ขอโทษด้วยครับที่หายไปนาน พอดีทำบ้านใหม่ เวลาหมดไปกับบ้านจนไม่มีเวลาแต่งเลยครับ
ขณะนี้บ้านก็ยังไม่เสร็จดี แต่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากแล้ว เอาเป็นว่าชีวิตเริ่มกลับมาปกติสุขอีกครั้ง
แม้ว่าจะยังไม่ใช่เต็มที่ก็ตาม แต่ก็ดีกว่าช่วงที่ผ่านๆ มามากครับ ถ้ามีอะไรจะแจ้งในเฟสเรื่อยๆ แล้วกันนะครับ
ความเดิมตอนที่แล้ว พี่ขวัญเริ่มเกิดอาการหวงน้องจากคนรอบๆ ตัว ทีนี้พอน้องมาหาถึงที่
ทีนี้พี่ขวัญแกว่ายน้ำ อาบแสงจันทร์รอมานาน เลยกลายร่างเป็นหมาป่าล่าเหยื่อทันที
จบตอนที่ว่าพวกเขาจุ๊บๆๆๆๆ กันแล้ว จากนี้ไปจะเป็นยังไงต่อ โปรดติดตามอ่านครับ ^ ^
ปล. 1 มีการปรับลักษณะการเขียนใหม่ให้ถูกต้องขึ้น และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ช้าครับ
เนื่องจากโดยปกติแล้วคนโบราณจะให้เกียรติกับเรื่องยศศักดิ์มาก
จำเป็นต้องเอ่ยพระยศนำหน้าชื่อเพื่อเป็นการให้เกียรติครับ
ทีนี้ดูตัวละครแต่ละตัวเถิดเจ้าข้าเอ๊ย คนแต่งอยากจะร้องไห้ โดยเฉพาะน้องเรียม อยากจะร้องไห้
ปล. 2 ลงตอนใหม่ฉลองให้กับการสมรสที่เท่าเทียมกันทั้ง 50 รัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาครับ ฮูเร่!
ปล. 3 อ่านช้าๆ นะ ตอนนึงแต่งน้านนาน คือเราแต่งไม่ทันคนอ่านนั่นเอง 55555+
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ ๙หนึ่งวันหลังจากนั้น หม่อมแม้นพิศก็เดินทางกลับไปที่วังขัตติยพงศ์ในพระนครด้วยอารมณ์แจ่มใส ส่วนผู้พำนักอาศัยชั่วคราวย้ายกลับไปที่เรือนตัวเองในตอนเย็นวันเดียวกัน นมละเอียดแจ้งแต่เพียงว่าเมื่อเหตุการณ์อะไรๆ ก็ดูสงบเงียบ ไม่มีวี่แววของจ้อยหรือครอบครัวของกำนันจงรักที่จะมาระรานอีก ก็เห็นสมควรที่กลับไปพักที่เรือน ไม่รบกวนให้เกรงใจกันไปกว่านี้
เมื่อคนที่เคยให้เขายืมหัวไหล่ต่างหมอนจากไปโดยไม่ได้มาบอกลาด้วยตนเอง หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงจึงแบกความว้าวุ่น อัดอั้นตันใจกับสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อคืนวานนัก
ไม่กล้าไปพบหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่คิดอะไรได้อย่างที่ผ่านมา จากที่เคยชี้ชวนกันชมนกชมไม้ กระเซ้า สนทนากันระหว่างที่เทพกำลังเรียนดนตรี หรือแม้แต่เล่นเพลงไพเราะให้ฟัง บัดนี้ชายหนุ่มได้แต่นั่งกระสับกระส่าย หักห้ามอารมณ์อ่อนหวาน และใช้เวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าปรกติทำงานจิปาถะ มากเท่าที่จะมากได้
ถึงกับโทรศัพท์ไปหาบิดาเพื่อเป็นธุระจัดการงานเอกสารต่างๆ ของกระทรวง จากที่เคยรับผิดชอบในส่วนของเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ในครั้งนี้ ชายหนุ่มเอ่ยปากถึงเอกสารราชการทั่วไปที่เป็นภาษาไทยเพิ่มเติมขึ้นอีก
ข้ออ้างว่าอยากศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเอกสารทั้งสองภาษา และอยากเรียนรู้งานราชการให้เข้าใจถ่องแท้ทำให้หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตถึงกับออกอาการแปลกใจ หากแต่ความปราโมทย์ที่บุตรชายเพียงคนเดียวนึกสนใจใฝ่รู้งานสนองคุณแผ่นดินนั้นเหมือนสายลมพัดเป่าความสงสัยให้ปลิวหาย ไม่มีเหลือ
วันถัดมา อาการเหม่อลอยเหมือนแผลที่เริ่มช้ำเขียว แทนที่จะทุเลา จิตใจไม่เป็นวุ่นวายเสียยิ่งกว่าเดิม เขาสอนเทพเล่นดนตรีได้อย่างไม่มีสมาธิเท่าที่ควร หลายครั้งที่ความคิดหวนกลับไปถึงกิริยาที่สำรวม งามสง่าทุกกระเบียดนิ้ว คิดถึงใบหน้าแอร่มที่ไร้ความรู้สึกนั่น ผมและดวงตาที่เป็นสีอ่อนกว่าคนทั่วไป คิดถึงแก้มแดงปลั่งบนผิวเนียนละเอียด จำได้ว่ามันนุ่มแค่ไหนในตอนที่ริมฝีปากเขาแตะสัมผัส กระทั่งจูบผะแผ่วราวกับปีกของผีเสื้อยามกระหยับบิน ทุกรอยประทับยังคงตราตรึงเหมือนสลักลงบนหินผา
เรียมทำให้หัวใจของเขากลายเป็นฝั่งน้ำที่เต็มเปี่ยม เย็นชื่นตลอดเวลา คุณชายขัตติยพงศ์ต้องสะกดความรู้สึกของจนเองหลายครั้ง และทุกครั้งก็ยากลำบากขึ้นทุกที
อาการนิ่งเงียบแปลกๆ นั้นทำให้น้ำทิพย์รู้สึกผิดสังเกต บ่อยครั้งที่หญิงสาวลอบมองเขาด้วยความเป็นห่วง หากแต่ชายหนุ่มที่ดูร่าเริงสดใสตลอดเวลากลับเงียบขรึม ไม่แม้แต่จะหยอกเย้ายามน้องชายของเธอยกมือไหว้และเอ่ยคำลาแบบทุกที
เขาไม่ยิ้มแย้มให้กับเทพหรือเธอ คุณชายขวัญสรวงเหมือนคนที่ครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเอ่ยถาม เขาก็ยิ้มพรายดังปรกติ จนน้ำทิพย์ได้แต่พูดกับตนเองว่าบางทีเธออาจจะคิดมากเกินไป
เด็กสาวไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนั้น ชายหนุ่มรู้สึกอย่างไรกับอาการกลับไม่ได้ไปไม่ถึงของตนเองตลอดสองวันมานี้ พอน้ำทิพย์และเทพคล้อยหลังไปจนลับแล้ว เขาถึงได้นั่งลงเต็มน้ำหนักบนตั่งไม้ใต้ร่มพะยอม ถอนหายใจอยู่หลายครั้งเหมือนคนจนใจ
คุณชายขัตติยพงศ์ไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครฟัง เขาไม่ไว้ใจตัวเองว่าจะสามารถรักษาสีหน้า ตลอดจนน้ำเสียงให้พ้นจากความสงสัยได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ และไม่มีผู้ใดที่สามารถจับกระแสบางเบาทว่าล้ำลึกที่แล่นไปมาอยู่ในแววตาที่คอยมองเหม่อไปทางเรือนฝรั่งหรูหราซึ่งปลูกขนาบ ห่างกันเพียงรั้วกั้นอยู่เป็นระยะๆ ได้ แม้แต่ความระแคะระคายก็ไม่ปรากฏ
ไม่เว้นแม้กระทั่งกานต์ ผู้เป็นเพื่อนที่คบหากันมานานหลายปี
“ไม่ได้เจอตั้งนาน ยังเหมือนเดิมนี่หว่า”
“จะให้กลายเป็นมิตร ชัยบัญชาหรือยังไง” เขาตอบติดหัวเราะ เดินนำไปเรือนไม้ ครู่เดียว เยื้อนยกกาแฟพร้อมกับปาท่องโก๋สูตรโบราณที่ถือเป็นสูตรพิเศษ ทอดจนเป็นสีทองนวลมาวางที่โต๊ะ
เป็นอันรู้กันว่า บ้านขัตติยพงศ์นั้นขึ้นชื่อเรื่องอาหารเป็นนักหนา ไม่เว้นแม้กระทั่งปาท่องโก๋ที่จำเพาะว่าต้องทอดด้วยน้ำมันใหม่ๆ ในกระทะทองเหลืองเท่านั้น ปาท่องโก๋ตำรับขัตติยพงศ์จึงได้กรอบนอก แต่เนื้อข้างในนุ่มและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่เหมือนใคร เป็นของโปรดที่กานต์ชื่นชอบถึงกับเคยขอซื้อสูตรไปขายที่โรงภาพยนตร์ของตนเองในพระนคร แต่แม่สายบุญนั้นหวงสูตร ไม่ขาย แต่ทำให้ทานกันฟรีๆ ทุกครั้งที่กานต์แวะมาหา จึงมีปาท่องโก๋หอมกรุ่มมาไม่อั้น
“ไม่ได้แวะมาพักเดียว บางกะปิเปลี่ยนแปลงขนาดนี้เชียวหรือวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคฤหาสน์ใหญ่โตขนาดนี้ปลูกขึ้นเคียงขัตติยพงศ์ ตึกแบบนี้ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือสถาปนิกต่างชาติ โอ่โถงกว่าที่นี่เสียอีก นี่ใครเป็นเจ้าของกันวะ” หนุ่มเจ้าสำราญถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ เขาทานปาท่องโก๋ไปสองตัวจึงจิบกาแฟหอมกรุ่น เอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“เห็นว่าเป็นพ่อค้าวานิช” คนถูกถามพยายามตอบรวบรัดที่สุด
“แบบนั้นก็ไม่แปลก” กานต์พยักหน้าเหมือนคนเข้าใจอะไรง่ายๆ เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง พลางเอ่ยเสริมว่า “สมัยนี้ประเทศไทยเราทำธุรกิจกับต่างประเทศ คนที่รู้ภาษา มีช่องทางกำรี้กำไรเป็นเศรษฐีกันถ้วนหน้า ฝรั่งเองก็เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไม่น้อย อย่างว่า แผ่นดินเราอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อยากกินผักก็เด็ดผักข้างบ้านมากิน อยากกินกบ กินปลา ก็แค่ลงไปจับในน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านถึงได้ตรัสว่าแผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินทองสำหรับพวกเราทุกคน”
คุณชายขวัญสรวงยังคงนิ่ง เขาเห็นด้วยกับที่กานต์พูดทุกอย่าง ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ปลูกผักอะไรก็งอกงาม พืชพรรณธัญญาหารมีตลอดทั้งปี เทียบกับต่างประเทศที่เขาได้ไปร่ำเรียนมา ที่นั่นมีอากาศหนาวเย็นสบายกว่าก็จริง แต่ที่ดูจะงามก็เห็นจะมีแต่ดอกไม้ต่างๆ ส่วน พืชผัก ผลไม้นั้นยังถือว่ามีค่อนข้างน้อย
จู่ๆ กานต์ก็พยักพเยิดไปทางคฤหาสน์ที่ปลูกในรั้วข้างๆ ตั้งคำถามใหม่ “แล้วคนที่อยู่ในนั้นหน้าตาเป็นยังไง สวยไหม”
คนฟังสะดุ้งวาบในอก แต่ก็สู้ทำใจแข็ง วางท่าทีขรึมสุขุม
“เป็นผู้ชาย” เขาเอ่ยสั้นๆ
ส่วนที่ถามว่าสวยไหม ชายหนุ่มอยากจะตอบเพื่อนรักเหลือเกินว่าคนคนนั้นจะเรียกว่าทั้งสวย ทั้งงามสง่ากว่าใครๆ ที่เคยพบมา แต่ก็สู้สะกดถ้อยคำเอาไว้ให้อยู่เพียงแค่ในอกตน
ทว่ากานต์กลับหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องสนุก
“หมดกัน ทีแรกก็นึกว่าที่เอาแต่อยู่บางกะปิจนถึงกับทิ้งเพื่อนฝูงสังคมเพราะดันไปติดใจใครแถวนี้เข้า ลืมพระนครไปแล้วหรือไรวะ จนหญิงอุ่น เพื่อนน้องสาวฉันร่ำๆ อยากจะให้ฉันขับรถพามาเห็นที่นี่กับตาให้ได้ว่ามีอะไรดีนัก สโมสรอะไรก็ไม่ไป เรียนดนตรีมา แต่เพลงไหนกำลังนิยมที่เมืองนอกรู้บ้างไหม นี่ไอ้สมิงมันก็ฝากมาบ่นแล้ว”
ปล่อยให้เพื่อนรักพูดเรื่อยเจื้อย หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงได้แต่นิ่งฟัง นานๆ ทีจึงตอบกลับไปสั้นๆ อันที่จริง ตัวเขาตระหนักถึงข้อนี้มานานแล้ว และที่กานต์พูดก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดเลย ทุกเรื่องที่ไถ่ถามล้วนมีคำตอบ แต่ชายหนุ่มกลับสิ้นถ้อยคำ เมื่ออีกฝ่ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่กานต์คาดคะเน
คนที่ทำให้เขาติดอยู่ที่นี่จนไม่อยากจะไปไหนคนนั้นเป็นผู้ชาย ผู้ชายเหมือนๆ กับเขานี่เอง
ลมโกรกพัดเย็นและทุ่งนาสีเขียวสดที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาไม่ได้ทำให้ความเบื่อหน่ายคลายบรรเทาแม้แต่น้อย ตามประสาคนที่ใช้ชีวิตในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน จันดีไม่ชอบความร้อนอบอ้าว แดดจ้าทำให้เธอหงุดหงิด และถ้าไม่ใช่เพราะเป้าหมายในใจ หล่อนคงจะไม่สู้ตื่นตั้งแต่บ่ายสองโมงมาเพื่อให้ผิวขาวๆ ที่เฝ้าทะนุถนอมมาหลายปีต้องแสบพองแบบนี้
“เอ็งห้ามบอกเรื่องนี้ให้ไปถึงหูพี่จ้อยเป็นอันขาดนะ ไม่อย่างนั้นเอ็งกับข้าได้พากันซวย” คนที่ถือไม้พายอยู่บ่นอุบ ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะมานัก แต่ก็ยอมทำด้วยเงินทองที่รับมาจากนางผุยเป็นน้ำใจมาโดยตลอด
“จ้ะพี่ จันดีรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูดหรอกนะจ๊ะพี่ศักดิ์” หญิงสาวเยื้อนแย้ม ตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน
หล่อนเป็นคนไหว้วานให้นายศักดิ์ ลูกน้องคนสนิทของจ้อยให้ช่วยพายเรือมาดูบ้านของน้ำทิพย์ หญิงสาวอีกคนที่จ้อยดูจะจริงจังด้วยมากกว่านางเอกลิเกอย่างหล่อน ข่าวลือว่าน้ำทิพย์เป็นเด็กสาวที่เพียบพร้อมนั้นเป็นเรื่องที่ได้ยินเข้าหูของจันดีมานาน ทุกครั้งหากมีคนเอ่ยชมความงามของจันดีที่ทำให้ผู้ชายทั่วทั้งบางกะปิหลงใหล ก็จะมีชื่อของน้ำทิพย์ผุดขึ้นมาเหมือนเปรียบเทียบให้หล่อนดูด้วยลงเท่านั้น เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อนเคยภาคภูมิใจ ล้วนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าเมื่อเปรียบกับผู้หญิงคนนั้น เกลียดก็แสนเกลียด แต่ผู้หญิงแบบน้ำทิพย์นั้นกลับไม่อยู่ในความสนใจของหล่อนเลยแม้แต่น้อย
คุณชายขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ต่างหากที่ทำให้หล่อนดั้นด้นมาถึงที่นี่ เสียงล่ำลือที่ว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามเพียงไรนั้นเล่าที่ทำให้หล่อนอยากจะได้เห็น ได้ปรนนิบัติพัดวีให้ชื่นหัวจิตหัวใจสักครั้ง
จันดีเคยเห็นคนมีเชื้อสายทางเจ้าประเภทหม่อมอะไรต่อมิอะไรมากมายจากในละครทีวี แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงว่าคุณชายพวกนั้นจะหล่อเหลาเหมือนอย่างพระเอกในละครไหม หล่อนจบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่สี่ก็จริง แต่เพราะเอาแต่รักสวยรักงาม และเที่ยวเล่นไปกับเด็กชายมากมายที่มารุมเกี้ยวมากกว่าจะสนใจใฝ่เรียนแบบคนอื่นๆ จันดีจึงอ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่ตัว ภาพข่าวต่างๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ หล่อนจึงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คนไหนเป็นเจ้า คนไหนไม่ใช่
“ปรกตินังทิพย์มันจะช่วยน้าบานชื่นทำนา ไม่พาควายไปกินหญ้าก็จะอยู่แต่ในบ้าน จะมีก็แต่ช่วงบ่ายแก่ๆ นี่แหละที่กลับมาช่วยแม่ของมันทำกับข้าวที่บ้าน หรือไม่ก็ไปรับน้องชายกลับจากเรียน”
คำพูดของศักดิ์เข้าหูซ้ายก็ทะลุออกทางหูขวาของหญิงสาว ความสนใจของจันดีอยู่ที่ว่าเมื่อไรจะถึงคฤหาสน์ใหญ่โตของคุณชายขวัญสรวง และจะมีบุญตาได้มีโอกาสเห็นเขาหรือไม่
“ว่าแต่เอ็งอยากจะมาดูหน้านังทิพย์มันทำไมวะ หรือนึกจะหึงจะหวงกันขึ้นมา” เหมือนจะถามด้วยความสงสัย แต่ศักด์ก็เป็นคนสรุปความเอาเองทั้งหมด “พูดก็พูดเถอะวะนังจัน เรื่องนี้เอ็งต้องทำใจ ถึงยังไงกำนันก็ต้องให้ลูกชายของแกดองกับบ้านตาทับอยู่ดี ที่นาก็ไม่น้อย นังทิพย์มันก็สวยหยอกเสียทีไหน”
“จันดีรู้จ้ะ” หล่อนยิ้มอ่อนหวานตอบไปตามเรื่อง ก่อนจะหันไปลอบถอนหายใจหน่าย กระทั่งสะดุดตากับคฤหาสน์หลังโตที่ปลูกขนาบริมน้ำ ความกระฉับกระเฉงสดใสจึงคืนมา
“โอ้โห พี่ศักดิ์จ้ะ นั่นมันพระราชวังหรืออะไรกัน เกิดมาฉันไม่เคยเห็นบ้านหลังไหนทั้งใหญ่โตและโก้แบบนี้เลย อย่างกับปราสาทบนวิมานเทวดาแน่ะ นี่หรือเปล่าจ๊ะ วังขัตติยพงศ์ที่ชาวบ้านที่ตลาดเขาพูดถึงกัน”
ท่าทางตื่นเต้นของจันดีทำให้ศักดิ์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเอ็นดู “ไม่ใช่โว้ย ของพวกขัตติยพงศ์คือถัดไปที่ย่อมกว่านั่น แล้วก็ไม่ใช่วัง นี่มันแค่คฤหาสน์ วังขัตติยพงศ์น่ะเห็นว่าอยู่ที่อำเภอชั้นใน ใหญ่กว่านี้ไม่รู้กี่เท่า ผู้ดีอะไรจะมาปลูกวังที่บ้านนอกแบบนี้”
“แล้วใครกันจ๊ะ ที่ปลูกเรือนเป็นวังแบบนั้น” หญิงสาวทอดสายตามองไปทางตึกฝรั่งทาสีจำปา หล่อนส่งยิ้มอ่อนเดียงสา ฟันเรียงขาวเป็นระเบียบ
ศักดิ์มองภาพเบื้องหน้าด้วยอาการหลงใหลอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นดวงตากลมใสมองจ้องเหมือนรอฟังคำตอบ ก็สลัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าของตัวเองออกไป
“ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมาก เห็นว่าเป็นพวกเศรษฐีที่รวยจากการค้าขาย แต่ใครเป็นเจ้าของ ข้าก็ไม่แน่ใจ”
ใบหน้าอ่อนหวานพยักน้อยๆ รับรู้ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่คฤหาสน์ขัตติยพงศ์
สำหรับจันดีแล้ว หล่อนคิดมาโดยตลอดว่าพ่อค้าขายของกระจุกระจิกจนพอมีฐานะ จะไปสู้ผู้ดีมีเชื้อสายได้อย่างไรกัน ต่อให้ร่ำรวยเพียงใด ก็ไม่ได้ทำให้หล่อนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหม่อมเดินไปไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้ ร่ำรวยไม่ใช่เรื่องยาก เป็นผู้ลากมากดีต่างหาก ไม่ใช่ว่าใครก็จะเป็นได้ หญิงสาวครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งนายศักดิ์เอื้อมมือมาสะกิด
“นังทิพย์มันออกมาเก็บผักบุ้งที่ท่าน้ำอยู่นั่นไง เอ็งอยากเห็นหน้านักไม่ใช่รึ”
เหมือนมองแค่พอเป็นพิธี จันดีหันไปมองน้ำทิพย์แค่เพียงครู่ ก่อนจะกลับมาชะเง้อเข้าไปที่คฤหาสน์ขัตติยพงศ์ดังเดิม มองสำรวจจนกระทั่งเห็นศาลาริมน้ำ
ที่นั่น หล่อนเห็นผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ดูงามสง่ากว่าใครๆ ที่หล่อนเคยเห็นมาทั้งชีวิต แสงแดดลอดร่มไม้เล่นเงาบนผมสีดำขลับหวีเรียบแสกข้างของเขาจนเป็นเงาสะท้อน เขามีใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา ผิวพรรณขาวสะอาดผ่องใสขับริมฝีปากสีระเรื่อให้เด่นชัดจนชวนมอง ผู้ชายคนนี้ งามยิ่งกว่าพระเอกละครที่จันดีเคยดูเสียอีก อันที่จริง เขางามเสียยิ่งกว่าภาพในจินตนาการทั้งหมดที่หล่อนเคยนึกฝันมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กสาวเสียด้วยซ้ำ หล่อนยกมือขึ้นกุมทรวงอกอย่างลืมตัว ด้วยบัดนี้ หัวใจนั้นได้สูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายรุนแรงเหลือเกิน
“พี่ศักดิ์จ๊ะ ผู้ชายตัวสูงๆ คนนั้นคือคุณชายขวัญที่ชาวบ้านเขาพูดกันหรือเปล่า” จันดีเอ่ยถามเสียงสั่น
“คนนั้นแหละ คุณชายขวัญสรวง”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของคนที่นั่งพายเรืออยู่ หญิงสาวก็จ้องมองเขาอย่างไม่วางตาอยู่หลายนาที และเพราะอยู่ไม่ห่างกันหรือสัญญาณอะไรก็ไม่อาจทราบได้ จันดีจึงหันกลับไปทางน้ำทิพย์ จ้องมองอย่างเต็มตา พินิจพิเคราะห์อยู่จนแน่ใจ หญิงสาวก็รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนกับใครโยนฟืนโยนไฟลงมาสุมในอกของหล่อน
มองปราดเดียวก็รู้ แม่น้ำทิพย์อะไรนั่นรู้สึกอย่างไรกับคุณชายขวัญสรวง!
จันดีสูดลมหายใจเข้าและออกอยู่หลายครั้งกว่าจะพอดับอาการรุมๆ ที่เจียนปะทุในอกได้ หล่อนหันกลับมาทางจ้อย ตีสีหน้าอย่างคนห่วงกังวล แล้วพูดเสียงเศร้า
“เรื่องพี่จ้อย พูดก็พูดเถอะจ้ะ พอฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว ที่พี่ศักดิ์บอกว่าพี่จ้อยดูแปลกๆ ไปช่วงนี้ จันดีสังหรณ์ว่าคงไม่แคล้วเพราะนางวันทองสองใจ”
“เอ็งหมายความว่าอะไร”
เสียงผ่อนลมหายใจแผ่วขึ้น ก่อนที่ดวงตาหวานใสจะตวัดขึ้นมองคนตรงหน้า แกล้งฝืนร่าเริงด้วยรอยยิ้มอย่างคนที่มีอะไรในใจ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พี่ศักดิ์ถือเสียว่าจันดีไม่ได้พูดอะไรเสียเถอะจ้ะ พูดไปพี่ศักดิ์ก็คงมองฉันคิดอกุศล”
มีหรือที่คนอย่างศักดิ์จะไม่หลงในจริตไร้เดียงสาของหล่อน เขาถามอีกครั้ง หล่อนก็ตอบปฏิเสธ และพอเขาเริ่มคาดคั้นหนักขึ้น หล่อนก็แสร้งเป็นกระดากปาก แต่จำต้องพูดเพราะเป็นห่วงจ้อยสุดจิตสุดใจ
“เรื่องทำนองนี้ถ้าไม่หูหนวกตาบอดจริงๆ ผู้หญิงด้วยกัน แค่ดูประเดี๋ยวเดียวก็รู้ ถึงพี่จ้อยจะดูแลเป็นอย่างดี แต่ใจแม่ทิพย์คงชอบคุณชายขวัญเธอมากกว่า ก็เหมือนอย่างนางวันทองนั่นแหละ ขุนช้างก็ดี ขุนแผนนางก็รัก พี่จ้อยอาจพอระแคะระคาย ก็เลยพลอยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เห็นพี่ศักดิ์บอกว่าพักหลังๆ พี่จ้อยดูเหม่อๆ ไม่อยากข้าวปลาจนซูบผอมไม่ใช่หรือจ๊ะ”
“เป็นอย่างนี้หรอกหรือ ข้าไม่เคยคิดเลย” ศักดิ์เม้มริมฝีปากแน่น หน้าขมึงเครียด “ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่เอ็งพูดจริง ข้าก็ไม่รู้จะช่วยพี่จ้อยได้ยังไง พวกไอ้ผู้ดีนี่ไม่ใช่คนที่ชาวบ้านอย่างเราจะไปทำอะไรได้”
“เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่จ้ะ พี่ศักดิ์คนเดียวอาจจะทำไม่ได้” จันดีพูด ชม้ายดวงตามองอีกฝ่ายอย่างมีจริต “แต่พี่ศักดิ์ก็ยังมีจันดีนี่จ๊ะ”
พอศักดิ์มองหล่อนเหมือนจะถาม หล่อนก็แสร้งเอี้ยวตัว ทำทีว่าหลบแดดใต้ร่มไม้ คอเสื้อกว้างหลวมหลุดลงจากไหล่ข้างหนึ่ง เผยหัวไหล่เนียนนวลผุดผ่อง แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเจียมเนื้อเจียมตัว
“ฉันพูดแบบคนไม่มีเกียรติจะเสียนะจ๊ะ จันดีก็แค่นางยี่เก เป็นผู้หญิงต่ำต้อย พี่จ้อยเมตตาจันดีขนาดนี้ ถ้ามีอะไรที่พอบรรเทาความทุกข์ร้อนพี่เขาได้ จันดีก็อยากจะทำอะไรเพื่อตอบแทนบ้าง”
หล่อนพลิกขาไปอีกด้าน เหมือนจะเปลี่ยนเพื่อพลิกไปนั่งพับเพียบ ชายผ้าถุงร่นขึ้น เผยให้เห็นปลีน่องขาวเนียน เป็นภาพที่ชวนวาบหวาม แต่หญิงสาวกลับมองศักดิ์ที่กลืนน้ำลายเอื๊อกเหมือนไม่รู้เรื่อง
“แบบนี้ดีไหมจ๊ะ เก็บเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้ระหว่างเราสองคน จันดีอยากช่วยพี่จ้อยอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดหวังจะได้อะไรตอบแทน ทุกวันนี้จันดีรู้ตัวว่าที่ได้รับความเมตตาจากพี่จ้อยก็มากเสียยิ่งกว่ามากแล้ว จันดีจะช่วยกันคุณชายขวัญให้ออกห่างจากแม่ทิพย์เองจ้ะ เรื่องนี้ ขอแค่พี่ศักดิ์ช่วยให้จันดีได้พบกับคุณชายขวัญก็พอ”
“เอ็งหมายถึง...”
คราวนี้จันดีโน้มตัวลงอีกครั้ง คอเสื้อที่หย่อนลง เผยให้เห็นทรวงอกอวบอิ่มที่เบียดชิด ดวงตากลมดำมองมาที่ศักดิ์ แล้วยิ้มอ่อนหวาน
“จันดีอยากให้พี่จ้อยมีความสุข ผู้หญิงแบบจันดีคงตอบแทนน้ำใจของพี่เขาได้เพียงเท่านี้แหละจ๊ะ”
หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงยืนกอดอก ทอดสายตามองผีเสื้อตัวน้อยบินโฉบผักบุ้งที่แตกดอกสีขาว ขีดริ้วสีม่วงเข้มลากไปรวมอยู่ที่โคนดอก แต่ภาพที่เห็นในม่านตากลับเป็นริมฝีปากที่มอบสัมผัสละมุนละไมจนเขาลืมไม่ลง
เข้าสู่วันที่สี่แล้ว เขาเหมือนจะหลบหน้าอีกฝ่าย ก้มหน้าก้มตาทำงานเช้าจรดค่ำชนิดที่เจ้าเยื้อนไม่กล้าเข้ามากวนแบบทุกที จนเมื่อเย็นวาน เยื้อนเล่าว่านมละเอียดแวะมาหา บอกว่าคุณเรียมเหมือนจะถามถึง แต่เมื่อเขาถามกลับว่าถามว่าอย่างไร คำตอบที่ได้ยินกลับทำให้หัวใจที่โลดแล่นของเขากลับไปอ่อนแรงลงเช่นเดิม
“คุณเรียมเธอไม่ได้พูดออกมาหรอกคุณชาย เธอเป็นคนพูดน้อย นมละเอียดบอกว่าปรกติก็มีคุณชายขวัญนั่งคุยเป็นเพื่อน พอคุณชายไม่ได้ไป คุณเรียมเธอก็คงจะเหงาน่ะสิ”
หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงถอนหายใจเมื่อนึกถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองได้มาหยุดยืนที่หน้าห้องพักที่อยู่ติดกันได้อย่างไร
ไม่กี่วันก่อน ใครคนหนึ่งพักอาศัยอยู่ในห้องนี้ ใกล้เข้ามาจนห่างกับเขาเพียงผนังกั้น หากแต่บัดนี้ ระยะห่างของเขากับใครคนนั้นถอยกลับไปห่างเท่ากับแต่ก่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับเท้าที่ขยับเข้าไปภายในห้องนั้น พอได้กลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ของน้ำหอมฝรั่งยังเจือจางอยู่ในอากาศ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปยังแพใบไม้เขียวชอุ่มร่มรื่นที่ทอดยาวไปถึงคลองแสนแสบ ต้นไม้เหล่านี้เคยทำให้เขาผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หากแต่ตอนนี้ มันกลับมีตัวตนเพียงต้นไม้สูงใหญ่ไม่กี่ต้นเท่านั้น
ชายหนุ่มลากสายตามองไปที่เรือนฝรั่งที่ปลูกติดกับอาณาเขตของขัตติยพงศ์ อยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าของเรือนอันโอ่อ่านั้นรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขากระทำลงไป มองอยู่สักพัก ระลอกลมก็พัดพาเสียงเพลงแว่วมา
ตอนแรก คนตัวโตคิดว่าตนเองหูฝาด แต่เมื่อตั้งอกตั้งใจฟังให้ดีๆ นั่นก็เป็นเพลงจริงๆ เขายืนฟังอยู่สักพัก ได้ยินเสียงนักร้องในแผ่นเสียงขับขานความในใจเป็นภาษาอังกฤษ ตั้งใจฟังจนกระทั่งจบก็ยิ้มออกมา
นี่เป็นรอยยิ้มแรกในหลายๆ วันที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ขรึมจนแทบไร้ความรู้สึก และรอยยิ้มก็แย้มพรายขึ้นกว่าเดิมอีกเมื่อบทเพลงเดิมถูกเล่นขึ้นอีกครั้ง
แค่นี้เขาก็โล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ที่เหลือก็แค่เรื่องเดียวที่ยังค้างคา หาคำตอบไม่ได้สักที
(มีต่อครับ)