Rough and Tender 17
สองสามวันต่อมา ขอบฟ้าก็เริ่มร้อนใจหนัก เขาอยากโทรศัพท์จะแย่แล้ว ถึงกับนอนฝันว่าได้โทรศัพท์กลับบ้านด้วยซ้ำ แต่กรกลับยิ่งแสดงอาการหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ พักหลังนี้ เพราะไม่รู้ว่ากลัวเขาจะขโมยใช้โทรศัพท์เสียก็ไม่รู้ เจ้าตัวถึงกับเอามือถือไปซ่อนไว้ ยอมไม่ใช้ไปด้วยเลยทีเดียว
จะให้เก็บเสื้อผ้าแอบหนีก็ติดที่ว่าโดนขู่ฆ่าอย่างน้อยวันละสองรอบ ซึ่งถ้าไม่นับเรื่องโดนขู่จะฆ่า จะปล้ำ จะบีบคอ จะผ่ากะโหลกแคะสมองออกมาจูนให้ใหม่ เขาก็ถือได้ว่าอยู่อย่างสบายพอสมควร กรไม่ได้สั่งให้เขาทำงานงกๆ แต่ก็ไม่ได้ห้ามตอนเขากวาดบ้าน ทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ ถึงจะบังคับให้เขาเข้าครัวทำกับข้าว ทว่าหากออกมาไม่อร่อย กลับไม่ได้ด่าอะไรมากมาย
รู้สึกเหมือน...กลายเป็นเด็กรับใช้ยังไงก็ไม่รู้
“ถอนหายใจอีกแล้ว อายุสั้นไปกี่สิบปีแล้วมึง” เจ้านายซึ่งแทนที่จะดูโทรทัศน์ตรงหน้ากลับเอาเวลามานั่งจับผิดยื่นนิ้วมาจิ้มๆ แก้มเขาเล่น “กลุ้มใจอะไรนักหนา ลองพูดมา กูจะรับฟังให้ก็ได้”
พอเบือนหน้าหนี จากนิ้วก็กลายเป็นทั้งมือบิดหน้าเขาให้หันกลับไป “เวลากูพูดมึง มึงต้องมองหน้ากู แล้วว่าไง ถามไม่ตอบ เบื่อเหรอ งั้นเดี๋ยวกูพาไปเที่ยว”
เขาไม่คิดหรอกว่ากรจะพาเขาไปเที่ยวทะเลตอนสามทุ่ม ฉะนั้นไปเที่ยวของกรก็ไม่แคล้วเที่ยวกลางคืน “ไม่เอา”
“แต่กูจะไป”
“ก็ไปสิ ผมจะนอน” เหล้าเขาก็ไม่กิน เต้นก็ไม่เป็น จะให้ไปนั่งบื้อให้เหนื่อยทำไม
“มึงจะได้หนีกลับบ้าน” ใส่ร้ายให้เสร็จสรรพ
“ไม่กลับหรอก กลัวนักก็ล็อคกุญแจไว้สิ” เสนอทางออกให้แต่กรกลับทำหน้าบึ้ง
“นี่สรุปว่ามึงจะไม่รับผิดชอบเลยใช่ไหม”
บางครั้ง ขอบฟ้าก็ไม่แน่ใจว่าเขากับกรพูดภาษาเดียวกันอยู่หรือเปล่า เขาตีหน้างุนงง คำถามก็สับสนพอกัน “รับผิดชอบ...เรื่องอะไร”
“รับผิดชอบกูไง” คนตอบตีหน้ายักษ์ “ไม่สนใจเลยใช่ไหมว่ากูจะไปมีกิ๊กหรือเปล่า ไม่ห่วงว่ากูจะเมาจนขับรถกลับไหวไหม มากินนอนอยู่บ้านกูแท้ๆ ไม่คิดจะเป็นห่วงกันเลยว่างั้น”
สรุปแล้วค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายกรคือความเป็นห่วง ขอบฟ้าเพิ่งรู้จึงตอบอ้อมแอ้ม “งั้นผมไปด้วยก็ได้”
และเพราะไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนมากนัก เขาเลยตัดสินใจเปลี่ยนแค่จากกางเกงผ้าเป็นกางเกงยีนส์ นั่งรอสักพัก เจ้าของห้องก็แต่งหล่อออกมา เห็นภาพสะท้อนบนกระจกภายในลิฟต์แล้วยิ่งละม้ายท่านชายกับบ่าวจริงๆ นะ
พอถึงจุดหมาย เดินเลิ่กลั่กเหลียวซ้ายแลขวา เห็นผับท่าทางหรูหรากับผู้คนที่แต่งตัวอย่างหรูแล้วยิ่งอยากบอกว่าขอรอข้างนอกแต่แค่หยุดชะงักละล้าละลัง กรก็หันมาคว้าข้อมือเขาลากลิ่วๆ เข้าไปด้านใน
แสงไฟวูบวาบทำเขาตาลาย ไหนจะเสียงเพลงดังสนั่น ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ขอบฟ้าก็เวียนหัวแล้ว ขณะที่เตรียมจะขอตัวกลับก่อน ก็มีใครคนหนึ่งแหวกคลื่นคนเข้ามาทักกร
“ว่าไง ไอ้เสือ ไม่เห็นหน้าเห็นตาตั้งนาน หายหัวไปเลยนะมึง”
“ช่วงนี้เด็กมันติดแจเลยไม่ค่อยได้ไปไหนว่ะ”
ถึงเสียงรอบข้างจะดัง แต่ขอบฟ้าค่อนข้างแน่ใจว่าได้ยินไม่ผิด เขายืนขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ กรพูดถึงเด็กที่ไหน หมายถึงเขาเหรอ แล้วเขาไปติดฝ่ายนั้นแจตั้งแต่เมื่อไหร่ ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เพื่อนของชายหนุ่มก็เหลียวหน้ามามอง
“เปลี่ยนแนวเหรอมึง”
แล้วสองคนก็หัวเราะกันเอง ก่อนจะพาพวกเขาไปนั่งร่วมโต๊ะซึ่งมีคนนั่งอยู่แล้วด้วย
กวาดตามองเพ่งแล้วค่อยโล่งอกที่เขาไม่คุ้นหน้าใครสักคน กรดึงให้เขานั่งลงข้างตัว ยัดแก้วใส่มือให้และหันไปคุยกับเพื่อนๆ ดูเหมือนจะลืมเขาไปชั่วคราว
ขอบฟ้านั่งมองไปรอบๆ และสังเกตว่ามีโทรศัพท์มือถือลอยวนเวียนอยู่เท่าที่ตาเห็นก็น่าจะมากกว่าสิบเครื่องเข้าไปแล้ว บางทีเขาน่าจะลองขอยืมโทรศัพท์จากเพื่อนของกรสักคนระหว่างที่ยังไม่เป็นจุดสนใจ
“เอ่อ ขอโทษนะครับ...” เขาเขยิบเอียงตัวไปหาคนที่อยู่ทางด้านขวา แต่ด้วยความที่ไม่กล้าใช้เสียงดังมาก อีกฝ่ายที่นั่งตะแคงข้างอยู่จึงไม่ได้ยิน ขอบฟ้าไม่ละความพยายาม ยื่นมือไปสะกิดจนฝ่ายนั้นรู้สึกตัว “พี่ครับ...”
“มึงจะทำอะไร” ผู้คุมทางด้านซ้ายถามเสียงเข้มพร้อมกระชากมือเขากลับไป “กูถามว่ามึงจะทำอะไร!”
“ผม...” ภายใต้สายตากินเลือดกินเนื้อของกร สมองเขาไม่ค่อยจะยอมทำงานเสียด้วย “ผมแค่จะถามว่าห้องน้ำอยู่ทางไหน”
คิดว่าตอบได้พอเข้าทีแล้วนะ ยังมาเล่นเกมจ้องตาจับผิดกันอีก สักวันเขาต้องเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเพราะผู้ชายคนนี้แน่ๆ
“กูนั่งหัวโด่อยู่นี่ทำไมไม่ถาม” ตวัดเสียงขุ่นแล้วกรก็คว้าแขนเขาให้ลุกขึ้น “กูพาไปเอง”
“เอ่อ พี่กรปวดฉี่เหรอ” แต่เขาชักไม่ปวดแล้วนี่สิ
“กูจะปวดหรือไม่ปวด หนักหัวมึงเหรอ”
“นี่พวกมึงจะทะเลาะงี่เง่ากันอีกนานไหมวะ ไม่เยี่ยวรดหัวกูเสียเลยล่ะ” คนซวยทางด้านขวาซึ่งได้ยินมาตลอดส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนบ้าง “กูปวดฉี่ กูพาไปเอง ไอ้กร มึงรอนี่ล่ะ”
ทว่าก่อนจะยอมปล่อยมือ ชายหนุ่มยังโน้มตัวมาพูดตรงข้างหู
“อย่าให้กูจับได้นะว่ามึงกล้าเล่นหูเล่นตากับผู้ชายคนไหน มึงตายแน่”
ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลนักแต่กว่าจะเบียดคนมาถึงก็พักใหญ่ ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากขอยืมโทรศัพท์ อีกฝ่ายก็ดันยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยเสียก่อนแล้วบุ้ยปากไปทางประตูห้องน้ำ ทำนองว่าให้เขาไปก่อนเลย
เดินเซ็งๆ เข้าไปอย่างเสียไม่ได้ แต่ดีอยู่อย่างเพราะข้างในนี้เงียบสงบกว่าด้านนอกเยอะ ขณะยืนล้างมือที่อ่าง เขาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่ตรงด้านในและในระหว่างที่ยังลังเล ผู้ชายคนดังกล่าวก็วางสายและยืนกดโทรศัพท์ให้ง่วนต่อ
แค่ขอโทรตรงนี้ เดี๋ยวนี้ โทรกลับบ้านแค่นาทีเดียว เขาคงไม่โดนฆ่าตายหรอกมั้ง
“เอ่อ คุณครับ...”
ชายคนดังกล่าวเหลียวมามองพร้อมรับคำ “ครับ”
ขอบฟ้ายืนตัวชาเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆ หัวใจแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะก่อนจะเต้นถี่รัวบ้าคลั่ง ขาก้าวผงะถอยหลัง หน้าซีดยิ่งกว่าเดิมเมื่อฝ่ายนั้นมีทีท่าชัดเจนว่าจดจำเขาได้เช่นกัน
“ขอบฟ้า...” น้ำเสียงงุนงงเอ่ยพร้อมกับที่ก้าวเข้าหา “ใช่เธอจริงๆ ด้วย”
เพราะรีบร้อนเอาแต่จะถอยหลังจึงทำให้เขาเกือบจะหงายหลังหัวฟาดพื้น มือใหญ่เอื้อมมาคว้าแขนพยุงไว้ได้ทันแบบเฉียดฉิว “เกือบไปแล้ว ...ยังซุ่มซ่ามเหมือนเดิมเลยนะ”
ครั้นเห็นเขาเอาแต่จ้องตาถลน อ้าปากเหมือนจะพูดแต่กลับไม่มีเสียงใดหลุดออกมาจึงทำให้ฝ่ายนั้นยกยิ้ม “ทำไมล่ะ จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเอาแต่เรียกอาจารย์ๆ อยู่ตลอดแท้ๆ”
ใบหน้าคมคายที่วันนี้ดูเหมือนจะภูมิฐานขึ้นอีกจากอดีต ทว่าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย จะเป็นใครได้อีกนอกจากอาจารย์นภดล
“ตัวสั่นแล้วนะ กลัวฉันมากเหรอ ตกใจมากเหรอที่เจอฉัน” มือใหญ่ที่กำแน่นรอบต้นแขนสัมผัสถึงแรงสั่นสะท้านจากร่างที่ยังคงเอาแต่จ้องมองฝันร้ายจากอดีต “ไม่ต้องกลัวไปหรอก ถึงตอนนั้นฉันจะต้องออกจากมหาวิทยาลัยเพราะเธอเป็นต้นเหตุ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดแค้นอะไรเธอเลยนะ”
ในหูเหมือนจะได้ยินเสียงแว่วดังมา เสียงมารดาตวาดด่าทอว่าเขาทำเรื่องงามหน้า เสียงคณบดีที่บอกให้เขาสารภาพและยอมรับว่ากระทำผิดจริง เสียงพี่ชายดุด่าว่าไม่รักดี เสียงหัวเราะเยาะลับหลังยามเขาเดินสวนกับคนในคณะ แม้แต่ในความฝัน เสียงเหล่านั้นก็ยังตามเข้าไปหลอกหลอน กว่าที่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเบาบางลง แต่มาตอนนี้ ทำไมเขายังต้องกลับมาเจอฝันร้ายนี้อีก
“มะ...ไม่เอาแล้ว ผมไม่ใช่...ไม่ใช่” ถ้อยคำละล่ำละลักหลุดจากปากโดยที่เจ้าตัวแทบไม่เข้าใจความหมาย “อย่าเข้ามา”
“จุ๊ๆ” เสียงปลุกปลอบดังชิดติดข้างหูเมื่อคนพูดโน้มตัวเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม “ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันแค่อยากคุยด้วยเอง ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย หรือ...ต่อให้ทำก็ไม่ต้องกลัวใครจะว่าอะไรได้อีก เพราะตอนนี้เราไม่ใช่อาจารย์กับลูกศิษย์กันแล้ว”
ใบหน้าที่ในอดีตขอบฟ้าเคยคิดว่าอ่อนโยนกลับดูน่ากลัวขึ้นจนบอกไม่ถูก เขากลัวจนก้าวขาไม่ออก พูดไม่ได้ ทำได้แค่จ้องมองใบหน้าดังกล่าวที่เลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที รู้สึกว่าเลือดในร่างกายจับตัวแข็งไปหมด...
“เฮ้ย!” เสียงตวาดดังลั่นขึ้นและในวินาทีต่อมา มือแข็งก็กระชากบ่าเขาจนหมุนคว้าง หัวเกือบทิ่มลงโถฉี่ “มึงคิดจะทำอะไร!!”
คำถามนั้นกรไม่ได้ถามเขาแต่กำลังกล่าวกับคนที่โดนกระชากคอเสื้อจนตัวแทบลอย “กูถามว่ามึงมายุ่งอะไรกับแฟนกู!!”
คนฟังชะงัก ยืนอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้ม “ใจเย็นสิครับน้อง”
“กูไม่ใช่น้องมึง!”
“ครับ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่” ชายหนุ่มไม่โต้แย้ง หากเลือกที่จะพยักหน้ารับ “น้องคนนั้นเขาหน้ามืด ผมก็แค่เข้าไปช่วยพยุง ดูอาการให้ ไม่เห็นเหรอครับว่าน้องเขายังหน้าซีดอยู่เลย”
สายตาขุ่นขวางของกรตวัดมาจ้องหน้าเขาซึ่งขอบฟ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หน้าเขาเป็นยังไง แต่ท่าทีของกรก็ดูอ่อนลง เสียงที่ถามเขาก็ไม่ได้กระโชกโฮกฮาก “จริงหรือเปล่า”
ถ้าส่ายหน้า... เขายังมองหาจุดจบของเรื่องนี้ไม่เจอ มันอาจไปลงเอยที่โรงพยาบาล โรงพัก ห้องขังหรือสถานที่ที่ไม่มีใครนึกอยากเข้าใกล้สักแห่ง
อีกอย่าง เขาไม่นึกอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายต่ออีกแม้แต่นาทีเดียวด้วย
มองอาการพยักหน้ารับแล้วกรจึงค่อยคลายมือจากคอเสื้อฝ่ายตรงข้าม พอเป็นอิสระ ร่างนั้นก็ทำทีเป็นปัดรอยยับบนเสื้อ ก่อนจะยักไหล่ พูดยิ้มๆ “หน้าตาแบบผมไม่จำเป็นต้องฝืนบังคับคนที่เขาไม่เต็มใจหรอกนะ อีกอย่าง ข้างนอกนั่นก็มีตั้งหลายคนที่ดูดีกว่า...โอ๊ะ!”
อดีตอาจารย์ซึ่งโดนชกหน้าแบบไม่ทันตั้งตัวเซไปกระแทกประตูห้องน้ำจนเสียหลักล้มลงเงยหน้ามองร่างสูงด้วยสีหน้าแตกตื่น
“มึงคิดว่ากูโง่นักหรือไง” กรเดินตามจนแทบจะเหยียบขึ้นไปบนหน้าฝ่ายนั้น “หน้าหม้อใส่เมียกูแล้วยังเสือกปากหมาอีก กูจะเล่นให้ฟันร่วงหมดปากเลยมึง”
ว่าแล้วก็กระชากคอเสื้อขึ้นมาต่อยใส่หน้าติดๆ กันอีกสี่ห้าหมัดกว่าขอบฟ้าจะหายตะลึง วิ่งไปกอดเอวกรไว้ พยายามทั้งดึงทั้งลากอย่างไร้ผล “พี่กร! อย่า! หยุดเถอะครับ ผมขอร้อง”
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะใบหน้าเปรอะเปื้อนเลือดของคนโดนชกหรือเพราะแรงยื้อยุดเหมือนลูกลิงติดแม่ของเขา แต่กรก็จับหัวอีกฝ่ายกระแทกกับโถส้วมทิ้งท้ายแล้วถอยออกมา “อย่าโผล่หน้ามาให้กูเห็นอีก ไม่งั้นมึงตายแน่”
ขนาดขอบฟ้าทั้งยื้อทั้งยุดฉุดกระชากกอดเอวไว้ไม่ปล่อย แต่กรก็ยังสามารถยื่นตีนไปเตะเป็นการทิ้งทวนครั้งสุดท้ายก่อนที่จะยอมรามือเมื่อมีคนซึ่งเพิ่งเข้ามาเห็นโวยวายขึ้น
“เรารีบกลับกันเถอะ เร็วเข้า” เขาจับมือกรไว้ไม่ยอมปล่อยแล้วแหวกคลื่นฝูงชนอย่างเร่งรีบจนกระทั่งพวกเขากลับมาถึงรถ ขอบฟ้าแทบเต้นเมื่อกรทำท่าจะควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ “มาสูบอะไรตอนนี้! เดี๋ยวตำรวจก็มาลากคอจนได้หรอก”
“เฮอะ” แค่นเสียงไม่ทุกข์ร้อนแล้วกรก็จุดไฟแช็คจ่อเข้ากับบุหรี่ที่คาบอยู่ในปาก อัดควันเข้าปอดสองสามครั้งก่อนจะยอมโยนลงพื้น ขยี้ด้วยปลายเท้าเมื่อเห็นอีกคนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “เออๆ กลับก็กลับ ขึ้นรถไป”
ค่อยใจชื้นขึ้นยามกรขับรถออกจากสถานที่แห่งนั้น ทว่าท่าทางหวาดระแวงของเขาคงไปเตะตากรเข้า จู่ๆ ชายหนุ่มจึงถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “มึงรู้จักไอ้หน้าหม้อนั่นมาก่อนหรือเปล่า”
สะดุ้งโหยงขนตั้งกับสิ่งที่โดนถาม ขอบฟ้าอ้าปาก ยังไม่ทันแต่งนิทานสักเรื่องก็โดนดักคอ “ถ้าโกหก มึงโดนชุดใหญ่”
ไม่นึกอยากรู้ว่าใหญ่ไหน ใหญ่เท่าไหร่ น้องจัมโบ้หรือเปล่า
“ผม...เคยรู้จัก” กลืนน้ำลายเหนียวหนืด หลับหูหลับตาใส่รูปอดีตไปให้หมด จะถูกจะผิดช่างหัวมัน “เขาเคยเป็น...อา...อาจารย์ที่มหาลัย...”
เอี๊ยดดดด!!!
กรเหยียบเบรกกะทันหันจนขอบฟ้าหัวพุ่งไปกระแทกคอนโซลหน้ารถ โชคดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยถูกกฏจราจร ไม่เช่นนั้นคงได้พุ่งหลาวออกไปนอกรถแล้วเป็นแน่แท้
และโชคดีสองต่อที่ถนนยาวค่ำคืนไม่มีรถมากนัก จึงไม่มีรถคันใดพุ่งมาเสยท้ายจากการเบรกลืมตายเมื่อครู่
ขอบฟ้าครางอู้ ยกมือคลำรอยกระแทกที่หน้าผาก ยังตั้งตัวไม่ถูกแต่สะดุ้งได้โดยอัตโนมัติเมื่อกรคำรามเสียงลั่น “ไอ้เหี้ยนั่น!!”
ครับ ไอ้เหี้ยตัวไหนมันสมควรตายนักที่บังอาจคลานมาขวางหน้ารถพี่กรได้ “นะ...ไหนครับ”
“อย่ามาตีหน้าโง่! มึงอยากปกป้องมันนักหรือไง! ทำไมไม่บอกกูตั้งแต่ตอนนั้นว่ามันคือไอ้อาจารย์ชีกอที่เคยปล้ำมึง กูจะได้กระทืบให้มันจมคอห่านตายห่าไปซะ!” ด่าพลาง กรก็กระทืบเท้าบนคันเร่งไปพลาง “กับมึงเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีทีหลัง ตอนนี้ขอกูย้อนไปอัดมันอีกรอบ...”
“ไม่ได้นะ พี่กรจะย้อนไปทำไม ผมไม่ได้โกรธอะไรเขาแล้ว” ขอบฟ้าไม่ได้โกหก ไม่มีความโกรธหลงเหลืออยู่ในตัวเขานานแล้ว นอกจากความกลัว กลัวที่มหาวิทยาลัยจะรู้เรื่อง กลัวที่บ้านจะรุมด่าเขาอีก “ไม่เอา อย่ากลับไปเลยนะครับ ผมขอร้อง ผมไหว้ล่ะ พี่กร อย่ากลับไปนะ”
ต่อให้กลัวแค่ไหน เขาก็ไม่กล้ายื้อยุดฉุดกระชาก นอกจากเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อชายหนุ่มไว้และกระตุกเบาๆ ขอร้องเสียงสั่น “ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องขึ้นมา...แบบครั้งก่อน ไม่เอาแล้ว...”
กรปักหัวรถจอดเข้าข้างทาง หันมาตวาดใส่เขาด้วยความเดือดจัด “มึงจะกลัวอะไรนักหนา! มันทำมึงไว้ขนาดไหนแล้วลอยนวลหนีไปดื้อๆ รอบหนึ่งแล้ว มาตอนนี้ยังกล้ามาตอแยกับมึงอีก ถ้าไม่จัดการให้เด็ดขาด มันคงตามรังควานไปทั้งชีวิต อยากให้เป็นแบบนั้นนักหรือไง”
“ไม่... ไม่ใช่ ผมไม่ได้อยาก...” เสียงตอบตะกุกตะกักขาดเป็นห้วงๆ ขณะเขาเผลอยึดเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น “ขอร้องล่ะครับ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ พี่กร ผมขอร้อง”
แอร์ในรถคงหนาวมากเกินไปแน่ๆ มือของเขาถึงได้สั่นเอาๆ แบบนี้
หลังจากหรุบตามองเสื้อที่โดนเขาขยุ้มเอาไว้แน่นอยู่พักใหญ่ กรก็แกะมือเขาที่เกร็งจนแทบจะเป็นตะคริวออกโดยไม่พูดอะไร ขอบฟ้านึกอยากจะร้องไห้
“...ก็ได้” กรดึงมือที่เกร็งจัดมาบีบไว้แทน “ถ้ามึงยอมทำตามที่กูพูด กูจะไม่กลับไปกระทืบมัน รับปากซะ แล้วกูถึงจะยอมกลับ”
ทุกวันนี้เขายังไม่ได้ทำตามที่กรพูดอีกเหรอ ยังมีอะไรที่กรต้องการแล้วยังไม่ได้อีก ทว่านาทีนี้ ขอบฟ้าก็ได้แต่เก็บข้อข้องใจไว้ “ได้ครับ ผมสัญญา”
เขาดีใจมากจนไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะยิ้มออกได้ และไม่ได้ขัดขืนตอนกรดึงเข้าไปจูบ หนำซ้ำยังเต็มใจกระทั่งจูบตอบไปอย่างว่าง่าย ด้วยความร่วมมือนี้เอง จุมพิตจึงยาวนานกว่าปกติและหวาน...กว่าที่เคย
เมื่อกรผละออกเพื่อแตะริมฝีปากลงซ้ำๆ เหมือนอาลัยอาวรณ์ เสียงที่เคยห้าว ห้วน เอาแต่ตวาดจึงแหบพร่า ฟังคล้ายนุ่มนวลกว่าเดิม
“กลับห้องกันนะ”
++++++++++++