่งในสองตัวแล้วเริ่มแกว่งมันเบาๆ เขาสังเกตุปลายเท้าของตนเองที่เตะพื้นเพื่อจะส่งตัวเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
เอี๊ยด...อ๊าด... เอี๊ยด...อ๊าด...ฉับพลัน อยู่ๆมือใหญ่ที่แข็งราวกับคีมเหล็กก็เข้ามารวบเอวเขาเอาไว้ ร่างเล็กๆของรัตติกรลอยออกจากชิงช้าตัวจ้อยที่แกว่งช้าลงเพราะไม่มีคนเล่นคอยส่งแรงผลักให้ ในตอนนั้นเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยร้องไห้งอแงหรือส่งเสียงดังก่อความรำคาญ ปฏิกิริยาตอบสนองตอนนั้นของเขาจึงเป็นแค่การเบิกตากว้างอ้าปากหวอแต่ไม่มีเสียงร้องใดๆออกมา
เจ้าของแขนที่แข็งแรงคู่นั้นรีบวิ่งเข้าไปในรถตู้สีขาวติดฟิล์มสีทึบ เขาเลื่อนประตูปิดอย่างรวดเร็วแล้วส่งรัตติกรให้หญิงสาวอีกคนที่ถือผ้าสีขาวผืนบางเอาไว้คอยท่า
แล้วรัตติกรก็พบว่าเขาหลับไปอีกครั้งหนึ่ง...
จากนั้นเหตุการณ์ก็วิ่งผ่านไปคล้ายกับการกดรีเทปอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที เขาก็พบว่าตนเองนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องปิดตายที่ก่อด้วยอิฐเก่าๆ บนผนังแต่ละด้านเต็มไปด้วยกระดาษโน๊ตที่ปรากฏอักษรทั้งภาษาไทยและอังกฤษไว้เต็มไปหมด อากาศเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศมีกลิ่นของสารเคมีเจือปนอยู่เล็กน้อยคือสิ่งที่ทำให้เขาและผู้ร่วมห้องคนอื่นๆยังมีอากาศไว้หายใจอยู่ได้
ในห้องนี้เคยมีสมาชิกอยู่หกคนรวมรัตติกรเข้าไปด้วย แบ่งออกเป็นหญิงสามชายสาม คู่ที่โตสุดอายุแปดปี รองลงมาคือหกปี และสุดท้ายคือสี่ปีซึ่งเป็นอายุของรัตติกรในตอนนั้น ตอนนี้เด็กสาวและเด็กชายที่โตที่สุดถูกพาออกไปจากห้อง ดังนั้นจึงเหลือเด็กเพียงแค่สี่คนอยู่ในห้องแห่งนี้เท่านั้น
รัตติกรไม่เข้าใจว่าตัวเขามาทำอะไรที่นี่?
ชายหนุ่มแน่ใจว่าตั้งแต่จำความได้ เขาไม่มีความทรงจำของที่นี่อยู่ในหัวแม้แต่น้อย...
เด็กแต่ละคนมองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาทำได้แค่เพียงรออะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นเท่านั้น...
แล้วประตูไม้เพียงบานเดียวในห้องก็เปิดออกมา...
พร้อมกับร่างของเด็กชายหญิงสองคนที่อาบไปด้วยน้ำสีแดงคล้ำส่งกลิ่นคาวคลุ้ง...
ศีรษะเล็กๆนั้นใหญ่ขึ้นเล็กน้อยจนดูผิดรูป เส้นเลือดตามร่างกายโป่งพองจนเห็นเป็นสายนูนขึ้นมาทั้งตัว ตรงไหนที่พองจนเกินกว่าที่จะขยายตัวได้ก็แตกออกจนผิวบริเวณนั้นกลายเป็นสีม่วงแดงเพราะเลือดที่คั่งอยู่ข้างใน...
รัตติกรได้ยินเสียงกรีดร้อง...
เห็นคนในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาดูแล้วจดบันทึกอะไรบางอย่าง...
เห็นเด็กอีกสองคนถูกพาตัวไป...
แล้วเขาก็เข้าใจ...ว่าเขาได้เห็นคนตาย...ความตายทำให้รัตติกรในตอนนั้นหวาดกลัวที่สุดในชีวิต เขาน้ำตาไหล ร้องไห้ และกรีดร้องอย่างที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน ร้องจนกระทั่งลำคอแหบแห้ง และแสบตาเกินกว่าที่จะเค้นอะไรออกมาได้...
เด็กชายมองตรงไปยังผนังห้องที่ละลานตาไปด้วยกระดาษโน๊ตกลายร้อยแผ่น...
เขาค่อยๆเปลี่ยนตัวเองให้หลีกหนีจากความจริงอันโหดร้าย ด้วยผนังห้องที่เต็มไปด้วยกระดาษโน๊ตซึ่งบันทึกข้อความเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของใครคนหนึ่ง รัตติกรไม่รู้ว่าคำเหล่านั้นอ่านว่าอะไร เขาทำได้แค่จดจ่ออยู่กับตัวอักษรแต่ละตัว ตีความมันด้วยสัญชาตญาณ ปลดปล่อยความนึกคิดทุกอย่างให้ลอยละล่องไปกับความฝัน ลืมสิ้นซึ่งเสียงกรีดร้องของเด็กคนต่อๆมา...
แต่แล้ว มันก็ถูกทำลายลงด้วยเงาของคนในชุดสีขาวที่ก้าวมายืนอยู่ข้างหน้าเขาในที่สุด...
รัตติกรกลายเป็นเด็กคนสุดท้ายที่คนเหล่านั้นเหลืออยู่....
เด็กชายถูกพาตัวไป เบื้องหลังประตูไม้บานเก่าคือทางเดินมืดมิดที่นำไปสู่ห้องทดลองที่ทันสมัย คนในชุดกาวน์หลายสิบคนรีบมารับตัวเขาไปเพื่อทำการเก็บข้อมูล ร่างกายเล็กๆที่ไร้การต่อต้านถูกจับลงนอนกับเตียงอลูมิเนียมเย็นเฉียบ สายไฟระโยงระยางเพื่อวัดค่าต่างๆในการทดลองถูกนำมาติดตั้งอย่างรวดเร็ว
ชายคนหนึ่งถือเข็มฉีดยาอยู่ในมือ ส่วนปลายเข็มและตัวกดทำจากอลูมีเนียมสีเงินแวววาว ตัวหลอดแก้วบรรจุของเหลวสีฟ้าอ่อนไว้ภายใน...
สีฟ้าสวย...ที่ในเวลาต่อมาทำให้เขาเจ็บปวดเหลือแสน...
รัตติกรถูกจับฉีดยาตัวใหม่ที่ปรับสูตรไปเรื่อยๆเมื่อใช้กับเด็กคนก่อนหน้าไม่ได้ผล ยามแรกที่มันแสดงผลลัพธ์ออกมา เขาเจ็บปวดมากเกินกว่าที่เด็กสี่ขวบคนหนึ่งจะทนได้ แม้เป็นผู้ใหญ่ก็อาจขาดใจตายได้ง่ายๆด้วยซ้ำไป
อาการแบบเดียวกับเด็กคนก่อนหน้านี้เริ่มเกิดกับเขา รัตติกรรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เดือดพล่านอยู่ในร่างกาย สมองเหมือนกับจะขยายตัวแล้วหดลงสลับกันไปเพื่อให้พอดีกับศีรษะของเขา หยดเลือดค่อยๆไหลทะลักออกจากร่างกายจนเป็นกลายเป็นแอ่ง เวลาเหล่านั้นดำเนินอยู่นาน บางทีอยู่ๆก็สงบนิ่งไปเหมือนให้ตายใจแล้วเร่งระดับขึ้นใหม่จนกรีดร้องแทบสิ้นแรง การเฝ้าสังเกตุผ่านไปนานจนเหล่าคนในชุดกาวน์ที่จับจ้องเขาดิ้นทุรนทุรายที่อยู่รอบๆส่ายหัวและถอนหายใจว่ายาตัวนี้ไม่ได้ผล
พวกเขาสรุปว่ารัตติกรกำลังจะตายไม่ต่างจากเด็กทดลองคนที่แล้วมา…
สายต่างๆถูกถอดออกไป กลุ่มคนในชุดกาวน์สีขาวเก็บข้าวของที่จำเป็นเพื่อออกจากห้องทดลองแห่งนี้ พวกเขามีตัวทดลองจากประเทศอื่นรออยู่ การที่เด็กในประเทศแถบเอเชียไม่สามารถทำให้ยาใช้การได้ต่อไปก็อาจต้องไปลองกับชาติพันธ์อื่นดู สิ่งที่พวกเขาคิดถึงคือการทดลองและวิจัยเท่านั้น
ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง...
ตอนนั้นเองที่มีคนบางกลุ่มบุกเข้ามา เสียงสัญญาณเตือนภัยร้องลั่นเปลี่ยนให้ห้องทดลองสีขาวสว่างอาบไล้ด้วยสัญญาณไฟสีแดงแลดูน่าหวาดผวา คนในชุดกาวน์วิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อหาทางออกไปจากห้องวิจัยนรกแห่งนี้ ทว่าชีวิตที่ทำแค่เพียงวิจัยและทดลองนั้นไม่เคยได้ตระหนักถึงวันที่ตนจะต้องถูกเอาชีวิตบางมาก่อน มัชจุราชที่ย่างกรายเข้ามาหาทันควันจึงกวาดล้างเอาวิญญาณของพวกเขาไปได้อย่างง่ายดาย
กลุ่มคนที่บุกเข้ามาทีหลังนั้นทำลายห้องทดลองจนพังพินาศ ทั้งกลุ่มคนในชุดกาวน์รวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องทุกคนถูกฆ่าทิ้งไม่ต่างจากที่เขาเคยทำกับผู้อื่น ข้อมูลการทดลองที่ผ่านมาทั้งหมดถูกทำลายให้ลบเลือนหายไปอย่างที่ไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้อีก
สิ่งเดียวที่แปลกไปคือคนกลุ่มนั้นกลับรัตติกรทิ้งไว้ที่นั่น ท่ามกลางซากศพและห้องทดลองที่พังยับ อาจจะเป็นการชะล่าใจที่คิดว่าเด็กชายได้ตายไปแล้วก็เป็นได้ พวกเขาแค่เพียงเข้ามาทำลาย งานเสร็จแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็วไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยใดๆเอาไว้
เหตุการณ์ที่เหลือจากนั้นกลายเป็นภาพรางๆที่ขุ่นมัว
รัตติกรจำได้แค่เพียงเขานอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น จวบจนกระทั่งมีคนแจ้งตำรวจ เจ้าหน้าที่ได้เข้าสำรวจและพบว่ายังมีคนรอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียว
แค่เพียงเด็กชายที่นอนจมกองเลือดอยู่บนเตียงเหล็กสีสะอาดตาเท่านั้น...
รัตติกรถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ได้แพทย์ที่มีฝีมือช่วยกันยื้อชีวิตเขาเอาไว้ได้ แต่ทว่าผลของการที่สภาพจิตใจถูกทำร้ายอย่างรุนแรง เสริมไปด้วยยาบางอย่างที่มีผลต่อสมองโดยตรงทำให้รัตติกรสูญเสียความทรงจำไปในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ตำรวจจึงไม่สามารถหาพยานหลักฐานใดๆได้ ห้องทดลองแห่งนั้นถูกทำลายยับเยินเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเชื่อมโยงไปถึงผู้บ่งการ และเพราะรัตติกรยังไม่บรรลุนิติภาวะ เรื่องนี้กลายเป็นแค่เพียงข่าวกรอบเล็กๆในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครรู้ว่าเด็กชายที่รอดชีวิตคือใครเพราะตามกฏหมายแล้วต้องปกปิดเป็นความลับ ทั้งทางโทรทัศน์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนักเพราะกำลังเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากกว่า
เป็นเพียงกระแสเล็กๆที่ไม่นานก็ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา แม้จะเป็นทั้งชีวิตของคนๆหนึ่งก็ตาม...
เรื่องนี้จบลงอย่างเงียบเฉียบ แต่ไม่มีใครได้รู้เลย ว่าเพราะผลของยาที่ถูกบังคับฉีดเข้าไปนั้นทำให้รัตติกรกลายเป็นเด็กที่มีสมองด้านการจดจำสมบูรณ์แบบเหนือมนุษย์ทั่วไป นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้เขาสามารถจดจำหนังสือทุกเล่ม และเข้าใจภาษาต่างๆได้จนแตกฉาน หากแต่เพราะสมองจดจำได้ถึงความทรมานจึงได้ลบเลือนความทรงจำที่ผ่านมาของรัตติกรไปจนหมดสิ้น...
ราวกับโชคชะตาเล่นตลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
เขาความจำเสื่อม และได้สมองที่สามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของตอบแทน....________________________________________________
หายไปอย่างนานและกลับมาอย่างเมาๆ
สวัสดีครับนักอ่านทุกคน
คือตอนนี้ดึก(เช้า)มากแล้วและผมเมาอากาศเปลี่ยน ตอนนี้เบลอจัดเข้าขั้นครับ
(เดือนมีนาผมไปเรียนที่ญี่ปุ่นมาครับ เพิ่งกลับมาแล้วก็ต่องานหนังสือนิดนึงแล้วเพิ่งได้กลับมาขอนแก่นเมื่อวานนี้ อากาศเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนหวัดจะกินอีกรอบ โฮรก
)
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อฉากป๋าสวีทฮะ (หรือลงเลยดีง่ะ แต่ห้าสิบเปอร์นะฮะ อันที่จริงกะเอาไว้ในตอนเดียวกันแต่ตอนนี้ลากยาวอีกแล้ว แฮ่)
กลัวคนอ่านจิตตก(เพราะตอนแต่งก็ตกเอง) ตอนหน้าเลยเซอร์วิสซะหวานเว่อร์เลย เอาเป็นว่า ผมว่าทุกคนได้อ่านตอนนี้ก็พรุ่งนี้แหละครับ รอค่ำๆไปอีกหน่อยผมก็น่าจะลงอีกตอนแล้ว
เอาแบบเต็มๆดีกว่าเนอะ
แล้วเจอกันนะครับ คิดถึงน้า
Namioto Yo