พอดีว่าเมื่อวานมีงานด่วนเ้ข้ามา เลยไม่มีเวลาตรวจเรื่องก่อนลง ต้องขอโทษด้วยครับ
ตอนนี้ก็เลยอยากจะบอกเพื่อนๆว่า ผมเองก็พยายามจะมาอัฟตอนใหม่ให้ได้ทุกวัน แต่บางทีถ้าหายไป ก็แปลว่ามีงานด่้วนเข้ามานะครับ
แล้วก็ขอบคุณทุกกำลังใจครับ .................................................................๒๑ สัปดาห์นี้วุ่นวายจริงปรกติผมเป็นคนเข้านอนไว เพราะต้องตื่นตั้งแต่ตี ๕ พอเวลาประมาณสามทุ่มหรือสามทุ่มครึ่ง ผมก็จะหลับแล้ว แต่คืนนี้ ผมยังไม่หลับ ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มกว่าๆแล้วก็ตาม ...ไม่เป็นไร พรุ่งนี้วันเสาร์ ตื่นสายได้...คิดได้แบบนั้น ผมก็นอนคิดต่อไปว่าทำไมสัปดาห์นี้ถึงได้มีเรื่องอะไรมาก่อกวนผมได้มากมายนัก เมื่อตอนกลางวันก็ไปมีเรื่องกับ ปอ จนได้แผลมา ที่บ้านคาดคั้นจะเอาความจริงให้ได้ เพราะไม่เชื่อที่ผมบอกว่า หกล้มแถวๆสวนหย่อม แล้วมือไปโดนขอบกระถางต้นไม้แถวนั้น
นั่นสิ เนื้อแหว่งเป็นรูแบบนั้น ใครจะเชื่อ แต่ผมก็ยังคงยืนยันแบบนั้น ถึงแม้จะถูกถามเอาตอนที่กำลังเผลอก็ตาม พอผมยืนยัน นั่งยัน กระทั่งอ่านหนังสืออยู่เพลินๆก็ยังยัน ขนาดนั้น ที่บ้านก็เลยเลิกถามไป
ผมไม่ยอมพลาดได้หรอกครับ เรื่องแบบนี้ ผมท่องไว้แล้วจนขึ้นใจตั้งแต่ตอนนั่งรถประจำทางมาต่อรถสองแถวคันโตๆกลับบ้าน รู้สึกผิดมากเหมือนกันที่โกหกออกไป แต่ถ้าผมพูดความจริง ผมไม่แน่ใจว่าทางบ้านผมจะไปเอาเรื่องกับ ปอ ถึงที่โรงเรียนหรือไม่ เพราะเคยมีเรื่องทำนองนี้มาแล้ว สมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนคริสต์แห่งหนึ่ง
พอมาตอนเย็น พวก โจ้ ก็มาทำเจ้าบทเจ้ากลอนอะไรไม่รู้ แต่ผมว่าเรื่องอะไรก็ไม่ทำผม งง เท่ากับเรื่องเมื่อตอนต้นสัปดาห์หรอกครับ
...............................................................................
เมื่อวันอังคารเวลาเย็นมากแล้ว หลังจากที่เพื่อนๆแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมนั่งวาดรูปอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งใต้ต้นหูกวางบริเวณสนามใหญ่ ความจริงผมไม่ค่อยมีหัวในเรื่องศิลปะแบบนี้มากนัก ถึงแม้ชื่อของผมน่าจะทำให้ดูเหมือนมีฝีมือก็ตาม ( ตั้งมาผิดแหงๆ -*- ตอนนั้นผมคิด แต่.......... ) ปรกติงานศิลปะผมจะได้คะแนนแย่มาก พอได้ วินท์ มาสอน ผมก็เข้าใจเรื่องของ แสง สีและเงา มากขึ้น งานของผมก็ได้คะแนนดีตามขึ้นมาด้วย ผมพยายามหาเวลาว่างและโอกาสในการฝึกเพิ่มเติม เพื่อให้สมกับที่ วินท์ อุตส่าห์มาช่วยสอนผมบ่อยๆในเวลาพัก เหมือนวันนี้ที่ผมกำลังแลเงารูปต้นหูกวางอยู่หลังจากที่ร่างเสร็จ ขณะที่สมาธิของผมกำลังอยู่ที่รูปบนกระดาษ ผมไม่ได้สนใจเลยว่ามีคนหลายคนเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ทำอะไรอยู่วะ มึง” เสียงดังขึ้นข้างๆผม พร้อมกับมีคนนั่งลงมาข้างๆ บนเก้าอี้ยาวตัวที่ผมนั่งอยู่ แล้วมีคนอีกสองคนนั่งลงบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้ามผม
“วาดอะไรวะ กูดูหน่อย” คนที่นั่งข้างๆผมชะโงกหน้ามาดู นั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัว
“แฮะๆ อย่าดูเลย ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร” ผมยิ้มแห้งๆตอบ ศักดิ์ ที่ชะโงกหน้ามาดูรูปที่ผมกำลังวาดอยู่
ความจริงแล้วผมก็กลัวๆเหมือนกันว่า พวกนี้จะเข้ามาแกล้งอะไรผมอีกหรือเปล่า แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า คงไม่มีอะไรกระมัง เพราะพอขึ้น ม.๓ แล้วเหมือนว่าพวกนี้จะหยุดแกล้งผมไปโดยไร้สาเหตุ ผมคิดว่าอยู่ต่างห้องกัน เลยไม่ค่อยเจอกัน จึงไม่มีโอกาสซะละมากกว่า เพราะเวลาผมไปห้อง ๒ ผมมักอยู่กับกลุ่มเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักเสมอ แต่บางทีผมก็หันไปยิ้มทักพวกนี้บ้าง ก็เคยเรียนด้วยกันมาตั้ง ๒ ปีนี่ครับ จะให้ทำเป็นเมินเหมือนคนไม่รู้จักกันมันก็กระไรอยู่ มันเป็นมารยาทอันพึงปฎิบัติที่ทางบ้านผมสอนไว้ ซึ่งพวก ราญ จะคอยบอกผมเสมอว่าพวกนี้นั่งรวมกันอยู่ตรงไหน เพราะผมมองไม่ค่อยชัดหรอกครับ T-T
“วาดรูปมันจะไปสนุกอะไรวะ ไปทำอะไรสนุกๆกับพวกกูดีกว่า” ศักดิ์ พูด แล้วก็ยิ้มแปลกๆมาให้ผม
“ทำอะไรเหรอ” ผมหันไปมอง ศักดิ์ ด้วยความสงสัย ในขณะที่ สิทธิ์ กับ สมชาย หัวเราะกันเบาๆ
“ป่ะ ตามกูมา เดี๋ยวพวกกูจะพามึงขึ้นสววรค์” ศักดิ์ พูดแล้วทำท่าจะคว้ามือผม
“อะไรของนาย ชวนเราไปตายเหรอ ม่ายเอาอะ” ผมเลื่อนมือหลบมือของศักดิ์ ตอบไปพลางส่ายหน้าดิ๊กๆ พวกนั้นมองเห็นอาการตกใจ บนหน้าผมแล้วก็หัวเราะกันร่วน
“ตายบ้านมึงสิ” สมชาย พูด “พวกกูจะพามึงไปมีความสุขต่างหากละเว๊ย”
“ความสุขไร ต้องขึ้นสวรรค์” ผมยังถามออกไปอย่าง งงๆ พวกนี้จะทำอะไรกันแน่
“มึงไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งโง่วะ” สิทธ์ พูดขึ้นมาบ้าง “ไปให้พวกกูเอาแล้วมึงจะมีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ไง” แล้วก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังๆของทั้งสามคน
ผม นึกไปถึงเนื้อหาบางเรื่องของวิชาสุขศึกษาที่ได้เรียนมา เริ่มเข้าใจถึงเรื่องอะไรอย่างเลือนลาง เพราะสิ่งที่เขียนอยู่ในแบบเรียนนั้น ยังไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวผม
“เราไม่เข้าใจ” ผมพูดออกไป
“ไม่เข้าใจอะไรวะ พูดแบบนี้มึงยังแกล้งไม่รู้เรื่องอีกเหรอ” ศักดิ์ พูดด้วยอาการฉุนเฉียว
“เราเข้าใจเรื่องที่พวกนายเริ่มเป็นผู้ใหญ่ เลยต้องหาทางระบายออก แต่เราไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกนายมาหาเราแบบนี้ เราไม่ใช่ผู้หญิงนะ ที่สำคัญ พวกนายเกลียดเราไม่ใช่เหรอ”ประโยคสุดท้าย ผมพูดเสียงเบา พอพูดจบผมก็ก้มหน้านิ่ง
“กูแค่อยากลองเว๊ย ไม่ได้พิศวาสอะไรมึงนักหรอก” สมชายพูดขึ้นมา เสียงหยันๆ
“นั่นสิ” ผมเงยหน้าขึ้นมาพูด “ถ้าอย่างนั้นนายไม่ไปหาพวก ...........ไม่ดีกว่าเหรอ” ผมเอ่ยชื่อกลุ่มกะเทยที่จัดว่าดังเอาการโนโรงเรียน
“พวกนั้นกูลองมาแล้ว กูเลยอยากลองกับมึงบ้างไง” ศักดิ์ พูดกับผมด้วยตาวาวๆ ผมเริ่มกลัวแล้วครับ คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี
“ว่าง่ายๆน่ะมึง ไปกับพวกกูดีกว่า แล้วมึงจะติดใจ” พูดจบ สิทธิ์ ก็ลุกขึ้นเดินมาหาผม
“ถ้าพวกนายจะลากเราไปทำอะไรแบบนั้น เราร้องจริงๆนะ เราจะร้องเรียกคนจริงๆนะ” ผมเริ่มรนแล้วครับ
“ทำเป็นเล่นตัวนะมึง อย่างมึงน่ะอย่าคิดว่าจะมีผู้ชายที่ไหนมาสนใจเลย แล้วมึงจะสียดายนะเว๊ยที่ไม่ไปกับพวกกูวันนี้” สมชายพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ ใส่ผม
“เออ กูไม่ยุ่งกับมึงก็ได้ เล่นตัวนักนะมึง แค่นี้ทำเป็นหน้าซีดจะร้องไห้ เห็นแล้วหมดอารมณ์หว่ะ” ศักดิ์พูด “เฮ๊ย ไปกันดีกว่าหว่ะ รำคาญแม่ง” พูดจบ ศักดิ์ก็เดินออกไปจากโต๊ะ มี สิทธิ์ กับ สมชาย เดินตามออกไป
...............................................................................
เฮ้อ......มันอารายกานนนนนนนนนนนนนนนนนน .....ผมตะโดนดังๆอยู่ในใจ ดึกแล้วทำเสียงดังไม่ได้เดี๋ยวโดนดุ