ตอนที่1 “เห้อ...”ภายในห้องบรรยายรวมของคณะวิศวะ ภาคคอมพิวเตอร์ ผมซึ่งมาถึงเป็นคนแรกเสมอเพราะติดนิสัยต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่ขายอาหารสำหรับใส่บาตรสมัยมัธยมถอนหายใจเหนื่อยหน่าย นั่งพิงหลังเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ตัวหลังสุดของห้องเพียงลำพัง
เก้าอี้แถวประจำของผมและผองเพื่อน
ความเงียบที่รายล้อมอยู่รอบตัวทำให้ผมอดคิดถึงเรื่องในร้านดอกไม้เมื่อวานไม่ได้...
กลิ่นหอมจากผิวเนียนนุ่มของคนคนนั้นยังติดตรึงอยู่ตรงปลายจมูก
“ทำไมวันนี้มาเช้าวะ”ขณะกำลังนั่งเซ็งอยู่คนเดียวสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ใส่ต่างหูสีดำสามวงตรงหูซ้ายเพิ่มเสน่ห์แบบดิบเถื่อนให้เจ้าตัวที่ก้าวเดินผ่านเพื่อนร่วมภาควิชาซึ่งทยอยมากันบางส่วนแล้วด้วยรอยยิ้มมุมปากชวนเคลิบเคลิ้ม...ถ้าผมเป็นผู้หญิงล่ะก็นะ
แต่ในสายตาของผมรอยยิ้มของมันก็เป็นเพียงรอยยิ้มของไอ้หน้าม่อเก็กหล่อไปวันๆ นอกจากหน้าตาแล้วก็ไม่มีอะไรดีอีกเลยก็เท่านั้นเอง...
“แวะส่งเด็ก”มันตอบสั้นๆแต่ผมก็ตีความนัยน์แอบแฝงในคำพูดนั้นได้ มันใช้คำว่าส่งแสดงว่าเมื่อคืนอยู่ด้วยกัน
“หึ คุณ
มังกรเดือนคณะ เมื่อคืนไปคั่วใครมาล่ะครับ”มันหัวเราะกับคำเรียกด้วยน้ำเสียงเสียดสีของผม
ใช่แล้ว ไอ้หล่อที่นั่งอยู่ข้างๆผมเป็นเดือนคณะ...แต่พอมาแยกภาคตอนปีสองและมีการเลือกเดือนภาคกันมันก็บอกปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่า...เผื่อแผ่ตำแหน่งให้คนอื่นบ้าง แค่นี้มันก็แจกบัตรคิวไม่หวาดไม่ไหวแล้ว...
และด้วยความเมตตาของมันนั้นเองทำให้นายธรรมดาคนนี้ได้รับตำแหน่งเดือนภาคไปครอง...อยากจะตักบาตรส่งส่วนบุญไปตอบแทนมันเสียจริงๆ
“ดาวคณะบริหารปีนี้ เห็นว่าโดนกันย์หักอกเลยวิ่งมาซบกู”มันยักไหล่ไม่ทุกข์ร้อนแม้ว่าจะเป็นได้แค่ของคั่นเวลาของหญิง ส่วนผมก็แค่พยักหน้าโดยไม่ออกความคิดเห็นอะไรเพราะผมไม่อยากพูดเรื่องของกันย์ต่อหน้าคนอื่นมากนัก
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเพียรพยามบอกกับตัวเองว่าไม่ควรไปยุ่งเรื่องของกันย์ การทำตัวใจกล้าเดินเข้าหากันย์ก็เหมือนกับการเดินเข้าหากองไฟ แมงเม่าอย่างผมพอใจกับการเฝ้ามองเงียบๆคนเดียวอย่างตอนนี้มากกว่า
ทิ้งเวลาไม่นานนักแต่นานโคตรเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนก็เดินทางมาถึง พวกมันเดินเคียงคู่กันเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าซึ่งบ่งชัดว่าพกความมั่นใจมาจากบ้านเต็มเปี่ยม ไม่หวั่นเกรงสายตาพิฆาตของอาจารย์เจ้าของวิชาซึ่งมองจิกพวกมันสองคนตาแทบ
ถลน...คนมาสายไปเป็นชั่วโมงสองคนเดินกอดคอกันขึ้นมานั่งยังแถวเดียวกับพวกผม
การเรียนการสอนอันแสนน่าเบื่อดำเนินไปอย่างยาวนานราวกับพระเจ้ากลั่นแกล้งบันดาลให้เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ช้าลง...
หนึ่งนาทีของวันนี้เชื่องช้ากว่าหนึ่งนาทีของเมื่อวานมากนัก ตัวผมที่นั่งจดตามที่อาจารย์สอนบ้างหลับบ้างในที่สุดก็ฟันฝ่าคาบสุดท้ายก่อนพักกลางวันมาจนได้ ทันทีที่อาจารย์ปล่อยคลาสก็ได้ยินเสียงเฮเบาๆดังมาจากทั่วสารทิศยกเว้นกลุ่มผมซึ่งไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆ
ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่ได้พักกินข้าวสักทีแต่เป็นเพราะว่าเพิ่งตื่นต่างหาก
พวกเราสี่คนโงหัวขึ้นจากโต๊ะอย่างพร้อมเพียง การนั่งอยู่กับที่เอาความรู้เข้าหัวมันสาหัสนักสำหรับพวกเรา
ไอ้กรอ้าปากหาวอย่างไม่รักษาภาพพจน์ ส่วนไอ้พอสกับไอ้เบสก็บิดขี้เกียจจนตัวเป็นเลขแปด ผมมองเพื่อนร่วมแกงค์ของผมอย่างชอบใจ
สันดานเดียวกันก็เลยอยู่ด้วยกันได้
อันที่จริงตอนปีหนึ่งกลุ่มของเราใหญ่กว่านี้มีกันเป็นสิบคนเลย ไปไหนมาไหนด้วยกันทีมีแต่คนมองหวาดๆนึกว่าจะไปก่อเรื่อง แต่พอขึ้นปีสองคนอื่นๆดันเลือกเรียนภาคอื่นกันหมดเหลือแค่พวกผมสี่คนเท่านั้น
“จะว่าไป มะรืนนี้เฮีย มันนัดใช่ไหมวะ”ผมถามพลางยัดชีทใส่กระเป๋าลวกๆแล้วก็เดินนำพวกมันที่ยังสลึมสลือไม่เลิกลงบันได ในสมองก็จัดคิวงานไปด้วย อาทิตย์นี้เจ้าของร้านจะเดินทางไปท่องเที่ยวกับครอบครัว ลูกจ้างตาดำๆอย่างผมผู้ไม่มีประสบการณ์สั่งของมาสต็อคด้วยตัวเองจึงได้รับอานิสงค์หยุดงานไปด้วย
ส่วนเฮียที่ว่าก็คือไอ้บิ๊ก ชายร่างใหญ่อ้วนท้วมหากใครนึกหน้ามันไม่ออกก็ขอให้จินตนาการภาพเด็กบนขวดซีอิ๊วตราเด็กสมบูรณ์ภาคอายุยี่สิบปีแทน บ้านของไอ้เฮียเปิดร้านเหล้าอยู่ กลุ่มของพวกเราที่กระจัดกระจายเลยนัดสังสรรค์กันเป็นระยะ ซึ่งมะรืนนี้ก็เช่นกัน
“อืม หกโมง ก่อนร้านเปิด มึงไปได้ป่าววะ”ผมหัวเราะแห้งๆทันทีที่ได้ยินคำถามนี้จากปากพอส ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถปลีกตัวจากงานพิเศษไปดื่มกับพวกมันได้
พวกเพื่อนคนอื่นๆที่ไม่เจอหน้ากันนานก็เคยแชทมาหาถามว่าตายหรือยังด้วยความเป็นห่วง(?)
“ไปได้ๆ ว่าแต่กินไรกลางวันดีวะ”เปลี่ยนเรื่องไว้ก่อนน่าจะดีกว่า พวกเราเดินลงมาใต้ตึกคณะ หาทำเลเหมาะแล้วก็วางกระเป๋าจองเอาไว้ คาบบ่ายวันนี้ต้องเข้าแลปพวกผมซึ่งปกติจะไปนั่งกินข้าวที่คณะบัญชีด้วยเหตุผลส่องหญิงจึงต้องหากินเอาใกล้ๆ
แต่ดูเหมือนการนั่งกินอาหารต่างคณะเพื่อจีบคนในคณะนั้นๆจะไม่ได้มีแค่ผู้ชายที่คิดอย่างนั้น
ผมกราดตามองไปทั่วบริเวณโรงอาหารของคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีผู้ชายเยอะ แต่ทว่าในสายตาผมกลับตรวจพบหญิงงามจำนวนมากนั่งจับกลุ่มทานอาหารกันอยู่หลายโต๊ะ
“หึหึ”เหยียดหัวเราะมุมปากยามนึกถึงผู้หญิงคนสุดท้ายที่เคยคบด้วย เจ้าหล่อนเองก็มานั่งตกผู้ชายในที่แบบนี้และเหยื่อที่ติดเบ็ดของเธอในวันนั้นก็คือผม...แต่น่าเสียดายที่กระเป๋าของผมมันไม่ถึงใจเธอ พวกเราก็เลยโบกมือลากันหลังใช้เวลาร่วมกันเพียงค่ำคืนเดียว
ถ้าอยากได้ผู้ชายรวยนักทำไมไม่ไปล่าแถวคณะบริหาร? เด็กอินเตอร์คณะนี้ทั้งหล่อทั้งรวย
อย่างเช่นกันย์...
ความคิดของผมสะดุดลงเมื่อเดินถือข้าวขาหมูพิเศษกลับมาที่โต๊ะซึ่งพวกที่เหลือซื้อเสร็จแล้วก็กลับมาก่อนแล้ว
“มุงไรกันวะ”ผมเอ่ยถามขณะชะเง้อผ่านเจ้าพวกนั้นซึ่งยืนมองอะไรบางอย่างบนโต๊ะด้วยสายตาลังเล เบสหันมามองหน้าผมแล้วก็ขยับตัวให้ผมเข้ามาดูได้สะดวก
สิ่งที่สะท้อยอยู่ในดวงตาสีดำขลับซึ่งกำลังเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงของนายธรรมดาคนนี้ก็คือสีเหลืองนวลของดอกไม้ในกระเช้าเล็กๆ
เจ้าทานตะวันอันเป็นตัวแทนของความรักที่ไม่อาจเอื้อมและดอกคัตเตอร์ซึ่งคนทำงานในร้านดอกไม้อย่างผมรู้จักความหมายของมันดี
ดอกไม้ดอกเล็กๆสีขาว ความกระจ้อยร่อยของมันถูกนำมาใช้ประโยชน์เป็นของแซมประดับช่อดอกใหญ่ ไม่โดดเด่นและมีความหมายว่า...
"แม้คุณจะไม่มองผม ผมก็ยังมีแต่คุณเสมอ..."
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงนุ่มดังขึ้นในระยะประชิด พอหันหลังกลับไปก็พบกับเจ้าของใบหน้านวลเนียนยืนมอบรอยยิ้มละไมมาให้ กันย์ของผมยกมือขึ้นเกาแก้มน้อยๆแล้วก็เมียงมองไปทางอื่น
รอยยิ้มเก้อเขินนั้นทำให้ผมคล้อยมองราวกับต้องมนต์
อะไรที่ดลบันดาลให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งกันนะ...
“เมื่อวานผมขอโทษนะที่ออกจากร้านไปทั้งอย่างนั้น”เว้นเวลาไม่นานเขาก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมสำเร็จ
ผมระบายยิ้มเต็มแก้ม”ไม่เป็นไร ผมผิดเองที่พูดจาไม่เข้าหูคุณ...ว่าแต่ดอกไม้นี้...”
ไม่รู้ว่าควรจะถามดีไหมเนื่องจากเมื่อวานเขาเป็นคนบอกผมเองว่าจะนำไปให้คนที่แอบชอบ แต่ทว่าเจ้าช่อดอกไม้ที่ควรถูกส่งมอบให้แก่ผู้โชคดีคนนั้นกลับมาตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะกินข้าวของผมพร้อมกับคุณลูกค้าที่มีท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ
“ดอกไม้ช่อนั้น...”กันย์ลากเสียงยาว กลอกตาไปมาเหมือนกำลังหาคำตอบดีๆ ผมที่เป็นคนถามเองจึงคิดว่าตนได้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้วเลยอ้าปากเตรียมเอ่ยว่าไม่จำเป็นต้องตอบอะไรก็ได้...ก็แค่ชวนคุย...เฉยๆ
“ผมให้คุณ”น้ำเสียงของกันย์เบาราวกับขนนกที่พร้อมจะปลิวตามสายลมไปทุกเมื่อ
“เมื่อกี้นี้ว่าอะไรนะครับ”ตัวผมซึ่งยืนอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงฟุตเอียงหูเข้าไปใกล้เพราะไม่ได้ยิน แต่การกระทำอุกอาจและใบหน้าที่เคลื่อนลงไปใกล้จนเกินพอดีนั้นทำเอาทั้งผมและเขาผงะตัวออกจากกันเหมือนโดนของร้อน
“อะ...เอ่อ...ให้! ผมให้คุณ ไปนะ”
คำพูดไม่เป็นประโยคกับร่างโปร่งบางเจ้าของใบหน้าขึ้นสีระเรื่อที่หันหลังวิ่งออกไป ผมมองตามกันย์ซึ่งวิ่งชนกับคนนั้นคนนี้ไปทั่วแล้วก็วิ่งลงบันไดออกจากตัวตึกคณะของผมไปอย่างไม่เข้าใจ
ความเงียบเข้ามาปกคลุมพวกเราที่เหลือตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ตัวผมหันมาพินิจมองเจ้าช่อดอกไม้ซึ่งเป็นคนจัดเองกับมือก่อนจะหยิบการ์ดสีชมพูที่ผูกติดไว้กับหูกระเช้าซึ่งผมแน่ใจว่าเมื่อวานนี้ตอนขายผมไม่ได้ติดอะไรแบบนี้เข้าไปด้วยขึ้นมาเปิดอ่านอย่างชั่งใจ
บางทีกันย์อาจจะเขียนให้คนที่นัดเอาไว้เมื่อวานก็ได้...ผมไม่ควรอ่าน
ขณะสมองคิดถึงเรื่องมารยาทสองมือและสองตาก็เปิดอ่านไปเสียแล้ว
....เมื่อวานนี้ไม่ได้ให้...วันนี้เลยเอามาให้นาย...ข้อความที่เขียนด้วยลายมือบรรจงเรียกรอยยิ้มปรี่จากมุมปากของชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลานามนาย...ผู้กำลังอยู่ในโลกของตัวเองและยังไม่รู้สึกถึงสายตาที่มีคำว่าเสือกตัวเบ้อเริ่มจากสายตาสามคู่ของเพื่อนรัก
“นาย...มึง อะไรยังไง เล่ายาว”มังกรกระเซ้าถาม ส่วนเบสกับพอสก็พยักหน้าสนับสนุน...
ท่ามกลางสายตาคาดคั้น ผมก็นำการ์ดและกระเช้าดอกไม้ลงมาวางข้างกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาลเข้มของผมเองแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวขาหมูที่ซื้อมาโดยไม่สนใจพวกมันแม้แต่น้อย
“เขาก็แค่ซื้อดอกไม้จากร้านกูแต่ไม่ชอบก็เลยเอาของมาคืนเท่านั้นแหละ”
ท่ามกลางความเคลือบแคลงของเพื่อนๆตัวผมก็สรุปเรื่องตามที่พูดไปแล้วจริงๆ
...ทีแรกกันย์คงจะเอาไปให้เด็กที่มาหาไอ้มังกรเมื่อคืน...
ในเมื่อความรักของเขาจบลงไปแล้ว ดอกไม้ช่อนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ชายคนนี้ก็มีความสุขยามเหลือบสายตาไปเห็น ดอกทานตะวันเพียงสี่ห้าดอกกลับสะท้อนสีสว่างตาจนโลกของคนที่ได้รับมันมาสดใสเสมือนรอบตัวเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้สุดลูกหูลูกตา
___________________________________
พระเอกเรื่องนี้เป็นคนจำพวกประเมิณตัวเองต่ำเรี่ยดินค่ะ 555+
แต่คนอื่นจะเห็นเจ้านายเป็นคนยังไงนั้นต้องรอดูกันต่อไป