ตอนพิเศษ
Special Chapter
ก่อน
ป.ล.ใครที่ได้ซื้อหนังสือไปก็คงจะได้อ่านกันแล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวก่อนหน้านี้ของทั้งสองคนนะคะ
‘บางทีการพบเจอกันครั้งแรกของคนสองคน...มันอาจจะไม่ได้เป็นครั้งแรกจริงๆเสมอไป’ผืนฟ้าที่กว้างใหญ่จนไม่มีใครรู้ว่ามันมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดที่ตรงไหน คนหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกันนี้ การที่จะได้พบเจอหรือรู้จักใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องที่ยาก และในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยเหมือนกัน
“ไอ้ไนท์ ฉันได้ข่าวว่าแกเลิกกับน้องตองดาวคณะบัญชีแล้วเหรอวะ”
มาริสาเอ่ยปากถามเพื่อนสนิทที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามกันภายในโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย
“หือ อืม ก็...นั่นแหละ”
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมาตอบนิดหน่อยก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาเพื่อนอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยต้องหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
“ไหงงั้นวะ ก็เห็นคบกันดีๆอยู่ไม่ใช่เหรอ”
นัทนทีที่นั่งอยู่ข้างเดียวกับมาริสาแต่ตรงข้ามกับวีรนนท์ถามออกไป
“ก็ดีไง ไม่ใช่ไม่ดี แต่...ไม่รู้สิ มันก็ยังรู้สึกเหมือนว่ายังไม่ใช่เหมือนเดิม ประมาณนั้นแหละมั้ง”
ก็คงจะเป็นแบบนั้น ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่นฟังได้อย่างไร
รัก...ตอนนี้แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นยังไง หรือบางทีความรู้สึกนั้นมันอาจจะหายไปพร้อมกับการจากไปของพ่อกับแม่ก็เป็นได้ สิ่งที่รู้ สิ่งที่บอกได้ในตอนนี้จึงมีเพียงแค่ความรู้สึกที่ ใช่ หรือ ไม่ใช่ ก็เท่านั้น
“เฮ้อ ฉันล่ะเบื่อแกจริงๆไอ้ไนท์ พ่อคนหล่อเลือกได้ นี่ฉันว่านะ กว่าแกจะเจอคนที่ใช่อะไรของแกเนี่ยนี่ก็คงแก่ก่อนอะ”
มาริสาเบะปากพูดแกมประชดเล็กๆ
“ฮ่าๆ ก็จริง เออว่าแต่แล้วน้องตองเค้าว่าไงบ้างล่ะ จากกันด้วยดีเหมือนรายอื่นที่ผ่านมาไหม”
วีรนนท์เป็นฝ่ายหันหน้ามาถามเพื่อนบ้าง
“ก็ไม่ว่ายังไง แต่เห็นตัวเล็กๆแบบนั้นมือหนักใช่เล่นเลยนะ”
ปากพูดไปในขณะที่มือก็ใช้ช้อนส้อมเขี่ยข้าวในจานตรงหน้ารวมเป็นคำสุดท้ายก่อนจะตักเข้าปากอย่างไม่นึกยี่หระ
ได้ยินแค่นั้นก็เอาเป็นว่าทุกคนเข้าใจตรงกันโดยถ้วนหน้า โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมเสริมความให้มากกว่านี้
ไม่ว่าอะไร...แต่โดนตบมาเป็นคำตอบเลยสินะเพื่อน ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อน
........................
......................................
“ไอ้ไนท์ ไอ้นัท ไอ้นนท์ ไอ้พวกคุณชายสามนอ พวกแกเดินกันเร็วๆหน่อยสิวะ เดินอืดกันเป็นพยาธิแบบนี้ วันนี้ฉันจะได้ซื้อของครบไหมเนี่ย”
“เออ รีบ รีบจริงๆนะแม่คุณ ลากพวกฉันออกมาช่วยถือของแต่เช้าแล้วยังจะเร่งอีกนะ”
นัทนทีออกปากบ่น แต่ก็ยังมิวายเร่งฝีเท้าตามเพื่อนผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มให้ทันในขณะที่สองมือก็เต็มไปด้วยถุงสารพัดแป้งและวัตถุดิบสำหรับทำขนม
“อย่าบ่นไอ้นัท สองคนนั้นยังไม่เห็นจะบ่นอะไรเลย รีบๆเดินเข้า”
เห็นเพื่อนสองคนเดินกันไปเถียงกันไปนิธิศที่เดินหิ้วของตามมาด้านหลังพร้อมกับวีรนนท์ก็เลยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เรียนกันจบมาก็ได้สองปีแล้วแต่เพื่อนสนิทกลุ่มนี้ของเขาก็ยังหาเวลานัดเจอกันครบทีมอยู่แบบนี้เรื่อยๆ ทว่าการนัดเจอกันวันนี้ออกจะแปลกไปกว่าครั้งอื่นสักหน่อยก็ตรงที่ไม่ได้นัดเจอกันเพื่อมาพูดคุยสังสรรค์กันธรรมดา แต่เป็นการที่มาริสานัดพวกเขาออกมาตลาดตั้งแต่เช้าเพื่อใช้แรงงานให้มาช่วยเดินถือของนี่แหละ
การเริ่มต้นการดำเนินชีวิตประจำวันที่เริ่มขึ้นในตอนนี้ทำให้ตลาดในเวลานี้ดูครึกครื้นดังเช่นทุกวัน ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ เสียงทักทายของใครหลายคนดังให้ได้ยินเป็นระยะๆ
นิธิศเดินตามกลุ่มเพื่อนของตัวเองไปเรื่อยๆแบบนั้น สวนทางกับใครบ้าง ไม่เคยสังเกต ไม่เคยคิดจะใส่ใจ และไม่แม้กระทั่งคิดที่จะจดจำ
“เออ ไอ้ไนท์ เห็นไอ้สามันพูดๆอยู่ว่าช่วงนี้แกโหมงานหนักน่าดู ยังไงก็เพลาๆลงบ้างก็ได้นะเว่ย เดี๋ยวจะได้เลื่อนขั้นพรวดพลาดแซงหน้าคนเก่าคนแก่ในนั้นเอา”
วีรนนท์ชวนคุยในขณะที่เดินตามหลังมาริสากับนัทนทีไปเรื่อยๆ
“ฮ่าๆ ก็ไม่ขนาดนั้น ไอ้สามันก็พูดเกินไป ก็แค่ช่วงนี้มันกำลังสนุกกับงานเลยรู้สึกอยากทำงานมากกว่าปกติก็แค่นั้นแหละ”
“เหรอ นึกว่าจะรีบทำงานเก็บเงินไปขอลูกใครเขาซะอีก มีฟงมีแฟนอะไรก็หัดพามาแนะนำให้เพื่อนรู้จักบ้างก็ได้นะเฮ่ย”
“เออ ถ้านะถ้า พูดตรงๆเรื่องความรักอะไรแบบนี้ฉันเลิกคิดมานานแล้วล่ะ ไม่รู้ทำไมแต่เหนื่อยว่ะ บางทีฉันอาจจะเหมาะกับการอยู่คนเดียวก็ได้”
“เอ้อ ได้ยินแกพูดแบบนี้แล้วฉันเห็นใจหนุ่มน้อยสาวน้อยที่มาหลงชอบแกเลยว่ะ ฮ่าๆ เอาวะ อยากทำงานไปก่อนก็ทำไป เนื้อคู่น่ะเดี๋ยวถึงเวลามันจะเจอก็คงเจอเองล่ะมั้ง”
ถึงเวลาแล้วก็คงจะเจอเองอย่างนั้นเหรอ...นั่นสินะ ถ้าจะเจอเดี๋ยวมันก็คงจะเจอเองแต่ถ้าไม่เจอ การอยู่คนเดียวก็อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่มากนัก
“รัน! เดินให้มันเร็วๆหน่อยได้ไหมล่ะแกน่ะ แล้วของที่ให้ถือน่ะก็ถือให้มันดีๆด้วย แรงน่ะมีบ้างไหมฮะ โอ๊ย ให้ตายสิ ฉันไม่น่าให้แกเกิดมาเลย ไอ้เด็กบ้า”
เสียงตวาดของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆแถวนั้นก่อนจะเงียบลง
ก็แค่ได้ยิน ทว่าร่างสูงไม่ได้หันไปมองหรือให้ความสนใจนัก...คงเป็นเรื่องดุด่ากันตามภาษาแม่ลูกอย่างที่เคยๆเจอมา
ไม่ได้หันกลับไป...
...เลยไม่ได้เห็นภาพชองเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ก้มหน้าก้มตาเดินหอบหิ้วของเต็มสองมือตามคนเป็นแม่ไปตลอดทาง เด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่อีกไม่กี่ปีต่อมาจะก้าวเข้ามาเป็นคนที่มีมีบทบาทสำคัญในชีวิตของเขาอย่างมากคนหนึ่ง
เด็กผู้ชาย...ที่จะมาช่วยทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกที่เรียกว่าความรักอีกครั้ง..........................
......................................
“เอาของเข้าไปเก็บในบ้านแล้วจะไปไหนก็ไป อย่ามาเดินเกะกะให้เห็นแถวนี้”
ได้ยินคนเป็นแม่พูดแบบนั้นวิพารันต์ก็รีบสาวเท้าเดินเอาของที่หิ้วมาเข้าไปเก็บในห้องครัว ก่อนจะหายตัวหลบขึ้นไปนั่งอยู่ในห้องนอนแคบๆของตัวเอง
ร่างบอบบางนั่งชันเข่าซุกตัวเองอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เสียงเล่นกันของเด็กวัยไล่เลี่ยกันที่อยู่ข้างบ้านดังขึ้นมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ
อยากจะลงไปเล่นกับคนอื่นบ้างแต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เคยลองแล้ว พยายามแล้ว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นการพูดจาดูถูก และท่าทางที่แสดงออกว่ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
ตัวประหลาดที่พูดไม่ได้...เขาเป็นได้แค่นั้นในสายตาของเพื่อนๆ
ก้มหน้าลงมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่มีอาการปวดนิดๆจากการหิ้วของหนักเป็นเวลานาน ก่อนจะค่อยๆเลื่อนแขนทั้งสองข้างมาโอบกอดตัวเองไว้แล้วซุกหน้าลงกับหัวเข่า
ไม่มีใครเคยกอด เลยได้แต่กอดตัวเองไว้แบบนี้
ความรัก ความห่วงใยของคนเป็นแม่ อยากจะได้บ้าง แม้เพียงแค่เล็กน้อย เพราะตอนนี้ไม่รู้เลยจริงๆว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร แล้วชีวิตที่ต้องดำเนินไปอย่างไร้จุดหมายอย่างนี้ มันจะเป็นไปอีกนานเท่าไหร่...จะสิ้นสุดลงที่วันไหน
หรือ...อาจจะไม่มีวันนั้นเลย ......................
.................................
“รัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแกต้องไปอยู่ทำงานใช้หนี้แทนฉันให้คุณอรนะ ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมตัวได้แล้ว เดี๋ยวจะมีคนมารับ”
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าตอนนี้แม่กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ ให้ไปเก็บเสื้อผ้า แล้วบอกว่าจะให้ไปทำงานใช้หนี้ ให้ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้
แม่ทำอย่างนี้...หมายความว่ายังไง
“เอ้า ยืนบื้ออยู่อีก ฉันบอกให้ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าไงล่ะ เดี๋ยวคุณอรจะส่งคนมารับแก เอ้อ แกนี่ไม่เคยได้ดั่งใจฉันเลยจริงๆนะให้ตายสิ!”
พอเห็นลูกชายของตัวเองเอาแต่ยืนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะกระดิกตัวไปไหน วิชุดาจึงตัดสินใจฉุดข้อมือเล็กให้เดินตามตัวเองขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน
จัดการเปิดประตูตู้เสื้อผ้าที่อยู่ในห้องนอนของวิพารันต์ออกแล้วกวาดเสื้อยืดสีซีดๆกับกางเกงขาสั้นห้าหกตัวที่แขวนอยู่ในนั้นลงกระเป๋าเป้ใบเก่าให้ด้วยตัวเอง
ไม่เคยรัก ไม่เคยห่วงใย แต่อย่างน้อยที่ผ่านมาก็ยังยอมให้อยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้แม่คงจะเกลียดลูกคนนี้มากจนไม่อยากจะให้อยู่ด้วยแล้วสินะถึงต้องรีบไล่กันให้ไปไกลๆแบบนี้
‘รันรักแม่นะ ถึงแม่จะไม่เคยรักรันเลย’อยากจะพูดคำนี้กับแม่ อยากจะถามว่าจะได้กลับมาอีกไหม อีกนานไหนกว่าจะได้กลับมา แต่ก็กลัวกับคำตอบเกินกว่าที่จะถามออกไปได้ กลัว...กลัวว่าคำตอบที่ได้รับ มันจะเป็นคำว่า ‘ตลอดไป’
ห้ามอะไรไม่ได้ แล้วก็คงจะทำอะไรไม่ได้อย่างที่ผ่านมาเลยได้แต่ยืนนิ่งๆปล่อยให้แม่จัดการข้าวของที่เหลืออยู่ของเขาไป มือเล็กยกขึ้นปาดหยาดน้ำออกจากดวงตาคู่สวยจนเปรอะไปทั้งใบหน้า จนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ตัวเองถูกส่งให้ขึ้นรถมากับคนแปลกหน้า
“เต็มถังเลยนะน้อง...ไอหนู เดี๋ยวรออยู่ในรถนี่ก่อนนะ ลุงขอลงไปซื้อของที่มินิมาร์ทตรงนี้หน่อย”
ลุงคนขับรถที่อรอนงค์ส่งมารับเอ่ยบอกกับพนักงานเติมน้ำมันแล้วจึงหันมาพูดกับวิพารันต์ที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เบาะข้างๆก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป
นั่งอยู่อย่างนั้น ภายในรถกระบะเก่าๆที่ลงกระจกทั้งสองข้างเอาไว้ให้ลมเข้าเนื่องจากคาดว่าเครื่องปรับอากาศในรถคงจะเสียไปนานแล้ว ทำให้กลิ่นฉุนๆของน้ำมันดิบข้างนอกลอยเข้ามาจนคนตัวเล็กต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้
“เต็มถังเลยครับน้อง”
เสียงผู้ชายอีกคนที่อยู่จอดรถอยู่คนละด้านกับรถที่วิพารันต์นั่งอยู่บอกกับพนักงาน ร่างบางหันหน้าไปมองตามเสียงนั้นทั้งๆที่มือข้างหนึ่งยังยกปิดจมูกอยู่ แต่ก็เห็นอะไรได้ไม่ถนัดนักเพราะมีแผงตู้จ่ายน้ำมันที่กั้นกลางอยู่บังเอาไว้
“ไอ้ไนท์ รอก่อนแป๊ปนึงนะเว่ยเดี๋ยวขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย”
“เออ จะไปก็รีบไปเลยไอนัท เร็วๆ ไปช้าเดี๋ยวไอ้สาก็บ่นเอาอีกหรอก ยิ่งขี้กียจฟังอยู่”
บทสนทนาของกลุ่มคนฝั่งตรงข้ามยังดังเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะๆก่อนจะเงียบไปพร้อมกับที่ลุงคนขับเดินกลับมานั่งประจำที่เดิมแล้วขับรถออกไปจากบริเวณนั้น
รถวิ่งออกไปโดยที่ร่างบางไม่ได้สงสัยที่จะหันกลับไปมองอีก ไม่ได้หันกลับไปมองว่าตรงนั้นมีใครยืนอยู่
ใครคนหนึ่งที่จะได้เจอกันอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ใครคนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยสอนให้เขาได้รู้จักกับคำว่าความสุข ใครคนหนึ่งที่จะเข้ามาสอนให้รู้จักกับความรัก และใครคนหนึ่ง...ที่จะเข้ามาสอนให้เขาเข้าใจว่าอ้อมกอดที่แท้จริงนั้นมันอุ่นมากกว่าการนั่งกอดตัวเองคนเดียวมากขนาดไหน...
.......................
.....................................
“ไนท์ ไนท์ ไอ้ไนท์ เฮ่ย มัวแต่เหม่อมองอะไรอยู่วะ ไม่รีบออกรถ”
นัทนทีที่เดินกลับมาที่รถหลังจากไปเข้าห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วเอ่ยเรียกเพื่อนที่อยู่ดีๆก็เกิดอาการเหม่อลอยขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“อะ ปะ...เปล่าๆไม่ได้มองอะไร”
เหมือนเพิ่งจะได้สติ นิธิศกระพริบตาถี่ๆสองสามครั้งก่อนจะเริ่มขยับรถออกไป
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมองอะไร ก็แค่เห็นรถกระบะเก่าๆคันหนึ่งขับผ่านหน้าไป พอรู้ตัวอีกทีก็เผลอมองตามไปแล้ว
ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เห็นว่าใครนั่งอยู่ในรถ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้รู้อะไรเลย แต่ก็แปลก แปลกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างบอกให้มองตามรถคันนั้นไป
“ไม่เป็นอะไรแน่นะเฮ่ยไอ้ไนท์”
“อืม...ไม่เป็นอะไรน่า”
นิธิศหันไปบอกเพื่อนที่หันมามองหน้าเขาอย่างนึกสงสัยก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป
บางที...เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล บางครั้ง...เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่อาจจะต้องใช้เวลา เวลาที่จะเพาะบ่มความรู้สึกของคนสองคนให้มากพอ
พอจนเพื่อที่ว่าในวันหนึ่ง เมื่อถึงวันที่โชคชะตานำให้ทั้งสองคนได้มาเจอกันจริงๆ...
คนหนึ่ง...จะได้กลับไปเรียนรู้ที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่ารักอีกครั้งหลังจากสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป
และอีกคน...จะได้เข้าใจถึงความหมายและเหตุผลของการที่ตัวเองได้เกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
เหตุผลที่ไม่มีใครสามารถบอกได้
เหตุผล...ที่ต้องรอให้ถึงเวลา..
.‘ก่อน’.....................................
………………
Fin.
[‘ก่อน’]สวัสดีค่ะ คือตอนพิเศษนี้ก็ไม่ได้มาจากไหนหรอกค่ะ จริงๆก็เป็นหนึ่งในตอนพิเศษที่เขียนลงไว้ในเล่มด้วยแหละ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้คิดยังไงถึงได้อยากเอาตอนนี้มาลงนัก สงสัยเพราะคิดถึงสองคนนี้จัด 5555
เหนื่อยๆเบื่อๆกับการสอบจังค่ะ เง้อ ยิ่งใกล้สอบที่ไรความรู้สึกที่อยากเขียนนิยายมาทุกที 5555
ติดตามพูดคุยกันได้ในแฟนเพจเหมือนเดิมนะคะ