ตอนที่ 9
เปิดใจ
ริวพากีรติมาบ้านของเขาซึ่งตั้งอยู่ในซอยสอง กีรติเหลือบมองสวนหน้าบ้านของอีกฝ่ายซึ่งเป็นสวนหินกรวด มีต้นไม้เขียวเล็ก ๆ ปลูกแซม และมีอ่างน้ำใบย่อมวางอยู่กลางสวน
“สวนสวยดีนะครับ เรียบ ๆ แต่ดูแล้วชวนให้ใจสงบดี”
กีรติเอ่ยชม ทำให้เจ้าของบ้านชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ ทางด้านชิโระที่เกาะบ่าของริวมาตลอด ก็กระโดดลงพื้นแล้วกลายร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ เดินนำหน้าไปยังห้องนั่งเล่นของบ้าน ที่ดูแล้วโล่งสบายตา แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรตั้งเกะกะ นอกจากโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก และเบาะรองนั่งสองเบาะกลางห้อง นอกจากนี้ยังสามารถเปิดประตูกระจกบานใหญ่ในห้อง แล้วนั่งชมสวนหินหน้าบ้านได้อีกด้วย
“นั่งตรงนี้ก่อนนะครับ...ชิโระไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาที”
ชิโระพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงเดินหายไป สักพักสุนัขจิ้งจอกสีขาวก็คาบกล่องปฐมพยาบาลมาส่งให้ริวที่ห้องนั้น
“โชคดีที่แผลไม่ลึกมาก ...คราวหลังอย่าประมาทแบบนี้อีกนะครับ ถ้ามีสัญญาณไซเรนดังขึ้นเมื่อไหร่ แสดงว่าผู้บุกรุกนั้นไม่ใช่มนุษย์แน่นอน หรือถ้าใช่ก็เป็นมนุษย์ที่ร้ายกาจมาก พวกนั้นไม่ใช่คู่มือที่มนุษย์ธรรมดาอย่างคุณจะต่อสู้ได้ ถึงคุณจะมีความสามารถด้านการต่อสู้มาบ้างก็ตาม”
ริวบอกเสียงขรึมระหว่างทำแผล และเมื่อเขาพันผ้าสีขาวบนแขนนั้นเสร็จ กีรติก็มองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ
“เอ่อ...เสร็จแล้วหรือครับ”
“ครับ ก็แค่ทำแผล ไม่ได้ใช้เวลานานนักหรอกครับ”
ริวตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทำให้กีรติยิ้มเจื่อน ๆ
“แล้วเรื่องพิษหรือคำสาปที่คุณริวว่าต้องทำพิธี...”
“ผมโกหกน่ะครับ แค่อยากจะหาโอกาสเตือนคุณเรื่องพวกนี้โดยตรง เลยพามาที่บ้านแทน”
หนุ่มญี่ปุ่นเอ่ยขัดก่อนที่กีรติจะพูดจบ แถมยังคงแสดงท่าทีเฉยชา ทำให้ชิโระต้องหันไปลอบถอนหายใจ ส่วนกีรตินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ตามมา
“ผมเข้าใจแล้วครับ...ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณริวต้องเสียเวลาแบบนี้”
ริวมองคนพูดที่หน้าสลดเล็กน้อยด้วยใบหน้านิ่งเฉยชั่วครู่ ส่วนชิโระนั้นคอยดูว่าเจ้านายของตนจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นริวเป็นห่วงใคร และโมโหใส่ใครขนาดนี้มานานมากแล้ว
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นผมไม่อยู่รบกวนคุณริวดีกว่าครับ อีกอย่างผมทิ้งป้อมยามมาได้สักพักแล้ว ผมคงจะต้องกลับไปทำงานตามเดิมแล้วล่ะครับ”
กีรติที่ไม่อยากอยู่สร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายรีบบอก ทว่าพอเขาลุกขึ้นจะเดินออกไป ริวก็คว้าข้อมือชายหนุ่มเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวผมไปส่งให้ที่ป้อมยาม... ผมอยากจะไปตรวจสอบดูสักหน่อย ว่ายังมีพวกนั้นหลงเหลืออีกบ้างไหม”
ริวอธิบายตามมา ทำให้กีรติไม่มีทางเลือกและยอมให้อีกฝ่ายเดินไปส่งเขาอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
ทั้งสองเดินกันไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนนัก ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แต่พอใกล้จะถึงป้อมยาม ริวก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“จริง ๆ แล้วคุณก็ไม่ได้ผิดอะไรมากนักหรอก ...ผมก็แค่หงุดหงิดที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้คุณบาดเจ็บ และเป็นห่วงคุณที่ชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนั้น ถึงแม้จะทำเพื่อช่วยใครสักคนก็ตามเถอะ”
กีรติหยุดชะงักฝีเท้า แล้วจึงหันมามองคนพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจกึ่งตกใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ มีรอยยิ้มอย่างยินดีปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น
“ค่อยยังชั่ว ...ผมคิดว่าจะถูกคุณริวเกลียดเข้าให้แล้วเสียอีก”
ริวเงียบกริบ เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทว่าในใจของเขากลับเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด หลังจากได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสาของอีกฝ่ายที่มีให้กับเขา
“คราวหน้าผมจะระวังตัวกว่านี้นะครับ แล้วจะตัดสินใจให้รอบคอบ ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวจนคุณต้องเป็นห่วงอีกแล้วล่ะครับ!”
กีรติบอกพร้อมรอยยิ้มแล้วโค้งศีรษะน้อย ๆ ให้คนที่มาส่งเขา ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ป้อมยามอย่างอารมณ์ดีกว่าเดิม เจ้าตัวเอ่ยทักทายอเล็กซ์ แล้วหัวเราะเจื่อน ๆ เมื่อถูกอเล็กซ์บ่นว่าเขาใจร้อนเกินเหตุ จนเกือบทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
“...ประหลาดคนจริง ๆ นั่นล่ะนะ”
ริวพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา และยังคงยืนมองกีรติที่พูดคุยกับอเล็กซ์อยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันหลังเดินตรงกลับบ้านพักของเขาเงียบ ๆ ไปตามลำพัง
เช้าวันถัดมากีรติก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อคนที่ยิ้มแย้มและพูดคุยกับเขาในวันแรกของการทำงาน ในวันนี้กลับเพียงแค่พยักหน้าทักทายเขาและเดินผ่านไปเท่านั้น
“หือ...วันนี้คุณริวดูแปลก ๆ ไปนะครับ”
อเล็กซ์เอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย เพราะปกติแล้วริวจะมีมนุษยสัมพันธ์มากกว่านี้ ถึงแม้จะไม่มีใครเฝ้าป้อมอยู่เลย อเล็กซ์ก็ยังมักจะได้รับการทักทายพูดคุยด้วยเสมอแท้ ๆ
“คงจะเป็นเพราะผมล่ะมั้งครับ ...การที่คนอย่างผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของคุณริวเมื่อวาน แล้วช่วยอะไรเขาไม่ได้ แถมยังเกือบแย่อีกด้วย ก็คงทำให้คุณริวลำบากใจ จนไม่อยากเข้าใกล้ผมอีกก็ได้”
กีรติพึมพำตอบ ซึ่งพออเล็กซ์ได้ฟัง เจ้าตัวก็เอ่ยตามมาในสิ่งที่ทำให้กีรติสะดุ้ง
“นั่นสิครับ คนธรรมดาอย่างคุณ ขืนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนั้น ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเสียมากกว่า”
“ฮะ ๆ นั่นสิครับ”
กีรติรับคำเสียงแผ่ว ด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม อเล็กซ์เงียบไปสักครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกห่วงใยและต้องการช่วยปกป้องผู้คนที่นี่จากใจจริงของคุณ มันก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนเกลียดคุณไม่ใช่หรือครับ สำหรับคุณริว ผมคาดเดาว่า เขาคงพยายามตีตัวออกห่าง เพราะไม่อยากให้คุณต้องมาโดนลูกหลงหรือเสี่ยงอันตราย เพราะเขาเป็นต้นเหตุมากกว่า”
กีรตินิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วจึงมีรอยยิ้มแจ่มใสให้ได้เห็นอีกครั้ง
“ขอบคุณนะครับ คุณอเล็กซ์!”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่พูดตามข้อมูลที่มีเท่านั้น”
อเล็กซ์ตอบไปตามตรง แต่สำหรับกีรติแล้วแม้จะไม่มีชีวิต หรือเป็นเพียงแค่ข้อมูลสังเคราะห์ขึ้นมา ทว่าอเล็กซ์ก็เปรียบเสมือนเพื่อนของเขาคนหนึ่งเลยทีเดียว
“แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณ คุณอเล็กซ์อยู่ดี ถ้าไม่มีคุณคอยอยู่เป็นเพื่อนคุย ผมคงจะเหงาแย่เลย”
อเล็กซ์เงียบกริบไปสักพัก แล้วจึงทำเป็นคุยเรื่องลมฟ้าอากาศแทน ปฏิกิริยาของ AI อัจฉริยะ ถ้าเป็นมนุษย์ กีรติก็คงคิดได้อย่างเดียวว่าอีกฝ่ายคงเขินอยู่นั่นเอง
จากนั้นพอริวกลับมาจากเก็บกวาดหน้าหมู่บ้านเรียบร้อย เจ้าตัวก็เดินเงียบ ๆ ผ่านป้อมยามของกีรติไปเช่นตอนขาออกมา ทว่าชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อกีรตินั้นตะโกนเรียกชื่อเขาดังลั่น
“คุณริวครับ!”
หนุ่มญี่ปุ่นหันไปมองคนที่เรียกเขาอย่างแปลกใจ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นกีรติยิ้มกว้างให้เขา พร้อมกับทักทายตามมา
“อรุณสวัสดิ์ครับ!”
“เอ่อ...อรุณสวัสดิ์”
ริวตอบรับอย่างงุนงง ชายหนุ่มร่างเล็กยิ้มพร้อมกับโค้งให้เขา แล้วจึงหันไปยืนยามต่อ แต่ใบหน้าน่ารักนั่นก็แดงระเรื่อนิด ๆ ให้พอสังเกตเห็นได้อยู่ดี
“ริว...อย่าเพิ่งรีบตัดรอนกันเลยนะ ริวก็เห็นไม่ใช่หรือว่า กีรติเขายังกล้าที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาริวก่อน ทั้งที่ริวแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขาแท้ ๆ น่ะ”
ชิโระสัตว์อสูรของหนุ่มญี่ปุ่น ปรากฏกายกระซิบบอกขณะที่ริวกำลังคิดจะเดินตรงกลับบ้านพักของเขา และนั่นจึงทำให้ริวนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจตามมาค่อย ๆ แล้วหันไปทางกีรติ พลางบอกกับชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
“ตั้งใจทำงานนะครับ คุณกีรติ”
กีรติสะดุ้งโหยง พลางรีบหันมามองคนพูด และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของริว ชายหนุ่มร่างเล็กจึงมีรอยยิ้มกว้างสดใสกว่าเดิม ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักตอบรับจนริวนึกขำ จากนั้นหนุ่มญี่ปุ่นจึงขอตัวกลับบ้าน ส่วนจิ้งจอกขาวก็อมยิ้มอย่างยินดี ที่เห็นเจ้านายของตนเริ่มเปิดใจคบหามนุษย์คนอื่น เพิ่มขึ้นมาอีกคนเช่นนี้
“ดีจังเลย คุณริวไม่ได้รำคาญผมจริง ๆ ด้วยล่ะครับ คุณอเล็กซ์!”
“ผมก็บอกแล้วไงครับ ว่าไม่มีใครในหมู่บ้านนี้รังเกียจ หรือรำคาญ คนที่ปรารถนาดีกับพวกเขาจากใจจริงหรอกครับ”
กีรติยิ้มรับถ้อยคำนั้น แล้วจึงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งเสียยิ่งกว่าเดิม จนอเล็กซ์ต้องบอกให้เจ้าตัวหาเวลานั่งพักผ่อนเสียบ้าง เพราะถ้าว่างจากตรวจตรารอบหมู่บ้าน กีรติก็เอาแต่ยืนยามไม่ยอมนั่งพักจนเกือบทั้งวันเลยทีเดียว
ตกบ่ายคล้อยใกล้เย็น คนที่ต้องทำงานกะดึกก็ลืมตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย เนื่องจากตั้งแต่เมื่อวานที่เกิดเรื่อง เขาก็ยังไม่ได้นอนหลับเลยสักนิด และพอเพลียจนเคลิ้มหลับมาได้เกือบชั่วโมง นาฬิกาปลุกที่เขาตั้งเวลาไว้ก็ดังขัดจังหวะการนอนเสียก่อน ชายหนุ่มควานหานาฬิกาบนหัวเตียงที่วางใกล้กับหน้ากากที่เขามักจะถอดออกยามนอนเสมอ ก่อนจะกดปิดเสียงปลุกที่ดังขึ้นต่อเนื่องนั่นลง
“เจ้าซอมบี้งี่เง่านั่น เพราะนายคนเดียว ทำเอาฉันนอนไม่หลับเลยนะ...เจ้าบ้า”
แฟนธอมพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องหวนคิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมีให้เขา และถ้าตอนนั้นเขาไม่บังเอิญหันกลับไปมอง เขาก็คงไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายเก็บงำซ่อนเอาไว้เป็นแน่
‘ทุกทีก็ชอบทำเป็นคอยหาเรื่องแกล้งกวนประสาทชาวบ้านตลอด ด่าว่าอะไรก็ทำเป็นหน้าด้านหน้าทนเสมอ ...แล้วทีกับเรื่องนี้ ดันไม่กล้าพูดตรง ๆ นี่นะ ...งี่เง่าชะมัด!’
แฟนธอมคิดในใจระหว่างที่ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ เขาชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ได้สวมหน้ากากของตนเองสะท้อนกับกระจกติดผนัง ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ
“นายมันบ้า...เจอรัลด์ ...แถมยังรสนิยมแย่อีกด้วย”
แฟนธอมลูบไล้เงาสะท้อนบนกระจก ที่เป็นแผลเป็นจากไฟไหม้แผลใหญ่บนซีกหน้าข้างขวาของเขา ชายหนุ่มหลับตาแล้วหันหลังให้กระจก ก่อนจะจัดการทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย และออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมหน้ากากที่วางไว้บนหัวเตียง เพื่อรอทำงานกะดึกต่อจากกีรติ แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกเพลียและเวียนหัวอยู่มากก็ตาม
กีรติมองคนที่เดินโงนเงนมาเปลี่ยนเวรกับเขาอย่างเป็นห่วง เพราะสังเกตเห็นสภาพอิดโรยจากดวงตาของอีกฝ่าย แต่แฟนธอมก็ยังคงยืนกรานจะทำงานต่อ และบอกให้รุ่นน้องของเขาคลายกังวลว่าหากไม่ไหว จะนอนพักในป้อมเอง
“ห่วงไม่เข้าเรื่องจริง ๆ เลยนะ...”
แฟนธอมพึมพำเมื่อเห็นกีรติเดินไปพลางเหลียวกลับมามองเขาไปพลางจนกระทั่งลับตาไป
“แต่วันนี้ดูคุณอาการแย่ผิดปกตินะครับคุณแฟนธอม นอนพักผ่อนไม่เพียงพอหรือครับ”
เสียงอเล็กซ์ถามขึ้น ทำให้แฟนธอมสะดุ้งโหยง เพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้น เหมือนกับคนที่ทำให้เขากังวลจนนอนไม่หลับนั่นเอง
“เปล่าสักหน่อย! นายอย่ามายุ่งกับฉันนักเลยน่า!”
แฟนธอมหันมาโวยวายใส่ แล้วก็ชะงักอย่างตั้งสติได้ ก่อนจะเอ่ยพึมพำตามมาอย่างสำนึกผิด
“ขอโทษทีนะอเล็กซ์ ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านายหรอก นั่นสิ...ฉันคงอาการแย่จริง ๆ เพราะตั้งแต่เมื่อวานมา ฉันเพิ่งได้หลับไม่ถึงสองชั่วโมงดีเลยด้วยซ้ำน่ะ”
“ผมเข้าใจครับ พอร่างกายไม่ปกติ สภาพจิตใจก็จะแย่ไปด้วย ...คุณควรกลับไปพักผ่อนนะครับ คุณแฟนธอม ที่ป้อมนี่ผมดูแลเองได้อยู่แล้ว”
อเล็กซ์บอกตามมาอย่างไม่ถือสา แม้จะแปลกใจท่าทางของอีกฝ่ายในตอนแรกนักก็ตาม
“ไม่ดีกว่า...ขืนกลับห้อง เดี๋ยวกีรติก็จะเป็นห่วงเอา ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ฉันก็จะหลับในป้อมแทนแล้วกัน”
แฟนธอมบอกกับ AI ประจำป้อม ซึ่งอเล็กซ์แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เมื่ออีกฝ่ายยืนกรานเช่นนั้น เขาก็คงจะห้ามไม่ได้อยู่ดี อีกทั้งตอนนี้แฟนธอมก็ยังไม่ได้มีอาการผิดปกติจนน่าห่วงสักเท่าใดนักด้วย
แฟนธอมยืนยามอยู่เกือบชั่วโมง ก่อนจะฝืนกินข้าวที่กีรติมาส่งให้เมื่อครู่นี้ไปได้ไม่กี่คำ เขาก็ต้องหยุดกิน เพราะรู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมา จนต้องอาศัยป้อมยามเป็นที่นั่งพักชั่วครู่
“คุณเป็นไข้แล้วล่ะคุณแฟนธอม อุณหภูมิร่างกายคุณตอนนี้สูงเกือบสี่สิบองศาทีเดียว ผมว่าผมแจ้งมาสเตอร์ให้ทราบดีกว่าครับ”
อเล็กซ์บอกกับชายหนุ่ม ทว่าคำพูดนั้นทำให้แฟนธอมหน้าร้อนวาบ แล้วรีบปฏิเสธออกไปอย่างลืมตัว
“ห้ามบอกหมอนั่นนะ!”
อเล็กซ์รู้สึกแปลกใจต่อพฤติกรรมของแฟนธอมในวันนี้ แต่ก็ยังคงเลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เพราะเขาถูกตั้งโปรแกรมให้เชื่อฟังแฟนธอม รองจากเจอรัลด์และเวธน์นั่นเอง ทว่าหากไข้ของอีกฝ่ายขึ้นสูงกว่านี้อีกสัก 1 หรือ 2 องศา เขาก็คงจำต้องยอมขัดคำสั่งของแฟนธอมแล้วแจ้งเจอรัลด์ให้ทราบในเรื่องนี้เสียแล้ว
“เอ่อ...พักสักครู่ก็ไข้ลดเองนั่นล่ะ... ให้ตายสิ นี่ฉันไม่ได้ป่วยมานานขนาดไหนแล้วนะ”
แฟนธอมพึมพำเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะกังวลที่เขาหลุดแสดงอาการแปลก ๆ ออกไปเช่นกัน ซึ่งพอได้ยินแฟนธอมพูดดังนั้น อเล็กซ์ก็ดึงข้อมูลที่บันทึกไว้มาตอบอย่างฉะฉาน
“ครั้งสุดท้ายที่คุณป่วยก็ตอนที่คุณควงกะเช้าค่ำ ติดกันสามวันเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนั้นพอมาสเตอร์ได้รับรายงานจากผม ก็รีบอุ้มคุณไปหาหมอเพชรถึงบ้านของเขาเลยนะครับ แถมยังถีบประตูบ้านหมอเพชรพังเพราะเรียกแล้วเขาไม่ยอมตื่นอีกด้วย”
แฟนธอมสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
“ไม่เห็นหมอเพชรเคยบอกเลยว่าเจ้าซอมบี้...เอ่อ เจอรัลด์เป็นคนพาฉันไปหาเขาน่ะ”
“หืม...สงสัยคงเพราะหมอเพชรจะโมโหที่มาสเตอร์ทำประตูบ้านเขาพังล่ะมั้งครับ เลยไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้คุณทราบ”
อเล็กซ์ตอบอย่างคาดเดา ซึ่งแฟนธอมก็นิ่วหน้าน้อย ๆ พลางหวนคิดถึงเรื่องเมื่อสองเดือนก่อนที่พอจะจำได้ลาง ๆ เขาถามหมอเพชรว่าเขามาที่บ้านอีกฝ่ายได้ยังไง หมอเพชรที่ทำเหมือนจะตอบก็กลับชะงักเงียบไปชั่วครู่ แล้วบอกว่าคนในหมู่บ้านแถวนั้นที่ผ่านมาช่วยพามาส่ง แถมยังยิ้มแปลก ๆ ให้เขาอีก พอวันรุ่งขึ้นที่เขาค่อยยังชั่ว เจอรัลด์ก็เริ่มมาวุ่นวายป้วนเปี้ยนใกล้เขา แต่พอเขาไล่ไปด้วยความรำคาญ เจ้าตัวก็มีสีหน้าผิดหวังแปลก ๆ ให้เห็น
“บ้าจริง...อะไรของหมอนั่นกันนะ จะพูดตรง ๆ ชัด ๆ ให้มันรู้เรื่องไปเลยไม่ได้หรือไง...เอาแต่ทำทีเล่นทีจริงแบบนั้น ใครมันจะไปเข้าใจได้เล่า...”
แฟนธอมพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด เขารู้สึกเหมือนไข้ของตนจะขึ้นสูงกว่าเดิม จนภาพเบื้องหน้าเขาเริ่มเบลอไปหมด
“คุณแฟนธอม! คุณแฟนธอมครับ! แย่ละ สงสัยต้องติดต่อมาสเตอร์ด่วนแล้ว!”
แฟนธอมที่ได้ยินคำพูดนั้นของอเล็กซ์ พยายามจะเอ่ยปากห้าม แต่ก็แทบไม่มีเสียงเล็ดรอดออกจากปากของเขา สักพักเขาก็ได้ยินเสียงเดิมที่ใกล้เคียงกันดังขึ้น ทว่าเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใยแกมหวั่นวิตก ซึ่งแตกต่างจาก AI ประจำป้อมหลายเท่านัก
“คุณแฟนธอม! ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ! เดี๋ยวผมจะพาคุณไปหาหมอเอง!”
เจอรัลด์บอกพลางประคองร่างที่เป็นลมล้มพับไปกับพื้นเพราะพิษไข้ไว้แนบอก และช้อนร่างนั้นอุ้มออกจากป้อม เร่งฝีเท้าเดินไปยังสถานที่พักของหมอประจำหมู่บ้าน ที่มีฝีมือในการรักษาได้ทั้งมนุษย์ธรรมดาและพวกปีศาจด้วยกันเอง
“เจอรัลด์...”
แฟนธอมที่รู้สึกตัวคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น เรียกชื่อคนที่กำลังอุ้มเขาเดินไปหาหมอแผ่วเบา ทำให้เจอรัลด์ชะงักแล้วก้มมองคนในอ้อมกอดของตน
“เป็นอะไรไปหรือครับคุณแฟนธอม...ทรมานมากไหม รอเดี๋ยวนะครับ อีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านหมอแล้ว”
เจอรัลด์บอกกับคนในอ้อมกอดแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ยังคงแฝงความเป็นห่วงและกังวลให้ได้เห็นอยู่ดี
“อือ...ไม่ต้องรีบนักหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก...”
แฟนธอมพึมพำเสียงแหบ แม้จะรู้สึกทรมานเพราะพิษไข้ แต่อ้อมกอดของคนที่อุ้มเขาก็อบอุ่นเสียจนทำให้เขารู้สึกสบายใจได้เช่นกัน
“ไม่มากอะไรกันครับ...อเล็กซ์นี่ก็แย่จริงเชียว ควรจะแจ้งผมทราบตั้งแต่ตอนที่คุณเริ่มมีอาการไม่ดีให้เห็นแล้วด้วยซ้ำ!”
เจอรัลด์บ่นแล้วพาลไปถึงสิ่งประดิษฐ์ของเขา ทำให้แฟนธอมต้องยกมือแตะหน้าอีกฝ่ายค่อย ๆ เพื่อต้องการให้ชายหนุ่มใจเย็นลงกว่านี้
“ไม่ใช่ความผิดของอเล็กซ์สักหน่อย ...ฉันห้ามไม่ให้เขาบอกนายเองต่างหาก...เพราะฉัน...”
แฟนธอมบอกแล้วก็เงียบไป ก่อนจะหลุบตาหลบไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ทางด้านเจอรัลด์ชะงักนิ่ง ชายหนุ่มจ้องมองคนในอ้อมกอดอย่างพยายามค้นคว้าหาคำตอบ ถึงการกระทำและคำพูดอันแตกต่างจากยามปกติ ที่อีกฝ่ายมีต่อเขา
“เฮ้! นั่นจะพาคนไข้มาให้ฉันรักษาใช่ไหมเจอรัลด์ ถ้าอย่างนั้นก็พามาได้แล้ว ฉันขี้เกียจซ่อมประตูบ้านเองทีหลังอีก!”
เสียงตะโกนที่ดังขัดขึ้นทำให้เจอรัลด์และแฟนธอมสะดุ้ง ทางด้านเจอรัลด์นั้นพอรู้สึกตัวว่าเขากำลังจะพาแฟนธอมมารักษาตัว ชายหนุ่มก็รีบเร่งฝีเท้าเดินไปหาชายหนุ่มตรงหน้าเขาทันที
“หมอเพชร! คุณแฟนธอมมีไข้สูงมากครับ! ช่วยรักษาเขาเร็ว ๆ เข้าเถอะ!”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหมอเพชร เป็นชายรูปร่างผอม และสูงพอ ๆ กับเจอรัลด์ ไว้ผมดำสั้นรองทรงปรกคอ และมีนัยน์ตาสองสีประหลาดเป็นสีทองข้างซ้ายและดำข้างขวา ใบหน้าเรียวได้รูป จัดว่าเป็นชายที่มีใบหน้าสวยเสียยิ่งกว่าผู้หญิงจริง ๆ ด้วยซ้ำ
“เออ! รู้แล้วน่า อเล็กซ์แจ้งมาก่อนล่วงหน้าแล้ว นายอุ้มเขาเข้ามาดี ๆ เหอะ อย่ามาถีบประตูบ้านฉันพังอีกล่ะ!”
คนเป็นหมอบอกอย่างหงุดหงิด เพราะกำลังนั่งพักผ่อนสบาย ๆ อยู่ดี ๆ อเล็กซ์ก็ส่งสัญญาณฉุกเฉินเข้ามาในบ้านของเขา แล้วบอกว่าเจอรัลด์กำลังพาแฟนธอมที่ไม่สบายไปหา ทำเอาเขาต้องรีบวิ่งพรวดพราดมาเปิดประตูบ้านไว้รอล่วงหน้า เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะใจร้อน จนถีบประตูบ้านเขาพังอย่างคราวก่อนอีกครั้ง
“เอาล่ะ! นายออกไปรอนอกห้องโน่น ฉันจะรักษาเขาให้เอง ขืนมายืนกดดันกันแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็หยิบยาผิดยาถูกกันพอดี!”
หมอเพชรไล่ให้เจอรัลด์ออกไปรอนอกห้องรักษา แม้ว่าผีดิบหนุ่มจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะแกล้งไม่รักษาแฟนธอมเข้าให้จริง ๆ จึงจำต้องยอมทำตามคำสั่งนั้นแต่โดยดี
“หึ! หมอนั่นจะยอมเชื่อฟังกันก็เฉพาะเวลาที่มีคุณอยู่ด้วยเท่านั้นล่ะนะแฟนธอม”
หมอหนุ่มเอ่ยกระเซ้าคนที่นอนไข้ขึ้นสูง ใบหน้าใต้หน้ากากนั้นร้อนวูบวาบหลังจากได้ฟัง ซึ่งแฟนธอมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะพิษไข้ หรือเพราะความรู้สึกประหลาด ๆ ที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นในตอนนี้
“คราวก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว ...อ้อ ผมไม่ได้บอกคุณสินะ ว่าเขาอุ้มคุณมาส่งที่นี่ตอนคุณป่วยเมื่อสองเดือนก่อนน่ะ”
หมอเพชรเปรยบอกระหว่างที่เปิดตู้ยา หายาฉีดลดไข้ให้กับอีกฝ่าย
“เอ่อ...เรื่องนั้น อเล็กซ์เพิ่งบอกให้ผมรู้...เมื่อก่อนหน้านี้สักพักเอง”
หมอหนุ่มชะงักมือของตน เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ้ำอึ้งของแฟนธอม แล้วจึงเหลือบมามองคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างประหลาดใจ เจ้าตัวค่อย ๆ จัดการถอดหน้ากากของอีกฝ่ายออก โดยที่แฟนธอมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพราะคนที่เคยรักษาเขายามร่างกายบอบช้ำ อ่อนแรง และเต็มไปด้วยบาดแผล เมื่อครั้งที่มาหมู่บ้านนี้ใหม่ ๆ ก็คือหมอเพชรคนนี้นี่เอง
“เป็นปฏิกิริยาที่ค่อนข้างเกินคาดนะ...ถ้าอย่างนั้นก็คงใกล้ถึงเวลาที่คุณจะยอมเปิดเผยใบหน้าใต้หน้ากากนี่ ให้เขาเห็นได้แล้วล่ะสิ”
แฟนธอมหน้าแดงหนักขึ้น แล้วพยายามหลบสายตาของอีกฝ่าย ทำให้หมอหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบยาลดไข้มาฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่ต้นแขนของอีกฝ่าย แล้วชวนคนไข้ของเขาคุยไปด้วย
“คุณเองก็อยู่มานานจนน่าจะมองออกว่าใครคิดยังไงกับคุณ ผมเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความรักของใครนักหรอก ...แต่ก็อยากให้คำแนะนำอะไรบางอย่าง ในฐานะที่พวกเราเป็น ‘มนุษย์’ ที่ค่อนข้างคล้ายกันอยู่มาก”
หมอเพชรหยุดพูดชั่วครู่ แล้วใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดที่ต้นแขนของชายหนุ่มหลังจากฉีดยาเสร็จ จากนั้นเขาก็ลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ พลางยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน
“ชีวิตอมตะไม่แก่ไม่ตายที่พวกเราได้รับมาโดยไม่รู้ตัว บางทีก็ใช่ว่ามันจะอยู่กับเราไปได้ตลอดกาล... ในเมื่อวันหนึ่งเราเป็นแบบนี้ได้ ก็อาจจะมีสักวันที่เวลาซึ่งหยุดนิ่งเริ่มเดินอีกครั้ง ...ผมอยากให้คุณใช้ชีวิตที่ไม่แน่นอนนี้ ให้คุ้มค่ามากที่สุด และการมีใครสักคนที่เรารักและรักเราอยู่เคียงข้าง ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนแต่ปรารถนาไม่ใช่หรือ”
แฟนธอมจ้องมองหมอหนุ่มที่เขานับถือเสมือนพี่ชายคนหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าเขินอายอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน ทำให้หมอเพชรต้องหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ทว่าพอได้ยินเสียงกรอกแกรกคล้ายฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ประตู เขาก็ลอบยิ้มน้อย ๆ พลางแกล้งทำเป็นชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ จนใบหน้าของเขาเกือบแนบชิดกับใบหน้าของคนนอนอยู่
“คุณหมอ...”
แฟนธอมพึมพำอย่างตกใจและแปลกใจ แต่หมอเพชรนั้นทำเสียงเบา ๆ ให้อีกฝ่ายเงียบ สักพักก็มีเสียงคล้ายประตูเลื่อนของห้องรักษาถูกเปิดออกค่อย ๆ แต่พอสายตาของคนเปิดมองเห็นภาพที่เกิดในนั้น ประตูก็ถูกเลื่อนผลักออกไปโดยแรง พร้อมกับร่างที่ก้าวพรวดเข้ามาอย่างโมโห
“หมอเพชรจะทำอะไรคุณแฟนธอมน่ะ!”
หมอหนุ่มอมยิ้มนิด ๆ ส่วนแฟนธอมที่กำลังตกใจชะงักกึก แล้วพอเขาตั้งสติได้ว่าตนยังไม่ได้สวมหน้ากาก ชายหนุ่มก็รีบยกมือปิดบังใบหน้าของตนไม่ให้เจอรัลด์ได้เห็นทันที
“คุณแฟนธอม...”
เจอรัลด์เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตกใจ เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาตอบรับของคนที่นอนอยู่ ซึ่งแฟนธอมก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะตะโกนไล่คนที่เข้ามาเสียงดังลั่น
“ออกไปนะ...ออกไปให้พ้น!”
หมอเพชรถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเหลือบมองเจอรัลด์ที่มีใบหน้าซีดเผือด เพราะกลัวว่าแฟนธอมจะเกลียดตนเข้าให้จริง ๆ
“นายออกไปก่อนเจอรัลด์...เดี๋ยวให้แฟนธอมเขานอนพักที่ห้องนี้ต่ออีกสักหน่อย พอค่อยยังชั่วนายค่อยพาเขากลับบ้าน”
เจอรัลด์มองคนที่นอนปิดหน้าอย่างลังเล แต่ก็ต้องยอมทำตามนั้น ทว่าก่อนจะออกไป ชายหนุ่มก็พึมพำบางอย่างขึ้นแผ่วเบา
“ผมขอโทษนะครับคุณแฟนธอม ที่เข้ามากะทันหันแบบนี้... แต่ขอร้องล่ะ... ได้โปรดอย่าเกลียดผมเลยนะครับ”
เสียงประตูปิดลง พร้อมกับเสียงถอนหายใจของคนที่ยืนอยู่ในห้อง เจ้าตัวมองคนนอนปิดหน้า ที่ยังคงไม่ยอมเปิดใบหน้าออกให้เขาเห็น แต่นั่นไม่ใช่เพราะโกรธหรือขุ่นเคืองแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะว่าใบหน้านั้นเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง ไม่แพ้กับตอนที่มีไข้ขึ้นสูงก่อนหน้าแม้แต่น้อย
“เอ้า...หน้ากากของคุณ แล้วก็ขอโทษที่ผมแกล้งพวกคุณหนักมากไปสักหน่อย... แต่เท่านี้คุณก็น่าจะรู้แล้วนะแฟนธอม ว่าเขาไม่ได้รังเกียจบาดแผลบนใบหน้าของคุณอย่างที่คุณเป็นกังวลสักนิด... แต่สิ่งที่เขากลัวที่สุดคืออะไร คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
แฟนธอมยอมเปิดหน้าหลังฟังจบ พลางหยิบหน้ากากที่หมอหนุ่มวางไว้บนอกของเขามากำแน่น และมองไล่หลังคนที่ยิ้มอ่อนโยนให้เขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไป แล้วทิ้งให้คนป่วยนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงตามลำพัง
… TBC …
อ่านถึงตอนนี้ อาจจะมีหลายคนเหวอ หุๆ ...แต่คู่นี้ ปัดก็ตั้งใจให้เค้าคู่กันแต่แรกแล้วล่ะค่ะ ^^"