Her Husband! เจ้าบ่าวคืนสุดท้าย
Chapter II : พิศวาส ตัดไม่ขาดอนาถใจ
"ขอขึ้นไปบนห้องด้วยได้ไหม" ตอนที่ศักดาจอดรถหน้าประตูทางเข้าคอนโดผม เขาก็ถามขึ้นมาทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู
ผมหันไปสบตาเขาก็พบว่าในแววตาของชายคนนี้มีความสนุกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ที่ผมเองก็พอรู้…บางทีผมควรจะคุยกับเขาเรื่องผู้หญิงคนนั้นได้แล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้แก้ไขทันก่อนที่เรื่องมันจะสายเกินไปจนอยากที่จะแก้ไข
นั่นหมายถึงวันนั้นทุกคนที่อยู่ในวังวนรักนี้จะเจ็บปวดเหมือนกันหมด
"จะปล้ำผมหรือไง มองตาก็รู้แล้ว"
ศักดาทำหน้าม่อยแล้วเอาหัวมาเกยไหล่ผมเหมือนลูกแมวกำลังอ้อน "โธ่ ผมทำเพราะรักน้ำนะ เราก็มีความสุขไปพร้อมๆ กันไง อีกอย่างเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เราไม่ได้เจอกัน น้ำไม่ได้คิดถึงผมสักนิดเลยเหรอไง ผมน่ะคิดถึงน้ำจนจะขาดใจนายอยู่แล้วนะ..."
ชายหนุ่มพูดจบก็จับมือผมที่วางบนตักเอาไปไว้ใต้อกซ้ายที่สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังเต้นตุบตับอยู่ในนั้น
"ผมรักน้ำนะ...อยากอยู่กับน้ำนานๆ หน่อย อาทิตย์หน้านี้ผมก็ต้องไปดูงานที่ต่างจังหวัดอีก กว่าจะได้กลับมาก็เย็นวันศุกร์เลย ผมคงคิดถึงน้ำมากแน่ๆ"
ผมยิ้มจางๆ กับคำสารภาพอย่างจริงใจนั้นและเชื่ออย่างเต็มอกด้วยว่าศักดาก็รู้สึกตามแบบที่เขาพูดจริงๆ
เพราะฉะนั้นผมควรจะคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมามากกว่าเก็บมาคิดเองแล้วก็เจ็บเองแบบนี้...แต่หากความจริงมันเป็นแบบที่ผู้หญิงคนนั้นพูดล่ะ ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี
"ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ค้างด้วยกันเลยได้ไหม"
ศักดาหน้าหมองลงอีกรอบ "เย็นนี้ผมต้องกลับไปทานข้าวกับแม่น่ะ เพราะไม่ได้ไปหาท่านหลายวันแล้วกลัวจะน้อยใจ"
ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ "ถ้าอย่างนั้นอยู่ด้วยกันจนถึงก่อนออกหาแม่ก็ได้ ผมก็คิดถึงดาเหมือนกัน ไม่ได้นอนกอดตั้งนานแน่ะ"
"ได้เลยครับ"
เราสองคนใช้เวลาอยู่ในห้องทั้งวันหลังจากกลับมาจากไปดูหนังจนเหลือเวลาอีกประมาณสามสิบนาทีศักดาจะต้องขับรถไปบ้านแม่ผมเลยตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสนี้คุยเลยก็แล้วกัน หวังว่าประเด็นคงไม่ทำให้ศักดาคิดมากอีกนะ เพราะแค่ปัญหาครอบครัวไม่ยอมรับความชอบของเขาก็ถือว่าหนักหนาพอสมควรแล้ว
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละครับ...ไม่มีพ่อแม่คนไหนเกลียดลูกหรอก สิ่งที่พวกท่านบอกคงดีที่สุดแล้วจากคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน แม้ว่านั่นจะต้องแลกมาซึ่งความเสียใจของลูกตัวเองก็ตามทีเถอะ
"จะไปแล้วเหรอดา" ผมเดินไปหยุดข้างหลังศักดาที่กำลังก้มผูกเชือกรองเท้าผ้าใบอยู่
"ครับ ไปละ เผื่อขับรถไปอีกต้องใช้เวลานาน"
พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จศักดาก็ลุกขึ้นมายืนเต็มความสูงพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้
ผมกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะเข้าไปสวมกอดศักดาเอาไว้เหมือนทุกครั้งเวลาเขามาหาผมและเตรียมตัวกลับบ้าน
"ขับรถดีๆ นะครับ" ผมกระซิบเสียงแผ่วเบาบนแผ่นหลังกว้างแต่แสนอบอุ่นของศักดา
"น้ำเป็นอะไรหรือเปล่า...ดูแปลกๆ ตั้งแต่ตอนอยู่ห้างแล้วนะ มีอะไรอยากบอกผมหรือเปล่า"
ศักดาจับปลายคางผมให้เชิดขึ้นมองหน้าเขาเต็มตาทำให้ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือเตรียมใจการสนทนาได้อีกแล้ว
"แน่ใจเหรอว่าดาอยากฟัง"
"ทำไมน้ำพูดแบบนี้ล่ะ ผมใจไม่ดีเลย เรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ..."
ความจริงใจที่ถูกส่งผ่านสายตามาทำให้ผมเริ่มไขว้เขวว่าศักดาอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ และผู้หญิงคนนั้นก็เป็นฝ่ายโกหกเอง
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วผ่อนมันออกมาช้าๆ พร้อมกับเรียบเรียงคำพูดที่ต้องการจะสื่อออกไปด้วย
"ผมจะเล่า...แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งว่าดาต้องพูดกับความจริงกับผมทุกอย่าง ห้ามโกหก...ถ้าผมรู้ว่าดาโกหกเราเลิกกันอย่างเดียว"
"…ผมไม่มีวันโกหกน้ำ"
"มีผู้หญิงคนหนึ่งเขามาหาผมตอนที่ดาออกไปคุยโทรศัพท์แล้วเขาบอกว่าดาเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกับเขา..." ผมเปิดฉากเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามความจริงแบบไม่บิดพลิ้วเลยแม้แต่น้อย
ศักดาทำหน้าเครียดขึ้นเรื่อยๆ พอผมพูดจบเราก็นิ่งกันไปสักพัก เพราะผมก็ต้องการให้เวลาศักดาตอบคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาและรู้ดีด้วยว่าศักดาไม่มีทางโกหกผมแน่ๆ ให้เวลาเขาสักนิดเถอะในเมื่อเรื่องนี้มันค่อนข้างร้ายแรงต่อความรู้สึกเราสองคน
เวลาผ่านไปประมาณห้านาทีที่เรายืนนิ่งเงียบกันอยู่แบบนั้น มันเงียบมากจนหูผมได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาที่แขวนไว้ด้านข้างเดินไปมา
เคยมีคนบอกเหมือนกันว่าเสียงเข็มนาฬิกาเดินตอนเงียบๆ นี่กดดันที่สุดในโลกเลยล่ะ!
"ถ้าผมบอกว่าผมไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นและเธอไม่ได้ท้องแค่ต้องการจะปั่นประสารทเพื่อให้น้ำออกไปจากชีวิตผมต่างหาก น้ำจะเชื่อผมไหม"
"เชื่อสิ..." ผมพยักหน้ารับคำ...ผมเชื่อเสมอว่าเขาจะไม่มีวันโกหกผมเด็ดขาด
ความเชื่อใจเป็นพื้นฐานหนึ่งของความรัก...หากปราศจากสิ่งนี้แล้วเราจะใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุขได้ยังไง ถ้ามัวแต่ระแวงมันไปหมดแบบนี้
"สิ่งที่ผมอยากจะบอกน้ำคืองานแต่งงานจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าบนโบสถ์แห่งหนึ่งบนภูเขา"
"…" ผมรู้ดีว่ายังไงซะวันนี้ก็ต้องมาถึงแน่ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็เจ็บแทบขาดใจหากต้องรับรู้ว่าเขาได้กลายเป็นของคนอื่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ถึงแม้ว่าความจริงเรื่องลูกในท้องของผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคำโกหกที่เธอปรุงแต่งขึ้นมาก็ตามแต่สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายชนะใจและได้ศักดาไปครอบครองอยู่ดี...แบบนี้มันต่างอะไรกับการตกนรกตายทั้งเป็นล่ะ
"น้ำ...ผมขอโทษ" ศักดากระชับตัวผมเข้าไปกอดในอ้อมอกแสนอุ่นนั่นพร้อมกับลูบหัวผมและโยกตัวไปมาราวกับกำลังปลอบเด็กน้อยขี้แยคนหนึ่ง
น้ำตาผมไหลลงมากับความจริงที่รับรู้และอยากจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมันเหลือเกิน
"ผมรักดานะ...ดารักผมไหม"
"ผมรักน้ำเท่ากับชีวิตตัวเอง...อย่าร้องไห้เลยครับ"
"ผมจะทำยังไง จะให้ผมอยู่เฉยๆ ได้อีกเหรอ เมื่อรู้ว่าดากำลังจะเป็นแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงคนอื่น ทั้งที่เราเคยสัญญาต่อกันแท้ๆ ว่าจะไม่แต่งงานและอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า"
"ผมขอโทษ..."
สิ่งที่เราสองคนเคยสัญญากันมันคงเป็นแค่คำพูดแสนหวานที่แสดงความรักต่อกันเท่านั้นเอง ผมเข้าใจดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในเมื่อศักดาต้องแต่งงานเพื่อมีทายาทไว้สืบสกุล
ความรักทำไมมันช่างเจ็บปวดแบบนี้...ในเมื่อมันทำให้เราเจ็บแล้วทำไมคนมากมายถึงอยากจะมีรักนะ หรือเป็นเพราะความรักทำให้คนตาบอดกันแน่
เนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึกที่เราสองคนกอดกันอยู่แบบนั้นจนผมเริ่มควบคุมสติตัวเองกลับมาได้จึงผละออกอ้อมกอดศักดาและก้มหน้ามองพื้น
เพราะถ้าผมมองเขาตอนนี้ต้องน้ำตาไหลออกมาอีกรอบแน่ๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลย...ผมเจ็บ แต่ศักดาซึ่งแบกรับทุกอย่างเอาไว้เจ็บกว่าหลายเท่า
"ผมจะลองคุยเรื่องนี้กับแม่ดูอีกทีนะครับ เวลาอีกสิบกว่าวันอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง"ศักดาเอ่ยออกมาในที่สุดเมื่อเห็นผมหยุดร้องไห้แล้ว
"ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ล่ะดา...เราสองคนจะทำยังไงกันดี" ผมถามออกไปอย่างเลื่อนลอย หมดหนทางในการแก้ไขปัญหา
"ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้หากเรามีศรัทธานะน้ำ...ผมจะรักษาความสุขของน้ำเอาไว้เอง"
ผมเหม่อมองไปยังบานประตูด้านหลังอย่างคนคิดอะไรไม่ออก...ถ้าความสุขมันง่ายดายขนาดนั้นคงจะดีสินะ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเหลืออีกประมาณสี่วันก็จะถึงงานแต่งงานที่ว่านั่นแล้ว
เราสองคนยังใช้เวลาด้วยกันเหมือนเคย อาจจะเป็นเพราะรู้ด้วยล่ะมั้งว่าความสุขอาจจะอยู่กับเราไม่นานอีกแล้ว ตอนนี้ถ้าสามารถสร้างรอยยิ้มและมอบความทรงจำให้กันได้เราก็จะทำ
ศักดาบอกผมว่าได้ลองคุยเรื่องนั้นกับแม่แล้ว ท่านเองก็มีท่าทีผ่อนคลายลงมากแต่ยังคงแข็งกระด้างอยู่พอสมควร วันนี้กลับบ้านไปทานข้าวตอนเย็นจะคุยอีกครั้ง
ผมเชื่อหมดใจเลยครับว่าทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่มีอุปสรรค ใสซื่อจนลืมนึกไปเลยว่างานแต่งงานที่จัดเตรียมมาแล้วจะสามารถยกเลิกได้ภายในสองอาทิตย์ได้อย่างไร
กว่าจะรู้ตัว...ความเจ็บปวดนั้นก็โอบล้อมผมไว้อย่างช้าๆ แล้ว
ตอนบ่ายหลังจากที่ศักดาขอตัวกลับบ้านไปก่อนผมเองก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยโทรหาเพื่อนที่แผนกเผื่อจะออกไปเที่ยวด้วยกันคลายเครียดบ้าง
[ว่าไงน้ำ โทรมามีอะไรหรือเปล่า]
"ไม่มีอะไรหรอกเดียร์ น้ำแค่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยอยากชวนออกไปเที่ยว"
[เอาสิ เดียร์ก็ว่างอยู่เหมือนกัน น้ำอยากไปเที่ยวไหนล่ะ]
ผมกัดริมฝีปากครุ่นคิดว่าในเวลานี้ สภาพอารมณ์ผมแบบนี้ควรจะไปที่ไหนดี "เดียร์ช่วยคิดหน่อยสิ"
ปลายสายเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น [เอางี้สิ เดียร์อยากไปดูดวงพอดี ไปกันนะ เห็นแตนบอกว่ามีหมอดูคนหนึ่งดูแม่นมากเลย]
"หมอดู...อย่างนั้นเหรอ"
ก็ดีเหมือนกันนะ...เผื่ออนาคตผมกับศักดาอาจจะได้ครองรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลายก็ได้ใครจะไปรู้...
ตอนนี้ผมกับเดียร์กำลังยืนอยู่หน้าร้าน เอ่อ...ไม่แน่ใจว่าใช้คำว่าร้านได้ไหม มองซ้ายมองขวาแล้วมันไม่ให้ความรู้สึกนั้นเลย มันเหมือนกระโจมที่ทหารตั้งป้อมไว้รอรบมากกว่า ซึ่งบอกตามตรงว่ามันดูน่าขนลุกเหลือเกินในสายตาผม
ยิ่งกระโจมเป็นสีดำเมื่อมยิ่งให้ความรู้สึกว่าถ้าก้าวขาเข้าไปแล้วจะไม่ได้ออกมาอีกยังไงก็ไม่รู้
"ทำไมมันน่ากลัวจังเลยเดียร์" ผมก้มหน้ากระซิบถามเดียร์ที่ทำท่าทางมุ่งมันว่าจะบุกเข้าไปในนี้ให้ได้
"สถานที่ดูดวงมันก็ต้องศักดิ์สิทธิ์แบบนี้แหละ แม่หมอคนนี้อ่ะดูแม่นมากเลยนะ ลองดูก่อนแล้วจะติดใจจนต้องกลับมาอีก"
ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วชวนเดียร์เดินเปิดม่านเข้าไปช้าๆ...
กลิ่นธูปลอยโชยมาแตะจมูกจนผมแทบจะอาเจียนออกมา ในนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ บนโต๊ะมีเทียนไขอยู่หนึ่งเล่มจุดไว้ให้ความสว่างอันน้อยนิดภายในห้อง และหลังโต๊ะตัวนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ แต่ตัวเหมือนชาวยิปซีมีผ้าปรกคลุมหน้าโล่มาแค่ดวงตา
นี่ผมมาทำอะไรที่นี่กันแน่เนี่ย!
"หนูมาส่งเพื่อนดูดวงค่ะ" เดียร์รีบออกตัวและจับผมนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าแล้วตัวเองออกไปยืนด้านหลังทันที แหม ไม่ค่อยเลยนะอยากให้ผมเป็นหนูทดลองก็บอกมาเถอะ เดี๋ยวออกไปต้องแกล้งคืนซะให้เข็ด!
ผมรวบรวมสติแล้วหันหน้ากลับมายกมือไหว้หมอดูคนนี้หนึ่งที เธอผงกหัวรับไหว้ผมเบาๆ โดยไม่พูดจาอะไรก่อนจะหยิบสำรับไพ่ที่วางด้านซ้ายมากระจายออกเป็นรูปครึ่งวงกลม
"หยิบไพ่ใบที่ตัวเองชอบออกมาสี่ใบ"
"ครับ..."
ผมรับคำและเลือกหยิบไพ่ออกมาสี่ใบ เริ่มแปลกใจกับคำพูดของหมอดูว่าให้เลือกใบที่ชอบแต่ผมไม่เห็นหน้าตาอีกด้านของไพ่เลย (?)
"นี่ครับ..."
ผมยื่นไพ่ทั้งสี่ใบให้หมอดูและเงียบรอฟังคำตอบ เธอรับมันไปก่อนจะมองสบตาผมด้วยแววตาทรงพลังนั่น
"เธอกำลังจะมีเคราะห์"
"…!"
ผมอึ้ง ตกใจ สับสนทุกอย่างจนมึนหัวไปหมด ทั้งที่ตอนแรกวางแผนว่าจะมาถามเรื่องความรักกับเรื่องของศักดาแต่ดันมารู้ชะตาชีวิตตัวเองอีก
"หมายความว่ายังไงครับ"
"เธอจะมีเคราะห์เพราะความรัก"
มีเคราะห์เพราะความรักอย่างนั้นเหรอ...?
หมอดูเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ "ใช้สติก่อนจะตัดสินใจทำอะไรทุกครั้ง คิดหน้าคิดหลังให้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันมีผลลัพธ์ยังไงบ้าง และคนบนฟ้าได้ลิขิตเอาไว้แล้ว ของของเราก็คือของของเรา หากไม่ใช่ก็อย่าไปยื้อหรือฝืนไว้เลย"
ผมกดความรู้สึกบางอย่างที่แล่นวาบเข้ามาในใจแล้วลุกพรวดออกจากที่นั่งและออกจากกระโจมหมอดูไปทันทีท่ามกล่างความตกใจของเดียร์ที่ตะโกนถามตามมาก่อนจะหันไปจ่ายเงินให้หมอดูในส่วนของผมและวิ่งตามออกมา โดยที่ผมไม่ได้ยินเลยว่าหมอดูคนนั้นพูดทิ้งท้ายไว้อีกประโยค
"บอกแล้วไงว่าให้ใช้สติ..."
ผมวิ่งลงมาถึงชั้นล่างของห้างและโบกแท็กซี่ไปบ้านของศักดาทันทีไม่สนใจฟังเสียงของเดียร์ที่ตะโกนตามไล่หลังมา คิดว่าเดี๋ยวหลังกลับไปค่อยส่งข้อความไปขอโทษและเลี้ยงข้าวสักมื้อแล้วกัน เฮ้อ...ผมนี่มันแย่จริงๆ ชวนเขาออกมาแล้วยังทิ้งเขาไว้อีก
รถแท็กซี่วิ่งมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าปากซอยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในวันนี้ของผม พอจ่ายเงินและลงมายืนบนพื้นแล้วก็เดินเลียบตามเงาต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาด้านบนก่อนจะมาหยุดอยู่ที่รั้วบ้านสีน้ำตาลอ่อน ด้านในมีบ้านสองชั้นขนาดเล็กน่ารักทาสีส้มอ่อน
หลายคนอาจจะคิดว่าบ้านของศักดาน่าจะหลังใหญ่โตเท่าห้องนอนยักษ์แต่ไม่ใช่เลย เพราะครอบครัวศักดารักความสงบและชื่นชอบการอยู่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากถึงได้ทิ้งคฤหาสน์ประจำตระกูลไว้ที่กลางเมืองแล้วสร้างบ้านหลังเล็กน่ารักอีกหลังไว้ที่นี่สำหรับอยู่กันในครอบครัว...และอาจจะเป็นบ้านของศักดากับคู่สมรสในอนาคตด้วยก็ได้
ผมก็เคยมาบ้านหลังนี้ครั้งหนึ่งตอนที่ตัดสินใจจะบอกความจริงกับครอบครัวศักดาว่าเราสองคนคบกัน
แต่สุดท้ายแม่ของศักดาก็มิอาจทนรับความจริงได้ จึงเป็นสาเหตุให้ศักดาต้องรีบแต่งงานโดยเร็วที่สุด จนบางทีผมแอบคิดว่าหากวันนั้นเราสองคนตัดสินใจเก็บเรื่องรักระหว่างเราให้เป็นความลับตลอดไปอาจจะดีกว่าหรือเปล่า อย่างน้อยเราก็ยังมีกันและกัน...มีความสุขด้วยกัน
แม้ว่าวันที่ศักดาต้องแต่งงานจะมาถึงในอนาคตก็ตาม...แต่ผมก็ยังอยากยื้อเศษเสี้ยวของความสุขนี้ไว้ให้นานที่สุด
ผมปีนกำแพงเข้าไปทันทีเพราะรู้ดีว่าบ้านหลังนี้คนอยู่แค่สามคนพ่อแม่ลูกและต้องการความสบายไม่คิดมากจึงไม่มียามรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดเลย
พอเข้ามาแล้วก็เดินลัดตามต้นไม้ไปยังทางห้องนั่งเล่นที่มีระเบียงทอดยาวออกมาในสวนดอกไม้เล็กๆ ประตูที่แขวนผ้าม่านถูกดึงออกและลากไปรวมกันไว้อีกด้านรับลมยามบ่ายมากกว่าเปิดเครื่องปรับอากาศ
ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตามศักดามาทำไม...อาจจะเพราะกำลังกังวลว่าศักดาจะกล่อมแม่ตัวเองสำเร็จไหม แบบที่บอกไปตอนแรกว่างานแต่งงานจะถูกยกเลิกภายในสี่วันได้ยังไงในเมื่อกำหนดการมันมีมานานแล้ว
ถึงตอนนี้ผมเริ่มโกรธศักดาแล้วล่ะที่เพิ่งมาบอกว่าต้องเข้าพิธีก่อนจัดงานไม่ถึงสองอาทิตย์ดีเนี่ย!
"แม่พอจะจัดการเรื่องนี้ให้ผมได้ไหมครับ"
ผมได้ยินเสียงศักดาจึงรีบเข้าไปแอบข้างประตูที่มีผ้าม่านเกาะอยู่ฟังบทสนทนาที่มีเรื่องของตัวเองอยู่ด้วย
"แม่บอกแล้วไงว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่เราวางแผนไว้"
"แต่ผมรักน้ำ...รักมาก แม่จะยอมทนเห็นผมแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักอย่างนั้นเหรอครับ อยากเห็นผมเป็นทุกข์เหรอ!"
ผมจับเสียงเขาได้ว่าเริ่มหงุดหงิดแล้วจากการที่แม่ตัวเองไม่ยอมโอนอ่อนให้เสียที
"แล้วลูกไม่รักแม่เหรอ..." นี่คือเสียงแม่ของศักดาถ้าผมจำไม่ผิด มันเต็มไปด้วยความเสียใจและผิดหวังในตัวลูกชายคนเดียวจนคนฟังแบบผมสะท้าน
"ความสุขบั้นปลายชีวิตของแม่...แม่อยากให้ลูกมีความสุข มีภรรยาที่ดี มีลูกที่น่ารัก นี่คือความสุขของแม่...แค่นี้ให้แม่ไม่ได้เหรอ"
"…"
ศักดาเงียบไป ผมเองก็คิดตามคำพูดของท่านด้วย ความสุขของผู้ให้กำเนิดคือการได้เห็นลูกตัวเองมีความสุข แม้ว่าสิ่งที่หยิบยื่นให้จะทำร้ายลูกตัวเองก็ตาม
ผมย้อนคิดไปถึงเรื่องราวของตัวเองบ้าง...
เด็กกำพร้าพ่อแม่แบบผมไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้หรอก อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ความอบอุ่นก็ไม่เคยได้ เลยไม่รู้ว่าความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ยามที่เห็นลูกตัวเองออกนอกทางที่วางไว้จะรู้สึกยังไง
ผมว่าผมเริ่มคิดได้แล้วล่ะ...แต่มันจะดีจริงๆ น่ะเหรอกับการปลดปล่อยศักดาไปหาคนอื่น ทั้งที่เราสองคนก็เจ็บและยังรักกันแบบนี้ ผมจะยอมเจ็บเหรอ?
"เพื่อความสุขของแม่...ผมทำได้ครับ" เวลาเนิ่นนานผ่านไปศักดาก็ยอมพูดประโยคนี้ออกมาในที่สุด
ผมหลับตาลงและปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ อย่างไม่คิดจะเช็ดมัน
นี่คือสิ่งที่นายเลือกสินะ...
ผมออกมาจากบ้านหลังนั้นทันทีด้วยน้ำตานองหน้า...ผมต้องไม่เสียใจสิในเมื่อมันคือการตัดสินใจของคนที่ผมรัก
ใช่ไหมล่ะ...?
ผมปล่อยโทรศัพท์มือถือให้ส่งเสียงดังไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมากดรับเลยสักนิด ชื่อของคนโทรเข้าก็ยังคงเป็นคนเดิมผู้เป็นเจ้าของหัวใจผม
สัญญาณตัดไปแล้วผมเลยกดเปิดโหมดออฟไลน์และเข้าสู่หน้าพิมพ์ข้อความ...
-ผมรับรู้และเข้าใจทุกอย่างแล้ว อย่าเพิ่งติดต่อผมมาเลย ตอนนี้ดาน่าจะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวที่หล่อที่สุดในโลกและผมควรจะตัดใจกับเรื่องของเรา...ในงานแต่งงานของดาผมจะไปแสดงความยินดีด้วยนะ ขอให้รู้ไว้ว่ารักของเราจะไม่มีวันตาย ผมรักดาเสมอ-
กดส่งข้อความเสร็จผมก็ปิดโทรศัพท์มือถือและโยนไปอีกทางอย่างไม่สนใจ...
ภาพความทรงจำอันแสนโหดร้ายปรากฏขึ้นมาในดวงตาผมทั้งที่พยายามจะลืมมันแท้ๆ
ผมเป็นเด็กกำพร้า...ไม่มีพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ผมประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์คันหนึ่งชนจนเสียชีวิตในขณะที่ท่านกำลังซื้อเค้กวันเกิดจะมาฉลองให้ผมในวันครบรอบอายุสิบห้าปี และคนที่ขับรถชนพ่อกับแม่ผมก็คือ...แม่ของศักดานั่นเอง
หลังจากนั้นมาผมก็อาศัยอยู่กับป้า ด้วยความฝังใจว่าทำไมคนผิดไม่ได้รับโทษ ผมจึงเริ่มสืบหาความจริงและไปได้รูปเหตุการณ์วันนั้นจากกล้องวงจรปิดในร้านเค้กและเอารูปคนขับไปค้นหาตามเว็บไซต์จนรู้ว่าเป็นแม่ศักดาในที่สุด
ผมใช้ชีวิตด้วยความคับแค้นและรอวันจะแก้แค้นให้พ่อกับแม่ พอรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีลูกชายก็อยากจะทำลายทิ้งให้ได้รับรู้ว่าการสูญเสียเป็นยังไง เงินน่ะ...ไม่สามารถซื้อชีวิตคนได้หรอก จนได้เจอกับศักดาที่ทะเลทางใต้เมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนแรกคิดจะหลอกเขาสักพักแล้วปิดปากทิ้ง
ไม่น่าเชื่อว่าในที่สุด...ผมจะตกหลุมรักเขา
รักจนไม่สามารถทำลายหัวใจตัวเองได้อีกแล้ว นอกจากเฝ้ามองศักดามีความสุขเท่านั้น
ผมหลับตาลงเมื่อความคิดทั้งหมดย้อนกลับมาสู่ปัจจุบัน...
ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้วล่ะ
= = = = = = = = = = = = = = = = =
เหลืออีกตอนเดียวจบนะครับ ^ ^
นิยายสะท้อนสังคม หยิบเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยมาแต่งดู
ขอบคุณครับ เจอกันตอนต่อไป