บทที่ 2 ใกล้กว่าเดิม(2)...............
และแล้ววันเกิดคุณอิทธิพลก็มาถึง...
หลังจาก ผ่านพ้นราวหนึ่งเดือน แขกเหรื่อมาตามคำเชื้อเชิญพร้อมของขวัญติดมือไม่มีขาด
มีหนึ่งคนที่มีจุดมุ่งหมายต่างจากการมาอวยพรทั่วไป ได้แต่สอดส่องหาป้าคนนั้นว่าอยู่ไหน จนกระทั่ง จิณณ์เจอะป้ากำลังยืนสั่งเด็กให้เสิร์ฟเครื่องดื่ม เขาปลีกตัวจากพ่อและปรี่ไปหา
"ป้าครับ""คุณ..!""น้องคนนั้นเป็นไงบ้างครับ?" จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"แย่ค่ะ จะเป็นไปได้ไหม? ถ้าคุณจะพาออกไปวันนี้"
จิณณ์พยักหน้าน้อยๆ เพราะจุดประสงค์ที่มาก็อยากช่วยอยู่แล้ว จิณณ์ถามป้าแก้วเพิ่มเติมถึงการเข้า-ออกของบ้านหลังนี้ที่นอกเหนือจากด้านหน้า
เมื่อได้คำตอบว่ายังมีทางออกอื่นๆอีก เขาตกลงกันได้เรียบร้อย จึงเดินออกจากบ้านไปขยับรถให้อยู่ใกล้ทางออกนั้นที่สุด
เป็นจังหวะดีที่ผู้คนมางานวันเกิดกันคับคั่ง ทำให้จิณณ์เล็ดรอดสายตาจากการ์ดของคุณอิทธิพลได้ เขาเดินออกไปเปลี่ยนตำแหน่งจอดรถเสร็จสรรพก็เดินกลับเข้ามายังส่วนห้องโถงของการจัดงาน กวาดสายตามองว่ามีใครมองจิณณ์ผิดปกติหรือไม่ ปรากฎว่าไม่ ทุกคนยังสังสรรค์ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าสนุกสนาน แถมเสียงดังระงมจากการจับกลุ่มคุยสนทนากันเป็นส่วนมาก
หลังจากนั้น จิณณ์เดินไปหาป้าแก้วตามนัด คือ ละแวกห้องน้ำ
เจอะหน้ากัน ทั้งสองรีบดิ่งไปยังห้องลึกลับ แต่ก็พยายามมองซ้าย มองขวาไปด้วย...
จิณณ์เริ่มเหงื่อแตก เพราะเอาเข้าจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ใจกล้า บ้าบิ่นทำอะไรแบบนี้ นับว่าเป็นการเสี่ยงตายมากสำหรับความคิดของเขา
ไขกุญแจเสร็จ พอประตูเปิดกว้าง สภาพที่จิณณ์เห็นเต็มสองตาคือ ภาพชายหนุ่มนั่งพิงกำแพง หลับตา ร่างกายมีแผลเต็มตัวจนดูไม่ได้
จิณณ์ดึงสติกลับเมื่อเสียงป้าแก้วดังขึ้น
"คุณอิสคะ ป้าพาคนที่ช่วยคุณอิสมาได้แล้วนะคะ"
อิสระลืมตามองผู้มาใหม่และยกมือไหว้
"สวัสดีครับ ขอบคุณนะครับที่คิดจะช่วยผม"
จิณณ์ยิ้มและก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้ใกล้ตัวอิสระสักหน่อย ส่วนป้าแก้วขอตัวออกไปดูลาดเลา จิณณ์ไม่อยากให้เสียเวลา ย่อตัวลง ดึงมืออิสระให้ลุกขึ้น แต่เขากลับโดนผลักอย่างแรง
"คุณเป็นอะไร?" จิณณ์ถาม อิสระชะงัก
เขาไม่คุ้นชินที่คนแปลกหน้าโดนตัวอาจเพราะยังกลัวๆอยู่
"ข...ขอโทษครับ" จิณณ์เอียงคอมอง จนได้คำตอบในใจว่าอิสระน่าจะยังหวาดกลัวอยู่?
จิณณ์เลือกที่จะไม่แตะตัว...ได้แต่บอกให้อิสระลุกตาม...ขณะที่ สองคนกำลังเดินออกจากห้อง...
ปัง!
ป้าแก้วงับประตู พอจิณณ์จะเปิดก็เหมือนมีคนจับไว้ ในจังหวะนั้น จิณณ์หยุดเท้า และกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ เมื่อได้ยินเสียงแว่วๆของคนคุยกันด้านนอก เขาจึงแนบหูไปที่บานประตู
"ทำอะไรน่ะ ป้าแก้ว"
"ป้าลืมน่ะสิว่าเอาชุดจานข้าวออกไปหรือยัง วันนี้ งานวันเกิดคุณท่าน ป้าเลยยุ่งจนจำไม่ได้"
"อ่อ...เออ...แล้วป้าแก้วเห็นมีคนขึ้นมาไหม? เมื่อกี้ผมเห็นเงาแวบๆน่ะ"
สิ้นคำนั้น จิณณ์ใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก
"ก็ป้าเองไง เอ้! อย่ามาพูดให้ป้ากลัว นายกรณ์"
"อยู่มาตั้งนาน มากลัวอะไรกับคำพูดผม"
"ไปๆ รีบลงไปข้างล่างๆได้แล้ว" ป้าแก้วบ่ายเบี่ยง
"ป้าแก้วลงไปก่อนเถอะ คุณอิทธิพลเพิ่งไล่ผมให้มาเฝ้าคุณอิสระนะ เขาบอกเห็นเหมือนมีคนเดินขึ้นมา"
ด้านนอกเงียบลง จนจิณณ์ถึงกับหลุดสบถในบำคอ
ฉิบหายแล้วไง!!
เพียงได้ยินประโยคหลัง เขาชักหวั่นๆ เมื่อการที่เขาคิดว่าจะรอดสายตากลับไม่เป็นอย่างที่คิด
ประเด็นสำคัญ ไม่ใช่แค่พาอิสระออกไปไม่ได้เท่านั้น แต่เขายังโดนขังอยู่ในนี้ด้วย แล้วถ้าเขาหายไปในงานแบบนี้นานๆ จะมีใครสงสัยไหม?
ทันใดนั้น เขารีบส่งข้อความโกหกพ่ออ้างว่ามีธุระด่วนเลยขอออกจากงานเลี้ยงไปก่อน
ในขณะที่จิณณ์จัดการเรื่องของตัวเองได้ ทางฝั่งอิสระกลับทรุดตัวลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง
และแล้ววันนี้ก็ยังไม่ใช่วันของเขาอีกจนได้ อิสระต้องใช้เวลาอีกเมื่อไหร่ถึงจะหนีนรกนี้ไปให้พ้นๆ
อิสระถอนหายใจ และฟุบหน้าลงกอดเข่า
"คุณอย่าเพิ่งท้อ คุณต้องออกไปได้แน่ๆ"
"ผ..ม...""คุณครับ" เอื้อมมือไปแตะหัวไหล่เบาๆ อิสระสะดุ้ง เงยหน้ามองด้วยแววตาของคนหมดหวัง
"คุณโอเคนะ" อิสระส่ายศรีษะ
"ผ...ม ขอโทษครับ ที่ทำให้คุณต้องมาติดอยู่ในนี้ด้วย" จิณณ์ฝืนยิ้ม ทั้งๆที่ใจก็ไม่อยากยิ้มนักหรอก เขาก็ยังกลัวอยู่
จากนั้น ต่างฝ่าย ต่างเงียบกินเวลากว่าสิบห้านาที เพราะทั้งสองยังคงเครียดกับเรื่องนี้พอสมควร
แต่เมื่อรู้ว่ายิ่งเงียบยิ่งเครียดกว่าเดิม แถมดูจะเปล่าประโยชน์อีกด้วย จากที่เดินไปมาในห้องเล็กๆ จิณณ์หย่อนกายลงนั่งข้างๆอิสระ
ไหนๆก็ติดอยู่ในนี้แล้ว เขาคงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี จิณณ์จึงหาเรื่องชวนอิสระคุย
"ผมอยากรู้เรื่องคุณมากกว่านี้ คุณชื่ออะไรครับ?" ถามเพื่อต้องการรู้จักตัวตนอิสระมากขึ้น
"อิส-อิสระครับ"
"ชีวิตคุณคงตลกร้ายไปหน่อยนะ ชื่ออิสระ แต่โดนกักขังแบบนี้ ผมชื่อจิณณ์" อิสระแค่นยิ้ม ก่อนตอบ
"ครับ คุณจิณณ์" "ขอถามหน่อย? ว่าคุณเป็นอะไรกับคุณอิทธิพล"
อิสระเงียบไม่ตอบ จนจิณณ์คิดว่าเขาคงไม่พร้อมจะตอบเรื่องนี้
"ไม่สะดวกตอบ ไม่เป็นไรนะครับ ผมเข้าใจ"
"คุณรู้ไหม ? ผมเคยทำแบบนี้ กับแขกที่มาหาคุณอิทธิพลครั้งหนึ่ง แต่เขาคนนั้นเอาไปฟ้อง วันนั้น ผมโดนซ้อมเกือบตาย"
"จริงหรือ? แล้วทำไมคุณถึงทำแบบนี้อีกล่ะ ไม่กลัวผมจะฟ้องบ้างหรือ?""ไม่ครับ ป้าแก้วมาบอกผมก่อนว่าคุณน่าจะเป็นคนดี ให้ลองดู" ประโยคธรรมดา แต่จิณณ์กลับรู้สึกดี นี่สินะที่ ว่ากันว่าการเป็นผู้ให้ และได้ช่วยเหลือผู้อื่นมันสร้างคุณค่าต่อจิตใจเราได้ดีจริงๆ
"คุณอายุเท่าไหร่แล้ว?"
"ยี่สิบสอง"
"คุณล่ะ" จิณณ์ยิ้มแห้งก่อนตอบ
"เรื่องอายุผมคุณอย่าสนใจเลย มันก็แค่ตัวเลข?"
คนที่ดูเครียดในตอนแรกกลับหลุดยิ้มจนจิณณ์เผลอยิ้มตาม
"แสดงว่าคุณแก่กว่า""ก็ไม่เท่าไหร่หรอกน่า ผมว่าเราควรเปลี่ยนเรื่องนะ"
ท่ามกลางความทุกข์ ก็ยังมีสิ่งเล็กๆที่สร้างรอยยิ้มได้เหมือนกัน อิสระไม่คิดว่าการได้เปิดบทสนทนาคุยกับคนนี้แล้วทำให้เขารู้สึกว่าสบายใจ
อิสระยิ้มขำ แต่ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรต่อ จึงเงียบเสียงลง
จังหวะที่ทั้งสองต่างเงียบไปขณะหนึ่ง จิณณ์ไล่สายตามองตามตัวอิสระ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแผลเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา อิสระกำลังจะสะบัด เพียงแค่เห็นสายตาอีกฝ่าย และน้ำเสียงที่ฉายชัดถึงความเป็นห่วงจริงใจจริงจัง อิสระกลับปล่อยให้เขาแตะต้องตัวไปอย่างนั้น
"เจ็บไหม?" อิสระละสายตาจากใบหน้าหล่อคม ก้มมองมืออุ่นๆที่แตะแผลเขาอยู่
"ชินแล้วครับ""ทำไม? คุณโดนมานานแล้วหรือ?"
อิสระพยักหน้า
"นานแค่ไหน?""ตั้งแต่โดนขังก็สี่ปีได้มั้งครับ""ห๊ะ!! นานขนาดนั้นเลยหรือ? ผมนึกว่าคุณแค่โดนขัง ไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายซะอีก คุณเล่าให้ฟังได้ไหม" อิสระยิ้มเยาะชีวิตตัวเอง
"เรื่องของผมมันน่าสมเพชครับ ผมกลัวคุณฟังแล้วจะหดหู่ใจไปเปล่าๆ" จิณณ์ถอนหายใจก่อนจะเลื่อนมือตัวเองไปวางทาบบนมือเด็กหนุ่ม
"ทนอีกนิดนะ อิสระ พี่จะพาเราออกไป" อิสระเงยหน้ามองคนที่เปลี่ยนสรรพนาม เพื่อแสดงถึงความสนิทสนม
จากคำพูดกระดาก กระด้างที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ พอได้ยินเสียงนุ่ม รื่นหู น่าฟังมันทำให้หัวใจของอิสระรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ทำไมผู้ชายคนนี้กลับมีจิตเมตตา ยื่นมือเข้ามาช่วยเขา ทั้งๆที่เขาไม่ได้อะไรจากเรื่องนี้เลยสักนิด แถมอิสระเองก็คงไม่มีอะไรให้เขาหลอก ทั้ง ทรัพย์สินเงินทอง หรือสภาพร่างกายก็ไม่ได้ดูดี มีแต่แผลเป็นจนเหมือนตุ๊กแกที่ใครเห็นคงรังเกียจน่าดู
อิสระยิ้มน้ำตาคลอเบ้า เพราะไม่คิดว่าจะมีคนดีๆแบบนี้อยู่
"ไม่เอาสิ เข็มแข็งนะครับ" บอกและใช้ปลายนิ้วเกลี่ยรอบดวงตาอิสระ จิณณ์เอ็นดูเด็กคนนี้ การได้เห็นชีวิตของอิสระทำให้รู้เลยว่า บนโลกใบนี้ ยังมีคนที่แย่กว่าเราอีกมาก
จิณณ์สงสารและเห็นใจอิสระที่ไม่มีทางเลือก ต้องถูกคุมขัง โดยไม่สามารถไปไหนได้ จะไปเที่ยวเล่น ช็อปปิ้ง กินอาหารอร่อยๆ ก็คงไม่มีโอกาส กลับกัน จิณณ์สามารถใช้ชีวิตอิสระและได้ทำตามใจชอบ
จิณณ์ย้อนกลับมามองตัวเองว่าเขาโชคดีแค่ไหน...ที่ไม่ได้เป็นอย่างอิสระ
จิณณ์สัญญากับตัวเองแล้วว่า ไม่ว่าจะร้ายดียังไง เขาจะพาอิสระออกไปให้ได้
สองชั่วโมงผ่านไปที่ทั้งสองยังคงคุยกันไปเรื่อยๆ จนเวลานี้ ก็เริ่มจะคุ้นเคยและสนิทสนมมากขึ้น
"ถ้าป้าแก้วพาพี่จิณณ์ออกไปไม่ได้ และต้องติดอยู่ในนี้เป็นสัปดาห์ พี่จิณณ์จะทำยังไงครับ"
"พี่ก็อยู่เป็นเพื่อนอิสไง อิสจะได้ไม่เหงา ไม่ต้องอยู่คนเดียวเหมือนแต่ก่อน" อิสระขำ ที่พี่จิณณ์ทำให้เรื่องเครียดกลายเป็นเรื่องตลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
"พี่จิณณ์อยู่แต่ในนี้ มันไม่มีอะไรน่าสนุกหรอกนะครับ น่าเบื่อจะตาย" จิณณ์แนบหน้าลงบนหัวเข่า เอียงคอมองอิสระก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ
"ถ้ามีอิสระอยู่ พี่ว่ามันคงไม่น่าเบื่อหรอกมั้ง"
สิ้นคำ อิสระสบตามองคนตอบ เขาเห็นรอยยิ้มละมุนและสายตาอบอุ่น จนอิสระต้องรีบก้มหน้างุด
กี่ปีแล้วนะที่อิสระไม่เคยได้รับรู้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจแบบนี้
พี่จิณณ์กำลังทำให้อิสระรู้สึกว่าเขาได้รับการปกป้อง
หัวใจสีหม่นของอิสระกำลังคลายกลายเป็นสีสดใสจากคำพูดของเขา
"พี่จิณณ์เป็นคนดีจังนะครับ" อยู่ดีๆ จิณณ์ก็พูดขึ้นมาโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำตอบก่อนหน้า แต่ที่ทำให้อิสระชะงักงัน คือ จิณณ์ดึงมืออิสระไปกุมไว้แน่น
"ถ้าอิสจะออกจากที่นี่ไปได้ ก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ ส่วนพี่จะช่วยสุดความสามารถ" บอกอิสระจริงจัง เพราะจากเหตุการณ์วันนี้ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย เขามองเห็นโอกาสก็จริง แต่สิ่งที่จิณณ์ต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน คือ ควรวางแผนให้รอบคอบกว่านี้
"ครับผม เอ่อ..พี่จิณณ์ครับ ผมง่วงขอนอนก่อนได้ไหม?" เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือนี่เพิ่งห้าทุ่มเอง ทำไมอิสระนอนไวจังสงสัยคงเคยชินกับการนอนเวลานี้ เพราะอย่างว่าการอยู่ในห้องว่างเปล่า การนอนหลับคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
"ได้ครับ" พออิสระหลับ จิณณ์คว้าโทรศัพท์มือถือมาดูก็พบว่ามีแบตเตอรี่เหลือไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ สงสัยเขาคงต้องงีบตามอิสระเสียแล้ว แต่ก่อนหลับ จิณณ์มองคนที่หลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้มจริงใจ การได้พุดคุยกับอิสระทำให้รู้ว่าเด็กคนนี้มีความคิด ความอ่านที่ดี มีความฝันเหมือนคนทั่วไปและเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่มีพิษ มีภัย จิณณ์เอื้อมมือไปแตะใบหน้าที่เคลือบความโศกเศร้าไว้
จิณณ์ขยับตัวไป
ใกล้กว่าเดิม ก้มลงหวังจะกระซิบบอก แต่เพราะกะจังหวะผิด จมูกโด่งจึงเฉียดผิวแก้มเด็กหนุ่ม...จนเขาเองก็เผลอชะงัก จากนั้นก็เอ่ยถ้อยคำ
"ยินดีที่ได้รู้จัก ฝันดีนะครับ" ยามเช้าวันใหม่...
แสงสว่างสาดส่องผ่านผ้าม่านเนื้อบาง อิสระลืมตาขึ้นมาก็เห็นแสงแดดอ่อน ณ เวลานี้ เขาคาดการณ์ไว้ว่าคงเจ็ดโมงเช้า เด็กหนุ่มลุกพรวดจากพื้น กวาดสายตาจนทั่วก็ไม่มีพี่จิณณ์อยู่ในห้องนี้แล้ว
ป้าแก้วคงพาพี่จิณณ์ออกไปได้
อิสระรู้สึกแปลกกับตัวเอง เขาใจโหวงๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เขาก็อยู่คนเดียวในห้องว่างเปล่าแบบนี้ได้ แต่พอรู้ว่าใครคนหนึ่งออกไป ทำไมมันช่างอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
อิสระใช้สองมือโอบกอดตัวเองแนบแน่น ทำไมเวลาแห่งความสุขของเขามันผ่านไปเร็วขนาดนี้ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า เขายังยิ้มหัวเราะกับคนข้างๆอยู่เลย แต่ ณ นาทีนี้ ห้องได้ถูกปกคลุมด้วยความเงียบเหงา เดียวดายอีกครั้ง...
...............................