ตอน 19
เกาะธีราในยามเช้ายังคงเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำของสายฝนและม่านหมอกสีขาวขุ่น เธเซียสจึงต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเขากำลังตามหาเจ้าชายมิโนส ที่จู่ ๆ ก็หายองค์ไปอย่างไร้ร่องรอย กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูไม้จากตรงหน้าบ้าน บุรุษผิวคล้ำจึงรีบเดินกลับเข้าไปยังด้านใน พบว่าบุรุษผู้สูงศักดิ์เสด็จกลับมาพร้อมวัตถุดิบที่ไปแลกเปลี่ยนมาจากท่าเรือซึ่งอยู่มิไกลจากเขตพักอาศัย
“มิเห็นต้องทรงลำบากเลยพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวก็ต้องกลับค่ายทหารแล้ว” เธเซียสกล่าวพลางช่วยเจ้าชายมิโนสแบกโถแอมโฟร่าที่บรรจุเหล้าองุ่นจนเต็มโถเข้ามายังห้องเครื่อง
“เราจะฝึกให้เจ้าเอง” ดำรัสอันเรียบนิ่งดังขึ้นพร้อมการปรากฎกายของบุรุษผู้ซึ่งกำลังแบกพีโรอีที่ภายในบรรจุข้าวบาร์เลย์ เธเซียสจึงได้แต่มองจ้องผู้พูดด้วยความสงสัย
แต่ในท้ายที่สุดความคิดก็ถูกกวาดต้อนให้ไปสนใจเรื่องอื่น ๆ
“พระกระยาหารมื้อนี้คือสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามเจื้อยแจ้วพลางนั่งก่อไฟกับเตาดินเผาที่มีรูปร่างคล้ายเก้าอี้ เนื่องจากเตาดินเผาทรงเตี้ยที่เห็นอยู่นี้ มีทั้งหมด 3 ขา ส่วนช่องใส่ฟืนจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่
“เราจะทำไคคีออน เจ้าช่วยต้มเหล้าองุ่นให้เราที” เจ้าชายมิโนสทรงมีรับสั่งอย่างคล่องแคล่ว
ราวกับเรื่องงานในห้องเครื่องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระองค์สนพระทัย
“ไคคีออนคือมื้อเช้าที่กระหม่อมคุ้นเคยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสย้อนถามบุรุษผู้สูงส่งแทบจะทันที เนื่องจากเขาจดจำได้ว่ารายการอาหารดังกล่าวถือเป็นเครื่องดื่มที่เหล่าข้าราชบริพารคุ้นชิน
“เจ้าคงมิรู้ว่ากองทัพแห่งจักรวรรดิครีตันคุ้นเคยกับไคคีออนมากเพียงใด” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิกระจ่างแจ้ง ทว่าเธเซียสก็ยังคงเข้าใจ
เหตุเพราะบุรุษผู้นี้ล้วนเสวยมิได้แตกต่างจากเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา
“เหตุใดพระองค์จึงมิปลุกกระหม่อมไปด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นเช่นนี้พระองค์มิต้องเสด็จกลับไปกลับมาถึงสองคราเชียวหรือ ?” หลังจากถูกเจ้าชายมิโนสแย่งชิงหน้าที่บริเวณหน้าเตา เธเซียสก็รีบเดินไปหยิบพีโรอีที่บรรจุข้าวบาร์เลย์มาให้อีกฝ่ายพลางนั่งยองตั้งคำถาม
“ถือเป็นการออกกำลังกาย” เจ้าชายมิโนสยังคงตอบคำถามอย่างมิรู้เบื่อ ขณะที่เธเซียสกำลังสำรวจเครื่องหน้าของพระองค์ในระยะประชิด โดยเริ่มตั้งแต่พระเกศาราวกับเกลียวคลื่นในยามราตรี เรื่อยมาจนถึงดวงเนตรเรียวสวยที่บางครั้งก็ฉายแววอบอุ่น และบางครั้งก็ฉายความดุดันอันน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันพระโลมจักษุ ก็พลันกระพริบไหวเป็นจังหวะเนิบช้า เมื่อความสนใจทั้งหมดกำลังจดจ่ออยู่กับไคคีออนหม้อไม่ใหญ่
“เจ้าช่วยเคี่ยวต่อจากเราที เราจะไปหยิบริคอตต้า” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางเบี่ยงสารภีมาทางขวามือ เธเซียสจึงขยับเข้าไปใกล้หน้าเตาอีกสักหน่อย ก่อนจะรับช่วงต่อจากอีกฝ่าย
เพียงแต่ในขณะที่ฝ่ามือกำลังจะแตะเครื่องทำครัว
ปลายนิ้วกลับสัมผัสหลังพระหัตถ์ของเจ้าชายมิโนสโดยมิได้ตั้งใจ
ฝ่ายผู้ถูกล่วงเกินกลับตอบรับด้วยการแย้มสรวล ทว่ามันกลับสร้างความขัดเขินมิต่างจากเมื่อค่ำคืนวาน แต่กระนั้นบรรยากาศอันเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ก็ส่งผลให้เธเซียสค่อย ๆ คุ้นชิน
ซึ่งมันก็ต้องเป็นไปโดยมิสบดวงพักตร์ของอีกผู้
กระทั่งริคอตต้าถูกเคี่ยวจนหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกับข้าวบาร์เลย์ การปรุงมื้อเช้าก็เป็นอันเสร็จสิ้น บุรุษต่างศักดิ์จึงพากันไปนั่งดื่มไคคีออนตรงบริเวณเก้าอี้ที่ทำจากไม้ยืนต้นท่อนยาว โดยทั้งสองต่างนั่งบนผืนดินและวางชามไคคีออนบนขอนไม้
ขณะที่ทัศนียภาพเบื้องหน้าล้วนเต็มไปด้วยความสดใส เมื่อสายฝนมิได้โปรยปราย ม่านหมอกจึงเริ่มจางหาย
“พระองค์กำลังทำสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากนำชามไปเก็บล้างจนเรียบร้อย เธเซียสจึงเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมรีบทูลถามอย่างตื่นตระหนก เมื่อดวงตาสบกับวรกายของเจ้าชายมิโนสที่กำลังประทับอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่
“เรากำลังมองหาดาบสำหรับฝึกการต่อสู้ให้แก่เจ้า” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยท่าทีสุดแสนภิรมย์ ราวกับเพลานี้คือช่วงเวลาที่พระองค์จะได้เล่นสนุกดังเช่นที่ใจต้องการ ฝ่ายเธเซียสจึงรีบยื่นมือออกมารับกิ่งไม้ท่อนยาวที่เจ้าชายมิโนสทรงประทานให้อย่างทันท่วงที
“บุกเข้ามา เราจะคอยรับมือเจ้าเอง” กระทั่งอาวุธจากธรรมชาติพรั่งพร้อม เจ้าชายมิโนสจึงเสด็จลงจากต้นไม้ใหญ่ ราวกับพระองค์กำลังเล่นกายกรรมพร้อมกับบริวารของเจ้าแม่ แต่กระนั้นท่าทางตั้งรับการโจมตีก็ยังดูสง่าและองอาจ สมกับเป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่
“กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่าจะมิออมแรง” บุรุษผู้ถูกท้ายทายกล่าวอย่างทะนงตนพลางแย้มยิ้มราวกับพบเจอเรื่องสนุก ฝ่ายเจ้าชายมิโนสจึงทรงตอบรับด้วยการแย้มสรวลละมุนละไม ขณะที่ฝ่าพระหัตถ์ยังคงจับกุมอาวุธอย่างแนบแน่น
ทุกย่างก้าวของศิษย์เอกจึงมิอาจทำให้พระองค์ทรงหวาดหวั่น
กระทั่งการรุกฆาตของเธเซียสนำพาให้สายลมหวีดหวิวไปตามการเคลื่อนไหว ปลายดาบจากธรรมชาติจึงพุ่งเข้าใส่ดวงพักตร์ของเจ้าชายมิโนส แต่ทว่าพระองค์กลับนำดาบกิ่งไม้ปัดป้องจากวิถีอันตราย พร้อมวาดวงแขนเป็นครึ่งวงกลม เธเซียสจึงก้มหลบได้อย่างหวุดหวิด บ่งบอกได้ดีว่าทักษะด้านการต่อสู้ของเจ้าชายมิโนสมิควรค่าแก่การประมาท
เหตุเพราะการประดาบในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่พระองค์มิได้ออมแรง
เธเซียสจึงอาศัยช่องว่างอันน้อยนิดในการตั้งรับสถานการณ์อันเสียเปรียบด้วยการฟาดฟันปลายดาบจากธรรมชาติเข้าใส่บริเวณพระปรัศว์ แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสก็ยังรับมือต่อการรุกฆาตได้เป็นอย่างดี เพลานี้สองบุรุษต่างศักดิ์จึงใช้กิ่งไม้ขนาดเหมาะมือโรมรันพันตูอย่างมิยอมอ่อนข้อ ส่งผลให้ทั้งสองต่างผลัดการรุกรับอย่างช่ำชอง
“ที่ผ่านมาเจ้าคงออมแรงอยู่มาก” เจ้าชายมิโนสตรัสพลางกวัดแกว่งดาบจากธรรมชาติพร้อมกวาดต้อนเธเซียสไปยังกำแพงหิน
“พระองค์ก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวแย้งพลางมองหาทางหนีทีไล่ เนื่องจากเขากำลังถูกกวาดต้อนให้จนมุม แต่กระนั้นเจ้าชายมิโนสก็มิยอมปลดปล่อยให้การครุ่นคิดเป็นไปอย่างง่ายดาย
พระองค์จึงรุกคืบเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างมิหยุดยั้ง
“สถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์เอกอย่างเจ้าจะหาทางเอาตัวรอดอย่างไร ?” เจ้าชายมิโนสทรงมีดำรัสถามอย่างหยอกเย้า แต่กระนั้นพระองค์ก็ประสงค์ให้เธเซียสรีบแสดงไหวพริบดังเช่นการละเล่นกับบริวารของเจ้าแม่ ซึ่งเธเซียสก็มิทำให้ผิดหวังเพราะเขาใช้กำลังกายทั้งหมดดันปลายดาบจากธรรมชาติออกไปข้างหน้า ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองอยู่ในระดับที่มิน่าหวั่นเกรง เธเซียสจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงหิน พร้อมตั้งท่ารับมือกับการโจมตีอย่างมิเกรงกลัว
“ถือเป็นโชคดีที่เรามิได้เลือกกิ่งไม้ขนาดเล็ก” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสแกมขบขันพลางเหวี่ยงกายขึ้นมายืนอยู่บนกำแพงหิน ส่งผลให้ศิษย์เอกและอาจารย์เผชิญหน้าจากคนละฟากฝั่ง โดยด้านซ้ายของทั้งคู่คือหน้าผาสูงชันที่มีท้องทะเลสีฟ้าครามรองรับอยู่ ส่วนด้านขวามือของทั้งคู่คือหมู่มวลบุปผาเหลืองอร่ามที่ส่วนหนึ่งถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำอย่างไม่ไยดี
สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดพาให้ชายกระโปรงคิลท์และเส้นผมของบุรุษทั้งสองปลิวไสวอย่างฮึกเหิม กระทั่งเธเซียสเป็นฝ่ายเปิดการโจมตี เสียงประดาบจากธรรมชาติอย่างรู้เท่าทันจึงดังกึกก้องไปทั่ว ‘โรงผลิต’
ส่งผลให้การรุกฆาตถูกกวาดต้อนจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ และจากทิศใต้ย้อนกลับมายังทิศเหนือ
ทว่าเจ้าชายมิโนสทรงมิยอมปล่อยให้สถานการณ์น่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนั้น พระองค์จึงกวัดแกว่งปลายดาบจากธรรมชาติเป็นครึ่งวงกลม เธเซียสจึงต้องก้มตัวหลบหลีกจากวิถีอันตราย เพียงแต่เขากลับเสียรู้ให้แก่บุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างมิทันคาดคิด เจ้าชายมิโนสจึงใช้ฝ่าพระบาทถีบอาวุธร้ายในกำมือของคู่ต่อสู้จนหักเป็นสองท่อน
พร้อมอาศัยจังหวะอันดีฉวยร่างของอีกฝ่ายเข้าสู่กรงขังเนื้อมนุษย์
“เมื่อครู่เราทำเจ้าเจ็บตัวหรือไม่ ?” บุรุษผู้สูงส่งตรัสพลางทิ้งอาวุธจากธรรมชาติอย่างมิไยดี พร้อมเฝ้ามองฝ่ามืออันแดงก่ำจากการกระทำของพระองค์ด้วยความห่วงใย
“เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลตอบเสียงแผ่ว เหตุเพราะเขากำลังสั่นไหวกับความใกล้ชิดที่มิต่างกับการถูกโอบกอดเพื่อคลายความเหน็บหนาว
“หากเป็นเช่นนั้นเราก็ค่อยเบาใจ” เจ้าชายมิโนสตรัสด้วยสุรเสียงโล่งพระทัย พลางปลดปล่อยศิษย์เอกให้เป็นอิสระ จากนั้นพระองค์ก็ประทับอยู่ท่ามกลางบุปผาสีเหลืองอร่ามอย่างหมดท่า พร้อมใช้หลังพระหัตถ์เช็ดหยาดเสโท บริเวณพระนลาฏ ฝ่ายเธเซียสก็ตกอยู่ในสภาพมิต่างกัน เพลานี้บุรุษจากต่างแดนจึงทรุดตัวลงนั่งบนกำแพงหินพลางขัดสมาธิและใช้หลังมือปาดหยาดเหงื่อบริเวณข้างขมับพร้อมยืดเส้นยืดสายมิยอมหยุด
“การได้ประชันฝีมือกับเจ้าครานี้ ทำให้เราเพลิดเพลินมิต่างกับตอนที่ได้ประมือกับแอนโดรเจียส” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสพลางทิ้งตัวลงนอนราบอยู่ท่ามกลางบุปผา ส่งผลให้เธเซียสมองจ้องภาพตรงหน้าโดยมิละสายตา เขาจึงมองเห็นแสงสุริยะอันเจิดจ้าตกกระทบลงบนดวงพักตร์อ่อนหวาน เหตุเพราะร่มเงาของใต้ไม้ใหญ่มิอาจแผ่กิ่งก้านจนถ้วนทั่ว
บุรุษจากต่างแดนจึงยื่นมือออกไปข้างหน้าพลางขยับไปมาเพียงเล็กน้อย
เพื่อให้วิถีแห่งเงาบดบังแสงสุริยะอันร้อนแรง
แต่กระนั้นดวงเนตรของเจ้าชายมิโนสกลับร้อนแรงยิ่งกว่า
เธเซียสจึงต้องหันมองไปทางอื่นที่มิใช่ดวงพักตร์อันเต็มไปด้วยความรู้สึกในส่วนลึก ฝ่ายเจ้าชายมิโนสจึงลอบแย้มสรวลด้วยแววเนตรอันเปื้อนสุขที่มิได้เกิดจากการหลอกลวง
กระทั่งยามอาทิตย์อัสดงมาเยือนม่านหมอกจากทั่วสารทิศก็เคลื่อนคล้อยเข้ามาปกคลุมหมู่เกาะธีรา ราวกับต้องการลักซ่อนจากสายตาของผู้มิประสงค์ดี ขณะเดียวกันสายฝนเย็นฉ่ำก็นำพากลิ่นไอของธรรมชาติตลบอบอวนไปทั่ว ‘โรงผลิต’ ส่วนเธเซียสยังคงนั่งปักหลักอยู่ตรงปากประตูมิเปลี่ยนแปลง ขณะที่เจ้าชายมิโนสเสด็จไปทำมื้อเย็นยังห้องเครื่อง
โดยรายการอาหารมื้อนี้มิได้เลิศเลอดังเช่นวันวาน เนื่องจากเธเซียสมิอยากให้พระองค์ต้องยุ่งยาก
“เหตุใดมิเรียกให้กระหม่อมไปช่วยถือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยถามแกมดุพลางประคองคาร์เตอร์ลวดลายมิได้อ่อนช้อยดังเช่นที่วังนอสซัส
“...” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสก็มิได้โต้แย้งอันใด นอกจากแย้มโอษฐ์เพียงนิดแล้วเสด็จกลับเข้าไปยังห้องเครื่องเพื่อนำแก้วสำหรับดื่มเหล้าองุ่นจำนวนสองใบ และชีสขนาดเพียงพอสำหรับมื้อเย็นอีกหนึ่งก้อน
เธเซียสจึงขันอาสารับแก้วดินเผาจากเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ พร้อมตักน้ำจัณฑ์จากในคาร์เตอร์ใส่แก้วทั้งสองใบ ก่อนจะจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อทดสอบว่าครานี้เจ้าชายมิโนสทรงผสมน้ำและเหล้าองุ่นในสัดส่วนที่เข้มข้นดังเช่นวันวานหรือไม่
“ครานี้เราผสมเพียงหนึ่งต่อสาม” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างรู้ใจพลางแย้มสรวลเพียงเล็กน้อย บ่งบอกได้ดีว่า ‘การดื่มน้ำจัณฑ์’ ในครานี้เป็นเพียงการดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร
มิได้ต้องการดื่มเพื่อให้มึนเมาจนตกหลุมพรางดังเช่นวันวาน
“ชีสน้อยสำหรับเจ้า” เจ้าชายมิโนสทรงแบ่งชีสนมแกะที่เก็บรักษาไว้ในน้ำเกลือ เพื่อถนอมคุณภาพของชีสที่ถูกความร้อนแรงจากแสงสุริยะส่งให้กับบุรุษจากต่างแดน
แต่ทว่าดำรัสของพระองค์กลับขัดต่อความเป็นจริงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อ ‘ชีส’ ที่พระองค์ประทานให้ มิได้ ‘เล็กน้อย’ ดังเช่นพระราชกระแส
ตลอดมื้ออาหารจวบจนช่วงเวลาแห่งการหลับฝัน ถ้อยคำดังกล่าวของเจ้าชายมิโนสยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เมื่อท่าทีของบุรุษผู้สูงศักดิ์หลังจากที่ตรัสประโยคนั้น กลับเอาแต่ทอดพระเนตรมายังเธเซียสพร้อมแย้มสรวลเป็นครั้งคราว
บุรุษจากต่างแดนจึงรู้สึกราวกับว่า..
ถ้อยคำดังกล่าวอาจมีสิ่งใดแอบแฝง
ฉับพลันช่วงเวลาแห่งความสุขเมื่อครั้งที่เสด็จแม่ยังคงมีพระชนม์ชีพก็ปรากฏ ซึ่งเขาเคยได้รับชีสก้อนโตดังเช่นวันนี้ และเสด็จแม่ก็ตรัสกับเขาและท่านพี่ว่า ‘ชีสน้อย’ ท่านพี่จึงโต้เถียงกับเสด็จแม่ว่า ‘นี่มิใช่ชีสน้อย หากแต่เป็นชีสมากจนลูกมิอาจทานหมด’
เสด็จแม่จึงตรัสเพียงสั้น ๆ ว่า..
‘ชีสน้อย หมายถึงถ้อยคำสำหรับการแสดงความรักใคร่’
“สิ่งใดทำให้เจ้ามีความสุขถึงเพียงนี้” สุรเสียงทุ้มนุ่มตามมาด้วยดวงเนตรลึกล้ำราวกับเกลียวคลื่นแห่งท้องทะเล ปรากฏอยู่ในระยะสายตาของเธเซียสด้วยความชิดใกล้ เมื่อเพลานี้วรกายของเจ้าชายมิโนสกำลังบรรทมอยู่บนพระยี่ภู่ผืนเดียวกัน
“...” เธเซียสมิยอมตอบคำถาม แม้ว่าในใจอยากจะบอกกล่าวว่า ‘เป็นเพราะพระองค์’ มากเพียงใด
แต่ทว่าความเก้อเขินกลับนำพาให้เจ้าตัวพูดมิออก
“ลมฝนโชยกระหน่ำถึงเพียงนี้ เจ้าหนาวหรือไม่ ?” ฝ่ายเจ้าชายมิโนสก็มิทรงคาดคั้น จึงตรัสถามถึงเรื่องทั่วไป
“หนาวพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสเอ่ยตอบเสียงแผ่ว เหตุเพราะค่ำคืนนี้สายลมหวิดหวิวรุนแรงยิ่งกว่าที่เคย ส่งผลให้มวลอากาศเย็นฉ่ำโอบล้อมคนทั้งคู่อย่างมิปรานี
“เช่นนั้นอ้อมกอดของเราคงมิอาจคลายหนาว” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างละมุนละม่อมพร้อมโอบกอดเธเซียสอย่างนิ่มนวล ทว่าค่ำคืนนี้กลับแตกต่างจากเมื่อค่ำคืนวาน เมื่อพระองค์ทรงจัดแจงท่าทางให้กับเธเซียส
จนกลายเป็นว่าคนทั้งคู่กำลังโอบกอดกัน
“อยู่กับเจ้าเช่นนี้ เรามีความสุขจนมิอยากให้วันเวลาผันผ่านแต่อย่างใด” บุรุษผู้สูงศักดิ์ตรัสด้วยสุรเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่พระโอษฐ์กำลังจูบประทับบนหน้าผากของเธเซียส ส่งผลให้ดวงใจอันแข็งแกร่งอ่อนยวบด้วยความหวิวไหว สัมผัสนิ่มนวลจึงนำพาให้เธเซียสยิ่งถลำลึก เขาจึงกอดรัดอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ พลางซุกกายเข้าหาความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่
หลังจากนั้นคนทั้งคู่ต่างก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราภายใต้อ้อมกอดของกันและกัน
แต่ทว่าเสียงอสุนีบาตอันกึกก้องกลับนำพาให้เธเซียสหวนคืนสู่ความเป็นจริง กระทั่งพบว่าฉลองพระองค์ของเจ้าชายมิโนสทรงขาดสะบั้นมิเหลือชิ้นดี บุรุษจากต่างแดนจึงนั่งหันรีหันขวางด้วยความตื่นตระหนก
ขณะที่ในหัวกลับฉายดำรัสของอีกผู้ในช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราซ้ำไปซ้ำมา
เธเซียสมิเข้าใจอันใดสักอย่าง แต่ทว่าในใจกลับหวาดกลัวถึงถ้อยคำนั้น บวกกับฉลองพระองค์อันขาดวิ่นก็ยิ่งสร้างความสับสนไปกันใหญ่ เมื่อดำรัสดังกล่าวหากวิเคราะห์ในทิศทางอันย่ำแย่ อาจหมายความได้ว่าเธเซียสกำลังตกหลุมพรางของเจ้าชายมิโนสดังเช่นที่แล้วมา ซึ่งครานี้ชีวิตของเขามันควรจะจบสิ้น แต่เหตุไฉนเขากลับถูกทิ้งไว้ที่โรงผลิตอันเต็มไปด้วยความทรงจำอันดีงาม
แล้วเหตุใดเจ้าชายมิโนสจึงหายองค์ไป โดยที่ฉลองพระองค์กลับตกอยู่ในสภาพฉีกขาด
“มีด” เธเซียสวิ่งพล่านอย่างคนสติแตกพลางกล่าวพึมพำราวกับถูกสะกดจิต พร้อมหายใจฮึดฮัดเมื่อมิได้ดั่งใจ กระทั่งสิ่งของที่ต้องการถูกค้นพบจากในห้องเครื่อง
บุรุษผิวคล้ำก็รีบวิ่งทะเล่อทะล่าจนทั่วตัวบ้าน แต่ยิ่งหาตัวอีกฝ่ายมิพบก็ยิ่งร้อนใจ
“หลังบ้าน” เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกที่หนึ่งที่ยังมิได้เหยียบย่าง เธเซียสก็มิรอช้ารีบมุ่งตรงไปยังบริเวณดังกล่าว แต่ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้ปลายมีดคมกริบตกกระทบลงสู่ปลายเท้า ส่งผลให้บาดแผลถูกแต่งแต้มไปด้วยเลือดสีสด โดยที่เธเซียสมิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด และมิได้สนใจอาการบาดเจ็บ
เหตุเพราะเขากำลังตกตะลึงที่ได้เห็น ‘มิโนทอร์’ ออกอาละวาด
ซึ่งเขาแน่ใจว่ามิได้ตาฝาด เหตุเพราะแสงอัสนีแปลบปลาบช่วยปัดเป่าม่านหมอกอันเลือนรางจนหมดสิ้น
φ
[1] ไคคีออน (Kykeon) คือ อาหารเช้าของชาวกรีกโบราณ โดยนำข้าวบาร์เลย์มาต้มกับไวน์ และปรุงรสด้วยชีสริคอตต้า ถือเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่ต่างกับน้ำอัดลมในปัจจุบัน และยังเป็นที่นิยมในกลุ่มของคนทำงานชนชั้นล่าง
[2] พระโลมจักษุ แปลว่า ขนตา
[3]พระปรัศว์ แปลว่า สีข้าง
[4] เสโท แปลว่า เหงื่อ
[5] พระนลาฏ แปลว่า หน้าผาก
[6] พระราชกระแส แปลว่า คำพูด
บทความที่เกี่ยวข้อง- ข้าวต้ม: ความซับซ้อนของอาหารเช้า (1)
https://bit.ly/2JaunTh- Recipe for Kykeon (Barley water)
https://bit.ly/2Hai3R4- รู้หรือไม่? ชีสเค้กมาจากขนมกรีกโบราณ
https://bit.ly/2WyGDjQไคคีออน
https://imgur.com/YoCne0dเตาดินเผา
https://imgur.com/OHIB942มาอัพแล้วจ้า ตอนแรกว่าจะปั่นเสร็จภายในสองวัน แต่เราตันฉากประดาบมาก ๆ ไม่ถนัดสุดชีวิต อ่านแล้วบอกเราหน่อยนะคะว่าฉากต่อสู้เป็นยังไงบ้าง เผื่อเราจะเอาไปปรับใช้ในฉากต่อไปที่จริงจังกว่านี้ แต่ก่อนอื่นเราคงต้องเพิ่มความตื่นเต้นเข้าไป เรารู้สึกว่ามันจืดชืดนิดหน่อย แต่เราไม่รู้จะออกแบบฉากแบบนี้ยังไง เอาใจช่วยเราด้วย ฮือ T_T
เราขออธิบายเรื่องไคคีออนหน่อยค่ะ พอดีเราอ่านมาจากสองเว็บ มันต่างกันอ่ะ ของไทยบอกว่าเป็นข้าวต้มใส่ธัญพืช ของอิ้งบอกว่าเป็นเครื่องดื่มเราเลยเอามาอ้างอิงรวม ๆ กันเลยนะคะ ส่วนชีสเราพยายามจะหาข้อมูลว่าเค้าเรียกกันว่าอะไรได้อีก แต่ดูแล้วเรียกว่าเนยแข็งคงจะไม่เหมาะ เราเลยใช้ชีสเหมือนเดิม
ปล. เราจะพยายามใส่คำราชาศัพท์เพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ นะคะ เพราะมันคือสิ่งจำเป็นของตัวเรื่องด้วย เราเองก็ได้รู้คำใหม่ๆ เยอะเลย อ่านยากทั้งนั้น และตอนนี้ก็เปิดปริศนามาอีกอย่างนึงแล้ว ต่อไปตัวเรื่องจะเข้าสู่ปมอีกครั้งค่ะ
ทุกคนไปเล่นแท็ก #มหาบุรุษแห่งครีตัน ได้น้า