ตอนที่ 8
มาเล่นกันเถอะ
วันนี้เป็นวันหยุดผมชวนทิมมาที่บ้านของคิท บ้านมันเป็นร้านอาหารชื่อ KK’s Kitchen ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมแถวๆ นี้ สมัยเรียนเรามาบ้านคิทบ่อย ซึ่งแน่นอนว่าเราจะได้กินอะไรอร่อยๆ กันทุกครั้งที่มา อย่างครั้งนี้ก็เช่นกัน
"กินเยอะๆ นะพี่ พอรู้ว่าพวกพี่จะมาพ่อหนูทำไม่หยุดเลย" แคทน้องสาวของคิทพูดพลางวางจานอาหารที่เพิ่งยกมาวางบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม
"คิดถึงพวกพี่อ่ะ ไม่มาตั้งนาน"
ผมได้แต่ยิ้มหน่อยๆ ให้น้อง แคทอายุน้อยกว่าเราแค่ปีเดียว แต่เป็นผู้หญิงตัวเล็ก เลยดูเด็กในสายตาพวกเราอยู่เสมอ เราเรียนที่เดียวกันแต่คนละคณะ จึงไม่ค่อยได้เจอกัน ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาก็บังเอิญเจอกันที่มหาลัยไม่ถึงสิบครั้งเลยมั้ง
"แล้วแคทเป็นไงบ้าง "
"ก็ดีพี่ เรื่อยๆ"
"เลิกกับแฟนยัง" ทิมถามขึ้น คำถามไม่ถูกหูเลยโดนมือเล็กๆ ฟาดไหล่ไปทีหนึ่ง
"เดี๋ยวจะโดน"
"โห่ไรวะ รอเสียบอยู่เนี่ย รู้งี้จีบแกตั้งแต่ม.สามก็ดี"
"จีบตอนไหนหนูก็ไม่เอาพี่หรอก"
"โห ไอ้นี่!" ทิมยกส้อมทำท่าจะจิ้มแคท
"แล้วพี่ทิมอะ มีแฟนยัง"
"ยัง"
"ไม่น่าถาม อย่างพี่ไม่มีใครเอาหรอกเนอะ"
"ไอ้แคท! เดี๋ยวเหอะ!"
แคทหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วหันมามองผม
"แล้วพี่น่านอะ คิดจะมีแฟนหรือยัง"
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ
"ไม่มีใครเอาทั้งคู่ ว้าย!"
ทันทีที่แคทพูดจบผมจับเธอล็อกคออย่างหมั่นเขี้ยว
"ฆ่ามันเลยไหม" ผมถามทิม
"ฆ่าเลย กูยอมติดคุก" ทิมว่าแล้วยกส้อมขึ้นจิ้มๆ แคท
"เฮ้ยพี่! ปล่อยหนูนะ! มันจักจี้"
"ตายซะ!"
"อะไรกันเด็กๆ เสียงดังกันเชียว" ลุงพล พ่อของคิทเดินเอาอาหารเข้ามาวางอีกจาน ทั้งที่พวกผมอิ่มตั้งแต่สองจานแรกแล้วแต่ก็ไม่ได้ขัดตอนที่ลุงพลเอาอาหารมาให้เพิ่ม ผมปล่อยมือที่ล็อกคอแคทออก ไอ้เด็กนี่มองผมกับทิมด้วยสายตาเคืองๆ แล้วหันไปหาพ่อตัวเอง
"พ่อหยุดทำอาหารได้แล้ว จะทำให้วัตถุดิบหมดครัวเลยหรือไง"
"ของพวกนี้ทิมกับน่านชอบทั้งนั้นแหละ ใช่ป่ะ?"
"ครับ ชอบครับ" ทิมว่าแล้วหยิบไก่ทอดกิน
"นึกถึงสมัยก่อนเลยเนอะ เด็กพวกนี้มาเล่นซนที่บ้านเราได้ทุกวัน"
"ใช่! มาก่อความรำคาญทุกวันแหละพ่อ"
"แกก็เล่นอยู่กับพวกพี่นะแคท"
แคทย่นจมูกใส่ผมแล้วยื่นมือไปหยิบไก่ทอดใส่ปากบ้าง
"เดี๋ยวนี้บ้านเงียบเลย"
ผมพยักหน้ารับ เสียงลุงพลเรียบเฉยแต่แฝงความเศร้าไว้ภายใต้ดวงตาที่ดูสลดลงไป ไม่มีใครไม่คิดถึงคิท ผมเข้าใจลุงพลดี อดนึกไปถึงเมื่อก่อนไม่ได้ เพราะบ้านคิทมันใกล้โรงเรียนสุด หลังเลิกเรียนเราจะมารวมหัวกันอยู่ที่นี่ มาก่อความรำคาญอย่างที่ลุงพลบอก พวกเราทำทุกอย่างที่เพื่อนจะทำ เราทำการบ้านบ้าง ลอกการบ้านกันเองบ้าง เราติวหนังสือเตรียมสอบ เราเที่ยวด้วยกัน เราหัดกินเหล้าด้วยกัน เราเมาอยู่ด้วยกัน เรามีความสุขอยู่ด้วย เราสนุกด้วยกันและใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง โดยไม่เคยคิดถึงวันที่ไม่มีมันอยู่ ไม่เคยคิดถึงวันที่จะต้องจากกันไป ไม่คิดว่ามันจะมาเร็วขนาดนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
หลังจากกินข้าวเสร็จผมขึ้นมาที่ห้องของคิท ทั้งห้องนอนและข้าวของของมันยังคงเหมือนเดิม ผมเคยคิดว่ามันแค่ไปไหนไกลๆ เดี๋ยวก็กลับมา ผมมองรูปคิทที่วางอยู่ตรงนั้น มันที่อยู่ในรูปนั้นยังคงยิ้มให้ผมอยู่เสมอ
ไอ้สัด ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ
"โย่ว! ไอ้คิท" ทิมที่เดินตามเข้ามาทักทายรูปนั่น ก่อนจะทิ้งตัวลงที่นอน ไอ้นี่มันเป็นโรคสภาวะทิ้งตัว เจอที่นอนไม่ได้ต้องล้มเข้าใส่ทันที ผมเองก็นั่งลงที่ปลายเตียงนั่นด้วย
"มึงว่า ตอนนี้มันจะทำอะไรอยู่วะ"
ทิมถามขึ้น ผมก็ไม่รู้ แต่สิ่งเดียวที่มั่นใจ คือมันยังอยู่ที่นี่
"ไอ้คิท กูรู้มึงยังอยู่ที่นี่"
"เฮ้ย ไอ้น่าน" ทิมเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน
"กูพูดจริง มันยังไม่ไปไหนหรอก"
"ไอ้ห่าน่าน กูรู้มึงอยากเจอมัน แต่มึงจะประสาทแดกไปกันใหญ่แล้วนะ มันตายไปเกือบสามปีแล้ว ป่านนี้ไปเกิดใหม่ โตจนเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วมั้ง"
ผมไม่ได้สนใจคำพูดทิมก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาที่รูปถ่ายนั้น
"และถ้ามึงยังอยู่จริงๆ ก็ออกมาเลย กูก็รอมึงอยู่เหมือนกัน" ถ้าพี่ซีมาด้วยก็คงดี เขาคงมองเห็นคิทไปแล้วหากว่ามันอยู่ที่นี่จริงๆ
"ไอ้น่าน"
ทิมดึงผมให้นั่งลงข้างๆ
"สติมึงสติ"
"กูไม่ได้บ้า"
"มึงบ้า!"
"กูมีสติดี"
"มึงไม่มีสติ!"
"ไอ้ทิม มึงอยากปากแตกหรืออะไรไหม"
"กูสิจะต่อยมึง เผื่อจะดึงสติมึงกลับมาบ้าง"
"จะต่อยกูเหรอ ฝันไป!" ผมหยิบหมอนตรงนั้นขึ้นมาแล้วฟาดใส่มันไม่ยั้งมือ แต่ก็อย่าหวังว่ามันจะยอมง่ายๆ ห้องนอนของคิทกลายเป็นสนามต่อสู้ของเราสองคน หมอนสองใบกลายเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดในจุดนี้
"ไอ้น่าน มึงมันบ้า!"
"มึงหุบปากไปเลย!"
"กูไม่หุบจนกว่ามึงจะมีสติ!"
"ไอ้ห่านี่!"
"มึงอยากเจอมันมากก็ตายตามมันไปเลย!"
"โครม!"
ทั้งผมและทิมหยุดกึกหลังจากของบางอย่างที่หัวเตียงหล่นลงมา ทิมหันมองหน้าผมอย่างหน้าตาตื่น
"กูบอกแล้วไงว่ามันยังอยู่"
"ไอ้สัด กูไม่ตลกนะ"
ผมยิ้มมุมปากมองหน้าทิม มันลุกขึ้นช้าๆ แล้วมองไปยังของที่หล่นลงมา เป็นหนังสือรุ่นตอนม.ปลายที่บังเอิญเปิดไปยังหน้าที่มีรูปเราอยู่พอดี
"กูว่าคิทมันอยากเล่นด้วยว่ะ"
"พวกมึงเล่นกันไปสองคนเหอะ กูไปก่อนนะ" ทิมว่าแค่นั้นก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป ผมหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางของมัน ไม่ได้บอกมันว่าที่หนังสือตกเพราะมือผมไปโดนตอนที่ยกหมอนฟาดมัน ผมหยิบหนังสือนั่นขึ้นมาดู ตอนม.ปลาย ใครๆ ก็รู้ไอ้คิทมันตัวแสบของห้องเลย ไม่คิดจะได้เป็นเพื่อนกับมันเหมือนกันเพราะเราต่างกันคนละขั้วเลย แต่งงๆ ยังไงไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเพื่อนสนิทของมันไปแล้ว
"ปัง!"
ผมสะดุ้งเฮือก หนังสือหลุดออกจากมือตอนที่ประตูห้องกระแทกปิดเสียงดัง บางทีอาจเป็นเพราะลม แต่ใจผมมันบอกว่าไอ้นั่นมันกำลังแกล้งผมอยู่
"มึงใช่ไหมไอ้คิท"
ผมหลุดหัวเราะกับความบ้าบอของตัวเอง หันกลับไปมองรูปไอ้คิทอีกครั้งเสียงหัวเราะนั่นมันก็หายไปกลายเป็นรอยยิ้มฝืนๆ และคำพูดแผ่วเบาจากความรู้สึกข้างใน
"คิดถึงมึงจริงๆ ว่ะ"
...
ผมเดินกลับเข้ามาในหอพัก ภาพที่เห็นจนชินตาก็คือบุรุษผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าของหอที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ในมือถือขวดเบียร์ราวกับมันเป็นอวัยวะที่งอกออกมาตรงนั้น คนตรงนั้นหันมาทักผมก่อน
"กลับดึกจัง ไปไหนมาวะ"
"กินเบียร์ได้นี่แปลว่าหายป่วยแล้วดิ" ผมไม่ได้ตอบคำถามเขาแถมยังถามกลับ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาข้างๆ
"ก็ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย"
"นี่เมาป่ะ"
เขาส่ายหน้า
"นี่ขวดที่เท่าไร"
"สอง"
"เออ พอแค่นี้แหละ" ผมว่าแล้วหยิบขวดที่ยังไม่ได้เปิดซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ เอาเข้าไปเก็บในตู้เย็น
"อะไรของมึงเนี่ยไอ้หนู"
"หนูอะไรเล่า!" ผมตะโกนตอบ แล้วมองดูตู้เย็นในครัว ซึ่งทุกพื้นที่ในนั้นเต็มไปด้วยขวดเบียร์
"เอามาคืนเลย"
"สองขวดก็พอแล้ว"
"กูจะกินกี่ขวดก็ได้เว้ย ตับกู กูรับผิดชอบเอง"
"ผมเป็นห่วงนะ"
"มีสิทธิ์อะไรมาห่วงกู"
ผมเงียบ พลางคิดว่ามันจริงอย่างที่เขาพูด ผมจะสนทำไม ต่อให้คนตรงหน้าตับแข็งหรือเป็นมะเร็งตายมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมตรงไหน แต่แม่งทำเหมือนความห่วงของผมไม่มีความหมายแบบนี้ไม่มากไปหน่อยเหรอ ถามว่าผมมีสิทธิ์อะไรนั่นผมไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งไม่ได้หรือไง ผมส่ายหัวกับความคิดตัวเองเบาๆ แล้วหยิบขวดเบียร์ออกมาจากตู้เย็นกำลังจะเอาไปคืนให้เขา
"เออๆ ไม่ต้องเอามาละ กูไม่กินแล้วก็ได้"
กวนตีน
ผมหันไปมองแรงใส่เขาทีหนึ่งก่อนจะกลับไปยัดเบียร์ใส่ตู้เย็นเหมือนเดิม แล้วกำลังจะเดินขึ้นบันได
"เฮ้ย งอนเหรอ"
"มีสิทธิ์อะไรไปงอน"
"ก็มึงทำเหมือนงอนกูอยู่เลยเนี่ย"
"กูไม่ได้งอนเว้ยพี่"
"อ้าว พูดไม่เพราะใส่กูอีก"
"ทีพี่ยังพูดได้เลย"
"หนู อย่าขี้เถียงดิ พี่ไม่ชอบ"
"พี่ก็อย่าปากหมาดิ"
"ขอโทษ"
"พรวด! ปัง!" พี่ซีหยุดชะงักขณะที่กำลังเอ่ยคำขอโทษใส่ผมอยู่ ผมเองก็ตกใจที่อยู่ๆ ไคโรก็เปิดประตูพรวดเข้ามาแล้วปิดมันเสียงดังอย่างกับกำลังหนีใครเข้ามา สภาพเขาตอนนี้สะบักสะบอมเหมือนผ่านดงตีนมายังไงยังงั้น
"มีอะไรวะ" พี่ซีเอ่ยถาม ไคโรไม่ตอบก่อนเสียงโวยวายข้างนอกจะดังขึ้น
"ปังๆๆๆ! อย่าหนีนะโว้ย! กูรู้มึงอยู่ในนั้น ออกมา!"
"กูถามว่ามีอะไร!" เสียงดังของพี่ซีถามซ้ำ แต่อีกฝ่ายก็ยังอึกอักที่จะตอบ
"คือ..."
"มึงมีเรื่องกับพวกข้างนอกเหรอ"
"ผมไม่ได้เริ่มนะเฮีย"
"มึงมานี่เลย" พี่ซีลากไคโรไปอีกทาง แต่เสียงข้างนอกยังโวยวายไม่หยุด
"พี่ซี แล้วข้างนอกนั่น" ผมชี้ไปที่ประตูที่คล้ายจะถูกทุบเข้ามาอยู่แล้ว
"ไปจัดการให้หน่อย"
"ฮะ"
ให้ใครจัดการ กูเหรอ?
"เพล้ง!"
เชี่ย! ผมสะดุ้งโหยงที่ไอ้พวกข้างนอกนั่นใช้ก้อนหินทุบประตูกระจกเข้ามา เด็กสมัยนี้หัวรุนแรงจังโว้ย ผมสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดมันออก แล้วพบกับกลุ่มนักเรียนชายเกือบสิบคน จะเรียกมันว่ากลุ่มนักเรียนรหรือฝูงซอมบี้ดีวะเนี่ย ทั้งหน้าตาที่ดูเอาเรื่อง และทุกคนอยู่ในท่าที่พร้อมจะตีใครสักคน
ก็ได้แต่ภาวนาว่าคนนั้นคงไม่ใช่กู
"มีอะไรกัน" ผมเก๊กหน้านิ่งถามเสียงเรียบ
"มันอยู่ในนี้ใช่ไหม!"
"ใคร?"
"ไอ้ไคโรไง! ออกมานะโว้ย อย่ามัวมุดหัวอยู่!"
"เฮ้ยๆ! ถ้ามึงก้าวเข้ามากูแจ้งตำรวจแน่!" ผมชี้หน้ามันก่อนที่หนึ่งในนั้นกำลังจะเดินเข้ามา พวกมันหยุดด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เสียงหักนิ้วดังกรอบราวเจ้าป่ากับพร้อมจะขย้ำเหยื่อแล้ว
"ข้อหาบุกรุกนะโว้ย! ทำลายทรัพย์สินด้วย!" ผมทำเป็นเก่งไว้ก่อนเพราะยังไงผมก็อายุมากกว่า คิดว่าจะดูเหนือกว่าด้วยวัยวุฒิอยู่แล้ว แต่ผิดถนัด ไอ้ข้อบังคับตามกฎหมายยกมาอ้างไม่ได้ทำให้พวกมันเกรงกลัวแต่อย่างใด คนที่ยืนจ้องหน้ากับผมเหมือนกับเป็นหัวโจกกำลังขู่ผมด้วยสายตา เอาแล้วไง กูเป็นแค่หนูแฮมทาโร่เอง อย่าคิดรุนแรงกับกูเชียวนะ ทำไมพี่ซีต้องปล่อยให้ผมต้องมาเผชิญหน้ากับไอ้หมาบ้าพวกนี้เพียงลำพังด้วยเนี่ย น่ากลัว...
"พวกผมไม่เข้าไปก็ได้ แต่เอาไอ้ไคโรออกมา"
"ไม่ได้"
"ทำไมจะไม่ได้ ผมแค่มีเรื่องจะเคลียร์กับมัน ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่ซักหน่อย"
"บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ดิวะ! นี่อายุเท่าไร อยู่ม.อะไร ทำไมทำตัวแบบนี้ เอาเวลาไปอ่านหนังสือทำการบ้านดีกว่าเปล่า ทำเรื่องแบบนี้ไม่เกิดประโยชน์นะเว้ย วันนึงพวกมึงต้องมานั่งเสียใจแน่ๆ ว่าทำอะไรลงไป..."
"รำคาญ! เข้าไปเลยเหอะ!" คำพูดของผมหมดความหมายตอนที่หนึ่งในนั้นผลักผมจนกระเด็นไปอีกทางขณะที่กำลังเทศนาให้พวกมันฟัง แล้วเดินเข้าไปในหอไป
ไอ้เด็กเวร!
"เฮ้ย! กูแจ้งตำรวจจริงๆ นะ" ผมควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า
"ฟึ่บ!" มันใช้เท้าเตะโทรศัพท์ผมร่วงจากมือ สมาร์ทโฟนตัวใหม่ที่ถอยมาได้ไม่ได้นานร่วงไปนอนแอ้งแม้งคว่ำหน้าอยู่กับพื้นเป็นเหตุให้ผมเดือดพรวดขึ้นมาเลย
"ไอ้เหี้ยนี่! กูว่าจะใจเย็นแล้วนะ!"
ผมพ่นคำหยาบก่อนจะตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อมันอย่างเอาเรื่อง ไอ้พวกที่เหลือกำหมัดแน่น ทุกสายตาพุ่งมาที่ผมคนเดียว เอาก็เอาดิวะ! เอาเลยเว้ย! มาเลย!
"เฮ้ย"
พี่ซีเดินออกมาจากห้อง เสียงแข็งๆ คำเดียวของเขาทำให้ทุกอย่างเงียบ
"เข้ามาทำอะไรกันวะ" พี่ซีดึงมือผมออกมาจากคอเสื้อไอ้นั่น
เหอะ! ต้องขอบคุณพี่ซีที่ช่วยชีวิตมึงไว้นะ ไม่งั้นปากมึงแตกแล้วไอ้เด็กเปรต!
"ไอ้ไคโรอยู่ไหน"
"พวกมึงมีปัญหาอะไรกับมัน"
"ไม่เกี่ยวกับพวกพี่"
"เกี่ยวดิวะ ไอ้ไคโรมันน้องกู"
"กูไม่กลัวพวกมึงหรอก เอามันออกมา!"
"ไอ้เด็กเวร! แน่จริงพวกมึงเข้ามาเลยดีกว่า! เจ๋งจริงป่ะ!" ผมพูดออกไปอย่างเหลืออด พี่ซีดึงผมไปกัดฟันกระซิบข้างหู
"หนู จะพูดจาหาเรื่องทำไม"
"ก็มันน่าหมั่นไส้นี่พี่ นักเลงมาจากไหน พี่ต่อยมันเลย"
"มึงดูคนก่อนสิหนู มากันเป็นฝูงกูจะเอาอะไรไปสู้มัน"
"ผมว่าเรามาพูดกันดีๆ ดีกว่า พวกผมจะออกไปถ้าพี่ส่งไอ้ไคโรมา"
"พวกมึงกลับไปเหอะ"
"พวกกูไม่กลับจนกว่าไอ้ไคโรจะออกมา!"
"เฮีย!"
ทั้งผมและพี่ซีหันขวับไปมองเท็นที่ยืนอยู่ที่บันได เท็นโยนวัตถุบางอย่างให้พี่ซี เขารับมันไว้ได้ทันพอดี
"ฟึ่บ!"
พี่ซียกวัตถุที่รับมาจากเท็นขึ้น จนเราทุกคนที่นี่ถึงกับตาค้าง
เชรด! ปืน!
"จะกลับได้ยัง" พี่ซีเอ่ยเสียงเรียบ พวกมันได้แต่หันมองหน้ากัน
"สัด! อย่าให้กูเจอมึงนะไอ้ไคโร!"
"อย่าให้กูเจอพวกมึงเหมือนกัน"
ทิ้งท้ายด้วยคำพูดเท่ๆ ของพี่ซีก่อนพวกมันจะรีบวิ่งออกไป พี่ซีเดินไปปิดประตูที่กระจกแตกนั่นแล้วเดินกลับมาที่โซฟา
"ไอ้เหี้ย! ปืน!"
อ้าว!
ผมหันมองพี่ซีที่ร้องลั่นก่อนจะโยนสิ่งนั้นลงบนโซฟา
"ไอ้เท็น มึงมีของแบบนี้ได้ไง!"
"ของปลอมน่ะเฮีย" เท็นว่าแล้วหยิบปืนนั่นขึ้นมา
"ไอ้ห่า มือกูนี่สั่นไปหมด ไอ้นี่ เอาไปไกลๆ กูเลย!" พี่ซีผลักแขนเท็นที่แกล้งเอาปืนจ่อหัวเขาออก
"ของปลอม! เฮียจะกลัวอะไร"
"เมื่อกี้ยังทำเท่อยู่เลย" ผมพูด พี่ซีหันมาแยกเขี้ยวใส่ ยกมือทำท่าจะเขกกบาลผม
"เท่เหี้ยอะไร กูเกร็งจนไส้ติ่งจะบิดแล้วเนี่ย แม่งก็มากันเป็นฝูง มึงก็ไปพูดจาหาเรื่องมันอีก เกิดมันตีมึงขึ้นมาจริงๆ ทำไง"
"พี่ก็อัดมันก่อนดิ"
"กูไม่ใช่ทีมอเวนเจอร์นะเว้ย กูเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ บอบบาง ลูกคุณหนูด้วยกูเนี่ย"
ถุย! ผมอยากถุยใส่หน้าแต่ติดตรงที่ว่าทำได้แค่ในใจนี่แหละ ก็ตาลุงฝรั่งนี่มันน่าหมั่นไส้ซะเหลือเกิน ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วเดินไปเก็บมือถือที่ตกอยู่อีกทาง สะดุ้งโหยงตอนที่ปลายนิ้วสัมผัสกับเศษกระจกจากบานประตูที่แตก วินาทีเดียวเลือดก็ซึมออกมา แต่ผมไม่ได้สนใจแผลเล็กๆ นั่นก่อนหันกลับไปหาพี่ซี
"ประตูหอกูพังเลยเนี่ย ใครรับผิดชอบล่ะทีนี้" เขาบ่นหัวเสียก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟา
"ไอ้ไคโร มึงออกมาเลย!"
สิ้นเสียงตะโกนนั่น ไคโรเปิดประตูห้องนอนพี่ซีออกมา ใบหน้าฟกช้ำกับเนื้อตัวที่ดูมอมแมม เลือดที่เลอะเสื้อนักเรียนและรอยสกปรกทำให้ตอนนี้เขาดูหมดสภาพ ไม่ใช่เด็กนักเรียนหน้าใสอย่างเคยเลย เขาก้มหน้าลงแล้วปิดประตูห้องเบาๆ
"มานี่เลย มานั่งนี่" พี่ซีเอ่ยเสียงดุ อีกคนก็เดินเข้ามาอย่างว่าง่าย
"เกิดอะไรขึ้นวะ" เท็นถาม
"ไงมึง นักเลงมากเลยดิ"
"ผมไม่ได้เริ่มนะ"
"ใครเริ่มก็ไม่สำคัญป่ะวะ! เป็นเหี้ยอะไรต้องตีกัน มันเรื่องอะไรกัน"
"มันไม่พอใจเพื่อนผม พอผมเข้าไปช่วยเพื่อน มันก็เหมาผมไปด้วย"
"แล้วมึงเข้าไปเสือกทำไม"
"ก็นั่นเพื่อนผมอะ พี่จะให้ผมอยู่เฉยๆ เหรอ"
"มึงไม่ต้องเถียง!"
ไม่มีคำแก้ตัวนอกจากการก้มหน้ารับคำบ่นของพี่ซีอยู่อย่างนั้น ทั้งผมและเท็นพยายามจะช่วยสงบอารมณ์ของพี่ซีแต่จังหวะนี้อะไรก็เอาไม่อยู่
"มึงเป็นนักเรียน มีหน้าที่เรียนก็เรียนไปดิวะ"
"พี่ซี พอแล้ว"
"ไม่พอ! มึงคิดว่าใช้กำลังตัดสินปัญหาแล้วจะจบเหรอวะ มึงเป็นมนุษย์ มึงมีสมอง มึงควรใช้สมอง ไม่ใช่มากัดกันเป็นหมาแบบนี้..."
"เฮ้ย! น่านเลือดออกเหรอ"
สิ้นเสียงของเท็น พี่ซีก็หยุดปากที่กำลังบ่น ละจากไคโรแล้วหันมาหาผมในทันที
"ไหน"
"โดนกระจกบาดอะ นิดเดียว"
"แล้วทำไมไม่บอก"
"ก็ไม่ได้เจ็บ พี่ซี..." ผมร้องห้ามไม่ทันตอนที่พี่ซีใช้ชายเสื้อนักศึกษานั่นเช็ดเลือดที่ปลายนิ้วผม แผลมันไม่ได้ลึก เลือดก็ไม่ได้ไหลมาก แต่ก็พอที่จะทำให้เสื้อนักศึกษาของเขาเลอะเป็นรอย
"พี่ซี เสื้อเปื้อน"
"ช่างมันดิ แล้วนี่เจ็บป่ะเนี่ย"
"ไม่เจ็บ ไม่เป็นไร"
ขณะที่พี่ซีจดจ่ออยู่กับแผลของผม สองคนข้างหลังก็ชวนกันย่องออกไปจากตรงนี้ช้าๆ ผมหลุดยิ้มตอนที่เท็นกับไคโรหนีออกไปได้สำเร็จ
"ยิ้มไร เจ็บตัวนี่ชอบเหรอ"
"เปล่า ไคโรหนีไปแล้วนะ"
"ช่างมันดิ กูโฟกัสมึงอยู่"
"ฮะ?"
"เป็นห่วงมึงอยู่ไง ทำไมต้องสนใจคนอื่นด้วย" พี่ซีพูดแค่นั้นแล้วเป่าลมเบาๆ เข้ามาที่ปลายนิ้ว ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมก็ไม่ได้งงกับคำพูดของเขา แต่ก็ไม่เข้าใจอย่างชัดเจน เอาเป็นว่าสับสนในระดับที่รับได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในตอนที่พี่ซียิ้ม...
ผมเองก็ยิ้ม
To be continued.