STAGE 2: เริ่มรักแต่ยังไม่รู้ใจ
จุดประสงค์การเรียนรู้: พระเอกหรือนายเอกคนใดคนหนึ่งจะเริ่มชอบอีกฝ่าย แต่ยังไม่อยากยอมรับ
คอมเม้นต์นายเอก: ...เรามีสเตจนี้จริงๆ เหรอวะ
7
เล่าถึงไหนแล้วนะ เอ่อ ขอทบทวนก่อน อ้อ พี่เอื้อบังคับปล้ำจูบจากผมจนคืนร่างเป็นคน ทำกับข้าวให้ผมกินตอบแทนคุณหนึ่งมื้อแต่ทิ้งให้ผมล้างจานเอง แถมรสชาติก็ธรรมดาไม่ว้าว...แต่ผมชอบครับ อยากกินทุกวันเลย อย่าหยุดทำเลยนะครับ แค่กๆๆ
เอาใหม่ หลังจากพี่เอื้อทำกับข้าวแทนคุณแล้วก็จากไป ที่สลายคือใจเดือน...ถุย!
สุดท้ายแล้วผมกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ...เสียที่ไหน หลังพี่เอื้อจากไป ผมก็ไข้ขึ้นอยู่วัน...เกือบสองวันได้ รู้สึกตัวอีกทีก็ได้เวลาเรียนซัมเมอร์แล้ว คราวนี้จู่ๆ ไข้ก็หาย อดหาเรื่องอู้เสียอย่างนั้น
จึงกลับเข้าวงเวียน เอ๊ย วงจรชีวิตนักศึกษา ที่ปกติแล้วจะเริ่มจากตื่นมาตอนสายๆ ด้วยอาการงัวเงียเพราะนอนดึก ถ้าวันไหนมีเรียนก็จะตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาวิ่งผ่านน้ำพอเป็นพิธีและวิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถเมล์หน้าปากซอย ระหว่างนั้นจะโดนแดดเผาจนสุกปานกลาง เข้าคณะปุ๊บก็ร่อนลงจอดบนม้านั่งที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงที่นั่งล้อมวงและหยิบชีตขึ้นมา จากนั้นก็พูดประโยคคลาสสิก ‘เอาของมึงมาลอกหน่อยเด๊ะ’ เป็นอันเสร็จกิจวัตรประจำวันครึ่งแรกอย่างสมบูรณ์
อะไร ไม่อยากฟัง ก็ได้ เข้าเรื่อง หลังจากสูญเสียพี่เอื้อไปจากชีวิตเพราะถูกฟันแล้วทิ้ง ผมก็เริ่มต้นการเรียนซัมเมอร์ วันหนึ่งเรียนเช้า วันหนึ่งเรียนบ่าย พวกรุ่นพี่บอกว่าส่วนมากอาจารย์โอ๋ชอบให้ส่งการบ้านในคาบเช้า และมีการบ้านแทบทุกอาทิตย์ ให้เตรียมใจไว้
แต่ปีนี้อาจารย์โอ๋มาแนวใหม่ ยังไม่ทันเริ่มเรียน อาจารย์แกก็ให้การบ้านมาล่วงหน้า...บอกให้คิดเสียว่าเป็นข้อสอบก่อนเรียน ดังนั้นพอผมเข้าไปในคณะ สิ่งแรกที่ทำจึงเป็นการยิงประโยคสุดคลาสสิกใส่เพื่อนที่กำลังนั่งล้อมวงลอกการบ้านกันอย่างเอาเป็นเอาตายในทันที
“เฮ้ย พวกมึง เห็นนั่นป่ะ หนุ่มหล่อสาวสวย” เพื่อนคนหนึ่งของผมทำเสียงกระซิบกระซาบระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านมันอย่างเอาเป็นเอาตาย... “มึงอย่าเพิ่งรบกวนได้ไหมเนี่ย ถ้าไอ้นี่ไม่เสร็จ อาจารย์โอ๋ฉีกกูเป็นชิ้นๆ แน่ๆ”
“เขาเป็นแฟนกันเหรอ โอ๊ยย พี่สาลี่แม่ง ยิ้มน่ารักอ่ะมึง” เพื่อนอีกคนทำเสียงตื่นเต้นตกใจ ผมที่ได้ยินชื่อพี่สาลี่ถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
พี่สาลี่เป็นรุ่นพี่สาวสวยประจำคณะที่บรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่พากันน้ำลายหกติ๋งๆ ทุกครั้งที่เดินผ่าน และเป็นแฟนเก่าจำนวนหนึ่งสัปดาห์ถ้วนของไอ้ธีเพื่อนเลิฟของผม ทั้งคู่เลิกกันเพราะภาธีเหยาะซอสแม็กกี้ลงไปในไข่ดาวของตัวเองแทนที่จะเป็นซอสมะเขือเทศที่พี่สาลี่อยากกิน สีหน้าของไอ้ธีตอนเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเปี่ยมไปด้วยความเซ็งเต็มที่
พอเงยหน้าขึ้นปุ๊บ ลูกตาผมก็แทบจะทะลักออกมา ผมเห็นใครบางคนที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตา
คิดว่าคงเดากันได้แล้ว... ถูกต้องนะครับ ภาธีมันไม่ได้เรียนซัมเมอร์ ไม่มีธุระอะไรกับที่คณะ ฉะนั้นหนุ่มคนดังกล่าวย่อมไม่ใช่ภาธี และที่เล่าๆ มานี่นอกจากภาธี ก็มีสิ่งมีชีวิตเพศผู้นอกจากผมอีกแค่คนเดียว แล้วมันจะเป็นใครไปได้ หือ ให้ผมเลิกออกทะเลได้แล้ว ก็ได้ คนนั้นคือพี่อะเอื้อออออออ จบ
“นั่นมันรุ่นพี่ราชาหล่อระยำนี่นา” เพื่อนที่นั่งข้างๆ ผมอุทานด้วยเสียงสองก่อนจะม้วนลิ้น “หล่อออออออว์”
“อา...คนอะไรหล่อระยำ หล่อสมควรตาย หล่อไม่บันยะบันยั้ง”
“ชาติก่อนทำบุญด้วยครีมกี่กระปุกหนอ”
“อาจจะทำบุญด้วยหมอโรงพยาบาลยัน*ปิ๊บ*ก็ได้”
“...ทำไมทำบุญด้วยหมอศัลยกรรมแล้วถึงเกิดมาหล่อวะ”
“มึงถามผิด ตรงนี้มึงควรต้องสงสัยก่อนป่ะว่าทำบุญด้วยหมอมันทำกันยังไง ยัดหมอลงบาตรไม่ได้นะเว้ย ไม่เหมือนหนีผีลงตุ่ม”
“...” ครับ คนรอบตัวผมมีแต่คนแบบนี้แหละครับ สมองดีชาติพัฒนา ได้โปรดอย่ามองผมด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่า ‘เพราะสมองพังแบบนี้ถึงต้องมารับกรรมเรียนซัมเมอร์สุขสันต์’ สิครับ นี่มันคุยเรื่องอะไรกันอยู่ผมก็ยังไม่เข้าใจเลย แต่นิยายแมสมันก็มีกลุ่มเพื่อนที่คุยอะไรไม่รู้เรื่องแบบนี้ป่ะ
วันนี้พี่เอื้อสวมชุดนักศึกษาที่คาดว่าจะเป็นชุดราคาแพงใส่แล้วไม่คันของเขา หน้าตายังหล่อเหลาเหมือนเดิม ยิ่งบวกด้วยพี่สาลี่ที่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มนั่งข้างๆ กัน ทำเอาคนเดินผ่านไปผ่านมาพากันมองตาม
ประโยคที่คนปกติที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นพูดคือ “เฮ้อ... หนุ่มหล่อสาวสวย ดูแล้วสดชื่นดีเนอะ”
ส่วนประโยคที่บรรดาเพื่อนผมพูดคือ “หนุ่มหล่อสาวสวย...มึงว่ากูฆ่าแล้วเอาหนังมาสวมดีไหม”
“...” เพื่อนกู
สุดท้ายพวกผมเสียเวลาไปกับการส่องชาวบ้านไปจังหวะหนึ่ง ทำเอาเกือบลอกการบ้านกันไม่ทัน เรียกว่าจรดปากกาลงข้อสุดท้ายตอนออดดัง วิ่งขึ้นบันไดกันแทบไม่ทัน แต่นับว่าสวรรค์ยังมีตา ฟ้าจึงส่งนกต่อไปล่อซื้ออาจารย์โอ๋ เห ประโยคไม่ถูกเหรอ เอ่อ เอาว่าระหว่างเพื่อนแกล้งเอาโจทย์ไปถามอาจารย์ ผมก็เป็นหน่วยกล้าตายไถลตัวพุ่งเข้าชาร์จกองการบ้านและเสียบงานของทั้งตัวเองและต้นฉบับลงไปอย่างสวยงามท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนๆ
พออาจารย์โอ๋เดินมาเห็นกองการบ้านก็หยิบขึ้นมาดูปึกหนึ่ง หลังจากพลิกดูทีละแผ่น รอยยิ้มพิลึกๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์ “ที่จริงก็เห็นกันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าอาจารย์ควรจะตรวจของพวกเธอแค่ชุดเดียวก็พอนะ ไม่สิ... แต่นี้ต่อไปอาจารย์สั่งการบ้านชุดเดียวต่อคลาสไปเลยดีไหม”
ทุกคนโปรยยิ้มเขินๆ ก่อนจะมีคนตอบ “ก็ดีนะครับ’จารย์”
“...พวกเธอ นี่ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดใช่ไหม ยังกล้าตอบว่าดีอีกเหรอออออออ”
สิ้นพระสุรเสียง... พระชนนีก็กระทืบพระบาทา ดัชนีกรีดกรายซ้ายขวาเลื่อน พระโอษฐ์เอื้อนร้องเหวยๆ อุเหม่หมาย อ้ายพวกไพร่หญ้าแพรกปัญญาสถุลยิ่งกว่าควาย ถ่อยถุนยิ่งกว่าอีถ่อยที่นอนหงายอยู่ท้ายเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์ อ้าวขอโทษที ผิดบท แบบว่าวันก่อนโดนลากไปดูลิเกเลยติดมา
หลังจากนั้นก็เข้าสู่กัณฑ์เทศน์ของ (พระ) อาจารย์โอ๋ที่ยาวเหยียดเยี่ยงเทศน์มหาชาติ ฟังจบบุญบารมีนี่แผ่ไพศาล ตายปุ๊บขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที อนุโมทนาสาธุร่วมกันนะครับท่านผู้ชม
ไอ้ตอนด่านี่ไม่ตั้งใจฟังไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในวิชา ผมก็เริ่มเอนตัวไปด้านหลังอย่างช้าๆ น่าเสียดายที่เก้าอี้ของโต๊ะเลกเชอร์มันเตี้ยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคงพิงได้สบายหลังกว่านี้ เสียงของอาจารย์โอ๋เริ่มเบาลงเรื่อยๆ ตาของผมค่อยๆ... ปิด...
“กุสมาลย์!”
“ขา อาจารย์” ไอ้กิ่งเพื่อนผมดีดตัวขึ้นมาจากที่นั่งข้างๆ ทำเอาผมสะดุ้งไปกับมันด้วย...เพื่อนๆ มึงเช็ดน้ำลายก่อน ผมพยายามทำท่าบุ้ยใบ้ใส่มันก่อนจะแอบใช้แขนเสื้อเข็ดคราบน้ำลายของตัวเองบ้าง ซร้วบบบ
อาจารย์โอ๋ถามคำถามบนกระดาน ซึ่งได้รับคำตอบเป็นสายตาอันว่างเปล่าของเพื่อนสาวคนสวยของผม จริงๆ มันก็พยายามจะส่งสายตามาขอความช่วยเหลือจากผมแล้ว แต่ขอโทษด้วยนะเพื่อนเอ๋ย ถ้าตอบได้ กูจะมานั่งเรียนซ่อมกับมึงตรงนี้เหรอวะ คิดสิคิด
“เฮ้อ งั้น......มาภา”
“คะ ครับ” ผมสะดุ้งโหยงขณะมองโจทย์บนกระดานอีกครั้ง ชิบหายแล้วกู สิ่งที่เห็นนี้มันคือภาษาดาวใด ผมกวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง สุดท้ายเปลี่ยนยุทธวิธีไปเป็นพยายามส่งสายตาน่ารักของคิ้วต์บอยใส่อาจารย์ แต่ไม่เป็นผล
“มาภา...ท่านี้ใช้กับอาจารย์ไม่ได้หรอกนะ” ไม่รู้หูฝาดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนจะได้ยินอาจารย์หัวเราะดังหึแบบเย้ยหยัน
...ฮือๆๆๆๆ ผมผิดไปแล้ววววววววว
อาจารย์ทำท่ากวักมือให้ผมนั่งลง ก่อนสุ่มเรียกผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายราย แต่ละรายล้วนสภาพเดียวกันคืออ้าปากพะงาบๆ จนผมนึกว่าที่นี่กลายเป็นบ่อปลาไปแล้ว ทุกคนพยายามจะฮุบน้ำกันใหญ่ ฝ่ายอาจารย์โอ๋เห็นแล้วก็ได้แต่กุมขมับ “นี่พวกเธออยากผ่านวิชาอาจารย์จริงๆ หรือเปล่าเนี่ย”
“อยากสิครับ/คะ” ทุกคนร้องเสียงหลง ถึงหนึ่งวิชาจะมีโควตาเรียนซ้ำได้อีกหลายรอบก็เหอะ แต่นี่แค่รอบที่สองยังรู้สึกเหมือนโดนจับมานั่งทรมานขนาดนี้ ใคร้ ใครมันอยากจะเรียนอีก
อาจารย์โอ๋กวาดตาไปรอบๆ ห้อง ก่อนถอนหายใจออกมายาวเหยียด
“เอาล่ะ เบรกก่อนสิบห้านาที พวกเธอไปล้างหน้าล้างตาซะ แล้วค่อยกลับมาเรียน”
พวกผมพากันเดินโซเซไปที่ห้องน้ำ ระหว่างทางเหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเพราะอะไรก็ไม่รู้เข้าตาผม น่าจะเป็นฝุ่นจากไซด์ก่อสร้างของตึกที่เชื่อมกันด้านหลัง รู้แค่ว่าตอนนั้นผมแสบตาจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ระหว่างนั้นคว้าคนข้างหน้าได้พอดี ผมเดาจากแขนเสื้อและกล้ามแขนแน่นๆ ว่าคนที่ผมดึงอยู่น่าจะเป็นเพื่อนผู้ชายที่เดินออกมาด้วยกัน ดังนั้นจึงร้องบอก “เฮ้ย ฝุ่นเข้าตา มึงพากูไปล้างหน่อย กูลืมตาไม่ขึ้น”
อีกฝ่ายพยุงผมเข้าห้องน้ำไป มีเสียงซุบซิบดังขึ้นไล่หลัง แต่ตอนนั้นผมมัวแต่สาละวนกับการลืมตาในน้ำทั้งคืนจนเช้าเพื่อลืมเธอ~...แค่ก เอาว่าผมกำลังพยายามล้างตาด้วยท่าทางแตกตื่นเพราะตาพร่าไปหมด ตอนนั้นสมองน้อยๆ จินตนาการไปต่างๆ นานาๆ ซึ่งน่ากลัวเกินกว่าจะเผยแพร่
“อย่าขยี้สิ ตาแดงหมด นิ่งๆ เดี๋ยวดูให้” เสียงทุ้มต่ำที่ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดดังขึ้น อีกฝ่ายตัวสูงกว่าผมมาก ด้วยระยะสายตาของผมจึงเห็นเพียงลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลง “เงยหน้า”
อีกฝ่ายสั่ง ผมค่อยๆ เงยหน้า พยายามลืมตาที่แสบร้อนอย่างยากลำบาก ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆ เกลี่ยผ่านดวงตาของผมอย่างอ่อนโยน การเคลื่อนไหวของเขาเบามากเสียจนผมแทบไม่รู้สึก
“เอ้า เรียบร้อย ออกแล้ว...ล้างอีกสักที อย่าไปขยี้นะ”
ผมพึมพำขอบคุณ ก่อนลืมตาในน้ำอีกครั้ง ตอนแรกๆ ภาพยังเบลอๆ อยู่บ้าง พอกะพริบตาไปสักพักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก สายตาก็ประสานเข้ากับใครบางคน “!”
“...เชี่ยยยย พี่อะเอื้ออออออ” สะ แสบตาเหลือเกิน สลายร่างงงง สวรรค์เอยทำไมจึงโหดร้าย จะบ้าตาย ทีจับหวยบนแผงกี่ใบๆ แม่งก็โดนแดกเรียบ นี่จับทีเดียวได้ผู้ชายเกรดพรีเมี่ยมเฉยเลย
“เอื้อเฉยๆ โว้ย ไม่ต้องอะเอื้อ” พี่เอื้อแก้ให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะบีบจมูกผม “แล้วร้องเชี่ยทำป๊ะอะไร”
“แค่ก ขอโทษที ผมลืมตัว”
หลังจากนั้นเราสองคนก็มองหน้ากัน...บังเกิดเป็นภาวะเด๊ดแอร์ นายมองฉัน ฉันมองนาย เรามองกันเป็นปลากัด สุดท้ายผมไม่รู้จะทำยังไงนอกจากส่งยิ้มแห้งๆ ให้ ส่วนพี่เอื้อก็เลิกคิ้วเล็กน้อย... ฉึก!... รอยยิ้มหล่อเหลาแบบหนุ่มแบดบอยก็ปักอกผม
“...อย่าเลือดกำเดาไหลนะ ขอร้อง”
“งั้นก็พี่หยุดหล่อเดี๋ยวนี้” ผมตอบโต้ไปแบบไม่ทันคิด ก่อนจะสำนึกได้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าผมไม่ใช่ตุ๊กตากบอีกต่อไป...ตกลงทำไมจูบเดียวของผมช่วยให้คืนร่างเดิมได้ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเลย
“อันนั้นทำไม่ได้ มีอะไรอย่างอื่นจะสั่งเสียไหมครับน้อง”
“...กราบขอบพระคุณมากครับที่ช่วยดวงตาอันบอบบางของผมเอาไว้” ผมยกมือไหว้ท่วมหัว
เสียงทุ้มต่ำเจือหัวเราะของพี่เอื้อดังขึ้น นี่เป็นเสียงหัวเราะที่ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่คราวนี้ผมสามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน...หล่อระยำจริงๆ นั่นแหละ ฮือ เอฟเฟ็กต์แม่งผิดกับตอนเป็นตุ๊กตากบลิบลับ เป็นหนังโป๊คือปกกับไส้ในแม่งต่างกันโดยสิ้นเชิง อะไรนะ เปรียบเทียบไม่ถูกงั้นเหรอ แค่กๆๆ
ขณะเคลิ้มๆ ผมก็สำนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ในห้องน้ำ และเพื่อนร่วมชั้นหลายคนมองมาด้วยสายตาสนอกสนใจ ผมเลยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมา ทว่าพี่เอื้อกลับก้าวตามออกมาด้วย พอเห็นสายตาหวาดระแวงของผม เขาก็หัวเราะ
“พี่ไม่ได้จะมาเข้าห้องน้ำครับ แต่พี่ถูกใครก็ไม่รู้ขอความช่วยเหลือน่ะครับ”
...ก็ขอบคุณสองรอบแล้วคุณพี่ยังต้องการอะไร เอาประกาศนียบัตรสรรเสริญคุณงามความดีด้วยเลยไหม ทว่าก่อนจะได้ขอบคุณรอบที่สามเสียงอ่อนหวานก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม
“พี่โอบเอื้อ ทำอะไรอยู่คะ อ้าว...” เมื่อหันไปมองก็เห็นพี่สาลี่ที่มาพร้อมสายตาคมๆ ที่กวาดผ่านผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็วประดุจเครื่องบินรบกำลังล็อกเป้ายิงจนผมเกือบหลุดร้องเฮือกออกมาด้วยความอิน
พี่เอื้อส่งยิ้มที่มีฤทธิ์ทำลายสายตาของสาวๆ ที่อยู่โดยรอบในรัศมีห้าเมตรในทันที “พอดีน้องเขาถามอะไรนิดหน่อยน่ะครับ”
“ผะ ผมไม่รบกวนแล้ว ขอตัวนะครับพี่” ผมรีบยกมือไหว้แล้วรีบชิ่งแบบกลับไม่ค่อยจะถูกเพราะสายตาพร่ามัวจากการถูกรอยยิ้มอันเจิดจ้าของพี่อะเอื้อจู่โจมกะทันหัน พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงพี่สาลี่พูดขึ้นมา แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็นับว่าไม่เบา ผมจึงได้ยินอย่างชัดเจน
“พี่โอบเอื้อไม่รู้เหรอคะ น้องคนนั้นเขาเป็น...”
ผมถอนใจ...เอาเถอะ ร้อยทั้งร้อย ผมจะเป็นอะไรไปได้นอกจากเป็นแบบที่เป็นอยู่นี่แหละ
หลังเลิกเรียน และกินข้าวกลางวันกันเรียบร้อย พวกเพื่อนก็ชวนผมออกไปหาข้าวกินและร้องคาราโอเกะที่ห้าง ด้วยความที่ผมกลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำมากกว่านั่งเล่นเกมก็เลยตอบตกลง แต่เนื่องจากแต่ละคนส่วนมากอยู่หอ เลยจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกคนก็จะไปเอารถมา ผมก็เลยรออยู่ที่คณะ
ระหว่างรอไม่มีอะไรทำผมก็เลยเดินเล่นไปเรื่อย บังเอิญเดินผ่านห้องที่ถูกกั้นแยกเป็นสโมสรนักศึกษาของคณะ พอมองเข้าไปก็เห็นคนที่กำลังเท้าคางกับหน้าต่างแล้วอ่านเอกสาร อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมพอดีก็ส่งยิ้มให้ “ไง กลับบ้านเหรอ”
ผมส่ายหัวเล็กน้อย “รอเพื่อน...ครับ เดี๋ยวไปหาข้าวเย็นกินข้างนอกน่ะครับ”
พอเห็นท่าทางแบบไม่รู้จะสุภาพดีหรือไม่ดีของผม พี่เอื้อก็หัวเราะออกมา “พูดเหมือนเดิมก็ได้ เอาใหม่ กรอเทป”
“รอเพื่อนอ่ะพี่ เดี๋ยวออกไปกินข้าวเย็นที่ห้าง”
พี่เอื้อที่มือหนึ่งถือม้วนเอกสาร อีกมือหนึ่งถือปากการ้องรับในลำคอ “ฮึ่ม ใช้ชีวิตปิดเทอมไปซะ...ไปตากแอร์ที่ห้างแทนฉันด้วย”
“พี่ไม่เปิดแอร์เหรอ” ถึงต้องมานั่งเท้าหน้าต่างรับลมแบบนี้
ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วให้กับคำถามของผม ก่อนตอบยิ้มๆ “นั่งคนเดียวเปิดแอร์เปลืองตาย”
“แล้วคนอื่นล่ะ”
“อ้อ ปีสามส่วนมากฝึกงานกันน่ะ คณะเราไม่ได้บังคับก็จริง แต่ส่วนมากก็เลือกไปฝึกงานกัน” พี่เอื้อตอบ ก่อนอธิบายเสริม “เพราะงั้นตอนนี้เลยเหลือแต่ปีหนึ่งปีสอง ซึ่งก็มีประชุมฝ่ายต่างหาก นี่พี่แค่เข้ามาจัดการเคลียร์เอกสารเทอมก่อน แล้วเดี๋ยวจะต้องเตรียมเอกสารของเทอมหน้าด้วย”
“แล้วพี่ไม่ฝึกงานกับเขาเหรอ” ผมขยับตัวขยุกขยิก เลยถูกเรียกให้นั่ง สุดท้ายเลยกลายเป็นผมนั่งบนขอบหน้าต่าง ก้มลงมองพี่เอื้อที่เท้าแขนอยู่ข้างๆ เขามีการเอื้อมมือมาดันหลังผมเบาๆ
“นั่งดีๆ ระวังตก”
“หล่นไปพี่ก็รับผมหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวหัวกระแทกแล้วจะสมองเสื่อมไปกว่านี้”
พี่เอื้อหัวเราะก๊าก “นับว่ารู้ตัว...เมื่อกี้ถามเรื่องฝึกงานใช่ไหม พี่ไม่ได้ฝึกเพราะฝึกไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วน่ะ ปีนี้ว่าจะลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง ไหนๆ ก็เป็นปิดเทอมครั้งสุดท้ายแล้ว ปีหน้าเรียนจบเริ่มทำงาน คงไม่มีโอกาสได้ว่างแบบนี้อีก”
“อ้อ” ผมตอบรับ หลังจากนั้นพวกผมก็คุยหัวข้อจิปาถะเสียจนน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาและผมไม่เคยแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ มาวันนี้กลับพูดคุยเล่นหัวยิงมุกกวนตีนใส่กันหน้าตาเฉย ความสัมพันธ์มนุษย์ช่างแปลกประหลาดดีแท้หนอ
ผมคุยกับพี่เอื้อจนกระทั่งเพื่อนส่งข้อความมาตามว่าให้ยืนรอหน้าคณะ จึงกระโดดลงจากขอบหน้าต่าง “งั้นผมไปก่อนนะ”
“โชคดี” พี่เอื้อยิ้มน้อยๆ ก่อนเอื้อมมือมาลูบหัวผมเหมือนเมื่อวานนี้
ผมอดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ก่อนจะโบกมือลา “บาย” ...และนึกถึงมารยาทขึ้นมาได้เลยยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
พี่เอื้อยกมือขึ้นรับไหว้อย่างรวดเร็ว ก่อนโบกมือให้ “บาย...คงไม่ได้พบกันอีกเร็วๆ นี้แหละนะ”
อนิจจา...พี่เอื้อหารู้ไม่ว่าช่วงเวลาที่ผมและเขาจะพบกันอีกนั้น ‘เร็ว’ อย่างยิ่ง...ยิ่งกว่ากามนิตหนุ่มเสียอีก
ผมแยกกับเพื่อนในตอนค่ำ พอกลับมาถึงก็พบว่าในบ้านมีเสียงหัวเราะของเด็ก ตอนแรกตกใจไปวูบหนึงนึกว่าผีเจ้าที่หรือกุมารทอง ก่อนสำเหนียกได้ว่าตอนนี้ปิดทอม คิดว่าอาน้อยคงเอาแตงโมมาฝากเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่รู้ทำไมทิ้งเอามาทิ้งไว้ดึกป่านนี้ พอเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่ต้อนรับผมคือพื้นที่เต็มไปด้วยเศษอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายนุ่น และชิ้นส่วนตัวต่อ รวมถึงโมเดลสัตว์ประหลาดระเกะระกะไปหมด
จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงของเด็กผู้ชาย ทีแรกสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่านั่นคือน้องชะ...แฟนหนุ่มของน้องสาววัยอนุบาลของผม
“น้องชะ ยัยแตงโม นั่นทำอะไรอยู่น่ะ” ผมตะโกนถามน้องสาวคนเล็กที่น่าจะเป็นตัวการ ขณะเดินหลบหลีกหนามแหลมๆ ของเจ้าสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนไดโนเสาร์
“พวกเรากำลังปกป้องโลกจากกบวายร้ายครับ” แฟนหนุ่มของน้องสาวคนเล็กของผมตอบด้วยเสียงรื่นเริงขณะเหวี่ยงตุ๊กตากบในมือไปมา ส่วนน้องแตงโมของผมมีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ขณะมองไปทางตุ๊กตาตัวดังกล่าว
...ตุ๊กตากบ
ผมพยายามเพิ่งมองให้ดีๆ ...พระเจ้าช่วย เจ้านั่นมันกบตัวเดียวกับพี่เอื้อ เอ๊ย ไม่ ต้องเรียกอะไร ร่างเดิมของพี่เอื้อ...เอ่อ ก็ยังไม่ใช่ เอาว่ามันคือพี่เอื้อใช่ไหมนั่น!
“นะ น้องชะ” เสียงของผมสั่นน้อยๆ “...ได้...กบนั่น มาได้ยังไงน่ะ”
“ชะเห็นมันตกอยู่หน้าบ้านครับ”
...ผมเริ่มเหงื่อตก
“ซุปเปอร์สวิงทอร์นาโด... ตายซะ เจ้าจักรพรรดิกบจอมชั่วร้ายยย” แฟนน้องสาวผมผมจับตุ๊กตากบเหวี่ยงไปมา
“น้องชะครับ หยุดก่อนนนน นั่นตุ๊กตาของพี่นะ”
แฟนน้องแตงโมเอียงคอมองหน้าผม ก่อนจะเขย่าตุ๊กตากบที่ไส้ทะลักไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจนนุ่นค่อยๆ ร่วงลงมากองกับพื้น สีหน้าของแฟนหนุ่มวัยอนุบาลของน้องสาวผมบ่งชัดว่าไม่เข้าใจเรื่องที่ผมพูดสักนิด ส่วนน้องสาวผมที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องห่มร้องไห้พลางกรีดร้อง “ฆ่ามัน มันขโมยจูบของแตงโม”
“...” โว้ย ยังไม่ลืมอีก
ฝ่ายน้องชะพอได้ยินแฟนสาวพูดแบบนี้ มือที่หยุดไปก็เริ่มแกว่งอีกครั้ง โฮกกก นุ่นทะลักกระจายไปหมดแล้ววววในตอนนั้นเอง ผมจึงตัดสินใจเลือกหัวข้อเจรจาที่เข้าใจกันได้ทุกเพศ ทุกวัย และไม่เกี่ยงสัญชาติ
“ไอติมลอดช่องไหม เดี๋ยวพาไปกินที่ตลาดข้างหน้า”
น้องสาวผมที่กำลังทำท่าร้องไห้พลันหยุดทันที ยัยหนูคนนี้อนาคตจะต้องเป็นดาราเจ้าบทบาทเจริญรอยตามพ่ออย่างแน่นอน
สุดท้ายผมจึงเจรจาเอาตุ๊กตากบที่สภาพอ่อนปวกเปียกคืนมาได้
“พี่ไปหยิบกระเป๋าตังค์แป๊บ” ว่าแล้วก็เผ่นตรงเข้าห้องนอนของตัวเองในทันที พอเข้าห้องได้ปุ๊บ ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“เด็กนั่นมันอะไรกันหา!”
ว่าแล้วไหมล่ะนั่น...ผมนึกอยากปิดหน้าแล้วร้องไห้
“พี่เอื้อ” ผมเกาหัวแกรกๆ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ไม่รู้! พอฉันกลับไปที่ห้อง อยู่ดีๆ ก็กลับไปเป็นกบอีก... กว่าจะหาทางแอบออกมาจากตึกได้แม่งโคตรยาก แถมยังต้องฝ่ารถ หมาไล่กวด หลบท่อมรณะของกทม. ทั้งหมดเพื่อกลับมาหานาย! แต่มาปุ๊บก็เจอน้องยอดมนุษย์นั่นน่ะ...ไอ้เจ้าเด็กปีศาจนั่นจู่ๆ ก็เอาสัตว์ประหลาดมารุมจู่โจมตีฉันใหญ่เลย น้องสาวนายก็เอาแต่กรี๊ด
“...” ไอ้ช่วงครึ่งหลังของเรื่องพอนึกภาพออก แต่ไอ้ที่พี่เอื้อหาวิธีมาบ้านผมได้นี่ภาพกลายเป็นการ์ตูนพิกซาร์ไปแล้ว ดีนะไม่ต้องลอดมาตามท่อระบายน้ำ
“เรื่องนั้นช่างเถอะ” ตุ๊กตากบทำท่าโบกไม้โบกมือ “เอาเป็นว่านายจูบฉันอีกทีซิ”
“ตอนนี้?”
“เออสิ”
“อ่า แต่พี่ไส้ทะลักแบบนี้ ถ้าคืนร่างเดิมแล้ว...จะ เอ่อ...” ผมไม่กล้าพูดต่อ แต่ดูเหมือนพี่เอื้อจะเข้าใจความหมายดี เพราะวินาทีต่อมาเขาก็สั่งเสียงเข้ม “เย็บฉันซะ!”
ทว่าก่อนจะได้ทำอะไร ก็มีเสียงแหววๆ ดังมาจากนอกประตู
“พี่เดือนนนน ไอติมของแตงโมล่ะ”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละๆ” ผมตะโกนบอกน้องสาว ก่อนวางพี่เอื้อซึ่งท้องยังแบะไว้บนเตียงและเอ่ยเสียงเบา “เดี๋ยวผมกลับมา”
สุดท้ายตุ๊กตากบก็กลับมาอยู่บนเตียงของผมอีกจนได้ ฮืออออ
พอกลับมาถึงบ้าน เดิมทีคิดว่าสิ่งที่รอต้อนรับผมอยู่คือตุ๊กตากบตัวหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นอาน้อยที่ยืนกอดอกแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจ ผมส่งคืนเจ้าหญิงของอาให้ พลางหันไปมองน้องชะ ก่อนจะจับจูงแฟนหนุ่มน้อยของน้องสาวกลับไปส่งที่บ้าน
ก็เลยอยู่นั่งกินขนมดูซีรีส์ส่องหนุ่มร้องผัวๆ ที่บ้านน้องเขาซึ่งก็คือบ้านเพื่อนผมอยู่อีกเกือบสองชั่วโมง กว่าจะกลับถึงบ้านอีกทีก็เกือบห้าทุ่ม ด้วยความที่ขี้เกียจเปิดไฟ เห็นว่าไหนๆ ก็จะนอนแล้วก็เลยเตะเอาของเล่นที่กองเรี่ยราดให้หลบไปทางหนึ่ง จากนั้นก็ตรงไปอาบน้ำแล้วก็ขึ้นห้อง
ตอนเปิดประตูห้องนอนตัวเอง ผมถึงค่อยนึกได้ว่าลืมอะไรไป
“...ยังจำได้เหรอว่าต้องกลับบ้านน่ะ”
“พี่เอื้อ นั่นมันบทพูดของพ่อที่รอลูกสาวกลับบ้านดึกนะ”
“มาภา! นายกล้าทิ้งฉัน”
“อันนี้บทพูดของพระเอกอายุน้อยที่ถูกทิ้ง”
“...จะเพ้อเจ้ออีกนานไหมครับน้องเดือน”
“ขอโทษครับพ่อ”
“เตือนพี่ด้วยว่าติดหนี้ ‘ขาคู่’ อยู่หนึ่งคิก”
“...” ใคร้ ใครมันจะเตือน!
สุดท้ายผมอุ้มตุ๊กตากบที่แลดูจะมีสภาพจิตหดหู่ลงมาข้างล่าง จากนั้นก็เปิดไฟทั้งบ้าน พยายามเก็บนุ่นยัดกลับไปให้ครบ...ซึ่งโคตรเหนื่อย ก่อนจะเดินไปหาอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนอย่างหมดเรี่ยวแรง อันที่จริง ไม่นับเรื่องที่ฝีมือเย็บผ้าผมไม่เอาอ่าวแล้วเนี่ย ไอ้การที่ผมกัดฟันยอมเย็บพี่เอื้อก็เพราะไม่อยากเสี่ยง เกิดมีศพไส้ทะลักนอนตายกลางพื้นห้องจะให้ทำยังไงกัน
หล่อแค่ไหนก็ไม่เอาอ่ะ!
ระหว่างเริ่มกระบวนการซ่อมแซม พี่เอื้อก็เอ่ยขึ้นมาเป็นระยะๆ “นาย...ไหวไหมเนี่ย”
“พี่อย่ากวนสมาธิผม!” ผมเอ็ดเขา
จนในที่สุดผมก็เย็บเสร็จ พอมองผลงานบูดเบี้ยวของตัวเองแล้ว ผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ...พอถูไถก็เอาแล้วน่า พี่เอื้อเองก็มองสภาพแสนอนาถแล้วทำเสียงแปลกๆ เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ
“เอาล่ะ ไหนนายลองจูบฉันอีกทีซิ” พี่เอื้อเอ่ยเนิบๆ ผมมองตุ๊กตายัดนุ่นตรงหน้าด้วยสายตาเหมือนถูกสั่งให้ไปออกรบที่ยังไงก็ตายแหงแก๋ “เอ้า เร็วเข้า แค่จูบฉันนิดเดียว ไม่ได้ส่งไปรบสักหน่อย”
...เอ่อ ไม่ได้ส่งไปรบก็จริง แต่การเจอผู้ชายหล่อเปลือยอยู่ตรงหน้านี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าส่งไปรบอีกเหอะ คิดแล้วผมได้แต่หลับตาปี๋ ก่อนจะจูบตุ๊กตากบอีกครั้ง...ฮึบ
จุ๊บ!
“อ้าว...”
ในมือของผมยังคงเป็นตุ๊กตากบเหมือนเดิม ผมกับพี่เอื้อได้แต่มองหน้ากันอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
••TBC
เธอมองฉันฉันก็มองเธอ~
บอกแล้วว่าเรื่องนี้ รักอลวนเดี๋ยวคนเดี๋ยวกบค่ะ 5555+
ขอบคุณที่แวะกันเข้ามานะคะ
เดี๋ยวจะพยายามมาให้เร็วขึ้น เพราะเรื่องนี้เขียนจบแล้วค่ะ พอดีต้นฉบับเรามันต้องมาเคาะเว้นบรรรทัดเลยเสียเวลาในการลงกว่าปกติที่โปะๆ ไปก็จบ