Pocky story
11/11/11
11:11
เข้าสู่ช่วงเวลาห้าโมงเย็น จากท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสไปด้วยแสงอาทิตย์ก็กลายเป็นมืดครึ้มเพราะเมฆฝนที่เริ่มก่อตัว กีฬาส่วนใหญ่เล่นกันจนจบทั้งหมดแล้ว เหลือแต่เพียงฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศระหว่างสีของผมและสีชมพู
ไอ้วาโดดกลับบ้านไปตั้งแต่บ่ายสองกว่าๆ อีกอย่างบ้านมันก็ใกล้โรงเรียนด้วย ไอ้เพื่อนตัวดีเลยถือโอกาสกลับไปนอนสบาย ทิ้งให้ผมซึ่งต้องกลับบ้านเองอยู่กับไอ้ต้นที่ยังไม่กลับจนกว่าบอลคู่นี้จะจบ
เหลือบมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ตัดสินใจที่จะกลับซะตั้งแต่ตอนนี้ก่อนจะต้องไปเปียกฝนเอากลางทาง
“ต้น กูกลับก่อนนะ ฝนจะตกแล้วว่ะ”
“หา อะไรนะ? จะกลับแล้ว ฝนจะตกแล้วเหรอวะ? เออวะ ฟ้าแม่งโคตรมืด แล้วมึงกลับไงอ่ะ สองแถวใช่มะ?”ถ้ามึงจะถามเองตอบเองขนาดนี้ก็ไม่ต้องถามกูก็ด้ายยย =[]=
“รถฟรีว่ะ กูจะเก็บตังค์ไว้ซื้อป็อกกี้”ค่ารถ6บาท รวมกับทรัพย์เดิมที่คงเหลือจะทำให้ผมสามารถซื้อป็อกกี้สำหรับตอนเย็นได้กล่องนึงพอดีเด๊ะ อีกอย่างถึงรถฟรีจะรอนานหน่อย แต่เพื่อป็อกกี้ที่รัก…
ไอ้กี้ทนด้ายยย! ฮุยๆๆๆๆ
“อ่ะจ่ะ… = =”ไอ้ต้นทำหน้าเมื่อยใส่ผมแล้วโบกมือไล่แบบเดียวกับไล่หมาเด๊ะๆ
“Mata ashita!”ผมตะเบ๊ะบอกลามันเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างที่เคยทำบ่อยๆแล้วคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย ไม่ได้แสดงใช้นะครับ แต่ผมเป็นเด็กสายศิลป์ญี่ปุ่นนี่นา เพื่ออนาคตที่กำหนดไว้ว่าจะได้ทำงานในถิ่นแดนแห่งการผลิตป็อกกี้อันเป็นที่รักครับ!
ผมมองไปที่สกอร์บอร์ดแล้วพบว่าสีตัวเองนำอยู่ 2-0 ในเวลาที่ช่วงครึ่งหลังกำลังจะหมดเต็มแก่ เท่านี้ก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่าสีของผมจะแพ้ กลับบ้านได้อย่างสบายใจแน่นอน ผมลุกขึ้นจากข้างสนามแล้วเดินห่างออกมาก่อนจะตรงดิ่งไปสหกรณ์โรงเรียนเพื่อซื้อป็อกกี้เอาไว้กินระหว่างทาง ได้รสช็อกโกแลตมาเชยชมครับ อ่ะฮึ้ยย หอมอร่อย
ผมใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็มาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนในที่สุด จำนวนนักเรียนมีอยู่เพียงบางตา สาเหตุแรกคงเป็นเพราะเวลาเย็นแล้ว อีกอย่างก็คงเป็นเมฆฝนที่ร้องครืนๆอยู่เหนือหัวของผมนั่นแหละ
เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีพร้อมกับรถสองแถวที่ผ่านไปแล้วหลายคัน หากแต่รถฟรีที่รอคอยกลับไม่โผล่มาให้เห็นแม้เพียงป้ายทะเบียน รอบด้านมืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆและแทบจะเหลือผมอยู่เพียงคนเดียว แต่ผมก็ยังเฉยๆอยู่นะ ก็รถฟรีเนี่ย ดูตามสถิติแล้วมันครึ่งชั่วโมงมาทีนี่นา ไม่เป็นไร ไอ้กี้รอได้ แค่นี้ชิลๆ =3=
……
…………..
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปพร้อมกับฝนที่เริ่มลงเม็ดในที่สุด ไอ้ที่รอรถเมล์นี่ก็มีแต่ป้ายกับหลังคาเล็กๆที่พอกันแดดได้แต่กันฝนไม่ได้สักกะติ๊ด ลงพัดมาทีก็หอบเอาฝนเข้ามาด้วย ใช้เวลาไม่นานผมก็เริ่มเปียกโชก
เอาละเมิง รถก็ยังไม่มา เงินจะใช้ขึ้นรถสองแถวก็ไม่มีสักกะบาท แถมเริ่มจะเปียกไปทั้งตัวแล้วด้วย จะให้วิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียนทั้งๆที่เปียกไปแล้วทั้งตัวก็ไม่ค่อยจะเกิดผลอะไรเท่าไหร่ ดีไม่ดีรถมาตอนที่เข้าไปหลบฝน ชาติหน้าผมก็คงไม่ได้กลับบ้านกันพอดี และถ้าจะถามว่าทำไมผมไม่โทรบอกให้ใครมารับ ผมคงลืมบอกคุณไปว่าผมยังไม่มีมือถือครับ ถ้ามีเงินพอซื้อมือถือได้ ผมเอาไปซื้อผู้ดีกินทุกวันดีกว่าเฟ้ย! วะฮ่าๆๆ
“กร๊าซซซซซซซ เมื่อไหร่มันจะมาสักทีวะเนี่ยยยยยยยยย”ไหนๆก็ไม่มีคนอยู่ ผมเลยตะโกนด่าฟ้าดินระบายอารมณ์แล้ววิ่งออกไปรับน้ำฝนเล่น
ไหนๆก็เปียกแล้ว กูเล่นเลยก็ได้วะ!
“โฝนนนนนตก ยิ่งนึกถึงทีรายยย ก็ยิ่งชุ่มช่ำ อุ่นในหัวจายยย”จะร้องเพลงต้องให้เข้ากับสถานการณ์ครับ ไอ้เหี้ยยย กูจะกลับบ้านอ้ะ!!!
“แม้ว่าตอนเน้ อากาศจะหนาวสักเท่ารายยย ก็ขอฝากลมโฝนนนน ช่วยเป็นสื่อให้เธอรู้ ว่าฉันคิดถึงบ้าน และยิ่งคิดถึงบ้านโว้ยยยยยยยยยยยย”
แง้ หนูจะกลับบ้าน! T[]T
ผมเปลี่ยนไปนั่งยองๆกับพื้นเพราะยืนนานจนเมื่อยขา โชคดีที่กระเป๋าของผมมันกันน้ำได้เลยไม่ต้องห่วงของข้างใน จากนั้นพอไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ผมก็ก้มหัวลงซบกับเข่าแล้วมองวิวฝนที่ตกลงมากระทบพื้นถนนเล่นพร้อมกับครวญเพลงหงุงหงิงไปด้วย
รถราวิ่งผ่านไปมาแบบนานๆที พวกเขาคงนั่งสบายอยู่ในรถที่แห้งและอบอุ่นสินะ…ชักจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของหนูน้อยไม้ขีดไฟที่ต้องทนขายของท่ามกลางอากาศหนาวแบบนี้แล้วสิ….
(กุนอยด์….ฮือๆๆ)
ตอนนั้นเองที่มีรถเก๋งสีดำสนิทคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าผมไป มันคงจะไม่สะดุดตาขนาดผมจะเอามาเล่าให้พวกคุณฟังนอกซะจากรถคันนั้นจะมีอะไรที่แปลกไปใช่มั้ยล่ะครับ รถคันนั้นชะลอความเร็วลงเมื่อวิ่งผ่านผมไปได้สักเกือบสิบเมตร ก่อนจะถอยหลังมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม
ด้วยความสูงในระดับสายตาของคนที่นั่งอยู่แบบผมแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป ทำให้เห็นเพียงกระจกหน้าต่างรถที่ปิดฟิลม์สีทึบเท่านั้น เสียงเปิดปิดประตูฝั่งคนขับที่ผมมองไม่เห็นดังขึ้น แว่วเสียงกางร่มเบาๆก่อนผมจะรู้สึกได้ว่ามีคนเดินอ้อมรถมาทางนี้
ไม่นานฝนที่ตกกระทบหน้าผมตลอดเวลาจนรู้สึกชินชาก็หายไป พร้อมกับเสียงๆหนึ่งที่ผมคุ้นเคยเอ่ยถามออกมา
“มานั่งตากฝนอะไรตรงนี้?”
ไอ้เพรทซ์…
“…มารอรถ”ผมตอบแล้วเงยหน้าขึ้นมองมันที่ตอนนี้กำลังกางร่มสีเหลืองของธนาคารแห่งหนึ่งไว้เหนือหัว
มันกำลังโกรธผมอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะมาคุยกับผมทำไมวะ?
“ขึ้นมา เดี๋ยวกูไปส่ง”เพรทซ์ยื่นมือมารอให้ผมส่งมือตัวเองไปจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น แต่ผมเพียงมองมือของมันนิ่งๆแล้วนั่งอยู่ท่าเดิม
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวรถก็มาแล้ว”ผมกอดเข่าตัวเองแน่นขึ้นแล้วละสายตาไปมองทางอื่น ปล่อยให้มันส่งมือมารอผมเก้อ
“วันนี้รถฟรีวิ่งถึงสี่โมงครึ่ง รอให้ตายมันก็ไม่มาหรอก”เสียงเพรทซ์ฟังดูเหนื่อยใจกับผมน่าดู ก็แล้วไงอ่ะ เหนื่อยนักก็ไม่ต้องมายุ่งกับกูเด่ะ!
“…..กูรอตั้งนานเพื่ออะไรวะ”ผมกระซิบพึมพำกับตัวเองแต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ แม่งเอ๊ย ทุกทีวิ่งถึงสองทุ่มนี่หว่า ทำไมกูไม่รู้ว่าวันนี้มันจะวิ่งถึงแค่สี่โมงล่ะเนี่ย!
“เร็วกี้ ขึ้นรถ”ไอ้เพรทซ์ยื่นมือมาหาผมอีกครั้ง มันจับแขนผมดึงขึ้นเพื่อให้ผมลุกตามมันไป แต่อยู่ๆผมก็หน้ามืดล้มลง คงเป็นเพราะผมตากฝนมานานนั่นแหละ ตอนลุกขึ้นมามันเลยตั้งตัวไม่ได้ติดและล้มไปข้างหน้าอย่างฝืนอะไรไม่ได้ หวัดแดกแล้วมั้ยล่ะ…
“เฮ้ย!”ไอ้เพรทซ์ยึดแขนของผมเอาไว้ไม่ให้ล้มไปกองกับพื้น ร่างผมเลยเซไปปะทะกับอกแข็งๆของมันซะอย่างนั้น
“โทษที นั่งนานไปหน่อย…”ผมผลักตัวออกจากอกของมันแล้วถอยออกมายืนห่างๆนอกเขตของร่ม แต่แขนของมันกลับรั้งเอวของผมไม่ให้ขยับหนีแล้วกอดเอาไว้แน่น
โกรธกูอยู่ก็อย่ามายุ่งกับกูสิวะ! ผมคิดในใจอย่างโมโหแล้วใช้มือดันอกของมันเอาไว้
“กี้ มึงตากฝนมานานแค่ไหนแล้วถึงได้ตัวเย็นขนาดนี้?”เพรทซ์ว่าขณะก้มหน้าลงมาให้หน้าผากของมันชิดกับหน้าผากของผมแล้วขมวดคิ้วทำหน้าดุใส่
“ก็ไม่นาน! ปล่อยนะ!”ผมตะคอกแล้วดิ้นหนีอยู่ในอ้อมกอดของมัน แต่ทั้งๆที่มันใช้แขนข้างเดียวในการจับตัวผมเอาไว้แท้ๆ ผมกลับสู้แรงมันไม่ได้แม้แต่น้อย อะไรวะเนี่ย!
“มึงอย่าดื้อ! เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”เชี่ยเพรทซ์ตะคอกผมกลับแล้วเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับก่อนจะยัดตัวผมเข้าไปข้างในแล้วปิดประตูกดล็อกไม่ให้ผมเปิดกลับออกไปได้
“เชี่ยแม่ง…”ผมขมวดคิ้วหลับตาแน่นเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองมันเริ่มจะร้อนผ่าว สักพักไอ้เพรทซ์ก็เปิดประตูรถอีกฝั่งเข้ามา มันคุ้ยผ้าขนหนูจากเบาะหลังแล้วเอื้อมตัวมาเช็ดหัวเปียกๆให้ผมอย่างเบามือ
“หน้ามึงโคตรซีดเลยกี้ กูว่ามึงไม่สบายแล้วล่ะ”เพรทซ์มองผมแล้วทำหน้าเครียด มันกุมมือผมทั้งสองข้างขึ้นมาเป่าแล้วถูแรงๆให้อุ่นขึ้น ก่อนจะถอดเสื้อชุ่มน้ำของผมออกมาแล้วค่อยๆใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวผมให้แห้ง
“กูไม่เป็นไรน่า”ผมปฏิเสธมันเสียงแผ่วแล้วปล่อยให้มันจับนู่นจับนี่ผมไปโดยไม่มีแรงตอบโต้ พอมาอยู่ที่สบายเข้าหน่อยผมก็เริ่มออกอาการ ในหัวมันหนักไปหมด แถมความร้อนในตัวมันก็พุ่งขึ้นมาที่ตาจนรู้สึกร้อน ตอนนั้นเองที่น้ำตาผมมันไหลออกมาโดยอัตโนมัติ สติสตางก็ค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆ…
“กี้! เฮ้ย! ป็อกกี้! มึงเป็นไรวะ? สัดเอ๊ย ไม่สบายจริงๆด้วย กี้!”
เสียงโวยวายของมันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ประสาททั้งหมดจะปิดกั้นการรับรู้แล้วพาผมเข้าสู่ความมืดมิดในที่สุด…********************************
กะจะให้จบตอนนี้แต่ดันไม่จบ
ทำไมผมช่างต่อให้ยืดยาวได้ตลอดเวอย่างงี้เนี่ยย 555
ขอไปนอนก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวจะมาต่ออีกที ไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้ จะให้จบให้ได้ครับผ้ม
ราตรีสวัสดื์คร้าบบบบ
ปล.ตอนหน้า เสียเลือดดีมั้ยนะ...?