-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
_________________________________
Her Husband! เจ้าบ่าวคืนสุดท้าย
Chapter I : เป็นชู้กับผัวชาวบ้าน
สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อ 'นที' หรือชื่อเล่น 'น้ำ' นะครับ เป็นคนจังหวัดนนทบุรีตั้งแต่กำเนิด เรียนประถมจนจบมัธยมปลายที่โรงเรียนประจำจังหวัด และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยขนาดกลางแห่งหนึ่งจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับสองแต่ก็ไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจกับมันเสียเท่าไหร่ เพราะผมแค่ขยัน พยายามอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนในห้องก็ได้มาแล้ว พอจบออกมาปรากฏว่าคนที่ไม่ได้เกียรตินิยมแต่ได้เกรดนิยมธรรมดาทั่วไปดันทำงานได้คล่องกว่าผมสามารถจัดการปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้ดีกว่าผมที่ผลการเรียนดีกว่า ดังนั้นผมจึงคิดว่าผลการเรียนอาจจะไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพทั้งหมดของชีวิตก็ได้ สุดท้ายผมเลยตัดสินใจทำงานกับบริษัทส่งออกน้ำผลไม้แห่งหนึ่งในตำแหน่งคนทำบัญชี
ชีวิตของผมราบเรียบไม่มีอะไรหวือหวาเลย ดำเนินไปตามอย่างที่มันควรจะเป็น มีเพื่อนทำงานและออกไปทานส้มตำข้างบริษัทด้วยกันบ้าง พอวันหยุดประจำปีก็พากันไปเที่ยวทางใต้ของประเทศไทยบ้าง เพราะอยู่นี่แทบจะไม่ได้สัมผัสทะเลเลยสักนิด
และหนึ่งปีก่อนหน้านี้นั่นเองที่หัวหน้าแผนกชวนผมกับเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันไปเที่ยวทะเลแห่งหนึ่งทางภูเก็ต
มันเป็นทริปวันหยุดแสนธรรมดา ตอนเช้าเล่นน้ำทะเลด้วยกัน ตอนบ่ายกินอาหารทะเลจำพวกปู กุ้ง หอย พอตกเย็นก็ทำบาร์บีคิวกินกันหน้าบ้านพักที่หารเงินกันจองไว้แล้วก็ดื่มกันหนักพอสมควรก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน
วันนั้นผมนอนไม่หลับเลยออกมาเดินเล่นรับลมริมทะเลยามดึกในวันที่พระจันทร์เต็มดวง...ผมเจอผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเกากีตาร์ร้องเพลงเบาๆ ที่ใต้ต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง
บอกตามตรงตอนแรกผมนึกว่าเขาไม่ใช่คน...แต่พอเดินเข้าไปใกล้และพูดคุยกันถึงรู้ว่าเขาเป็นคน แหม เกือบปากมากพูดออกไปแล้วเชียว
'นอนไม่หลับเหรอครับ'
นั่นเป็นประโยคแรกที่ผู้ชายคนนั้นคุยกับผม และมันคือจุดเริ่มต้นระหว่างความสัมพันธ์ของเราสองคน
เขาแนะนำตัวว่าชื่อ 'ศักดา' ชื่อเล่น 'ดา' เป็นคนกรุงเทพและถือโอกาสใช้วันหยุดประจำปีแอบมาเที่ยวต่างจังหวัดคนเดียวโดยไม่บอกใคร
ไม่น่าเชื่อว่าเราจะคุยกันถูกคอ พูดจาภาษาเดียวกัน ชอบอะไรเหมือนกัน จนยอมแลกเบอร์โทรศัพท์ และช่องทางการติดต่ออื่นๆ เอาไว้ เผื่อกลับไปแล้วมีโอกาสอาจจะได้นัดกินข้าวด้วยกันบ้าง
เรื่องบังเอิญมันยังไม่จบแค่นั้นครับ...
เขาคนนี้คือหัวหน้าฝ่ายบริหารการจัดการที่อยากซื้อผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ของบริษัทผมไปแจกจ่ายให้กับบ้านเด็กกำพร้า อาจจะดูเหมือนผมกับเขาคนนี้ไม่น่าจะมีทางโคจรมาพบกันได้ แต่โชคชะตาไม่คิดเหมือนเราหรอกครับ...ผมยังได้เจอศักดาตามสถานที่ต่างๆ เรื่อยๆ
การได้เจอกันบ่อยๆ ได้ยิ้มให้กัน ได้สบตากันทำให้เราสนิทกันขึ้นจนเริ่มอยากพัฒนาความสัมพันธ์ให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
จนเราสองคนตัดสินใจคบหากันในแบบของคนรักในที่สุด...
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งและตื่นจากภวังค์ความคิดที่นึกถึงอดีตของตัวเองก่อนจะยื่นมือไปหยิบมันมาสไลด์หน้าจอกดรับ
"ฮัลโหลดา...ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว"
[ครับน้ำ ตอนนี้ผมอยู่ข้างล่างห้างแล้ว คุณรอตรงไหนเดี๋ยวผมเดินไปหา]
"อ่า..." ผมกวาดสายตามองไปรอบตัวก่อนตอบคนที่รออยู่ทางปลายสาย "ผมรออยู่ตรงร้านหนังสือชั้นสองนะครับ ถ้ามาถึงจะเจอผมนั่งเก้าอี้รอหน้าร้านครับ"
[โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นรอผมสักครู่เดี๋ยวไปแล้ว]
ผมรับคำศักดาก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์สีเข้มที่สวมอยู่และเดินออกไปหน้าร้านหนังสือเพื่อเป็นจุดสังเกตให้ศักดามองเห็น
ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาไม่มากไม่น้อยนั้นทำให้ผมรู้สึกชดชื่นขึ้นมาไม่ได้ เสียงเด็กวิ่งและหัวเราะกับผู้ปกครอบทำให้บ่ายในวันที่อากาศร้อนแบบนี้สดใสขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
"มาแล้วๆ รอนานไหมน้ำ"
ผมหันไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งเหยาะๆ มาหาผมแล้วยิ้มให้เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรหรอก
"ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ ผมชักหิวๆ แล้วล่ะ"
ศักดาขยับมาเดินข้างผมแล้วก้าวเท้าออกไปด้วยกัน สองตาก็กวาดมองหาร้านอาหารในบริเวณนั้นด้วย
วันนี้ผมกับศักดาวางแผนกันว่าจะออกมาหาอะไรกินกันแล้วดูหนังสักเรื่องเพราะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเราสองคนต่างยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกันเลย พอได้มาเจอกันแบบนี้เลยอยากเก็บเวลาไว้นานๆ หน่อย
เราสองคนเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านเบเกอร์รี่เล็กๆ ที่ขายพวกน้ำผลไม้ มีโต๊ะเข้าชุดกับเก้าอี้วางเรียงรายอยู่ประมาณห้าชุด น่ากินจัง...บอกความลับอย่างหนึ่งว่าผมชอบของหวานมาก
"กินข้าวเสร็จเรามากินก็ได้นะ" ศักดาเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้ทันความคิดผม
ผมนิ่งคิดไปสักพักก่อนจะยกมือขึ้นมาดูนาฬิกาบนข้อมือ...เราสองคนนัดกันตอนสิบเอ็ดโมงแต่ก็จัดการทานอาหารเช้ากันมาแล้วนี่นา ผมอยากกินข้าวเสร็จและมีของหวานแบบนี้ตบท้ายนี่นา
"เอาแบบนี้ได้ไหมดา...เราไปหาหนังดูกันสักเรื่องก่อน พอดูเสร็จค่อยไปหาอะไรกินแล้วมาทานเค้กร้านนี้นะ"
ศักดายิ้มจางๆ กับแววตาเป็นประกายของผมก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้ผมนุ่มสลวยของผมเบาๆ "ได้สิ แต่ตอนดูหนังซื้ออะไรเข้าไปกินหน่อยก็ดีนะ"
"โอเคครับผม ตกลงตามนั้นเลย"
ผมจับมือศักดาแล้วพาเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุข
การดูหนังของเราวันนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน หัวเราะกันทั้งเรื่อง แย่งกันกินป๊อกกี้จนคนที่นั่งด้านข้างหันมามอง มันมีความสุขซะจนผมลืมความจริงบางอย่างไปเลย
เพราะพ่อแม่ของศักดารู้ว่าเขาเป็นเกย์...และท่านทั้งสองคนไม่มีทางยอมแน่นอน
ว่าไหมครับ ความสุขนี่ผ่านไปเร็วจนบางครั้งแค่กระพริบตามันก็ไม่อยู่ให้เราสัมผัสแล้ว
"อร่อยเนอะดา หวานกำลังดีเลย แบบนี้ให้กินอีกสิบชิ้นก็ยอม" ผมพูดแล้วตักเค้กเข้าปากกินอย่างมีความสุข...มันหวานจริงๆ นะ ครีมที่ปาดหน้าก็หอมจนได้กลิ่นนมสดลอยมาแตะจมูกเลย
"กินน่ะกินได้ แต่ระวังป่องเป็นฮิปโปนะ" ศักดาพูดกลั้วหัวเราะ
"เปรียบเทียบซะน่าเกลียดเลย เจ้าฮิปโปมันตัวใหญ่มากนะดา ถึงจะอ้วนแล้วจะไม่รักเหรอ" ผมถามแบบกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
ศักดาทำตาโตราวกับผมถามคำถามที่โง่เง่าที่สุดในโลกออกมา "ทำไมถามแบบนั้น จะให้แสดงให้ดูไหมล่ะว่ารักหรือไม่รัก"
ผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที "จะบ้าเหรอ! นี่มันกลางห้างนะดา เดี๋ยวเถอะๆ"
คนตรงหน้าผมทำท่าทางเจ้าชู้ใส่จนผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ "ทำเป็นพูดดี อาทิตย์ที่แล้วใครน้า บอกผมว่าเอาอีกๆ เอาเข้ามาอีก"
"หยุดนะดา!" ผมหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศทันทีกับความจริงบนเตียงของเราสองคนที่ถูกนำมาพูดในที่สาธารณะแบบนี้ ศักดานี่ล้อเล่นไม่ถูกกาลเทศะเลยจริงๆ!
"โอ๊ะโอ นี่หน้าแดงเพราะโกรธหรือว่าเขินกันแน่เนี่ย ผมชักเดาไม่ออกแล้วนะ"
ผมคว้าส้อมในมือขึ้นมาชี้ไปยังจมูกศักดาด้วยท่าทางเหมือนนางยักษ์กำลังจะจับคนกิน "จะหยุดพูดไหมดา!"
"ง่ะ อย่าใจร้ายสิ หยุดพุดแล้วก็ได้"
ผู้ชายตัวโตตรงหน้าผมก้มหน้าบ่นอุบอิบแล้วจิ้มเค้กกินต่อไป จนผมแอบอดอมยิ้มไม่ได้ พอศักดาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอีกทีเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างสดใส
ความรักของเราสองคนมันกำลังพอดี ไม่หวานไม่เลี่ยนเกินไป...นี่แหละสิ่งที่ผมรอคอยมาทั้งชีวิต!
เสียงโทรศัพท์มือถือของศักดาดังขึ้น ชายหนุ่มรับมันขึ้นมาดูก่อนเงยหน้าบอกผมด้วยสายตาเบื่อหน่าย จนผมเริ่มเดาออกลางๆ แล้วว่าใครโทรมา
"แม่โทรมาเหรอดา?"
ศักดาหน้าหมองลงก่อนพยักหน้ารับคำพูดผมเบาๆ "ใช่ เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยโทรศัพท์แปปหนึ่งนะครับ น้ำทานรอไปก่อนได้เลย"
ผมเอื้อมมือไปกุมกระชับมือของผู้ชายตรงหน้าแล้วส่งยิ้มให้กำลังใจไปให้ "อย่าคิดมากนะดา...แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง"
"ขอบคุณนะที่เข้าใจผม"
ศักดาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปคุยโทรศัพท์ตรงทางเดินที่ทอดเข้าไปในห้องน้ำ
ผมมองแผ่นหลังกว้างที่เคยกอดซบแล้วอดถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนล้าไม่ได้...
ใช่แล้วครับ การคบกันของเราสองคนไม่เป็นที่เห็นด้วยของทางครอบครัวศักดา ตอนแรกเราแอบๆ ไว้เพราะคิดว่าพวกท่านน่าจะยอมเข้าใจ แต่พอท่านรู้ก็สั่งอย่างเดียวเลยว่าให้เลิกกัน จนทุกวันนี้พวกท่านก็ยังยืนยันคำนั้นและต้องการให้ศักดาแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อมีทายาทไว้สืบสกุล...พวกท่านบอกศักดาเสมอว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว
ความเหมาะสมต่างหาก...ที่จีรังยั่งยืนมากกว่าความรัก
แปลกเนอะ ที่ผมคิดไม่เหมือนพวกท่านเลย...
กึก!
ผมเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาเลื่อนโต๊ะออกนั่งลงเผชิญหน้าผม
เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าน่ารักมากกว่าสวยครับ
ดวงตากลมโตเหมือนตุ๊กตาที่เด็กผู้หญิงชอบเล่น ผมสีน้ำตาลเข้มซอยไล่ระดับประบ่าแบบทรงผมผู้หญิงสมัยใหม่แต่ไม่ทำให้เธอดูก๋ากั่นเลยแม้แต่น้อยกลับทำให้ใบหน้าขาวใสดูอ่อนวัยลง แต่มีอย่างหนึ่งที่ทำให้ความสุขรอบตัวเธออับแสงลง...เพราะดวงตาคู่นั้นช่างเศร้าสร้อยเหลือเกินเหมือนคนไม่เคยได้พบเจอกับความสุขในชีวิตมาก่อน
หากเปรียบคนตรงหน้าผมเป็นภาพวาด...มันคงเป็นนามธรรมที่สมจริงมาก
ผมเรียกสติตัวเองกลับมาและเอ่ยถามคำถามพื้นฐานกับเธอออกไป "คุณเป็นใครครับ"
เธอเงยหน้าเพิ่งนัยน์ตาหม่นๆ นั่นมาที่ผมก่อนจะพูดออกมาประโยคหนึ่ง...ที่ทำให้ผมแทบจะสำลักเค้กที่กินเข้าไป
"ได้โปรดเถอะ...ได้โปรดคืนศักดาให้ฉันด้วยเถอะ"
"…!!"
"คุณอย่าทำแบบนี้อีกเลย...ยังไงซะศักดาก็ต้องแต่งงานกับฉัน"
คำว่า 'แต่งงาน' ที่ออกจากปากหญิงสาวตรงหน้าทำให้ผมตัวชาไปชั่วขณะ ทั้งที่รู้ว่ายังไงซะวันนั้นก็ต้องมาถึง ผมคิดมาเสมอว่าประโยคนี้จะเป็นศักดาที่เป็นคนบอกผม แต่นี่...ผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วยกลับมายืนยันตรงหน้าผมแบบนี้
มันรวดเร็วเร็วเกินไป...เร็วจนผมตั้งตัวไม่ทันเลย ทั้งที่เมื่อสิบห้านาทีก่อนหน้านี้ผมกับศักดายังคุย ยังยิ้มและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุขอยู่เลย
"แต่ผมกับเขา...เราสองคนรักกัน"
เธอเงยหน้ามองตาผมด้วยน้ำตานองหน้า...และมันทำให้ผมเจ็บจนหัวใจแทบจะฉีกขาดลงตรงหน้า
"ได้โปรดทำให้เราสามคนเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที"
"ครอบครัว..."
ผมงงหนักกว่าเดิมกับคำว่าครอบครัวที่เธอใช้...มันหมายความว่ายังไง แต่ก็ได้คำตอบกระจ่างชัดจนได้เมื่อเธอเอื้อมมือไปลงไปลูบทีหน้าท้องตัวเอง
"…!"
ผมตกใจมาก...นี่ศักดาทำผู้หญิงคนนี้ท้องอย่างนั้นเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง ผมมั่นใจว่าศักดาชอบผู้ชายด้วยกันและไม่มีทางจะให้ความสนใจในตัวผู้หญิงได้แน่ๆ แต่เธอคนนี้กลับสื่อให้ผมรู้ว่าเธอกำลังท้องกับศักดา
ซึ่งหากมันเป็นเรื่องจริง...คงเจ็บปวดสำหรับผมมากทีเดียว ผมคงไม่สามารถมองหน้าเขาด้วยสายตาบริสุทธิ์ใจได้อีก
เพราะเท่ากับผมกำลังจะแย่งพ่อของเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะลืมตาดูโลก!
"เพราะฉะนั้น...ได้โปรดปล่อยให้พวกเรามีความสุขเถอะ"
"…" ผมอึ้งพูดไม่ออก เสียงของตัวเองหายไปไหนแล้วไม่รู้
"อย่าให้ศักดาเขาต้องมีอนาคตที่แย่ด้วยการรักกับคุณ เพราะคุณก็รู้เองดีว่าอะไรเป็นอะไร"
ผู้หญิงคนนั้นลุกออกไปตอนไหนแล้วไม่รู้ ตรงนี้เหลือเพียงผมที่นั่งเหม่อลอยมองเค้กในจานตรงหน้าอย่างคนที่กินต่อไม่ลง กลิ่นหอมนมตอนแรกที่ลอยมาโดนจมูกผมไม่อาจทำให้ผมรู้สึกดีได้อีกแล้ว
"กลับมาแล้วนะน้ำ พอดีแม่โทรมาชวนไปทานข้าวด้วยน่ะตอนเย็น"
"…" ผมสบตาเขาและส่งยิ้มจางๆ ไปให้ ยายามสะกดความรู้สึกทุกอย่างของตัวเองลงไปข้างในและใช้เหตุผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้...แต่มันต้องไม่ใช่ตอนนี้
"น้ำ...เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมน้ำตาไหลแบบนั้นอ่ะ"
ศักดาตกใจมากรีบหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาออกไปให้ผม ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนยิ้มออกมาอย่างร่าเริงสดใส ใช้ส้อมจิ้มเค้กตรงหน้าเข้าปากกินอีกคำ...ทั้งที่ในใจกำลังเจ็บปวดเจียนตาย
"สงสัยฝุ่นเข้าตาน่ะ ฮ่าๆ"
"นึกว่าเป็นอะไร ใครมาทำให้ร้องไห้ บอกมาได้เลยนะ ผมจะไปชกให้"
"ครับๆ ทราบแล้วครับเจ้าพ่อ"
คนที่ทำให้ผมร้องไห้น่ะเหรอ...แล้วนายจะไปชกคนนั้นให้น่ะเหรอ...?
สงสัยนายคงต้องชกหน้าตัวเองแล้วล่ะ!
เพราะว่านายนั่นแหละ...ที่ทำให้ผมเสียใจ
_________________________________
สวัสดีครับทุกคนเจอกันอีกแล้ว...นี่เป็นอีกเรื่องที่วางแพลนไว้นานมากแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ลง
ไม่ใช่เรื่องยาวนะครับ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสั้น มีสามตอนจบ เป็นแนวที่สะท้อนสังคมไทยครับ ผมอยากถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือ
ต้องมีคนแอบคิดแน่เลยว่าเรื่องอื่นดองเยอะมากแล้วเปิดเรื่องใหม่อีก อิอิ
รออัพอีกสองรอบจบก็เตรียมเจอหมอไกด์กันได้เลยครับ
ปล. พรุ่งนี้อัพโพสต์สุดท้ายตอนจบพี่ช้างน้องโรตีนะครับ
ปล.1 ช่วงนี้ที่หายไป ผมกำลังจัดการต้นฉบับเรื่องผู้ชายขายตัวอยู่นะครับ กำลังจะส่งให้ สนพ. พิจารณา ใครไม่เคยอ่านลองอ่านดูนะครับ เป็นแนวสะท้อนสังคมเหมือนกัน ^___^
ขอบคุณที่ติดตามครับ
-
แค่ตอนแรกก้อดราม่าแหละ อยากรู้จังว่าจะจบแบบไหน สงสารทุกคนเลย :mew2: :mew2:
-
จริง พลอตเยอะอ่ะ
-
เปิดมาก็ดราม่า น้ำจะเชื่อผู้หญิงคนนั้นจริงๆเหรอ
ทางที่ดี ควรถามศักดาก่อนดีกว่า ไม่งั้นน้ำนั่นแหละ
ที่จะต้องเป็นทุกข์อยู่คนเดียว เรื่องนี้ในสังคมมีเยอะมาก
ลูกชายเป็นเกย์ แต่พ่อแม่รับไม่ได้ อยากให้แต่งงาน มีลูกสืบสกุล
-
รอตอนต่อไปอยู่น้าาา
-
อยาเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆซิน้ำ ถามดาก่อนนะ
-
อืม... เจ๊เค้ามาผิดโต๊ะรึเปล่า?
ของแบบนี้มันต้องชัดเจนนะ
-
รอนะค่า จะรอตอนต่อไป
-
ทำไมเชื่อคนง่ายจัง มีอะไรทำไมไม่ถามกันก่อน
เฮ้อ
-
Her Husband! เจ้าบ่าวคืนสุดท้าย
Chapter II : พิศวาส ตัดไม่ขาดอนาถใจ
"ขอขึ้นไปบนห้องด้วยได้ไหม" ตอนที่ศักดาจอดรถหน้าประตูทางเข้าคอนโดผม เขาก็ถามขึ้นมาทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู
ผมหันไปสบตาเขาก็พบว่าในแววตาของชายคนนี้มีความสนุกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ที่ผมเองก็พอรู้…บางทีผมควรจะคุยกับเขาเรื่องผู้หญิงคนนั้นได้แล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้แก้ไขทันก่อนที่เรื่องมันจะสายเกินไปจนอยากที่จะแก้ไข
นั่นหมายถึงวันนั้นทุกคนที่อยู่ในวังวนรักนี้จะเจ็บปวดเหมือนกันหมด
"จะปล้ำผมหรือไง มองตาก็รู้แล้ว"
ศักดาทำหน้าม่อยแล้วเอาหัวมาเกยไหล่ผมเหมือนลูกแมวกำลังอ้อน "โธ่ ผมทำเพราะรักน้ำนะ เราก็มีความสุขไปพร้อมๆ กันไง อีกอย่างเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เราไม่ได้เจอกัน น้ำไม่ได้คิดถึงผมสักนิดเลยเหรอไง ผมน่ะคิดถึงน้ำจนจะขาดใจนายอยู่แล้วนะ..."
ชายหนุ่มพูดจบก็จับมือผมที่วางบนตักเอาไปไว้ใต้อกซ้ายที่สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังเต้นตุบตับอยู่ในนั้น
"ผมรักน้ำนะ...อยากอยู่กับน้ำนานๆ หน่อย อาทิตย์หน้านี้ผมก็ต้องไปดูงานที่ต่างจังหวัดอีก กว่าจะได้กลับมาก็เย็นวันศุกร์เลย ผมคงคิดถึงน้ำมากแน่ๆ"
ผมยิ้มจางๆ กับคำสารภาพอย่างจริงใจนั้นและเชื่ออย่างเต็มอกด้วยว่าศักดาก็รู้สึกตามแบบที่เขาพูดจริงๆ
เพราะฉะนั้นผมควรจะคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมามากกว่าเก็บมาคิดเองแล้วก็เจ็บเองแบบนี้...แต่หากความจริงมันเป็นแบบที่ผู้หญิงคนนั้นพูดล่ะ ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี
"ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ค้างด้วยกันเลยได้ไหม"
ศักดาหน้าหมองลงอีกรอบ "เย็นนี้ผมต้องกลับไปทานข้าวกับแม่น่ะ เพราะไม่ได้ไปหาท่านหลายวันแล้วกลัวจะน้อยใจ"
ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ "ถ้าอย่างนั้นอยู่ด้วยกันจนถึงก่อนออกหาแม่ก็ได้ ผมก็คิดถึงดาเหมือนกัน ไม่ได้นอนกอดตั้งนานแน่ะ"
"ได้เลยครับ"
เราสองคนใช้เวลาอยู่ในห้องทั้งวันหลังจากกลับมาจากไปดูหนังจนเหลือเวลาอีกประมาณสามสิบนาทีศักดาจะต้องขับรถไปบ้านแม่ผมเลยตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสนี้คุยเลยก็แล้วกัน หวังว่าประเด็นคงไม่ทำให้ศักดาคิดมากอีกนะ เพราะแค่ปัญหาครอบครัวไม่ยอมรับความชอบของเขาก็ถือว่าหนักหนาพอสมควรแล้ว
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละครับ...ไม่มีพ่อแม่คนไหนเกลียดลูกหรอก สิ่งที่พวกท่านบอกคงดีที่สุดแล้วจากคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน แม้ว่านั่นจะต้องแลกมาซึ่งความเสียใจของลูกตัวเองก็ตามทีเถอะ
"จะไปแล้วเหรอดา" ผมเดินไปหยุดข้างหลังศักดาที่กำลังก้มผูกเชือกรองเท้าผ้าใบอยู่
"ครับ ไปละ เผื่อขับรถไปอีกต้องใช้เวลานาน"
พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จศักดาก็ลุกขึ้นมายืนเต็มความสูงพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้
ผมกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะเข้าไปสวมกอดศักดาเอาไว้เหมือนทุกครั้งเวลาเขามาหาผมและเตรียมตัวกลับบ้าน
"ขับรถดีๆ นะครับ" ผมกระซิบเสียงแผ่วเบาบนแผ่นหลังกว้างแต่แสนอบอุ่นของศักดา
"น้ำเป็นอะไรหรือเปล่า...ดูแปลกๆ ตั้งแต่ตอนอยู่ห้างแล้วนะ มีอะไรอยากบอกผมหรือเปล่า"
ศักดาจับปลายคางผมให้เชิดขึ้นมองหน้าเขาเต็มตาทำให้ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือเตรียมใจการสนทนาได้อีกแล้ว
"แน่ใจเหรอว่าดาอยากฟัง"
"ทำไมน้ำพูดแบบนี้ล่ะ ผมใจไม่ดีเลย เรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ..."
ความจริงใจที่ถูกส่งผ่านสายตามาทำให้ผมเริ่มไขว้เขวว่าศักดาอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ และผู้หญิงคนนั้นก็เป็นฝ่ายโกหกเอง
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วผ่อนมันออกมาช้าๆ พร้อมกับเรียบเรียงคำพูดที่ต้องการจะสื่อออกไปด้วย
"ผมจะเล่า...แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งว่าดาต้องพูดกับความจริงกับผมทุกอย่าง ห้ามโกหก...ถ้าผมรู้ว่าดาโกหกเราเลิกกันอย่างเดียว"
"…ผมไม่มีวันโกหกน้ำ"
"มีผู้หญิงคนหนึ่งเขามาหาผมตอนที่ดาออกไปคุยโทรศัพท์แล้วเขาบอกว่าดาเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกับเขา..." ผมเปิดฉากเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามความจริงแบบไม่บิดพลิ้วเลยแม้แต่น้อย
ศักดาทำหน้าเครียดขึ้นเรื่อยๆ พอผมพูดจบเราก็นิ่งกันไปสักพัก เพราะผมก็ต้องการให้เวลาศักดาตอบคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาและรู้ดีด้วยว่าศักดาไม่มีทางโกหกผมแน่ๆ ให้เวลาเขาสักนิดเถอะในเมื่อเรื่องนี้มันค่อนข้างร้ายแรงต่อความรู้สึกเราสองคน
เวลาผ่านไปประมาณห้านาทีที่เรายืนนิ่งเงียบกันอยู่แบบนั้น มันเงียบมากจนหูผมได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาที่แขวนไว้ด้านข้างเดินไปมา
เคยมีคนบอกเหมือนกันว่าเสียงเข็มนาฬิกาเดินตอนเงียบๆ นี่กดดันที่สุดในโลกเลยล่ะ!
"ถ้าผมบอกว่าผมไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นและเธอไม่ได้ท้องแค่ต้องการจะปั่นประสารทเพื่อให้น้ำออกไปจากชีวิตผมต่างหาก น้ำจะเชื่อผมไหม"
"เชื่อสิ..." ผมพยักหน้ารับคำ...ผมเชื่อเสมอว่าเขาจะไม่มีวันโกหกผมเด็ดขาด
ความเชื่อใจเป็นพื้นฐานหนึ่งของความรัก...หากปราศจากสิ่งนี้แล้วเราจะใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุขได้ยังไง ถ้ามัวแต่ระแวงมันไปหมดแบบนี้
"สิ่งที่ผมอยากจะบอกน้ำคืองานแต่งงานจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าบนโบสถ์แห่งหนึ่งบนภูเขา"
"…" ผมรู้ดีว่ายังไงซะวันนี้ก็ต้องมาถึงแน่ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็เจ็บแทบขาดใจหากต้องรับรู้ว่าเขาได้กลายเป็นของคนอื่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ถึงแม้ว่าความจริงเรื่องลูกในท้องของผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคำโกหกที่เธอปรุงแต่งขึ้นมาก็ตามแต่สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายชนะใจและได้ศักดาไปครอบครองอยู่ดี...แบบนี้มันต่างอะไรกับการตกนรกตายทั้งเป็นล่ะ
"น้ำ...ผมขอโทษ" ศักดากระชับตัวผมเข้าไปกอดในอ้อมอกแสนอุ่นนั่นพร้อมกับลูบหัวผมและโยกตัวไปมาราวกับกำลังปลอบเด็กน้อยขี้แยคนหนึ่ง
น้ำตาผมไหลลงมากับความจริงที่รับรู้และอยากจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมันเหลือเกิน
"ผมรักดานะ...ดารักผมไหม"
"ผมรักน้ำเท่ากับชีวิตตัวเอง...อย่าร้องไห้เลยครับ"
"ผมจะทำยังไง จะให้ผมอยู่เฉยๆ ได้อีกเหรอ เมื่อรู้ว่าดากำลังจะเป็นแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงคนอื่น ทั้งที่เราเคยสัญญาต่อกันแท้ๆ ว่าจะไม่แต่งงานและอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า"
"ผมขอโทษ..."
สิ่งที่เราสองคนเคยสัญญากันมันคงเป็นแค่คำพูดแสนหวานที่แสดงความรักต่อกันเท่านั้นเอง ผมเข้าใจดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในเมื่อศักดาต้องแต่งงานเพื่อมีทายาทไว้สืบสกุล
ความรักทำไมมันช่างเจ็บปวดแบบนี้...ในเมื่อมันทำให้เราเจ็บแล้วทำไมคนมากมายถึงอยากจะมีรักนะ หรือเป็นเพราะความรักทำให้คนตาบอดกันแน่
เนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึกที่เราสองคนกอดกันอยู่แบบนั้นจนผมเริ่มควบคุมสติตัวเองกลับมาได้จึงผละออกอ้อมกอดศักดาและก้มหน้ามองพื้น
เพราะถ้าผมมองเขาตอนนี้ต้องน้ำตาไหลออกมาอีกรอบแน่ๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลย...ผมเจ็บ แต่ศักดาซึ่งแบกรับทุกอย่างเอาไว้เจ็บกว่าหลายเท่า
"ผมจะลองคุยเรื่องนี้กับแม่ดูอีกทีนะครับ เวลาอีกสิบกว่าวันอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง"ศักดาเอ่ยออกมาในที่สุดเมื่อเห็นผมหยุดร้องไห้แล้ว
"ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ล่ะดา...เราสองคนจะทำยังไงกันดี" ผมถามออกไปอย่างเลื่อนลอย หมดหนทางในการแก้ไขปัญหา
"ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้หากเรามีศรัทธานะน้ำ...ผมจะรักษาความสุขของน้ำเอาไว้เอง"
ผมเหม่อมองไปยังบานประตูด้านหลังอย่างคนคิดอะไรไม่ออก...ถ้าความสุขมันง่ายดายขนาดนั้นคงจะดีสินะ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเหลืออีกประมาณสี่วันก็จะถึงงานแต่งงานที่ว่านั่นแล้ว
เราสองคนยังใช้เวลาด้วยกันเหมือนเคย อาจจะเป็นเพราะรู้ด้วยล่ะมั้งว่าความสุขอาจจะอยู่กับเราไม่นานอีกแล้ว ตอนนี้ถ้าสามารถสร้างรอยยิ้มและมอบความทรงจำให้กันได้เราก็จะทำ
ศักดาบอกผมว่าได้ลองคุยเรื่องนั้นกับแม่แล้ว ท่านเองก็มีท่าทีผ่อนคลายลงมากแต่ยังคงแข็งกระด้างอยู่พอสมควร วันนี้กลับบ้านไปทานข้าวตอนเย็นจะคุยอีกครั้ง
ผมเชื่อหมดใจเลยครับว่าทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่มีอุปสรรค ใสซื่อจนลืมนึกไปเลยว่างานแต่งงานที่จัดเตรียมมาแล้วจะสามารถยกเลิกได้ภายในสองอาทิตย์ได้อย่างไร
กว่าจะรู้ตัว...ความเจ็บปวดนั้นก็โอบล้อมผมไว้อย่างช้าๆ แล้ว
ตอนบ่ายหลังจากที่ศักดาขอตัวกลับบ้านไปก่อนผมเองก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยโทรหาเพื่อนที่แผนกเผื่อจะออกไปเที่ยวด้วยกันคลายเครียดบ้าง
[ว่าไงน้ำ โทรมามีอะไรหรือเปล่า]
"ไม่มีอะไรหรอกเดียร์ น้ำแค่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยอยากชวนออกไปเที่ยว"
[เอาสิ เดียร์ก็ว่างอยู่เหมือนกัน น้ำอยากไปเที่ยวไหนล่ะ]
ผมกัดริมฝีปากครุ่นคิดว่าในเวลานี้ สภาพอารมณ์ผมแบบนี้ควรจะไปที่ไหนดี "เดียร์ช่วยคิดหน่อยสิ"
ปลายสายเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น [เอางี้สิ เดียร์อยากไปดูดวงพอดี ไปกันนะ เห็นแตนบอกว่ามีหมอดูคนหนึ่งดูแม่นมากเลย]
"หมอดู...อย่างนั้นเหรอ"
ก็ดีเหมือนกันนะ...เผื่ออนาคตผมกับศักดาอาจจะได้ครองรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลายก็ได้ใครจะไปรู้...
ตอนนี้ผมกับเดียร์กำลังยืนอยู่หน้าร้าน เอ่อ...ไม่แน่ใจว่าใช้คำว่าร้านได้ไหม มองซ้ายมองขวาแล้วมันไม่ให้ความรู้สึกนั้นเลย มันเหมือนกระโจมที่ทหารตั้งป้อมไว้รอรบมากกว่า ซึ่งบอกตามตรงว่ามันดูน่าขนลุกเหลือเกินในสายตาผม
ยิ่งกระโจมเป็นสีดำเมื่อมยิ่งให้ความรู้สึกว่าถ้าก้าวขาเข้าไปแล้วจะไม่ได้ออกมาอีกยังไงก็ไม่รู้
"ทำไมมันน่ากลัวจังเลยเดียร์" ผมก้มหน้ากระซิบถามเดียร์ที่ทำท่าทางมุ่งมันว่าจะบุกเข้าไปในนี้ให้ได้
"สถานที่ดูดวงมันก็ต้องศักดิ์สิทธิ์แบบนี้แหละ แม่หมอคนนี้อ่ะดูแม่นมากเลยนะ ลองดูก่อนแล้วจะติดใจจนต้องกลับมาอีก"
ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วชวนเดียร์เดินเปิดม่านเข้าไปช้าๆ...
กลิ่นธูปลอยโชยมาแตะจมูกจนผมแทบจะอาเจียนออกมา ในนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ บนโต๊ะมีเทียนไขอยู่หนึ่งเล่มจุดไว้ให้ความสว่างอันน้อยนิดภายในห้อง และหลังโต๊ะตัวนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ แต่ตัวเหมือนชาวยิปซีมีผ้าปรกคลุมหน้าโล่มาแค่ดวงตา
นี่ผมมาทำอะไรที่นี่กันแน่เนี่ย!
"หนูมาส่งเพื่อนดูดวงค่ะ" เดียร์รีบออกตัวและจับผมนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าแล้วตัวเองออกไปยืนด้านหลังทันที แหม ไม่ค่อยเลยนะอยากให้ผมเป็นหนูทดลองก็บอกมาเถอะ เดี๋ยวออกไปต้องแกล้งคืนซะให้เข็ด!
ผมรวบรวมสติแล้วหันหน้ากลับมายกมือไหว้หมอดูคนนี้หนึ่งที เธอผงกหัวรับไหว้ผมเบาๆ โดยไม่พูดจาอะไรก่อนจะหยิบสำรับไพ่ที่วางด้านซ้ายมากระจายออกเป็นรูปครึ่งวงกลม
"หยิบไพ่ใบที่ตัวเองชอบออกมาสี่ใบ"
"ครับ..."
ผมรับคำและเลือกหยิบไพ่ออกมาสี่ใบ เริ่มแปลกใจกับคำพูดของหมอดูว่าให้เลือกใบที่ชอบแต่ผมไม่เห็นหน้าตาอีกด้านของไพ่เลย (?)
"นี่ครับ..."
ผมยื่นไพ่ทั้งสี่ใบให้หมอดูและเงียบรอฟังคำตอบ เธอรับมันไปก่อนจะมองสบตาผมด้วยแววตาทรงพลังนั่น
"เธอกำลังจะมีเคราะห์"
"…!"
ผมอึ้ง ตกใจ สับสนทุกอย่างจนมึนหัวไปหมด ทั้งที่ตอนแรกวางแผนว่าจะมาถามเรื่องความรักกับเรื่องของศักดาแต่ดันมารู้ชะตาชีวิตตัวเองอีก
"หมายความว่ายังไงครับ"
"เธอจะมีเคราะห์เพราะความรัก"
มีเคราะห์เพราะความรักอย่างนั้นเหรอ...?
หมอดูเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ "ใช้สติก่อนจะตัดสินใจทำอะไรทุกครั้ง คิดหน้าคิดหลังให้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันมีผลลัพธ์ยังไงบ้าง และคนบนฟ้าได้ลิขิตเอาไว้แล้ว ของของเราก็คือของของเรา หากไม่ใช่ก็อย่าไปยื้อหรือฝืนไว้เลย"
ผมกดความรู้สึกบางอย่างที่แล่นวาบเข้ามาในใจแล้วลุกพรวดออกจากที่นั่งและออกจากกระโจมหมอดูไปทันทีท่ามกล่างความตกใจของเดียร์ที่ตะโกนถามตามมาก่อนจะหันไปจ่ายเงินให้หมอดูในส่วนของผมและวิ่งตามออกมา โดยที่ผมไม่ได้ยินเลยว่าหมอดูคนนั้นพูดทิ้งท้ายไว้อีกประโยค
"บอกแล้วไงว่าให้ใช้สติ..."
ผมวิ่งลงมาถึงชั้นล่างของห้างและโบกแท็กซี่ไปบ้านของศักดาทันทีไม่สนใจฟังเสียงของเดียร์ที่ตะโกนตามไล่หลังมา คิดว่าเดี๋ยวหลังกลับไปค่อยส่งข้อความไปขอโทษและเลี้ยงข้าวสักมื้อแล้วกัน เฮ้อ...ผมนี่มันแย่จริงๆ ชวนเขาออกมาแล้วยังทิ้งเขาไว้อีก
รถแท็กซี่วิ่งมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าปากซอยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในวันนี้ของผม พอจ่ายเงินและลงมายืนบนพื้นแล้วก็เดินเลียบตามเงาต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาด้านบนก่อนจะมาหยุดอยู่ที่รั้วบ้านสีน้ำตาลอ่อน ด้านในมีบ้านสองชั้นขนาดเล็กน่ารักทาสีส้มอ่อน
หลายคนอาจจะคิดว่าบ้านของศักดาน่าจะหลังใหญ่โตเท่าห้องนอนยักษ์แต่ไม่ใช่เลย เพราะครอบครัวศักดารักความสงบและชื่นชอบการอยู่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากถึงได้ทิ้งคฤหาสน์ประจำตระกูลไว้ที่กลางเมืองแล้วสร้างบ้านหลังเล็กน่ารักอีกหลังไว้ที่นี่สำหรับอยู่กันในครอบครัว...และอาจจะเป็นบ้านของศักดากับคู่สมรสในอนาคตด้วยก็ได้
ผมก็เคยมาบ้านหลังนี้ครั้งหนึ่งตอนที่ตัดสินใจจะบอกความจริงกับครอบครัวศักดาว่าเราสองคนคบกัน
แต่สุดท้ายแม่ของศักดาก็มิอาจทนรับความจริงได้ จึงเป็นสาเหตุให้ศักดาต้องรีบแต่งงานโดยเร็วที่สุด จนบางทีผมแอบคิดว่าหากวันนั้นเราสองคนตัดสินใจเก็บเรื่องรักระหว่างเราให้เป็นความลับตลอดไปอาจจะดีกว่าหรือเปล่า อย่างน้อยเราก็ยังมีกันและกัน...มีความสุขด้วยกัน
แม้ว่าวันที่ศักดาต้องแต่งงานจะมาถึงในอนาคตก็ตาม...แต่ผมก็ยังอยากยื้อเศษเสี้ยวของความสุขนี้ไว้ให้นานที่สุด
ผมปีนกำแพงเข้าไปทันทีเพราะรู้ดีว่าบ้านหลังนี้คนอยู่แค่สามคนพ่อแม่ลูกและต้องการความสบายไม่คิดมากจึงไม่มียามรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดเลย
พอเข้ามาแล้วก็เดินลัดตามต้นไม้ไปยังทางห้องนั่งเล่นที่มีระเบียงทอดยาวออกมาในสวนดอกไม้เล็กๆ ประตูที่แขวนผ้าม่านถูกดึงออกและลากไปรวมกันไว้อีกด้านรับลมยามบ่ายมากกว่าเปิดเครื่องปรับอากาศ
ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตามศักดามาทำไม...อาจจะเพราะกำลังกังวลว่าศักดาจะกล่อมแม่ตัวเองสำเร็จไหม แบบที่บอกไปตอนแรกว่างานแต่งงานจะถูกยกเลิกภายในสี่วันได้ยังไงในเมื่อกำหนดการมันมีมานานแล้ว
ถึงตอนนี้ผมเริ่มโกรธศักดาแล้วล่ะที่เพิ่งมาบอกว่าต้องเข้าพิธีก่อนจัดงานไม่ถึงสองอาทิตย์ดีเนี่ย!
"แม่พอจะจัดการเรื่องนี้ให้ผมได้ไหมครับ"
ผมได้ยินเสียงศักดาจึงรีบเข้าไปแอบข้างประตูที่มีผ้าม่านเกาะอยู่ฟังบทสนทนาที่มีเรื่องของตัวเองอยู่ด้วย
"แม่บอกแล้วไงว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่เราวางแผนไว้"
"แต่ผมรักน้ำ...รักมาก แม่จะยอมทนเห็นผมแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักอย่างนั้นเหรอครับ อยากเห็นผมเป็นทุกข์เหรอ!"
ผมจับเสียงเขาได้ว่าเริ่มหงุดหงิดแล้วจากการที่แม่ตัวเองไม่ยอมโอนอ่อนให้เสียที
"แล้วลูกไม่รักแม่เหรอ..." นี่คือเสียงแม่ของศักดาถ้าผมจำไม่ผิด มันเต็มไปด้วยความเสียใจและผิดหวังในตัวลูกชายคนเดียวจนคนฟังแบบผมสะท้าน
"ความสุขบั้นปลายชีวิตของแม่...แม่อยากให้ลูกมีความสุข มีภรรยาที่ดี มีลูกที่น่ารัก นี่คือความสุขของแม่...แค่นี้ให้แม่ไม่ได้เหรอ"
"…"
ศักดาเงียบไป ผมเองก็คิดตามคำพูดของท่านด้วย ความสุขของผู้ให้กำเนิดคือการได้เห็นลูกตัวเองมีความสุข แม้ว่าสิ่งที่หยิบยื่นให้จะทำร้ายลูกตัวเองก็ตาม
ผมย้อนคิดไปถึงเรื่องราวของตัวเองบ้าง...
เด็กกำพร้าพ่อแม่แบบผมไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้หรอก อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ความอบอุ่นก็ไม่เคยได้ เลยไม่รู้ว่าความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ยามที่เห็นลูกตัวเองออกนอกทางที่วางไว้จะรู้สึกยังไง
ผมว่าผมเริ่มคิดได้แล้วล่ะ...แต่มันจะดีจริงๆ น่ะเหรอกับการปลดปล่อยศักดาไปหาคนอื่น ทั้งที่เราสองคนก็เจ็บและยังรักกันแบบนี้ ผมจะยอมเจ็บเหรอ?
"เพื่อความสุขของแม่...ผมทำได้ครับ" เวลาเนิ่นนานผ่านไปศักดาก็ยอมพูดประโยคนี้ออกมาในที่สุด
ผมหลับตาลงและปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ อย่างไม่คิดจะเช็ดมัน
นี่คือสิ่งที่นายเลือกสินะ...
ผมออกมาจากบ้านหลังนั้นทันทีด้วยน้ำตานองหน้า...ผมต้องไม่เสียใจสิในเมื่อมันคือการตัดสินใจของคนที่ผมรัก
ใช่ไหมล่ะ...?
ผมปล่อยโทรศัพท์มือถือให้ส่งเสียงดังไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมากดรับเลยสักนิด ชื่อของคนโทรเข้าก็ยังคงเป็นคนเดิมผู้เป็นเจ้าของหัวใจผม
สัญญาณตัดไปแล้วผมเลยกดเปิดโหมดออฟไลน์และเข้าสู่หน้าพิมพ์ข้อความ...
-ผมรับรู้และเข้าใจทุกอย่างแล้ว อย่าเพิ่งติดต่อผมมาเลย ตอนนี้ดาน่าจะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวที่หล่อที่สุดในโลกและผมควรจะตัดใจกับเรื่องของเรา...ในงานแต่งงานของดาผมจะไปแสดงความยินดีด้วยนะ ขอให้รู้ไว้ว่ารักของเราจะไม่มีวันตาย ผมรักดาเสมอ-
กดส่งข้อความเสร็จผมก็ปิดโทรศัพท์มือถือและโยนไปอีกทางอย่างไม่สนใจ...
ภาพความทรงจำอันแสนโหดร้ายปรากฏขึ้นมาในดวงตาผมทั้งที่พยายามจะลืมมันแท้ๆ
ผมเป็นเด็กกำพร้า...ไม่มีพ่อแม่ เพราะพ่อแม่ผมประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์คันหนึ่งชนจนเสียชีวิตในขณะที่ท่านกำลังซื้อเค้กวันเกิดจะมาฉลองให้ผมในวันครบรอบอายุสิบห้าปี และคนที่ขับรถชนพ่อกับแม่ผมก็คือ...แม่ของศักดานั่นเอง
หลังจากนั้นมาผมก็อาศัยอยู่กับป้า ด้วยความฝังใจว่าทำไมคนผิดไม่ได้รับโทษ ผมจึงเริ่มสืบหาความจริงและไปได้รูปเหตุการณ์วันนั้นจากกล้องวงจรปิดในร้านเค้กและเอารูปคนขับไปค้นหาตามเว็บไซต์จนรู้ว่าเป็นแม่ศักดาในที่สุด
ผมใช้ชีวิตด้วยความคับแค้นและรอวันจะแก้แค้นให้พ่อกับแม่ พอรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีลูกชายก็อยากจะทำลายทิ้งให้ได้รับรู้ว่าการสูญเสียเป็นยังไง เงินน่ะ...ไม่สามารถซื้อชีวิตคนได้หรอก จนได้เจอกับศักดาที่ทะเลทางใต้เมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนแรกคิดจะหลอกเขาสักพักแล้วปิดปากทิ้ง
ไม่น่าเชื่อว่าในที่สุด...ผมจะตกหลุมรักเขา
รักจนไม่สามารถทำลายหัวใจตัวเองได้อีกแล้ว นอกจากเฝ้ามองศักดามีความสุขเท่านั้น
ผมหลับตาลงเมื่อความคิดทั้งหมดย้อนกลับมาสู่ปัจจุบัน...
ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้วล่ะ
= = = = = = = = = = = = = = = = =
เหลืออีกตอนเดียวจบนะครับ ^ ^
นิยายสะท้อนสังคม หยิบเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยมาแต่งดู
ขอบคุณครับ เจอกันตอนต่อไป
-
3 ตอน จบ ..
-
ถ้ารักแล้วเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น ตอนจบดาคงตายในคืนสุุดท้ายก่อนแต่งงาน หรือก็ตายไปพร้อมกัน แต่ถ้าน้ำรักเขาจริง ๆ ก็ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าอาฆาต พยาบาทกัน มันไม่มีความสุขหรอก อ่านตอนนี้ทำให้คิดถึงเพลง "คำยินดี" เลยละ
-
:sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
-
เงิบ!!!
:o7: :o7: :o7:
-
:z3: โธ่!
-
หงายเงิบ
-
แนะนำให้น้ำเปลี่ยนไปกดศักดาแทน ศักดาจะได้ไม่เป็นเจ้าบ่าว #โดนตบ
-
แหม
-
สู้ๆๆ ค่ะ น้ำ
ทำไมคนผิดไม่โดนลงโทษจริงๆ น่ะ
-
ง่า 3 ตอนเองเงอ
-
ดราม่าาาาาาาา
-
Her Husband! เจ้าบ่าวคืนสุดท้าย
Chapter III : จุดจบที่ฉันเต็มใจ
ผมกรีดอายไลน์เนอร์เสร็จก็วางมันกลับลงไปในกล่องตามเดิม ขยับหน้าไปมาซ้ายขวา ยิ้ม อ้าปาก พอดูว่าไม่น่าเกลียดแล้วถึงเดินออกจากห้องมาด้านนอกหยิบเสื้อสูทสีขาวสะอาดมาสวมไว้และหยิบขวดไวน์องุ่นที่จะนำไปเป็น 'ของขวัญ' ให้คู่บ่าวสาวในวันนี้มาถือไว้ ก่อนจะใส่รองเท้าและออกจากห้องไป
สภาพแวดล้อมโดยรอบยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรแปลกไป กลิ่นดอกไม้เคยหอมยังไงก็ยังหอมอย่างนั้น ผู้คนมากมายเร่งรีบไปทำงานกันตอนเช้ามากแค่ไหนในวันนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วและไม่มีทางเหมือนเดิมอีกตลอดไป
มันคือความรู้สึกของผมเอง!
คิดแล้วตลกตัวเองดีนะ...ไม่นึกว่าผมจะกล้ามางานแต่งงานของศักดาด้วย หัวใจผมคงจะแข็งแรงเหมือนเหล็กมั้ง เจ็บเท่าไหร่ก็ยังทนได้ ขอเพียงได้เห็นกับตาว่าผู้ชายที่เรารักกำลังมีความสุขดีก็พอ
ตั้งแต่วันนั้นที่ผมส่งข้อความไปหาศักดา เขาก็ไม่โทรมาอีกและผมเองก็ไม่ได้หาทางติดต่อเขาไปเลย เราสองคนเงียบหายไปราวกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จำได้ว่าวันแรกผมเจ็บและร้องไห้หนักมากจนอยากฆ่าตัวตายเลยแหละ พอเวลาผ่านไปสักสองวันอาการผมก็ดีขึ้นและเรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นไปของโลกใบนี้
ความรักครั้งนี้สอนให้ผมรู้ว่า...รักแท้ไม่มีในหมู่เกย์จริงๆ
บางทีวันนี้ผมอาจจะลองถามศักดาดูเป็นครั้งสุดท้ายว่าเขารักผู้หญิงคนนั้นจริงเหรอ...? หรือว่าทำไปเพราะความสบายใจของครอบครัว และพร้อมจะทนกับความอ้างว้างเดียวดายไปอีกตลอดชีวิตหรือยัง
พร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวันเวลาที่ไม่มีผมหรือยัง...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่ผมนั่งปล่อยอารมณ์บนแท็กซี่ พอหยิบออกมาดูจึงรู้ว่าเป็นเดียร์โทรมา
อ้อ ผมไปเลี้ยงข้าวไถ่โทษเดียร์มาแล้วนะ เธอเองก็ไม่ได้โกรธอะไรผมมากมายแบบที่คิดหรอก แค่กระเง้ากระงอดไปตามปกติอารมณ์ของผู้หญิงเฉยๆ
"ฮัลโหลว่าไงเดียร์"
[ออกจากบ้านมาหรือยังน้ำ]
"อยู่บนแท็กซี่แล้ว มีอะไรเหรอ"
[เปล่าหรอก จะฝากอวยพรศักดาหน่อยน่ะ วันนี้ถ้าไม่ติดธุระอะไรคงไปด้วย]
"ได้สิ เดี๋ยวบอกให้นะ..."
เดียร์กับศักดารู้จักกันครับ ช่วงเราคบกันผมก็ไม่ได้ปิดบังคนอื่น คบกันก็บอกเพื่อนที่ทำงานจะได้ไม่มีปัญหาว่าทำไมถึงต้องมีความลับกับคนนั้นคนนี้ บลาๆ
ตอนที่เดียร์รู้ว่าศักดาจะแต่งงานนั้นเธอเห็นใจและสงสารผมมาก แต่ผมกลับนิ่งและเยือกเย็นกว่าที่คิดเพราะเสียใจและร้องไห้มามากพอแล้ว ควรจะหยุดเสียที
รถแท็กซี่จอดตรงหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ถัดจากนี้ไปผมต้องนั่งรถโดยสารที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้เพื่อเดินทางไปยังโบสถ์บนเนินเขาที่อยู่ด้านบน วิวสวยมากเลยครับ แต่ก็น่ากลัวด้วยเช่นกัน เพราะพอมองออกหน้าต่างโบสถ์มาสิ่งที่คุณจะเห็นคือหุบเหวเวิ้งว้างไร้จุดหมายที่ตกไปคงหาศพไม่เจอแน่ๆ
พอมาถึงเนินเขานั้นกลิ่นอายแห่งความสุขก็ลอยมาให้ผมได้สัมผัสทันที ผู้คนมากมายยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน เสียงพูดคุยดังขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เสียงเพลงที่เปิดล้วนเป็นเพลงรักที่อวยพรคู่บ่าวสาวในงานแต่งงาน
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสะกดความรู้สึกเจ็บปวดไว้และเดินเข้าไปถามประชาสัมพันธ์ตรงโต๊ะที่ให้ลงชื่ออวยพรความสุข
"ไม่ทราบว่าเจ้าบ่าวพักรออยู่ในห้องไหนครับ ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวและมีธุระต้องไปทำต่อจึงไม่สามารถอยู่ร่วมงานจนเสร็จได้ เลยอยากจะไปอวยพรก่อน"
เธอคนนั้นยิ้มหวานให้ผมก่อนจะชี้มือไปทางซ้ายของโบสถ์ "ห้องหลังสุดของโบสถ์ค่ะ จะมีห้องหนึ่งของเจ้าบ่าวอีกห้องหนึ่งของเจ้าสาวนะคะ"
"ขอบคุณครับ"
ผมเดินไปตามทางนั้นช้าๆ ในใจคิดถึงวันเวลาทั้งหมดที่เคยมีร่วมกับศักดามา น่าเสียดายที่อีกไม่นานมันจะกลายเป็นอดีตที่ไม่อาจหวนคืนมาแล้ว
พอมาหยุดอยู่หน้าห้องนั้นผมจึงเคาะนำทางไปเบาๆ
"เข้ามาได้เลยครับ" เสียงของคนที่คุ้นเคยตอบกลับมาทำให้ผมยิ้มออก เปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปข้างใน
"น้ำ..." ศักดาดูอึ้งไปเลยที่เห็นว่าเป็นผม
ผมยิ้มบางๆ สะกดรอยเศร้าในแววตาลงไปให้หมด "ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะดา"
คนตรงหน้าผมมีสีหน้าอึดอัดใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ผมเข้าใจนะ ระหว่างเราตอนนี้มันไม่มีความสัมพันธ์มาจำกัดความ หลังจากวันนั้นมาเราก็ไม่ได้คุยกันอีก ศักดาคงจะตกใจและแปลกใจในเวลาเดียวกันที่เห็นผมปรากฏตัวมาที่นี่
วางใจเถอะศักดา...มันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราสองคนจะได้มองหน้ากันแบบนี้
ผมยิ้มเมื่อศักดาเงียบไม่ส่งคำตอบกลับมา นำขวดไวน์วางลงบนโต๊ะสีขาวทับการ์ดแต่งงานใบหนึ่งและหยิบแก้วน้ำสองใบข้างๆ มา เปิดขวดไวน์และเทมันลงไปจนเต็มแก้ว จากนั้นจึงหยิบแก้วหนึ่งส่งไปให้ศักดา
"ผมแค่อยากมาแสดงความยินดีกับศักดาสักครั้ง ก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก"
"น้ำ...หมายความว่ายังไง"
แววตาศักดาสั่นระริก ในนั้นมีความไม่มั่นคงและเศร้าสร้อยแฝงอยู่ด้วย
ผมเจ็บนะ...ที่ต้องปั้นหน้ายิ้มมีความสุขแบบนี้ ทั้งที่ในใจเหมือนถูกมีดสับจนละเอียด
"ก็ดากำลังจะมีความสุขแล้วไง ผมเลยอยากมาอวยพรและเห็นกับตาว่าดามีความสุขแล้วจริงๆ"
"ผม...ขอโทษ"
น้ำเสียงที่กำลังรู้สึกผิดของเขาทำให้หัวใจผมแหลกสลาย
ผมส่ายหน้าไปมาเบาๆ และยิ้มเศร้า "อย่าขอโทษเลย ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อความสุขของดา"
"น้ำคือคนที่ดีที่สุดในชีวิตผม น้ำรู้ใช่ไหม...ว่าถึงเราจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่หัวใจผมคิดถึงน้ำทุกวินาที"
"อย่าเพิ่งพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยนะดา แค่ทำวันนี้ของดาให้ดีที่สุดก็พอ"
"ชีวิตนี้ผมคงไม่เจอใครดีเท่าน้ำอีกแล้วล่ะ"
ผมส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกแก้วยื่นไปข้างหน้าศักดา
"วันนี้วันดี อย่ามัวแต่พูดเรื่องเศร้าๆ เลย ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่ออวยพรให้ดานะ ชนแก้วกันหน่อยเร็ว"
"ครับ"
แกร๊ง! เสียงชนแก้วดังขึ้น ราวกับระฆังจากสวรรค์บ่งบอกว่าหมดเวลาแล้ว
"แด่อะไรครับ" ศักดาถามผม
ผมยิ้มอีกแล้วจนนึกขำตัวเองว่าทำไมวันนี้ตัวเองยิ้มบ่อยจัง
"แด่เราครับ…" เราสองคนยกไวน์ดื่มจนหมดแก้ว
เราสองคนสบตากันเนิ่นนานก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายรั้งใบหน้าของศักดาให้เข้ามาใกล้แล้วมอบจุมพิตลึกซึ้งตามลงไป...มันอาจจะเป็นจูบครั้งสุดท้ายระหว่างเราก็ได้
ศักดามอบสัมผัสร้อนแรงมาอย่างไม่อิดออดจนผมแทบละลายคาอ้อมกอดของเขา รู้สึกดีจังที่ศักดาใส่ชุดเจ้าบ่าวสีขาวแล้วผมยังใส่สูทสีขาวแบบนี้ เหมือนเรากำลังจะสาบานรักร่วมกันเลย
คนสองคนรักกันและพร้อมจะดูแลกันไปตลอดชีวิต...นี่เป็นความสุขที่ผมใฝ่ฝันมาตลอดสินะ
ศักดาละริมฝีปากออกไปก่อนจะก้มลงกระซิบริมใบหูผม "น้ำจะอยู่ในใจผมตลอดไป"
หัวใจผมสั่นสูบและตาลายด้วยความรู้สึกบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่ก็ยังฝืนใจกระซิบตอบกลับไปเบา "เช่นกันครับ ดาจะอยู่ในใจผมตลอดไปดั่งรอยสัก แม้ความตายก็ไม่อาจกั้นได้"
"ขอบคุณที่ให้ผมได้รักน้ำนะ"
"ผมก็รักดานะ...และจะรักตลอดไปไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม"
เราสองคนผละออกจากกันคนละก้าว ผมมองตาที่เป็นประกายของศักดาราวกับจะเห็นทุกเรื่องราวระหว่างเราตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกความสุข ความเจ็บปวดไหลเวียนอยู่ในนั้น ผมอยากหากล่องบรรจุความทรงจำสักใบมายัดสิ่งเหล่านี้ลงไปแล้วฝังลงไปใต้ดินเผื่อเกิดใหม่มาชาติหน้าถ้าหากผมจำตัวเองและคนที่เคยรักไม่ได้ ผมจะได้ไปขุดดินแล้วเอากล่องบรรจุความทรงจำนี้ขึ้นมาดู
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าลึกสุดในใจของศักดาแล้วยังมีผมอยู่แบบที่พูดหรือเปล่า...แต่นั่นมันคงไม่สำคัญอีกแล้วล่ะ
ศักดายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาก่อนพูด "อีกสิบห้านาทีพิธีจะเริ่มแล้ว ถ้ายังไงผมขอไปเตรียมตัวรอด้านนอกก่อนนะ"
หมดเวลาระหว่างเราแล้วสินะ...
"ครับ เดี๋ยวผมจะมองดาในมุมที่ไกลที่สุดและอวยพรให้ดานะ"
"ขอบคุณครับ"
"ไม่ว่าจะยังไงผมก็จะรักดาแบบนี้...ตลอดไป"
พลั่ก!
ผมเทไวน์สีแดงสดลงในชักโครกจนหมดแก้วก่อนจะกดชักโครกทีเดียวเพื่อล้างชำระหลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่และทิ้งขวดนั้นลงในถังขยะนอกห้องน้ำจากนั้นจึงเดินไปรอเข้าชมพิธีหน้าโบสถ์ที่กำลังจะเริ่มขึ้น ผ่านพนักงานประชาสัมพันธ์คนเดิมที่ยังยิ้มอย่างอ่อนหวาน บางทีเธอคงจะทำงานเยอะ เจอคนมากมายจนเบลอไปก็ได้ว่าเมื่อกี้ผมเพิ่งบอกเธอไปว่ามีธุระต้องรีบกลับ อยู่นานไม่ได้
ผมเดินไปหยุดข้างประตูโบสถ์แล้วแอบมองพิธีการที่กำลังเริ่มขึ้นจากด้านใน ผู้คนต่างอยู่ในความเงียบสงบ บาทหลวงในชุดสีขาวดำเนินพิธีต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงคำพูดสุดท้าย
"ขอให้คู่บ่าวสาวจุมพิตเพื่อเป็นษักขีพยานว่าจะครองรักกันตลอดไป"
คนที่นั่งด้านในลุกขึ้นยืนปรบมือรอชมภาพอันแสนหวานที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า...ผมยิ้มออกมาจางๆ ขณะเริ่มเดินถอยหลังออกไปเรื่อยๆ
ศักดาขยับเข้าไปใกล้ผู้หญิงคนนั้นมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงทาบทับริมฝีกปากลงไปยิ่งทำให้คนปรบมือเสียงดังขึ้น
ทันใดนั้นสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!
ร่างของศักดาและผู้หญิงคนนั้นก็กระตุกก่อนที่ศักดาจะล้มตัวทรุดบนพื้น แขกเหรื่อในงานมองไปข้างหน้าด้วยความตกใจ ชายคนนั้นคนนั้นตัวสั่นแรงขึ้น เลือดเริ่มไหลออกมาจากจมูกและริมฝีปากเปรอะเปื้อนชุดเจ้าบ่าวสีขาวจนดูเหมือนเจ้าชายแห่งโลกปีศาจ
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนรู้สึกว่าระบบการทำงานต่างๆ กำลังจะแหลกสลาย ศักดาตัวสั่นขึ้นเรื่อยๆ แล้วยกมือขึ้นกุมอกตัวเองอย่างทรมาน
ผู้คนในงานแตกตื่น เสียงคนเรียกรถพยาบาลดังขึ้น ฝ่ายเจ้าสาวตกใจจนแทบควบคุมสติไม่อยู่
วินาทีนั้นผมกับศักดาสบตากัน ศักดาตาโตขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าเลือดเริ่มไหลออกมาจากจมูกของผมเช่นกัน
ใช่แล้วครับ...ในไวน์แดงนั้นมีพิษร้ายแรงชนิดหนึ่งที่จะทำลายระบบการทำงานภายในของร่างกายสิบหน้านาทีหลังจากรับพิษเข้าไป และต้องหาทางช่วยโดยเร็วที่สุดซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้เมื่องานแต่งนี้ถูกจัดขึ้นบนเนินเขาสูงชะรูดยากต่อการนำรถพยาบาลขึ้นมา
ใบหน้าของศักดาบูดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเจ็บปวด แววตาที่มองมายังผมเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเสียใจก่อนที่ร่างนั้นจะกระตุกอีกทีแล้วทรุดตัวนอนลงแน่นิ่งไม่หายใจอีก!
เสียงกรีดร้องโวยวายดังขึ้นเมื่อใครหลายคนพอจะเดาเหตุการณ์ตรงหน้าออก หากจะช่วยตรงนี้คงไม่ทันเพราะสายเกินไปแล้ว
ความเจ็บปวดในอกผมรุนแรงขึ้นจนไม่คิดจะห้ามมันอีกต่อไป...ผมถอยหลังมาเรื่อยๆ จนชิดขอบหน้าผาที่ด้านหลังเต็มไปด้วยความมืดมิดไร้ทางออกก่อนจะปล่อยตัวเองลงสู้ความว่างเปล่าเบื้องล่าง
ผมหลับตาพริ้มด้วยความสุข...นี่เป็นหลุมศพที่งดงามที่สุดของผม เพราะผมจะได้อยู่กับศักดาตลอดไป
ในเมื่อผมกับศักดาไม่สามารถรักกันได้ ก็อย่าให้ใครได้ตัวศักดาไปเลย ให้เราสองคนได้ไปอยู่บนสวรรค์ด้วยกันตลอดไปก็พอ ผมขอแค่นี้แหละ
สติสุดท้ายของผมกำลังจะหายไป...ใบหน้าของพ่อกับแม่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ผมแก้แค้นให้พ่อกับแม่สำเร็จแล้วนะครับ และต้องขอโทษด้วยที่ผมตกหลุมรักเขา ลูกของฆาตกรที่ฆ่าพ่อกับแม่
รอผมก่อนนะครับ อีกแปปเดียวผมจะไปหาพ่อกับแม่แล้ว
"ครูให้เวลาพวกเธอสรุปข้อคิดจากเรื่องนี้ลงสมุดนะ ท้ายคาบให้หัวหน้าห้องรวบรวมไปส่งด้วย"
"ครับ/ค่ะ"
ครูสอนวิชาสุขศึกษายิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อนักเรียนชั้นมัธยมต้นต่างเข้าใจและเริ่มทำงานตามที่ตัวเองสั่งก่อนจะเดินออกจากห้องไปพูดคุยกับครูอีกท่านที่ออกมารับลมตรงระเบียง
ข้างหลังห้องมีเด็กหญิงสองคนกำลังนั่งปรึกษาหัวข้อกรณีศึกษาที่ได้ทำอยู่
"ข่าวนี้มันนานมาสามปีแล้วเนอะ"
"ใช่ น่าสงสารพวกเขานะ เป็นโศกนาฏกรรมรักที่แสนเจ็บปวดมาก" เด็กหญิงอีกคนรับข้อสนับสนุน
เด็กหญิงคนแรกเท้าคาวมองออกไปมองหน้าต่างแล้วพึมพำออกมาเบาๆ
"จริงๆ แล้วเจ้าสาวคนนั้นก็ได้รับพิษด้วยนะ ดีที่นำตัวส่งโรงพยาบาลทัน มีชีวิตรอดกลับมาได้ก็โชคดีแล้วล่ะ"
"มีชีวิตแบบนั้นน่ะนะ...เหมือนตายทั้งเป็นมากกว่า ต้องอยู่กับภาพฝันของผู้ชายที่ตัวเองรักไปตลอดชีวิตโดยไม่อาจเป็นเจ้าของได้น่ะ"
"มันแล้วแต่คนมองนะแก ถ้าจำไม่ผิดแม่เจ้าบ่าวก็ออกมามอบตัวกับตำรวจนะที่เคยขับรถชนพ่อกับแม่ของคู่ขาเจ้าบ่าวคนนั้นน่ะ"
"นั่นคงเป็นผลของการกระทำของเขาแล้วล่ะ น่าสงสารผู้ชายคนนั้นที่ตกเหวไป...จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครเจอศพเลย"
"ไม่แน่นะตอนนี้ผู้ชายสองคนนั้นเขาอาจจะไปเจอกันและมีความสุขด้วยกันบนสวรรค์แล้วนะ"
เด็กหญิงอีกคนหัวเราะ "ฮ่าๆ นั่นน่ะสิ เขาคงมีความสุขแล้วล่ะ ที่สุดท้ายคนที่เขารอคอยก็ได้พบเจอกันอีกครั้ง"
สายลมพัดโชยมาโดนตัวของเด็กหญิงทั้งสองคนราวกับจะนำคำอวยพรนั้นลอยไปสู่สรวงสวรรค์...
(The End)
= = = = = = = = = = = = = = =
จบแล้วครับ :mc4:
นิยายเรื่องนี้จะเน้นข้อคิดและชีวิตจริงในสังคมไทยนะครับ อาจจะไม่ฮาไม่มีสาระเลย หากผู้อ่านเปิดเข้ามาอ่านผมก็ดีใจมากๆ แล้ว
ในที่สุดก็หมดโปรเจ็กที่มีตอนนี้ หลังจากนี้จะลุยกับเรื่องอืนต่อแล้ว
ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ
-
เรื่องนี้จบก็ไปต่อเรื่องที่ค้าง ๆ ด้วยนะ เพราะยังติดตามอยู่
-
:katai2-1:
เราชอบๆ จบแบบนี้ไปเลย555
เราโรคจิต555
-
เราโอเคกับจบแบบนี้มากกว่าจบแบบทุ่งดอกไม้อีกนะ
จะมีสะดุดบ้างก็ตรงบทบรรยาย เลือกคำมาไม่เข้ากับบท อย่างยอดเขาสูงชะลูด..
-
จบได้ดี
น้ำทำถูกแล้ว ศักดาจะเป็นของน้ำคนเดียวตลอดไป
ความตายเท่านั้น ที่สามารถทำให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน(ในอีกโลก)
-
จบได้สะเทือนใจอ่ะ
แต่สงสัยตรงครูสอนสุขศึกษาอ่ะ
-
อิบ้า :z6: :z6: :z6:
แก้แค้นให้พ่อแม่แทนที่จะไปแก้แค้นตัวการ แต่กลับมาฆ่าลูกอ่ะนะ :z3:
อีกอย่างยังไงแกก็จะลงเหวอยู่แล้ว จะทำลายหลักฐานทำซากอะไร ฉันไม่เข้าใจ :katai1:
เหตุผลของแกไม่ค่อยเมคเซ้นนะ ถ้าไอ้ศักดามันหนีไปมีชู้ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันโดนบังคับแต่งงาน
ไม่เข้าใจกับแกจริงๆ
พอจะเดาได้ว่าศักดาโดนฆ่า แต่เหตุผลมันแปล่งๆ แฮะ
-
ค่ะ จบแบบสมควร ว่ายังไงก็คือมันสมควรตายยยย กร๊ากกกกกกกกกกกก :katai2-1:
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
นี่มันอะไรกัน จบแบบยังไม่เข้าใจและค้าง ฮา~~~~
-
ขอบคุณ สะเทือนใจมาก
-
:pig4:
-
ทั้งรักทั้งแค้นเลยสินะ
จุดเริ่มต้นก็มาจากแม่ศักดานั่นแหละ
-
บอกไม่ถูกเลย
-
:mew4:
-
เง้อ จบแบบนี้เลย
ปล. คุณครูเป็นใครป่าวอะ หรือไม่เกี่ยว แหะๆ
-
:monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
-
:mew3:
รักต้องร้าย
ขอบคุณคับ
:pig4:
-
เป็นรักที่เห็นแด่ตัวล้วน ๆ และใช้ข้ออ้างว่าแก้แค้นแทนพ่อแม่ ความคิดน้ำช่างน่ากลัว แต่มีจริงในสังคมปัจจุบัน ถ้าเราไม่ได้ ใครก็อย่าได้ เจ็บปวดจัง
-
บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง
มันแลตื้อๆไปหมด
ขอบคุณนะคะ
-
เศร้าจัง
-
:เฮ้อ:
-
สุดยอดไปเลยครับพี่Homepage!! OwO
แล้วก็ขอบคุณนะครับ!! ><
-
จบแบบสะเทือนใจ เรื่องแบบนี้มันเศร้าจัง
-
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟ
-
คนที่นิยามความรักแบบนี้แหละ อันตราย
มันถูกต้องแล้วหรือ ที่จะเอาชีวิตคนอื่น
โกรธแม่ แล้วไปฆ่าลูก คนที่บอกว่าตัวเองรักนักหนา
เพียงเพราะตัวเองไม่มีใคร ก็มีสิทธิ์ทำลายชีวิตคนอื่นหรือ
-
:mew1:
-
เป็นเรื่องสั้นที่จบดีเลย
สะท้อนบางมุมของสังคมไทยมาชัดเจน
-
หน่วงในใจ :m15:
เศร้าแต่สนุกมาก :pig4: :pig4: :pig4:
-
เศร้าจัง
ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
-
เล่นอย่างนี้เลยหรออออ โอเคๆๆ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
จบดีนะ ชอบอ่ะ มันแบบ.. :hao5: :hao5:
-
พูดไม่ออก บอกไม่ถูก จริงๆ :pig4:
-
:pig4: