chapter fifteen
ตอนแรกก็แค่สนใจเฉยๆ ทรายคิดแบบนั้นตอนที่มองน้องกิมครั้งแรก
โอเมก้าสันโดษ ไม่ยอมแม้แต่จะให้คนอื่นได้กลิ่นตัวเอง เขาว่ากันว่าอย่างนั้น ในตอนแรกที่ได้ยินก็แค่ความสนุกหูสะดุดใจ มีด้วยเหรอโอเมก้าแบบนั้น มีด้วยเหรอโอเมก้าที่จะไม่ยอมสยบให้กับใครเลย เพราะทั้งชีวิตของทราย มีแต่โอเมก้าเข้าหาล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่มีโอเมก้าคนไหนที่ไม่หันมองเขาจนเหลียวหลังหรือพยายามที่จะเข้าใกล้ จะเรียกว่าหลงตัวเองก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะเขาก็ดันกลิ่นแบบนี้อยู่แล้ว จะแปลกใจที่มีโอเมก้าที่ไม่อยากเข้าใกล้อัลฟ่าสักคนเลยก็คงไม่ผิดนี่
ในตอนแรกก็แค่อยากเห็นว่าเป็นคนแบบไหน หยิ่งผยองซักเท่าใดอัลฟ่าถึงได้เที่ยวเอามาพูดต่อกันว่าอยากจะลองทำให้สยบลงกับตัวเองสักครั้ง ทรายเป็นผู้ฟังในวงสนทนานั้น อัลฟ่าชอบความท้าทาย ชอบการเอาชนะ ชอบเวลาได้เที่ยวอวดใครต่อใครที่โอเมก้าของตนหอมอย่างนู้นดีอย่างนี้ ถึงได้เอาไปพูดกันสนุกปากว่าถ้าได้โอเมก้าอย่างกิมสักครั้งก็คงเหมือนการเอาชนะเกมด่านบอสได้ ตอนนั้นทรายก็ยังขำเกลื่อนไปกับวงสนทนาด้วย
วันที่น้องกิมเดินเข้ามาทักมาทายเพื่อจะฝากของให้น้องรหัสเขานั้นก็ถือเป็นความบังเอิญ ครั้งแรกที่เห็นก็แค่รู้สึกว่าขาวสมกับในรูปภาพที่เพื่อนเคยยื่นๆ มาให้ดู โอเมก้าไร้กลิ่น เขาว่ากันอย่างนั้น และก็จริง แต่ความหยิ่งผยองในใบหน้านั้นไม่เห็นจะจริงสักนิดเดียว ใบหน้าดื้อไม่เป็นมิตร ไม่ยิ้มตามมารยาท ไม่พยายามที่จะประจบประแจงหรือเข้าใกล้ทำให้ทรายยิ่งแปลกใจระคนสนใจเข้าไปอีก
ในครั้งที่สองที่เจอ เป็นวันฝนตก และบทสนทนาอันแสนจะแปลกประหลาดเพื่อจะเอาตัวรอดกันทั้งคู่ จะเรียกว่าเอาชนะด่านบอสแบบที่เขาบอกกันได้รึเปล่าก็ไม่รู้ที่เขาได้กลิ่นของอีกฝ่าย กลิ่นอัญชันค่อนไปทางโลชั่นหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมอาบน้ำ ที่ปรุงแต่งกลิ่นเจ้าดอกไม้สีม่วงนี่ให้มีสเน่ห์ขึ้น
ในตอนนั้นทรายไม่ได้คิดว่าเขาชนะด่านบอสอะไรเลยด้วยซ้ำ ก็แค่คิดว่าช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้กลิ่นนี้ ในโลกนี้มีกลิ่นเป็นล้านกลิ่น แต่บางอย่างในตัวน้องกิม ทำให้เขาต้องหันมอง กระวนกระวาย ตามหา ไม่ใช่แค่กลิ่น แต่เป็นสีหน้า ท่าทาง การพูด ที่ทำให้ทรายนึกถึงทุกครั้งยามที่หัวว่างๆ
ตอนแรกก็แค่เริ่มจากพาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่คิดว่าจะสามารถเจอได้ แค่เห็นหน้าก็พอ แต่มันไม่ใช่แค่ก็พอน่ะสิ ไอ้อาการอยากพาไปกินข้าว อยากซื้อนู่นซื้อนี่มาเอาใจ อยากตามดูแลนี่มันตีตื้นขึ้นมาในอกเป็นระยะๆ เลยทีเดียว
ก็แค่ไม่อยากเห็นใบหน้าน่ารักนั่นมุ่ยลง อยากจะตามใจ นี่ก็เป็นนิสัยของอัลฟ่าอีกอย่างรึเปล่า ที่อยากจะตามดูแลของที่ตัวเองชอบ
ตอนแรกยอมรับว่ากลัวอีกฝ่ายจะรำคาญ กลัวจะโดนไล่ โอเมก้าที่เขาว่าหยิ่งนักหยิ่งหนา ทรายกลัวจริงๆ ว่าจะหยิ่งสมคำพูด แต่ยิ่งได้เข้าใกล้ ได้คุย ได้รู้จัก ก็ยิ่งรู้สึกอยากดูแล ไม่อยากให้บอบช้ำเลย ไม่อยากให้ใครมารังแก ไม่อยากให้ใครมากล่าวหาอีก แต่ปากคนย่อมยาวกว่าปากนกปากกาเสมอ คงจะห้ามไม่ได้ถ้าจะถูกมองในแบบที่คนเห็น ท่าทางน้องกิมจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มีอัลฟ่ามายุ่งด้วยบ่อยๆ ก็เพราะตัวเองโดนเอาไปพูดต่อต่างๆ นานาเสียขนาดนั้น
และทรายก็ไม่คิดว่าจะเป็นคราวที่ตัวเองจะโดนซักไซ้จากเพื่อนฝูง
“มึงได้น้องกิมละเหรอวะ?”
“โห่ อะไรวะ ไอ้ทรายแม่งฟังเงียบๆ แต่คาบไปแดกเร็วชิบหาย กูกะพริบตาปึ๊บ น้องกิมกูโดนละไง”
“ละเป็นไง กูถามกี่รอบๆ ไม่เคยบอกซะทีว่าน้องเขากลิ่นเป็นไง ละหยิ่งมะ หน้าโคตรหยิ่ง เห็นแล้วหน้าเอาชิบหาย”
ประโยคน่ารังเกียจมากมายถูกถามเข้ามาด้วยความสนุกปากในวงสนทนา ทรายตอบเลี่ยงๆ เป็นเชิงขอตัว ไม่อยากจะแก้ตัวหรือบอกว่าอะไรเป็นอะไร กับคนพวกนี้ พูดไปก็เสียเปล่า ไม่นึกโมโหเพราะฟังจนชินแล้ว ทะเลาะกันไปก็เปล่าประโยชน์ คนจะพูดถึงน้องกิมในแง่ไหนก็ไม่สู้เขารู้ดีที่สุด
แต่พอคิดถึงใบหน้าขาวๆ นั่นจะมุ่ยลงไม่พอใจเพราะคำพูดพวกนี้แล้วก็เริ่มนึกอยากจะให้คนพวกนี้หุบปากเสียบ้าง เขาได้ยินน่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าน้องกิมมาได้ยินน่ะสิ รายนั้นน่าจะใจร้อนด่ากราดเลยล่ะมั้งนั่น ดูจากท่าทางแมวๆ นั่นแล้วถ้ากางเล็บได้คงโดนข่วนกันเสียอ่วม
จะว่าไปน้องกิมไม่รับสายหรือตอบไลน์เขาเลยตั้งแต่เมื่อวานที่ฮีท ถ้าตามปกติแล้วตอนที่เขาออกไปก็น่าจะดีขึ้นแล้ว เพราะนั่นก็หลายรอบแล้ว แถมยังนอนเอาแรงไปตั้งเยอะ ถ้าตามหลักก็ต้องพ้นช่วงฮีทไปแล้วสิ
อยากจะเอากุญแจสำรองไขเข้าไปหาที่ห้อง แต่ก็ไม่เคยทำแบบนั้นเลยตั้งแต่ได้มา ที่ได้มาก็เพราะว่าบังเอิญลืมงานที่ต้องส่งไว้ที่ห้องน้องกิมกะทันหัน น้องกิมเลยยัดใส่มือให้มาเอางานเอง แล้วก็ไม่เคยขอคืนอีกเลย และทรายเองก็ไม่เคยไขเข้าไปหาโดยพลการเช่นกัน
เขาเดาใจอะไรอีกฝ่ายไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ถ้ารอบตัวของน้องกิมเป็นกำแพง ทรายก็คงเอาแผ่นหลังพิงกำแพง หูเงี่ยฟังอีกฝ่าย ถ้าต้องการเขาเมื่อไหร่ก็ถึงจะค่อยเปิดประตูเข้าไปหา ไม่อยากจะทำอะไรที่ทำให้อีกคนรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือว่าไม่สบายใจเลย
เขาเคารพพื้นที่ส่วนตัวเสมอตราบใดที่อีกฝ่ายยังยอมให้เขาอยู่ในชีวิตประจำวัน ต่อให้ไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือจะไม่ได้โอกาสต่อ ทรายก็ยังยินดีที่จะตื่นมาแล้วได้เจอน้องกิมในแต่ละวัน
แต่ล่าสุดเนี่ยสิ ก็เย็นย่ำแล้ว แต่น้องกิมหายต๋อมไปเลย เจ้าแมวขาวขนฟูทำเขากังวลเสียอย่างนั้น จะไม่สบายรึเปล่า จะไหวไหมนะ หรือว่าช่วงฮีทจะยังไม่หมดกันแน่ ทรายไม่รู้เลย
ในหัวได้แต่พูดวนไปวนมาว่าอย่าโกรธกันเลยนะ เพราะขายาวๆ หอบหิ้วตัวเองมาถึงหน้าประตูห้องเสียแล้ว กลิ่นอัญชันลอยกรุ่นออกมาจางๆ ไม่รู้ว่าทรายคิดไปเองในหัวหรือว่ากลิ่นลอยออกมาจริงๆ
มือยกขึ้นเคาะประตูแทนที่จะใช้กุญแจสำรอง ทรายไม่อยากจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่บอกกล่าว เพราะน้องกิมไม่รับสายกันจริงๆ แต่ยังไม่ทันจะเอามือลงแล้วรอ โทรศัพท์ก็เด้งแจ้งเตือนข้อความเสียอย่างนั้น
กิม: อยู่หน้าห้อง?
ทราย: อือ น้องกิมโอเคไหม เป็นห่วง เห็นไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์
กิม: ไม่ได้เป็นไร อย่าเปิดเข้าห้องมานะ
ทราย: ไม่เปิดหรอก รู้ว่าน้องกิมไม่ชอบ แต่มาเปิดให้ได้ไหม อยากเจอหน้า
กิม: ไม่ได้เป็นอะไร พี่ทรายกลับไปเถอะ
ทราย: เป็นห่วง ขอเจอหน้าหน่อย
น้องกิมอ่านไม่ตอบแทน และทรายก็ได้แต่มองข้อความอยู่แบบนั้น ไม่มีสัญญาณว่าอีกคนจะมาเปิดประตูให้ ทรายได้แต่ยืนมองประตูอยู่แบบนั้น เขารู้ว่าน้องกิมเป็นคนที่ไม่ชอบพูดจาซ้ำซาก ไม่ชอบอธิบายเพิ่ม ถ้าพูดแล้วก็ถือว่ารับรู้แล้ว บางทีทรายก็อยากรู้ว่าในหัวน้องกิมคิดอะไรอยู่ จะเป็นประโยคห้วนสั้นแบบนี้ตามที่พูดหรือพิมพ์รึเปล่า หรือว่ามีประโยคมากกว่านั้น ถ้าเขาอ่านใจได้ก็คงจะดี
กิม: อย่าเปิดเข้ามานะ
ทรายอ่านข้อความที่เพิ่งส่งมาใหม่ และไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ แต่เป็นการย้ำที่ไม่ใช่วิสัยของเจ้าตัวเลย ทรายอ่านซ้ำ และก็รับรู้ ว่าไม่อยากให้เปิดเข้าไปหาจริงๆ
ถามได้ไหมว่าทำไมถึงไม่อยากเจอหน้ากัน เขาทำอะไรผิดไปรึเปล่า หรือว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในโลกส่วนตัวของน้องกิมที่เขายังเข้าไม่ถึง ทรายครุ่นคิด ในใจฟีบไปหมดเพียงแค่นึกว่าหรือเขาจะหมดโอกาสแล้วรึเปล่านะ
แต่จะพิมพ์ถามว่าโกรธอะไรกันรึเปล่าก็ต้องหยุดมือที่พิมพ์ค้างไว้ ถ้าถามออกไปจะรำคาญรึเปล่า? ทรายเม้มปาก ก่อนจะกดล็อกหน้าจอ ถอนหายใจ
ขาก้าวถอยออกมาจากประตู และค่อยๆ เดินกลับไปยังที่ที่เดิมที่เดินมา
☁
กิมนั่งกอดเข่าพิงหัวเตียง อาการฮีทไม่ได้กลับมาอีกหลังจากที่พี่ทรายกลับไป แต่ที่ไม่ได้คิดไว้ในหัวคือการที่อีกฝ่ายจะมาเคาะหาถึงหน้าห้องขนาดนี้ ในหัวส่งเสียงดังว่าอย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา
ถ้าเข้ามาเขาจะต้องพังแน่ๆ เลย
ก็ยังคงขอบคุณที่พี่ทรายไม่ไขกุญแจสำรองเข้ามา อีกฝ่ายไม่เคยขัดใจเขาเท่าไหร่ แต่บางทีกิมก็กลัวว่าโลกส่วนตัวที่ตัวเองเพียรสร้างขึ้นมาจะพังลงจริงๆ เพราะพี่ทรายคนเดียว โลกที่เคยคิดว่าตัวเองสามารถหนีมาหลบซ่อนเมื่อไหร่ก็ได้จะไม่มีอีกต่อไป
กิมถอนหายใจโล่งอกเมื่อแน่ใจแล้วว่าพี่ทรายไม่ได้ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว เขาลุกออกจากเตียง เริ่มถอดชุดนักศึกษาออกเพราะเมื่อเช้าออกไปให้อาจารย์ตรวจแก้งานมา ความจริงร่างกายมันล้าเสียจนไม่อยากจะไปด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เป็นงาน ก็เลยยอมฝืนสังขารตื่นแต่เช้าไปเร็วๆ เพื่อจะได้รีบกลับมานอน และโชคดีที่ได้คุยกับอาจารย์เร็ว
แต่โชคไม่ดีหน่อยที่ดันไปได้ยินอะไรเข้าตอนที่แวะเข้าห้องน้ำที่โรงอาหาร
‘ไอ้ทรายแม่งร้ายเงียบจริง’
‘เออดิ เงียบตลอดอะรายนี้ ไม่พูดแต่ทำเลยจ้า ทำเมียน้องกิม’
เสียงหัวเราะดังครืนกันทั้งโต๊ะ และกิมก็ยังคงยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ แสร้งทำเป็นกดโทรศัพท์ทั้งๆ ที่มือเปียก ด้วยความที่วงสนทนาอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ ห้องน้ำ และผู้พูดก็ไม่คิดจะเบาเสียงเลยสักนิด กิมเลยไม่ต้องพยายามที่จะเงี่ยหูฟังหรือกระเถิบเข้าไปใกล้ๆ มากนัก
‘ตอนกูบอกว่าใครได้น้องกิมไปเนี่ยเหมือนเล่นเกมผ่านด่านบอสนะ ไอ้ทรายนี่หัวเราะใหญ่ สงสัยในหัวแม่งคิดไว้แล้วแน่นอน นี่ขนาดกูไม่ได้พนันนะเนี่ย สงสัยถ้าพนันจริงไอ้ทรายแดกตังค์เรียบละ’
‘อย่าเลยมึง จนแดกทั้งกลุ่มแน่นอน ไอ้ทรายนี่ก็ท็อปฟอร์มชิบหาย โอเมก้าตามเป็นพรวน เนื้อหอมสัดๆ’
‘เอ้า มึงดูด้วยครับ นี่ใคร ไอ้ทรายนะเว่ย น้องกิมหน้าอย่างหยิ่ง ได้อย่างยาก แต่นี่ใคร ไอ้ทรายเพื่อนกูไง’
‘จ้า เจอไอ้ทรายคราวหน้ามึงไปบังคับให้มันเลี้ยงเลยเว่ย ได้ของดีๆ ก็ต้องตอบแทนอะไรดีๆ เพื่อนบ้าง’
‘ไอ้ทรายบอกกูไม่ใช่เพื่อนพวกมึงแน่ๆ’
เสียงหัวเราะดังอีกครืน แต่กิมไม่ได้คิดจะอยู่ฟังต่อ ไม่อยากเป็นเป้าสายตา แต่ก็จำเป็นต้องเดินออกมาจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ตัวเองอยากล่องหนได้เหมือนที่เคยคิดตอนประถม ไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขากำลังอยู่ตรงนี้
ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ยอมให้มีอัลฟ่าคนอื่นนอกจากน้ำค้างเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว ตอนนี้กิมไม่มีพื้นที่ส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว
กิมมองตัวเองในกระจก เต็มไปด้วยรอยช้ำ ก็ไม่แปลกที่จะช้ำง่าย ผิวเขาขาวเสียจนมีอะไรขึ้นสีมานิดเดียวก็จะเด่นให้เห็นแล้วว่ามีตำหนิ เดินเข้าไปเปิดฝักบัวอาบน้ำ ข้อความของพี่ทรายช่างต่างจากสิ่งที่ได้ยินเมื่อเที่ยง และกิมก็ขลาดเกินกว่าจะถาม ถ้าโดนหลอกแล้วยังจะต้องโดนหลอกด้วยคำพูดอีก สู้ถอยออกมาตั้งแต่แรกเริ่มเลยไม่ดีกว่าหรือไร
พอคิดถึงทุกอย่างแล้วกิมก็รู้สึกโง่ แต่มากกว่านั้นคืออาการเจ็บที่ไม่มีอะไรรักษาได้ ถ้าจะชอบใครแล้วต้องเจ็บขนาดนี้ สู้ไม่ต้องชอบเลยไม่ดีกว่าเหรอ กิมคิดซ้ำไปซ้ำมา ปล่อยให้ฝักบัวราดหัว ทัศนียภาพพร่าเบลอ ก็แค่กำลังหลอกตัวเองว่าไม่ได้ชอบ เดี๋ยวเดียวก็ลืมได้แล้ว แค่กะพริบตามันก็จะผ่านไป แต่กะพริบเท่าไหร่ก็ยังไม่ลืม ซ้ำพื้นห้องน้ำตรงหน้ายังเบลอกว่าเดิมด้วย
และก็เป็นอีกครั้งที่กิมหลอกตัวเองว่าเป็นเพราะน้ำจากฝักบัว
50%
☁
น้ำค้างคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้เนื้อหอมหรือกลิ่นแรงอะไรขนาดนั้น
แต่โอเมก้าที่อยู่ตรงเคาทน์เตอร์สตาร์บัคนั่นเอาแต่จ้องเขาไม่หยุดสักที
เขาพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ เพราะตอนแรกก็แค่คิดว่าคุณฮิมหายดีแล้วอาจจะมาทำงานสตาร์บัค แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายขอลาออกไปสักพักแล้ว (พนักงานหญิงที่เคาทน์เตอร์บอกมาน่ะ ท่าทางจะรู้ว่าเขามาเพื่ออะไร ให้ตายเถอะ หน้าเขาดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ...)
กิมเองก็ไม่มามหาลัยได้สักสองสามวันแล้ว พอไลน์ไปก็เอาแต่ปัดว่าฮีท ไม่สบายตัว อยากนอนอยู่หอ ซึ่งไม่ใช่วิสัยเพื่อนเขาเอาเสียเลย ปกติกิมจะกินยาแล้วก็แบกสังขารมาเรียนตามเรื่องตามราวของมัน สงสัยคราวนี้อาการจะหนักจริงๆ ถึงได้ไม่มาเรียนแบบนี้
หรือว่าจะเป็นเพราะอัลฟ่าที่ชื่อพี่ทรายคนนั้นกันนะ เพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นกิมเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย
น้ำค้างยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยกยิ้มเมื่อเห็นคุณฮิมส่งเลขห้ามาขำใส่เขาที่ไปนั่งสตาร์บัคเก้อ พอพิมพ์ถามไปว่าแล้วลาออกตอนไหนทำไมไม่บอกก็โดนส่งสติ๊กเกอร์ขอโทษมาอีกว่าลืมจริงๆ อ่า...นี่ท่าทางจะกลัวเขาโกรธสินะ แต่น้ำค้างเข้าใจอยู่หรอก เรื่องที่เจอในแต่ละวันมันช่างหนักหนาและเยอะเกินกว่าที่คนคนนึงจะรับไหว จะให้จำได้ทุกเรื่องคนเราก็เจ็บปวดน่าดู
เขาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของคุณฮิมก็ได้ แต่ขอแค่อีกฝ่ายอยากจะบอกให้เขาฟังเป็นคนแรกในทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จหรือล้มลงแค่นั้นก็พอแล้ว
มือคว้าเอาแก้วช็อกโกแลตแบล็กทีกับเอิร์ลเกรย์เจลลี่มาถือก่อนจะลุกขึ้น ไม่น่าสมัครสมาชิกเลยเถอะถ้ารู้ว่าคุณฮิมจะออกจากงานแบบนี้ แบบนี้เขาเรียกว่าใช้เงินซื้อความรักรึเปล่า หรือว่าเขาคิดไปเอง แค่บัตรสมาชิกใบเดียวเองหน่า คิดปลอบใจตัวเองแล้วก็สาวเท้าเดินไป
แต่ท่าทางเขาจะก้มมองโทรศัพท์จนไม่ดูทางไปหน่อยถึงได้เดินชนพนักงานที่กำลังเสิร์ฟกาแฟเย็นจนมันราดหกเต็มกางเกงเขาไปหมด น้ำค้างทำหน้าตาเลิ่กลั่ก นี่แหละวันของเขา ไม่เด๋อก็ต้องประจานตัวเอง เป็นซิกเนเจอร์ของน้ำค้างรึเปล่านะ ชักเริ่มไม่อยากกลับมาสตาร์บัคสาขานี่แล้ว...
แต่พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าเป็นโอเมก้าผู้ชายคนที่มองเขาตั้งแต่ตอนเข้าร้านไม่หยุดก็ถึงกับกลืนน้ำลาย เวรมากๆ แถมยังเปียกเหมือนเขาเลยด้วย เพราะหกรดตัวเองเหมือนกัน
“เอ่อ ขอโทษครับ เดี๋ยวค่ากาแฟที่ทำหกเดี๋ยวผมจ่ายเอง” น้ำค้างรีบโค้งยกใหญ่ แล้วก็รีบบอก เพราะเหมือนพนักงานคนอื่นจะเริ่มเดินมาดู ทางฝั่งโอเมก้าที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กฝึกงานเองก็ส่ายหน้ายิ้มให้เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
“ส่วนผ้ากันเปื้อน เอ่อ ให้ผมเอาไปซักให้ไหมครับ แล้วเดี๋ยวเอามาคืน ยังไงสาขานี้ก็ใกล้ผม” น้ำค้างรีบเสนอจนลืมไปว่าเขากำลังโดนจับตามองอยู่ และด้วยความใจดีที่ไม่อยากให้ส่งซักรีดแต่อยากจะซักตากรีดและพับเองด้วยนั่นแหละ เขาอาจจะคิดมากไปก็ได้...อืม ก็นั่นแหละ
“อ๋อ เอาแบบนั้นก็ได้ครับ แต่ว่าตอนนี้เอาไปล้างน้ำที่ห้องน้ำก่อนดีไหมครับ?” อีกฝ่ายเสนอมาและน้ำค้างก็พยักหน้า เพราะเขาเองก็ต้องไปล้างเอาคราบวิปครีมตรงกางเกงตัวเองออกเหมือนกัน ตาเหลือบมองป้ายชื่ออีกฝ่ายแล้วก็อ่านออกเสียงในใจว่า ลักษณ์ // โอเมก้า ชื่อไทยเสียจนไม่คิดว่ายังจะมีคนตั้งชื่อแบบนี้อยู่
เขาสองคนเดินเลี่ยงออกมาทางห้องน้ำ ระหว่างที่กำลังวักน้ำจากอ่างล้างหน้าใส่กางเกงตัวเอง ตอนนั้นเองที่น้ำค้างได้กลิ่นของอีกฝ่าย กลิ่นป่าสนที่เข้าจมูกมากะทันหันทำให้น้ำค้างเผลอหันไปจ้องโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นกลิ่นป่าที่จืดจางกว่าและไร้หมอกลอยเอื่อย แต่ก็คือกลิ่นเดียวกัน ก็พอจะรู้ว่าโอกาสที่กลิ่นจะซ้ำกันนั้นมี แต่ไม่นึกว่าจะเจอใกล้ตัวขนาดนี้
ตกใจเสียจนเผลอมองค้าง และท่าทางฝ่ายนั้นจะรู้ตัวถึงได้เงยหน้ามามองเขากลับและยิ้มให้
“ไม่ชอบกลิ่นผมเหรอครับ”
“ปละ-เปล่าครับ” น้ำค้างถึงกับหลุดจากภวังค์แล้วก็ละล่ำละลั่กตอบกลับไป ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัด ถึงแม้สถานการณ์จะเป้นแบบนั้นไปแล้วก็เถอะ
“คุณน้ำค้างใช่ไหมล่ะครับ?”
“ครับ?” น้ำค้างถึงกับย้อนถามงงๆ ที่อีกฝ่ายรู้ชื่อเขา
“พี่ๆ พนักงานเขาพูดกันว่าคุณน้ำค้างมาจีบพี่ฮิม เลยรู้เรื่องอยู่เนืองๆ น่ะครับ” โอเมก้าที่ชื่อลักษณ์ตอบขณะที่ยังคงล้างผ้ากันเปื้อนอยู่ น้ำค้างถึงกับยิ้มแห้ง เห็นไหม บอกไว้ไม่มีผิดเลยว่าเขาโดนเอาไปนินทา!
“อ่า โดนเอาไปพูดขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำค้างพึมพำกับตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อลักษณ์ก็แทรกขึ้นมาอีก
“ผมกลิ่นเหมือนพี่ฮิมล่ะสิท่า คุณน้ำค้างถึงได้มองผมแบบนั้น”
น้ำค้างถึงกับสะดุ้งโหยง เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ที่ดดนจับได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะเกิดพิศวาสอะไรอีกฝ่ายขึ้นมาหรอก แต่เวลาโดนจับได้เรื่องแอบดมกลิ่นเนี่ย มันออกจะน่าอายนี่
“เรียกว่าคล้าย...จะดีกว่าครับ”
น้ำค้างตอบอ้อมๆ เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ แล้วกลิ่นของอีกฝ่ายนั้นจืดจางกว่าคุณฮิมมากโขทั้งที่เป็นโอเมก้า ป่าสนที่ไร้หมอก แต่กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย ต่างกับคุณฮิมที่ถึงจะมีหมอกลงจัด แต่ก็ยังสามารถเห็นกวางมูสอยู่เนืองๆ ยามหลับตา
แต่จะว่าไปโลกจะเล่นตลกเกินไปแล้วที่เอาคนกลิ่นใกล้เคียงขนาดนี้เหวี่ยงมาอยู่ด้วยกัน
“แล้วชอบรึเปล่าล่ะครับ”
“ครับ?” น้ำค้างถามย้อนใหม่เหมือนได้ยินไม่ชัด เขาชักจะงงๆ กับคำถามอีกฝ่ายอยู่ แต่ก็ไม่อยากจะยัดเยียดแปลกๆ ใส่หัวตัวเองจนกระทั่งโอเมก้ากลิ่นป่าสนถามมาใหม่นั่นแหละ น้ำค้างถึงได้ยินเสียงไซเรนในหัวตัวเอง
“หมายถึงกลิ่นผมน่ะ”
น้ำค้างถึงกับรื้อคำพูดในหัวตัวเอง อะไรก็ได้ที่จะฟังดูถนอมน้ำใจมากที่สุด ก็พอจะรู้อยู่ว่าโดนจ้องมาตั้งแต่เข้ามานั่งในร้าน และไอ้เจ้าประโยคที่ถามว่าชอบกลิ่นไหมเนี่ย มันก็ประโยคเชิญชวนสามัญของโอเมก้าเลยไม่ใช่หรือไง ให้ตายเถอะ
น้ำค้างยังไม่ทันจะตอบอะไร โอเมก้ากลิ่นป่าสนก็กระเถิบเข้ามาประชิดตัวเขาทันที และแน่นอนว่าน้ำค้างกระเถิบหนีตามสัญชาตญาณ แต่ด้านข้างเขาก็เป็นกำแพงห้องน้ำแล้ว ดูหน้ายิ้มๆ ของโอเมก้าที่ชื่อลักษณ์แล้วก็เหมือนจะไม่มีพิษมีภัยอยู่หรอก...
แต่ทำไมถึงมาต้อนเขาจนมุมขนาดนี้!?
น้ำค้างจะเดินออกแต่ก็โดนอีกฝ่ายเอาตัวมาชิดจนเนื้อผ้าแนบกัน ในหัวน้ำค้างคิดแต่คำว่าซวยแล้ว ซวยแล้ว ซวยแล้ว เต็มไปหมด เกิดมาเขาเคยโดนโอเมก้าต้อนจนมุมอยู่สองรอบ และรอบก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นโอเมก้าที่อยู่ในช่วงฮีททั้งนั้น ฝังใจมากเพราะกว่าจะเอาตัวออกมาได้ก็เกือบสำลักกลิ่นตาย และด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจ รักสงบ แต่ถึงรบก็ตาย ทำให้สกิลการเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ต่ำมาก
“เอ่อ...ผมมีคู่แล้วนะครับ” น้ำค้างตอบพลางนึกถึงหน้าคุณฮิมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าคุณฮิมเป็นพระเจ้าแล้วมีบทสวดเขาคงท่องไปแล้ว แต่เผอิญว่าดันไม่ใช่เสียนี่สิ
“หมายถึงอัลฟ่าแบบพี่ฮิมน่ะเหรอครับ?” ลักษณ์ถามแล้วขมวดคิ้ว “แบบนั้นเขาไม่เรียกว่าจับคู่หรอกนะคุณน้ำค้าง”
น้ำค้างฟังแล้วก็อยากจะลงไปขอร้องแทนว่าปล่อยเขาไปเถอะ อย่ามายุ่งกับอัลฟ่ากากๆ แบบเขาเลย เขาสอดส่ายมองหาตัวช่วย และเผอิญว่ามีคนเดินเข้าห้องน้ำมาพอดี น้ำค้างกำลังจะโล่งใจ จนกระทั่ง...
“ทำอะไรน่ะครับนั่น”
เสียงคุณฮิมกับกลิ่นป่าสนที่เหมือนแบกเอาไอหมอกลงจัดไว้ตลอกเวลาทำเอาน้ำค้างถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ มุมปากของป่าสนของเขายกขึ้นเหมือนจะไม่ได้คิดอะไร แต่น้ำค้างรู้ว่าคุณฮิมโหมดนี้น่ะไม่น่าไปแตะโดนมากที่สุด ไม่ต้องให้เดาก็รู้ว่าเขาจะต้องโดนเข้าใจผิดและโกรธแน่ๆ เมื่อเป็นเรื่องของความสัมพันธ์แล้วอารมณ์ก็มาก่อนสมองทั้งนั้น
“น้องลักษณ์นี่นิสัยเหมือนเดิมเลยเนอะ” คุณฮิมพูดแค่นั้น และแน่นอนว่าโอเมก้ารุ่นน้องถึงกับถอยออกจากเขาทันที แต่เอาตรงๆ ถ้าน้ำค้างเป็นอีกฝ่าย ก็น่าจะวิ่งหนีไปเลย คุณฮิมน่ากลัวจะตายไป แค่ตอนที่พยายามปั่นหัวเขายังดูน่าเกรงขามกว่าเขาอีก
“เดี๋ยวลักษณ์ขอตัวไปทำงานต่อ...” โอเมก้าชื่อลักษณ์กำลังจะเดินสวนออกไปแต่คุณฮิมกลับจับแขนไว้ก่อน จนน้ำค้างยังต้องลอบกลืนน้ำลายแทนอีกคน แต่พอเห็นคุณฮิมโน้มตัวลงไปที่แอ่งชีพจรอีกคนแล้วทำท่าอ้าปากเหมือนจะกัดแล้วน้ำค้างถึงกับเผลอขยับตัวไปกระชากแขนคุณฮิมออกมาด้วยอารามตกใจ
ส่วนโอเมก้าที่ชื่อลักษณ์น่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึงหรอก รายนั้นวิ่งหนีไปแล้ว
“คุณฮิมจะไปกัดเขาทำไมครับ!?” น้ำค้างถาม เผลอเสียงดังใส่ แต่ใบหน้าคุณฮิมเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องรีบอธิบายหรืออะไร
“ก็เห็นอยากมีคู่จนตัวสั่น หลายทีแล้วที่ทำงี้” คุณฮิมตอบเนิบๆ “คิดว่าผมจะกัดจริงๆ เหรอ”
“ผมจะรู้ไหมล่ะ คุณฮิมคิดอะไรผมยังดูไม่ออกเลย” น้ำค้างตอบพลางลูบหน้าตัวเอง วันนี้มีจะเรื่องให้เขาตกใจเยอะมากเกินไปแล้วนะ “แล้วโอเมก้าคนนั้น ทำไมไม่เคยเล่าให้ฟังเลยล่ะครับ?”
“เล่า? ทำไมต้องเล่าเรื่องลักษณ์ด้วย” คุณฮิมขมวดคิ้วแล้วก็หันมาถามเขา “มีอะไรให้เล่า?”
“ก็เขากลิ่นเหมือนคุณฮิม ผมเลยตกใจ” น้ำค้างตอบอย่างไม่คิดอะไร แต่ก็รู้ตัวอีกทีตอนแผ่นหลังโดนผลักติดกำแพงห้องน้ำอีกหน ทำไมเขากับคุณฮิมต้องมีประเด็นในห้องน้ำทุกรอบเลยสิน่า
“แล้วยังไงต่อเหรอคุณน้ำค้าง?” คุณฮิมยิ้มเหมือนตอนที่ปั่นหัวเขาอีกครั้ง “ก็แค่เพราะเขากลิ่น ‘คล้าย’ ผม และเป็นโอเมก้าใกล้ตัว ผมก็จำเป็นต้องเล่าด้วยงั้นเหรอ?”
คุณฮิมพูดพลางขยับมาถามข้างหูเขา จมูกโด่งไล่ดมไปตามตัวก่อนจะทำหน้าไม่พอใจที่กลิ่นโอเมก้าคนอื่นมาติดอยู่บนตัวเขา และน้ำค้างก็เพิ่งจะรู้ว่าทำไมคุณฮิมจึงโมโห
อ่า...ไอ้น้ำ คิดอะไรช้าแบบนี้นะ
“เล่าแล้วยังไงล่ะ? คุณน้ำค้างก็คงจะแจ้นไปหาโอเมก้าที่กลิ่นป่าสนแบบนี้มากกว่ามาหาอัลฟ่าแบบผมใช่รึเปล่า?”
“คุณฮิม...ไม่ใช่แบบนั้น”
“ชอบไม่ใช่เหรอ? ที่เข้ามาหาผมก็เพราะว่ากลิ่นทั้งนั้นนี่”
คุณฮิมยังคงพูดต่อ และน้ำค้างอยากจะบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะกลิ่น แต่เพราะเป็นคุณฮิม เพราะเป็นคุณฮิมเขาถึงได้โดนดึงดูดเข้ามา เพราะเป็นคุณฮิมน้ำค้างถึงได้โงหัวไม่ขึ้น ก็เพราะว่าคุณฮิมคือคนเดียวในโลกที่จะเป็นกลิ่นโปรดตลอดกาลของเขา
และน้ำค้างรู้ ว่าป่าสนของเขามีแค่ผืนเดียว
“คุณฮิม...” น้ำค้างเรียก อยากจะบอกให้ฟังกันก่อน แต่คุณฮิมเอาฝ่ามือทั้งสองข้างมาปิดหน้าตัวเองราวกับกำลังซ่อนอะไรสักอย่าง น้ำค้างทอดถอนใจพลางเอ่ยถามด้วยความตัดพ้อไม่แพ้กัน “...ทำไมเห็นผมเป็นคนแบบนั้น?”
“ก็เพราะเป็นคุณน้ำค้างยังไงล่ะ...” คุณฮิมตอบ ฝ่ามือที่ปิดหน้าตัวเองเริ่มจะเอาเล็บจิกจนน้ำค้างถึงกับต้องดึงมืออีกฝ่ายออกมา และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายตาแบบนี้จากคุณฮิม นัยน์ตานั่นท่วมท้นไปด้วยหลากอารมณ์ “ก็เพราะเป็นคุณน้ำค้าง ผมถึงได้เป็นแบบนี้”
น้ำค้างกำลังจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด แต่คุณฮิมถอยออก เว้นระยะห่างจากเขา ใบหน้าคมหวานนั่นสับสน พอๆ กับน้ำค้างที่เจ็บปวดจากการเห็นคุณฮิมเป็นเช่นนั้น
“บางทีถ้าผมเป็นโอเมก้า...” คุณฮิมพูดสิ่งที่น้ำค้างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน น้ำค้างตกใจจนต้องก้าวเข้าไปหา แต่ยิ่งก้าว คุณฮิมก็ยิ่งถอยหนี จนเขาต้องหยุด
“บางที...ก็คงจะดีกว่านี้ถ้าผมกับคุณน้ำค้างไม่เจอกัน”
ราวกับบรรยากาศรอบด้านกลายเป็นสุญญากาศ น้ำค้างได้ยินเพียงแค่ประโยคนั้น
ทำไมล่ะ
ทำไมถึงไม่ยินดีที่เราได้เจอกัน
ทำไมถึงไม่ยินดีกับความรักในครั้งนี้
ทำไมถึงผลักไสเขาออกมาจากวงโคจรเสียดื้อๆ แบบนี้
“ผมไม่ได้รักคุณฮิมเพราะกลิ่นอย่างเดียว...” น้ำค้างอยากจะพูดอะไรกลับบ้าง เพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเอง แต่คุณฮิมตัดเขาด้วยประโยคคำถาม
“คุณน้ำค้างรู้อะไรไหม?” คุณฮิมถามแล้วก็พูดประโยคที่ฝังลงในใจของน้ำค้างราวกับรอยสัก “เราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าผมหรือคุณน้ำค้าง สักวัน...เราจะไปจากกันเพราะโอเมก้าสักคนในโลกที่เรายังไม่เจอ”
“แต่...”
“มันผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ตอนผมกับเมฆ และผมกับคุณน้ำค้าง” คุณฮิมพร่ำไม่หยุดเหมือนกับความกลัวที่ลึกที่สุดในใจได้กระโดดออกมาเผชิญหน้า ความจริงที่ไม่ได้ถูกกลั่นกรองให้สวยหรู ทุกอย่างถูกสำรอกออกมาเละเทะเสียจนน้ำค้างไม่ทันตั้งตัว
“จะดีกว่าไหมถ้าผมกับคุณน้ำค้าง...”
“คุณฮิม...อย่า ผมขอร้อง”
“หยุดแค่นี้...ในฐานะอัลฟ่าสองคนที่ไม่ต้องรักกัน”
tbc.
ขอบคุณสำหรับคำติชม คำวิจารณ์ แล้วก็คำปรึกษาจากพี่ๆ ทุกคนมากๆ เลยค่ะ
#น้ำค้างกลางป่าสน