Follower ผู้ติดตาม END (20/08/2562) หน้า2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Follower ผู้ติดตาม END (20/08/2562) หน้า2  (อ่าน 19117 ครั้ง)

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ยอดนักสืบวิน & ยิ้ม [2]


          เช้าวันต่อมา ผมกลับจากตลาดที่เกือบจะวายไปแล้ว

          ไอ้ยิ้มช่วยหิ้วของไปวางไว้บนโต๊ะ เช้านี้เสียไปเกือบห้าร้อยกว่าบาท เพราะต้องตุนของเอาไว้กินตอนช่วงนี้ จำพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมปัง แยม แล้วก็อุปกรณ์ส่วนตัวต่างๆ ไม่พอยังต้องซื้อไว้ให้ไอ้ยิ้มเพิ่มอีก มันบอกว่าถ้าเจอครอบครัวเมื่อไหร่จะเอามาใช้คืน

          แล้วก็กับข้าวของตาแม้น เป็นกระเพาะปลาใส่ไข่นกกระทาพิเศษ

          เหลือเงินอีกไม่ถึงสองหมื่นสำหรับปีนี้ กะไว้ว่าพอเสร็จจากภารกิจสืบหาตัวมาย ปริศนาคุณหญิงย่าชุดแดง แล้วก็หาครอบครัวไอ้ยิ้ม ก็จะหางานทำต่อเลย...แต่ก็คงอีกนาน เพราะสามอย่างทำเองหมดภายในวันสองวันก็คงตายห่าหันพอดี

          ผมแกะถุงกระเพาะปลาใส่ถ้วยแล้วยกไปให้ตาแม้นที่โต๊ะกินข้าว หยิบถุงยาออกมาอ่านแล้วหยิบใส่แก้วใบเล็กไว้ตามเวลากินยา

          พอเสร็จแล้วสายตาก็หันไปปะทะกับโทรทัศน์เครื่องเก่าของบ้านนี้ จำได้ว่าไอ้ยิ้มเคยเปิดเพลงได้ จานดาวเทียมดำของบ้านนี้ยังใช้งานได้อยู่ เลยเดินเข้าไปกดเปิดมันเสียเลย

          แรงกดสวิตช์แค่ไม่ถึงสามวิแล้วผมก็เอานิ้วออก...ผมเห็นภาพบางอย่างแทรกขึ้นมาในหัวแวบหนึ่ง...เห็นเป็นเด็กผู้ชายกำลังยืนทำอะไรไม่รู้ที่หน้าโทรทัศน์ตัวนี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลยเอามือทาบไปที่จอแก้ว...ไม่นาน ผมก็หลับตาลง เห็นภาพทุกอย่างออกมาเป็นฉากๆ

          เด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจ้องมองโทรทัศน์เครื่องนี้แล้วหัวเราะไปด้วย เมื่อก่อนมีโซฟาตัวใหญ่ตั้งอยู่ และมีโต๊ะแก้ววางไว้ตรงกลาง ผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆ เดินเข้ามาแล้วเอาถาดขนมและของหวานมาให้เด็กผู้ชายคนนี้แล้วทุกอย่างก็มืดดำ

          ผมลืมตาขึ้นมาแล้วครุ่นคิดอยู่สักพัก...ผู้หญิงคนนั้นที่น่าจะเป็นแม่ของเขา เป็นคนเดียวกันกับคุณมยุรี เจ้าของบ้านเช่าหลังนี้ และเธอมีลูกชายสินะ

          ไอ้ยิ้มเดินออกมาแล้วมองมายังผมที่กำลังจับจ้องไปยังโทรทัศน์อย่างครุ่นคิด “เป็นไรอ่ะ”

          ผมได้สติแล้วหันกลับไปทางมัน “อ๋อ...พอดีเห็นภาพเก่าๆ ของทีวีตัวนี้อ่ะ”

          “เห็นไรบ้างล่ะ” มันถามแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ

          “ก็เห็น...เจ้าของบ้านเช่ากับลูกชายเขา สมัยตอนอยู่ที่นี่ คงมีความสุขมากๆ ทั้งขนม ของหวาน โคตรเทค เห็นแล้วคิดถึงแม่” ผมพูดจบก็หันไปหยิบรีโมตที่วางข้างๆ เครื่องขึ้นมา แล้วเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ

          นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ดูความเป็นไปเป็นมาของสังคม แล้วก็มาหยุดที่ช่องหนึ่ง “ผมดูอันนี้นะ ห้ามเปลี่ยน” ผมหันไปหามัน แต่จู่ๆ มันก็เงียบไป แล้วเหม่อมองไปยังโทรทัศน์ตัวนี้ น้ำตาของมันคลอเบ้าอยู่ปริ่มๆ เหมือนจะร้องไห้...ไม่นานมันก็หยดลงมาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยน้ำตาเม็ดอื่นที่ไหลตามกันออกมา

          ...นี่เป็นครั้งที่สองที่เห็นมันร้องไห้

          “ร้องไห้ทำไมเนี่ย เป็นอะไร” ผมถามมันออกไปด้วยน้ำเสียงตกใจ มันได้ยินผมแล้วขึ้นเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตาลวกๆ แต่มันก็ไม่ได้หยุดไหลเลยด้วยซ้ำ “เป็นอะไร บอกได้นะเว่ย...” ผมจับแขนเสื้อมันแล้วกระตุกเบาๆ

          “คิดถึง...” มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คิดถึงใครบางคน...ไม่ได้เจอเขามานานแล้ว”

          ผมก็ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ถ้าเขาคิดถึงใคร แสดงว่าเขาจำอะไรบางอย่างได้แล้วใช่ไหม “ใจเย็นๆ ก่อน...คิดถึงใคร”

          “...ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าคิดถึงเขามากๆ เลย” เขาจ้องมองไปยังโทรทัศน์ตัวนี้แล้วทำหน้าเศร้า...แล้วก็หันมาหาผม “คุณพาผมไปที่ที่หนึ่งได้ไหม”

          “ไปไหน”

          “ไป...โอ๊ย!” จู่ๆ เขาก็กุมหน้าอกแล้วทำหน้าตกใจไปด้วยน้ำตา ความรู้สึกจุกเสียดแน่นแล่นผ่านกระดูกสันหลังของเขา เสียงเหมือนเขาหายใจไม่ออกดังออกมาแล้วทำหน้าเกร็งอย่างหนัก

          “คุณ! เป็นอะไรเนี่ย!” ผมพูดด้วยความตกใจ เขาเริ่มนั่งลงไปคุกเข่ากับพื้น มือขวาเขายังไม่หยุดขยำหน้าอกตัวเองด้วยความเจ็บปวด สีหน้าเขาดูไม่ดีเสียเลย

          “ผมเจ็บ! ช่วยด้วย!” เขาล้มลงไปนอนกับพื้นแล้วหอบหายใจ ผมที่ทำอะไรไม่ถูกเริ่มลนลานหนัก มองไปอีกทีเขาก็สลบไปแล้ว

          แย่แล้ว! ไอ้ยิ้มจะเป็นอะไรไม่ได้นะ!

          ผมมือสั่นรีบกดเรียกรถพยาบาลอย่างรวดเร็ว ปลายสายดังไม่ถึงสามตู๊ดก็รับสาย “โรงพยาบาลครับ มาที่ ถ.xxx ด่วนเลยครับ!”

          “เดี๋ยวคุณ...” จู่ๆ ไอ้ยิ้มก็ลุกพรวดขึ้นมา อาการเจ็บของเขาเหมือนจะหายดีแล้ว

          “เอ่อ...ไม่ต้องมาแล้วครับ หายแล้วครับ ขอบคุณครับ!” ผมรีบกดวางสายโรงพยาบาลด้วยความลังเล “เป็นอะไรมากไหม หรือว่าแกล้งกู!”

          “เห้ย! ไม่ใช่! ...ผมเจ็บจริงๆ ...ยังเจ็บไม่หาย...” น้ำเสียงของมันดูเหนื่อย ผมเชื่อละว่ามันเจ็บจริง เพราะตอนนี้หน้าแม่งซีดไปแล้ว

          “แล้วเป็นอะไรเนี่ย...นึกว่าจะมีคนมาตายในบ้าน”

          “ปากหมาอีกละ...เจ็บเหมือนเดิม เหมือนตอนอยู่ที่โรงบาล’ ”

          “ไปหาหมอเหอะ...กลัวครั้งหน้าถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกจะแย่เอานะ...ไม่อยากจัดงานศพให้ งบไม่มี” สีหน้าเจ็บของมันผสมแค่นยิ้มให้ ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาหน่อยนึง...







          บ่ายนั้นเอง โทรศัพท์ของผมมีสายเข้ามารัวๆ

          แต่ผมไม่ได้ยินในขณะที่ผมกำลังง่วนกับการเขียนผังตามหามายอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ไอ้ยิ้มเป็นคนส่งโทรศัพท์มาให้ผม...เป็นเบอร์แปลกไม่มีชื่อ ผมเลยลองกดรับดู

          “สวัสดีครับ...”

          [พี่วิน! ช่วยน้องหวานด้วย!] เสียงของน้องหวานนี่!

          “ฮัลโหลน้องหวาน เกิดอะไรขึ้น ให้พี่ช่วยอะไร!” ผมผละจากแผนทั้งหมดแล้วเดินออกมาคุยข้างนอกบ้าน ไอ้ยิ้มตามผมมาติดๆ คงอยากจะรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเสียงของน้องหวานสั่นเครือหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

          [ป้าฤดี! ป้าฤดีจะทำร้ายน้องหวาน ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่ ไม่มีใครช่วยน้องหวานเลย พี่วินช่วยรีบมาด้วยค่ะ ด่วนเลย! กรี๊ดดด!]

          [มึงอยู่ไหนอีหวาน!] เสียงปลายสายถูกแทรกเข้ามา เป็นเสียงตะคอกของป้าฤดี ตามด้วยเสียงกรี๊ดของเธอที่กำลังหวาดกลัว แล้วสายก็ถูกตัดไปในตอนที่ผมกำลังจะพูดต่อ

          “เกิดอะไรขึ้นอ่ะกวินท์” ไอ้ยิ้มสีหน้าไม่สบายใจเหมือนกับผม

          “ต้องรีบไปบ้านน้องหวานเดี๋ยวนี้เลย ยายป้าฤดีผีเข้า!”

          “ห้ะ! ผีเข้าเหรอ!”

          ผมไม่รอช้า รีบไปลาตาแม้นแล้วออกจากบ้านมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาที่จะเดินไปเพราะมันช้ามาก เลยต้องควบจักรยานไปที่ปากซอยทางขวา มีไอ้ยิ้มซ้อนหลังมาด้วย

          แท็กซี่มาจอดเทียบกับที่ผมกับไอ้ยิ้มยืนอยู่

          “ไปหมู่บ้านพฤกษ์ภิรมย์ครับ ขอด่วนๆ เลย!”







          ณ บ้านของมาย

          ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังออกมาจากในบ้าน วันนี้ไม่มีรถอยู่สักคัน เห็นได้ว่าไม่มีผู้ใหญ่ท่านไหนอยู่เลยสักคน เหลือแต่ยายป้าแม่บ้านฤดีและน้องหวานกำลังเล่นเกม Identity V กันอยู่!

          ผมไม่รอช้ารีบเดินไปยังประตูน้อย พอลองเขย่าดูก็ปรากฏว่ามันล็อกจากด้านใน ซึ่งผมเอื้อมมือเข้าไปปลดล็อกได้เองอย่างง่ายดาย

          “ต้องรีบเข้าไป” ผมหันไปหาไอ้ยิ้ม “เดี๋ยวผมจะไปจัดการกับยายป้าฤดี แล้วคุณวิ่งไปตามตัวน้องหวานนะ” มันพยักหน้ารับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด น้องหวานจะต้องไม่เป็นอะไร!

          พอถึงตัวบ้าน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งสวมโม่งคนสวนเดินออกมาอย่างรีบร้อน พอเจอผมก็ชะงักแล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่สนใจเลยรีบเดินเข้าไปทันที จากที่คิดไว้ว่าป้าฤดีกำลังล่าตัวน้องหวานที่ซ่อนตัวอยู่ แต่กลับเป็นเหตุการณ์บนชั้นสอง เกิดเสียงดังโครมครามจากการทุบประตูห้องอย่างรุนแรง

          คนใช้คนอื่นๆ ก็ยืนมุงดูกันอยู่ด้านล่าง มองไปยังยายป้าฤดีที่กำลังทั้งถีบทั้งทุบประตูโครมคราม มืออีกข้างกำลังหยิบพวกกุญแจขึ้นมาไขอย่างเร่งรีบ

          “ถ้ามึงไม่ออกมานะอีหวาน! ความลับของมึงก็รั่วเหมือนกัน ดูซิคราวนี้ คุณสวัสดิ์จะเชื่อใครมากกว่ากัน ระหว่างกูกับมึง! อีหวาน!” ถึงแม้ผมสองคนฟังแล้วจะงง แต่ตอนนี้ต้องรีบหยุดสถานการณ์วุ่นวายนี้ก่อน

          “ป้า! หยุดเดี๋ยวนี้!” ผมกับไอ้ยิ้มรีบวิ่งขึ้นบันไดไป ยายป้าฤดีได้ยินเสียงก็รีบหันขวับมาทางผมทัน

          “อะไร! อีหวานเรียกมึงมาเหรอ!” ป้าแกถลึงตาใส่อย่างน่ากลัว สีหน้าโมโหของเธอราวกับอาฆาตแค้น อยากจะฆ่าใครสักคนให้ได้

          “พี่วินนนน! ช่วยหวานด้วยยย!” เสียงของน้องหวานดังออกมาจากในห้อง ประตูสีขาวที่โดนยายป้าฤดีถีบใส่มีรอยเท้าสีสกปรกประทับไว้

          “ป้าครับ! ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนนี้ ขอให้ป้าหยุดก่อนเถอะ”

          “มึงมาเสือกอะไร! เรื่องนี้มันเรื่องของกูกับอีหวาน! คนนอกไม่เกี่ยว!”

          “พี่วิน! ช่วยหวานด้วยยย!” น้องหวานยังคงตะโกนออกมาจากด้านใน ผมไม่รอช้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของคุณสวัสดิ์โทรออกไปทันที

          “มึงจะทำอะไร!” ป้าฤดีหันตัวมาทางผมอย่างโมโห

          “เดี๋ยวก็รู้” รอไปสักพัก ปลายสายก็รับสายทันที “สวัสดีครับคุณสวัสดิ์ ช่วยรีบมาที่บ้านด่วนๆ เลยครับ แม่บ้านฤดีกำลังทำร้ายน้องหวาน”

          “อะไรนะ!? ฤดีเหรอ!” ปลายสายตัดจบไปอย่างเร่งด่วน

          “เหอะ! มาก็ดี กูจะได้บอกเรื่องทุกอย่างให้คุณสวัสดิ์ฟัง คราวนี้ อีหวาน ตาย!!!” ป้าฤดีตะคอกเสียงดังแล้วเดินกระฟิดกระเฟียดผ่านผมสองคนออกไป ผมไม่สนใจ รีบวิ่งไปเคาะประตูห้องน้องหวานทันที

          “น้องหวาน! เปิดประตูด่วนครับน้องหวาน!” ไม่นานเสียงแกร็กๆ ไขกลอนประตูก็ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกก็พบกับใบหน้าน้องหวานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่น้องหวานรีบวิ่งผ่านผมออกไปแล้วตรงไปยังป้าฤดีทันที

          “อย่าคิดว่าหวานไม่มีหลักฐานนะป้า!” เสียงเล็กตะโกนออกไปขณะที่ป้าฤดีกำลังเดินถึงบันไดขั้นสุดท้าย จนเธอหันมามอง...ผมกำลังดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่

          “หลักฐานอะไร!?”

          “ก็ไว้รอพ่อมาเลยสิคะ...ป้าโป๊ะแตกแน่!”

          ทันใดนั้น เสียงรถตู้คันใหญ่ก็เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน น้องหวานได้ยินจึงรีบลงบันไดผ่านยายป้าฤดีไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นคนที่เดินเข้ามาคนแรกด้วยสีหน้าตกใจ

          ผู้หญิงชุดเดรสสีสวยลายดอกสีชมพู เดินเข้ามาในตัวบ้านอย่างรีบร้อน...ผู้หญิงที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตามาตลอด ทำให้ผมจำได้แม่นเลยว่า คุณหญิงภรรยาของคุณสวัสดิ์ในรูปนั้น เป็นคนคนเดียวกับเจ้าของบ้านเช่าของผมนั่นเอง

          คุณมยุรี

          น้องหวานวิ่งโผเข้ากอดเธออย่างแนบแน่น “แม่คะ!”

          “น้องหวาน เกิดอะไรขึ้นลูก!”

          “ป้าฤดีจะตีน้องหวาน...น้องหวานแค่...” เธอทำทีเป็นสะอื้นไห้ออดอ้อนออเซาะคนเป็นแม่ แล้วหันไปมองป้าฤดีที่ทำหน้าหยิ่งผยองใส่อยู่ตรงปลายบันได “น้องหวานแค่จะกินขนมก่อนเวลาของว่าง...แต่ป้าฤดีบอกว่าให้น้องหวานฝึกตรงต่อเวลาค่ะ”

          อ้าว?! ...เอ้ะ?! กลับกัน ไหงเป็นงี้ไปได้!

          ผมที่ยืนดูสถานการณ์ด้านบนเริ่มไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น น้องหวานอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมา ทั้งที่ตัวเองกำลังจะโดนป้าฤดีทำมิดีมิร้ายแท้ๆ ทั้งสองคนนี้แม่งมีซัมทิงจนผมปะติดปะต่ออะไรไม่ถูก

          ผมพาไอ้ยิ้มเดินลงมาจากชั้นบน พลันสายตาของคุณมยุรีก็มองมาที่ผมกับไอ้ยิ้มอย่างประหลาดใจ

          “สวัสดีครับคุณมยุรี”







          ณ ห้องนั่งเล่นที่เดิม เพิ่มเติมคือตอนนี้เป็นคุณมยุรีที่มาสอบสวนผมแทน แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าคุณสวัสดิ์เสียอีก

          อีป้าฤดีไม่ได้อยู่ด้วย

          “อ๋อ...นี่รู้จักกับมายด้วยเหรอคะ” เธอถามน้ำเสียงอ่อนโยน ข้างๆ ของเธอมีน้องหวานกอดแขนเล่นอยู่ สถานการณ์เมื่อสักครู่นี้เหมือนละครฆาตกรรมที่กำลังมีฉากฆ่าฟันกันอยู่ แล้วถูกตัดฉากมาที่ทุ่งลาเวนเดอร์ โดยมีสีลิตร้าวิ่งนำขบวนเหล่าผีเสื้อ

          “เอ่อ ครับ...รู้จัก เลยจะมาช่วยตามหาด้วยอีกแรงครับ”

          “แล้วตอนนี้เป็นไงบ้างแล้วล่ะ คืบหน้าไปถึงไหน”

          “ยังสรุปไม่ได้ครับ แต่ผมว่าใช้เวลาอีกไม่นานก็น่าจะเจอ” ผมนึกเรื่องที่ชมพู่บอกว่า แม่ของมายติดต่อมาบอกว่ามายตายแล้วให้ฟัง ผมควรจะถามออกไป “แต่มีคนบอกว่า...มาย...เอ่อ...ตายแล้ว”

          “หืม? ไปฟังมาจากไหนคะ” ผมหันไปมองไอ้ยิ้มที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกฝั่ง มันเอาแต่จ้องคุณมยุรีอย่างไม่ว่างตา

          “ชมพู่ครับ...แฟนของมาย เธอบอกว่า คุณมยุรีบอกว่ามายตายแล้ว จัดงานศพขึ้นเงียบๆ ไม่อยากให้ใครไปเกี่ยวข้อง” เธอฟังแล้วกลอกตางง สูดหายใจเข้าแล้วพ่นออกมา

          “อันที่จริง...ฉันโกหกเขาเองค่ะ...แค่ฉันไม่อยากให้เธอมาวุ่นวายกับการหายตัวไปของมาย เอ่อ...จะพูดดีไหมนะ” เธอเงียบไปอึดใจ ซึ่งผมอยากฟังต่อ “โอเค...พูดก็พูด คือว่า...ฉันไม่ค่อยชอบเธอสักเท่าไหร่ เลยโกหกไปว่ามายตาย เธอจะได้เลิกยุ่งกับเขาเสียที...แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง”

          อ๋อ...แบบนี้เองเหรอ

          “งั้นก็แสดงว่า ชมพู่ไม่รู้เรื่องนี้สินะครับ”

          “เธอเลยส่งคุณมาที่นี่เพื่อสืบหาตัวมายงั้นเหรอคะ”

          จะว่าไปมันก็ใช่ ตอนนี้ผมยังสับสนอยู่ว่า มายตายแล้วหรือยังไงกันแน่ เพราะสิ่งที่คุณมยุรีบอกกับชมพู่เป็นเพียงแค่คำโกหก แต่ชมพู่กลับเชื่อว่ามายตายแล้ว ไหนจะยังวิญญาณของมายที่ผมอัญเชิญมาตอนทำพิธีอีก...

          “...ไม่ใช่หรอกครับ ผมอาสามาเอง” ถ้าจะเรียกว่าโกหกผมก็พูดไม่ได้เต็มปากเพราะอยากรู้ด้วยตัวเองอยู่ส่วนหนึ่งด้วย

          สรุปแล้ว...มันยังไงกันแน่

          ผมเริ่มเดาทางของเรื่องนี้ไม่ถูกแล้วสิ



FOLLOWER

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เออ... งงจริง​ อะไรยังไง
บอกตรงๆ​เมื่อคืนอ่านตั้งตอนแรกจนก่อนล่าสุด​ บทแรกๆ​ โคตรหลอน​ น่ากลัวสุดไรสุด​ เดินเรื่องเร็วกระชับ​ แต่พอมาเริ่มรู้จักยิ้ม​ มาย​ รู้สึกทุกคนมีปมมีประเด็นผูกโยงกันไปมา​ แต่พอจะเริ่มเดาได้บ้างละ​แต่ยังไม่ชัวร์

ขอชมจากใจจริงว่าคุณเขียนตอนบทผีได้หลอนและเห็นภาพมาก

รอบทต่อไปค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2019 22:40:48 โดย pktherabbit »

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ไม่ใช่วินคนเดียวที่งงแล้วตอนนี้คนอ่านก็งงด้วยว่าสรุปยังแต่คุณมยุรานี้แอบหน้ากลัวอะ

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ยอดนักสืบวิน & ยิ้ม [3]


          “คุณมยุรีครับ...” ไอ้ยิ้มที่นั่งอยู่เงียบตั้งนานโขก็พูดขึ้นมา

          ทุกคนในที่นี้หันไปมองอย่างสนใจ “ผมอยากจะบอกคุณมยุรีว่า...อย่าปล่อยให้คนที่คุณรักมากต้องรอครับ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น...คุณอาจจะไม่มีโอกาสได้ขอโทษเขาอีก แม้แต่คำว่าอภัย ก็คงไม่ได้ยิน”

          “คุณพูดเรื่องอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ” ใช่ อะไรของมัน บ้าหรือเปล่าวะ!?

          “คุณไม่รู้หรอกว่าคนรอมันทรมานขนาดไหน...” ไอ้ยิ้มจู่ๆ ก็มีน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา อีคนร้องไห้ยากแบบมันนี่เรียกน้ำตาเก่งฉิบหาย แต่มันหมายความว่ายังไง...อะไรคือสิ่งที่มันพยายามจะบอก “รีบเสียนะครับ ก่อนที่มันจะสายไปแล้วจริงๆ”

          “นี่คุณหมายความว่าไงคะ...” คุณมยุรียังคงทำหน้างงไม่ต่างจากผมเลย

          “คุณรู้อยู่แก่ใจตนเองครับ...ยังลืมใครอีกคน ที่คุณรักมากคนหนึ่ง”

          “ยิ้ม! ...พูดเชี่ยไรของมึง” ผมกระซิบกระซาบมันทางปาก มันเห็นผมแต่ไม่โต้ตอบอะไร แล้วผมก็ต้องหันไปหาคุณมยุรีเพื่อแก้สถานการณ์แทนมัน “คุณมยุรีอย่าไปสนใจเลยครับ มันสติไม่สมประกอบ”

          “...” คุณมยุรีนิ่งเงียบไปทันที สายตาของเธอมองออกไปข้างหน้าทางด้านหน้าต่างบานเดิม แสงแดดยามบ่ายส่องเข้ามากระทบกับขอบหน้าต่างจนประกายวาว สายตาของคุณมยุรี ราวกับมีความรู้สึกนับล้านที่อธิบายออกมาไม่ได้ “ช่างเถอะค่ะ...ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร...แต่เขาก็พูดถูกนะคะ...บางอย่างถ้าช้าเกินไป มันก็อาจจะไม่มีโอกาสได้กลับไปแก้ไขอีก เพราะฉะนั้น เรื่องของมายสำคัญมากที่สุด ฉันจึงตัดสินใจเลือกให้คุณย้ายมาพักที่นี่ชั่วคราว เพื่อสืบหาตัวลูกชายของฉัน งานของคุณจะได้สะดวกขึ้น จะได้ไม่ต้องไปกลับแท็กซี่เปลืองเงินเปล่าๆ” อ้าว...ยังไงดีล่ะวะ ถ้าผมย้ายมาแล้วตาแม้นล่ะ เขาจะอยู่กับใคร ขนมากันหมดคงไม่ได้แน่ๆ

          “เอ่อ...ผมขอยังไม่ตกลงตอนนี้ได้ไหมครับ พอดีว่าที่บ้านยังมีธุระวุ่นวายนิดหน่อย”

          “งั้นก็...ถ้าสะดวกเมื่อไหร่ ติดต่อฉันได้ทันทีค่ะ”

          “ขอบคุณมากครับคุณสุข”

          ผมกับไอ้ยิ้มขอตัวออกมาก่อนหน้าที่รถของคุณสวัสดิ์จะเคลื่อนตัวเข้ามาในตัวบ้าน

          ผมไม่อยากอยู่ตอบคำถามความวุ่นวายอะไรทั้งนั้นเพราะคนที่เป็นคนกดเบอร์โทรไปหาคุณสวัสดิ์นั่นก็คือผม ปล่อยให้แกโวยวายกันไปเองเถอะ เพราะถึงผมจะรู้ว่าเหตุการณ์ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น น้องหวานก็คงโกหกพ่อตัวเองเหมือนที่โกหกคุณมยุรีไป ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไปเพื่ออะไร แทนที่จะบอกความจริงให้รู้แล้วรู้รอด อีป้าฤดีมันจะได้ไม่กล้ามาแผลงฤทธิ์อีก ซับซ้อนฉิบหาย พากันวิ่งเล่นในเขาวงกตไปเถอะ ผมกับไอ้ยิ้มก็งมหัวกันสืบจนไม่หวาดไม่ไหวแล้ว

          พูดแล้วก็ท้อเบาๆ แต่แม่งก็ต้องสืบให้ได้แหละ เพราะผมก็เป็นคนอยากรู้เองด้วย (สายเผือกที่แท้ทรูคือตูนี่เอง)







          ช่วงนี้ฟ้าครึ้มฝนอยู่บ่อยๆ เพราะว่าเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัว

          แต่แดดเมืองไทยแม่งก็ร้อนอีกตามเคย ผมต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เกี่ยวกับฤดูกาลของไทย จากร้อน ฝน หนาว กลายเป็น ร้อน ร้อนมาก ร้อนโคตรพ่อโคตรแม่ แบบนี้แหละถึงจะถูก

          พอกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าตาแม้นได้รับบริจาคเสื้อผ้าและเครื่องอุปโภคต่างๆ มากมายจากเพื่อนบ้านแถวบ้านแก ด้วยมิตรภาพที่ดีของตาแม้นที่เคยมอบให้พวกเขา ส่งผลให้ตาแม้นได้รับผลบุญอันดีงามนี้ รู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน

          ผม ไอ้ยิ้ม และตาแม้น รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกันเป็นครั้งแรก ดูมื้อนี้คนชราคนเดียวในบ้านมีความสุขเป็นพิเศษ ผมกับไอ้ยิ้มมองหน้ากันอย่างสบายใจ กับข้าวก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก ก็แค่กับข้าวทั่วๆ ไป พวกยำ พวกแกงกะทิ ไก่ทอดสามขา ก็รู้สึกอิ่มกันไปทั้งคืน

          หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ไอ้ยิ้มก็ลากผมออกมานอกบ้าน ในขณะที่ผมเพิ่งล้านจานเสร็จ ผมงงกับการกระทำของมันเพราะปกติมันไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้

          ตอนนี้เราสองคนยืนกันอยู่ข้างนอกบ้าน มันหยืดตัวดูตาแม้นในบ้านสักพัก พอไม่เห็นมันก็เริ่มหันมาคุยกับผม

          “อะไรของมึง” ผมถามอย่างไม่สบอารมณ์

          “พอดีผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าจะขออะไร”

          “ขออะไรมึง”

          “เอ้า จำไม่ได้เหรอ”

          “เออ จำไม่ได้ จะขอไรกูเหรอ”

          “ที่ผมบอกว่า ขอให้คุณพาผมไปที่ที่หนึ่ง” อ๋อ...ตอนนั้นน่ะเหรอ “คุณช่วยพาผมไปได้ไหม”

          “ที่ไหน” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย

          มันทำหน้าครุ่นคิดใหญ่ “...สะพาน สะพานสวยๆ มีที่แบบนี้ป้ะ”

          “สะพานสวยๆ ...” คิดๆ ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าที่ไหนนะ สะพานสวยๆ มีเป็นสิบๆ เส้น อีกอย่าง จะมาให้คนอย่างผมพาออกบ้านไปเที่ยวนี่ผิดคนแล้วล่ะ “ไม่เคยเห็นอ่ะ จำอะไรได้เหรอ...”

          “อยู่ดีๆ ตอนนั้นก็คิดขึ้นมาได้เฉยเลย สะพานสวยๆ ที่มีไฟเยอะๆ คนชอบไปถ่ายรูปกันอ่ะ คุณไม่เคยไปเลยเหรอ”

          ผมส่ายศีรษะให้หนักๆ “ไม่เคยอ่ะ...อ๋อเดี๋ยว!”

          มันทำหน้าตื่นเต้น “คุณรู้แล้วเหรอว่าที่ไหน!”

          “คิดว่ามีที่ที่หนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด...น่าจะไปทางที่ทำงานเก่า เห็นเขาไปแถวนั้นเยอะเลย ไม่รู้ว่าตรงนั้นจะใช่หรือเปล่า”

          “จริงดิ! พาผมไปได้ป้ะ นะนะนะ” มันเขย่าแขนอ้อนผม

          แล้วผมก็ทำไงได้ล่ะ...จำเป็นล่ะมั้ง ไม่งั้นเซ้าซี้กูทั้งคืนไม่หลับไม่นอนกันพอดี







          สะพานสวยๆ ที่มันว่า ถัดจากร้านมินิมาร์ทเก่าที่ผมเคยทำงานไปไม่กี่เมตรจริงๆ

          แม่งอยู่มาตั้งนาน ก็เพิ่งจะรู้กับมันนี่แหละ

          ผมจอดจักรยานไว้แถวที่จอดรถ เพิ่งเคยจะสนใจโลกภายนอกรอบข้างก็คราวนี้ เบื้องหน้าของเราสองคนเป็นสะพานขนาดใหญ่ข้ามแม่น้ำสายยาว โดยรอบประดับด้วยไฟหลากสี

          “ใช่! มันใช่อ่ะคุณ! รู้ได้ไงว่าที่นี่อ่ะ โห…” ไอ้ยิ้มดีใจจนตัวโดด อายุก็ไม่ใช่เด็กๆ ส่วนสูงก็ไม่ใช่เด็กกระโปกที่ไหน “แต่คนเยอะไปนะ...”

          “เออ คนเยอะจริง” ผมมองคนเดินผ่านไปผ่านมา ส่วนมากหลายคนมากับแฟน เดินเป็นคู่ๆ เลย น่าหมั่นไส้สัสๆ!

          ผมเริ่มออกเดินไปข้างหน้าช้าๆ แล้วหยุดอยู่ที่ทางเข้าก่อนถึงตัวสะพาน สายตาก็ไปสะดุดกับร้านขายของกินจำพวกลูกชิ้น น้ำหวานที่ตั้งขายอยู่ ถัดไปก็มีบูธรับจ้างถ่ายรูปเล็กๆ ตั้งอยู่เช่นกัน เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินเข้ามารวมถึงผมกับไอ้ยิ้ม

          บูธถูกตกแต่งไปด้วยไฟดวงเล็กสีเหลืองนวลตา ห้อยระรายพาดพันกันเต็มไปหมด รวมถึงรูปจากทางร้านที่คนเข้ามาใช้บริการ ถูกนำมาประดับตกแต่ง เป็นรูปขนาดกล้องโพลารอยด์ น่ารักๆ

          คนตัวสูงด้านหลังเห็นผมยืนจ้องร้านอยู่แบบนั้น ก็เลยทักถามขึ้น “จ้องอยู่นาน อยากถ่ายรูปเหรอ” นั่นสิ นี่ผมอยากถ่ายเหรอเนี่ย...ใจจริงผมก็อยากถ่ายนะ อยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำบ้าง แต่อันที่จริงผมเป็นคนที่ไม่ชอบถ่ายรูปเอาเสียเลย...เรียกได้ว่าไม่ขึ้นกล้องนั่นแหละ ขำตัวเอง “ไปถ่ายด้วยกันป่ะ”

          “จะดีเหรอ ไม่ค่อยชอบถ่ายเท่าไหร่”

          “เอาน่า...นานๆ มาทีนะ เก็บไว้สักสองสามรูปไม่เสียหาย” ผมฟังและคิด พลางยืนจ้องรูปพวกนี้อยู่สักพัก เจ้าของร้านวัยรุ่นอายุสักสามสิบต้นๆ ก็เดินเข้ามา

          “ยินดีต้อนรับครับ ถ้าเป็นรูปเล็กๆ พวกนี้ไม่แพงครับ ราคาน่ารักๆ xxบาท ส่วนรูปใบขนาดปรกติก็xxบาทครับ บริการพิเศษมาเป็นคู่เลิฟ ทางร้านมีบริการออกถ่ายที่สะพานฟรีนะครับ คุณลูกค้าสนใจแบบไหนครับ”

          ผมหันไปมองไอ้ยิ้มอย่างต้องการคำตอบ ไอ้ยิ้มก็หันมามองผมเช่นกัน ก็คงจะความหมายเดียวกับผมนั่นแหละ แต่ผมไม่ถ่ายดีกว่า มีใครมาถ่ายให้แล้วเกร็งเดี๋ยวหมดสนุกกันพอดี

          “ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหลั...”

          “ถ่ายครับ!”

          “ห้ะ?!”

          “เอาแบบพิเศษคู่เลิฟเลยครับ อยากไปถ่ายที่สะพาน ไอ้เตี้ยนี่มันจะได้มีรูปเก็บไว้”

          “ไอ้สัส ถามกูยัง!”

          “ถ่ายๆ ไปเหอะน่า ไม่เสียหายนี่”

          จนได้ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ โว้ยยยย! ตามใจกูบ้างไม่ได้หรือไงวะ อีกอย่างหนึ่ง ถ่ายแบบพิเศษคู่เลิฟพ่องมึงไอ้หมา กูไปเป็นคู่เลิฟของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบฟร่ะ!!! ก็คงทำได้แต่บ่นๆ ด่าๆ มันในใจนี่แหละ แม่ง...ทำไรได้ กูทำได้แต่เดินตามก้นมันต้อยๆ เพราะแม่งลากกูมากลางสะพานตามพี่ตากล้องเนี่ย!

          “ตรงนี้เหมาะครับ ถ่ายรูปสวยเลย เดี๋ยวผมของเซ็คกล้องสักครู่นะครับ ชมวิวกันไปพลางๆ ก่อน” ผมที่กำลังหงุดหงิดอยู่เบาๆ ก็ต้องหยุดลงเพราะภาพวิวตรงนี้มันแม่ง...สวยสาสสสสสสส!

          “โห...โคตรสวยเลย กูรู้แล้วว่าทำไมมึงถึงอยากมา” ผมมองไปรอบๆ ทั้งดวงไฟหลากสี สายน้ำเชี่ยวโกรกมาพร้อมกับสายลมอ่อนๆ ยามค่ำคืน แม่ง...โคตรดี แม่งๆ ๆ ๆ ๆ ๆ พูดไม่ถูกแล้ว!

          “ผมลืมไปเกือบทุกอย่าง...แต่ใช่ว่าความทรงจำที่สวยงามของผมจะหายไปไหน” ไอ้ยิ้มเอาหันหน้าโต้ลมอ่อนๆ แล้วยิ้มออกมาบางๆ

          บางทีผมก็เคยคิดนะ ว่าทำไมไอ้หมอนี่มันถึงชื่อ ยิ้ม แม่งไม่เข้ากับมันสักนิด ดูลักษณะแล้วควรจะชื่อ บุญเท่ง สมศักดิ์ ชาติชาย อะไรทำนองนี้มากกว่า (ขำๆ นะ) แต่ทุกครั้งที่มันยิ้มออกมา กลับทำให้ผมต้องคิดใหม่ ชื่อยิ้มนี่แหละ เหมาะที่สุดสำหรับมัน เพราะทุกครั้งที่มันยิ้ม มันทำให้หลายๆ อย่างที่หม่นหมองของผม จางหายไปทันที

          แล้วนี่ผมยิ้มตามมันหรือยิ้มตามชื่อมันเนี่ย... “นี่จำอะไรได้บ้างเหรอ เล่าให้ผมฟังได้หน่อยสิ”

          “เอ่อ...ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอก มันก็แค่...รู้สึกคิดถึงสถานที่ที่หนึ่ง อย่างเช่นที่นี่ไง” เขาเอาแขนพาดกับสะพาน พลางมองไปข้างหน้า เห็นไฟเมืองระยิบระยับราวกับดาวบนดิน สายตาของเขา ยังมีอะไรมากกว่านั้น เรื่องราวเกี่ยวกับเขา ซึ่งกำลังรอคอยกาลเวลาเพื่อเปิดเผย “แล้วก็รู้สึกคิดถึงใครบางคน...โคตรคิดถึง” มันพูดแล้วก็หันมามองผม

          “...” ผมไม่ได้มีคำตอบอะไรให้มัน เพียงแต่รับฟังอย่างจริงใจ

          “เรียบร้อยครับคุณลูกค้า เรามาเริ่มถ่ายกันเลย” ตอนนี้เราต้องหันมาสนใจกับการถ่ายรูป...ทำไงดีวะ จะเก๊กท่าไหน จะมองทางไหน จะยืนยังไง...เชี่ย ทำไมยากแบบนี้วะ

          “นี่คุณ...ยืนตัวตรงเด่แบบนั้นรูปมันจะสวยยังไงเล่า ยืนอย่างกับถ่ายบัตรประชาชน...มาๆ เดี๋ยวผมสอนให้” มันจับไหล่ผมแล้วเขยิบ “ยืนแบบนี้...สบายๆ หน่อย คิดเสียว่ามาเดินเที่ยวเฉยๆ”

          “แบบไหนอ่ะ กูทำไม่เป็น!” ไอ้สัส! กูเกร็งโว้ย!

          “เห้อออ...มานี่มา” ไม่ทันที่ผมจะตั้งตัว ท่อนแขนก็พาดมาที่ไหล่ของผมจนผมตกใจว่ามันทำอะไร มือของมันพลางชูสองนิ้วแล้วยิ้มแฉ่ง “นี่ มองอยู่ได้ ทำแบบนี้ สองนิ้ว” ผมยกมือขึ้นมาแล้วทำสองนิ้วอย่างไม่ง่าย “แล้วก็ยิ้มกว้างๆ” รู้สึกว่าแกล้งยิ้มตามที่มันบอกแล้วรู้สึกว่าหนังหน้ามันตึงๆ ยิ้มไม่ออก “ยิ้มเร็ว ยิ้มมมมม”

          แชะ!

          “สวยครับ”

          “โอ้ย! พอแล้วเหอะ กูจะบ้าตาย”

          “งั้นผมว่าคุณลูกค้าเปลี่ยนเป็นหันหน้าออกสะพานดีไหมครับ ผมจะยื่นกล้องออกไปเหมือนถ่ายจากด้านนอกเข้ามา คุณลูกค้าจะได้ไม่ต้องเก๊กอะไรมาก” ตากล้องเดินไปยืนให้ผมดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งผมว่ามันง่ายกว่ายืนเฉยๆ เมื่อกี้เยอะ

          “มาคุณ ทำดีๆ ล่ะ อย่าให้ผมได้เอารูปคุณไปล้อนะ”

          “ไอ้สัส! อย่านะมึง รูปนี้กูดีแน่ๆ” ผมหันหน้าไปพิงสะพาน ไอ้ยิ้มก็ทำตามทีหลัง พี่ตากล้องยื่นกล้องเข้าออกหามุมแสงและองศาหน้า พอได้ที่แล้วก็บอกให้ผมกับไอ้ยิ้มพร้อมถ่าย

          คราวนี้รู้สึกสบายกว่าจัง ด้านหน้าคือผม ส่วนข้างๆ ถัดไปคือเขาที่ตัวสูงกว่า ผมไม่รู้ว่ามันทำอะไรอยู่

          แชะ!

          ฟอด...

          อะ...อะไรวะ! สัมผัสนุ่มนิ่มเกิดขึ้นที่แก้มขวาของผม...ความไวของร่างกาย ทำให้ทั้งหน้าร้อนผ่าววูบวาบโดยอัตโนมัติ...ผมจึงต้องหันหน้าไป ก็ปะทะกับใบหน้าเรียวสวย...สายตาของมันมองเข้ามาในตาของผมอย่างซับซ้อน ทำไมกันนะ...เกิดอะไรขึ้น “นี่มึงหอมแก้มกู...”

          “ก็...อืมม์” มันยังคงจ้องตาผมไม่หยุด การจ้องของมัน ทำให้ดึงดูดผมเอาไว้ ไม่ให้คลาดสายตาเลยทีเดียว

          “ทำไม...”

          “แค่ชอบ...เวลาที่ได้อยู่กับกวินท์ ผมมีความสุข ผมก็เลย...หอมแก้ม”

          ผมได้สติ ผละออกจากสายตาคู่สวยของเขา หัวใจเต้นขึ้นมาเบาๆ และเริ่มแรงขึ้นเองตามธรรมชาติ...ผมไม่เข้าใจเลย เรื่องนี้...ผมต้องให้มันอธิบาย

          “ไม่ทราบว่าเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ” พี่ตากล้องถาม แต่ไอ้ยิ้มตอบแทน

          “ครับ”

          “ถ้างั้นอีกสิบนาที นัดเอารูปและชำระเงินได้ที่หน้าบูธนะครับ”

          “ขอบคุณครับ” พูดจบ มันก็หันมาสนใจผมทันที ตอนนี้ผมรู้สึกว่าไม่อยากมองหน้ามันสักพักหนึ่ง อาการวูบวาบบนหน้ายังไม่หาย...อะไรคือการที่มันมาบอกอะไรเชิงนี้วะ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยชอบใครแล้วแปลว่าไม่รู้นะ...ผมรู้ และที่รู้ดีด้วยก็คือ เราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แล้วที่มันพูด มันหมายความว่าอะไร...เพื่อนงั้นเหรอ...สำหรับผมต้องเพื่อนแน่นอนสิ!

          “เป็นอะไรเนี่ยกวินท์” มันมองผมใหญ่

          “ยังจะถามอีก...มึงไม่รู้เหรอว่าเมื่อกี้มึงทำอะไร” ผมถามคำถามออกไป สีหน้าของมันเริ่มคิด “ให้คำตอบกูเดี๋ยวนี้ ไม่ตอบหรือกวนตีน มึงหาทางกลับบ้านเอง”

          “ก็...” ผมจ้องหน้ามันอย่างคาดคั้น “ถ้าผมบอกคุณไป...คุณจะไล่ผมออกจากบ้านไหม...คุณจะทำเป็นไม่รู้จักผมไหม คุณจะเกลียดผมไหม”

          “ขึ้นอยู่กับคำตอบของมึง”

          “ผมชอบคุณไง...” ช็อก... “คุณถามผม ผมจึงตอบ...หลังจากที่คุณรู้แล้ว ช่วยทำให้เป็นเหมือนปรกติด้วยนะครับ...” สายตาของมันกำลังขอร้อง “อย่าไล่ผมไปไหน และอย่าเกลียดผม แค่นี้ก็พอ”

          “...” นี่น่ะเหรอ คือความในใจของมันที่ผมสงสัยและไม่กล้าแม้แต่จะคิด ความรู้สึกใจเต้นตลอดเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับมัน ยอมรับเลยว่าผมรู้สึกดี ดีมากๆ ...แต่เราสองคนแม่งเป็นผู้ชาย ผมต้องขอย้ำข้อนี้อีกรอบ คือเราสองคนแม่งเป็นผู้ชาย

          หลังจากนี้ผมต้องทำยังไง ที่มันบอกว่าผมไม่ต้องตอบอะไรมัน ถึงมันจะให้ตอบผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี...

          “เราไปเอารูปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว” ผมพยักหน้าให้มันเบาๆ แล้วเดินตามก้นมันไป

          ความรู้สึกตอนนี้คือผมไม่อยากพูดอะไรออกมาทั้งนั้น เพราะในหัวแม่งตีกันไปหมด กลัวว่าถ้าพูดอะไรออกมาแล้วแม่งมีอะไรพังไปผมก็ไม่เอา เขาพูดถูกแล้วล่ะ หลังจากที่ผมรู้แล้ว ก็ช่วยทำให้มันเป็นปรกติ โอเค ผมจะทำ

          มีอีกอย่างที่ผมจะบอก...ย้อนไปจังหวะกดชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปที่ผมเอาแขนพิงสะพาน ก่อนที่ไอ้ยิ้มจะหอมแก้มผม...มือผมได้สัมผัสเข้ากับขอบสะพานอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่มันจะหอมแก้มผมจนได้สติ...

          ใช่ครับ...ผมเห็นบางอย่าง...และมันสำคัญมากด้วย!

          ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่ง เขาถือขวดเหล้า...เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็คสีดำ

          คนแรกเลยที่คุ้นมากที่สุดก็คือ...ไอ้ยิ้ม

          “คุณ” ไอ้ยิ้มหันมาแล้วหยุดเดินก่อนจะถึงตัวบูธ “ผมรู้แล้ว...ทำไมคุณถึงจำที่นี่ได้” มันมองหน้าผมอย่างต้องการคำตอบ “ก่อนที่คุณจะเมาแล้วมาที่บ้านของผม วันนั้นคุณอยู่ที่สะพานนี้...ผมเห็น เห็นคุณถือขวดเหล้า เดินเมาโซเซ แล้วก็เสื้อผ้าตัวเดิม! ...คุณ! คุณมาจากที่นี่...แสดงว่า คุณต้องข้ามสะพานมาจากฟากนู้นแน่ๆ” ผมรู้สึกดีใจและตื่นเต้นขึ้นมา

          “...” แต่ไอ้ยิ้มกลับเงียบ

          “อ้าว...เงียบอีกแล้วนะ”

          “เอ้า คุณลูกค้ามาพอดีเลย” ไอ้ยิ้มและผมหันไปสนใจพี่ตากล้องคนเดิมเดินเอาซองสีน้ำตาลมาให้ ภายในมีรูปอยู่หลายใบ “รูปเยอะหน่อยนะ พี่แถมให้”

          “ขอบคุณมากครับพี่ เท่าไหร่ครับ” ผมทำท่าจะล้วงกระเป๋าเงิน

          “ไม่เป็นไรดีกว่าน้อง พี่ให้ฟรี”

          “เอ้า ทำไมครับ ของซื้อของขายเลยนะ” ผมรับมา

          “พี่ไม่เคยเห็นคู่ไหนน่ารักแบบนี้มาก่อนน่ะสิ เอาเป็นว่าให้ฟรีไปนั่นแหละ รักกันไปนานๆ นะครับ สู้ๆ” เอ้ะ????? ไอ้พี่นี่...!

          เจ้าของร้านเดินเข้าบูธไปอย่างไม่สนใจ แต่พี่มึงทิ้งคำพูดแบบนั้นไว้ได้ยังไงวะ!

          “กวินท์...” มันพูดขึ้นมาในขณะที่ผมมีอาการวูบวาบบนหน้า แต่สีหน้าของมันดูมีอะไรบางอย่างที่ไม่สบายใจ
 
          “อะไรของมึงเนี่ยห้ะ”

          “คุณ...ช่วยหยุดเรื่องของผมไว้ก่อนได้ไหม”

          “เดี๋ยว...หมายความว่าไง”

          “ผมขอล่ะกวินท์...อย่ารู้เรื่องของผมเลยนะ”

          “อะไร ช่วยสืบอยู่นะ ยังจะมา...” ไอ้ยิ้มเอามือแตะลงบนหน้าผากของผม จากที่ผมพูดๆ อยู่ ก็เงียบลง สายตาของผมพร่ามัว เข้าสู่ความมืดมนทันที...



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ยอดนักสืบวิน & ยิ้ม [4]


          แดดอุ่นๆ ของช่วงเช้าแยงตาผมอีกแล้ว...

          ผมไม่รู้เหมือนกันว่าบ้านของผมหันองศาหน้าบ้านไปทางทิศไหน รู้แต่ว่าถ้านอนเอาหัวชี้ไปทางทิศใต้กับทางประตูบ้านจะเป็นลางร้าย เป็นความเชื่อเรื่องโชคลางของชาวไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ (แม่กับยายเคยบอกไว้น่ะ)

          ผมลุกงัวเงียขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง...สิ่งแรกที่มองหาก็คือไอ้ยิ้ม...ทำไมผมต้องมองหามันเป็นสิ่งแรกของเช้าทุกวันด้วยนะ บ้าไปหรือเปล่า ไม่เห็นจะสำคัญตรงไหนเลย

          และแน่นอน มันไม่ได้อยู่ในห้องผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว...ไอ้ผมก็บ้าเนอะ ให้มันนอนข้างนอกทุกคืน จะมาอยู่ในห้องผมได้ยังไง

          ว่าจบก็ลุกไปทำกิจวัตรประจำวันอย่างที่ทำเช่นเคย







          “ไอ้ยิ้ม” ผมถามมันขณะที่จะกำลังจะตักข้าวเข้าปาก

          แต่ก็ต้องจับสังเกตสีหน้าของมัน เพราะแม่งนี่ลอบมองผมตลอดตั้งแต่ลงมาแล้ว “มองไรกูนักหนา”

          “อะไร” มันงาบข้าวผัดคำโตเข้าไปจนแก้มตุ่ย แล้วทำหน้าใสซื่อไขสือใส่ไม่รู้เรื่อง

          “เออ ช่างเหอะ...เมื่อวานตอนเย็นกินข้าวเสร็จ เราไปไหนกันเหรอ ทำไมกูตื่นมากูแต่งชุดเหมือนกับออกบ้านไปเที่ยว...มึงก็ด้วย” ผมรู้สึกมึนๆ นิดหน่อย

          “ก็ไม่ได้ไปไหน กวินท์ล้างจานเสร็จก็ไปนวดให้ตาแม้นไง จำไม่ได้เหรอ”

          เหรอวะ...เมื่อวาน...กินข้าวเสร็จ ล้างจาน ไอ้ยิ้มเรียกไปเดินเล่นหน้าบ้าน แล้วก็เข้ามานวดให้ตาแม้น...เหรอวะ เออว่ะ ผมนวดให้ตาแม้นนี่ ทำไมจำไม่ได้วะ ช่วงนี้รู้สึกเบลอหนักๆ เลยล่ะ เพราะหลังจากกลับจากบ้านหลังนั้นมา หัวผมก็แทบจะหมุนให้ได้เลย

          “เรื่องที่คุณมยุรีเสนอให้ไปนอนค้างที่บ้าน คิดว่าไว้หรือยัง” เออจริงสิ...ลืมสนิทเลย เบลออีกละกู นี่ผมต้องจำได้อีกกี่เรื่องเนี่ย หื้มมมม...

          “กะว่าจะไม่ไปนะ เพราะตาแม้นอยู่คนเดียวที่นี่ไม่ได้ เป็นห่วงแย่เลย ถ้ามีเพื่อนบ้านใกล้ๆ แถวนี้น่าจะดีหน่อย จ้างให้มาอยู่เป็นเพื่อนเอา...แต่ผมไม่มีเนี่ยดิ” นี่คือผลของการไม่คบค้าสมาคมกับใครตั้งแต่แรกของผม อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างล่ะ เพราะตอนลำบากมา แม่งไม่มีที่พึ่งจริงๆ “ว่าแต่ตาแม้นไปไหนแล้ว”

          “ตาแม้นเหรอ...เดินเล่นอยู่แถวนี้แหละมั้ง เช้านี้ยังไม่เจอ ผมก็ตื่นพร้อมคุณนี่แหละ คุณลงมา ผมก็เพิ่งแปรงฟันเสร็จพอดี แล้วก็มากินข้าวเนี่ย”

          “แต่ผมรู้สึกว่าเช้านี้มันแปลกๆ ...” จริงครับ ผมสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของเช้านี้ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร มีบางอย่างบอกผมว่ามันแปลก และตาแม้นอยู่ไหน!

          “คุณดูเครียดๆ” ไอ้ยิ้มมองหน้าผม

          “ผมว่าเราเดินหาตาแม้นกัน...ผมรู้สึกใจไม่ค่อยดีเลยคุณ”

          เราสองคนลุกจากที่นั่งออกมาด้านนอก สิ่งที่หวังไว้ในใจว่าตาแม้นคงกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่เช่นเคยกลับเงียบเชียบ

          ความร้อนรนเริ่มเพิ่มขึ้นเป็นพันเท่าตัว ไอ้ยิ้มเองก็เห็นผมเริ่มทำหน้าตึงเครียด เลยวิ่งหาตัวตาแม้น ขอให้อย่าหายไปไหน

          ขอแค่เจอตาแก่ ผมก็สบายใจแล้ว

          จากหน้าบ้านทะลุหลังบ้าน ห้องน้ำทุกห้องทั้งในบ้านและนอกบ้าน รอบๆ บริเวณบ้าน ชั้นล่าง ชั้นบน...กลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาคนชรา

          “ไอ้ยิ้ม! แย่แล้ว! ตาแม้นหายตัวไป ทำยังไงดี!!!” ผมน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาที่ขอบตาบางๆ ไอ้ยิ้มเองก็ตกใจเหมือนกันกับผม ถ้าหาตาแม้นไม่เจอจะทำยังไงดี พอคิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา เรื่องนั้นที่ไอ้ยิ้มมาเล่าให้ผมฟังก็เข้ามาในหัวอย่างเร็วรี่...คนที่พยายามฆ่าตาแม้นที่ร้านหนังสือ ต้องใช่แน่ๆ!

          “คุณตั้งสติก่อน เดี๋ยวก็เจอ อย่าเพิ่งคิดไปไหนไกล”

          “ไม่ทันแล้วไอ้ยิ้ม! ตาแม้นต้องถูกลักพาตัวไป คุณจำได้ไหม เรื่องที่คุณเล่าให้ผมฟังว่าเจอคนวิ่งออกไปก่อนผมที่บ้านตาแม้นในวันนั้น ชีวิตตาแม้นทั้งคนเลยนะ ถ้าหาไม่เจอแล้วตาแม้นเป็นอะไรขึ้นมาแล้วผมจะต้องทำยังไง ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น!” ผมเริ่มรนเข้าไปใหญ่แล้วหันไปหาไอ้ยิ้ม “คุณ ผมควรทำยังไงดี ช่วยคิดหน่อยสิ!”

          “ตาแม้นอาจจะออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกก็ได้ เราออกไปหากันไหม” เออ ดีเลย รีบไปเดี๋ยวนี้!

          ฟังจบผมก็ไม่รอช้า รีบลงไปสวมรองเท้าแล้ววิ่งพรวดออกไปข้างนอกบ้านตามหลังด้วยไอ้ยิ้ม มองซ้ายมองขวาก็ไม่เจออย่างที่หวังไว้ ทำให้ผมหัวใจแทบสลาย

          หัวใจผมเต้นตึกตักรุนแรง เพราะกลัวว่าอะไรไม่ดีจะเกิดขึ้น คนเราคิดอกุศลกันได้ทั้งนั้นแหละ ยังไงปัญหามันต้องมาก่อนแก้อยู่แล้ว “ยิ้ม! ไม่เจอเลยยิ้ม ตาแม้นอยู่ไหนอ่ะคุณ!”

          “...” ไอ้ยิ้มเองก็ยังคงสีหน้าตึงไม่ต่างจากผม มองซ้ายมองขวาเหมือนผมอย่างรนๆ จนกระทั้งสายตาของมันไปเจอกับบางอย่าง มันจึงเดินเข้าไปแล้วหยิบวัตถุนั้นขึ้นมาดู “รองเท้า...”

          “ส่งให้ผม!” ผมเข้าไปคว้ามาพลิกๆ ดู จากนั้นก็เอามาดมฟุดฟิดอย่างไม่รีรอ...กลิ่นที่คุ้นเคยของชายชราคนที่ผมรนหา ติดอยู่ที่รองเท้าหูคีบตราหอย ทำให้แน่ชัดเลยว่าเป็นของใคร “ไอ้ยิ้ม...นี่มันของตาแม้น!” ผมเอามันมากอดไว้แล้วหันไปหาไอ้ยิ้ม น้ำตาไหลร่วงออกมาด้วยหัวใจที่อ่อนล้าและกังวล “ของตาแม้นอ่ะยิ้ม ฮืออออ มีคนพาตาแม้นไป! ยิ้ม ช่วยที ช่วยกันหาตาแม้น ตาแม้นต้องปลอดภัย!”

          “ผมผิดเองคุณ...ถ้าเมื่อวานผมไม่...” ไอ้ยิ้มทำสีหน้าไม่สู้ดี

          “อะไร! มึงทำอะไร! ...”

          “เปล่าๆ ถ้าเมื่อวานผมไม่นอนดึก วันนี้ผมคงไม่ตื่นสาย...”

          “ไม่ๆ มึงไม่ผิด กูผิดเอง กูดูแลตาแม้นไม่ดีเอง...แล้วตอนนี้ก็ไม่รู้ด้วยว่าจะไปหาจากที่ไหน...แม่งเอ๊ย!!!” ผมเตะเท้าฝุ่นตลบอย่างโมโห

          “คุณลองตั้งสติให้ดีๆ ...ผมว่าคุณต้องหาได้แน่ๆ” มันจับมือของผมขึ้นมาแล้วให้ผมแบมือออก พาผมย่อเข่านั่งลงกับพื้นถนน วางฝ่ามือนั้นอย่างแนบแน่นบนพื้นหยาบแข็ง...ปรากฏภาพต่างๆ มากมาย วูบวาบและเบลอมัว โฟกัสดีๆ จะเห็นคนเดินฉับๆ ราวกับวิดีโอที่กำลังเร่งความเร็วคูณสี่ รายเรียงมาจนถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ

          ผมเห็นภาพเหล่านั้น!

          ตาแม้นถูกกลุ่มชายปริศนาอุ้มตัวขึ้นรถตู้คันใหญ่ ดูเหมือนแกจะสลบอยู่ด้วย ในระหว่างนั้น หัวใจของผมเพิ่มทวีคุณความแรงจนแทบจะทะลุทะลวงออกมา...มีคนพาตาแม้นไปจริงๆ!

          ผมผละมือแล้วลุกขึ้นพรวด...ถ้าผมมีสติมากกว่านี้ก็คงจะดี เห็นเบลอๆ แค่นี้ผมก็แทบจะไม่ไหวแล้ว...และตอนนี้ผมควรจะไปแจ้งความโดยด่วน!

          “ไงคุณ เห็นอะไรบ้าง!”

          “โดนอุ้มขึ้นรถไป...แม่งไม่รู้ว่าเวลาไหน เมื่อวานหรือเช้านี้!”

          ปิ๊นๆ!

          รถเก๋งสีขาวทางด้านหลังจอดแล้วลดกระจกลง “คุณวินคะ! ขึ้นรถเร็วค่ะ!”

          ผมวิ่งไปหาเธอ “คุณชมพู่ มีอะไรครับ!”

          “อาร์มส่งโลเคชั่นมาค่ะ บอกว่ามีคนลักพาตัวตาแม้นไป ตอนนี้อาร์มกำลังขับรถตามรถตู้คันนั้นอยู่ เห็นว่ากำลังจะออกนอกจังหวัดไปทางเหนือ ขึ้นรถเร็วค่ะ!” ผมไม่มีเวลาคิด หันไปลากไอ้ตัวสูงขึ้นรถเก๋งไปกับผม จะอะไรก็ช่างขอให้ตาแม้นปลอดภัยก็พอ แล้วไอ้รถตู้คันนั้นแม่งจะพาตาแม้นกูไปไหนวะ ไอ้พวกเชี่ยยยย!

          รถเก๋งขับออกไปจากหน้าบ้านผม ประตูบ้านไม่ได้ล็อกช่างแม่งล่ะ “อาร์มเห็นตอนไหนเหรอครับ!”

          “ช่วงเช้านี้แหละค่ะ อาร์มจะไปทำงานที่อู่ แล้วก็มาเจอคนอุ้มตาแม้นขึ้นรถตู้เลยรีบตามไป ฉันเองก็เพิ่งตื่น เลยลุกพรวดพราดสตาร์ทรถขับมาหาคุณที่นี่ ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย” เธอพูดไปพลางขับรถอย่างมีสมาธิ ไอ้ยิ้มเองก็นั่งไม่นิ่งเหมือนกัน สายตาของมันพลางดูทางไปเรื่อยๆ

          ทำไมเรื่องบ้าพวกนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับตาแม้นด้วย!







          “ฮัลโหลอาร์ม อยู่ไหนแล้ว!” ชมพู่รับสายอาร์ม ผมดีดตัวขึ้นมา เธอจึงเปิดลำโพงให้ได้ยินกันทั้งรถ

          [ตอนนี้พวกนั้นเข้าซอยป่าไปแล้ว ไม่รู้ไปที่ไหนอีก ตอนนี้อาร์มจอดรถอยู่หน้าทางเข้า ชมพู่อยู่ไหนแล้ว]

          “ขับออกจังหวัดมาแล้ว”

          [โอเค อยู่ไม่ไกลกันหรอก ค่อยๆ เลียบทางซ้ายมา รถอาร์มจอดอยู่ เดี๋ยวจะขับนำเข้าไปด้านใน]

          “โอเค” แล้วเธอก็วางสายไป

          รถมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอกับอาร์ม

          พอเขาเห็นรถเก๋งก็รีบควบมอไซค์’ แล้วขับพุ่งเข้าไปด้านในซอย

          ตอนนี้พบเจอแต่ทางเข้าจางๆ ที่มีหญ้ารกครึ้มเหมือนกับฉากในละคร เวลามีการลักพาตัวใครสักคนไปแม่งก็จะเป็นทางเข้าป่าลึกๆ ให้เดาเลยว่าขับไปเรื่อยๆ ก็คงจะเจอโกดังหลังใหญ่แน่ๆ และตาแม้นก็คงถูกจับมัดติดไว้กับเก้าอี้ตรงกลางโถงกว้าง ล้อมรอบเต็มไปด้วยคนร้ายหน้าโหด แล้วก็คงต้องเดาไปอีกว่าด้านนอกโกดังมีคนคอยเฝ้าอยู่

          ผม ไอ้ยิ้ม ชมพู่ และอาร์ม ต้องต่อสู้แล้วฝ่าเข้าไปถึงตัวโกดังให้จงได้

          ไอ้สัส! หยุดมโนได้แล้ววิน!

          ไม่นานก็เข้ามาถึงสถานที่ต้องสงสัย ไกลๆ เห็นเป็นรั้วบ้านสีขาวและบ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางร่มไม้เขียว...ที่นี่เหมือนมีคนเข้าออกอยู่บ่อยๆ ราวกับเป็นบ้านพักในป่าแห่งหนึ่งของพวกคนรวย...

          ผมขอให้ชมพู่และอาร์มจอดรถอยู่ให้ห่างจากตัวบ้านหลังนี้ เพราะเดี๋ยวถ้าไปใกล้ เกิดอะไรขึ้นมาแม่งพากันหนีไม่ทันแน่ๆ

          ทุกคนลงจากรถเก๋ง อาร์มที่จอดรถอยู่ข้างหน้ารถเก๋งก็เดินเข้ามาหาพลางถอดหมวกกันน็อคใบแพงออกมา

          ชมพู่เอ่ยขึ้นคนแรก “จะยังไงกันต่อ...บ้านหลังใหญ่แบบนั้นคงช่วยตาแม้นออกมาได้ยาก...”

          “ไม่ลองไม่รู้หรอก รีบเข้าไปดูเหอะ” อาร์มพูดกับชมพู่ ผมที่ใจรนๆ อยู่แล้วจะรีบตามอาร์มและชมพู่ไป แต่ไอ้คนตัวสูงที่เงียบตลอดทางได้คว้ามือผมไว้จนผมต้องหันไปหา

          “ขอให้กวินท์ปลอดภัย” เป็นห่วงผมอีกแล้ว สายตาของมันมองผมทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาดไม่รู้กี่ครั้ง

          “อืมม์ มึงก็ด้วย อย่าเป็นอะไรล่ะ” โอเค ว่าจบก็รีบวิ่งเข้ามาถึงหน้าบ้าน...ประตูหน้าบ้านแม่งเป็นแบบเปิดปิดอัตโนมัติ เกลียดจริงจัง! ภายในมีรถตู้สีบลอนด์คันดังกล่าวจอดอยู่

          “เราจะเข้าไปยังไง” ผมถามออกไป ทุกคนมองซ้ายมองขวา

          “ทางนั้นน่าจะได้นะ รั้วมันต่ำสุด” อาร์มชี้ไปที่รั้วริมขวาสุดของบ้าน ตรงนั้นเหมือนตลิ่งลาดชันลงไปทำให้รั้วมันต่ำ ขาสั้นๆ แบบผมกระโดดข้ามสบายเลย เป็นความคิดที่ดี!

          เราทุกคนเดินไปที่รั้วทางขวาสุดแล้วกระโดดข้ามมาอย่างง่ายดาย ตอนนี้พวกเราสี่คนอยู่ในบริเวณนอกบ้าน มองไปรอบๆ ก็พบกับสวนสีเขียวสวยสะอาด มีดอกไม้ปลูกอยู่บ้างสวยพองาม ราวกับที่นี่ได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดี บ้านหลังใหญ่กลางป่าแบบนี้น่ะเหรอมีคนเข้ามาอยู่ บ้าไปแล้ว...แล้วไอ้พวกนั้นแม่งพาตาแม้นมาทำเชี่ยไรที่นี่วะ...คิดไปต่อไม่ออกเลย ไม่ได้เป็นโกดังร้างและอย่างอื่นบลาๆ ๆ อย่างที่มโนออกมาเป็นฉากในละคร

          “งั้นเอางี้ ชมพู่มากับผม เดี๋ยวผมจะไปสำรวจดูแถวๆ หลังบ้าน...ส่วนคุณกวินท์กับเพื่อนคุณ ตรวจดูบริเวณแถวนี้ ถ้ามีอะไร ให้ไปเจอกันหลังต้นไม้ต้นนั้น” อาร์มชี้ไปทางต้นไม้ใหญ่ พอจะเป็นมุมอับที่ดีสำหรับซ่อนตัวที่ดี “ตกลงตามนี้นะครับ ลุย!”

          ปฏิบัติการตามตัวตาแม้นเริ่มขึ้น พวกเราแยกกันไปอย่างที่อาร์มบอก ผมกับไอ้ยิ้มเดินย่อตัวลัดพวกพุ่มไม้ทะลุไปจนถึงผนังนอกบ้านซึ่งไม่มีใครสังเกตเห็น ผมหันไปหาไอ้ยิ้มก็เจอกับมันที่ยืนตัวสูงโด่เด่โดดเด่นเกินไป “ย่อๆ ตัวหน่อยก็ได้ไอ้เปรต เดี๋ยวคนก็เห็นมึงง่ายพอดี” ว่าจบมันก็ยอมย่อตัวลงตาม

          ผมให้สัญญาณมือไอ้ยิ้ม แล้วย่องลัดเลาะไปตามผนังบ้าน จุดที่เป็นหน้าต่างด้านหน้า น่าจะสามารถมองเห็นด้านในได้ แต่โคตรใกล้กับประตูตัวบ้านบานใหญ่

          เราย่องมาถึงกัน ณ หน้าต่างบานหนึ่ง ยืดตัวมองลาดเลาภายในบ้าน ก็เห็นกำลังอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งโต๊ะไม้สักลายสวย โทรทัศน์จอกว้าง ตู้ปลาทองหลักแสน และรูปถ่ายขนาดใหญ่...รูปใครวะ?!

          แอ๊ดดดด~

          เชี่ย! มีคนเปิดประตูออกมา!!!

          ผมกับไอ้ยิ้มย่อตัวลงให้ต่ำที่สุด เพื่อหลบผู้ที่กำลังจะก้าวเท้าออกมา สายตาของผมมองจ้องมองไปยังประตูหน้าบ้าน ที่เปิดค้างไว้ มีคนยืนอยู่หลังบานประตูแต่ยังไม่เดินออกมา

          กูลุ้นไอ้ห่า...!

          “อีไฝ อีเพ็ญ...บอกให้ลูกน้องของเอ็งไปเตรียมของให้พร้อม เอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้ไอ้แก่นั่นด้วย” อะไรวะ ไม่เข้าใจ

          “ได้ค่ะคุณนาย”

          “คุณ ถ้าไอ้แก่นั่นตื่นแล้วรีบไปบอกผมที่ห้อง เตรียมสำรับกับข้าวให้ดีล่ะ อย่าให้ขาด” เสียงทุ้มของผู้ชายดังขึ้นในตัวบ้าน

          “ได้ค่ะคุณ” คนที่ยืนอยู่หลังบานประตูนั้นคือผู้หญิง

          “อ้อ ฝากอีกอย่างหนึ่ง ไปบอกพวกลูกน้องผมให้มารับเงินได้ที่คุณเลย มันอยากได้เท่าไหร่ ก็แล้วแต่พวกมัน” ว่าจบ เสียงทุ้มหนักก็เงียบไป ให้เดาว่าคงไปที่ห้องนอน ส่วนของด้านหน้าเป็นคนที่ผมจะต้องโฟกัสก่อน...

          เท้าของผู้หญิงหลังประตูเริ่มเคลื่อนไหว...เธอก้าวเดินออกมาเร็วเกินกว่าที่ผมจะทันเห็นเสี้ยวหน้า แผ่นหลังของเธอเดินห่างออกไปไกลที่รถตู้ ผมกับไอ้ยิ้มรีบยันตัวขึ้นให้ได้เห็นผู้หญิงคนนั้นให้แน่ชัด

          “ใครวะ” ผมกระซิบเสียงดังถามไอ้ยิ้ม

          มันมองแล้วกระซิบตอบผม “ผมว่าผมเคยเห็น...”

          “ใครวะยิ้ม...เคยเห็นด้วยเหรอ”

          “แป้บนึง...” มันทำสีหน้าครุ่นคิดแล้วมองไปยังด้านหน้าทางรถตู้ ผู้หญิงคนนั้นในชุดเบลาซ์สีแดงเลือดหมู สวมกางเกงสีสวยวิบวับ แน่ใจว่าเธอต้องเป็นคุณหญิงแน่ๆ

          แล้วมึงจับตาแม้นกูมาเพื่ออออออออ?!

          เธอกำลังหยิบเงินหลายฟ่อนออกมาจากกระเป๋า โคตรรวยเลยสัส...พวกลูกน้องที่จับตาแม้นมา ทุกคนแม่ง...หน้าตาเถื่อนๆ กันแทบทุกคน พวกเขายกมือไหว้ผู้หญิงคนนั้นแล้วรับเงินไปหอมๆ ดมๆ อย่างชื่นบาน

          “เห้ยใครวะ!” ผมต้องหยืดคอดูอีก พวกที่ยืนอยู่ตรงนั้นทั้งหมดกำลังมองไปทางหลังบ้าน...เชี่ย!

          “ไอ้ยิ้ม! ชมพู่กับอาร์มอยู่หลังบ้าน เชี่ยแล้ว!” ผมกระซิบกระซาบเสียงดังให้มันได้ยิน มันเองก็เริ่มทำสีหน้าไม่สบายใจหนัก

          พอหันไปทางพวกนั้น ก็เห็นว่าเริ่มพากันวิ่งไปยังจุดที่ชมพู่และอาร์มไปสำรวจ คุณหญิงคนนั้นเองก็เดินไปดูอยู่ไกลๆ

          “กวินท์! ...ผมรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร”

          ผมรีบหันขวับกลับมาทันที “ใครวะ”

          “ป้าฤดีไง จำไม่ได้เหรอ!”

          “อะ...อะไรนะ?!”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ถ้าหากว่าวันหนึ่ง... [1]


          เรื่องพีคเรื่องแรกเผยตัวออกมา จนตอนนี้ผมรู้สึกขนลุกไปหมด

          อะไรคือผมเดาไม่ถูกสักอย่าง เป็นนักสืบฝึกหัดที่คาดการณ์อะไรไม่ได้เลย ความสามารถพิเศษของผมแม่งใช้ไม่ได้กับคนเลยสักนิด

          คำถามในตอนนี้คือ ยายป้าฤดีมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เธอเป็นคุณนายที่รวยระดับหนึ่งหลังจากที่เห็นได้ด้วยตาตนเอง สลัดคราบคำว่าขี้ข้าบ้านหลังนั้นออกไปได้เลยอ่ะ...

          มองยังไงก็ใช่ป้าฤดีอย่างที่ไอ้ยิ้มบอกจริงๆ!

          แล้วตอนนี้ก็ชักจะแย่ ไอ้พวกลูกน้องหน้าเถื่อนพวกนั้นวิ่งโร่ไปทางหลังบ้าน ผมกับไอ้ยิ้มเริ่มอยู่ไม่สุข พากันย้ายตัวไปหลบหลังพุ่มไม้ทรงลูกบาศก์แถวนั้นเพื่อมองดูเหตุการณ์ทุกอย่าง

          เสียงโหวกเหวกโวยวายดังอยู่ไม่ไกล สงสัยพวกมันต้องเจออาร์มกับชมพู่แล้วแน่ๆ ฉิบหายแน่ๆ!

          “อะไรวะตรงนั้นอ่ะ!” ป้าฤดีตะโกนออกไป เสียงนั่นใช่ป้าฤดี แม้ผมจะไม่เห็นหน้าก็ตาม แต่เสียงแปดหลอดนั่นผมจำได้ขึ้นหู

          และไม่นาน เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

          อาร์มและชมพู่ถูกจับตัวออกมาจากทางหลังบ้าน พวกคนอื่นที่ไม่ได้กุมตัวก็เดินถือปืนกระบอกดำเมี่ยมจ่ออยู่ที่หัวของทั้งคู่ ตุกติกเมื่อไหร่พวกมึงตายเมื่อนั้น

          ผมหันไปมองหน้าไอ้ยิ้มอย่างตกใจ ตอนนี้ไม่มีวิธีอะไรผุดขึ้นมาในหัวเลยสักวิธี ได้แต่นั่งแอบมองด้วยใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ...นี่ผมพาพวกเขามาเจอเรื่องเชี่ยอะไรก็ไม่รู้!

          ชมพู่และอาร์มถูกจับตัวให้นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าของป้าฤดี

          “นี่เธอสองคนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!” ป้าฤดีเริ่มตวาดเสียงดัง

          “...”

          “...” ทั้งอาร์มและชมพู่ไม่มีใครตอบคำถาม

          เยื้องขวาตรงหลังพุ่มไม้ ชมพู่มองมาทางผมที่โบกมือให้สัญญาณ เธอทำหน้าร้องขอความช่วยเหลือส่งมาให้ แต่ผมกับไอ้ยิ้มก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ถ้าพวกนั้นมันเป็นหมา ผมคงขว้างก้อนหินไปในพงหญ้า พวกมันคงวิ่งไปดูกันหมด แล้วทั้งสองก็คงจะรอดมาได้ แต่นี่มันไม่มีสักวิธีเลยที่จะเข้าไป

          “ไม่บอกใช่ไหม! ...”

          อาร์มและชมพู่ไม่ตอบเช่นเดิม และยังคงขัดขืนการจับกุมของพวกหน้าเถื่อน ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ ปืนที่เหนี่ยวไกก็พร้อมที่จะลั่นออกไปทุกครั้ง!

          ตาแม้นก็อยู่ด้านในบ้าน...สองคนนี้ก็มาโดนคนจับอีก เท่ากับเสียกำลังไปลองสองแรง...

          เรื่องเหี้ยๆ มันยังไม่จบลงเท่านี้สินะ

          “พาตัวมันไปขังชั้นใต้ดิน...ทำยังไงก็ได้ให้มันยอมบอก...ถ้ามันยอมบอกเมื่อไหร่ ให้รีบมาบอกข่าวฉันด้านบน” ป้าฤดีสั่งเสียงเข้ม

          “รับทราบครับคุณนาย!” อาร์มและชมพู่ถูกฉุดกระชากพาเข้าบ้านไปต่อหน้าต่อตาผม ใจผมแม่งโคตรอยากจะช่วย แต่วินาทีนี้ผมต้องเอาตัวรอดก่อน เดี๋ยวภารกิจชิงตัวตาแม้นจะไม่สำเร็จ...

          ผมกับไอ้ยิ้มนั่งหมอบลงให้สุด ทันทีที่ป้าฤดีหันตัวมาทางที่เราสองคนหลบอยู่ แกมองซ้ายมองขวาและรอบด้าน ตรวจดูว่าจะมีใครโผล่มาอีก หลังจากนั้นป้าแกก็รีบเดินเข้าบ้านไป

          พวกคนใช้กลุ่มหนึ่ง ช่วยกันยกสำรับอาหารมาจากทางด้านขวาของบ้านแล้วเข้าตัวบ้านใหญ่ไป ให้ผมเดาว่าทางที่พวกเธอเดินจากมาคงจะเป็นโรงครัวและบ้านพักของพวกเขาแน่ๆ

          ผมหันไปถามไอ้ยิ้ม “จะเอาไงต่อไปดี ตอนนี้แม่งตันฉิบหาย!”

          “มีบางอย่างอยู่ที่นี่ด้วยแหละคุณ...” ไอ้ยิ้มทำจมูกฟุดฟิดเหมือนที่ผมเคยทำตอนสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ว่า ผมเลยลองหลับตาลงตามแล้วทำจมูกฟุดฟิดตามหาเลเยอร์กลิ่นที่แทรกซึมอยู่ในอากาศอันบางเบา...ถ้าจะให้บอกว่าได้กลิ่นอันไหนแล้วแปลกที่สุด ก็คงจะเป็นกลิ่นดอกลีลาวดีปนกับกลิ่นธูปที่ผมเคยสัมผัสได้ที่บ้านรัตนชัยธรรม์ ถึงแม้จะเบาบางจนแทบไม่รู้สึกถึงเลยก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่กลิ่นนี้จะมาปรากฏอยู่ที่นี่

          มันต้องมีอะไรมากกว่านี้อีก...เพราะที่รู้เรื่องวิญญาณมา วิญญาณที่ตายที่ไหน เขาก็จะอยู่ที่นั้นๆ ไปไหนไม่ได้...และอีกอย่างหนึ่งคือสถานที่ครั้งหนึ่งที่วิญญาณในอดีตเคยไป เขาจะสามารถไปไหนมาไหนได้ตามโลกอดีต...งั้นก็แสดงว่า วิญญาณคุณหญิงย่าเคยมาที่นี่งั้นเหรอ

          “คุณหญิงย่าอยู่ที่นี่” ไอ้ยิ้มบอกผม

          “อืมม์...ผมต้องรีบสื่อสารกับท่าน” ผมว่าจบก็ค่อยๆ ก้มคลานหาที่ที่ไม่มีคนเห็นในสวน ได้ที่เป็นต้นไม้ใบหนาไม่เตี้ยมาก สามารถบังผมกับไอ้ยิ้มได้มิด หลังจากนั้นก็หลับตาลงแล้วรวบรวมสมาธิต่างๆ ให้นิ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน เปิดรับประสาทสัมผัสทั้งหกของผมที่มี

          เธอกำลังรับรู้ถึงการสื่อจิตของผม...

          เสียงหายใจแหบพร่าดังกังวานในสายลมเงียบ กลิ่นดอกลีลาวดีหอมหวนปนเศร้า โชยกลิ่นเย็นยะเยือกมาจากที่ไหนสักที่ในบริเวณเขตบ้านหลังนี้

          ท้องฟ้าที่นี่หม่นลงราวกับมีเมฆฝน ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่นี้แดดเปรี้ยงๆ ราวกับจะเผาเนื้อย่างให้ไหม้เกรียม

          โอเค...น่าจะได้แล้วนะ “คุณหญิงย่าครับ...ถ้าได้ยินผม ให้ตอบผมกลับด้วย” (ผมพูดในใจ) ไอ้ยิ้มนั่งข้างผมมองซ้ายมองขวาดูลาดเลาให้

          ผมตั้งใจทำสมาธิให้นิ่งขึ้นแล้วฟังเสียงของคุณหญิงย่า ไม่นานก็เริ่มมีเสียงตอบกลับมา แต่ฟังไม่ได้ใจความเอาเสียเลย “เอ้อะ...เอาะ...ออ”

          “คุณหญิงย่าครับ...ท่านมาที่นี่ได้ยังไง ใครเชิญมา”

          “...ไม่ มี ใ ค ร เ ชิ ญ กู ม า ทั้ ง นั้ น...” เป็นเสียงเบาๆ ที่ผมจับใจความได้ แต่ก็ทำให้ผมขนลุกซู่ได้ไม่น้อย

          “แล้วทำไมคุณหญิงย่าถึงมาอยู่ที่นี่ครับ”

          เสียงลมหายใจแหบพร่าพ่นพรูออกมาจนผมได้ยินชัดเจน “อีนั่น! อีนั่น! มั น เ อ า ข อ ง ข อ ง กู ม า กูไปไหนไม่ได้!”

          “ของอะไร...ใครครับ?!”

          “กูจะฆ่ามัน! ...กูจะฆ่ามันนนน!!!” ผมรีบเอามือขึ้นปิดหูอย่างแนบแน่นด้วยความแสบแสน เพราะคุณหญิงย่าเริ่มแผดเสียงโกรธแค้นหนักจนผมทนฟังไม่ไหว

          จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแว่วมาไกลๆ ทำให้ผมหลุดจากการสื่อจิตกับวิญญาณคุณหญิงย่า เปลี่ยนไปเป็นได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้องราวกับกำลังถูกทำร้ายอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน

          “กรี๊ดดดด โว้ยยย ช่วยกูด้วย โอ้ยยยย!” เสียงอีป้าฤดีนี่หว่า!

          เอ้ะ! หรือคุณหญิงย่าจะแผลงฤทธิ์แล้ววะ!

          ผมหันไปหาไอ้ยิ้มที่กำลังฟังเสียงโวยวายนั้น “เรารีบเข้าไปพาตัวตาแม้นเถอะยิ้ม...ต้องบุกไปเลยทีเดียว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราไม่มีเวลามากพอ!” มันฟังผมแล้วพยักหน้าเชื่อใจ ตอนนี้ผมกับมันพร้อมบุกไปถึงตัวบ้าน ไม่สนใจพวกคนใช้สักนิดว่าจะแตกตื่นกันอย่างไรบ้าง

          ด้านบนเสียงโครมครามกรีดร้องของยายป้าฤดียังดังไม่หยุด ตามด้วยเสียงผู้ชายหนักๆ ผมก็ไม่ทราบว่าใคร

          “ทุกคน ช่วยกันจับฤดีไว้ก่อน!”

          “โอ้ยหัวฉัน โอ้ย!!!”

          ผมพุ่งตัวเข้าไปในบ้านพร้อมกับไอ้ยิ้ม ภายในโล่งกว้าง ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งต่างๆ ราคาแพงนับหลายหมื่นหลายแสน ที่ผมสงสัยรูปนั้นว่าเขาเป็นใคร ก็พบกับรูปถ่ายใบใหญ่ติดผนังตระหง่านอยู่ตรงหน้า เป็นรูปกอดคู่กันของคู่สามีภรรยาที่ไม่ควรจะใช่เลยสักนิด

          บนรูปมีป้าฤดีที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของ...คุณสวัสดิ์!!!

          พีคในพีค! เชี่ยไรวะเนี่ย!!!

          “โอ๊ยเจ็บๆ! ช่วยด้วย! กูหายใจไม่ออก!!!”

          “เข้ามาช่วยกันสิ เร็ว!” เสียงคุณสวัสดิ์แน่ๆ

          ผมกับไอ้ยิ้มไม่สนใจเสียงเหล่านั้น หันไปมองห้องต่างๆ ชั้นล่างที่โคตรจะมีหลายห้อง “คุณ แยกออกไปตามห้องเลยนะ ไม่รู้ว่าตาแม้นจะอยู่ห้องไหน” จู่ๆ สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งหอบเปลน้ำกับผ้าแช่ออกจากห้องทางขวาวิ่งผ่านผมกับไอ้ยิ้มไป

          สายตาของเธอพลางตกใจไปด้วยเหตุการณ์วุ่นวายด้านบนและเจอผมกับไอ้ยิ้ม “ผมว่าน่าจะห้องนั้นนะ! เร็ว!” ผมกับไอ้ยิ้มวิ่งไปดูกัน ณ ห้องทางขวามือที่อยู่หัวมุมกับห้องนั่งเล่น

          พอมาถึงก็พบกับตาแม้นจริงๆ แกนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเพราะยังไม่ได้สติ ข้างๆ ตาแม้นมีสาวใช้สองคนกำลังช่วยกันเช็ดตัวให้ตาแม้น แต่พวกเธอก็ต้องหันมาตกใจผมสองคน

          “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ออกไป!” ผมทำเสียงแข็งใส่สาวใช้ เธอสองคนทำหน้าเหลอหลาก่อนจะค่อยๆ ปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ผมจึงรีบเข้าไปเขย่าตัวเผื่อว่าคนนอนจะรู้สึกตัว “ตาแม้น!” ตาแม้นไม่ตื่น...เห็นทีจะไม่ได้การแล้ว ผมจึงเข้าไปพยุงตัวตาแม้น ไอ้ยิ้มเห็นผมทำแบบนั้นก็รู้งาน รีบเข้ามาพยุงด้วยอีกคน พลันด้านนอกก็ได้ยินเสียงคนวิ่งตึกตักวุ่นวาย

          เสียงป้าฤดีโวยวายหายไปแล้ว...

          ที่ประตูมีเงาเหมือนคนเดินเข้ามา ปรากฏร่างผู้ชายที่ผมคุ้นเคยที่บ้านคนรวยหลังนั้น...คุณสวัสดิ์! “จับมันไปขังกับเพื่อนมัน ไป!” ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ผมกับไอ้ยิ้มจึงผละมือออกจากตาแม้น ลูกน้องหน้าเถื่อนสามคนเดินเข้ามา สองคนเข้าจับผม อีกคนเอาปืนจ่อหัว...ผมจะดีดดิ้นก็ไม่ได้ ปืนแม่งจ่อหัวขนาดนี้...เชี่ยเอ้ย!

          “ริอาจเข้ารังเสือ คิดเหรอว่ามึงจะรอด ไอ้เด็กเมื่อวานซืน!”

          “เอาตาแม้นกูมาทำไม ตาแม้นไปทำอะไรให้วะ!” ผมเริ่มเลือดขึ้นหน้า จ้องหน้าไอ้แก่หงอกนี่อย่างโมโห

          “นี่มันเรื่องส่วนตัว พวกคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร! ไป! เอาตัวมันไปขังกับเพื่อนมัน!” ผมถูกพวกหน้าเถื่อนลากตัวออกไป ในใจแม่งโคตรคับแค้น ได้แต่ดีดดิ้นไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ยอมหลุด

          แต่ไอ้ยิ้ม...







          ชายหนุ่มยืนมองเหตุการณ์เหล่านั้นทั้งหมด

          เขาเห็นกวินท์ถูกกักตัวไป...แต่ทำไมถึงได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆ แล้วมองด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ ในใจของเขาคิดที่อยากจะเข้าไปช่วยเหลือเกิน แต่ในเมื่อตัวเองเป็นแบบนี้ จะเข้าไปช่วยได้ยังไง...

          เขายืนมองคุณสวัสดิ์เดินออกไปเงียบๆ

          ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องทำอะไรบ้าง ในเมื่อเขาได้ร่วมสืบพร้อมกับกวินท์...ตอนนี้ไม่มีกวินท์ เขาก็ต้องทำตัวเป็นคู่หูที่ดีเพื่อให้งานนี้ได้รู้ถึงแก่นแท้ของเรื่องวุ่นวาย

           และเป็นเรื่องที่ตัวเขาเอง ก็สงสัยมาโดยตลอดเช่นกัน...

           ขายาวก้าวฉับออกไปจากห้อง ข้างหน้าของเขาเป็นคุณสวัสดิ์ที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไป ด้วยความหมั่นไส้ที่เคยมีต่อผู้ชายคนนี้ เขาเลยเดินเข้าไปกระทุ้งเสื้อของชายวัยกลางคนอย่างแรงจนแทบเซล้ม

           ร่างสูงเห็นสีหน้าเหลอหลาตกใจของผู้ถูกกระทำก็ยิ้มอย่างพอใจ หันตัววิ่งนำหน้าชายวัยกลางคนไปอย่างรวดเร็ว พอมาถึงชั้นสอง ก็พบกับพวกคนใช้กำลังวิ่งว่อนทำอะไรก็ไม่รู้ พอเขาสำรวจดูดีๆ ก็พบว่าชั้นสองกว้างขวางพอสมควร ทุกอย่างประดับตกแต่งด้วยสินค้าราคาแพงดังเช่นชั้นล่าง...ในใจเขากลับรู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที

           เขาไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าบ้านหลังนี้ มีมาตั้งนานแล้ว...ตั้งแต่ที่เขายังไม่อยู่ในสภาพนี้

           เหมือนกับผู้มีพระคุณของเขา หลอกเขาและครอบครัวของตัวเองทั้งหมดมาตั้งแต่แรก

           กลิ่นดอกลีลาวดีและกลิ่นธูปที่เขาเคยสัมผัส ได้ล่องลอยอยู่ใกล้ๆ ตัวเขา เขาหลับตาลงแล้วก็รู้สึกถึงการมีอยู่ของวิญญาณคุณหญิงย่า และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา คุณหญิงย่าชุดแดงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

           ความรู้สึกจุกอยู่ในใจบังเกิดขึ้น...สีหน้าเหยเกของเขามาพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่น เขาร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่คิดถึง ร่างสูงจึงวิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นย่าด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง

           คุณคงเข้าใจความคิดถึงใครสักคนอย่างสุดซึ้งใช่ไหม...

           “ย่าครับ!” เขากระชับกอดหญิงชรา สีหน้าโกรธแค้นตาแดงก่ำที่เคยปรากฏบนหน้าของเธอ กลับกลายเป็นใบหน้าปรกติและเต็มไปด้วยความเศร้า “ผมคิดถึงย่าจังเลย...”

           มืออันสั่นเทาของหญิงชรา ยกขึ้นมาแล้วลูบกอดหลานชายของตนเอง “...เจ้ายิ้มของย่า”

           พอได้ยินเสียงที่คิดถึงนี้เข้าไป...เขาก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “ยิ้มคิดถึงย่า...ย่าครับ อย่าไปจากยิ้มเลยนะ!”

           บริเวณนี้ระงมไปด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของทั้งสองย่าหลาน ความรู้สึกผูกพันที่เคยมีมาตั้งแต่ยิ้มยังแบเบาะ ไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา

           ภาพความทรงจำต่างๆ ที่ยิ้มเคยมีร่วมกับคุณหญิงย่าได้ปรากฏอยู่และตราตรึงภายในหัวใจดวงโตของเขาเรื่อยมา คุณหญิงย่าที่คอยปลอบเขาตอนร้องไห้ คนที่เคยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ตอนแม่ไม่อยู่ คนที่เคยกล่อมนอนทุกคืน นานแค่ไหนแล้วนะ กับความรู้สึกนี้ที่เขาไม่เคยได้รับ

           จนถึงตอนนี้ เขากับย่า ได้เจอกันแล้ว...

           อ้อมกอดอันอบอุ่นได้คลายออกจากกัน

           “หลานมาได้ยังไง หืมม์?” มือเหี่ยวเฉายกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นหลาน

           “มาสืบคดีกับเพื่อน...ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอย่า”

           “นี่หลาน...”

           “ครับ...” ยิ้มพูดอย่างหนักแน่น

           หญิงชราเอามือของหลานเธอขึ้นมากระชับ “ช่วยย่าด้วยนะ...อีคนนั้นมันเอาของย่ามา...ย่าไปไหนไม่ได้ ช่วยย่าด้วย...”

           “ใครครับย่า...”

           “อีเมียน้อยคนนั้นไง!” เสียงคุณย่าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นแทนเสียงอ่อนหวานเมื่อสักครู่นี้

           “คุณย่าใจเย็นๆ ก่อนนะครับ...ผมมากับเพื่อนอีกสามคน พวกเขาช่วยเราได้แน่...แต่ตอนนี้พวกเขาโดนจับตัวอยู่ เราไปช่วยพวกเขากันก่อนครับ”

           ทั้งสองได้เลือนหายวับไปจากบนชั้นสองในพริบตา แล้วมาโผล่อยู่ที่ทางลงใต้ดินของบ้านหลังนี้ เขาได้ยินเสียงของคนด้านใต้กำลังโวยวายร้องขอความช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นมีเสียงของกวินท์ พอได้ยินแล้วร่างสูงก็กำหมัดแน่นและหัวใจที่เริ่มรุ่มร้อน ขายาวรีบเดินนำเข้าไปด้วยความโมโหสุดขีด

           คุณหญิงย่าและยิ้มเดินทะลุเข้ามาถึงด้านในห้อง เห็นว่ากวินท์ ชมพู่ และอาร์มกำลังถูกตบต่อยจนหน้าเขียว ทั้งหมดถูกจับมัดติดกับเก้าอี้อย่างแน่นหนา...สภาพกวินท์ดูไม่ได้เลย รวมถึงอาร์มและชมพู่ ทุกคนมีคราบเลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปากซิบๆ

           กวินท์หันมาหาทางยิ้มอย่างตกใจ “ยิ้ม!!! อย่าเข้ามา!”

           ชมพู่และอาร์มหันมาสนใจกวินท์พร้อมกับทำสีหน้างงงวย

           หนึ่งในพวกหน้าเถื่อนพูดขึ้นมาเสียงดัง “อะไรของมึงวะไอ้ตุ๊ด! เป็นบ้าเหรอ!?” กวินท์มองเขม็งไปที่หน้าของคนพูด “มอง...มองกูอีก...อยากโดนตีนอีกหรือไงวะ!!!” พลันเท้าของคนหน้าเถื่อนก็ยกขึ้นจะเตะหน้าของกวินท์ ยิ้มที่ทนเห็นไม่ได้เลยวิ่งเข้ามาคว้าขาแล้วทุ่มไปอีกฝั่งสุดแรง ตามด้วยศอกเข้าถองท้องคนข้างๆ พร้อมกับสอยหมัดสลบหนักใส่ ก้านขายาวเตะสูงโดนกะโหลก ก่อนจะยืนหอบหายใจมองดูผลงานของตัวเอง

           ทุกคนในนี้แตกตื่นกันหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น มีแต่กวินท์คนเดียวที่รู้และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

           “นี่คุณมากับคุณหญิงย่าเหรอ!” คนตัวเล็กถามด้วยความตกใจ

           “กวินท์ พูดกับใคร?!” ชมพู่พูดขึ้นมา

           ไอ้พวกหน้าเถื่อนที่เหลือก็รีบหมอบคลานไปรวมตัวกันกับไอ้คนที่โดนยิ้มทุ่มกระเด็นคนแรก หนึ่งมือสั่นเทาของพวกเขาในสี่คน กำลังคว้าปืนขึ้นมาเตรียมจะยิง

           คุณหญิงย่าหน้าเริ่มโหดขึ้นมา ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพร้อมกับความเคียดแค้น ฉับพลัน ไฟด้านใต้นี้ก็ติดๆ ดับๆ พลันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนมืดดำ แล้วคุณหญิงย่าก็หายไปทันที

           ทุกคนที่ถูกมัดกับเก้าอี้ก็รู้สึกถึงว่าเชือกที่มัดตนค่อยๆ คลายออกแล้วก็ไหลผลุบลงไป อาร์มไม่รอช้ารีบเข้าไปคว้าตัวของชมพู่ที่อ่อนแรง

           กวินท์ค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น มองไปทางยิ้มที่กำลังยืนหันหลังให้ในความมืดมัว เห็นได้จากเสื้อสีขาว

           อาร์มเห็นพวกหน้าเถื่อนตั้งท่าจะลุกขึ้นมา มือของพวกมันกำลังถือปืนขึ้นมาเตรียมจะยิงอีกครั้ง แล้วทันใดนั้นยิ้มก็เข้าไปเตะมือของพวกเขาทั้งหมด ปืนในมือของทุกคนกระเด็นออกไป อาร์มเห็นท่าจะได้เลยวิ่งเข้าไปสอยหมัดลงที่ใบหน้าของพวกเขา พลางเตะต่อยไปด้วยแรงทั้งหมดที่มีด้วยความแค้นใจ

           เบื้องหน้ามีกลุ่มของพวกหน้าเถื่อนนอนซมอยู่

           ยิ้มจึงเดินไปเปิดประตูแล้ววิ่งออกไปก่อน ตามด้วยคนข้างหลังที่วิ่งตามออกมา กวินท์ ช่วยกันพยุงชมพู่ให้เดินไหว ดูท่าทางแล้วเธอคงอ่อนแรงมากเลยทีเดียว

           พวกเขาทั้งหมดค่อยๆ ออกมาจากห้องใต้ดิน เดินออกมาก็พบกับห้องแคบๆ ทางเดิมที่เขาเคยถูกกุมตัวเข้ามา

           ยิ้มวิ่งออกมาจากห้องห้องหนึ่งเข้ามาหากวินท์อย่างรวดเร็ว...ร่างสูงโผเข้ากอดคนตัวเล็กอย่างแนบแน่น กอดกันอยู่แบบนั้น โดยที่กวินท์ไม่รู้ว่า ยิ้ม...กำลังร้องไห้

           “ผมขอโทษ...”

           “...”

           “กวินท์...ผมขอโทษ ให้อภัยผมเถอะนะ”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ถ้าหากว่าวันหนึ่ง... [2]


          “ไม่เป็นไรยิ้ม ไม่ต้องขอโทษ คุณไม่ผิดอะไรเลย”

          ผมพูดแล้วผละออกจากอ้อมกอด ก็พบกับคราบน้ำตาบนใบหน้าอันแสนหล่อเหลาของมัน “มึงร้องไห้ทำไมเนี่ย” พอผมพูดมันก็เอามือเช็ดน้ำตาแล้วปัดป้าย

          “ก็ผมมาช่วยคุณไม่ทัน...ดูสิ ผมทำให้คุณต้องเจ็บ” มันมองไปยังแผลของผมบนใบหน้า คราบเลือดที่ยังไหลออกมาสดๆ ไม่มากนัก แต่แน่นอนว่ารอยฟกช้ำมันเด่นชัด ไม่เห็นก็รู้ เพราะแม่งปวดหนึบๆ ไปทั้งหน้า “ผมขอโทษจริงๆ”

          “เอาเถอะ...ไม่เป็นไร มีไรค่อยไปพูดหลังจากรอดออกจากที่นี่แล้วกัน...ไปหาตาแม้น!”

          ผมวิ่งนำมันไปยังห้องเดิม ตาแม้นกำลังถูกพวกคนใช้ประคองให้ลุกจากการนอนสลบอยู่เป็นเวลานาน ดูเหมือนว่าคนแก่จะตื่นขึ้นมาพร้อมสีหน้าตกใจปนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นดังนั้นผมจึงรีบเข้าไปผลักตัวสาวใช้สองคนให้หลุดไป แต่เธอสองคนทำท่าทางขัดขืน ไอ้ยิ้มผู้รู้งานจึงเดินเข้ามาเท้าสะเอวข่มพวกเธอจนถอยไป

          อะไรตอนนี้เริ่มง่าย เพราะไม่มีใครเข้ามากวนแล้ว

          ผมกับไอ้ยิ้มประคองตาแม้นที่ทำหน้ามึนออกมาจากตัวบ้าน ด้านหน้ามีชมพู่กับอาร์มกำลังประคองกันอยู่เหมือนกัน

          อีกนิดเดียวก็ใกล้จะถึงรถแล้ว อีกนิดเดียวตาแม้นก็จะรอด!

          “หยุดเดี๋ยวนี้นะพวกมึง!” เสียงอีป้าฤดี...

          ปั้ง!!!

          เสียงปืนหนึ่งนัดยิงขึ้นฟ้าเสียงดังสนั่น ทุกคนตกใจแล้วหยุดเดิน หันมาพบชะตากรรมเบื้องหลัง มันเท่ากับความเป็นความตายของพวกเราที่นี่...อีป้าฤดีแม่งถือปืนออกมาพร้อมฆ่า!

          งานนี้ไม่ง่ายอีกแล้ว...

          “อยู่เฉยๆ ไม่ชอบ รนหาที่ตายกันนักนะพวกมึง ตายๆ กันให้หมดนี่เลยดีไหมห้ะ!!!” ป้าฤดีเดือดพล่าน สายตาและสีหน้าโกรธจัดยิ่งกว่าเสือแม่ลูกอ่อน ข้างๆ มีคุณสวัสดิ์ที่มองมาทางพวกเราอยู่

          “พวกคุณนั่นแหละ จะมาวุ่นวายทำไม ตาแม้นไปทำอะไรให้พวกคุณ เขาก็เป็นแค่คนธรรมดา เป็นตาแก่คนหนึ่ง ตอนนี้เขาไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัวที่ไหน ตาแม้นไปเกี่ยวไปข้องอะไรกับพวกคุณด้วย!” ผมโต้ตอบกลับด้วยความไม่พอใจ

          สีหน้าอีป้าฤดีเกิดรอยยิ้มน่ากลัวขึ้น ปืนลำโตในมือที่พร้อมจะยิงทุกเมื่อถูกกระชับแน่นขึ้น “พวกมึงไม่รู้อะไร...แต่ก็อย่ารู้เลย มันไม่ใช่เรื่องที่พวกมึงจะต้องรู้ ส่งไอ้แก่นั่นมา ไม่งั้นพวกมึงตาย!!!”

          ปิ๊นๆ!

          รถฟอร์จูนเนอร์สีเงินเมทัลลิกคันใหญ่ขับพุ่งเข้ามา ประตูอัตโนมัติถูกเปิดออก ชมพู่กับอาร์มหลบหลีกไปให้พ้นทางรถ

          ร่างหนึ่งเปิดประตูรถลงมาด้วยความเร่งรีบ เผยให้เห็นผู้หญิงคนนั้นที่ผมพึ่งคุยด้วยไม่กี่วัน...จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...

          คุณมยุรี!

          ผมมองคุณมยุรีสลับกับคุณสวัสดิ์ ก็พบว่าคุณสวัสดิ์หน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มตรุษจีนไปแล้ว ทั้งตัวสั่นเพราะทำอะไรไม่ถูก คงคิดไม่ถึงว่าคุณมยุรีจะมาปรากฏตัวที่นี่. “คะ คะ...คุณ!”

          คุณมยุรีเดินออกมาจากข้างรถ บนหน้าของเธอประแต้มไปด้วยความตกใจว่าทำไมคุณสวัสดิ์ถึงมาอยู่ที่นี่กับยายป้าฤดี บวกพร้อมกับความเสียใจอย่างถึงที่สุด ที่คุณสวัสดิ์นอกใจเธอได้แบบนี้

          “นี่ฉันโง่มาตั้งนาน...นี่น่ะเหรอ ที่คุณบอกว่าไปทำงานที่เชียงใหม่...เชียงใหม่บ้าอะไรอยู่ถึงกลางป่ากลางดง นี่มันแค่ออกจังหวัดมาไม่ไกล นี่น่ะเหรอ...คนซื่อสัตย์อย่างคำปากที่เคยบอกฉันว่ารักนักรักหนา แล้วนี่อะไร ตาต่ำไปเอาคนใช้มาเป็นเมียน้อย! ...หรือฉันเป็นเมียน้อยกันแน่คะ!!!” น้ำตาเธอร่วงหล่นด้วยความเสียใจ

          ระหว่างนั้น ผมกับไอ้ยิ้มก็ประคองตาแม้นค่อยๆ หลบไปอยู่หลังรถ ตาแม้นสีหน้าคร่าตาอ่อนแรงไม่น้อย

          สีหน้าคุณสวัสดิ์เจื่อนเสียไม่มี “เดี๋ยว ผมอธิบายได้นะคุณ ผม...!”

          “ไม่ทันแล้วค่ะคุณ!” ยายป้าฤดีแทรกเสียงดัง “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ให้มันรู้ไปเลยว่าความจริงมันเป็นยังไง สรุปใครเป็นเมียน้อยเมียหลวง ก็บอกๆ มันไปสิคะ ฤดีก็สุดจะทนแล้วเหมือนกัน!” มือของป้าฤดีกระชับกระบอกปืนแน่นขึ้น

          คุณมยุรีผลุบมือต่ำลงไปที่ข้างซ้ายของตัว ผมเห็นว่าตรงนั้นมีบางอย่าง แล้วเธอก็ดึงมันออกมา...นั่นคือกระบอกปืน!

          เธอยังคงร้องไห้ออกมาไม่หยุด ความรู้สึกของคนที่ถูกหักหลัง ผมเข้าใจดีเลยว่ามันโคตรจะทรมานหัวใจของคนเป็นสามีภรรยา...มือของเธอยกกระบอกปืนขึ้นมาตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นแม่น จ่อไปยังคุณสวัสดิ์แต่เพียงผู้เดียว

          “สุข! ...คุณอย่านะ ผม! ...ผมขอโทษ!”

          “ในเมื่อตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณหักหลังฉันมาตั้งแต่แรก...ฉันจะโกรธน้อยกว่านี้ ถ้าคุณไม่เอาพ่อของฉันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย!”

          หา...ที่คุณมยุรีพูดมานั้น...พ่อของคุณมยุรีงั้นเหรอ...อย่าบอกนะว่า...ตาแม้น...เป็นพ่อของคุณมยุรี!!!

          เชี่ยยยยยยยยย!

          พีคคคคค! ไม่มีอะไรพีคไปมากกว่านี้อีกแล้ว คนที่อยู่ใกล้ตัวผมมาตลอด เจ้าของร้านหนังสือคุณตาคนนี้ ตาแม้นคนนี้! เป็นพ่อของคุณมยุรีอย่างนั้นเหรอวะ ไม่อยากจะเชื่อเลย ทำไมใกล้ตัวผมขนาดนี้ พีคเชี่ยๆ อึ้งไปสามชาติ!

          “เหอะ! กูก็แค่ใช้ไอ้แก่นั่นเป็นตัวล่อให้มึงมาไง”

          “อย่ามาว่าพ่อฉันแบบนี้นะ!” คุณมยุรีตวาดใส่ป้าฤดีจนหน้าเหวอ

          ระหว่างนั้นเอง กลิ่นของดอกลีลาวดีปนกลิ่นธูปก็ลอยเข้ามาในจมูกของผม ผมหันหน้ามองไอ้ยิ้ม มันเองก็รับรู้เหมือนกันว่าคุณหญิงย่าอยู่แถวนี้ แต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะปรากฏตัวออกมาให้ผมเห็น

          คุณหญิงย่าคงมีอะไรบางอย่างที่จะต้องชำระ

          ผมมองออกไปยังเหตุการณ์เบื้องหน้า ก็เหลือบไปเห็นต้นตอของกลิ่นนั่น...คุณหญิงย่าปรากฏร่างให้ผมเห็นอยู่ด้านหลังของคุณสวัสดิ์...ดวงตาเบิกโพลงแดงก่ำด้วยความโกรธ หน้าตาซีดเผือดมีแต่เส้นเลือดสีช้ำเข้ม กำลังลอยผลุบเข้าร่างของคุณสวัสดิ์ไปต่อหน้าต่อตา คุณสวัสดิ์ล้มลงไปทั้งๆ แบบนั้น จนป้าฤดีที่ยืนเถียงอยู่ตกใจก้มลงมอง เธอตาเหลือกลานแล้วก้มลงไปเขย่าตัวผู้เป็นที่รัก

          คนมยุรีได้แต่ยืนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงลดปืนกระบอกในมือลง

          “คุณคะ! เป็นอะไรเนี่ย!” เธอเขย่าตัวแรงขึ้น “คุณสวัสดิ์!”

          ไม่ทันขาดคำ คุณสวัสดิ์ก็ตื่นอย่างที่ใจของเธอหวัง แต่ดวงตาคุณสวัสดิ์กลับไม่ใช่อย่างที่เคยเป็น ดวงตาขาวดำ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำราวกับปีศาจ มือสองข้างของเขายกขึ้นมาแล้วจับหมับจิกเข้าที่คอป้าฤดีสุดแรง

          ป้าฤดีลนลานหายใจไม่ออก ตาของเธอเหลือกสูงขึ้นด้านบน ใบหน้าของเธอเคร่งตึง เส้นเลือดปูดโปนโผล่ออกมาเป็นมัดๆ ไปด้วยความเจ็บปวดและหายใจไม่ออก

          แต่ลืมไปว่า มือของเธอนั้นกำลังถือปืนกระบอกดำเมี่ยม คนใช้คนอื่นๆ ก็ยืนดูอยู่ไกลๆ รวมถึงพวกคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครเข้าไปช่วยเพราะกลัวถ้าปืนลั่นแล้วจะโดนลูกหลง

          และในขณะนั้นเอง ปืนกระบอกนั้น...ได้เลื่อนเข้ามาใกล้คุณสวัสดิ์

          มือของเธอกำแน่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

          “เอาของของกูมา!!!” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของคุณสวัสดิ์

          “อ๊อก! ...ช่วยด้วย!” ป้าฤดีเลื่อนสายตาเหลือกลานให้ต่ำลง ก็เห็นเป็นใบหน้าของหญิงชราที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความน่ากลัว ทำให้คนถูกบีบคอตกใจสุดขีดถึงกับต้องกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น

          จู่ๆ ร่างสูงข้างๆ ผมก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางที่ร้อนรน เขามองอยู่สักพักก็พุ่งตัวออกไปจากผมกับตาแม้นตรงนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะวิ่งออกไปทำเชี่ยไร!

          “อย่า!!!” ไอ้ยิ้มตะโกนลั่นราวกับขาดใจ

          กระบอกปืนได้เลื่อนเข้ามาแล้วเหนี่ยวไก่ไปยังใบหน้าของหญิงชราที่เธอเห็นด้วยความหวาดกลัว แต่ทว่าใบหน้าที่ยายป้าฤดีเห็น มันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ร่างที่แท้จริงคือคุณสวัสดิ์ต่างหาก!

          “อย่านะฤดี! ไม่!!!” คุณมยุรีตะโกนลั่น

          ปั้ง!!!

          “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”

          บังเกิดความเงียบไปทั่วอาณาบริเวณ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของคุณมยุรีที่เข้าไปห้ามไม่ทัน ไอ้ยิ้มหยุดนิ่งแล้วทิ้งเข่าลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง...ทุกอย่างมันสายไปแล้ว

          เศษชิ้นเนื้อส่วนใบหน้าของคุณสวัสดิ์กระจายออกไปจนเห็นเป็นเนื้อสีชมพู สมองและส่วนต่างๆ ไหลออกมาเป็นภาพสยดสยองราวกับฉากฆาตกรรมในหนังไม่มีผิด รวมถึงหยาดเลือดสีแดงสดอย่างที่เคยเห็นในฉากละคร เบื้องหน้าทุกอย่างของผมตอนนี้คือเรื่องจริง

          ป้าฤดีสติแตกลนลาน มือสั่นเทารีบขว้างกระบอกปืนทิ้งลงพื้น เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบถอดสร้อยที่คอออกแล้วขว้างทิ้ง ตามด้วยกำไลข้อมือ ต่างหู แก้วแหวนต่างๆ ที่อยู่ในมือ ป้าแกถอดทิ้งไม่เหลือซาก

          “กูกลัวแล้ว! กูกลัวแล้ว!!! เอาของมึงคืนไป เอาคืนไป! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!” ป้าฤดีกรีดร้องอย่างคนเสียสติแล้ววิ่งสติแตกไปทางป่าหลังบ้าน คนใช้ที่เห็นก็วิ่งตามป้าฤดีไป

          คุณมยุรียืนเงียบอย่างเลื่อนลอย ไม่แน่ใจว่าเธอก็คงสติหลุดไปแล้วเหมือนกัน หลังจากนั้นสักพัก เธอก็เป็นลมหน้ามืดล้มลงไปนอนกับพื้นทันที

          ผมหันไปบอกชมพู่กับอาร์มทียืนตกใจอยู่หลังต้นไม้ “ช่วยมารับตาแม้นทีครับ” ทั้งสองรีบเดินเข้ามาแล้วประคองตาแม้นไปยังรถเก๋งที่อยู่ไกลๆ จากบ้าน

          ผมหันตัววิ่งเข้าไปหาคุณมยุรีที่นอนนิ่งสลบไม่เคลื่อนไหว ก่อนจะหันไปหาไอ้ยิ้มที่นั่งคุกเข่ากำมือแน่น...มันกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน

          “ยิ้ม เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ...ผมพอจะขับรถได้”

          ตอนนี้ยังไงก็ช่าง ผมต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด ทางฝั่งตาแม้น ผมขอให้อาร์มกับชมพู่จัดการไปส่งที่บ้านผมแล้ว...แต่ทางนี้ ไอ้ยิ้มกำลังร้องไห้เงียบๆ ด้วยความโศกเศร้า

          ไม่นาน ผมก็จัดการอุ้มคุณมยุรีเข้าใส่ในรถของเธอเอง ยิ้มดูเหมือนจะสติหลุดไปสักครู่ด้วยเหตุผลที่ผมไม่เข้าใจ

          ภาพเบื้องหลังของรถที่เคลื่อนตัวออกไป ก็ปรากฏสารร่างของวิญญาณดวงใหม่ ยืนเคียงคู่กับวิญญาณคุณหญิงย่า คงถึงเวลาแล้วที่คุณสวัสดิ์จะต้องถึงแก่กรรม...กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง เผลอๆ ผลที่เราได้รับนั้น อาจจะรุนแรงกว่าการที่เรากระทำมันไปก็เป็นได้

          สองแม่ลูกยืนเงียบในสายลมอ่อนๆ ของวัน...

          เรื่องวุ่นวายของวันนี้ได้จบลง...







          ผมโทรศัพท์ไปแจ้งสถานีตำรวจ

          กองกำลังทั้งหลายแหล่ รถพยาบาล รถกู้ภัย รวมถึงศูนย์ข่าวมากมายก็มาทำข่าว ณ บ้านกลางป่าหลังนั้น

          แต่ผม ยิ้ม อาร์ม ชมพู่ และคุณมยุรี พวกเราทั้งหมดไม่มีใครไปให้ปากคำกับตำรวจทั้งนั้น เห็นได้จากในโทรทัศน์ว่าพวกนักข่าวกำลังรุมสัมภาษณ์พวกคนใช้ของบ้านหลังนั้น พวกลูกน้องหน้าเถื่อนถูกจับกุมตัวไป รวมถึงยายป้าฤดีที่มีคลิปออกมาว่าเธอเสียสติไปแล้ว พูดพึมพำอยู่ประโยคเดียวว่า กูกลัว เอาของมึงคืนไป!

          ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่บ้านของตัวเอง

          คุณมยุรีหลังจากฟื้นจากการสลบ ก็มาช่วยทำแผลให้ผม อาร์ม และชมพู่ ตอนนี้ทุกคนรู้สึกบรรเทาอาการเจ็บปวดขึ้นมามาก แต่สภาพจิตใจจากการเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ดีขึ้น

          คนแม่งตายทั้งคน...สมองไหล เลือดอาบ เนื้อกระเด็นคาตาแบบนั้น...แม่งเอ้ย ไม่มีอะไรเหี้ยไปกว่านี้อีกแล้ว ชีวิตกูแม่งโคตรมีสีสันเลยไอ้วินเอ้ยยยย!

          สักพัก อาร์มและชมพู่ก็ขอปลีกตัวกลับบ้านไปก่อน

          ไอ้ยิ้มนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวคนเดียวนิ่งๆ ตาของมันแดงมากเพราะร้องไห้มาตลอดทาง ค่อยเก็บไว้ถามมันทีหลังก็แล้วกัน

          ตาแม้นนอนพักอยู่...คุณมยุรีจึงเข้ามาจับผมคุยด้วย

          “จริงค่ะ...ตาแม้นเป็นพ่อของดิฉันเอง” เรื่องนี้ผมก็ยังตกใจไม่หายเช่นกัน “คุณเป็นคนดีมากเลยนะคะ...ถึงแม้คุณพ่อของฉันจะไม่ได้เป็นคนในครอบครัวของคุณ แต่คุณก็ยังรักและดูแลท่านเหมือนเป็นพ่อของคุณอีกคน”

          “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณสุข...อันที่จริง ตาแม้นแกก็ใจดีกับผมมาตั้งแต่ที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานแล้วล่ะครับ เห็นว่าไม่มีญาติที่ไหน ผมก็เลยพาเขามาอยู่ด้วย...คิดไม่ถึง ว่าตาแม้นจะเป็นพ่อของคุณสุข...โลกนี้กลมจังเลยนะครับ”

          “...” เธอยิ้มออกมาบางๆ

          “ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท...ผมขอถามคุณได้ไหมครับ”

          “ได้สิคะ จะถามอะไรฉันเหรอคะ...”

          “เรื่องตาแม้นกับคุณสุข เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ...ผมแค่สงสัยว่า ทำไมเมื่อก่อนตาแม้นแกบอกว่า ไม่มีลูก ไม่มีญาติที่ไหนทั้งนั้นล่ะครับ”

          “...” เธอเงียบไปสักพัก แล้วก็ปริปากเล่าออกมา “มันนานมากแล้วล่ะค่ะ...เมื่อก่อน สมัยที่ฉันยังไม่แต่งงานกับคุณสวัสดิ์ ฉันก็อยู่ที่บ้านหลังนั้นแหละค่ะ...ร้านหนังสือเก่าๆ ...ไม่นานฉันก็คบหากับคุณสวัสดิ์ เขาทั้งรวย และมีทุกอย่างเพียบพร้อม ตอนนั้นฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้เจอกับเขาคนนี้ แต่คุณพ่อของดิฉันกับเกลียดขี้หน้าของเขาหนักมาก ฉันเองที่ตอนนั้นรักเขาหัวปักหัวปำ เลยเก็บข้าวเก็บของหอบหนีออกจากบ้าน เขาก็เลยสั่งคำขาดว่า จะตัดพ่อตัดลูกกันกับดิฉัน...ด้วยความที่ตอนนั้นฉันโกรธมาก ก็เลยตกลงตามนั้น...โดยไม่คิดถึงเลยว่า คนเป็นพ่อจะเสียใจมากแค่ไหน...ฉันเป็นลูกสาวที่แย่ที่สุดเลยค่ะ”

          “ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ...”

          “สิบห้าปีที่ฉันหนีออกจาบ้านมา ไม่แม้แต่จะกลับไปไยดีคนทางนั้น ถึงแม้ดิฉันจะรู้สึกผิดอยู่ในใจมากก็ตาม แต่การกลับไปของดิฉัน กลับทำให้ดิฉันรู้สึกละอายใจ หลายครั้งที่จะเข้าไปหาเขา...กลับทำได้แค่เพียงยืนมองอยู่ไกลๆ ...มองตาแก่คนหนึ่งที่เลี้ยงฉันมาจนโตปีกกล้าขาแข็ง ยืนหยัดสู้ชีวิตด้วยตนเองจนกระทั่งเกิดเรื่องระเบิดบ้านเมื่อวันนั้น...”

          ผมรู้สึกว่าต้องตั้งใจฟังหนักเข้าไปอีก

          “ฉันมาเที่ยวหาเขาตามปรกติค่ะ ในวันนั้นฉันเห็นคุณเข้าไปในบ้าน แล้วสักพักก็มีคนท่าทางแปลกๆ วิ่งออกมาจากบ้าน ตามด้วยคุณกับเพื่อนที่พยุงพ่อฉันที่กำลังสลบอยู่ออกมา...ไม่นานมันก็ระเบิดต่อหน้าต่อตาฉัน...และอีกอย่างหนึ่ง เรื่องค่าใช้จ่ายของทางโรงพยาบาลในวันนั้น ฉันเป็นคนออกค่ารักษาทั้งหมดเองค่ะ ฉันเดาว่า...คุณเองก็คงแปลกใจไม่น้อยสินะคะ”

          “ครับ...” อ๋อ...แบบนี้เองเหรอ ก็ว่าทำไมถึงแปลกๆ แม่งโลกมันกลมจริงๆ อ่ะ

          “แล้วก็เรื่องวันนี้...ที่ฉันมาที่นั่นได้เพราะเห็นได้ในจีพีเอสจากโทรศัพท์มือถือของเขา พอดีว่าเขาใช้ยี่ห้อแอปเปิลอยู่พอดี คุณสวัสดิ์เป็นคนที่ไม่ทันสมัยแต่ใช้ของแพงค่ะ ฉันก็เลยหาตัวเขาเจอง่าย...ก็เลยเห็นว่าเขาไม่ได้ไปเชียงใหม่อย่างที่บอกกับดิฉัน เหตุการณ์วันนี้จึงเกิดขึ้น...”

          “สุข...” เสียงคนชราดังขึ้นมาในความเงียบของการสนทนา

          “พ่อ...” คุณมยุรีลุกขึ้นแล้วเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ

          คนชรายันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเปลนอน ผมเห็นทันใดจึงรีบเข้าไปช่วยให้ลุกนั่งสบายขึ้น แต่ตาแม้นเสียงยังคงเหนื่อยอ่อนจากเหตุการณ์วันนี้

          คุณมยุรี ค่อยๆ ย่อตัวเองนั่งลงข้างๆ ตาแม้น...

          ความรู้สึกละอายแก่ใจตัวเองของเธอก็ปะทุขึ้นมา แต่เธอต้องทนสู้หน้าพ่อของตัวเองแม้จะละอายแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยคนเป็นพ่อก็เรียกชื่อเธอออกมา เห็นได้ว่าบรรยากาศตอนนี้เริ่มอบอุ่นขึ้นด้วยความรัก

          “พ่อคะ...” คุณมยุรีพนมมือขึ้น...แล้วก้มกราบแทบเท้าของชายชราตรงนั้น

          มือเหี่ยวเลื่อนเข้ามาสัมผัสแล้วลูบหัวของเธอเบาๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นตลอดสิบห้าปีที่เธอจางหายมานาน

          คุณมยุรีเงยหน้าขึ้น “พ่อคะ...สุขขอโทษ...ขอโทษสำหรับทุกอย่าง สุขผิดเอง วันนั้น...วันนั้นสุข” เธอร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกจุกในใจ

          “พ่อรู้แล้วสุข...พ่อไม่โกรธสุขแล้ว” ชายชรายิ้มให้อย่างใจซึ้ง

          ผมจึงปลีกตัวออกมาจากตรงนั้นทันที ปล่อยให้ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่สองพ่อลูกจะได้ปรับความเข้าใจกันเสียที







          เหตุการณ์ผ่านไปรวดเร็วพอสมควร ถึงแม้จะเป็นวันเดียว จู่ๆ มันก็มืดลงราวกับปิดสวิตช์ไฟ

          คุณมยุรีได้ขอพาตาแม้นไปอยู่ด้วยที่บ้านจัดสรรอีกย่านหนึ่งของเธอ ผมยินดีที่ตาแม้นได้ไปอยู่กับคนที่เขารัก ความลำบากยากเข็ญเมื่อวันวาน เปลี่ยนผันกลับกลายไปเป็นเรื่องที่ดี ผมรู้สึกตื้นตันใจแทนจริงๆ

          แต่จะว่าไป ตาแม้นก็มาอยู่ในบ้านผมเกือบเดือน ก็รู้สึกเหงาๆ อยู่บ้าง ไม่ได้ไปซื้อข้าวให้แล้ว ไม่ได้นวดให้แล้ว...

          ส่วนเรื่องทางโรงพยาบาลของตาแม้น แล้วก็รถวีลแชร์ คุณมยุรีจะจัดการเองทุกอย่าง ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที

          ...แต่พอหันหน้ามาเจอไอ้คนตัวสูงที่ทำหน้านิ่งตั้งแต่บ่าย กลับทำให้อารมณ์ของผมตอนนี้ขุ่นมัวขึ้นมาฉับพลัน

          คำถามมากมายก่อเกิดขึ้นมาในความคิดของผม

          ผมนั่งลงที่เก้าอี้ถัดจากมันแล้วถามมันออกไป “เป็นอะไรยิ้ม...”

          “...” มันไม่ยอมตอบผม เอาแต่ทำหน้าตึงแบบเดิม

          ผมเลยลุกขึ้น “ถ้าไม่ตอบ...ก็ไม่ต้องก็ได้ กูรู้ว่ามึงอ่ะความลับเยอะ กูเป็นใครก็ไม่รู้ไง มึงถึงมีอะไรไม่เคยบอกกู!” ผมก้าวเดินออกไปแต่มือหนาก็ขวาแขนของผมเอาไว้

          “...” มันมองหน้าผม ผมเลยทำหน้าบูดใส่มัน “ถามมาเลยครับ”

          ผมยอมนั่งลงตามแรงถ่วงของมือมัน “คำถามแรก”

          “…”

          “ร้องไห้อะไรขนาดนี้”

          สีหน้ามันตกใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา “อันที่จริง...ผมไม่เคยเห็นคนตาย...น่ะ”

          “งั้นคำถามที่สอง...”

          “...”

          “ประตูชั้นใต้ดินไม่ได้เปิด...” (เป็นคำถามที่ผมคาใจแต่ไม่กล้าคิด)

          “...”

          “มึงเดินเข้ามาได้ยังไง”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ถ้าหากว่าวันหนึ่ง... [3]


          ตอนแรกผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะไอ้ยิ้มเองมันก็เป็นคนแบบเรานั่นแหละ

          แต่ที่แม่งแปลกและทำให้ผมตกใจในตอนนั้น คือจู่ๆ มันก็เดินเข้ามาห้องใต้ดิน

          หมายถึง...ผมไม่ได้ยินเสียงประตูของมันเปิด พอมองไปก็เจอมันกับคุณหญิงย่า แล้วก็ไอ้พวกหน้าเถื่อนพวกนั้นมันก็ไม่สังเกตเห็น หรือจะให้คิดไปเองอีกแง่คือคุณหญิงย่าบังตา ต้องใช่แน่ๆ ...

          “ว่าไง ตอบกูดิ” ยังไงผมก็ต้องฟังจากปากมัน มันต้องไม่โกหกผม

          มันกลืนน้ำลายหนึ่งอึกแล้วไม่สบตาผม นี่แหละที่มันแปลก หลายครั้งแล้วที่มันทำแบบนี้ “ผม...”

          “...”

          “ผมไม่รู้” อ้าวสัส! ปล่อยกูลุ้นอยู่นาน ถ้ามันพูดแบบนี้แล้วผมก็คงไม่ถามมันต่อแล้วล่ะ มันไม่รู้คือมันไม่รู้...คือมันไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ เออ

          คุณหญิงย่าคงบังตาไว้จริงๆ เว้นแต่ผมที่เห็นได้เท่านั้น

          “อืมม์ จบ...”

          ผมยังคงลอบสังเกตหน้าของมัน มองไปข้างในตาที่เหม่อลอย ไม่มีความสุข ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความทะเล้นที่มันเคยมี รอยยิ้มของมันที่เคยเห็น ตอนนี้มันหายไปไหนก็ไม่รู้ เห็นมันเป็นแบบนี้ผมก็ไม่สบายใจไปด้วย...อึดอัดจัง

          ผมว่าผมจะไม่ก้าวก่ายอะไรเรื่องของมัน ปล่อยมันไปเถอะ มันสบายที่จะบอกผมเมื่อไหร่มันก็คงจะบอกเอง เพราะเรื่องของคนอื่น ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งอยู่แล้ว







          ผมเข้าห้องน้ำนานพอสมควร รู้สึกว่าอั้นมาตั้งแต่เช้า เพราะเรื่องตาแม้นหายตัวไป เลยลืมไปเสียสนิท

          พอออกมาก็เห็นว่าไอ้ยิ้มไม่ได้นั่งที่โต๊ะกินข้าว แต่กลับไปนอนที่เปลนอนของตาแม้นแทน

          ผมเดินเข้ามาดู นานๆ ทีจะเห็นมันเงียบสงบแบบนี้ครั้งแรก...

          ลมหายใจอุ่นๆ พ่นออกมาจากจมูกโด่งสวย ผิวของมันขาวกว่าผมพอสมควร ริมฝีปากของมันทำให้ผมคิดถึงรอยยิ้มของมันขึ้นมา ถ้ามันยิ้มบ่อยๆ ก็คงจะดีเหมือนกัน...

          มันยังคงหลับสนิท สงสัยจะเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน...ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้กินกันด้วย ว่าแล้วผมก็ท้องร้องขึ้นมาจ๊อกหนึ่ง คงต้องไปต้มมาม่าแดกโดยด่วน...

          เวลาล่วงเลยไปถึงสองทุ่ม ผมล้างจานจ้อกๆ อยู่หลังบ้าน

          พอล้างเสร็จก็เดินออกมาดูไอ้ยิ้ม ก็เห็นว่ามันยังคงนอนอยู่ที่เดิม

          เลยตัดสินใจขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเสีย สงสัยการอาบน้ำวันนี้ของผมต้องเหมือนเข้าสู่สนามรบแน่ๆ เพราะผมต้องต่อสู้กับความแสบแสนของบาดแผลและความปวดตามรอยช้ำที่ผุดขึ้นมาจนเขียวม่วง ทรมานสุดอะไรสุด...







          มันคือสนามรบจริงๆ อย่างที่คิดไว้เลย!

          สัสเอ๊ย! พออาบเสร็จก็รู้สึกว่าร่างกายผมมันแม่งระบมบอบช้ำเหลือเกิน ไม่กล้ามองตัวเองในกระจกด้วยซ้ำ กูนึกว่าซอมบี้ไอ้เห้!

          นี่มันเกินไปจริงๆ นะเว้ย!

          ร้อยวันพันปีกูไม่เคยโดนรุมเตะรุมต่อยขนาดนี้มาก่อน นี่มันเป็นครั้งแรกในชีวิต...ชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละครจริงๆ เลยว่ะ

          ว่าแล้วก็ต้องไปทายาซ้ำ ยาหม่องยาแก้ปวดบลาๆ ทั้งกินทั้งทาไปหมดนั่นแหละ ยังไงก็ต้องหายก่อนล่ะ ไม่งั้นผมจะไม่ออกบ้านไปไหนเด็ดขาดเลย!

          ก็อกๆ

          เสียงเคาะประตู...

          ไอ้ยิ้มมาเหรอ...

          ผมลุกไปเปิดประตูห้องก็พบว่าเป็นไอ้ยิ้มจริงๆ







          [YIM Section I]


          หน้ากลมทำหน้างงใส่ผม คงไม่คิดสินะว่าผมจะขึ้นมาทำอะไร

          ผมเริ่มก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีอุกอาจ สีหน้าเหลอหลาเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของกวินท์ ทำให้ใจของผมเต้นขึ้นมาอย่างรุนแรง

          เห็นสีหน้าของมันตอนนี้แล้ว อะไรก็ตามที่อยู่ภายในใจของผม ความรู้สึกทั้งหมด ผมต้องบอกกวินท์ทีเดียวในคืนนี้เลย เพราะผมกลัวว่าวันหนึ่ง ถ้าหากว่าวันหนึ่งผมหายไป...ผมจะไม่ได้บอกอะไรกับกวินท์อีก

          ผมรู้ตัวเองมาตั้งนานแล้วว่าผมอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผม...ต้องตาย

          แต่ยังไงก็ช่าง ตอนนี้สำคัญที่สุด ตอนที่กวินท์อ่อนแอแบบนี้ เขาคงไม่มีแรงมาขัดขืนผม

          “มึงจะทำอะไร!” คนตัวเล็กกว่าผมถอยกรูดไปที่เตียง รู้สึกว่าภาพเดจาวูขึ้นมาเหมือนวันนั้น แต่แค่วันนั้นผมยั้งใจตัวเองได้ ทำได้มากสุดก็แค่บีบจมูกของเขาแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว...แต่วันนี้ไม่! “ไอ้ยิ้ม! มึงอย่า!”

          ถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะทำเสียงโหดใส่แค่ไหน แต่สีหน้าท่าทางของเขาทำให้ผมเริ่มอยู่ไม่สุข

          ผมผลักร่างเล็กลงบนเตียงนุ่ม สายตามุ่งมั่นของผมจับจ้องไปที่ใบหน้าหวานกลมที่แต้มไปด้วยรอยช้ำ แต่ก็ยังคงความน่ารักในแบบที่ผมใจเต้นได้อยู่ดี

          กวินท์เริ่มออกแรงดิ้น ผมจึงขึ้นคร่อมไปที่ร่างนั้น ทำการจับแขนของเขาให้อยู่หมัด แล้วจ้องลงไปในดวงตากลมโตของกวินท์...ผมพร้อมที่จะบอกความรู้สึกทุกอย่างแล้ว...

          “ปล่อยกูนะไอ้เหี้ย!!!” กวินท์เริ่มดิ้นแรงขึ้น แต่แรงมันก็น้อยกว่าผมอยู่ดี “ถ้ามึงทำอะไรกูนะ กูจะฆ่ามึงให้ตาย ไอ้ยิ้ม! ปล่อย!!!”

          “หยุดดิ้นสักที!!!” กวินท์ทำหน้าตกใจแล้วเงียบอึ้ง เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมตะคอกใส่ ทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาในใจอย่างมาก แต่เพื่อตัวผม...ผมจะเป็นอะไรต่อไป ก็ยังไม่รู้เลย... “ฟังผม...”

          “...” นัยน์ตาของกวินท์สั่นเครืออย่างหนัก หัวใจภายใต้ร่างเล็กที่ผมนั่งคร่อมอยู่ สั่นสะเทือนรุนแรงราวกับจะระเบิดออกมาให้ได้

          “ตลอดเวลาที่ผ่านมา...” ผมจ้องเข้าไปในตากวินท์อย่างลึกซึ้ง “คุณรู้สึกยังไงกับผมครับ” กวินท์เริ่มหายใจติดขัดเพราะคำถามของผมที่เขาได้ยิน มันไม่ง่ายเลยที่จะตอบ และมันไม่ง่ายเลยที่เขาจะคิดแบบที่ผมคิด

          “...” เขาเงียบไป ในใจของผมก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาเหมือนกันว่าตอนนี้ผมควรทำต่อไปหรือจะหยุดแค่นี้...แล้วจบไม่สวย

          “ขอความจริง...ทุกอย่าง คุณคิดยังไงกับผม”

          “แล้วถ้ากูบอกมึงว่า...ไม่...มึงจะทำอะไร”

          “ผมจะเดินออกไป...ไปจากคุณ”

          “ไม่! ...ไม่นะยิ้ม...” ผมเริ่มไม่เข้าใจคนตรงหน้าเข้าแล้ว...หมายความว่ายังไงกันแน่

          “...”

          “อย่าไป...อย่าไปไหน อยู่กับกู...ที่นี่” ดวงตากลมโต เริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมา ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรออกไป น้ำตาของเขาก็ร่วงลงและไหลรินออกมาเรื่อยๆ ...

          น้ำตาของคนตรงหน้า มีอิทธิพลต่อจิตใจของผมมาก

          ผมค่อยๆ คลายมือที่จับแขนของเขาออก จ้องมองไปยังกวินท์ที่ยังร้องไห้ไม่หยุด...ซึ่งผมเข้าใจแล้วว่ากวินท์หมายถึงอะไร...ความคิดที่ผมจะทำเรื่องเหี้ยๆ ได้อันตรทานหายไปทันที

          ขอเพียงแค่คนตรงหน้า คิดในแบบที่ผมคิด มันก็พอแล้ว...แต่ด้วยความที่ผมไม่ทันคิด...กลับทำให้อีกใจผมคิดได้อีกทีว่า...ถ้าเขาคิดแบบผม...แล้วถ้าหากว่าวันหนึ่ง...ผมไม่ได้อยู่กับกวินท์แบบนี้ล่ะ

          ไม่ใช่ผมที่เสียใจ

          แต่เป็นกวินท์ต่างหาก...

          จู่ๆ กวินท์ก็เปลี่ยนแขนขึ้นมากอดคอผม ดวงตากลมโตที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตา จ้องมองมาที่ดวงตาของผมที่มองเขาอย่างรู้สึกผิด...นี่ผมกำลังทำอะไรลงไป

          คนภายใต้ร่าง...โน้มคอของผมลงไปช้าๆ ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และความรู้สึกที่วูบวาบ หัวใจของผมเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำกับการกระทำของเขาตอนนี้

          ราวกับดึงดูดผมให้ดิ่งลงในห้วงที่ลึกที่สุดของความรู้สึก...

          ริมฝีปากบางเผยอออกมาเล็กน้อย ประกบเข้ากับริมฝีปากของผม...เราสองคนหลับตาลง ดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ต่างคนต่างก็ไม่เคย

          ความอุ่นซ่านกระจายไปทั่วโพรงปากที่ประกบกันแน่น ลิ้นอุ่นชื้นของผมค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปในโพรงปากร้อนของกวินท์อย่างควบคุมไม่ได้

          มันควรจะเป็นสเต็ปของการจูบที่ดี ทุกอย่างลื่นไหลไปตามอารมณ์จนรู้สึกว่าตรงนั้นของผมมันเริ่มดุนดันจนแน่นเป้ากางเกง

          ไม่นานปากของเราก็ผละออกจากกัน...ผมจ้องมองไปยังนัยน์ตาของกวินท์อีกครั้ง ทุกอย่างที่ผมอยากบอกเขา แม้ผมจะไม่ต้องพูดอะไร กวินท์และผม ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่มีเหมือนกัน

          เราสองคนต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมก็เอาแต่ก้มมองหน้ากลมที่แต้มไปด้วยสีแดงเพราะความเขิน

          ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ผมยิ่งมองหน้าเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าความต้องการของผมมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

          ผมค่อยๆ ก้มลงซุกไซร้ไปที่ต้นคอจนเขาดิ้นเบาๆ ด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน

          กลิ่นหอมของสบู่ยิ่งทำให้ผมอยากสูดมันเขาไปให้ได้กลิ่นทั่วทั้งปอด ก่อนจะประกบจูบลงไปบนเนื้อหอมแล้วโลมเลียช้าๆ ...ผมสัมผัสได้ถึงความเกร็งด้วยความไม่เคยของกวินท์ ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเหมือนกัน

          ปลายลิ้นร้อนของผมค่อยๆ ไล่ขึ้นไปตามใบหูอันร้อนฉ่าของคนตรงหน้า...ปลายเล็บเรียวของคนใต้ร่าง จิกไปที่หัวไหล่ผมเบาๆ ความรู้สึกสนุกของผมเริ่มพลุ่งพล่าน จึงลุกขึ้นปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ด

          มือหนึ่งเลื่อนขึ้นมาจับแขนผมไว้ ผมจึงหยุดมอง “มึงจะทำอะไร...”

          “เราสองคน...ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันหรือไง” ว่าจบ กวินท์ก็ค่อยๆ คลายมือที่จับผมออก เอาแต่มองผมที่รีบปลดกระดุมเสื้อออกจนถึงเม็ดสุดท้าย แล้วโยนเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดไปยังด้านล่างของเตียง

          ไม่รอช้าผมก็ก้มลงพร่ำจูบคนตรงหน้าอีกครั้ง คราวนี้ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมบ้าง ดูเหมือนว่าเขาเองก็คงรู้สึกเหมือนกันกับผม ตอนนี้ผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ รีบผละออกจากปากของกวินท์แล้วปลดซิปกางเกงออกให้ผ่อนคลาย

          แล้วสักพัก ผมก็...!!!







          “ยิ้ม...ยิ้มมม!!!” ร่างไอ้ยิ้มล้มลงไปด้านล่างเตียงอย่างแรง ผมตกใจลุกขึ้นมาดูก็พบว่า... “นี่มันอะไรกันวะ!”

          ก็พบว่าร่างนี้...ไม่ใช่ยิ้ม!

          กลับเป็นใครคนหนึ่ง ที่หน้าตามองเผินๆ แล้วผมก็คงคิดว่าเป็นไอ้ยิ้ม...

          แต่มัน...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย! ไอ้ยิ้มตอนนี้กลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่นอนอยู่ข้างล่างเตียง

          ผมเริ่มไม่เข้าใจและสับสนอย่างหนัก...ไอ้ยิ้มคนเมื่อกี้ หายไปไหนแล้ว...

          แล้วทำไม คนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แถมเมื่อกี้ เขายังล้มลงไปต่อหน้าต่อตาของผม นี่ผม...อยู่กับใครมาตั้งแต่แรกวะ!!!

          จู่ๆ ก็มีสายเข้าโทรศัพท์ผม

          เป็นเบอร์แปลกอีกแล้ว...

          ผมละเลิกจากความสับสนตอนนี้ ไปรับสายโทรศัพท์ก่อน

          “ฮัลโหลครับ”

          [...]

          “ฮัลโหล...”

          [พี่มายกลับมาหาน้องหวานแล้วนะคะพี่วิน...] กลับเป็นเสียงของน้องหวาน

          “อะไรนะ...หาตัวมายเจอแล้วเหรอ!”

          [พี่วินมาบ้านหวานสิคะ...หวานอยากให้พี่วินกับพี่มายเจอกัน]

          แล้วเธอก็ตัดสายไปฉับพลันโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรไปอีก

          หันกลับมาพบกับสิ่งที่ผมเจอตอนนี้อีกครั้งหนึ่ง

          ร่างกายของผู้ชายที่ผมไม่เคยแม้แต่จะรู้จัก นอนกองอยู่ต่อหน้าต่อตา...ผมไม่มีวิธีไหนที่จะจัดการกับเขาเลย

          แล้วนิ้วของเขาก็กระดิกดิ๊กๆ ทำให้ผมรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ สองตาของเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เสียงลมหายใจหอบกระหายคล้ายกับว่าหิวน้ำ

          ผมยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างหวาดๆ เล็กน้อย

          เขายันตัวให้ลุกขึ้นนั่งแล้วทุบๆ หัวตัวเองพร้อมกับสีหน้าบ่งบอกว่าปวดตรงศีรษะประมาณหนึ่ง หลังจากนั้นก็หันมามองผมพลางมาซ้ายมองขวาไปด้วย

          “คุณเป็นใคร...ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ที่นี่ที่ไหน” เขามองไปรอบห้อง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ

          ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรออกไปดี...







          เขาได้ออกจากบ้านของผมไป โดยการที่ผมแกล้งบอกไปว่า เขาเข้าบ้านผิด เดินละเมอมาบ้านผม

          แล้วเขาก็เออๆ ออๆ เดินออกจากบ้านผมไป

          ผมเดินกลับมาเงียบๆ หลังจากที่ไปส่งเขาที่หน้าบ้าน...หันหลังกลับมามองบ้านตัวเองที่มีแต่เสียงความเงียบ

          มันเงียบเหมือนเมื่อก่อน...แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกไม่ชินเลยสักนิด

          เสียงจิ้งหรีดเรไรดังกรีดๆ ในช่วงค่ำ ความรู้สึกเหงา...ก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจของผม

          ยิ้มที่เมื่อกี้...เราเพิ่งมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน แต่ตอนนี้เขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับเมื่อกี้นี้ เป็นเพียงแค่ความฝัน...เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่ผมคิดไปเอง

          น้ำตาของผมคลอเบ้าขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาใส่ตัวผม

          อันที่จริงผมไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งด้วยซ้ำ พอมีเขา กลับทำให้ผมรู้ตัวอีกที...ว่าผมนี่แหละโคตรอ่อนแอ

          ไอ้ยิ้มไม่อยู่ที่นี่...

          ...เขาไม่อยู่ที่นี่แล้วจริงๆ



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ถ้าหากว่าวันหนึ่ง... [4]


          ผมพาหัวใจแสนอ่อนแอของตัวเอง นั่งแท็กซี่ไปยังบ้านรัตนชัยธรรม์ตามคำเชื้อเชิญของน้องหวาน

          ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้น กับการที่น้องหวานบอกผมมาว่าเจอมายแล้ว แสดงว่าสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอดว่ามายตายแล้วมันไม่ใช่เรื่องจริง...แล้วสิ่งที่ผมเห็นทั้งหมดมันคืออะไรกันวะ!?

          นั่งประมาณยี่สิบนาที รถก็มาจอด ณ หน้าบ้านหลังนี้

          ผมจ่ายตังค์ ลงรถแล้วมองไปรอบๆ ...บ้านนี้เงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่สักคน ไฟในสวนสลัวๆ ส่องยาวไปยังตัวบ้านที่อยู่ไม่ไกล

          ผมเปิดประตูเล็กที่ไม่ได้ล็อกอยู่เป็นปรกติเข้าไปทันที

          บรรยากาศตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล แต่ด้วยความที่ผมอยากรู้ว่าที่น้องหวานโทรมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ผมต้องรีบเข้าไปที่บ้านโดยด่วน

          ตัวบ้านเงียบกริบจริงๆ อย่างที่เห็นได้จากด้านนอกรั้วบ้าน

          ประตูบ้านเปิดแง้มไว้กว้างพอสมควร ทำให้เห็นว่าในบ้านเปิดไฟไว้แต่ไม่ได้เปิดทุกดวง เป็นเพียงแค่แสงไฟสลัวๆ จากชั้นสองเท่านั้น ผมจึงก้าวเดินเข้าไปในตัวบ้านอย่างเงียบเชียบเพราะบรรยากาศตอนนี้มันพาไป

          “น้องหวานครับ! ...” ผมตะโกนออกไปในความเงียบ แต่ก็ไม่มีเสียงอันใดตอบกลับมา “พี่วินมาแล้ว...น้องหวานอยู่หรือเปล่า”

          พอมองอีกไปรอบๆ ก็พบว่าด้านล่างก็มืดพอสมควร มีบางจุดอับแสงชวนขนลุก แต่ผมว่ามันไม่มีอะไรหรอก เพราะกลิ่นของวันนี้ก็ไม่ได้เป็นกลิ่นที่ไม่...ดี

          ผมเริ่มทำจมูกฟุดฟิด เพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลกๆ

          กลิ่นของบางอย่างลอยมาในความเงียบสงัดของบ้านหลังนี้...

          เป็นกลิ่นยาอับๆ เหมือนกับเดินในตึกของโรงพยาบาล ทำให้ผมยกมือขึ้นมาปิดจมูก...ผมไม่อยากได้กลิ่นมันเพราะชวนจะอ้วก...

          มีอะไรอยู่แถวนี้เหรอวะ...

          พอคิดดูดีๆ ก็พบว่าเป็นกลิ่นที่ผมเคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้

          มายอยู่ที่นี่งั้นเหรอ...งั้นก็แสดงว่ามายยังไม่ใช่คนน่ะสิ แล้วที่น้องหวานบอกผมนั่น...เธอเจอกับอะไรเข้า

          พลันในความมืดก็ปรากฏเงาของสารร่างของใครบางคน เดินออกมาจากความมืดในมุมอับของบ้าน

          ผมเริ่มรู้สึกคนลุกซู่ขึ้นมาเพราะบรรยากาศตอนนี้มันเปลี่ยนไป มันทั้งเย็นยะเยือก เป็นความรู้สึกเดียวกับเวลาที่ผมกำลังอยู่ใกล้ๆ กับวิญญาณ...แล้วมันก็โผล่ออกมาต่อหน้าต่อตาของผม

          ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ

          ใครบางคนที่ทำให้ผมร้องไห้ไปเมื่อไม่นานมานี้

          มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ยังไง!

          “ยิ้ม! ...”

          มันยืนมองผมด้วยสายตาที่ไม่มีแม้แต่ความสดใส ดวงตาของมันมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา น้ำตาของเขาไหลร่วงออกมาอย่างไม่ขาดสายทันทีที่ผมเรียกชื่อ

         “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...ผมไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้...ที่บ้าน! ...” ผมเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ...

         “กวินท์...” ยิ้มเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องถ่อยให้ออกห่างจากคนตรงหน้า สมองผมเริ่มประมวลผลและตีกันจนยุ่งเหยิง “ผมขอโทษ...”

         สรุปแล้ว...

         “คุณ...ไม่ใช่คน มาตั้งแต่แรก...ใช่ไหม!” ผมเริ่มน้ำตาคลอเบ้าและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ และถ้าคำตอบของเขาคือใช่ ผม...ผมต้องรับไม่ได้แน่ๆ!

         “ใช่...” เสียงของเขาฟังแล้วไม่เหมือนเดิม คำตอบของเขาทำให้ผมใจหล่นวูบ

         ภาพต่างๆ ตอนที่เขาใช้ชีวิตร่วมกันกับผมมาร่วมเดือน ฉายวาบขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ แทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยด้วยซ้ำ

         “ที่ผ่านมา...คุณเป็นวิญญาณมาโดยตลอด...ใช่ไหม!!!” ผมเริ่มถอยหลังออกไปเพราะคนตรงหน้าจะเข้ามาใกล้ผม ตอนนี้ผมไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น ทั้งคำพูดและการกระทำของเขามันแม่งหลอกลวง!

         ไอ้ยิ้มไม่ใช่คนมาตั้งแต่แรก ผมรับไม่ได้จริงๆ!

         “กวินท์...ผม”

         “อย่ามายุ่งกับกู!!!” คนตรงหน้า...ไม่ใช่สิ...วิญญาณตรงหน้าผมตกใจเพราะผมตวาดเสียงใส่ด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด “ที่ผ่านมา...กูอยู่กับผีเหรอวะ...มึงเป็นผี...มึงเป็นผี! มึงหลอกกู...ทำไมกูถึงไม่รู้วะ! ทำไมกูถึงโง่ให้มึงหลอกมาตลอด...ทำไมกูไม่เคยรู้เลย ทำไมมึงต้องโกหกกู...เล่นกับหัวใจคนอื่นสนุกมากหรือไง ห้ะ!!!” น้ำตาผมไหลร่วงออกมาอย่างไม่ขาดสาย สุดแสนจะทรมานหัวใจตัวเอง...กูชอบมันไปได้ยังไง “กูเห็นผีได้ มึงเลยหลอกกูงั้นสิ...มึงไม่ได้สมองเสื่อม มึงมันหลอกลวง! ไอ้เหี้ยยย!!!”

         “...” ไอ้ยิ้มงุดหน้าเงียบ

         มันก็ไม่ต่างอะไรกันเลยจากคำว่า...ผีหลอก

         “กูโดนผีหลอกมาทั้งชีวิต...แม้แต่คนที่กูไว้ใจได้ คนที่กูยอมช่วย...คนที่กูชอบ...ยังหลอกกูได้...มันไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่กูเกลียดหรอก กูเกลียดผีทุกตัวบนโลก...สิ่งที่กูเกลียด สิ่งที่ทำร้ายกูมาตั้งแต่เด็กจนโตจนกลายเป็นปมด้อยเหี้ยๆ เนี่ย...มันไม่ใช่เพราะไอ้พวกนี้เหรอวะ! เพื่อนก็เกลียด อยากเรียนอะไรก็ไม่ได้เรียน...คนรอบข้างก็มองมาคิดว่ากูเป็นโรคจิต นี่คือสิ่งที่คนธรรมดาอย่างกูควรได้รับเหรอ...” น้ำตาของผมยังคงร่วงหล่นอาบใบหน้าไปเรื่อยๆ ..

         “...”

         ผมจ้องมองไปยังสารร่างตรงหน้า “อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก...” ผมตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีกับมัน ถึงแม้จะเสียใจมาก แต่ยังไง มันก็ผีดีๆ นี่เอง!

         “ผมรู้ว่ามันต้องจบแบบนี้...ผมขอโทษ” ไอ้ยิ้มเริ่มถอยออกไปหนึ่งก้าว “ผมจะไปจากคุณ...คุณสบายใจได้เลย” ถึงแม้ผมจะรู้สึกโหวงขึ้นมาในใจ แต่ยังไงกูก็ไม่คบกับผีแน่

         “มึงมันเห็นแก่ตัว...ไอ้ยิ้ม”

         “เจอกับพี่มายแล้วเหรอคะพี่วิน” ผมละจากสายตามองไอ้ยิ้มแล้วไปมองต้นตอของเสียงเล็กที่ดังมาจากด้านบนชั้นสองตรงฝั่งทางลงบันได น้องหวานกอดตุ๊กตาม้ายูนิคอร์น ค่อยๆ เดินลงบันไดมาหาผมด้านล่าง

         ใบหน้าของเธอแต้มด้วยรอยยิ้มที่ผมมองแล้วเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่บ้าเหรอ น้องหวานก็แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เธอไม่ใช่แบบที่ผมเห็นตอนนี้

         ว่าแต่...น้องหวาน...เห็นไอ้ยิ้มด้วยเหรอวะ

         ผมงงไปหมดแล้ว!

         พอน้องหวานลงมาจากบันได ก็ทำให้ผมได้เห็นว่าเธอใส่ชุดอะไร...เสื้อแหวกอกสีแดงสด ระยิบระยับไปด้วยเท็กสเจอร์ของเกล็ดสีเงินแดงแวววาว กางเกงขาสั้นนั่น สั้นจนเกือบจะเห็นสิ่งสงวนที่ปกปิดไว้

         แล้วผมก็เห็นใบหน้าของเธอชัดขึ้น...น้องหวานแต่งหน้าจัดจนเกือบเป็นผู้ใหญ่ บล็อกตาจนหนาดำ ปากแดงจัดด้วยสีจากลิปสติก ใบหน้าขาวโพลนโบ๊ะไปด้วยรองพื้นหนาเตอะ

         ผมมองเธอสลับกับมองไอ้ยิ้มอย่างไม่เข้าใจ...นี่มันเชี่ยอะไรวะ!

         น้องหวานมองผมนิ่งแล้วหันไปมองไอ้ยิ้ม “น้องหวานสวยไหมคะพี่มาย...”

         “ตะ...ตะกี้น้องหวาน พูดกับ...ไอ้นี่ ชื่ออะไรนะ”

         “พี่มายไงคะ...พี่วินจำไม่ได้เหรอ นี่มายเพื่อนพี่วินไงคะ” เธอเดินเข้าไปหาคนข้างหลังผมแล้วคล้องแขนเรียวเล็กไปที่แขนแกร่งของไอ้ยิ้ม “พี่วินไม่ต้องสืบแล้วนะคะ ตอนนี้พี่มายเขากลับมาแล้ว น้องหวานดีใจที่สุดเลยค่ะ...” เธอหันไปมองไอ้ยิ้ม “เนาะพี่มาย พี่มายก็คิดถึงน้องหวานเหมือนกันใช่ไหมคะ...”

         “อีหวาน!!!” พลันเสียงแหลมแปดหลอดก็ดังขึ้นทันทีจากทางด้านหลัง ก็พบว่าเป็นยายป้าฤดี กำลังปิดประตูบ้านใหญ่แล้วลงกลอนหนาแน่น ขังพวกเราทุกคนไว้ในนี้

         “ป้าฤดี!” ผมพูดเสียงเบาด้วยความตกใจ “ป้าไม่ได้ถูกตำรวจจับไปเหรอ!”

         “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อีพวกโง่! กูก็หนีมาสิวะ ถามได้...หึ อีหวาน!” ป้าฤดีเลือดขึ้นหน้าชี้ไปที่น้องหวานอย่างคาดโทษ ผมมั่นใจว่าตอนนี้ป้าแกสติแตกไปแล้ว พูดง่ายๆ ว่าบ้านั่นแหละ “มึงไปบอกแม่มึงเหรอว่าผัวกูอยู่ที่นั่น! ...ถ้ามึงไม่บอก ผัวกูก็คงไม่ตาย!!!”

         “พ่อ...พ่อตายแล้วเหรอ!!!” น้องหวานตะโกนลั่น

         “ไม่ใช่นะป้า! ...คุณมยุรีตามจีพีเอสคุณสวัสดิ์ไปต่างหาก”

         “ไม่จริง! ...อีหวาน...อีหวานมันไปบอกอีสุข! อีชาติชั่ว อีเลว! มึงตายยยยยยยยยยยย!!!” ป้าฤดีพุ่งตัวไปยังน้องหวานที่กอดแขนไอ้ยิ้มอยู่ด้วยความหวาดกลัวและร้องไห้ราวกับเสียสติ ผมเห็นแบบนี้จึงวิ่งไปผลักตัวป้าฤดีให้กระเด็นไปไกล

         ป้าแกยันตัวลุกขึ้นมาเตรียมจะวิ่งไปหาอีกรอบ แต่เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจนป้าแกเริ่มมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง

         มาพร้อมกับกลิ่นของดอกลีลาวดีกับกลิ่นธูปที่ผมกำลังสัมผัสได้ กลิ่นเริ่มเข้มข้นขึ้นจนรู้สึกว่า คุณหญิงย่าอยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว...แล้วก็สัมผัสได้ถึงอีกกลิ่น...เป็นกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงจนผมแทบจะอ้วกออกมาให้ได้

         เสียงนั่น มีเพียงป้าฤดีที่ได้ยินอยู่คนเดียว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงนั่นพูดว่าอะไร แต่ก็ทำให้ป้าแกเริ่มคลั่งได้ระดับหนึ่งแล้ว!

         ป้าฤดีเอามือขึ้นมาปิดหูอย่างตกใจกลัว ตาเริ่มกระเสือกกระสนแล้วนั่งลงไปกองที่พื้น สายตาล้อกแล้กเริ่มออกอาการของคนสติแตก

         “กลัว! ...กลัวแล้ว เอาของคืนไป...เอาของคืนไป!!!” ป้าฤดีร้องไห้ออกมาเสียงดังระงม น้องหวานยืนจ้องด้วยอาการตื่นตระหนก ไอ้ยิ้มเองก็ได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง “ออกไป! กูเอาของมึงคืนไปแล้ว อย่ามายุ่งกับกู อีแก่! อย่ามายุ่งกับกู!!!”

         ทันใดนั้น ป้าฤดีก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่หยดลงมาใส่ตัวเธอ แหมะหนึ่ง แหมะสอง ตามด้วยอีกหลายแมะหยดหล่นลงมาที่ตัวเธอ พอมองขึ้นไปด้านบน ผมก็เห็นกับใครคนหนึ่งยืนห้อยตัวอยู่บนเพดาน ใบหน้าเหวอะโบ๋และมีน้ำเลือดไหลออกจากรูบนหน้า เป็นภาพสยดสยองที่ผมแทบลืมไม่ได้อีกต่อไป

         “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!” ป้าฤดีกรี๊ดลั่นตามด้วยน้องหวานที่ตกใจกลัววิ่งออกไปทางห้องครัว ผมได้แต่ยืนมองป้าฤดีกระวนกระวายกับสิ่งที่เห็นและเลือดที่ไหลท่วมเกือบทั้งตัว “ฤดีขอโทษ ฤดีผิดไปแล้ว!” เธอพนมมือขึ้นและร้องไห้เสียงดัง พลางพูดคำว่าขอโทษไปเรื่อยๆ

         คุณสวัสดิ์หายไปฉับพลัน ทำให้ป้าฤดีเริ่มมองหาด้วยหน้าตาที่หวาดกลัว

         ผมหันกลับไปมองไอ้ยิ้มที่ยืนเงียบมองดูสถานการณ์อยู่นาน...มันส่งยิ้มให้ผมด้วยสายตาเศร้าๆ แล้วบอกกระซิบเสียงเบาว่า ผมขอโทษ...หลังจากนั้น ไม่ทันให้ผมได้พูดอะไรอีก เขาก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา

         ถึงแม้ผมจะไล่เขา...แต่กลับทำให้ในใจผม นั้นเศร้ากว่าเดิม

         พอหันหลังกลับมา ก็เจอกับวิญญาณคุณหญิงย่ายืนมองอยู่ไม่ไกลๆ โดยที่ใกล้ๆ กับป้าฤดี มีวิญญาณคุณสวัสดิ์หน้าโบ๋ยืนอยู่

         ป้าฤดีหวาดกลัวสุดฤทธิ์ รีบลุกขึ้นมองไปที่คุณสวัสดิ์แล้วพนมมือขึ้น พูดแต่ว่าขอโทษ

         คุณสวัสดิ์เดินใกล้เข้ามาหาเธอแล้วยื่นมือออกมา เหมือนพยายามพูดอะไรบางอย่างกับเธอ แต่เมื่อเขาไม่มีปากพูด มีแต่รูโบ๋บนหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ได้แต่พ่นลมฟู่ๆ จากรูคอปนไปด้วยเลือด พุ่งกระเด็นกระจายลงพื้นและใบหน้าของป้าฤดี

         ผมเริ่มถอยห่างออกไป ในใจก็พลันคิดได้ว่าน้องหวานวิ่งไปทางหลังบ้าน ไม่รู้ว่าไปทางไหน สถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่ ผมควรจะวิ่งตามน้องหวานให้มาอยู่กับผมไว้เพื่อความปลอดภัย

         ผมทิ้งป้าฤดีไว้กับวิญญาณคุณสวัสดิ์แล้วพุ่งตัวไปทางหลังบ้าน ก็เห็นน้องหวานนั่งกอดเข่าร้องไห้สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

         “น้องหวาน ออกไปจากที่นี่กับพี่ตอนนี้ เร็ว!” ผมเข้าไปจับตัวน้องหวาน เธอร้องไห้ไม่หยุดแล้วเงยหน้ามามองผม บนหน้าเธอทำให้ผมตกใจเล็กน้อย เพราะตอนนี้น้ำตาพาใบหน้าของเธอเละไม่มีชิ้นดี

         ผมจึงพาตัวเธอให้ลุกขึ้นแล้วจูงมือออกไปยังด้านนอก แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคุณหญิงย่ามายืนขวางทางผมเอาไว้

         “ปล่อยพวกเราเถอะครับคุณหญิงย่า!”

         “คุ ณ ไ ป ไ ด้ ...แ ต่ อี เ ด็ ก ค น นี้ ห้ า ม ไ ป!”

         “ทำไมกันครับคุณหญิงย่า...”

         คุณหญิงย่าหยุดนิ่งแล้วหายตัวไปปรากฏอยู่ที่ชั้นสอง...เธอมองมาทางผมเหมือนเชื้อเชิญให้ผมขึ้นไปด้านบนตามเธอ อีกมือหนึ่งของผมล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าที่ไม่ได้ใช้นาน กดโทรหาคุณมยุรีทันที

         ไม่นานเธอก็รับสาย “คุณมยุรีครับ มาที่บ้านรัตนชัยธรรม์ด่วนเลยครับ!”

         พอวางสายผมก็เห็นว่าประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกกว้าง รอยเลือดเป็นทางลากยาวออกไปข้างนอก ทำให้ผมเห็นว่าป้าฤดีเพิ่งวิ่งออกไปเมื่อสักครู่นี้เอง







          คุณหญิงย่ายืนนิ่งอยู่หน้าห้องสุดทางเดินของเธอรอผม

          ทันทีที่ผมขึ้นไป คุณหญิงย่าก็เดินทะลุเข้าไปด้านในโดยที่ไม่ได้เปิดประตูเหมือนคนทั่วไป ถึงผมจะเห็นผีบ่อยๆ แต่ก็ใช่ว่าจะชินกับกิริยาที่ผมเห็นตอนนี้ ทำได้แต่คนลุกซู่ซ่าวูบวาบไปทั้งร่างกาย

          ด้านหลังของผม มีน้องหวานเกาะเสื้อผมแน่น

          “พี่วินมาห้องคุณย่าทำไมคะ...” เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

          “รอพี่วินอยู่ด้านนอกนะ เดี๋ยวพี่มา...” ประตูที่ล็อกมาตลอดนั้น เพียงแค่ผมบิดกลอนเบาๆ มือ กลอนก็ลั่นแล้วเปิดเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย...คุณหญิงย่ากำลังเชื้อเชิญให้ผมทำอะไรบางอย่าง

          พอเข้าไปก็พบกับความมืดในห้องนอนของเธอ มันมืดจนผมไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง...

          จู่ๆ ไฟสลัวก็สว่างขึ้นทำให้พอเห็นทุกส่วนของในห้องนี้

          ด้านหน้าของผมมีคุณหญิงย่ายืนอยู่ที่หลังเตียงอีกฝั่ง เธอยืนมองผมเงียบๆ โดยที่ไม่พูดอะไร

          ผมจึงตัดสินใจค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

          “คุณหญิงย่า...อยากจะให้ผมทำอะไรครับ...”

          “...ห า ค น ฆ่ า” หาคนฆ่างั้นเหรอ...มีวิธีเดียวที่ผมจะรู้ว่าใครฆ่า ก็คือสัมผัสสิ่งของย้อนอดีตกาล

          ผมตั้งสมาธิให้มั่นแม่น เดินมาก้มลงสัมผัสกับเตียงใหญ่ที่วันนั้นผมเห็นภาพบางอย่างผุดขึ้นมา จำได้ว่าคราวที่แล้ว เห็นเป็นคนเหมือนมีคนเข้ามาบีบคอคุณย่าแต่ก็เห็นไม่ชัดและภาพก็หายไปเร็ว

          มือของผมวางลงไปบนเตียงนุ่ม หลับตาลงรวบรวมสมาธิให้นิ่งที่สุด เพื่อที่จะได้เห็นทุกอย่างชัดเจนและนานมากยิ่งขึ้น

          ไม่นาน ภาพทุกอย่างก็ปรากฏออกมาเป็นฉากๆ เหมือนเมื่อวันนั้น

          ภาพคุณหญิงย่านอนไม่สบายอยู่ที่เตียงอย่างสงบนิ่ง จู่ๆ ก็มีคนเปิดประตู ก็เห็นเป็นน้องหวาน...เธอสวมถุงมือยางสีขาวของหมอทำงานแพทย์ เดินเข้ามาด้วยท่าทีมั่นแม่น เธอเห็นคุณย่านอนสงบ จึงกระโดดขึ้นคร่อมแล้วบีบลงไปที่คอสุดแรง คุณหญิงย่าตื่นขึ้นมาอย่างกระเสือกกระสนเพราะเริ่มหายใจไม่ออก ลิ้นของเธอเริ่มจุกออกมาที่ขอบปาก ไม่นานเธอก็สิ้นลม...

          คนร้ายทำการเอามือคุณหญิงย่ามาทำท่าบีบคอไว้แบบนั้นเหมือนเป็นการอำพรางคดีว่า คุณหญิงย่าฆ่าตัวตาย เสียเอง

          ผมผละมือออกจากเตียงด้วยความรู้สึกที่ตื่นตระหนก

          คนร้ายที่ฆ่าคุณย่า...

          เป็นไปไม่ได้! ...น้องหวานเป็นคนฆ่าคุณย่า!!!

          “น้องหวาน อย่าหนีนะ!!!” ผมรีบวิ่งออกไปที่ประตูทันทีที่เห็นน้องหวาน เธอกำลังรีบเข้ามาปิดประตูแล้วขังผมไว้

          ผมรีบเอามือบิดกลอนประตูแกร็กๆ แต่กลับได้ยินเสียงล็อกกุญแจจากภายนอก ประตูด้านนอกถูกล็อกด้วยอะไรบางอย่างทำให้ผมเปิดออกไปไม่ได้!

          เอาไงดีวะ! ตอนนี้น้องหวานแม่งล็อกผมอยู่ในห้อง แทบไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าน้องหวานจะเป็นคนโหดเหี้ยมขนาดนี้!

          “น้องหวาน! เปิดประตูเถอะน้องหวาน!!!” ผมเขย่ากลอนประตูอยู่แบบนั้นเรื่อยๆ

          “ไม่ค่ะ! น้องหวานไม่เปิด...น้องหวานไม่ได้เป็นคนทำเอง น้องหวานถูกป้าฤดีสั่งมา! น้องหวานไม่ได้อยากทำ!”

          “อีหวาน! มึงตาย!”

          “กรี๊ดดดด! ป้าฤดีอย่าทำหวานเลยนะคะ ป้า! กรี๊ดด!”

          ปั้ง!!!

          เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นจนผมสะดุ้งโหยง...

          ด้านนอกเงียบกริบ...

          น้องหวาน...ถูกยิง!!!



FOLLOWER

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
คุณคนเขียนคะ
ตรงที่น้องหวานฆ่าคุณย่า
แล้วทำเป็นให้เหมือรฆ่าตัวเองนั้น
ึมันไม่สมเหตุสมผล​
คุณอาจอยากให้การตายดูน่าสงสัย
แต่คนเราฆ่าตัวตายด้วยการบีบคอตัวเองไม่ได้​ เราขอติติงตรงจุดนี้ค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
มายตายแล้วหรือแค่วิญญาณออกจากร่าง

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ตามล่าความจริง [1]


          ผมได้แต่รวมแรงเขย่ากลอนประตูอยู่แบบนั้นแต่มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยสักนิด

          ข้างนอกบังเกิดเสียงหัวเราะเกรี้ยวกราดของยายป้าฤดีหลังจากที่เสียงปืนนั้นเงียบไป

          ปั้ง!!!

          ป้าฤดียิงซ้ำ “คราวนี้กูแน่ใจแล้วว่ามึงตาย ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ สมน้ำหน้า!!!”

          “ฤดี!!! ฤดีทำอะไร! ว้าย!” นั่นเสียงของคุณมยุรีนี่!

          “ช่วยด้วยครับ! ผมถูกขังในนี้! ช่วยด้วย!” ผมเขย่าประตูแรงขึ้นเผื่อว่าคุณมยุรีจะได้ยิน แล้วมันก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วจนผมตกใจ

          เป็นคุณมยุรีที่เปิดออกให้ผม สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจกับสถานการณ์ตอนนี้ ผมรีบวิ่งออกจากห้องมา พอหันมาด้านซ้ายมือผมก็เจอเข้ากับ...ร่างเล็กที่นอนตาเหลือกจมคากองเลือด!

          ด้านข้างร่างของน้องหวาน ก็ปรากฏร่างเลือนรางกำลังยืนทำตาเบิกโพลงเพราะเห็นร่างของตัวเองนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น ตามมาด้วยกลิ่นคาวเลือดสดใหม่ที่ลอยคลุ้งไปในอากาศ

          “ฤดี! นี่เธอทำบ้าอะไรของเธอ ห้ะ!!!” คราวนี้คุณมยุรีเลือดขึ้นหน้าหนักมาก เธอเริ่มกำหมัดแน่นแล้วยืนจังก้าไม่กลัวแม้แต่ปืนในมือป้าฤดีที่ถูกไกด์พร้อมยิงอยู่เสมอ “เธอฆ่าคุณสวัสดิ์แล้วยังมาฆ่าน้องหวานอีก! นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!!!”

          “หุบปาก!!!” ป้าฤดียกปืนขึ้นเตรียมยิง ระหว่างนั้นผมโทรศัพท์โทรหาตำรวจเงียบๆ ด้านหลัง พลางทำเป็นไม่มองสารร่างวิญญาณน้องหวานที่กำลังมองมายังผม

          ไม่นานตำรวจก็รับสาย ผมจึงบอกที่อยู่ทุกอย่างที่นี่ไปทั้งหมดให้แก่พวกเขารับทราบ แล้วเริ่มปฏิบัติการมุ่งหน้ามาทางบ้านหลังนี้ เพื่อจับกุมตัวป้าฤดี!

          “มึงก็เหมือนกันอีสุข! ...มารหัวใจกูมาตลอดเก้าปี...นี่คือสิ่งที่กูได้รับหรือไง! กูหวังว่ากูจะมีชีวิตสุขสบาย แต่มึงกับอีหวานกลับมาทำลายให้มันพัง! ...ถ้าวันนี้ พ่อมึงตาย แล้วไอ้หน้าหวานนี่ไม่มาช่วย แผนกูกับคุณสวัสดิ์มันก็สำเร็จไปแล้ว!”

          “เธอ! ...เธอทำลายครอบครัวของฉัน! อย่าอยู่เลย! กรี๊ดดดดดด!!!” คุณมยุรีวิ่งพุ่งไปยังตัวของป้าฤดีที่กำปืนแน่นเตรียมยิง พลันร่างดำทมิฬใบหน้าโบ๋โล่งก็พุ่งออกมาจากไหนไม่รู้ ผลักยายป้าฤดีอย่างแรงแล้วกลิ้งตกบันไดไปเกือบสามสิบกว่าขั้น

          คุณมยุรีหยุดนิ่งแล้วมองเหตุการณ์เบื้องหน้าของตนเอง

          ร่างของยายป้าฤดีล้มหัวกระแทกขอบบันไดอย่างหนัก แล้วกลิ้งหลุบๆ ลงไปที่ปลายบันไดอย่างกระเสือกกระสน

          ผมรีบวิ่งเข้าไปหาคุณมยุรีที่ร้องไห้ไม่หยุดด้วยความโกรธ

          ด้านล่างมีร่างของป้าฤดีนอนแน่นิ่งอยู่

          เสียงรถตำรวจดังมาแต่ไกล เห็นทีว่าใกล้จะถึงบ้านหลังนี้แล้ว

          ผมคิดเล่นในใจว่าป้าฤดีแกน่าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก แต่ทันใดนั้นเธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา สองแขนยันร่างของตัวเองที่เจ็บหนักให้นั่งได้ พลันสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นปืนที่สไลด์ไปอยู่ข้างๆ ไม่ไกล

          เธอจึงรีบคลานเข้าไปคว้าอย่างลำบาก ผมเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งลงมากันเพราะกลัวว่าป้าฤดีจะยิงคุณมยุรี

          “ป้า! อย่ายิงคุณมยุรี! ...ยิงผมแทน!”

          “อย่านะกวินท์ หลบไป!” คุณมยุรีเธอห้ามและพยายามผลักตัวผมให้พ้นไป แต่ผมก็ไม่ฟัง

          “หึ...ถ้ากูจะตาย...มึงก็ต้องตายด้วย...อีสุข!!!” ป้าฤดีกำปืนขึ้นอีกครั้ง ด้านบนผมก็เหลือบไปเห็นโคมไฟแก้วห้อยระย้าขนาดใหญ่กำลังแกว่งไกวอย่างหนัก พลันด้านบนผมเห็นเงาดำลางๆ ที่ผลักป้าฤดีเมื่อสักครู่นี้อีกครั้ง กำลังขย่มโคมไฟให้หลุด

          ผมมองกลับลงมาด้านล่างสลับกับมองด้านบน ป้าฤดีกำลังจะเหนี่ยวไกปืนมายังผม

          แล้วทันใดนั้นเอง! โคมไฟระย้าดวงใหญ่ก็หลุดจากเพดาน ทิ้งตัวดิ่งลงมายังตัวป้าฤดีที่กำลังจะยิงมาทางนี้ ไม่ทันที่เธอจะหยิ่ง ร่างของเธอก็ผลุบหายไปต่อหน้าต่อตา ถูกแทนที่ด้วยโคมไฟ

          เพล้งงงงง!

          ...ผมกับคุณมยุรียืนอึ้งกับเหตุการณ์เบื้องหน้า คราบเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากโคมช้าๆ เห็นได้เลยว่า ป้าฤดี...

          “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!” คุณมยุรีกรีดร้องอย่างคนเสียสติ







          ตำรวจได้เข้ามาถึงหลังจากที่โคมไฟนั้นตกใส่ป้าฤดีดับอนาถ...

          ผมยืนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งรถพยาบาล รถกู้ภัย ทยอยเข้ามาจอดในเขตบ้านเพื่อรับศพของป้าฤดีและน้องหวาน ที่ตายอย่างน่าสยดสยอง

          ศพของป้าฤดีถูกแก้วแหลมของโคมไฟเสียบทะลุร่างแทบจะพรุนทั้งตัว เลือดไหลออกมาเป็นทางยาว เห็นแล้วอยากจะอ้วก...

          ถึงเวลา...ใครๆ ก็ต้องตาย อยู่ที่เวลาจะกำหนดให้เรา ตายช้า...หรือตายเร็วเท่านั้น

          คุณมยุรีหมดสติไปเป็นอีกครั้งของวัน

          คืนนั้นตำรวจมาส่งผมที่บ้าน ผมไม่พูดอะไรตลอดทางเพราะเหตุการณ์วันนี้มันแม่งเกินบรรยายจริงๆ ทุกอย่างติดต่อกันยาวจนผมเองถ้าเจอแบบนี้อยู่คนเดียวทั้งวันคงไม่ไหวแน่ๆ

          แทบไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำ...ว่าวันนี้ผมเห็นคนที่คาดไม่ถึง ตายตามๆ กันไปถึงสามศพต่อหน้าต่อตา ซึ่งแต่ละคนแม่งมีความผิดที่ต่างกันไป

          คุณสวัสดิ์...นอกใจเมีย

          ป้าฤดี...คบชู้ ขโมยทรัพย์สิน ฆ่าคน

          น้องหวาน...ฆ่าคน จัดฉาก ใส่ร้ายผู้ตาย

          หวังว่าหลังจากนี้คงจะไม่เกิดเรื่องพีคๆ ขึ้นอีกล่ะ...

          ผมเหนื่อยแล้ว...







          ยังคงมีอีกเรื่องหนึ่งที่ค้างคาใจ

          ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างที่เกี่ยวกับไอ้ยิ้ม ผมยังไม่เข้าใจดีเลยสักนิดเดียว เรื่องของยิ้มและมาย เขาสองคนคือคนเดียวกันหรือยังไง ถ้าดูจากที่เห็นกับตาก็เห็นว่าไอ้ยิ้ม ถูกน้องหวานเรียกว่ามาย

          เขาคือมายอย่างนั้นเหรอ!?

          บ้าแล้ว! ไอ้ยิ้มจะเป็นมายได้ยังไง ก็คุณมยุรีบอกว่ามายยังไม่ตาย แต่มายแค่หายตัวไป...หรือว่าที่มายหายตัวไป คือมายตายแล้ว...

          แล้วที่เคยเรียกวิญญาณมายมาตอนนั้น...

          มายก็คือ...คนเดียวกันกับยิ้ม...อย่างนั้นเหรอ?

          ผมได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆ อยู่แบบนี้...แต่ถึงยังไงผมก็ไม่อยากสนใจมันอีกแล้ว พอคิดถึง ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด และยิ่งเกลียดมันเข้าไปอีก คนเหี้ยของคนเหี้ยที่สุดที่เจอมาในรอบปี...ไม่ใช่คนสิ มันเป็นผี!

          ด้วยความเครียดทั้งหมด ผมหอบข้าวหอบของสำคัญย้ายไปบ้านหลักของแม่กับยายอยู่สักพัก คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะได้ดูแลแม่กับยายจริงๆ เสียที...หมดเรื่องวุ่นวายที่ทางนี้แล้ว ไม่มีเรื่องอะไรมากวนใจผมอีกแล้ว...

          ไม่เอาสิกวินท์!

          นี่มึงจะเศร้าทำไม มึงบ้าหรือเปล่า!

          เอาเวลามากอดแม่กับยายที่ยืนรออยู่ตรงหน้าดีกว่า

          ผมยิ้มกว้าง วางของลงทั้งหมดแล้ววิ่งเข้าไปกอดยายกับแม่ ด้วยความคิดถึงอย่างถึงที่สุด ผมจึงร้องไห้ออกมาเบาๆ

          “ไม่เป็นไรนะวิน แม่อยู่นี่แล้ว...มาอยู่กับเราที่บ้านให้หายคิดถึงกันไปเลย” แม่พูดแล้วกอดผมอยู่แบบนั้น ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแม่ที่ขาดหายไปนาน

          ยายกอดปลอบผม มือเหี่ยวชราเลื่อนขึ้นมาลูบหัวผมป้อยๆ

          คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยมีมาแล้วล่ะ

          ซึ้งกันอยู่แบบนั้นสักพัก ผมก็ขนของเข้าบ้าน...

          บ้านหลักที่นี่อยู่กันเป็นชุมชนในเมืองใหญ่ เสียงรถจะไม่ค่อยมีเพราะว่าบ้านของผมอยู่ในซอยย่อยเข้าไปด้านในลึกพอสมควร เป็นที่ที่เหมาะสำหรับทำการสงบจิตสงบใจจากเรื่องราวที่ผมได้เจอมา

          เสียงนกกระจอกร้องจิ๊บๆ ดังระงมไปทั่วบริเวณบ้าน ผมเพิ่งรู้ว่าแถวนี้พวกมันมาทำรังกันเยอะตามต้นวาสนากับต้นมะขาม

          เขตบ้านนี้รู้สึกว่ากว้างขวางและร่มรื่นมากกว่าบ้านเช่า พอมองไปทางขวาก็เห็นสวนเล็กๆ ของบ้าน ที่สมัยก่อนตอนที่ผมเพิ่งย้ายมา เคยขอแม่ให้ทำสวน เพราะว่าเวลามองไป เห็นสีเขียวก็ทำให้รู้สึกเย็นใจ สุขภาพจิตจะได้ดีขึ้นด้วยหากรู้สึกไม่ดี

          ส่วนบ้านของผมก็เป็นบ้านไม้สักสองชั้น มีใต้ถุนบ้านปูกระเบื้องสีครีม ขอบๆ ด้านบนก็ประดับตกแต่งด้วยต้นพลูด่างเล็กๆ กับต้นเคราฤๅษี ห้อยเรียงรายกันสวยสบายตา

          ยายชอบมานั่งเล่นตรงนี้บ่อยๆ เวลาร้อน

          ตอนนี้แม่ของผมหัวเกลี้ยง เห็นผมฟูๆ อยู่ไรๆ เพราะเริ่มยาวขึ้นมาบ้างแล้ว แม่ดูไม่เครียดเหมือนแต่ก่อน เพราะน่าจะอารมณ์ดีขึ้นตั้งแต่ที่ผมมาหา บวกกับอาการของแม่ที่บรรเทาลงเรื่อยๆ ตามลำดับ

          “วิน” แม่เดินเข้ามาหาผม

          “ครับแม่”

          “วันนี้ไปโรงบาล’ เป็นเพื่อนยายแทนแม่หน่อยสิ พอดีหมอนัดยายตรวจสุขภาพ...เนี่ย น้าจอนข้างบ้านเขาอาสาไปส่ง ไปกับยายหน่อยนะ”

          “ได้ครับแม่ งั้นเดี๋ยววินไปเตรียมตัวก่อนครับ” แม่ยิ้มพอใจ เดินเข้ามาลูบหัวผมแล้วเดินเข้าไปทางสวนผักเล็กๆ เก็บใบมะกรูดมาทำกับข้าวรอผมกับยายกลับมา







          ณ โรงพยาบาลXXX

          ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะได้กลิ่นยาเหม็นๆ ภายในโรงพยาบาล รวมถึงกลิ่นต่างๆ มากมาย เพราะสถานที่แห่งนี้ เป็นแหล่งรวมความรู้สึกต่างๆ ความเจ็บปวดและความตาย...ทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่
 
          ผมประคองคนแก่ที่ยังแข็งแรง แต่ก็ปนไปด้วยโรค พาเดินเข้ามาที่ตึกคนป่วยเพื่อตรวจสุขภาพ จำเป็นต้องมาตรวจทุกๆ อาทิตย์ เพราะว่าโรคของยายที่เป็นอยู่มันหายยาก

          คนแก่ก็แบบนี้แหละเนอะ เจ็บไข้ได้ป่วยที จะหายไวบ้างก็ไม่ได้

          จากที่สังเกตมา จะเห็นว่าคนแก่คนจีนเขาจะแข็งแรงกันมากกว่าคนแก่ที่ไทย อาจจะเป็นเพราะสถานที่ที่ทำให้พวกเราแตกต่าง บ้านเขาจะหนาวกว่าบ้านเรา ดังนั้นการดื่มน้ำร้อนน้ำชา อาจจะทำให้ต้านโรคภัยต่างๆ ได้...แต่สำหรับคนไทยเป็นเมืองร้อน น้ำขงน้ำแข็งอย่าให้ขาดเชียว

          ผมพายายมานั่งรอคิวตรวจ ณ หน้าห้องตรวจ

          น้าจอนนั่งลงข้างๆ ยายแล้วหยิบโทรศัพท์สัมผัสขึ้นมาสไลด์ดูอะไรบางอย่างเงียบๆ

          ผมจึงหาอะไรคุยกับยายเสียหน่อย “ยาย...”
 
          “หืมม์?” คนแก่ทำหน้างงใส่

          “ยายจำเรื่องวันนั้นได้ไหม...ที่วินออกจากร่าง แล้วไปหายาย...”

          “อ้อ...จ๋ำได้ก่า...เป๋นไปเป๋นมาจะใดน่าห้ะ” (อ้อ...จำได้สิ...เป็นไปเป็นมายังไงเหรอ)

          “อย่างที่วินบอกไปวันนั้นแหละครับ...ผีมันทำร้ายวิน...แต่วินแค่อยากถามยายว่า วันนั้น...ยายหมายถึงใครเหรอครับ...ไอ้ที่บอกว่า เขาจะมาช่วยวิน อะไรประมาณนี้...”

          “อ้อ...” ยายเอามือผมไปกุมไว้ “เขาบ่ไจ้คนหนา” (เขาไม่ใช่คนนะ)

          “ยาย...รู้มาตั้งแต่แรกแล้วเหรอครับ!?”

          “แม่น” (ใช่)

          “เอ้ายายยย...ทำไมไม่บอกวินก่อนนนน”

          “เอ้า! ถึงบอกไปต๋อนหั้นก็บ่มีประโยชน์...ตี้ยายบอกว่าหมอนั่นจะจ้วยหลานแหมหลายๆ เรื่อง...มันแม่นแต้ก่อล่ะ” (เอ้า! ถึงบอกไปตอนนั้นก็ไม่มีประโยชน์...ที่ยายบอกว่าคนนั้นจะช่วยหลานอีกหลายๆ เรื่อง...มันใช่จริงไหมล่ะ)

          ผมลองคิดถึงดูแล้วภาพทุกอย่างก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ...มันจริงอย่างที่ยายว่า...ไอ้ยิ้มเอง ที่เป็นคนช่วยผมมาตลอดในหลายๆ เรื่อง...ถ้าวันนั้นไอ้ยิ้มไม่โผล่มาตอนผมวิญญาณหลุดออกจากร่าง...ผมก็คงไม่ได้กลับมาหาแม่กับยายแบบนี้หรอก

          เรื่องต่างๆ ที่เคยสืบกันมา เพราะมีเขา...ผมถึงได้รู้อะไรอีกมากมาย ทั้งการตายของคุณหญิงย่า เบื้องหลังของคุณสวัสดิ์และป้าฤดี และตัวตนของเขาเองที่ผมสงสัยมาตลอด...เขาช่วยผมแทบทุกอย่างจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องส่วนตัว

          ถึงเขาจะเป็นวิญญาณ...แต่เขาก็ดีกับผมมากมายขนาดนี้

          ผมกลับรับไม่ได้...เพราะเขาทั้งหลอกลวง หลอกผมทุกอย่างตั้งแต่แรกที่เจอกัน...ผมเกลียดที่สุด ถึงยังไงก็ไม่โอเคอยู่ดี...

          เห้อออออ...

          ตอนนี้มันจะไปอยู่ไหนนะ...

          ยายกระชับมือผมแน่นอีกครั้งจนผมหันมาจากอาการเหม่อลอยคิดเรื่อยเปื่อย “ตั๋วสองคนเกิดมาจ้วยเหลือเกื้อกู๋นกั๋นหนา...ปั้ดกันบ่ไจ้ป้น ยายเจื้อจ้ะอั้น” (เธอสองคนเกิดมาช่วยเหลือเกื้อกูลกันนะ...พลัดจากกันไม่พ้นหรอก ยายเชื่อแบบนั้น)

          ผมไม่รู้หรอกว่ายายหมายถึงอะไร ผมได้แต่คิดอยู่ในใจว่า...อย่าได้เจอเขาอีกเลยจะดีกว่า...

          ระหว่างที่นั่งรอหมอของยายไปสักพัก...

          ไม่น่าเชื่อว่าจู่ๆ ก็ได้กลิ่นยาอับๆ นั่นที่นี่...ที่แม้จะกลมกลืนกับยาทั่วไป แต่กลิ่นนี้กลับโดดเด่นจนผมรู้สึกได้

          กลิ่นมันลอยเด่นมาจากที่ไหนสักแห่งของโรงพยาบาลนี้ ทำให้ผมหัวใจเต้นตึกตักด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจตัวเอง ได้แต่หันซ้ายหันขวา มองไปรอบๆ เหมือนกับว่าหาคนที่ตัวเองไม่อยากจะเจออยู่

          “ยายครับ...เดี๋ยววินมานะ วินขอไปเข้าห้องน้ำแป้บนึง”

          ยายพยักหน้ายิ้มให้แล้วหันไปคุยอะไรไม่รู้จุกจิกกับน้าจอนที่นั่งข้างๆ ผมจึงลุกวิ่งออกมาจากตรงนั้น ค่อยๆ ตั้งสติดมกลิ่นนี้ที่เด่นชัดกว่ากลิ่นอื่นใดที่คล้ายคลึงกันภายในโรงพยาบาล

          ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากวิ่งตามกลิ่นนี้ไปเรื่อยๆ

          ไม่นานผมก็มาถึงหน้าอาคารผู้ป่วยพิเศษภายในโรงพยาบาล

          กลิ่นเริ่มแรงและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับว่าใกล้กว่านี้ ผมคงเจอต้นตอของกลิ่นได้ในไม่ช้า

          กลิ่นเหม็นอับอบอวลที่ผมยังคงสูดดมไปเรื่อยๆ เริ่มพาผมขึ้นบันไดไป

          ที่นี่ปะปนไปด้วยกลิ่นของวิญญาณ ผมเห็นกลุ่มควันมากมายลอยวนเวียนอยู่แถวนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากตึกนี้น่าจะมีอัตราคนเสียชีวิตอยู่พอประมาณ ส่วนใหญ่จะเป็นคนแก่ที่ลูกหลานยอมจ่ายห้องราคาแพงเพื่อรักษาชีวิต

          ผมเดินหลบหลีกกลุ่มก้อนควันเหล่านั้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นสาม...

          กลิ่นนั่นเด่นชัดมากและแรงจนขมคอ อยากจะอ้วกออกมาอย่างที่เคยได้กลิ่น แม้จะทนไม่ได้แต่ผมต้องหา เพราะว่ากลิ่นนี้ผมไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้...

          พยาบาลวิ่งไปวิ่งมาเหมือนมีอะไรบางอย่างรีบร้อน

          เสียงเอี๊ยดอ๊าดของบางอย่างดังขึ้นในโสตประสาต แต่ก็ไร้ต้นตอของเสียง...

          และไม่นานมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

          ดังเข้ามาเรื่อยๆ จนมันชัดเจน!

          ด้านหลังของผมปรากฏเตียงเข็นที่มีบุรุษพยาบาลเดินเข็นอยู่อย่างช้าๆ เนือยๆ ...ผมหลีกทางให้แล้วมองดูว่าเขาเข็นอะไร แต่กลับไม่มีใครนอนอยู่อย่างที่คิด

          ผมมองตามเขาไปที่ห้องห้องหนึ่งข้างหน้าไม่ไกล

          ห้องนั้นเปิดออก แล้วเขาก็เข้าไปด้านใน ปิดประตู

          แล้วไม่ทันที่ผมจะทำอะไร สายตาก็ไปเห็นใครคนหนึ่งคุ้นๆ เดินไปมาอย่างกระหืดกระหอบหน้าห้องนั้น ดูท่าทางแล้วคงจะมีอาการเครียดพอสมควร แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะใช่คนที่ผมคิดไว้ในใจหรือเปล่า

          ผมยืนมองอยู่ไกลๆ ก็เห็นว่าเขายืนมองประตูอยู่หลายรอบ

          สักพักเขาก็เปิดประตูเข้าไปทันที

          ผมจึงรีบเดินเข้าไปดู...


ห้อง 4328

ผู้ป่วย: นายกุลวัฒน์ รัตน์ชัยธรรม์


          หลังจากอ่านจบ...หัวใจผมก็หล่นวูบ ความสงสัยอะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นภายในความคิดของผมจนปั่นป่วนไปหมด

          เป็นรายชื่อของผู้ป่วยคนหนึ่ง ที่บ่งบอกว่าคนที่ชื่อนี้

          เขายังมีชีวิตอยู่...

          เขายังไม่ตาย!



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ตามล่าความจริง [2]


          คนที่ผมเห็นเมื่อกี้มันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล...

          แต่มันคือไอ้ยิ้มคนเดิม คนที่วันนั้นเพิ่งทิ้งผมไป...

          ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำไมผมถึงดูมันไม่ออกสักนิดว่ามันเป็นวิญญาณ เขาใช้การสิงร่างของคนอื่นเพื่ออำพรางตนเอง ก็ถึงว่า...ไอ้ยิ้มกับมาย แม่งเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่ใครก็ตามที่เห็นเขา มันไม่ใช่แบบเดียวกันกับที่ผมเห็น

          ที่ผมเห็นเขาคือตัวตนจริงๆ...

          ส่วนคนอื่นเห็นเป็นร่างของผู้ชายคนนั้นที่เขาใช้ร่าง

          โอเค...ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว

          สรุปแล้ว...ยิ้ม ก็คือ มาย และ มายยังไม่ตาย!

          พอกลับคืนสติก็พบว่าตัวเองยืนคิดคนเดียวอยู่เนิ่นนาน จนคุณพยาบาลสาวๆ หลายคน ยืนแอบมองผมอยู่ไกลๆ ว่าผมจะทำอะไรต่อไป

          ผมจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าทุกอย่าง บิดกลอนประตูบานนี้เพื่อเข้าไปพบกับความจริงหลังบานประตูว่าความจริงแล้ว...เขายังไม่ตายจริงๆ อย่างที่ผมคิด

          พอเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าในห้องเงียบกริบ ไฟห้องสลัวๆ ถูกปรับให้พอเหมาะสำหรับสายตาคนไข้ที่กำลังพักผ่อน

          พลันสายตาก็ไปเห็นร่างเลือนรางของใครคนนั้นที่ผมไม่อยากจะเจอหน้าเขาอีก...เขายืนอยู่ปลายเตียงในลักษณะนิ่งเงียบ ได้แต่จ้องมองไปยังร่างที่ห่มผ้าห่มนอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียง

          แล้วเขาก็หันมาเจอกับผม...พร้อมกับน้ำตาที่เปื้อนเปรอะอาบหน้าจนเปียกชื้น เขาดูไม่เหมือนอย่างที่ผมเคยเห็น ความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจของเขา...ผมสัมผัสได้ว่าเขารู้สึกแบบนั้น...ทันทีที่เจอผม เขาก็จางหายไปเงียบๆ แต่กลับทิ้งกลิ่นยาอับๆ ไว้ นั่นทำให้ผมรับรู้ว่าเขายังไม่ไปไหน

          และไม่นาน...ประตูบานนี้ก็ถูกเปิดออกอีกครั้งโดยใครคนหนึ่ง

          แล้วผมหันมาก็พบกับเธอ...คุณมยุรี

          “คุณสุข...”

          “คุณกวินท์!...” ผมมองดูแล้ว เธอมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าพอสมควรจากเรื่องที่เกิดขึ้น หรือเรียกว่าโทรมนั่นแหละ จากตกใจก็เปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆ ให้กับผม “เชิญก่อนค่ะ...”

          ภายในความเงียบของห้อง เสียงติ๊ดๆ ของเครื่องดูชีพจรหัวใจดังขึ้นเป็นจังหวะของมัน

          พอเดินเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็เห็นเข้ากับคนคนนี้...ไอ้ยิ้ม หรือมาย กำลังนอนเป็นผักอยู่บนเตียง เขาดูนิ่งสงบหลับตาพริ้ม คนที่คอยกวนตีนผมมาตลอด กลับมานอนเงียบแบบนี้มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด

          ผมยืนมองด้วยหัวใจที่เต้นอย่างประหลาด คำถามมากมายเริ่มเกิดขึ้นในความคิดอีกครั้ง

          พอหันมาก็เห็นคุณมยุรีกำลังเทน้ำใส่แก้ว แล้วยื่นมันมาให้ผม

          “ขอบคุณครับ” ผมน้อมรับ

          “เชิญนั่งก่อนค่ะ” เธอเดินนำผมไปยังโซฟาข้างๆ เตียงฝั่งด้านในห้อง ก่อนที่ผมจะถามคำถามมากมายที่เกิดขึ้นออกไป เธอก็พูดตัด และมันเป็นคำตอบที่ผมอยากรู้ทั้งหมด “ฉันรู้แล้วค่ะว่าคุณอยากจะถามอะไรอีกมาก...พอมาถึงจุดนี้ ก็ทำให้ฉันรู้ว่า คุณเป็นนักสืบที่เก่งมากคนหนึ่ง”

          ผมยังคงยิ้มบางๆ ให้ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี

          “เขาไม่ได้หายไปค่ะ...”

          “...”

          “เรื่องนี้ฉันจำเป็นต้องปิดบังครอบครัวไว้ด้วยเหตุผลส่วนตัว...การที่ฉันต้องปิดบังเรื่องที่เขาหายตัวไป ก็เพราะว่าเรื่องภายในนี่แหละค่ะ...มันทำให้ฉันได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของบ้านที่สงบสุข และทำให้เข้าใจว่า บ้านสงบสุขนี้ ที่แท้มันก็คือบ้านแตกดีๆ นี่เอง”

          “...”

          “แล้วก็มาถึงวันนั้นที่ลูกชายของดิฉันโดนรถชน...อาการโคม่าหนักเพราะเลือดคั่งในสมอง ขาขวาหัก ไหล่หลุด ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน จนทำให้เขานอนสงบกลายเป็นเจ้าชายนิทรามานานนับเดือน”

          ผมมีอย่างหนึ่งที่อยากจะถาม “เขามีอีกชื่อว่า ยิ้ม...ใช่ไหมครับ”

          สีหน้าเธอดูตกใจเล็กน้อย “ท็อปซีเคร็ทเลยนะคะเนี่ย...ฉันยอมคุณแล้วล่ะค่ะคุณนักสืบ”

          “...” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เธอ เพราะที่รู้อยู่ว่าเขาเป็นวิญญาณมาบอกผมเองว่าเขาชื่อยิ้ม แต่ไม่ได้บอกผมว่าเขาชื่อมาย

          “มีแค่ฉันกับคุณหญิงย่าเท่านั้นค่ะที่เรียกเขาว่ายิ้ม...พออยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจะชื่อมายอย่างที่คนอื่นรู้จัก”

          “อ๋อ...แบบนี้นี่เอง” ผมพูดกับตัวเอง แล้วหันมองไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง “จะมีโอกาสไหมครับ ที่เขาจะฟื้น”

          “...” ผมพูดจบ เธอก็เงยหน้าไปมองยังร่างบนเตียงนั้น พลันน้ำตาก็คลอเบ้าขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะก้มหน้างุดลงไปเพราะร้องไห้ “ฉันไม่รู้เหมือนกันค่ะ...ก็ขอให้มีแสงส่องนำเขา ให้ตื่นขึ้นมาสักวัน...แค่เวลาเดือนเดียว ฉันก็แทบใจจะขาดแล้ว...เขาที่คอยยิ้มคอยหัวเราะ คอยทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่ตลอด พอเห็นเขาเงียบนอนนิ่งอยู่แบบนี้ คนเป็นแม่อย่างฉันคงไม่มีความสุขอยู่สักวินาที”

          “ผมเข้าใจความรู้สึกคุณดีครับคุณสุข...” ผมเองก็เหมือนกัน...







          ความสงสัยเรื่องของยิ้มกระจ่างแจ้งภายในวันนี้

          ที่แท้เขาก็ไม่ได้ตายอย่างที่ผมคิดไว้ ก่อนออกมา คุณมยุรีก็กำชับผมแน่นหนาว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร

          ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเวลาสมควรนั้นมันคือเวลาไหนของคุณมยุรี แต่ผมว่าก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาต่อไป...แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากรู้อยู่ดีอ่ะ ขอเสือกอยู่ห่างๆ ก็แล้วกัน

          ผมนั่งรถกับยายมาถึงบ้านแล้ว ไม่ลืมขอบคุณน้าจอนที่อาสาไปส่ง คนแถวนี้โคตรใจดีกับบ้านผม ยามลำบาก พวกเขาก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ

          ตอนนี้ผมเดินประคองยายเข้าบ้านมาอย่างเนิบนาบ เพราะอาการปวดขาของคนแก่กำเริบอีกแล้ว

          กลิ่นหอมฉุยๆ ของต้มยำกุ้งลอยเข้ามาตบจมูกผมสุดแรง กลิ่นกับข้าวที่แม่ทำ ได้กลิ่นแล้วก็น้ำตาจะไหลให้ได้เลย วันนี้แหละ วันที่ผมจะได้กิน ได้หวนคิดถึงวันเก่าๆ วันที่ผม แม่ และยายเคยอยู่ด้วยกัน

          ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ก็รู้สึกคิดถึงขึ้นมาจับใจ

          “เป็นไง อร่อยไหมวิน” แม่ยังคงคำถามเดิมอย่างที่เคยถามผมมาตลอดหลายปี

          คำตอบเดียวตลอดหลายปีของผมก็คือ “อร่อยโคตรๆ !”

          เป็นการจบคืนวันแรกที่กลับมาอยู่บ้าน...







          หนึ่งเดือนต่อมา...

          เงินในบัญชี...ผมคิดว่ามันไม่ควรที่จะค่อยๆ ลดลงแบบนี้นะ มันต้องขยับเสียบ้างสิ!

          ผมนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านหลังหลัก ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากจะช่วยประคองพายายไปนั่นไปนี่ นวดให้ยาย ไปส่งยายตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ช่วยแม่ทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน ดูแลผักในสวน ไปช่วยคนแถวบ้านทำนั่นทำนี่

          ก็คงต้องถึงเวลาผมกลับบ้านเช่าแล้ว...

          ผมกลับมาก็คงต้องหางานทำที่ใหม่ งานอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ออกไปตอนกลางคืน เช่นงานมินิมาร์ทหรืองานร้านสะดวกซื้อต่างๆ ผมจำเป็นต้องงดการไปทำงานช่วงหลังทุ่มเป็นต้นไป เพราะไม่อยากให้ประวัติเรื่องเดิมมันซ้ำรอย ผมไม่อยากคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว

          ...ผมกลัว

          โอเค...ตอนนี้ต้องจัดแจงของที่แม่ผมถล่มซื้อมาให้อีกแล้ว...ทั้งสบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ไม้แปรงฟัน กรรไกรตัดเล็บ และอย่างอื่นอีกบลาๆ อยากจะบอกว่าผมใช้ไม่หมดอ่ะ...ของเก่าที่แม่เคยตุนไว้ให้ กระผมก็ยังใช้ไม่หมดเลยยยยย...ไม่ใช่หาว่าผมใช้ไม่หมดเพราะไม่ทำความสะอาดนะ ผมใช้นะ ผมใช้เยอะด้วย...แต่มันเยอะเวอร์ๆ อ่ะ

          พอขึ้นมาชั้นบนบ้านก็รู้ว่าห้องนอนตัวเองแม่งมีแต่ฝุ่น และฝุ่นแม่งแบบ เหยียบพื้นไปทีตีนดำอย่างกับเหยียบขี้ถ่านไหม้ก้นหม้อไอ้เห้!

          ว่าแล้วก็หยิบไม้กวาดขี้เรื้อนขึ้นมากวาดๆ ซุกไซร้ไปทั่ว เศษผมเศษหมอ(ย)...เศษเล็บต่างๆ ถูกโกยมากองรวมกันจากทุกซอกทุกมุม ทำการกวาดลากมันเข้าไปในที่ตักผงที่ตั้งรับไว้

          ไม่ลืมที่ผมจะกวาดใต้เตียงตัวเอง พอกวาดไปก็รู้สึกเหมือนเป็นของอะไรใหญ่ๆ นี่กูแดกขนมละมันปลิวไปใต้เตียงเหรอวะ ยอมรับเลยว่าใต้เตียงเป็นจุดที่ผมไม่ได้คิดเลยว่าจะล้วงไม้กวาดเข้าไปกวาด เพราะผมคิดว่า ไม่กวาดก็ไม่เป็นไร กูไม่ได้เดินเข้าไปเหยียบใต้นั่นอยู่แล้ว

          ควานลากไม้กวาดอยู่สักพักหนึ่งก็ได้ที่ กดไม้กวาดแล้วลากมันออกมาให้หมด ก็เห็นเป็นซองขนมหลายซองเลยทีเดียว...เหี้ยละ ฮ่าๆๆๆ บ้าบอ

          เอ้ะ!...ซองไรวะ

          ที่ผมเห็นตอนนี้ก็คือ ซองสีน้ำตาลรูปร่างแปลกๆ ปนแทรกอยู่ท่ามกลางซองขนมเปล่า ผมยืนมองอยู่นานก็ยื่นมือไปหยิบขึ้นมาดู

          ด้านในเหมือนมีของอะไรไม่รู้ พอเขย่าดูมันก็ดังแคร่กๆ

          ผมเลยตัดสินใจเปิดซองนี้ดูของด้านในทันที

          ด้านในมีถุงพลาสติกซ้อนอยู่อีกชั้น ผมดึงมันออกมาก็เห็นว่ามันเป็นรูปอยู่หลายใบเลยทีเดียว

          ไม่รอช้าผมก็หยิบรูปในซองออกมาดู

          พอดูแล้วก็ทำให้หัวใจผมรู้สึกวูบไหวอย่างประหลาด...ในภาพเหล่านั้น มีผมอยู่เกือบทุกใบเลย แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือ ภาพพวกนี้มีเหมือนควันขาวๆ เกือบทุกรูป...

          นี่กูไปถ่ายตอนไหนวะ...ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลย...

          ผมจ้องรูปพวกนี้อยู่นานก็คิดไม่ออกสักนิด จู่ๆ สายตาของผมก็มืดดับออกไปจากรูปภาพ มีภาพบางอย่างปรากฏออกมาเป็นฉากๆ เห็นเป็นคนคนหนึ่งยืนถ่ายรูปให้ผม ย้ายไปย้ายมา มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนกอดคอผมถ่ายรูป...หัวใจผมเริ่มเต้นตึกตัก ภาพความทรงจำทุกอย่างมันกลับย้อนกลับมาในสมองผม...ทำให้ผมรู้ว่า วันนั้น...ผมไปที่ไหน

          ไอ้ยิ้มกับผม...ไปที่สะพาน

          ทำไมผมจำไม่ได้...ผมย้อนกลับมาดูรูปภาพพวกนี้อีกครั้ง ก็เห็นว่ารูปภาพนี้มันมีควันสีขาวเป็นกลุ่มก้อน เห็นได้ว่าข้างๆ ของผมมีผู้ชายคนนั้นกอดคออยู่ ทุกรูปมีควันขาวๆ แทรกอยู่ข้างๆ ผม ทำให้ผมเห็นว่า ที่ถ่ายนั่น เขาคือวิญญาณ แต่ที่ตากล้องคนนั้นเห็นคือร่างของผู้ชายอีกคน!

          แล้วหลังจากนั้น ผมก็กำลังเดาถึงสาเหตุว่าวันนั้นเขามาจากไหน...ไอ้ยิ้มมาจากสะพานอีกฟากหนึ่ง

          พอรู้แบบนั้นเขาก็แตะหน้าผากผมจนสลบไป ตื่นมาอีกวัน ผมก็ลืมเรื่องทุกอย่างที่สะพาน!

          ใช่แล้ว...

          ผมรู้แล้วว่าจะทำอะไรต่อไป!

          ผมไม่รอช้า รีบเก็บกวาดข้าวของให้เรียบร้อยแล้วคว้าจักรยาน ปั่นมุ่งตรงไปยังสะพานแห่งนั้นด้วยความเร่งรีบ

          ผมยังสัมผัสได้อีกอย่างหนึ่งจนกระทั่งมากระจ่างแจ้งตอนนี้ ก็คือ การที่เขาถูกรถชน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...ก่อนที่เขาจะมาที่บ้านของผม เขาไปที่ไหนอีกฟากของสะพาน ถ้าผมไปถึงที่นั่นได้ คำตอบมากมายและปัญหาเกี่ยวกับเขา จะได้รับการแก้ไข

          ไอ้ยิ้ม...ถึงแม้กูจะเกลียดมึงก็ตาม ด้วยความที่ต่อมเสือกของกูปะทุขึ้นเมื่อไหร่ กูก็ไม่อาจปล่อยไว้ได้นานหรอก

          กลิ่นตุๆ ของอุบัติเหตุรถชน...มันต้องมีอะไรสิ สัมผัสของผมมันไม่เคยพลาด!



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ตามล่าความจริง [3]


          ผมจอดจักรยานไว้แถวนั้นแล้ววิ่งตัวปลิวมาอยู่ปากทางเข้าสะพาน

          ถามว่าจะวิ่งไปฝั่งนั้นเลยไหมก็ต้องบอกว่ายัง...

          ที่หยุดเพราะไม่ใช่คิดอะไรไม่ออก แต่ผมกลับสัมผัสได้กลิ่นยาอับๆ นั่น เหมือนกับไอ้ยิ้มอยู่แถวนี้ แต่ลองดมดีๆ น่าจะไม่ใช่กลิ่นของตัวตนเขาหรอก อาจจะเป็นกลิ่นของเขาที่หลงเหลืออยู่ อะไรต่างๆ นานาชัดเจนแจ่มแจ้งบ่งบอกว่าเขามาจากอีกฟากหนึ่ง

          ผมก้าวเท้าเดินออกไปยังสะพานที่เงียบสงบ

          ตอนนี้สะพานสายยาวโล่งแจ้งไม่มีคน เพราะยังเป็นช่วงกลางวัน

          เสียงลมหวีดหวิวบนสะพานทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเดียวดายและอ้างว้าง ผิดจากบรรยากาศตอนกลางคืนอย่างที่เคยมาตอนนั้นกับเขา

          ภาพของวันนั้นซ้อนทับขึ้นมา ภาพของไอ้คนตัวสูงที่ลากผมไปยังสะพานเพื่อหาจุดถ่ายรูป ภาพของคนคนนั้นที่กำลังกอดคอผมแล้วยิ้มกว้าง ทำให้ภายในใจผมกลับหวนคิดถึงเขา และวันนั้นก็เป็นวันที่ผมอยากจดจำไปตลอด...เขาบอกชอบผมด้วย ถ้าเขาเป็นคนมันก็คงจะดี อยู่ดีๆ ก็จะร้องไห้ออกมา

          แต่ไม่หรอก...หลังจากที่ตามหาสาเหตุของเรื่องแปลกๆ นี่เสร็จ...ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปยุ่งกับมันอีก ผมเป็นคนที่ไม่ชอบใครหรือเกลียดอะไรแล้วฝังใจ ขอแค่อย่างเดียวและกันไว้ทุกทาง ขออย่าให้เจอเรื่องแบบนี้อีก เพราะการเล่นกับความรู้สึก มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากสำหรับผม

          ตอนนี้ผมเดินมาที่ขอบสะพาน แล้วไล้มือไปตามขอบเพื่อสัมผัสหาเหตุการณ์เมื่อวันนั้น กลิ่นจางๆ ของความรู้สึกโศกเศร้า ลอยอบอวลไปทั่วจนผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน

          ไอ้ยิ้มมาที่สะพานแห่งนี้ก่อนที่จะไปบ้านผม...ผมเห็นเขาร้องไห้อยู่เล็กน้อยแล้วบ่นพึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวในลักษณะที่เมาเละ ได้แต่เดินโซเซไปตามทางเรื่อยๆ...ให้เดาว่าหลังจากนี้ก็คงเดินมั่วๆ ไปบ้านผม...ไม่สิ บ้านที่ผมเช่าอยู่ตอนนี้น่ะ เป็นบ้านเก่าของเขาต่างหาก พอทั้งสองย้ายออกไป ก็เหลือที่ไว้ให้ผมเช่าต่อยังไงล่ะ

          ผมปะติดปะต่อกับภาพที่ผมเห็นตอนแตะโทรทัศน์เมื่อเดือนที่แล้วได้ เด็กผู้ชายคนนั้นที่แม่เอาของว่างมาวางให้หน้าโทรทัศน์ที่ผมเห็น เขาไม่ใช่ใครที่ไหน...เขาคือยิ้มหรือมายนั่นเอง และที่มันร้องไห้ออกมาตอนที่ฟังผมเล่า ก็คงเป็นเพราะสิ่งที่ผมพูดจากที่เห็นภาพเหล่านั้น...เขาจำมันได้ทุกอย่างอยู่แล้วตั้งแต่แรก

          อ๋อ...แบบนี้เองเหรอ

          เออ กูก็บ้าเนาะ คิดเองเออเองเป็นด้วย

          แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมรีบผละออกจากขอบสะพานแล้ววิ่งตรงไปยังอีกฝั่งไม่ไกล

          ย่านxxx ที่ผมยังไม่เคยไปเหยียบสักครั้ง

          พอวิ่งมาถึงก็เป็นถนนใหญ่ มองไปรอบๆ ก็แทบไม่อยากจะมาแถวนี้เลย เพราะแม่ง...หันไปทางซ้ายก็มีแต่ร้านเหล้าร้านเบียร์ หันไปทางขวาก็ผับรถบั๊ม หันกลับมาด้านหน้าก็เป็นร้านหมูกระทะคาราโอเกะ แวดล้อมไปด้วยแหล่งอโคจรสัสๆ ไม่อยากจะคิดถึงสภาพตอนมืดๆ เลย ว่าจะมีพวกสายเมาเข้ามาเที่ยวกันแน่นหนา แหกปากโวยวายกันให้ลั่นทั้งแถบ

          ไม่ผิดหรอกที่ไอ้ยิ้มมันจะมาเมาอยู่ฟากนี้แล้วข้ามไปยังฟากบ้านของผม...

          แล้วตัวผมก็ต้องมายืนง่าวมองซ้ายมองขวาไปเรื่อยๆ แบบนี้ เพราะไม่รู้เลยจริงๆ ว่าร้านไหนที่มันเคยไป...

          ผมว่าผมมาผิดที่แล้วล่ะ...การที่ผมจะรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเขา...ผมต้องไม่มาแถวนี้ ผมควรจะไปที่โรงพยาบาล ไปหาเขา แล้วไปสัมผัสตัวเขาต่างหากสิถึงจะถูก...ทำไมผมไม่เลือกทำตั้งแต่แรกวะ!

          เสียเวลาฉิบหายไอ้วินเอ้ยยยย!







          ณ โรงพยาบาลxxx

          ผมจ่ายค่าแท็กซี่แล้วรีบลงจากตัวรถที่มาจอด ณ ตึกรวม

          พอมองไปรอบๆ ก็งงแดกเพราะโรงพยาบาลนี้ที่มากับยายคราวที่แล้ว ผมไม่คุ้นทางเลยสักนิด...ทำไงดี

          เออ เนาะ...เขาก็มีป้ายบอกนี่หว่า

          กูนิง่าวอีกละ!

          ผมเดินตามป้ายมาทางซ้าย แล้วก็เลี้ยวขวาเดินลัดเข้าตึกรวมเด็ก ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นป้ายบอกทางว่าตึกผู้ป่วยพิเศษอยู่อีกไม่ไกล แค่เดินผ่านเซเว่นไปแล้วต่อด้วยผ่านสวนหย่อมก็น่าจะเจอแล้ว

          กลิ่นของโรงพยาบาลแม่งเหม็นยาอีกตามเคย

          ระหว่างทาง กลิ่นบางอย่างล่องลอยเข้ามาเข้าจมูกให้ผมได้กลิ่น มันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาได้กลิ่นแปลกๆ ที่คนอื่นจะไม่ได้กลิ่น

          ผมรู้ตัวทันทีแล้วเหลียวหลังมองผู้หญิงใส่หมวกแก็บที่กำลังเดินสวนผมไปแบบรีบๆ ...กลิ่นนี้มาจากตัวเธอ...กลิ่นเหม็นสาบแบบแปลกๆ ในแบบที่ผมไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ได้แต่ยืนมองอยู่แบบนั้นจนเธอลับตาหายไปที่ทางเลี้ยวหัวมุมของตึก

          ช่างแม่งแหละ...ไม่ใช่เวลามาคิดนะเว้ย!

          ช่วงนี้ผมต้องยอมรับเลยว่าสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จะโฟกัสอะไรทีกว่าจะได้สติ ก็เปิดก๊อกน้ำไว้เหมือนเตรียมสระเลี้ยงปลาวาฬอะไรทำนองนี้







ห้อง 4328
ผู้ป่วย: นายกุลวัฒน์ รัตน์ชัยธรรม์

          ผมสาวเท้าจนขึ้นมาถึงห้องของเขา

          ผมบิดกลอนประตูเข้าไปอย่างไม่รีรออะไรทั้งนั้น ก็พบว่าในห้องเงียบกริบอย่างเคย

          คราวนี้มีแค่คนไข้บนเตียงเท่านั้นที่อยู่ในห้อง สงสัยวันนี้คุณมยุรีคงยังไม่ได้เข้ามาหาเขา

          ผมก้าวเดินเข้าไปเงียบๆ เหมือนว่ากลัวเขาจะตื่นขึ้นมา...แต่ไม่หรอก เขายังคงนอนเป็นเจ้าชายนิทราอีกตามเดิม...อีกใจหนึ่งก็พยายามทำจมูกฟุดฟิดตามหากลิ่นยาอับๆ ของเขา แต่ก็ไม่พบว่าเขาอยู่แถวนี้...สงสัยคงเป็นเพราะที่ผมพูดไล่เขาวันนั้น เขาก็เลยไม่มาเจอผมอีกตามที่ผมพูด

          แต่มันก็ดีแล้วล่ะ ต่างคนต่างอยู่กันแบบนี้ดีที่สุด แค่ผมตามเบาะแสเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสุดท้ายก็พอ (ผมอยากรู้เองนั่นแหละ)

          คราวนี้ผมได้มองหน้าเขาชัดๆ อีกครั้ง...คนตัวสูงอยู่ในสภาพของคนนอนนิ่ง ดูผอมแห้ง ไม่เหมือนกับตอนที่ผมอยู่กับเขาตอนเป็นผี...หนวดเคราที่ไม่ได้โกนมาตลอดเกือบสองเดือนขึ้นมาเยอะจนเหมือนกับพวกเถื่อนๆ...เขายังคงนอนหลับตานิ่งสงบ ลมหายใจพ่นพรูออกมาอย่างช้าๆ และแผ่วเบา แต่ยังไม่รู้สึกตัว เพราะวิญญาณไม่เข้าร่าง...

          ผมยังแปลกใจอีกว่า วิญญาณจะมีวิธีกลับเข้าร่างของเขายังไง

          ถึงแม้จะรู้สึกจุกขึ้นมาในใจด้วยความรู้สึกตอนนึกถึงเรื่องแต่ก่อน จนทำให้ผมน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย แต่ความรู้สึกที่ผมต้องบอกตัวเองว่าต้องหยุด มันก็ทำให้ผมหยุดตัวเองได้

          ผมรีบเรียกสติตัวเอง แล้ววางมืออันสั่นเทาลงไปยังมือขาวที่มีแต่สายอะไรก็ไม่รู้ห้อยระโยงระยาง

          ผมหลับตานิ่งแล้วตั้งสติถึงเหตุการณ์ของเขาเมื่อวันนั้น เหตุการณ์ก่อนที่เขาจะโดนรถชน...บรรยากาศในห้องเริ่มรู้สึกเปลี่ยนไป จนเริ่มได้กลิ่นยาอับๆ ที่ผมดมหาเมื่อไม่นานมานี้อย่างชัดเจน...

          เขาอยู่ที่นี่ ในห้องนี้กับผม...

          อะไรบางอย่างวูบไหวร่างกายจนผมรู้สึกได้ เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดตัวผมให้ลอยขึ้นแล้วผลุบหายไปจนผมต้องสะดุ้งโหยงแล้วรีบลืมตาขึ้นมา จึงเห็นว่ารอบข้างมันไม่ใช่ที่โรงพยาบาล!

          ...แต่กลับเป็นละแวกซอยแถวบ้านของผมในช่วงตอนกลางคืนที่เงียบสงัด

          เสียงจิ้งหรีดดังกรีดๆ ราวกับว่าผมยืนอยู่ที่นี่จริงๆ...แล้วหูก็พลันไปได้ยินเสียงโวยวายของใครคนหนึ่งคุ้นๆ จากทางด้านหลังไม่ไกล

          ผมยืนมองพวกเขาอยู่ภายใต้แสงไฟข้างทาง ก็เห็นเป็นผู้ชายสองคนยืนคุยกันอยู่หน้าบ้าน

          คนหนึ่งจอดจักรยานไว้ใกล้ๆ...ส่วนอีกคนยืนถือขวดเหล้าแล้วโงนเงนไปมาเหมือนกับคนเมา

          นั่นหน้าบ้านของผมนี่...

          แล้วผมก็เริ่มประหลาดใจอีกครั้ง...สองคนนั้นเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้คนที่จอดจักรยานนั่นก็คือผม และคนที่ยืนถือขวดเหล้ายืนโงนเงนนั่นก็คือไอ้ยิ้มนั่นเอง!

          เหมือนกับว่าตอนนี้ก็คือวันนั้นที่ผมเจอกับไอ้ยิ้มครั้งแรก...เหตุการณ์ช่วงนี้กำลังจะบอกว่าหลังจากที่ผมไล่เขาเสร็จแล้ว เขาจะไปที่ไหนต่อ เป็นเรื่องที่ผมสงสัยมากเหมือนกันเพราะอีกวันเขาก็มาที่บ้านผมอีก

          นี่คือเบาะแสสำคัญ!

          “คุณเมาแล้วครับ เชิญคุณไปที่อื่นได้แล้ว ผมจะเข้าบ้าน”

          “ผมปวดเยี่ยว ขอเข้าไปเยี่ยวหน่อย”

          “ไปเยี่ยวที่อื่นครับ ข้างทางก็มี!”

          “จะเยี่ยวในห้องน้ำ!” เขาพูดจบ ผมก็เห็นตัวเองเดินมาผลักเขาที่จะเข้ามาให้เซถอยไป จากนั้นก็รีบเดินไปคว้าจักรยานเข้าบ้านไขกุญแจไปอย่างเร่งรีบ

          พอหันหลังมาก็เห็นว่าเขายืนเกาะลูกกรงอยู่ ซึ่งในตอนนั้นผมคิดในใจว่าเขาเหมือนกับลิงรอกินกล้วยในสวนสัตว์เลย

          “คุณ! ทำไมทำกับผมแบบนี้...ไม่หล่อแล้วยังไม่มีน้ำใจอีก...”

          “เออ! หน้าตาน่าเกลียดไง ไม่มีใครคบเนี่ย! ไปเลยไป ไม่ต้องมาอยู่หน้าบ้านผม รีบไปเลย!!!” พอดูแบบนี้แล้วไอ้ยิ้มโคตรน่าสงสาร ไอ้ผมก็ร้ายไม่เบาเลยนะนั่น...แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมควรจะมาโฟกัสไอ้ยิ้มหลังจากนี้มากกว่า

          ไอ้ยิ้มยืนโงนเงนอยู่สักพักก็เดินตรงมาทางนี้ที่ผมยืนอยู่

          มันไม่เห็นผมหรอก เพราะว่าผมไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเหตุการณ์วันนั้น ได้แต่ยืนมองไอ้ยิ้มที่เมาแอ้ะเมาแอ๋ เดินแกว่งขวดเหล้าไปมาโซเซ...ดูแล้วขำว่ะ ฮ่าๆๆๆ

          แล้วมันก็เดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมก็เลยเดินเข้าไปแล้วมองหน้ามันใกล้ๆ อย่างหยอกล้อ...แต่จู่ๆ มันก็หยุดเบรกจนผมตกใจ

          อะไร...ไอ้บ้านี่ทำท่าอย่างกับเห็นกูงั้นอ่ะ!

          มันยังคงยืนนิ่งมองมายังผม แล้วยกมือขยี้ตาถี่ๆ อย่างกับมองเห็นสิ่งข้างหน้าไม่ชัด แล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันมองแยงไปมา...หลังจากนั้นยื่นมือเข้ามาหาผมข้างหน้าจนผมเริ่มแปลกๆ แล้ว!

          ผมถอยห่างออกจากมือของมันที่ยื่นเข้ามา...ในใจพลันก็เริ่มคิดว่า ไอ้ยิ้มเห็นกูด้วยเหรอวะ!

          “ทำไมคุณนอกใจผม...” เสียงคนเมาพูดออกมาทำให้ผมยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่

          ไอ้ยิ้มเห็นผมจริงๆ!

          “เชี่ย...” ผมพึมพำเบาๆ แล้วไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี

          “คุณนอกใจผมทำไม...ผมรักคุณมากเลยนะ!” เขาจะเข้ามาคว้าตัวผมแล้วผมก็หลีกให้

          คำพูดของไอ้ยิ้มรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรที่แปลก อะไรคือการที่เขาบอกว่ามีคนนอกใจเขาอย่างนั้นเหรอ...เขามีแฟนอยู่คนเดียวก็คือชมพู่ไงเล่า!

          “ไม่ใช่นะ! ชมพู่ต่างหากล่ะแฟนคุณ...คุณจำคนผิดแล้ว เอ่อ...” ผมเริ่มไปต่อไม่ไหว แล้วผมชี้มือไปยังบ้านตัวเอง “โน่น! คนนั้นจะเปิดประตูให้แล้ว รีบไปสิ เร็ว!”

          เขาเหลียวตามมือผมแต่เหมือนว่าเขาจะไม่ได้เชื่อผมสักนิดเดียว

          “เห้ยยยย...ชมพู่เหรอ...เอิ้กกกกก” จู่ๆ แม่งนี่ก็เรอออกมาเสียงดังใส่หน้าผม...เหี้ยยยย...กูเหม็นเหล้า!

          “อี๋...ไอ้สัสเอ๊ย เหม็นฉิบหาย!”

          ผมเริ่มไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ภายในใจจู่ๆ ก็คิดได้ขึ้นมาว่าตอนนี้ไม่ควรจะทำอะไรให้ความเป็นจริงมันบิดเบือน ผมต้องรู้ให้ได้ว่าหลังจากนี้เขาจะไปที่ไหนต่อ...

          “ชมพู่!...คุณทำแบบนี้กับผมได้ยังไงห้ะ!!!” ไอ้เชี่ยยิ้มเริ่มโวยวาย ดูท่าทางแล้วคงจะไม่มีสติ

          เขาเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น แล้วปล่อยขวดเหล้าในมือให้ตกลงพื้น พลางเดินเข้ามาด้วยท่าทีอุกอาจ หลังจากนั้นเขาก็บ่นออกมาฟังไม่ได้ความ ได้ยินแต่คำว่าชมพู่ๆๆ อยู่ซ้ำๆ แล้วอ้าแขนเข้ารัดตัวผมให้อยู่ในอ้อมกอดหนักแน่น

          “ไอ้ยิ้ม! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!” ผมดีดดิ้นอย่างสุดความพยายาม

          “ไม่! คุณอย่าทิ้งผมไปนะ...ไม่มีคุณ ผมจะอยู่ยังไง ผมรักคุณนะชมพู่ อย่าไป อย่าทิ้งผมไป!” คนตัวสูงไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย และเริ่มงอแงขึ้นมาหนักกว่าเดิม

          เขาสองคนรักกันดีไม่ใช่เหรอ! แล้วทำไมมันต้องร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนอกหักแบบนี้วะ!

          ผมสะบัดตัวอยู่แบบนั้นแต่คนเมาตรงนี้แม่งจะไม่ยอมปล่อยผมให้ได้เลย

          “ปล่อยยยย! ไอ้ยิ้มไอ้เชี่ย! กูไม่ใช่ชมพู่ กูคือกวินท์! ปล่อยกู!!!”

          ทันใดนั้นก็ปรากฏแสงไฟรถสว่างวาบจากด้านหลังของผม

          ไอ้ยิ้มยังคงแข็งขืนทั้งๆ ที่ผมดีดดิ้นไปแล้วสุดแรงแต่ก็ไม่ได้ผล

          เขาลากตัวผมที่เริ่มอ่อนแรงออกไปยังนอกถนน มันไม่มองเลยว่ารถกำลังจะพุ่งมาทางนี้ เสียงเหยียบคันเร่งรถสุดตีนแรงขึ้นทำให้ผมเริ่มใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะเหตุการณ์ต่อไปนี้ ถ้าเขายังไม่พาผมเดินเข้าข้างถนน เราสองคนรถชนแน่ๆ!

          ผมเริ่มรู้แล้วว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้!

          “ปล่อยกูก่อน รถมา! ไอ้ยิ้มรถมา!!!” ผมตะโกนออกไปเสียงดังเผื่อเขาจะได้สติ แต่ก็ไม่ได้ผลอีกตามเดิม มือของมันยังคงเหนียวแน่นกอดผมเอาไว้แล้วพูดแต่ว่า อย่าทิ้งผมไป!

          ไอ้ยิ้มกำลังจะโดนรถชน!!!

          “ไอ้ยิ้มมม! ตามมาเดี๋ยวนี้!!!” ผมออกแรงก้าวขาเดินถอยกลับ แต่เขาก็ยังแข็งขืนแล้วกอดผมไว้แน่น ผมรวมแรงขาทั้งหมดเดินหน้าเข้าไปยังข้างถนนเพื่อให้พ้นจากรถ เขาเริ่มขยับตัวตามมา เห็นทีว่าจะได้ผล ผมจึงตัดสินใจเหวี่ยงตัวเขาให้เข้าข้างทางสุดแรง แล้วผมก็พ้นรถที่พุ่งมาได้แล้ว!!!

          ไฟรถส่องจ้าพุ่งผ่านผมกับไอ้ยิ้มไปอย่างเฉียดฉิว

          ผมได้สติก็รีบผลักไอ้ยิ้มให้ออกไปจากตัวผมจนเซออกไปด้านนอกทันที

          “ชมพู่!!!”

          ไอ้ยิ้มเดินเซออกไปกลางถนนหลังจากที่ผมดันเขาออกไป แต่รถคันนั้น! กลับถอยหลังเข้ามาชนตัวเขาอย่างจังต่อหน้าต่อตา!!! 

          “ไม่นะ! ไอ้ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!”

          โครมมมมมม!!!
 
          บรื๊นนนนนนนนน.........................

          เสียงโครมดังสนั่นแทรกซ้อนเข้ากับเสียงรถที่วิ่งตัวออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว...

          มะ...เมื่อกี้...รถนั่น...ถอยหลังมาชนเขา...

          “ไม่...ไม่ ไอ้ยิ้ม...” ผมเริ่มสั่นไปทั้งตัว..น้ำตารื้นขึ้นมาเพราะภาพตรงหน้าทำให้ผมแทบขาดใจตาย

          ไอ้ยิ้มนอนกองอยู่กับพื้นหลังจากที่ถูกชน...

          ทุกอย่างเป็นแบบนี้เองเหรอวะ...

          ผมเองเหรอที่เป็นคนผลักเขาให้รถชน...วันนั้นเหรอ...วันนั้นผมอยู่ที่นี่กับเขาหลังจากนั้นเหรอ...วันนั้นผมมาที่นี่เพื่อให้เขาถูกรถชนเหรอ!!!

          ผมยืนน้ำตาไหลด้วยหัวใจที่เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เริ่มสะอึกสะอื้นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด ขาเข่าสั่นคลอนแทบยืนไม่ไหวอีกต่อไปจนต้องล้มนั่งลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง...เหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่า ไอ้ยิ้ม...ได้เสียชีวิตลงในคืนแรกที่ผมเจอเขา

          และผม ทำให้เขาต้องมานอนเป็นเจ้าชายนิทราแบบนี้...

          ผมผิดเอง...ผมแทบจะฆ่าเขาแล้ว!!!

          มองผ่านม่านน้ำตาก็เห็นกับใครคนนั้นในรูปแบบของวิญญาณ เขายืนมองมาทางผมที่ร้องไห้อย่างหนักหน่วง

          ใบหน้าของเขามีแต่ความโศกเศร้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

          รอบข้างได้เลือนรางหายไป ก็เห็นว่าค่อยๆ กลายเป็นห้องพักคนป่วยของเขาในโรงพยาบาล...

          ด้านหน้าของผม ก็เห็นเป็นไอ้ยิ้มยืนร้องไห้น้ำตาอาบแก้มอยู่เหมือนเมื่อกี้นี้

          เขาสินะที่เป็นคนดึงผมไปเมื่อเหตุการณ์คืนนั้น...เขาอีกแล้ว ที่เป็นคนช่วยผมให้เห็นในสิ่งที่อยากรู้ สุดท้ายผมก็รู้ต้นตอสาเหตุว่าจริงๆ แล้ว การที่ถูกรถชนมันไม่ใช่เพราะใคร...

          แต่มันเป็นผมเองตั้งแต่แรก!

          ในคืนนั้นวันแรกที่เราเจอกัน...เขายังไม่ตาย

          ผมจากอนาคต...ได้ย้อนกลับไปยังอดีต...เมื่อวันนั้น...ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่า ถ้าผมไม่ไปเจอเขา ถ้าผมไม่ตามหาเขาวันนี้ เขาในอดีต ก็คงจะไม่ได้มานอนในโรงพยาบาลแบบนี้!!!

          นี่มันคือเรื่องบ้าที่สุด!!!
 
          ผมยังคงสะอึกสะอื้น เงยหน้ามองไปยังบุคคลตรงหน้า “ยิ้ม...”

          “อ ย่ า ร้ อ ง ไ ห้ สิ ค รั บ” เขาปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป ทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้แต่ก็ยั้งตัวเอง

          “ผมขอโทษ...ผมรู้ว่าคุณก็เสียใจเหมือนกัน...ถ้าวันนั้น...ผมกอดคุณเอาไว้แน่นๆ...คุณก็คงไม่โดนรถชน แล้วกลายมาเป็นสภาพนี้...คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมเป็นคนทำให้คุณต้องมานอนนิ่งอยู่บนเตียงแบบนี้!”

          “ไ ม่...คุ ณ ไ ม่ ผิ ด อ ะ ไ ร ทั้ ง นั้ น”

          “...”

          “ผ ม ไ ม่ ฟั ง คุ ณ เ อ ง...คุ ณ ห้ า ม ผ ม แ ล้ ว...”

          ถึงแม้ผมจะรู้สึกผิดมากแค่ไหนก็ตาม...แต่เหตุการณ์เมื่อวันนั้น ทำให้ผมเริ่มคิดได้อีกทีว่ามันต้องไม่ธรรมดาอีกแล้ว...การที่รถชน มันก็แค่ขับผ่านไปไม่ใช่เหรอ...แต่กลับกลายเป็นว่ารถคนนั้น...ถอยหลังเข้ามาชนเขาเพราะพลาดการชนครั้งแรก!

          “คุณทำให้ผมลืมเรื่องของคุณไม่ได้หรอกนะ...ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงทำให้ผมลืมเรื่องที่สะพาน เพราะคุณไม่อยากให้ผมเสียใจแบบนี้ใช่ไหม...สุดท้ายทุกอย่างมันก็คือความจริง ผมเป็นคนผลักคุณให้โดนรถชนเอง...และเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญด้วย...”

          “...”

          “ผมว่าคนขับรถคันนั้น จงใจจะฆ่าคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะยิ้ม!”

          แต่ผมเองก็ผิดอยู่เต็มประตู...เรื่องนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้

          ผมจะไม่ยอมให้ความสามารถของผมมันสูญเปล่าเพราะตัวเองไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณหรอก

          เขาต้องได้รับความยุติธรรมคืนมา เป็นสิ่งที่ผมควรจะชดใช้ให้เขาได้! แต่ใช่ว่าผมจะพ้นความผิดนี้...

          “รอหน่อยนะ เดี๋ยวผมจะช่วยคุณเอง!”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ตามล่าความจริง [4]


          ตอนนี้ผมออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่หน้าบ้านของชมพู่...

          เพราะเหตุการณ์วันนั้นมันส่อชัดว่าเธอน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมยิ้ม...จากเหตุการณ์นั้น ไอ้ยิ้มก็พร่ำเพ้อถึงชมพู่ว่าอย่าทิ้งผมไป แสดงว่าเขาต้องมีอะไรที่ช้ำใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนที่จะมาบ้านผม

          รถที่พุ่งตัวไปแล้ว กลับถอยมาชนไอ้ยิ้มต่ออย่างคาดไม่ถึง

          ก่อนหน้านั้นที่ยิ้มไปที่ร้านเหล้า มันเกิดอะไรขึ้นและใครอยู่กับเขา

          “มาทำอะไรจ้ะหนุ่ม” จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนเรียกผมจากด้านหลัง พอหันมาก็พบกับหญิงวัยห้าสิบต้นๆ กำลังยืนมองผม ในมือถือตะกร้าจ่ายตลอดอยู่ และทำให้ผมรู้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร...

          เป็นอีป้าขี้เสือกเสื้อลายดอกที่ยืนมองผมคุยกับยิ้มหน้าบ้านเมื่อวันนั้นไง!

          “...”

          “อ๋อออ คนที่เห็นผีได้อ่ะเหรอ มาทำอะไรแถวนี้...มาจับผีเหรอ” ป้าแกเริ่มเข้ามาใกล้ “นี่หนุ่ม ดูดวงให้ป้าหน่อยสิ ช่วงนี้ป้าการงานการเงินไม่ค่อยดีเลย” สัส! กูมาธุระโว้ย อีกอย่างกูดูดวงไม่เป็น!

          “อย่ามายุ่งกับผม”

          “นี่ ใครๆ เขาก็บอกกันว่าคนเห็นผีดูดวงให้ได้ เหมือนเจนยานติ๊บกับตะหลิวจิตสัมผัสไง เนี่ย ลูกป้ามาบอกว่าหนุ่มเก่งนัก ป้าก็เลยเอาไปเล่าให้พวกในตลาดฟัง ถ้าแม่นจริงนะ ป้าจะพาเพื่อนที่ตลาดมาด้วย รวยแน่!”

          “นี่ป้าครับ ผมไม่รับดูดวงอะไรทั้งนั้น แล้วผมก็ดูไม่เป็นด้วย แล้วอีกอย่างหนึ่งการเอาเรื่องของคนอื่นไปเล่า มันเป็นสันดานเสีย ป้าเลิกเถอะครับ แล้วตั้งใจทำมาหากินดีกว่าเชื่อเรื่องพวกนี้ มันไม่ได้ทำให้ชีวิตใครดีขึ้นหรอกครับ ป้าเชื่อผม”

          “เอ้าแม่!” เสียงของชมพูดังมาจากในตัวบ้าน

          “เอ้า อีชม ไหนคุยนักคุยหนาว่าไอ้หนุ่มนั่นมันดูดวงได้”

          นี่...อย่าบอกนะว่าชมพู่เป็นลูกของอีป้าปากสว่างนี่...โคตรพีค...แถมยังเอาเรื่องของผมไปเล่าให้แม่มันฟังอีก...ฉิบหาย กูไม่รู้ไปทั้งตลาดแล้วเหรอวะ ให้เดาเลยนะ อีกไม่กี่วันต้องยกโขยงมาบ้านกูชัวร์!

          “เอ่อ...กวินท์ นี่แม่ของชมพูเองค่ะ” เออ รู้ละ “แม่เข้าบ้านก่อน วันนี้เพื่อนมาทำธุระ เดี๋ยวชมพู่ขอคุยกับเพื่อนหน่อยนะ” ชมพู่เดินออกมาดันหลังแม่ให้เข้าบ้านไป หลังจากนั้นก็มารับผมแล้วพาเข้าบ้านไปนั่งที่ห้องรับแขก

          ผมเริ่มเปิดประเด็นก่อนเลย “คุณลืมเรื่องของยิ้...เอ่อ ของมายไปแล้วเหรอ เห็นไม่ค่อยตามข่าวกับผมเลย”

          “อ๋อ...ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ค่ะ ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ เพื่อนที่มหาลัยทำมีนปีที่แล้วไว้สูงมาก ปีนี้ฉันเลยต้องฮึด...ว่าแต่เรื่องนี้ถึง ไหนแล้วคะ มาหาถึงบ้านวันนี้ต้องเดาเลยว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ” ใช่ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะมันเกี่ยวกับคุณต่างหากล่ะชมพู่...เธอกำลังปิดบังความลับบางอย่างเกี่ยวกับยิ้มเอาไว้

          “จริงครับ...ไม่ธรรมดา” ผมต้องหลอกถามชมพู่ไปตามเดิมก่อน ที่ผมรู้อย่างเดียวว่าทางบ้านเขาบอกว่าเขาหายตัวไป แต่ผมกับชมพู่กลับเรียกวิญญาณเขามาสื่อสารได้...แต่เขายังไม่ตาย “ตอนนี้เรื่องที่บ้านหลังนั้นเป็นข่าวดังเลย คุณทราบใช่ไหมครับ”

          “เอ่อ...ทราบค่ะ”

          “นั่นแหละครับ...ผมรู้แล้วว่ามายอยู่ที่ไหน” และทันใดนั้นเอง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้เธอดูตกใจอย่างมาก ทำให้ผมคาดเดาได้ว่า สิ่งที่เธอบอกว่าวันนั้นเขาไม่ได้มาหาเธอจริงๆ เป็นเรื่องโกหก

          “มายหนีออกจากบ้านมา...มาแถวที่บ้านผม...เขาไปที่ฝั่งxxx...คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมครับ”

          “...” เธอเงียบไปทันทีที่ผมพูดออกไป “จริงค่ะ...ฉันรู้ว่าวันนั้นเขาไปไหน...และคืนนั้นเขาไปที่ร้านxxx...กับฉัน แต่หลังจากนั้นฉันไม่รู้จริงๆ นะคะว่าเขาไปที่ไหนต่อ มาอีกวัน ฉันก็รู้จากคุณแม่ของเขาว่าเขาตายและจัดงานศพขึ้นเงียบๆ เหมือนที่บอกกับคุณไปตอนนั้นไงคะ...” เธอเงียบกลืนน้ำลายไปอึดใจแล้วพูดต่อ “แล้วฉันก็ไปขอร้องคุณให้สื่อสารกับวิญญาณของเขา แล้วคุณก็ทำได้...ทำให้ฉันสับสนว่าสรุปแล้ว มายหายตัวไปหรือตายไปแล้วกันแน่ ป่านนี้ฉันยังไม่ได้ติดต่อกับแม่ของเขาเลย ไม่รู้ว่าเธอโกหกฉันอยู่หรือเปล่า...หรือคุณเองที่เป็นคนโกหกเรื่องวิญญาณของเขา”

          “คุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ เพราะคุณไม่ได้รู้สึก ไม่ได้เห็นเหมือนกับผมไง...คุณถึงไม่รู้ว่าผมรู้อะไรมาอีกบ้าง”

          “อะ...อะไรคะ” เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดออกมาตามดวงหน้าของเธอจนเห็นได้ชัด...แน่นอนแล้ว เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

          “เล่าให้ผมฟังก่อน...ที่ร้านเหล้าวันนั้น ใครอยู่กับเขาและเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าสิ่งที่คุณเล่ามันตรงกับที่ผมรู้มา ผมก็คิดว่าภารกิจนี้มันก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว”

          เธอเงียบไปสักพักแล้วก็เริ่มพูดออกมา “ค่ะ...” แล้วน้ำตาเธอก็คลอเบ้า “คืนนั้น...ฉันไปที่ร้านxxxกับเขา เราสองคนเริ่มมีปากเสียงกันเพราะเริ่มเมา...มายเขางี่เง่ามากกับฉัน เพราะแถวนั้นฉันมีเพื่อนผู้ชายอีกสองสามคน แล้วก็เพื่อนผู้หญิงอีกส่วนมาก...ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องแสดงอารมณ์ที่ไม่พอใจขนาดนั้นตอนที่ฉันหัวเราะกับเพื่อนผู้ชาย ฉันรู้ค่ะว่าเขารักเขาหึง แต่ถึงกับขนาดที่ลุกท้าทายอำนาจบ้านใหญ่ว่าครอบครัวเป็นใคร รวยแค่ไหน...ก็เลยทำให้ฉันโมโหเขามาก พลั้งปากบอกเลิกเขากลางวง...หลังจากนั้นเขาก็ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ ลุกขึ้นท้าต่อยกับเพื่อนผู้ชาย ฉันเลยไล่เขาออกไปจากร้านเหล้า ให้เพื่อนผู้หญิงพาไปส่งที่สะพานแล้วปล่อยให้เข้าเดินเมาไปเองคนเดียว...พอรู้อีกทีจากปากแม่เขาว่าเขาตาย ก็เลย...ดีใจค่ะ” ผมตั้งใจฟังจนชมพูเงียบไปแล้วเช็ดน้ำตาออกจากหน้าจนแห้ง ผุดรอยยิ้มร้ายบนใบหน้าจนผมเริ่มรู้สึกว่าเธอไม่ปรกติ คำสุดท้ายที่เธอบอกว่าดีใจ ทำให้ผมใจเต้นขึ้นมาอย่างหนักหน่วง... “ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณกวินท์...” เสียงเท้าเดินดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม “ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นี้ฉันโกหกค่ะ” เสียงเดินนั่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “อันที่จริงฉันไม่ได้บอกเลิกเขาเรื่องเพื่อนผู้ชายหรอกค่ะ แต่ฉันบอกเลิกเขาเพราะฉันไม่ได้รักเขา! เพราะเขาไม่แซ่บเท่าอาร์ม...เนอะ” เธอมองไปทางด้านหลังของผม “ที่รัก กวินท์รู้ความจริงหมดแล้วอ่ะ ทำไงดีน้า...”

          ผมรีบหันกลับไปก็เจอกับอาร์มกำลังยืนถือกระบองไม้ท่อนปานกลางยืนอยู่ข้างหลังผมจนตกใจ “อาร์ม!”

          “หวัดดี ไม่เจอกันนาน” ผมถอยห่างอย่างรวดเร็ว แต่อาร์มเร็วกว่าผมหลายเท่า เขายกกระบองไม้ขึ้นแล้วรีบหวดไปที่ท้ายทอยของผมสุดแรงจนรู้หนักอึ้งและเจ็บปวดหนึบๆ ขึ้นมา

ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวหนัก...ผมเริ่มไม่มีแรง ได้แต่กุมท้ายทอยแล้วล้มลงไปนอนกับพื้น เห็นอาร์มและชมพู่เดินเข้ามามองผมภายใต้สายตาเบลอหม่น จนตอนนี้มันดับสนิท และสติผมก็ถูกตัดฉับไปทันที







          [ YIM Section II ]

          ตอนนี้ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมคิดถึงหากวินท์เป็นคนแรก และเริ่มร้อนใจขึ้นกว่าเดิมเพราะอยู่ดีๆ หัวใจของผมก็เต้นตุบๆ ขึ้นมารุนแรงบ่งบอกว่าเหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับกวินท์

          อย่าบอกว่าผีไม่มีหัวใจนะ เวลาชอบใครก็เต้นแรงได้เหมือนกันนั่นแหละ...มันเต้นแรงตอนที่อยู่กับกวินท์สองคนไง

          แต่ตอนนี้มาใช่เวลามาคิดอะไรเล่น ผมต้องไปตามหากวินท์โดยด่วน!

          เคยได้ยินมาว่า เวลาวิญญาณจะไปที่ไหน ก็จะไปด้วยการหายตัวไปหรือที่เรียกสั้นๆ ว่าวาร์ปนั่นแหละ

ใช่! ผมวาร์ปได้! เป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ผมตอนเป็นมนุษย์ไม่เคยทำ แล้วพอวิญญาณหลุดออกจากร่าง การวาร์ปวอบแวบก็เกิดขึ้น แต่เวลาจะวาร์ปไปที่ไหนก็ต้องใช้การหลับตาเพ่งจิตหาสิ่งสิ่งนั้น พอจิตนิ่ง ผมก็มายืนอยู่ ณ ที่ที่ผมต้องการจะไป ซึ่งตอนนี้ที่ที่ผมจะไปก็คือไปหากวินท์ จึงเริ่มนึกหน้าหวานๆ ของมันขึ้นมาแล้วหลับตาลง

          เสียงบางอย่างเอะอะโวยวายลอยมาเข้ามาในหูผมแว่วๆ

          เหมือนมีใครกำลังนั่งชุมกินเหล้ากันอยู่ที่โต๊ะ...มีเสียงโทรทัศน์เปิดฟุตบอลแทรกเข้ามาเบาๆ และเสียงเชียร์บอลเอะอะโวยวายดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท

          แล้วผมก็ลืมตาขึ้นมา พบว่าเหตุการณ์ตรงหน้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...ที่นี่ที่ไหน...กวินท์อยู่ที่นี่เหรอวะ!

          ผมมองไปข้างหน้าก็พบกับก๊งเหล้าผู้ชายนั่งดูบอลหน้าโทรทัศน์ในห้องรกๆ ห้องหนึ่ง ทั้งห้องมืด มีแต่แสงของหน้าจอโทรทัศน์ที่ส่องสว่าง

          ผมเดินออกไปข้างหน้าเพราะรู้ว่าไม่มีใครมองเห็นผมหรอก พอมองไปใกล้ๆ ก็พบว่าอาร์มกำลังกระดกเหล้าเข้าปากอย่างหิวกระหาย ส่วนคนอื่นๆ ก็กำลังส่งเสียงเชียร์บอลกันไปเรื่อยๆ

          “อาร์ม! ยำหมดยัง เอายำเพิ่มป้ะ” เสียงคุ้นๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาตะโกนเสียงดัง นั่นมัน...ชมพู่เหรอวะ!?

          “เอาๆ เดี๋ยว...เอาไฟแช็กมาให้กูหน่อย” เธอพยักหน้าแล้วเดินไปเอาไฟแช็กตามคำสั่งของอาร์มอย่างว่าง่าย แล้วก็เดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับยื่นไฟแช็กให้

         อาร์มจัดการหยิบซองบุหรี่แล้วดึงด้ามขาวส้มออกมาหนึ่งมวน ทำการจุดไฟไปที่ปลายด้ามสีขาวจนเกิดควันเหม็นไหม้ลอยฟุ้งในอากาศ

         อยู่ดีๆ...ผมก็รู้สึกว่าชมพู่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผมสักอย่างหนึ่ง...เหมือนเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ขาดให้ไปจากชีวิตผม...ต้องบอกตรงนี้เลยครับว่าตั้งแต่ที่วิญญาณผมหลุดออกจากร่าง ความทรงจำมากมายก่อนหน้านั้นผมลืมมันไปเยอะมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร...เรื่องอื่นผมจำได้แม่น แต่พอมาเห็นเธออยู่กับอาร์มในสถานการณ์นี้ เหมือนมีภาพเหตุการณ์บางอย่างซ้อนทับขึ้นมาจนรู้สึกว่า...ผมเคยอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

         “ชมพู่ ลองไปแอบดูดิ้ว่าไอ้ตุ๊ดนั่นมันตื่นหรือยัง”

         “เออ กูถามหน่อยเหอะ...มึงหวดแรงไปป้ะ มันถึงสลบนานแบบนั้นเป็นครึ่งวัน...หรือว่ามันตายแล้ว”

         “ถ้ามันตายคุกก็ถามหากูสิ แค่ทำแบบนี้คุกก็อยู่บนหัวกูแล้วเนี่ย”

         “อืม...แต่ถ้าปล่อยมันไปเราสองคนไม่แย่กว่าเหรอ”

         “เออ ช่างแม่ง...มันตื่นแล้วก็บอกกูก็แล้วกัน อยากหาไรสนุกๆ ทำหน่อย”

         ไอ้ตุ๊ดเหรอ...กวินท์เหรอ!!!

         ปังๆๆๆ!!!

         “เปิดประตูนะไอ้พวกเหี้ย!!!” เสียงหนึ่งดังมาจากประตูหลังห้องจนทุกคนในนี้ตกใจแล้วเริ่มลุกขึ้นยืนมองไปยังประตูบานนั้น “ปล่อยกูออกไป! เปิดประตู!!!”

         นั่น...เสียงกวินท์!!!

         “กวินท์! ผมอยู่นี่!” ผมรีบเดินเข้าไปทางประตูบ้านนั้น

         “ยิ้ม...ยิ้มเหรอ! ช่วยด้วย!”

         “จะให้ช่วยยังไง ผมจับของอะไรไม่ได้เลย!” ผมเดินทะลุกำแพงนี้เข้าไปก็พบกับร่างเล็กที่กำลังออกแรงทุบประตู แล้วมันก็หันมาเจอกับผม ทำให้หัวใจของผมเริ่มเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม เพราะคนตรงหน้ากำลังร้องไห้...

         “ยิ้ม!...” มันวิ่งโผเข้ามากอดผม ผมอ้าแขนรับ...แต่ปรากฏว่า กวินท์ทะลุผ่านตัวผมไปอย่างรวดเร็ว

         ผมหันไปมองหน้ามนที่กำลังตกใจเพราะวิ่งผ่านร่างของผมไปเมื่อกี้ แล้วกวินท์ก็หันมาแล้วทำหน้าเศร้าให้กับผม ผมรู้ว่าตอนนี้มันรู้สึกยังไง ผมเองก็อยากกอดมันมากเหมือนกัน...แต่ทำไงได้ ผมไม่ใช่คน...

         “ยิ้ม!...ผมถูกอาร์มกับชมพู่จับตัวมา ตอนนี้ผมรู้ทุกอย่างแล้วนะว่า!!!” ไม่ทันที่กวินท์จะบอกอะไรผมจบ ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว หันก็เห็นว่าอาร์มยืนนำหน้าแก๊งก๊งเหล้าของตัวเองเดินเข้ามาในห้องอย่างอุกอาจ

         “เมื่อกี้กูได้ยินมึงคุยกับใคร...” อาร์มเท้าสะเอวเดินเข้ามาอย่างหาเรื่อง มือของผมเริ่มกำแน่นจนกลายเป็นหมัดพร้อมต่อยเสมอ...แต่ก็ทำได้แค่กำหมัดนั่นแหละ ถ้าผมเป็นคนนะ ไอ้พวกนี้แม่งเรียบแน่! “กูถามก็ตอบสิ!!!”

         “ไม่ได้คุยกับใคร”

         “โกหก...” อาร์มเดินเข้ามาใกล้จนกวินท์เริ่มถอย ผมอยากจะช่วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทนดูเขากำลังโดนจู่โจมอยู่แบบนี้ “มึงโกหกกูเหรอ!” อาร์มกำหมัดมือขึ้นจะชก

         แล้วชมพู่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเรียบนิ่ง “ตอนแรกก็เห็นว่าอยู่ดีๆ ก็เงียบไป...แต่วันนี้หาเรื่องเข้าตัวซะงั้น...หึ สืบเก่งดีเหมือนกันนี่”

         “ทำได้ยังไงชมพู่!...มึงฆ่ามายได้ยังไง!!!” อะไร...ใครฆ่าผม...

         “กูเกลียดมัน! กูไม่ได้รักมัน ที่คบกับมัน ทุกอย่างคือเรื่องเงิน ได้ยินป้ะ! ทุกอย่างคือเงิน! ” ผมเริ่มเห็นภาพบางอย่างที่ขาดหายไปเกี่ยวกับชมพู่และอาร์ม... “จะเล่าเรื่องให้ฟังก่อนตายนะอีตุ๊ด...คืนนั้น กูนัดมันไปที่ร้านxxx แล้วกูก็นัดอาร์มไปด้วย...กูสองคนแกล้งว่าเป็นเพื่อนกันแล้วหลอกให้มันตายใจ หลังจากนั้นก็แค่มอมเหล้ามัน แล้วก็บอกเลิกกับมันตอนเมา แล้วมันก็โวยวาย...ผัวกูเลยลากมันออกไปที่สะพาน หึ...มึงรู้ไรไหม เวลาที่มันเมา มันชอบกลับไปบ้านเก่ามัน ก็คือบ้านเช่าหลังที่มึงอยู่นั่นแหละ...แต่พอดีคืนนั้นผัวกูใจร้อนไปหน่อย เห็นมันไปที่บ้านหลังนั้น ก็เลยขับรถอ้อมไป แล้วก็ชนมันตู้ม! ...แปลกใจดีเหมือนกันนะ ว่าทำไมมายืนรอให้รถมันชน...แล้วมันก็โดนรถถอยทับตายไง!”

         ภาพมากมายปรากฏออกมาเป็นฉากๆ ให้ผมเห็น...เรื่องราวความทรงจำทั้งหมดที่ผมมีกับชมพู่ ได้ทำให้ผมจำได้ว่า ผมเคยเป็นแฟนเก่าของเธอมาก่อน และอาร์มคือคนที่เขาหลอกว่าเป็นเพื่อนมาตลอด...

         ผมจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว...

         “พอใจหรือยังคะกวินท์...ได้รู้ทุกอย่างถึงใจจากปากผู้มีประสบการณ์จริง…ไม่ต้องตามหามันแล้วนะ ไปรอกันในนรกเถอะ...แล้วกูก็ขอฝากบอกมันด้วยนะว่า อย่าโง่ให้ใครมาหลอกอีก...” ชมพู่เดินออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบ

         ...อาร์มเดินเข้ามาบิดขี้เกียจแล้วเปิดซัดกระหน่ำลงไปที่หน้าของกวินท์...แต่ก่อนที่มันจะซัดหมัดลงไป ผมรีบพุ่งตัวเข้าไปแทรกเข้ากับร่างของกวินท์ฉับพลันแล้วผลักกวินท์ให้ออกไป...จนตอนนี้กลายเป็นว่า ผมอยู่ในร่างของกวินท์เต็มตัว

         แล้วผมก็โดนสอยหน้าเข้าไปเต็มๆ  แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมาจ้องหน้าไอ้พวกกร๊วกนี่อย่างเอาเรื่อง 

         “เอาสิ...มาสู้กับกู...ถ้ามึงแพ้...ก็เข้าโรงบาลถาวรแล้วกัน!”



FOLLOWER

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          อย่าทิ้งฉันไป [1]


          แรงผลักจากไอ้ยิ้มทำให้ผมกระเด็นมานั่งอยู่กับพื้น ก่อนจะลุกขึ้นอย่างตกใจเพราะไอ้ยิ้มแทรกเข้าไปในร่างของผมแทน!

          ทำได้ไงวะ!?

          อาร์มไม่รอช้า ส่งซิกให้พวกเพื่อนของมันเดินเข้ามาล้อมไอ้ยิ้มในร่างของผมให้อยู่ตรงกลาง เขาพลางทำมือตั้งกาดเตรียมสู้อย่างกับนักมวย

          อาร์มเป็นคนเริ่มเข้ามาต่อยที่แก้มซ้าย แต่ไอ้ยิ้มหลบทันแล้ววาดเท้าเข้าไปที่ท้องของอาร์มอย่างจังจนจุกร้าว ตามด้วยคนอื่นๆ ที่เริ่มเข้ามารุมแล้วจับแขนไว้แต่ก็ถูกเขาสะบัดออกด้วยแรงมหาศาลในแบบที่ผมที่ใช้ร่างของตัวเอง ยังไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนสักครั้ง

          ผมยืนดูด้วยอาการตื่นตระหนกเพราะไม่เคยเห็นแม่งนี่บู๊หนักมาก่อน ทั้งหมัดเท้าเข่าศอกดูหน่วยก้านดี น่าจะไปสมัครอยู่ค่ายมวย

          มองออกไปด้านหลังบานประตูที่เปิดโล่ง ชมพู่ก็วิ่งเข้ามาดูอย่างตกใจ เพราะเจ้าตัวน่าจะได้ยินเสียงร้องโอ้กอ้ากของคนเจ็บ ไม่คิดว่าคนตัวเล็กอย่างผมจะบู๊เทพห้ารุมหนึ่งได้ขนาดนี้ ก่อนจะวิ่งออกไปแล้ววิ่งกลับมาพร้อมด้วยปืนกระบอกดำเมี่ยม!

          เหี้ยแล้ว!

          “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!” ชมพู่ไกด์ปืนจนทุกคนหยุดชะงัก ไอ้ยิ้มดูท่าจะเริ่มไม่ดีเสียแล้ว ไอ้คนอื่นก็รู้งานเดินเข้ามากุมตัวไอ้ยิ้มในร่างผมให้อยู่หมัด “ไม่ต้องเล่นต่อไปแล้วอาร์ม อยากทำอะไรมันก็รีบทำเลย!”

          ผมเดินเข้ามาคุยกับไอ้ยิ้ม เพราะรู้ว่าคนอื่นมันไม่ได้ยิน “ยิ้ม! จะทำไงดี ชมพู่แม่งมีปืน!” ฟังจบมันก็พยักหน้ารู้เรื่อง สงสัยมันคงมีวิธีของมัน แต่ผมเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว ถ้าร่างของผมโดนยิงล่ะ ไม่เท่ากับว่าผมตายหรือไง!

          “กวินท์...ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้เพราะเห็นคุณเป็นคนดี...แต่เพราะความลับที่คุณรู้มา ทำให้ฉัน...ปล่อยคุณไปไม่ได้” ชมพู่เริ่มเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น เธอจ่อไปที่กลางศีรษะของผมจนผมที่เป็นวิญญาณตอนนี้เริ่มกระวนกระวายขึ้นมาภายในใจ ขออย่างเดียว ขอให้วิธีของไอ้ยิ้มทำให้ผมรอดที...

          “เดี๋ยวก่อน...” ไอ้ยิ้มพูดออกมา
 
          “อะไร...”

          “ผมเอง ชมพู่...ผมมายไง” เธอฟังแล้วก็เริ่มตกใจทันที แต่สีหน้าเธอดูเหมือนจะไม่เชื่อ

          “อย่ามาหลอกฉันหน่อยเลย...คิดจะใช้วิธีนี้เอาตัวรอดเหรอ!”

          “เราสองคนเจอกันครั้งแรกที่ห้างxxx ย่านxxx เวลาxx:xxน. ตอนนั้นคุณกำลังกังวลเพราะไม่มีเงินขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ตอนนั้นเย็นมากแล้ว ผมเห็นก็เลยเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น...แล้วผมก็ช่วยจ่ายเงินค่าแท็กซี่ให้คุณกลับบ้าน ต่อมาไม่นานเราก็เจอกันอีกที่เดิม...คราวนี้คุณมีเงิน แต่คุณแค่แกล้งมารอผมเพราะอยากเจออีกครั้ง คุณจำได้ไหม...” ยิ้มเล่าออกไปด้วยน้ำเสียงเศร้า คนตรงหน้าที่ถือปืนจ่อศีรษะเขาอย่างมั่นแม่นเริ่มลดปืนลง

          “มาย...” ชมพู่พูดออกมาเสียงเบาพร้อมกับน้ำตา

          “ชมพู่อย่าไปฟังมัน!”

          “อาร์ม!...นี่มาย นี่มายจริงๆ...เรื่องนี้เราสองคนไม่เคยบอกใคร”

          “แต่มึงคบกับกูอยู่ไงอีชมพู่!” อาร์มเริ่มตะคอกเสียงดัง “มึงจะมาใจอ่อนรำลึกถึงความหลังแบบนี้ไม่ได้นะเว่ย!!!”

          “ผมมาที่นี่เพื่อจะบอกคุณว่า...ผมขอโทษ ผมไม่มีอะไรดีเลย...ไม่มีเวลาให้คุณ ทั้งติดเหล้า ติดเพื่อน แม่ของผมก็กีดกันคุณไม่ให้มายุ่งกับผม...สำหรับผม ผมรักคุณมากนะ...แต่ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้คุณเปลี่ยนไป...คุณนอกใจผมมันถูกแล้วล่ะ...ผมสมควรได้รับมันจริงๆ”

          “มาย...ชมพู่ขอโท...” แล้วจู่ๆ อาร์มก็รีบคว้าปืนไปจากมือของเธอทันทีแล้วเปลี่ยนไปเป็นคนถือจ่อที่ศีรษะผมแทน...ตอนนี้ทำให้ผมเริ่มใจวูบวาบ เพราะว่าเขากำลังจะยิงร่างของผม แล้วผมก็จะตายน่ะสิ!

          “รักมันมากใช่ไหม...”

          “อาร์ม นี่ร่างของกวินท์...กวินท์เขาไม่ได้ผิดอะไร พวกเราผิดทุกอย่าง”

          “มึงจะมาคิดดีอะไรตอนนี้อีโง่!...เราฆ่าคนมานะเว่ย! และไอ้ตุ๊ดนี่มันรู้ความลับของเรา แล้วถ้าเราปล่อยมันไป เกิดมันไปแจ้งตำรวจไม่ติดคุกหัวโต ไม่โดนประหารกันเหรอวะ!” อาร์มเริ่มหัวร้อนแล้วจ่อไปที่หัวของผมพร้อมเหนี่ยวไกยิง “มึงตาย!!!”

          “อาร์มอย่า!!!” เหี้ย!!!

          ตู้ม!!!

          ...

          “...”

          สีหน้าของชมพู่จุกเสียดไปด้วยความเจ็บปวดที่ร้าวไปทั้งหลัง...ก่อนจะล้มลงไปนอนกับพื้น ตามด้วยเลือดที่ไหลนอง...

          สิ่งที่ผมเห็นเมื่อกี้คือเธอจับมือของอาร์มเข้าไปที่กลางอกบริเวณหัวใจของตัวเองแทน ก่อนที่ปืนจะเหนี่ยวไกลั่นเสียงดัง กระสุนแทรกผ่านตัดขั้วหัวใจทะลุออกไปอีกฝั่ง...เลือดสีแดงก่ำไหลออกมาพรวดๆ จากจุดที่โดนยิงราวกับเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้

          ผมเห็นวิญญาณของเธอผลุบออกจากร่างมาแล้วเริ่มร้องไห้อย่างทรมาน

          “ชมพู่...ไม่...ไม่!!!” อาร์มมือสั่นเทาทิ้งปืนลงพื้น ตามด้วยทิ้งเข่าลงไปนั่ง เอามือกุมขยำผมตัวเองอย่างเสียสติ...เพื่อนอีกสี่คนวิ่งพรวดพราดออกไปจากอาคารแห่งนี้ทันที แล้วอาร์มก็เริ่มตาแดงก่ำจนน้ำตาปริ่มออกมา จ้องมองมายังร่างของผมที่มีไอ้ยิ้มสิงอยู่ “มึง...มึงทำให้ชมพู่ต้องตาย...มึง!!!” อาร์มโกรธแค้นแล้วลุกขึ้นมาจับร่างของผมแล้วลากออกไปด้วยแรงมหาศาล ไอ้ยิ้มขัดขืนหนักแน่นแต่ก็ไม่อาจหลุดจากพันธนาการของอาร์มได้

          ผมได้สติรีบวิ่งตามออกไปข้างนอกอาคารแห่งนี้

          พอออกมาก็พบกับว่าเป็นชุมชนในเมืองแห่งหนึ่งที่เงียบกริบ

          เห็นอาร์มลากไอ้ยิ้มอยู่ไวๆ ผมจึงวิ่งตามไปแล้วคุยกับไอ้ยิ้ม “ยิ้ม! ทำไงดี ไหวไหมเนี่ย!”

          “ไม่ไหว...เหมือนไม่มีแรงแล้ว” เสียงไอ้ยิ้มเหนื่อยหอบและแผ่วเบาเหลือเกิน จนผมเริ่มหวั่นใจแล้วว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น

          อาร์มลากไอ้ยิ้มที่ดิ้นพล่านแต่ก็ไม่หลุดมาถึงที่รถกระบะคันข้างหน้า เป็นคันเดียวกับที่ผมคุ้นเคยว่าคันนี้เขาใช้ถอยชนไอ้ยิ้มเมื่อวันนั้น!

          อาร์มเปิดประตูแล้วลากไอ้ยิ้มในร่างของผมขึ้นรถอย่างกระโชกโฮกฮาก ไม่กลัวเลยว่าร่างของผมจะเจ็บตรงไหน ขอแต่ยัดเข้าไปได้เท่านั้น

          ประตูปิดลงแล้วอาร์มก็เดินไปอีกฝั่งของคนขับ ผมเห็นไอ้ยิ้มนั่งอยู่ที่ข้างคนขับด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาทั้งเหนื่อยอ่อนและเหมือนไม่มีแรง

          ผมจึงตัดสินใจเดินทะลุเข้าไปนั่งด้านเบาะหลังของรถอาร์ม

          อาร์มมองผ่านกระจกหน้า แล้วเริ่มแสดงสีหน้าตกใจเพราะเหมือนว่าเขาจะมองเห็นผมด้วย “มึงสองคนเหรอ...อ๋อ หึ” อาร์มสตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งออกไปสุดแรง สีหน้าของเขาดูมุ่งมั่นและเคียดแค้นเป็นอย่างมาก “ที่นั่งข้างกูนี่คือไอ้มาย...ส่วนด้านหลังก็ไอ้ตุ๊ด...ดี!!! ตายพร้อมกันหมดนี่แหละ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” อาร์มหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วเหยียบคันเร่งมิดเท้า

          “อาร์ม! จะทำอะไร!!!”

          “...” เขาไม่ตอบผม ได้แต่ขับไปตามทางมืดๆ และข้างหน้าเหมือนมีถนนใหญ่!!!

          “ยิ้ม! เป็นไงบ้างแล้ว!”

          “ไม่ไหว...ผมอยู่ในร่างนี้นานไม่ได้ คุณรีบกลับเข้าร่างแล้วหยุดอาร์มที” ไอ้ยิ้มว่าจบ จึงหลุดออกจากร่างของผมแล้วมานั่งข้างๆ ผมที่ตอนนี้เป็นวิญญาณ ได้จังหวะก็รีบกระโจนเข้าไปใส่ร่างตัวเองแล้วก็เริ่มรู้สึกถึงเนื้ออุ่นที่อ่อนแรงอย่างมาก

          “อาร์ม...อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ...อาร์ม! หยุดรถเดี๋ยวนี้!!!”

          “กูไม่หยุด! ตายก็ตายกันหมดนี่แหละ!!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” แล้วเขาก็พุ่งแรงเข้าไปอีก ทางข้างหน้าเริ่มเห็นเป็นไฟทางถนนใหญ่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เห็นรถมากมายขับวิ่งผ่านไปจนผมเริ่มอยู่ไม่สุข หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เป็นสัญญาณว่าผมกับอาร์มเริ่มเข้าใกล้ความตายเบื้องหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ

          “กวินท์...หยุดอาร์ม...ไม่งั้นคุณไม่รอดแน่”

          “ทำยังไง ผมหยุดเขาไม่ได้!!!” ตอนนี้เริ่มเป็นเส้นทางตรงทะยานสู่ถนนใหญ่ และมันก็เริ่มเข้าใกล้เร็วกว่าเดิมด้วยความเร็วของรถ

          ผมเริ่มสติแตก คิดอยู่ในใจว่าถ้าผมหักพวงมาลัยอาร์มเข้าข้างทาง รถพุ่งลงไปและคว่ำแน่ๆ แต่อีกอย่างหนึ่งคือผมต้องเสียสละและยอมเสี่ยงอันตราย คือการเปิดประตูรถลงไปเพื่อให้ตัวเองรอด

          ผมหันไปมองอาร์มที่ขับรถเงียบแต่เพิ่มความเร็วรถจนถึงขั้นสุด

          “พร้อมหรือยังครับคุณกวินท์...เรากำลังจะตายกันแล้ววววว โว้ววววววววววว!!!”

          “ไม่!!! กูจะไม่ยอมตาย! เชิญมึงตายไปคนเดียวเถอะ! ไอ้ควาย!” วิธีสุดท้ายตอนนี้ที่ผมคิดได้ คือการเปิดประตูรถลงไปเพื่อให้ตัวเองรอดชีวิต ตอนนี้ผมหันหลังไปก็ไม่เห็นไอ้ยิ้มแล้ว ผมต้องเด็ดขาดกับตัวเอง...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะวะ

          เป็นไงเป็นกัน ไม่รอดก็ตาย!!!

          ผมเอื้อมมือไปเปิดประตูรถออก แล้วกระโดดลงไปทันที!

          ด้วยความเร็วของรถที่พุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมปลิวแล้วกลิ้งลงไปกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง

          ศีรษะกระแทกลงไปกับพื้นเป็นอย่างแรงจนเริ่มปวดหนึบ ตามด้วยส่วนต่างๆ ก็กลิ้งม้วนตัวหลุบๆ จนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไรอีกแล้ว...

          ร่างผมกลิ้งตะกายมาหยุดอยู่ที่พื้นหญ้าข้างทาง...ได้ยินเสียงหมาเห่าอยู่ไม่ไกล...แต่ผมเริ่มได้ยินเสียงนั่นเบาลง และเบาลง

          โครมมมมมมมมมมมมมมมมม!

          รถของอาร์มพุ่งไปกระแทกกับรถที่ฝั่งถนนใหญ่เสียงดังสนั่นไม่ไกล...แต่ผมกลับได้ยินว่ามันแผ่วเบาเหลือเกิน

          สายตาเริ่มพร่ามั่วมองออกไปข้างหน้า...ลมหายใจเริ่มติดขัดเหมือนจะหายใจไม่ออก

          ภาพเบลอๆ เหล่านั้น ผมเห็นว่ามีคนยืนอยู่ใกล้ๆ ตัวผม

          “ขอให้ปลอดภัยนะกวินท์...”

          “...”

          “ผมรักคุณ...”

          อะไร...ได้ยินไม่ชัดเลย...

          แล้วทุกอย่างก็มืดดับไป







          [ YIM Section III ]

          เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควร หลังจากที่กวินท์ตัดสินใจกระโดดลงรถไปเมื่อวันนั้น โชคดีของเขาที่หัวใจยังเต้นอยู่ มีคนขับรถผ่านมาแล้วช่วยพาเขามาส่งที่โรงพยาบาลใกล้ๆ แล้วหลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งก็คือโรงพยาบาลที่เดียวกับผม

          ผมมาเฝ้าเจ้าตัวดีที่นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงเป็นพักหนึ่ง

          ทั้งแขน ขา คอของเขา ก็ถูกเคลือบไปด้วยเฝือกสีขาวโพลน เนื่องด้วยมีอาการกระดูกหักต่างๆ นานาจากแรงกระแทก

          กวินท์ฟื้นตัวได้เมื่อสองสามวันที่แล้ว ผมดีใจที่เขาตื่นขึ้นมาและปลอดภัยทุกอย่าง แต่ผมต้องถอยออกห่างเขา เพราะจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานที่ทำให้ผมต้องออกห่างจากห้องของกวินท์

          ตั้งแต่ยายของเขามาถึง...จึงทำให้ผมรู้ว่า ยายของกวินท์น่าจะมีอะไรที่ไม่ธรรมดาเหมือนหลานตัวเอง และตกทอดมาถึงรุ่นหลานอย่างกวินท์

          ผมว่าพักนี้ก็คงต้องคอยดูเขาอยู่ห่างๆ นี่แหละดีที่สุด







          ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์...

          ระบบภายในของกวินท์ยังไม่ค่อยสู้ดี เพราะตอนนี้เริ่มมีไข้เพราะพิษความเจ็บปวดที่ยังไม่หายสนิท ยังคงต้องกินยาและนอนอยู่ห้องพักคนป่วย

          แต่เดี๋ยวนี้กวินท์ได้ย้ายมาอยู่ตึกผู้ป่วยพิเศษเดียวกับผมแล้วนะ เพียงแต่คนละชั้นกัน

          เขาอยู่ชั้นสอง ผมก็ต้องแอบวาร์ปๆ ไปหาดูบ้าง แต่ยายของเขานี่สิ ไม่ยอมกลับบ้างเลยหรือไงเนี่ย

          ได้แต่รอจังหวะนั้น...จังหวะที่เขาอยู่คนเดียว

          แล้วจังหวะนั้น มันก็มาถึงเสียที...

          เห็นว่าวันนี้แม่พากวินท์นั่งรถวีลแชร์ลงไปเที่ยวเล่นที่สวนหย่อมในโรงพยาบาล แต่ยายของเขาไม่ได้ลงมาด้วยเพราะอาการปวดขาของคนแก่ เลยให้นั่งดูโทรทัศน์ในห้องไปพลาง

          ยืนมองไกลๆ ก็เห็นกวินท์กับแม่หัวเราะคิกคักกันอยู่ใต้ต้นไทรกลางสวน ดูร่มเย็นและสดชื่นกับบรรยากาศยามเช้า ดูแล้วไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะเลย...แต่ว่าแม่ของเขาไม่ได้มีสัมผัสแบบเขา จึงรู้สึกว่าน่าจะเข้าไปหาเขาได้แล้ว

          “แม่...วินหิวน้ำอ่ะ เซเว่นอยู่ใกล้ๆ นี่เอง แม่ไปซื้อน้ำให้กวินท์หน่อยได้ไหมครับ...”

          “อ้อ ได้สิ เอาขนมด้วยไหม”

          “ไม่เป็นไรครับ ยังเคืองๆ คออยู่ เดี๋ยววินไอ”

          “โอเค ห้ามไปไหนนะ”

          “โหย ไม่ไปหรอกครับ รออยู่ตรงนี้แหละ”

          ทำไมจู่ๆ ก็เหมือนว่าเขาจะเปิดทางให้ผมเข้าไปหาอย่างนั้นอ่ะ

          ผมยืนมองเขาอยู่ข้างหลังใกล้ๆ เห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มมองซ้ายมองขวาอยู่ ให้เดาเลยว่าต้องหาผมอยู่แน่ๆ

          “ไอ้ยิ้ม...”

          “...” นั่นไง...ว่าแล้ว

          ผมแกล้งเดินมาอยู่ด้านหลังใกล้ๆ แต่ไม่ตอบไป ดูซิ ว่าเจ้านี่มันจะทำยังไงต่อไป

          “ไอ้ยิ้ม...มาหาหน่อยดิ อยากเจอ” ผมเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ แล้วมองไปยังเจ้าตัวที่กำลังมองหาผมอยู่ “ไม่ได้เจอหลายวัน...ไม่มาหากันหน่อยเหรอ...หรือว่ากลัวกูจะไล่ไปอีก...เออ...มึงรู้ไหม...กูโกรธมึง โกรธมากด้วย...ไม่รู้มาหลอกกันทำไมตั้งเดือนกว่า...แต่ก็โกรธได้ไม่นานหรอก เพราะมึงแม่งมาช่วยกูตอนลำบากตลอดเลย...เป็นผียังดีกว่าคนเนอะ แม่ง...หน้าไหว้หลังหลอกกันทั้งนั้น”

          “บ่นอยู่นั่นแหละไอ้เตี้ย...”

          “จะไม่โผล่มาจริงๆ เหรอ...กูรอนานแล้วนะ” คนตรงหน้ายังคงมองซ้ายมองขวาอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ...แล้วมันก็มองมาทางผม ผมเลยก้มตัวลงไป โน้มหน้าหล่อๆ ของผมเข้าไปใกล้หน้ากลมๆ ของมัน...มองมุมนี้ กวินท์น่ารักฉิบหาย “ไอ้ยิ้ม...”

          “หืม...” กวินท์จ้องเข้ามาในตาของผม

          “มึงอยู่ที่ไหน...”

          “...”

          “มาหากูเถอะนะ”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          อย่าทิ้งฉันไป [2]


          เขาหายเงียบไปเลยจริงๆ ตั้งแต่ที่ผมถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาล

          ตอนนี้จะเรียกว่าผมเหงาก็ได้นะ...เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีใครคนอื่นที่สนิทเท่ากับไอ้ยิ้มอีกแล้ว

          จะบอกว่ามีแค่สนิทจริงๆ ก็คือมันคนเดียวเหอะ ถึงแม้จะไม่ใช่คนก็ตาม...

          เออ จะว่าไป ไอ้แม่งนี่ร่างมันก็ยังอยู่ แสดงว่าที่ผ่านมา เขาก็แค่วิญญาณหลุดออกจากร่าง งั้นก็หมายความว่าร่างของเขายังใช้การได้ แล้วถ้าเขาเข้าร่างได้ เขาก็จะเป็นคนเหมือนเดิมใช่ไหมล่ะ!

          เออเนอะ... ตอนนี้ก็อยู่ตึกเดียวกับมันแล้วด้วย ไปเยี่ยมเสียหน่อยก็คงดี เผลอๆ อาจไปเจอตอนมันลุกนั่งได้แล้วก็ได้ เพราะที่หายไปแบบนี้วิญญาณคงเข้าร่างไปแล้วแน่ๆ!

          “วิน” ผมหันไปที่ต้นเสียงก็เจอแม่ของผมถือถุงขนมแล้วก็น้ำเดินเข้ามา

          “อ้าวแม่...มาไวจังครับ”

          แม่ยิ้มแล้วนั่งลงที่นั่งใต้ต้นไม้ “แม่ว่าวินอยากกินขนมนะ...เลยซื้อพวกขนมปังมาให้ ไม่หวานหรอก รองท้องไปด้วย เผื่อสายๆ จะได้ไม่หิว” แม่ยื่นขนมมาให้ผม

          “ขอบคุณครับ...เอ้อแม่จ๋า...พอดี วินมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้เขาป่วยอยู่ตึกเดียวกับเรา ผมว่าเราไปเยี่ยมเขาหน่อยดีไหม”

          “อ้าว! วินมีเพื่อนแล้วเหรอ!” เอิ่ม...สีหน้ากับน้ำเสียงของแม่ราวกับดีใจมากเหมือนเพิ่งมีคนคบเพื่อน...แต่มันก็จริงที่แม่ควรจะตกใจ ฮ่าๆๆๆ

          “ก็...ช่วงสองสามเดือนที่แล้วอ่ะครับ”

          “โหยดีเลย! แม่ก็คิดว่าวินอยู่บ้านเช่านั่นคนเดียวจะไม่คบเพื่อนเสียอีก...แต่ก็ดีละ วันหลังแม่จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องวินอยู่บ้านนั่นเหงาๆ แล้ว...พาเพื่อนมาให้แม่รู้จักด้วยก็ดีนะ อยากเห็นหน้าเห็นตา ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”

          “ผู้ชายครับ” ถ้าบอกแม่ว่าเป็นเพื่อนกับผี แม่จะช็อกตายไหมเนี่ย

          “โอเค งั้นเดี๋ยวสายๆ เราไปเที่ยวหาเขากัน”







          ตอนนี้ผมขึ้นมาอยู่ที่ห้องได้สักพักหนึ่ง

          แม่ให้นอนพักก่อนแล้วก็ค่อยออกไปเยี่ยมไอ้ยิ้ม แล้วก็ทิ้งผมไว้ที่ห้องเพราะยายอยากเดินออกกำลัง แม่เลยพายายไปโรงอาหารของโรงพยาบาลหาอะไรกินสักหน่อย

          เหลือไว้แต่ผมในห้องกับโทรทัศน์จอแบนที่กำลังเปิดการ์ตูนอยู่

          จะให้พักผ่อน ผมก็ข่มตานอนไม่ลง เพราะตอนนี้กะจิตกะใจของผมอยากไปหาคนห้องนั้นแทบใจจะขาด

          อยากรู้ว่าที่เขาหายไปนั่นมันเป็นเหมือนที่ผมคิดหรือเปล่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่มา

          เอาล่ะ...ผมเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว ขอตัวลากสังขารที่ยังมีไข้อ่อนๆ ออกไปข้างนอกคนเดียว...จะไปไหนก็น่าจะเดากันถูกนะ

          ตอนนี้ผมลากเสาห้อยสายน้ำเกลือมาด้วย ที่หลังมือยังคงมีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ ลากมันแล้วเดินมายังบันได...แต่ดูท่าจะไปต่อไม่ไหวเดี๋ยวคงวูบตกบันไดกันพอดี

          เขาอยู่ชั้นสาม แต่ผมอยู่ชั้นสองนี่ล่ะ

          ไม่ไหวก็คงต้องขึ้นลิฟต์ไปสินะ

          ผมเดินเข้าลิฟต์คนเดียว แล้วถูกยกตัวไปยังชั้นที่สามเพียงไม่ถึงนาที

          พอเดินออกมา เห็นเหตุการณ์ชุลมุนเบื้องหน้า มีเสียงเอะอะโวยวายของพยาบาลและหมอ วิ่งเข้าออกห้องๆ นั้น...

          ห้องของไอ้ยิ้ม...!

          เกิดอะไรขึ้น!!!

          หัวใจผมเริ่มเต้นและหน่วงเพราะเหตุการณ์ตรงหน้าเริ่มทำให้ผมเริ่มกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ยิ่งเห็นมีคนวิ่งเข้าออกแบบนั้น ผมก็เริ่มจะร้องไห้ แค่เขาหายไปยังไม่พอ...ผมต้องมาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้อีกเหรอ...

          ขอให้เขาปลอดภัย...จะอะไรก็ช่าง...ขอให้เขาปลอดภัย

          พยาบาลคนนั้นวิ่งนำเครื่องแปลกๆ มาพร้อมกับบุรุษพยาบาล ก่อนจะเจอกับเพื่อนพยาบาลอีกคน "หมอใหญ่มาหรือยัง เร็วค่ะ!  คนไข้ช็อกหัวใจหยุดเต้น ต้องรีบปั๊มหัวใจด่วน!”

          ไม่...ไม่นะไอ้ยิ้ม จะเป็นอะไรไม่ได้นะ!

          ผมรีบเดินเร็วพร้อมกับลากเสาน้ำเกลือไปยังหน้าประตูห้องไอ้ยิ้ม อย่างทรงตัวไม่ได้...คนในนั้นกำลังช็อก เขากำลังแย่ ทำยังไงดี!

          “หมอใหญ่มาแล้วค่ะ!” หมอใหญ่วิ่งเข้ามาพร้อมกับพยาบาลที่วิ่งตามกันมาเป็นพรวนสี่ห้าคน แล้ววิ่งเข้าห้องไอ้ยิ้มไปทันที

          ตอนนี้ผมทำได้แค่เดินขาสั่นเทามายืนหน้าห้องของไอ้ยิ้มด้วยหัวใจที่ไม่เป็นสุข อารมณ์ทุกอย่างตอนนี้แทบจะอธิบายไม่ได้ ร่างกายของผมสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว...กลัวสิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้นกับเขา

          ขอล่ะ...ขออย่าเกิดอะไรขึ้นกับยิ้มเลย ถ้าเป็นแบบนี้ ผมคงไม่ไหวแน่ๆ ...ไอ้ยิ้มต้องไม่เป็นอะไรนะ

          “กวินท์ลูก!” ผมหันไปก็เจอกับคุณมยุรีที่ยืนไม่นิ่งอยู่ใกล้ๆ

          “คุณสุขครับ!” เธอเดินเข้ามากอดผมแน่น จนตอนนี้น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยหัวใจที่อ่อนแรง ผมแทบอยากเป็นไอ้ยิ้มแทนด้วยซ้ำ...ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้ด้วย “ยิ้มจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ...คุณบอกผมสิ ยิ้มปลอดภัยใช่ไหม...” ผมพูดออกไปทั้งน้ำตาและน้ำเสียงสั่นเครือ ใจผมเต้นแรงตุบตับบวกพร้อมไปด้วยอารมณ์ที่หม่นหมอง

          “เขาจะไม่เป็นอะไร...ไม่ต้องห่วง หมอเข้าไปแล้ว...” ฟังจบผมก็เบาใจลงแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย

          ไอ้ยิ้มในห้องนั้น จะต้องปลอดภัย...เขาจะต้องไม่เป็นอะไร

          ผมพูดคำนี้ให้กำลังใจตัวเองอยู่ซ้ำๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง ได้แต่ภาวนาอยู่แบบนี้ด้วยหัวใจที่อ่อนแรงเป็นที่สุด

          เวลาผ่านไปสักพักก็ไม่มีวี่แววของหมอและพยาบาลที่จะวิ่งออกมากันสักคน

          ฝ่ายคุณมยุรีก็วิ่งเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลอย่างไม่สงบ เธอร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนผมเห็นก็เริ่มปลอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน...

          ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่แห่งนี้...ช่วยคุ้มครองให้เขาปลอดภัยด้วยเถิด

          ทันใดนั้น ประตูห้องของยิ้มก็ถูกเปิดออกอย่างฉับพลัน ผมกับคุณมยุรีรีบเดินเข้ามาหาคุณหมอและพยาบาลที่เดินออกมาทันที

          “หมอคะ! ลูกของฉันเป็นยังไงบ้างคะ!” คุณมยุรีเข้าไปจับมือหมออย่างมีความหวัง และหวังว่าคำตอบนั่นจะเป็นเรื่องที่ดี

          แต่คุณหมอ...กลับส่ายหน้า... “คนไข้ช็อคจนหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน...หมอพยายามแล้วครับ แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้”

          ไม่นะ...

          ไอ้ยิ้ม...

          “ไม่...” คุณมยุรีร้องไห้แล้วทรุดเข่าลงไปกองกับพื้นอย่างสิ้นหวัง “ไม่จริงงงงงงงง!!!” แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผมเองที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งร้องไห้ออกมา...

          ผมไม่อยากจะเชื่อเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้น...

          ไอ้ยิ้ม...ตายแล้ว...เขาตายแล้วจริงๆ

          หัวใจผมแหลกสลายไปไม่มีชิ้นดีกับความรู้สึกตอนนี้ ทำให้ผมอยากตายตามเขาไป...ไอ้ยิ้มคนที่คอยหัวเราะ ร้องไห้ มีเรื่องทุกข์ใจต่างๆ เราก็ผ่านมันมาด้วยกันหมด...ตอนผมถูกวิญญาณทำร้ายจนตายไป ถ้าไม่มีเขากลับมาช่วยผมให้วิญญาณกลับเข้าร่าง...ผมก็คงไม่ได้มายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้...

          แล้วผมล่ะ...ทำไมถึงช่วยอะไรมันไม่ได้เลยสักอย่าง!

          น้ำตาทุกหยาดบนหน้าของผมตอนนี้...ขอมอบให้แด่ไอ้ยิ้ม คนที่ผมรักมากที่สุด...

          ไม่นาน เตียงคนไข้ก็ถูกเข็นออกมาจากห้อง...ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตัวเองเลยด้วยซ้ำ

          ภาพตรงหน้าเป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่ผมอยากเจอ...เขาถูกปกคลุมไปด้วยผ้าสีขาวคลุมศพนอนแน่นิ่ง เป็นภาพที่ผมสะเทือนใจมากที่สุด และไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ...

          ผมช่วยพยุงคุณมยุรีที่ร้องไห้อย่างหนักหน่วงให้ลุกขึ้นมาเจอกับศพของไอ้ยิ้ม “ลูกแม่!...ลูกแม่!!! ทำไมทิ้งแม่ไปแบบนี้ล่ะลูก...แล้วแม่จะอยู่ต่อไปยังไง!!!” คุณมยุรีเปิดหน้าหล่อๆ ของมันมาเมียงมองแล้วพุ่งเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณของไอ้ยิ้มที่เริ่มซีดเผือด...ยิ่งผมเห็น ผมก็แทบไม่ไหวแล้ว ยิ่งเห็น...น้ำตาและหัวใจผมก็บีบคั้นให้มันรั่วไหลออกมาอาบหน้าอย่างไม่ขาดสาย

          ผมยังคงปิดปากตัวเอง อดกลั้นไม่ให้ร้องไห้เสียงดัง ทั้งๆ ที่ในใจแทบอยากจะร้องตะโกนออกไป ก่อนจะสูดดมหากลิ่นวิญญาณของเขา แต่กลับไม่ได้กลิ่นเลยสักนิด...ยิ่งดมหาเท่าไหร่ ผมกลับไม่เจอเขาเลย

          ผมเริ่มมองซ้ายมองขวาก็เริ่มเอะใจกับตัวเองว่าพักหลังมานี้ตั้งแต่ฟื้นจากอุบัติเหตุ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สัมผัสถึงดวงวิญญาณเลยสักดวง...อันที่จริงตึกนี้มีคนเสียชีวิตอยู่พอสมควร แต่มันกลับไม่ได้สัมผัสถึง หรือรู้สึกถึงการมีอยู่ของวิญญาณ...ทั้งกลิ่น เสียง และตาเห็น กลับไม่รู้เหมือนแต่ก่อน

          เกิดอะไรขึ้นกับตัวผม...

          นี่ผมหายแล้วเหรอ...

          ไม่สิ...ต้องไม่ใช่แบบนั้น...แล้ววิญญาณไอ้ยิ้มล่ะ ผมจะสื่อสารกับมันยังไง!

          “ไอ้ยิ้ม!...มึงอยู่แถวนี้ไหม...” ผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ เริ่มมองซ้ายมองขวา จมูกก็สูดดมหากลิ่นของเขาแต่กลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย “ไอ้ยิ้ม! มึงตายแล้วนี่!...มึงออกมาหากูสิ กูเรียกมึงอยู่นะ ไอ้ยิ้ม!!!”

          ผมคงไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว...ได้แต่เข่าทรุดลงไปกองกับพื้นจนเสาน้ำเกลือล้มลงไม่ใส่ศีรษะผมจนปวดหนึบ แต่ความเจ็บปวดกลับเลือนหายไปหมดสิ้น ได้แต่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา...ทุกอย่างมันสายไปแล้ว...และไม่มีทางที่เขาจะกลับมาอีก

          เขาจากผมไปแล้วจริงๆ...

          “ออกมาหากูสิไอ้ยิ้ม...มึงออกหากูสิไอ้ยิ้ม...มึงเล่นกับหัวใจกูแบบนี้ได้ยังไง...มึงรู้ไหมว่ามึงผิด...ผิดที่ทิ้งกูไว้แบบนี้ ไอ้ยิ้มมมมมม!!!” ผมร้องไห้ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ตอนนี้ไม่สนใจแล้วว่ารอบข้างจะมองยังไงบ้าง ความเสียใจครั้งนี้ ยากเกินกว่าที่จะรับไหว...

          ผมถูกตัดขาดจากการมองเห็นวิญญาณไปแล้ว...อาจเป็นเพราะอุบัติเหตุเฉียดตายครั้งนี้ ทำให้ผมหายจากการมองเห็นวิญญาณไป...แต่สำหรับไอ้ยิ้ม...การที่มองเห็นเขาได้ นับว่าเป็นโชคดีด้วยซ้ำ...แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นว่า ผมรู้สึกโชคร้ายมากกว่า ที่ผมไม่สามารถมองเห็นเขาได้อีกต่อไป

          เตียงเข็นร่างของเขา ถูกบุรุษพยาบาลเข็นออกไปไกล...ทำให้รู้สึกอีกครั้งว่า...เขาจากผมไปแล้วจริงๆ จากนี้ไป ก็คงเหลือแค่ชื่อของมันและรอยยิ้มของมัน...ที่ยังตราตรึงในหัวใจของผม

          การที่ผม...เห็นวิญญาณได้ ผมต้องผ่านการเฉียดตายงั้นเหรอ

          ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะกลับไปสื่อสารกับวิญญาณเขาได้อีกครั้งใช่ไหม...

          ได้สิ...

          ผมพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างลำบาก ดึงสายน้ำเกลือออกแล้วพุ่งตัวออกไปจากตรงนี้ ลงบันไดไปชั้นล่างสุด

          วิ่งตรงไปยังถนนใหญ่ข้างหน้า มีรถขับผ่านไปมาดูน่ากลัว...แต่ถ้าผมเฉียดตายแล้วได้เจอเขาอีกครั้ง ผมก็ยอม...

          ด้านหน้ามีรถ...ถ้าผมวิ่งออกไปให้รถชน...ผมก็จะตาย...โรงพยาบาลอยู่แค่นี้เอง เดี๋ยวก็มีคนมารับ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักหรอก แล้วผมก็จะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นวิญญาณอีกรอบ คราวนี้ผมก็จะได้เจอไอ้ยิ้มสักที

          “ไอ้ยิ้ม...กูรู้ว่ามึงรอกูอยู่...รอกูเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันแล้ว!”







          [ YIM Section IV ]

          ความคิดของกวินท์กำลังนำพาเขาไปทำในสิ่งที่ผิด แล้วถ้าครั้งนี้การที่เขาตั้งใจเฉียดตายเพื่อได้เจอกับผมอีกครั้ง

          แต่ถ้าเขาไม่รอดกลับมาล่ะ...จะเป็นผมเองที่ผิดทุกอย่าง และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตาย...

          และผมต้องหยุดเขาไว้ให้ทัน!

          ผมก้าววิ่งออกไปเมื่อเห็นคนในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล กำลังก้าวเดินออกไปสู่ถนนอย่างกล้าๆ กลัวๆ

          ทำให้ผมต้องเร่งความเร็ววิ่งเข้าไปอีกคูณพัน เพราะข้างหน้านั่น อีกไม่นาน ถ้าเขาเดินต่อไปเรื่อยๆ และรถที่ขับมาเร็วๆ มันไม่หยุดให้ กวินท์ตายแน่ๆ

          “กวินท์! ถอยกลับมา!” ผมตะโกนแล้ววิ่งเข้ามาเรื่อยๆ อยู่ไกลๆ แต่เหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจเสียงผมเลยสักนิด “กวินท์! ถอยมา รถจะชน!!!”

          พอมาถึง ก็เห็นว่ารถคนนั้นพุ่งมาด้วยความไว กวินท์ยืนนิ่งอยู่กลางถนนหวังให้รถคนนั้นชนเขา แต่ผมต้องไวกว่ารถคันนั้นเพื่อให้เขารอด รีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวเขาไว้แล้วลากเข้ามาที่ริมถนน ในจังหวะที่รถคันนั้นบีบแตรใส่เขาจนเสียงดังยาว แล้วขับผ่านไปอย่างเฉียดฉิว

          แล้วผมก็ต้องผลักกวินท์ให้พ้นเข้าไปในเขตโรงพยาบาล

          “นี่คุณทำบ้าอะไรของคุณห้ะ!” ผมตะคอกใส่เสียงดังจนเขาตกใจมองหน้าผม

          “คุณเป็นใคร...มายุ่งอะไรกับผม ทำไมต้องมาขัดขวางผมด้วย...ฮึก” แล้วน้ำตาเขาก็ปริ่มจนไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ผมจึงเอื้อมมือเข้าไปเพื่อจะเช็ดน้ำตาบนแก้มขาวๆ นั่นให้ แต่เขาก็ปัดมือผม “คุณไม่เข้าใจผมหรอก...ถึงวันนี้คุณจะช่วยผมไว้ แต่วันหลัง พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ผมก็จะวิ่งให้รถชน”

          “กวินท์...คุณทำแบบนี้ไปเพื่อให้ได้เจอผม...แล้วคุณล่ะ คุณต้องรักตัวเองก่อนนะ...ถ้าคุณตายล่ะ ไม่ใช่ผมเหรอ ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณตาย...ผมไม่ตกนรกหมกไหม้หรือไง” คนตรงหน้าเบิกตาโพลงแล้วค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ ผม

          เขายื่นมือออกมาแล้วจับไหล่ผมอย่างแผ่วเบา “นี่...ยิ้มเหรอ”

          “ใช่ครับ...ผมยิ้มไง” น้ำตาไหลอาบแก้มเขา จนผมอดไม่ได้ที่ยื่นเข้าไปเช็ดน้ำตาให้อีกครั้ง “อย่าร้องไห้เลยนะคนดี...”

          “ยิ้มมมม!” เขากอดผมเอาไว้อย่างแนบแน่น...ไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่รู้จักผม เพราะตอนนี้ผมใช้ร่างของอีกคนที่ผมเคยใช้เพื่อมาหาเขาให้เร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะคิดอะไรตื้นๆ แบบนี้ “อย่าทิ้งกูไปได้ไหม...”

          กวินท์ยังคงร้องไห้ และกอดผมเอาไว้อยู่แบบนั้น

          “สัญญากับผมก่อนได้ไหม...”

          “สัญญา...สัญญาสิ จะพูดอะไรก็พูดมาเลย กูฟังมึงทุกอย่างทุกคำ ขอแค่อย่าทิ้งกูไปก็พอ...” เพียงแค่ฟังน้ำเสียงสั่นเครือนี้ก็ทำให้ผมแอบน้ำตาปริ่มขึ้นมา...

          ผมไม่ได้อยากไปจากเขาเหมือนกัน... “สัญญาว่า...” ผมเริ่มสะอื้นแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ “สัญญาว่าต่อจากนี้ไป...กวินท์จะไม่ทำแบบนี้อีก และสัญญากับผม...ว่าคุณจะอยู่อย่างมีความสุข ใช้ชีวิตให้ดีขึ้นจากเดิม หายจากการเห็นวิญญาณ ผมหวังว่าคุณจะมีอิสระจากการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น...ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้วนะ”

          “...”

          “สัญญากับผมนะ...”

          “ได้...กูสัญญา” กวินท์คลายอ้อมกอดจากผมแล้วมองผมผ่านม่านน้ำตาเม็ดโต “เมื่อกี้ต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เป็นห่วง...ต่อไปนี้กูจะไม่ทำแบบนี้อีก...กูจะคิดว่า มึงไม่เคยไปไหนจากกู...ได้โปรดมองกูอยู่ห่างๆ ช่วยคุ้มครองกูให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยนะยิ้ม...”

          ผมเอื้อมมือเข้าไปลูบหัวคนตัวเตี้ย “เป็นเด็กดีด้วยล่ะ...อย่างอแง...ถ้ามีโอกาส...ผมขอให้ได้เจอกับกวินท์อีก ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับกวินท์” ผมเลื่อนมือเขาเข้ามากุมในมือของผม แล้วน้ำตามันก็รื้นขึ้นมาอีกครั้ง “จำไว้นะ...ว่าผมรักคุณ”

          ก่อนจะจากกัน...ผมขอจูบเขาอีกเป็นครั้งสุดท้าย แม้ตอนนี้จะไม่ใช่ร่างกายของผมก็ตาม แต่จูบนี้...ผมมอบให้กับกวินท์คนนี้คนเดียวเท่านั้น
 
          ริมฝีปากของเราสองคนเข้าสัมผัสกันอย่างช้าๆ...ช่วงเวลานี้เหมือนกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ให้นานเท่านาน ไม่มีวันที่จะหายจากกันไป...แต่สุดท้าย...ผมก็ต้องไปจากเขา

          น้ำตาของผมร่วงหล่นออกมาด้วยความรู้สึกมากมาย...ก่อนจะหลุดออกจากร่างนี้ไปเพราะเริ่มอ่อนแรงในการใช้ร่าง

          ผมเดินออกมาจากตรงนั้น ซึ่งเขาไม่เห็นผมแล้ว

          “ลาก่อนนะ...กวินท์”



FOLLOWER

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          อย่าทิ้งฉันไป [3]


          ช่วงหลังจากการจากไปของไอ้ยิ้ม...ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ได้ข่าวคราวจากคุณมยุรีอีก เธอเองก็เงียบหายไปเลยหลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน

          ผมเองก็กลับไปอยู่บ้านในชุมชนกับแม่ไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่ให้พอทำใจได้ว่าเขาไม่อยู่แล้ว...เราเองก็ควรรักตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างที่สัญญาไว้กับไอ้ยิ้ม...ความสุขของผมตอนนี้ก็คือได้อยู่กับแม่และยาย ได้ไปทำบุญกรวดน้ำให้เขาทุกครั้งที่มีโอกาส

          ช่วยแม่ช่วยยายทำมาหากินที่บ้านหลังนั้นยาวๆ...

          บ้านผมมีสวนผักเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก ปลูกพวกมะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักสลัด แล้วก็พวกฟัก ได้ที่แล้วก็เอาไปขายที่ตลาดตอนเช้ากับแม่ ขายดิบขายดีเชียว...บางวันก็มีคนมาขอยอดอ่อนผักกาดกวางตุ้ง เห็นว่าเอาไปแกงอร่อย ใส่หมูสามชั้นไปด้วย พูดแล้วก็น้ำลายแตกซ่าน...

          ที่หาอะไรทำไปพลางๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด...เพราะถ้าผมอยู่คนเดียวเหงาๆ ไม่ทำอะไรเลย...ผมจะกลับไปฟุ้งซ่านคิดถึงเขาแบบช่วงแรกๆ นั่นแหละ...ปลูกผักมันก็ดี ทำให้ลืมไปได้บ้าง แล้วก็มีตังค์เข้าบ้านอีกด้วยล่ะ

          ช่วงหลังๆ ไม่กี่เดือนที่แล้วผมก็ต้องขอกลับมาที่บ้านเช่าเพราะปล่อยมันรกร้างเกินไป...อยู่ที่นี่ก็เพื่อรอคุณมยุรีด้วยเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเธอจะมีจดหมายเก็บค่าเช่าบ้านมาอย่างเคย

          ผมแวะเวียนไปที่บ้านรัตนชัยธรรม์หลังนั้น เผื่อจะเจอคุณมยุรี...แต่ที่นั่นถูกปิดตาย และไม่มีใครกล้าเข้าไปในบ้าน...ได้ยินคนแถวนั้นบอกมาว่าที่นั่นผีดุมาก ตอนกลางคืนไม่มีใครกล้าผ่านบ้านหลังนั้นเลยสักคน จะผ่านทีก็ต้องอ้อมเพื่อจะไปโผล่อีกซอยหนึ่ง ส่วนคนที่บ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ย้ายออกไปเพราะทนไม่ไหว บางวันได้ยินเสียงปืนดังลั่น แล้วก็เสียงคนกรีดร้องโหยหวนชวนขนหัวลุกกันไปแถบๆ

          วิญญาณของพวกเขาคงไปไหนไม่ได้ ติดบ่วงเวรบ่วงกรรมตายซ้ำๆ อยู่แบบนั้น

          ถึงเวลาตาย...แต่ยังไม่สิ้นอายุขัย

          แหงล่ะ เกิดเรื่องซะขนาดนั้น ไม่ดุก็คงไม่ใช่แล้ว...ให้เดาว่ารายการคนอวดปี๋จะต้องมาล่าท้าปี๋ที่นี่สักวัน แนะนำให้มาเลยแล้วกัน...(จะบ้าเหรอ!)

          ทุกครั้งที่ผมคิดถึงไอ้ยิ้มขึ้นมา...ก็มีที่ที่เดียวที่สามารถทำให้ผมคลายความคิดถึงเขาได้...สะพานแห่งนั้น ยังคงเป็นแหล่งรวมของทรงจำของผมกับเขา แถมยังเป็นสถานที่ที่ไอ้ยิ้มบอกชอบผมด้วย...ผู้ชายบ้าอะไรชอบกัน เห็นกูน่ารักแบบนี้จะจีบเหมือนผู้หญิงไม่ได้นะเว้ย!...แต่กูกลับใจอ่อนเนี่ยสิ เป็นเพราะมันหน้าตาดีหรือเปล่า...ผมว่าไม่ใช่หรอก อาจเป็นเพราะนิสัยอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากกว่า (ไม่อยากชมมัน ชอบหลงตัวเอง!)

          บนโลกที่ไม่มีเขา...มันช่างเงียบเหงาจริงๆ

          เวลาผ่านไปเกือบปีกว่าๆ ผมก็ได้งานเป็นพนักงานประจำร้านคอฟฟี่ช็อปที่มาเปิดใหม่แถวบ้านด้วยนะ ได้รับหน้าที่ที่คุ้นเคยก็คือพวกแคชเชียร์นั่นแหละ สบายบรื๋อเลย ที่นี่ไม่ร้อนเพราะเปิดแอร์เย็นฉ่ำอยู่ตลอด แถมยังได้กินน้ำฟรีอีกต่างหาก ฮ่าๆๆๆ

          เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องทำตัวแปลกๆ แล้วด้วย เพราะผมไม่สัมผัสถึงเหล่าวิญญาณอีกแล้ว มือสัมผัสอดีตของผม ก็ใช้การไม่ได้แล้วเช่นกัน...แบบนี้ก็มีความสุขดีเนอะ นี่สินะที่เรียกว่าชีวิตของคนธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเจอสิ่งน่ากลัวแบบนั้นอีกแล้ว สบายใจจัง...

          จะถามถึงเรื่องมีเพื่อนไหม...ผมมีแล้วนะ เยอะด้วย ส่วนใหญ่ก็เพื่อนๆ ที่ทำงาน ทำให้ผมกล้าคุยกล้าสมาคมกับเพื่อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ

          มีสองคนที่เป็นบาริสต้า เป็นผู้หญิงทั้งคู่ คนแรกชื่อบุ๋มบิ๋ม เป็นคนที่นิสัยบ้าผู้ชายมาก โดยเฉพาะคลิปเพลงอุ๋งๆ เวอร์ชันผู้ชายCUTECHEFออกมาไม่ถึงนาทีก็กรี๊ดกร๊าดทั้งวัน ขอเปิดเพลงอยู่นั่นซ้ำๆ ในร้านจนเพื่อนอีกคนรำคาญ... คนนั้นชื่อแยม เรียกมันว่าแหยมยโสธร พูดอีสาน บ้านอยู่อุบลฯ กัดกันอย่างกับหมา จนลูกค้ารำคาญยกเลิกเมนูหนีออกร้านไปเลย

          แล้วก็พี่ออมแอม  ร้านคอฟฟี่ช็อปนี้ก็มีเธอเป็นเจ้าของกิจการเองด้วย แต่ให้พวกผมบริหารจัดการกันเองได้ เพราะที่เปิดร้านนี้สาเหตุก็คือ เงินใช้เองไม่หมด...รวยไหมล่ะ

          ที่รวยก็เพราะเธอทำงานเป็นแอร์โฮสเตสและแฟชั่นนิสต์ไปพร้อมๆ กัน มีห้องเสื้อเป็นของตัวเอง ตั้งอยู่ฝั่งขวาข้างๆ กันนี่แหละ เดินเข้ามาก็เลือกเลยว่าจะมาสั่งตัดชุดหรือมาซื้อน้ำ

          อีกคน น้องสาวของพี่ออมแอม ชื่อเบบี้ ชอบมาแช่เล่นเน็ตอยู่ร้านคอฟฟี่ช็อปตอนว่างๆ เพราะที่นี่มีไวฟายให้บริการฟรี

          หน้าร้านคอฟฟี่ช็อปก็เป็นร้านของชำเล็กๆ มีคนขายชื่อมุก นิสัยก็น่ารักดี เป็นกันเอง แต่ซุ่มซ่าม ชอบทำของหล่น

          แล้วก็มีพี่แป๊ะเฉิน คนขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปั้นมือ เป็นคนจีนมาจากซัวเถา กับเมียของเขา ชื่อพี่ขวัญ เป็นคนไทย อยู่บ้านข้างๆ ทางซ้ายมือ หิวเมื่อไหร่ก็แวะไปเลย พี่แกใจดี เผลอๆ ไม่คิดตังค์



          ตอนนี้เจ็ดโมงกว่าๆ

          ผมเป็นคนมาเปิดร้านให้เป็นปรกติ ทำความสะอาดโต๊ะของลูกค้า แล้วก็เช็กของพวกเบเกอรี่ คัพเค้ก เครปเค้ก แล้วก็พวกส่วนผสมต่างๆ ว่าขาดอะไรอีกบ้าง จะได้โทรไปสั่งตามเบอร์โทรของร้านที่เป็นลูกค้าประจำให้เขามาส่งของขาดถึงที่

          ผมก็นั่งๆ นอนๆ ตากแอร์อยู่แบบนั้นไปพลาง เพราะช่วงเช้าลูกค้าไม่ค่อยเข้ากัน และแม่สองคนนั้นชอบตื่นสายอยู่ตลอด...มาช้าเป็นประจำ

          บางน้ำผมก็ทำได้นะ แต่พวกจำรายละเอียดย่อยๆ เช่น เวนติคาราเมลแมคคาโต้ ไซรับ 1 ปั๊ม นมไขมันต่ำ เพิ่มวิบครีมแบบกลาง ราดคาราเมล เพิ่มช็อคโกแล็ตชิป เย็น 1 ที่...นี่คือความฉิบหายเมื่อสองคนนั้นไม่อยู่ และกูทำได้แค่นมเย็น...

          แล้วเวลาก็ล่วงเลยไปถึงเก้าโมง ผมก็เห็นยายเพื่อนสองคนนั้นวิ่งมาแต่ไกลเลย

          “มาถึงแล้วจ้าผัวววว” แยมเปิดประตูเข้ามาคนแรกแล้วพูดสำเนียงอีสานใส่ ผมจ้องหน้าพวกมันด้วยอารมณ์งอน

          “มาแล้วๆ อุ้ยๆๆ นึกว่าร้องไห้แล้ว เดี๋ยวไปแต่งหน้าแป้บนะ ลูกค้าไม่เข้าแย่เลย อ่ะคริๆๆ” บุ๋มบิ๋มกับแยมวิ่งเข้าไปหลังร้านพลางหัวเราะคิกคัก ผมก็ได้แต่กลอกตาบนแล้วนั่งลงไปที่เก้าอี้แคชเชียร์อย่างเบื่อๆ

          สักพักน้องเบบี้ก็วิ่งหอบไอแพดเข้ามาพร้อมกับหูฟังที่พันกันพะรุงพะรังยุ่งเหยิง “สวัสดีค่ะพี่วิน เอาชาไทยปั่นแก้วนึงค่ะ แล้วก็อยากกินทาร์ตไข่อุ่นๆ ขอสองที่นะคะ” ว่าเสร็จเธอก็ไปประจำที่นั่งของเธอทางขวามือสุด

          “โอเค รอสักครู่นะ” ผมหันไปตะโกนเรียกพวกคนหลังร้าน “เร็วดิแหยม บิ๋ม มาทำชาไทยเร็ว! ลูกค้ามาเนี่ย!”

          “เอออออ มาแล้วๆ หุ้ยยย” แยมทำหน้ามุ่ยพลางมัดผมไปด้วย วิ่งเข้ามาแล้วทำชาไทยปั่นอย่างคล่องมือ

          “เอ้อ...พี่ๆ คะ” เบบี้พูดขึ้น ในระหว่างนั้นบุ๋มบิ๋มก็เดินเข้ามาพร้อมกับทาลิปสีแรด ส่องกระจกซ้ายขวาแล้วส่งจุ๊บให้กระจก “วันนี้พี่ออมแอมบินกลับไทยแล้วนะ เย็นๆ พี่เขาจะนัดพวกพี่ไปกินเลี้ยงด้วย พี่วินรู้ป้ะว่าวันนี้วันอะไรเอ่ยยยยย...”

          ผมทำหน้าคิด “วันอะไรเหรอ” ผมถามออกไปท่ามกลางเสียงเครื่องปั่นน้ำหวืดๆ

          “อ้าวพี่วิน! คนอื่นเขารู้กันหมดเนี่ยว่าวันเกิดพี่!”

          “เออไอ้วิน วันนี้วันเกิดมึงไง ลืมละเหรอ” บุ๋มบิ๋มพูด

          “แหมๆๆ ลืมวันเกิด หมาจะเกิดชิงหมาเกิดว่ะ! ”

          “ห้ะ วันนี้เหรอ!” ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองแล้วมากดเปิดดู วันนี้วันเกิดผมจริงๆ ด้วย คนอื่นเขารู้กันหมดแต่ผมเนี่ยสิลืมไปเสียสนิท! “เออจริงด้วย แล้ว...ไปกินเลี้ยงวันเกิดพี่เนี่ยเหรอ” ที่ถามออกไปเพราะไม่ใช่อะไรหรอก...ผมไม่เคยมีใครจัดงานวันเกิดให้ต่างหาก นอกจากแม่แล้ว ผมก็ไม่เคยไปฉลองกับเพื่อนคนไหนเลยสักครั้ง

          “ใช่ค่ะ...พอดีพี่ออมกลับมาอยากกินหมูกระทะพอดี แล้วก็เป็นวันเกิดพี่วินอีกพอดี ก็เลยจะชวนไปฉลองด้วยเลยค่ะ...แล้วเมื่อกี้พี่ออมก็เพิ่งส่งมาว่าเพื่อนพี่ออมจะมาด้วย เป็นสจ๊วต...หล่อมากกกกก”

          “วร้ายยยย! ไหนนนน!” บุ๋มบิ๋มวิ่งกระโดดพุ่งตัวออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ ตามด้วยแยมที่วิ่งพุ่งพรวดพราดเข้ามาหาเบบี้เพื่อจะดูรูปผู้ชายที่พี่ออมแอมส่งมา โดยที่แยมไม่สนใจเลยสักนิดว่าน้ำชาไทยยังเทใส่แก้วไม่เสร็จ...พวกบ้าผู้ชาย!

          ผมจึงเดินไปหยิบแก้วชาไทยปั่นเอามาให้เบบี้เอง พร้อมกับทาร์ตไข่อุ่นๆ สองที่ของเธอ แล้วผมก็มองอยู่จากทางด้านหลังเพราะตัวสูงกว่าคนอื่นๆ

          แต่ก็เห็นแค่หน้าแชทไลน์ที่กำลังโหลดรูปภาพแล้วหมุนติ้วๆๆๆ อยู่แบบนั้นเป็นเวลานาน ไม่ได้ดั่งใจเลย อยากเห็นเหมือนกันว่ะ ฮ่าๆๆ

          “โอ้ยเน็ตช้า!” บุ๋มบิ๋มโวยวาย

          “เออ เมื่อไหร่จะได้ดูเนี่ย!” แยมเริ่มหงุดหงิดตามกับไวฟายเจ้ากรรมของร้านนี้

          พอผมหันไปก็พบว่าเครื่องเราน์เตอร์ไวฟายมัน... “เน็ตล่ม...”

          “เง้ออออออออ! แล้วกูจะดูพี่มิกซ์ยังไง! วันนี้ไม่ได้เติมเน็ตมา! จะบ้าตายยยยยยย!” บุ๋มบิ๋มโวยวายอย่างบ้าคลั่ง

          “งื้อออ...แย่เลย วันนี้ก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ กะจะมาดูซีรี่ส์ตากแอร์เย็นๆ สักหน่อย...เอาไว้เจอตัวจริงเย็นนี้ก็แล้วกันนะคะพี่ หล่อมากๆ จำไว้พี่ หล่อมักมากกกกก!”

          “กรี๊ด! กูจะไปมากส์หน้า!...อีบิ๋ม อีวิน ปิดร้าน! กูจะไปสปาหน้ากู กูต้องสวย กรี๊ดดดด!” ตอนนี้ทั้งร้านโหวกเหวกโวยวายไปด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของยายเพื่อนผู้หญิงสองคนนี้

          ส่วนผมได้แต่ยืนนิ่งๆ เพราะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับเรื่องพวกนี้เลย...







          ผมกลับบ้านไปแต่งตัวแล้วก็มารอพี่ออมแอมที่ห้องเสื้อจนเกือบทุ่ม

          แล้วสักพักน้องเบบี้ก็เดินมากับมุก ในมือของมุกถือกล่องของขวัญสีชมพู แน่นอนว่าต้องเอามาให้ผม “พี่ออมบอกให้ไปชวนพี่มุกมาด้วยค่ะ เห็นช่วงนี้เรียนหนัก เลยชวนคลายเครียดสักหน่อย”

          “วันเกิดวิน” ผมพยักหน้าให้ “แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ้า มีความสุขมากๆ นะ” มุกยื่นกล่องของขวัญสีชมพูมาให้ผม และทันทีที่ผมจะรับ เธอก็... “อุ้ยแม่!!!” ทำร่วง...

          โผล่ะ!

          ผมก้มลงมองตามเธออย่างตกใจเพราะของหล่น จนของในกล่องนั้นหลุดกระดอนออกมาด้านนอกแล้วกระแทกพื้นแตกกระจาย...เป็นบอลแก้วสีใสที่เธอตั้งใจเอามาให้ผม

          “หุ้ย...แตก...วิน เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ เราซุ่มซ่ามเอง เรา...”

          “โอ้ๆ ไม่เป็นไรมุก ไว้ค่อยหาอย่างอื่นก็ได้ แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว ขอบใจมากนะ”

          “แต่เราผิดจริงๆ เราขอโทษๆๆๆ” มุกยกมือไหว้จนผมเริ่มตกใจ

          “โหยมุกไม่เป็นไรจริงๆ ไม่ต้องไหว้เรา เราไม่โกรธไม่อะไรทั้งนั้น...มุกก็เป็นมุกนี่แหละ ซุ่มซ่ามตลอดเลย ฮ่าๆๆๆ”

          “วินอ่ะ...อย่าขำเราสิ”

          ปิ๊นๆ

          แล้วเสียงบีบแตรรถก็ดังขึ้นจนมุกหยุดทำหน้าบึ้งแล้วหันไปมองตามเสียง

          ด้านหน้าของผมเป็นรถเก๋งคันสีดำจอดอยู่ สักพักกระจกรถก็ถูกเลื่อนลงมาเผยให้เห็นแยมและบุ๋มบิ๋มอยู่ในรถคันนั้น กำลังยิ้มแป้นแล้นโบกมือให้ผม ด้านขวาคนขับก็คือพี่ออมแอม และนั่นก็เป็นรถของพี่แกที่ขับมาจากสนามบิน

          “ขึ้นรถกันค่ะพี่ๆ” เบบี้พูดชวนแล้วนำขึ้นรถไปทันที

          ผมนั่งเบาะหลังเบียดกันกับมุกที่นั่งซ้ายมือของผม ด้านขวาเป็นบุ๋มบิ๋ม กำลังนั่งดูคลิปเพลงอุ๋งๆ แล้วกรี๊ดกร๊าดเงียบๆ ขวามือของบุ๋มบิ๋มก็เป็นน้องเบบี้ กำลังเลื่อนๆ โทรศัพท์ดูอะไรสักอย่าง

          “สวัสดีครับพี่ออม” ผมทักเธอออกไป

          “หวัดดีๆ แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะ วันนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

          “ขอบคุณครับพี่ เกรงใจแย่เลย”

          “โหย ไม่ต้องเกรงใจ คนกันเอง รู้จักกันมาก็เกือบปีแล้วเนี่ย ทำตัวสบายๆ เถอะ พี่น้องกันทั้งนั้น...ดูแม่นางสองคนนี้เป็นตัวอย่างเหอะ เข้ามาทำงานพร้อมกัน ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของรถ” พี่ออมหยอกเล่นเบาๆ

          แยมส่องกระจกเสร็จก็เริ่มทำเสียงอ้อนแอ้น “โอ้ยยยพี่ออม ก็ไหนบอกวินว่าทำสบายๆ นี่ไงคะ สบายสุดแล้ว อย่าบ่นเลยนะจ้ะจุ้บๆ”

“ใช่ๆๆ ห้ามบ่น แก่สุดห้ามบ่นนะคะ คริๆๆๆ” บุ๋มบิ๋มเสริมบ้าง

          แล้วรถก็ขับไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่หมายที่จะกินเลี้ยงในวันนี้

          ตอนนี้คนกำลังทยอยเข้ามากันเยอะพอสมควร เป็นร้านหมูกระทะชื่อดังแห่งหนึ่งแต่ผมไม่เคยคิดที่จะมาเหยียบเลยสักครั้ง แถมยังไกลจากบ้านของผมอีกด้วย

          พี่ออมแอมพาทุกคนเข้ามาหาโต๊ะใหญ่นั่งด้านในสุดของร้านที่อยู่ใกล้ๆ กับที่ตักของพอดี เพราะจะได้สะดวกเวลาของหมด ก็ลุกไปเติมง่ายๆ

          “น้องๆ คะ วันนี้เรามาจ้ะเอ๋อาหารทะเลพอดี อยากกินไรเต็มที่เลยจ้า” พวกผู้หญิงยิ้มร่าแล้ววิ่งออกไปจากตรงนี้ทันที เหลือแต่ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี จะตักน้ำแข็งใส่แก้วให้หรือไปตักของกับยายพวกนั้น “นี่วิน...กินเหล้าเป็นป้ะ” พี่ออมถามเสียงเบาใส่ผม

          “เอ่อ...พอได้ครับ แต่คอไม่แข็ง สองแก้วก็ไปแล้ว...”

          “เดี๋ยวเพื่อนพี่จะมา เขากินเหล้ากัน ตัวเองเป็นผู้ชาย วันเกิดตัวเองด้วย กินน้อยอายเขานะรู้ไหม” พี่ออมยื่นมือมาตบบ่าผมเบาๆ แล้วหันไปล้วงกระเป๋าชาแนลราคาแพง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาใครบางคน “อยู่ไหนแล้วคะที่รักกกก...อ้อๆ โอเค ข้ามสะพานขาวก่อนนะ แล้วตรงมาเรื่อยๆ เลี้ยวซ้ายตรงร้านแว่นแล้วตรงมาเรื่อยๆ อีกที จะเห็นร้านหมูกระทะใหญ่ๆ อ่ะ มีที่จอดรถอยู่ขวามือ เอาเข้ามาจอดเลย แล้วเดินเข้ามาในสุด โอเคเนาะ...ค่ะๆ ขับรถดีๆ” แล้วเธอก็วางสาย เอาโทรศัพท์มาเลื่อนๆ ดูบางอย่าง

          ไม่นานพวกผู้หญิงก็หอบของสดของคาวเข้ามา มีจำพวกกุ้งเป็นหลัก ตามด้วยปูม้าอีกสี่ห้าตัว หอยแครงลวก แล้วก็หมึกหลอด วางเสร็จก็ไปเอาพวกเนื้อๆ ต่ออย่างดี๊ด๊า

          ส่วนมุกกับน้องเบบี้ก็ไปหอบผักสดใส่ตระกร้ามา น้องเบบี้ถือหมี่หยกกับเต้าหู้เข้ามาวางแล้วถามพี่ออม “พี่จะเอาไรไหมคะ”

          “ไปสั่งน้ำไป อยากกินอะไรก็สั่งมาเลย”

          “โอเคค่ะ” แล้วทั้งสองก็เดินออกไป






          ควันฉุยๆ เริ่มลอยโชยฟุ้งออกมา ตามด้วยเสียงกรี๊ซๆ ของน้ำมันหมูสามชั้นที่กำลังถูกย่างให้สุกหอม

          คนอื่นๆ ก็เอาหมูจ้ำลงบนกระทะอย่างเอาเป็นเอาตาย และแล้วสงครามหมูกระทะก็เริ่มต้นขึ้น ใครเป็นคนวางอันไหนก็ไม่สนใจกันแล้ว อันไหนสุก ใครไวก็ได้ไป ผมเป็นคนที่ไม่วอกเหมือนเพื่อนพวกนี้ ก็เลยได้กินแค่หมูบะช้อต้มปุดๆ ในน้ำซุป แต่ก็อร่อยดี

          พี่ออมใจดีขอถ้วยผมไปตักของใส่ให้กลัวว่าผมไม่ได้กินอะไร เพราะยายบิ๋มกับยายแยมแม่งมือไวฉิบหาย กุ้งไม่สุกก็รีบเอาออกก่อนกลัวคนแย่งแดก...อีพวกมือผี!

          ตอนนี้เหล้ามาเสิร์ฟแล้วสี่ขวด พร้อมกับน้ำแข็งล็อตใหม่

          ผมกินๆ ไปก็เห็นพี่ออมกำลังหยิบโทรศัพท์มาโทรออกแล้วสองรอบ พลางหยืดคอมองไปข้างนอกร้าน หวังว่าคนที่เธอโทรหาจะเดินเข้ามา

          คนที่ส่งมาให้เบบี้ว่าเป็นเพื่อนสจ๊วตสองคนของเธอนั่นน่ะ

          “เอ้อพี่ออม! ไหนสจ๊วต ไหนๆๆๆๆๆ” แยมเริ่มรุกถาม

          ตามด้วยบุ๋มบิ๋มที่พร้อมบวก “เออ พี่ ไหนว่าหล่อๆ เมื่อไหร่จะมาเนี่ย ลิปหายหมดละ เติมลิปแป้บ”

          “คุณน้องขาาาา...พี่จะบอกไรให้นะ ที่ว่าหล่อๆ นี่มีผัวหมดแล้วนะจ้ะ”

          “ม่ายยยยยจริงงงงง!!!” บุ๋มบิ๋มกับแยมโวยวาย

          “โอ้ยล้อเล่น! อีกคนแฟน อีกคนเพื่อนพี่ค่ะ...เอ้อ นั่นไง” พี่ออมลุกขึ้นยืนแล้วกวักๆ คนที่ยืนอยู่หน้าร้านให้เดินมาตรงนี้ “ตรงนี้ๆ! ”

          จังหวะที่ผมหันไป ก็เจอกับผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาราวกับเทพบุตร...หล่อมาก หล่อลากไส้เลย!

          เขามาในชุดธรรมดา แต่ที่ทำให้หล่อไปทั้งตัวก็คือสัดส่วนส่วนสูง และหน้าตาที่เหมาะแก่การเป็นสจ๊วตมาก...โคตรหล่อ โคตรเนียน...ผมนี่หุบหน้าตัวเองหนีเลยครับ

          แล้วเขาก็เดินเข้ามายืนข้างโต๊ะของพวกเรา แจกรอยยิ้มละลายหัวใจสาวๆ ที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะนี้ ทุกคนมองตาค้าง บุ๋มบิ๋มที่กำลังเอาหมูสามชั้นเข้าปากก็ทำหลุดตกพื้นไปเลย

          “พี่เก่งสวัสดีค่ะ” น้องเบบี้ยกมือไหว้ “นี่แฟนพี่ออมค่ะ เป็นสจ๊วต หล่อไหมล่ะ”

          “ฮือออออ หล่อมาก...หล่อวัวตายควายล้มทับ หล่อๆๆๆๆ โอ้ยจะเป็นลม! อีบิ๋ม! เอาโทรศัพท์กูมาเร็ว มือกูเปื้อนกุ้งเนี่ย กูจะถ่ายรูปเก็บไว้! เร็วๆๆๆ”

          แต่บุ๋มบิ๋มไม่สนใจ “สวัสดีค่ะพี่เก่ง น้องชื่อบุ๋มบิ๋มนะคะ!” เธอเริ่มออกตัวแล้วก็โดนแยมตีไหล่ดังผัวะ! “โอ๊ย! ไรมึงอีแหยม!”

          “ผัวพี่ออม ใจเย็นค่ะ สติ!”

          “แหม อีกะปอม ไม่ดูตัวเองเลยค่ะ! เนาะพี่เก่ง” บุ๋มบิ๋มส่งสายตาปริบๆ แอ๊บแบ๊วให้

          “เออเก่ง ละไอ้นั่นไปไหน ไหนว่ามาด้วยกันไม่ใช่?”

          “มันไปเข้าห้องน้ำมั้ง เดี๋ยวก็มาละ”

          “อ้อๆ งั้นนั่งก่อน จะกินเลยป้ะ” พี่ออมมองไปที่เหล้า ทุกอย่างอยู่ในสายตาของผมเงียบๆ และนั่งกินไปเรื่อยๆ จนเริ่มจะอิ่ม

          “เดี๋ยวรอมันมาก่อน ให้มันเปิดคนแรกสามเป๊งเลย คอแข็งฉิบหาย แดกไวน์เมืองนอกคนเดียวยังเดินตรงได้” คนไรวะ...หน้าก็หล่อ เสียงละมุนสัส พี่ออมไม่หลงตายห่าเหรอเนี่ย...

          “นั่นไงๆ มาละ” ทุกคนในที่นี้หันจับจ้องไปยังผู้ชายอีกคนที่เดินเข้ามาอยู่ที่หน้าร้าน

          ผมกำลังจะหันไป ก็เริ่มเกิดอาการสำลักของแดกในปาก

          แค่กๆๆๆ

          ผมไอออกมาราวกับคนจะตายแต่ก็ไม่มีใครสนใจผมเลยสักคน เอาแต่ไปสนใจผู้ชายคนนั้น

          ผมไอต่อเนื่องจนน้ำตาแตก เพราะเหมือนมีเศษอาหารหลุดเข้าไปในปอด จึงรีบก้มมองหาถุงพลาสติกเพราะเหมือนกำลังจะอ้วกออกมา มือบนก็เริ่มลนลาน หาแก้วน้ำของตัวเองแล้วก็จับเจอจนได้ เริ่มคายของออกมา เหมือนจะเป็นกระดูกปลาหมึกสีใส ผมถุยลงไปในถูกพลาสติก ทำไมตอนแดกผมไม่ดูก่อนวะเนี่ย...สงสัยหิว อะไรแดกได้ก็แดก แต่ผมก็ยัง...

          แค่กๆๆๆๆ

          ไอจนตาโปน แล้วก็ค่อยๆ จิบน้ำอย่างช้าๆ จนเริ่มบรรเทาอาการสำลักลงได้แล้ว

          “ฮึ้ยยยมึ๊งงงงง...หล่อกว่าพี่เก่งอีก...คนไรวะ เป็นผัวหนูเหอะพี่” เสียงแยมออดอ้อนกำลังเต๊าะผู้มาเยือนคนใหม่ แต่ผมยังไม่อยากหันหน้าไปเพราะว่าน้ำตาเปรอะจากการสำลัก คนอื่นเห็นจะอายเขา

          ผมจิบน้ำเข้าไปอีกรอบหนึ่งจนรู้สึกดีขึ้น ค่อยๆ หยิบทิชชูแล้วมาซับหน้าซับตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา

          “คนนี้เพื่อนพี่นะ เพิ่งย้ายมาอยู่เที่ยวบินเดียวกับพี่ไม่กี่เดือน จะบอกว่าชื่อน่ารักเหมือนหน้าตาเลย...แนะนำตัวสิคะเพื่อน”

          “สวัสดีครับ พี่ชื่อยิ้มนะ...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเขินๆ และเสียงมันคุ้นๆ ยังไงไม่รู้

          ผมได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองเขาอย่างเร็วรี่...ก็ต้องทำตาเบิกโพลง หัวใจเต้นตุบๆ อย่างไม่คาดคิด และไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ อะไรคือการที่เขา...มาอยู่ตรงนี้ได้

          เขาหันเข้ามาสบตากับผมที่นั่งอยู่ด้านในสุด...จนผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตัวชาทันทีที่สบตากัน

          แก้วน้ำหลุดมือไปด้วยอาการสั่นชาที่เกิดขึ้น

          เพล้ง!

          ทุกคนหันจ้องมาที่ผมเมื่อได้ยินเสียงแก้วตกแตกกระจาย

          น้ำตาร้อนๆ เริ่มปริมขึ้นมาที่ขอบตาหลังจากที่ไม่ได้ร้องไห้มาเกือบปี...

          ใครคนนั้นที่ตายไปแล้ว...

          “ไอ้ยิ้ม...”



FOLLOWER

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          อย่าทิ้งฉันไป [4]


          น้ำตาของผมไหลร่วงออกมาอย่างไม่ขาดสาย มันไหลออกมาเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่ยากเกินอธิบาย

          ที่เด่นชัดอยู่ตอนนี้ ก็คือความคิดถึงอย่างสุดซึ้งที่จางหายมาตลอดเกือบปีนี้...

          อะไรคือการที่เขามาอยู่ตรงนี้ ที่นี่...เขาไม่ได้ตายไปแล้วเหรอ!?

          หรือว่าจะเป็นคนหน้าเหมือนกันแน่...ไม่ใช่...ต้องไม่ใช่คนหน้าเหมือนเขาสิ...แต่นั่นคือเขาตัวเป็นๆ เลยต่างหากล่ะ!

          และชื่อยิ้มนั่นก็ชื่อของเขาไง!

          ความคิดแง่ลบของผมก็แทรกเข้ามาในสมองจนผมเริ่มคิดไม่ดีขึ้นมา...การที่ผมคิดว่าเขาเสียไปแล้วตลอดเกือบปี แต่มาตอนนี้...เขายังเหมือนใช้ชีวิตหลังจากวันนั้นมาอยู่ตลอด...เขาดูแฮปปี้...ดูมีความสุขกว่าแต่ก่อน เขาดูหล่อขึ้น ขาวสะอาดมาดเนียบ และดูเหมือนจะล่ำๆ ขึ้นด้วย... แถมพี่ออมแอมยังบอกว่า เขาย้ายมาอยู่เที่ยวบินเดียวกัน แล้วก็เป็นเพื่อนมาโดยตลอดเลย...

          ที่ผ่านมา...ถ้าเขาไม่ตายไปแล้วจริงๆ...ทำไมเขาถึงไม่มาเจอผมเลยสักครั้ง ทำไมถึงต้องปล่อยให้ผมรอคอยปาฏิหาริย์ในช่วงนั้นอยู่คนเดียว...เขาไม่รู้เลยใช่ไหมว่าหัวใจของผมมันแหลกสลายแค่ไหน เพียงแค่รู้ว่าเขาไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไป...และที่ล่ำลากันเมื่อวันนั้น...คำสัญญาวันนั้นที่เขาพูด เหมือนเป็นแค่คำหลอกลวงของเขา เพื่อที่จะพูดให้ผมเชื่อว่าเขาตายแล้ว...ให้ผมใช้ชีวิตอยู่กับความเดียวดายอย่างมีความสุขอย่างนั้นเหรอ

          หรือว่าการตายหน้าห้องเขาเป็นการจัดฉากขึ้นมาเพื่อที่จะตีตัวออกห่างจากผม อันที่จริงเขาฟื้นตั้งนานแล้วต่างหาก! ทั้งเขาทั้งแม่ของเขาหลอกผม...และคนคนนั้นที่มาคว้าตัวผมไว้ไม่ให้รถชน เขาก็คงจ้างมาอีกสินะ...แถมยังขโมยจูบผมอีก...อะไรวะ อย่าพูดไปเองสิกวินท์!

          ผมคิดในใจแล้วจ้องหน้าเขาอยู่แบบนั้นท่ามกลางม่านน้ำตาที่โหมกระหน่ำ...ผมก็ไม่อยากจะคิดไปเองแบบนี้หรอกนะ ทุกอย่างอยู่ที่คำปากเขาทั้งหมด...แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากรับฟังอะไรเลยสักอย่างจากเขา...ผมรู้สึกเสียใจมากกว่าด้วยซ้ำ

          แล้วเขาก็หลบหน้าผม ทำให้ใจของผมยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเข้าไปอีกเป็นพันเท่าทวีคูณ

          ทุกคนหันมาจ้องผมเงียบๆ ในขณะที่ผมเริ่มเหม่อลอย

          พี่ออมแอมเห็นท่าไม่ดี ก็พูดเรียกผมให้ได้สติ “วิน...” ผมได้สติก็ผละสายตาออกจากใบหน้าของเขา “วิน!”

          ผมรีบเช็ดน้ำตาป้อยๆ ให้แห้งเหือดไปแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ไว้ตอนนี้ “ครับพี่...”

          “ร้องไห้ทำไม มีเรื่องอะไรบอกพี่ได้นะ...” พี่ออมแอมถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

          “เอ่อ...อ๋อ! ไม่ใช่ร้องไห้ครับ คือ...ลมมันพาควันพัดเข้าตาครับ แสบตา...” โกหกอีกแล้ว...ไม่เนียนเลยนะนั่น

          แถมพี่ออมแอมก็เหมือนจะดูออก “อ๋อ...โอเค แล้วนี่รู้จักกันด้วยเหรอ ทำไมจ้องหน้าเพื่อนพี่แบบนั้นล่ะ”

          “...” จะตอบไปดีไหมนะ...เขาเล่นหลบหน้าผมแบบนี้... “ไม่ครับ...ไม่รู้จัก” เขาคงต้องการแบบนี้แหละ เพราะที่จ้องหน้ากันเมื่อกี้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขายังไม่สะทกสะท้าน หรือจะทำอะไรให้รู้เลยว่าเขาเองก็อยากเจอผมเหมือนกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน...ทำไมเขาถึงได้นิ่งแบบนี้ล่ะ...รู้ไหมว่าตอนนี้ผมแทบจะไม่ไหวแล้ว

          “ไม่มีอะไรก็กินต่อจ้ะทุกคนนนน ของกินเย็นหมดแล้วเนี่ย เชิญคุณยิ้มนั่งก่อนค่ะ แหม...เห็นน้องน่ารักหน่อยก็มองใหญ่เลยนะ เป็นเกย์ป้ะเนี่ย! ”

          ผมก้มหน้างุด กินๆ ของในถ้วยด้วยอารมณ์ที่เฉยชากับทุกสิ่งทุกอย่าง...จากที่หิวๆ ก่อนหน้ากลับรู้สึกไม่อยากกิน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น นอกจากคิดถึงแต่ว่าจะกลับบ้าน แล้วไปร้องไห้หนักๆ อยู่คนเดียว

          ยิ้มค่อยๆ นั่งลงข้างๆ พี่เก่งเงียบๆ

          มือเรียวขาวเอื้อมไปหยิบเหล้าสีสนิมอ่อนที่วางอยู่ที่ตั้งน้ำแข็งข้างๆ โต๊ะออกมาหนึ่งขวด ก่อนจะรีบเปิดฝาแล้วเทเหล้าลงไปในแก้วที่ยังไม่ได้ใส่น้ำแข็งสักก้อน แล้วจู่ๆ ก็กระดกมันเข้าไปพรวดเดียว แล้วไม่มีท่าทีว่าจะขมเขียวแต่อย่างใด เขากลับทำนิ่งๆ เหมือนดื่มน้ำเปล่าธรรมดา

          ต่อด้วยการเทรอบที่สอง แล้วก็กรอกพรวดเดียวอีกครั้งหนึ่ง

          พี่ออมแอมเห็นแบบนั้นก็ตาเบิกกว้าง เพราะตกใจกับการกระทำของเขา “เห้ยๆๆ ไอ้ยิ้ม!...แดกเหี้ยไรขนาดนั้นวะ ใจเย็นๆ ดิ เหลืออีกตั้งสามขวด ค่อยๆ แดก...คืนนี้ยังอีกยาวจ้ะ รีบไปไหนคะพ่อคุณ”

          “ปรกติของมันนั่นแหละ ตอนอยู่โรงแรมที่ปารีส ก็นั่งแดกคนเดียวเงียบๆ แบบนี้...เห็นหน้าหล่อๆ ใสๆ แบบนี้ เรื่องเหล้าเรื่องเบียร์กูแพ้มันครับ” พี่เก่งพูดไป ไอ้ยิ้มก็กรอกเข้าปากอีกพรวดเป็นแก้วที่สาม

          “เออ กลัวแล้ว...เหล้าไทยแรงนะเว้ย จะบอกให้” พี่ออมแอมพูดอย่างหน่ายๆ ส่ายหัวให้กับเขาตรงหน้า...ผมยังคงอดใจไม่ได้ หันไปลอบมองเขาเงียบๆ แต่เขาก็ได้แต่ทำนิ่ง ทั้งๆ ที่ผมนั่งร่วมโต๊ะกับเขาอยู่ตรงนี้...สิ่งที่ผมคิดในใจ มันคงจะเป็นเรื่องจริง

          “วิน...วันนี้มึงเป็นอะไรวะ ทำไมเงียบๆ” แยมที่นั่งข้างผมพูดขึ้น

          “เออ วันเกิดทั้งที แฮปปี้หน่อยดิวะ มาๆ ถ่ายรูปกับกูก่อน...ยิ้มมมมมมมมมมมมม” บุ๋มบิ๋มคล้องคอผมไปถ่ายรูป แต่ความรู้สึกรำคาญกลับมีมากกว่า ผมจึงค่อยๆ ถอนมือเธอออกจากคอผมอย่างไม่ตั้งใจจนเธอหน้าเจื่อน

          “ขอโทษนะ...ขออยู่เงียบๆ ” เธอมองผมแล้วพยักหน้า แต่ก็ยังไม่เข้าใจนักหรอก

          สักพักพี่ออมแอมก็ทักผมที่ก้มหน้าอยู่เงียบๆ “น้องวินจ๋า วันนี้วันเกิด...เอาสักหน่อยสิ” ผมเงยหน้ามอง แล้วก็เจอกับแก้วที่มีน้ำสีเหลืองทองฟองฟู่ๆ สีขาวกำลังฟูเกือบล้นออกมาจากขอบแก้ว “กินเหล้ามันแรงไป กินเบียร์นี่แหละ เบาๆ ก่อน”

          ผมมองอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจรับแก้วนั้นมา
 
          “กินเลย! กินเลย! กินเลย! กินเลย!” ทุกคนเริ่มปรบมือออกเสียงเชียร์ผมให้กินของเหลวสีทองในแก้วที่ผมถือนี้ ก่อนที่ความรู้สึกบางอย่างจะทำให้ผมมองแก้วเบียร์นี่เปลี่ยนไป จากที่แหยงๆ ปากก็รู้สึกอยากกินมันขึ้นมา ผมจึงรีบซัดลงปากจนหมดแก้วทันที...ขมสัส!

          “ฮิ้วววววววววววว! ” เสียงทุกคนปรบมือดีใจเมื่อเห็นผมกินเข้าไป แต่ไอ้ยิ้ม...กลับไม่มองมาที่ผมสักนิดเดียว

          ความรู้จุกขึ้นมาในใจเกิดขึ้นอีกครั้ง...ผมอยากร้องไห้อีกแล้ว

          “วันนี้เป็นวันเกิดวิน ให้วินเลือกมาเลยค่ะ ว่าจะให้ใครกินแก้วนี้เป็นรายต่อไป” พี่ออมยกแก้วน้ำสีเหลืองทองขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง

          ถึงแม้จะไม่อยากเล่น...แต่ก็ทำๆ ไปอย่างนั้นแหละ เพื่อให้บรรยากาศตอนนี้มันไม่มาคุเพราะผม เกรงใจพี่ออมแอมด้วยอีกคน

          ผมมองผ่านไปที่เบบี้ แล้วเธอก็เริ่มทำสีหน้าร้องขออย่างสุดฤทธิ์พลางพนมมือไหว้ผม “งื้อออ พี่วิน อย่าเลือกหนูนะ หนูเพิ่งจะสิบห้าเองงง”

          แล้วผมก็มองไปที่มุก “วิน...เราไม่สบาย เราเจ็บคอ...”

          ต่อไปก็ลากสายตาไปที่แยม “วินนนน! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ กูแพ้เบียร์! ”

          “ตอแหล” เสียงบุ๋มบิ๋มดังขึ้นเบาๆ จนแยมมองเพื่อนเธอตาถลึง

          “งั้นมึงกินไหมล่ะอีบิ๋ม!” แยมย้อน

          “ไม่! กูคนดี ปะป๊ากูด่าตายห่าทำไงล่ะ”

          แล้วผมก็เลือกไม่ได้ใช่ไหม ตอนนี้ทั้งพี่ออมแอมและพี่เก่งก็กำลังกระดกเหล้าเข้าปากเงียบๆ และเหลือแต่ไอ้ยิ้มที่นั่งเงียบมองหมูบนกระทะอยู่...

          “เลือกได้ยังจ้ะ” พี่ออมแอมผละออกจากแก้วแล้วมองมายังผม

          “ผมกินเองแล้วกันครับพี่...”

          “งั้นโอเคเบรยจ้าาา ฝึกไว้ จะได้คอแข็งๆ ” พี่ออมแอมเลื่อนแก้วเบียร์มาให้ผม ผมจึงเลื่อนมือเข้าไปรับ แต่จู่ๆ ก็ถูกมือหนาคว้าไปอย่างเร็วรี่

          “เดี๋ยวกินเอง” แล้วแก้วนั้นก็ถูกกรอกเข้าปากจนเกลี้ยงภายในไม่กี่วินาทีจนผมตกใจ จึงค่อยๆ เก็บมือตัวเองลงไปทันที แล้วความรู้สึกที่ต้องทนมาตั้งแต่ต้นมันแทบจะระเบิดออกมา...เขาที่ยังทำเฉย! แต่ทำไมยังทำเหมือนมีผมอยู่บนโต๊ะนี่อยู่ล่ะ ทำไมไม่เฉยๆ ไปเลยวะ!

          น้ำตาเริ่มปริ่มออกมาอีกครั้งหนึ่ง...ผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้น ก่อนที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้วระเบิดกลางโต๊ะนี้ไปเสียก่อน “พี่ออมครับ...ขอบคุณที่พาผมมากินเลี้ยงด้วย แต่ผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมยกมือไหว้ แล้วลุกเดินออกไปจากตรงนี้ทันที

          “อ้าววิน! ไปไหนวิน! กลับมาก่อน!” ผมไม่สนใจเสียงเรียกของพี่ออมแอม แล้วเดินออกไปยังหน้าร้านอย่างรวดเร็ว...ผมเลือกที่จะหยุดเดินแล้วมองหันกลับไปอีกครั้งด้วยความหวังเล็กๆ ในใจว่าเขาจะเดินตามผมมาด้วย...แต่เขาก็ไม่มา

          ผมคงคิดถูกแล้วจริงๆ...







          ผมนั่งแท็กซี่กลับบ้านอย่างเลื่อนลอย...

          อันที่จริง มีคนที่ตามผมมาครับ ก็คือพี่ออมแอม...

          แต่เธอก็ไม่ทันผม เพราะกว่าจะมาถึงผม แท็กซี่ก็เคลื่อนตัวออกไปแล้วเรียบร้อย จนผมรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ...แต่จะยังไงก็ช่าง...ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ผมควรอยู่...เป็นผีก็หลอกกู...เป็นคนก็มาหลอกกูอีก ทำไมเขาถึงหลอกกูได้ซ้ำซากแบบนี้นะ!

          ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วน้ำตาล็อตที่เท่าไหร่ไม่รู้ก็ไหลพรั่งพรูออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจทั้งหมด ก่อนจะค่อยๆ นอนห่อตัวแล้วกอดตัวเองไว้แบบนั้น...

          ทำไมถึงเอาหัวใจของคนอาภัพดวงนี้ไปรักคนอย่างไอ้ยิ้ม...เขาไม่เห็นจะสนใจผมเลยสักนิด ทำไมวันนั้น...ผมถึงไม่เลือกเด็ดขาดไปว่าจะตัดขาดกับเขา...ทำไมถึงยังใจอ่อน ยอมคุยกับเขาทั้งๆ ที่ยังเป็นผี...

          ถ้าทำไปแบบนั้นตั้งนาน ผมก็คงไม่เจ็บอยู่แบบนี้หรอก!

          ความคิดอะไรไม่รู้ พาผมวิ่งไปที่ชั้นล่าง แล้วตรงไปที่ห้องครัว...

          ส้อมมันวาวถูกหยิบขึ้นมาต่อหน้าผม...ก่อนจะจ้องมันแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง “กูรู้สาเหตุที่ทำให้กูต้องเจ็บปวดแล้วไอ้ยิ้ม...ดวงตาของกูนี่ไง เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง...” ผมเลื่อนมือที่ถือส้อมเข้ามาใกล้ดวงตาเรื่อยๆ หัวใจเต้นตุบๆ อย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด “ถ้าวันนั้นกูไม่เห็นมึง...กูก็ไม่รักมึง...และถ้ากูไม่โง่โดนมึงหลอก วันนี้กูก็คงไม่เจ็บปวดแบบนี้หรอก...มึงรู้ไหม มึงมันเห็นแก่ตัว! ไอ้ยิ้ม! ” ผมเบิกตาโพลงแล้วดันส้อมด้ามแหลมเข้ามาในตาของตัวเอง

          “กวินท์! หยุด!!! ” แต่ก็ไม่ทัน มีใครคนหนึ่งพุ่งตัวมาทางผมแล้วง้างมือผมให้ส้อมห่างจากดวงตา “ทำไมถึงทำแบบนี้! ” เขาจับข้อมือผมไว้แน่นจนผมสะบัดไม่หลุด

          “ปล่อยกูเถอะยิ้ม...”

          “ไม่ ผมไม่ปล่อย คุณอย่าโง่ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้สิ! ” เสียงเขาเหมือนจะร้องไห้

          “ก็กูโง่ไง...มึงเห็นกูเป็นอะไรอ่ะยิ้ม...ทำไมถึงทิ้งกู! ไม่เคยมาหากูเลยเป็นปี มึงรู้ไหมว่ากูเจ็บปวดแค่ไหน อยากเจอมึงแทบตาย แต่ก็รู้ได้แค่ว่ามึงตายไปแล้ว! ” ผมพยายามสลัดข้อมือของเขาออก แต่มันก็แน่นขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มปวด “แล้ววันนี้มึงก็กลับมา...กลับมาทำไม กลับมาแล้วทำแบบนี้กับกู เล่นกับกูแบบนี้มันสนุกมากเหรอ ทำไมมึงไม่ตายๆ ไปจริงๆ วะ!!! ” ผมตะคอกร้องไห้ออกมาน้ำตาไหลอย่างไม่ขาดสาย ความเจ็บปวดที่เขาทำ มันมากมายเหลือเกิน... “ปล่อยกูทำเถอะยิ้ม...”

          “ไม่!...ผมไม่ปล่อย” เขาเลื่อนมืออีกข้างหนึ่งเข้ามาจับเอาส้อมในมือผมแล้วดึงขว้างไปให้ไกล

          “...”

          แล้วเขาก็ปล่อยมือออกจากข้อมือของผม เปลี่ยนเป็นกอดแทน...“ผมขอโทษ สำหรับความรู้สึกที่เสียไปของคุณ...ขอโทษที่ทำให้ต้องเจ็บปวดใจ...ผมเองก็เจ็บปวดเหมือนกัน ตั้งแต่ที่คุณบอกออมแอมไปว่าไม่รู้จักผม...แต่คุณไม่ผิดหรอกนะกวินท์ ผมเองที่ผิด...ผมเองที่ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่เงียบ...ผมรู้แล้วว่าความเงียบมันฆ่าคนได้จริงๆ...และผมไม่อยากเสียคุณไป กวินท์...”เขากอดกระชับผมแน่นขึ้น แต่น้ำตาผมก็ยังคงไหลไม่หยุด “ผมรักคุณ...”

          ทันทีที่เขาพูดออกมาแบบนั้น...ผมก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่มีต่อผมมากมายและอบอุ่นเหลือเกิน...ความรู้สึกต่างๆ ภายในจิตใจผมตอนนี้ กลับค่อยๆ เจือจางลงอย่างช้าๆ

          ผมจึงเลื่อนตัวกอดเขากลับอย่างแนบแน่น แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังระงมราวกับเด็กน้อย จนเขาลูบหัวผมป้อยๆ ทำเหมือนกับผมเป็นเด็กน้อยกำลังโดนกอดปลอบจริงๆ...รู้สึกดีจังเลย

          คนที่กอดผมตอนนี้ ผมมั่นใจได้ว่าเขาเป็นคนจริงๆ...ตัวเขาอุ่น และกลิ่นเหล้าหึ่งฟุ้งกระจายไปทั่ว...ผมดีใจที่เขายังไม่ตาย แต่ผมยังไม่หายดีหรอก...ทุกอย่างผมต้องได้รับการฟังจากคำอธิบายของเขา

          ผมกับไอ้ยิ้มค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกจากกันอย่างช้าๆ

          ผมมองหน้าเขาให้เต็มดวงหน้า นัยน์ตาคมเฉี่ยวจ้องมองผมกลับมาด้วยความรักและความคิดถึงที่ห่างหายกันไปนาน ก่อนจะเลื่อนมือเรียวเข้ามาเช็ดน้ำตาบนหน้าให้ผมอย่างอ่อนโยน “อย่าร้องไห้ไปเลยนะคนดี...”

          “เล่าความจริงทุกอย่างให้กูฟัง... เดี๋ยวก็หยุดเอง”







          “นี่...พี่รู้มาตั้งนานแล้วเหรอ เรื่องผมกับไอ้ยิ้ม...” ผมพูดออกไปให้พี่ออมแอมและทุกคนฟัง

          จะบอกว่าเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ ทั้งพี่ออมแอม พี่เก่ง แยม บุ๋มบิ๋ม มุก และน้องเบบี้ ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด แล้วยืนเอาใจช่วยไอ้ยิ้มกับผมอยู่นอกประตู

          “ใช่...คืองี้นะ ยิ้มน่ะ เขา...” เสียงกระแอมของไอ้ยิ้มดังขัดจนพี่ออมแอมหยุดพูด และทุกคนในที่นี้ดูตั้งใจฟังกันเหลือเกินนะ เงียบดีเชียว

          “ให้กวินท์ถามเองเถอะครับ จะได้ตอบทุกอย่างที่เขาสงสัย” ยิ้มพูดแล้วมองมาที่ผมอย่างจริงใจ

          “ก็...เล่าทุกอย่าง ตั้งแต่วันนั้นให้ผมฟังก็แล้วกัน เอาตั้งแต่แรกจนจบ ห้ามขาดตอนเด็ดขาด!” ผมทำเสียงเข้มจริงจังใส่คนตัวสูง

          “สาเหตุที่ผมเกิดอาการช็อก หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเมื่อวันนั้น..เป็นเพราะว่าวิญญาณของผมยังเชื่อมต่อกับร่างกายตัวเองอยู่ หมายความว่าผมยังไม่ตายนั่นแหละ แต่ก็ยังกลับเข้าร่างไม่ได้ ด้วยสาเหตุที่ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน เรื่องก่อนหน้านั้นทำให้คุณต้องเข้าโรงพยาบาลนานหลายเดือนเลยทีเดียว...พอคุณฟื้น ผมก็พยายามไปหาคุณ...แต่ตอนนั้นคุณกลับไม่เห็นผมอีกแล้ว สัมผัสพิเศษของคุณถูกปิดไปทั้งหมด ผมเสียใจและขาดสติ จึงกระวนกระวายหนักไปหน่อย ลืมไปเลยว่า ถ้าดวงจิตผมรู้สึกอย่างไร ร่างกายก็จะตอบสนองแบบเดียวกัน จึงเกิดอาการช็อกจากเบาแล้วก็หนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วคุณก็ขึ้นไปหาผมตอนนั้น ตะโกนเท่าไหร่คุณก็ไม่ได้ยิน...จนผมหัวใจหยุดเต้นเสียชีวิตไปครับ”

          “เดี๋ยวค่ะ...ที่เล่ามานี่...พี่ยิ้มเคย...ตายเหรอคะ! ” น้องเบบี้พูดแทนความสงสัยของคนอื่นๆ ที่นั่งฟังอยู่ แล้วยิ้มก็พยักหน้าให้ “โอ้แม่เจ้า...”

          “เล่าต่อค่ะ มันขาดตอน” แยมเตือน แล้วยิ้มก็เข้าเรื่องต่อ

          “วันนั้นเอง ผมก็ใช้พลังสุดท้ายของตัวเองดลใจให้คนที่ผมใช้ร่างได้คนนั้น มาที่โรงพยาบาล เพื่อที่ผมจะใช้ร่างเขาเพื่อไปเจอกวินท์แล้วช่วยคว้าตัวเขาไม่ให้ถูกรถชน...แล้วผมก็ช่วยได้”

          “แฟนตาซีมาก...” เบบี้พึมพำเสียงดัง

          “ผมไร้หนทางและสิ้นหวังมาก ผมกลับมาที่ร่างของตัวเอง แล้วก็เจอเข้ากับวิญญาณคุณย่าและคุณพ่อของผม...ผมก็เข้าใจว่าท่านมาลาผมครั้งสุดท้ายแน่ๆ...แต่ท่านกลับมาช่วยเหลือผม รวมแรงบุญทั้งหมดที่มี เปิดทางให้ผมได้เข้าร่างอีกครั้ง เพราะผมยังไม่ถึงอายุขัย...แล้วผมก็ตื่นขึ้นมาในร่างของตัวเองอีกครั้งจนบุรุษพยาบาลที่เข็นร่างผมบนเตียงตกใจมาก...หลังจากนั้นผมก็เป็นข่าวใหญ่อยู่พักหนึ่งเรื่องคนฟื้นได้ มีคนมาทำข่าวกับผมหลายช่องเลยล่ะ...คุณไม่เห็นข่าวผมเหรอ”

          “หงึ...ไม่รู้เรื่องไรเลย...ตัดขาดจากโซเชียลไปนานแล้ว”

          “อ๋อออออออ...ข่าวนั่นพี่ยิ้มเองเหรอคะ จำไม่ได้เลย” บุ๋มบิ๋มพูด

          ยิ้มยิ้มให้แล้วเล่าต่อ “แล้วหลังจากที่ตาแม้นเสีย...ผมก็บินไปอยู่ญี่ปุ่นกับแม่ต่อเลย”

          “หา...ตาแม้น...เสียแล้วเหรอ! ” ผมพูดด้วยความตกใจสุดขีด

          “ครับ...แกเป็นโรคชรา จากไปแบบเงียบๆ...ไว้วันหลังเราไปเยี่ยมท่านกันนะครับ” ผมยังคงตกใจไม่หาย แล้วก็พยักหน้าให้เขาเบาๆ

          “ผมกลับมาไทยเมื่อไม่กี่เดือน เพราะอยู่ที่โน่นผมเรียนต่อโทเป็นสจ๊วต...ก็ได้กลับมาไทย สอบเป็นสจ๊วต ย้ายสายการบินแรกมาอยู่สายการบินที่สอง แล้วก็เจอออมกับเก่งนี่แหละ คราวนี้เลยได้กลับมาครับ...”

          “อ๋อ...แบบนี้นี่เอง” ผมเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้งหมดแล้วสินะ

          “ก็นั่นแหละ ยิ้มมันก็เล่าให้พี่ฟังตอนทำงานด้วยกัน บินไปนั่นไปนี่ด้วยกันบ่อยๆ ...จะบอกว่ามันไม่ได้เป็นเกย์หรอกนะ...”

          “...” จู่ๆ ผมก็พูดอะไรไม่ออก

          “แต่มันชอบกวินท์...”

          “ห้ะ!!! ”จู่ๆ ผมก็หูร้อนผ่าวขึ้นมา บุ๋มบิ๋มกับแยมตกใจพร้อมกันเสียงดัง

          “นี่พี่ยิ้ม...ชอบวินเหรอคะ!? ” แยมถามพลางทำหน้าเหลือกหลนตาโปนด้วยความตกใจ

          “ที่มันชอบ ไม่ใช่ความใคร่ของชายรักชายจ้ะชะนี...แต่เขาชอบ ด้วยจิตใจ...กวินท์เป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น แถมยังน่ารักอีก...ประมาณว่า...นิสัยตรงสเป็คก็เลยสปาร์ค” แล้วพี่ออมแอมก็หันมาหาผม “เนาะน้องวิน...เห้ยยยยย ทำไมหน้าแดงงงงงง”

          “อะไรพี่ ผมไม่...”

          “ฮั่นแน่ๆๆๆ เขินๆๆๆๆ” คนอื่นแซวผมจนไปต่อไม่ถูก จนเกิดเสียงหัวเราะลั่นไปทั้งวง

          “เห้ยยย อย่าล้อผมสิทุกคน” แล้วผมก็หันไปมองไอ้ยิ้มที่กำลังยิ้มอ่อนๆ ให้ผมอยู่ มันเองก็ล้อผมอยู่เหมือนกันนั่นแหละ “โอ้ย! ” ผมยืนขึ้นอย่างควบคุมอารมณ์เขินตัวเองไม่ไหว “กลับบ้านๆ วินจะนอนแล้ว” ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วจะขึ้นบันได้ หันหลังให้พวกนั้นเพราะตัวเองกำลังยิ้มจนแก้มแทบจะปริแตกแล้วโว้ยยย...เขินสัส!

          “พวกพี่กลับก่อนเลยครับ...คืนนี้ผมอยู่เป็นเพื่อนกวินท์...” เหี้ยไรเนี่ย! ไอ้ยิ้ม! “คงไม่ว่าอะไรผมใช่ไหม...ถ้าจะค้างที่นี่รำลึกความหลัง” ยิ้มหันมาพูดทางผม

          “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!” เสียงพวกผู้หญิงหวีดร้องเสียงดังรับไม่ได้กับสิ่งที่ไอ้ยิ้มพูด

          ทุกคนพากันเดินออกไป แล้วอวยพรให้ผมคืนนี้ให้ขอให้หลับฝันดี...ผมยังนิ่งอยู่ที่บันได หันกลับมองไปก็เจอแต่ไอ้ยิ้มกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มมองมาที่ผม ผมไม่รอช้า รีบวิ่งขึ้นบันไดไปแล้วเข้าห้องทันที

          คืนนี้...กูนอนไม่หลับแน่ๆ เลย ฮือ!



[จบ]
FOLLOWER

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ในที่สุดน้องกวินท์ก็มีความสุขดีใจกับน้องด้วย :pig4:

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Follower ผู้ติดตาม END (20/08/2562) หน้า2
«ตอบ #53 เมื่อ27-08-2019 21:07:28 »

เรื่องนี้สนุกมากเลยย​ เดาถูกเดาผิด​ เนื้อเรื่องดำเนินเร็วดี​ ขอบคุณ​มากนะครับบบ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: Follower ผู้ติดตาม END (20/08/2562) หน้า2
«ตอบ #54 เมื่อ16-04-2020 08:44:07 »

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด