ตอนที่ 3 : บังเอิญเกินไป
ก่อนเจอราเชนท์ ผมเคยมีแฟนอีกสองคน ไม่สิ สามคนได้
ผมไม่เคยคบกับใครได้นาน สาเหตุสำคัญน่าจะเป็นเพราะ...ผมเป็นคน ‘ขี้เบื่อ’ และ ‘น่าเบื่อ’
ขี้เบื่อไม่ขอพูดถึง แต่น่าเบื่อนั้นผมรู้ตัวเองดี
ภาพลักษณ์ในฐานะบาร์เทนเดอร์ของผมมักดึงดูดให้คนเข้าหา แต่พอลองคบกันจริงๆ จะรู้ว่าไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนขี้ประจบ ไม่ใช่คนช่างพูด หรือเรียกง่ายๆ คือ ผมเป็นประเภทไม่เปิดปากหรือเข้าหาคนก่อนซะด้วยซ้ำ
แมนเป็นเพื่อนกับผมมานาน มันน่ะชินกับนิสัยนี้อยู่แล้ว ถ้านอกเวลางานเมื่อไหร่ ผมจะตีหน้านิ่ง ไม่ยิ้ม ไม่ชวนคุย ไม่ใส่ใจ ผมชอบที่จะใช้เวลาอยู่คนเดียวเงียบๆ อย่างสันโดษ ออกไปอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟบ้าง หรือไม่ก็นอนกลิ้งเกลือกกับห้อง
ถ้าจะชวนไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ ผมจะออกอาการงอแงทันที เลยไม่ค่อยมีเพื่อนฝูง เพราะขนาดชวนไปร้องคาราโอเกะ หรือไปดูหนัง ผมยังคิดแล้วคิดอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากไปจริงๆ อย่าว่าหวังเลยว่าคนอย่างหรัญญ์จะยอมควักเงินอันมีค่ามาใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง
น่าเบื่อมั้ยล่ะตัวผมน่ะ
เมื่อก่อนผมไม่ได้ตายด้านขนาดนี้หรอก แต่การทำงานในคิงส์คลับที่รวบรวมความบันเทิงทุกรูปแบบทำให้ผมปลง ทุกวันต้องทำงานกับคน แล้วทำไมนอกเวลางานยังต้องเจอคนอีก ทุกวันต้องฟังเพลงฟังเสียงหัวเราะเฮฮามึนเมา แล้วทำไมนอกเวลางานยังต้องสังสรรค์ คำตอบก็ง่ายแค่นี้
นานครั้งจะมีบางสิ่งกระตุ้นให้ผมเกิดความรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาได้ แต่มักจะเป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนกับความรักชั่ววูบที่พอคบไปสักพักก็เริ่มกลายเป็นความเฉยชา ปริ้นส์รูมเองก็เหมือนกัน แม้ตอนนี้ทำให้ผมยอมจ่ายเงินแลกกับเซ็กซ์ แต่ไม่นานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นเพียงทางผ่านในความทรงจำเท่านั้น
“เอาล่ะ...” ผมยืนตัวเปลือยเปล่าหน้าบานประตู ก่อนจะกดปุ่มเป็นสัญญาณว่าตัวเองพร้อมแล้ว “มาลองกันเถอะว่าโลกนี้มีความบังเอิญรึเปล่า”
เป็นประโยคที่น่าขำ และผมเองก็ไม่ได้หวังมากมาย แม้ในใจลึกๆ จะอยากให้เป็นจริงก็ตาม
ผมลองบิดกลอนทั้งที่ไฟสีเขียวยังไม่ขึ้น อย่างที่คิดเอาไว้ ถ้าอีกฝ่ายไม่พร้อมประตูก็ยังไม่ปลดล็อก
สิ่งที่ทำได้มีเพียง ‘รอ’
อ้อ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมเป็นคนขี้เบื่อ เพราะผมไม่ชอบการรอคอย
ฉะนั้นถ้าเกิดความรู้สึกลังเล หรือคิดว่าไม่ใช่เมื่อไหร่ ผมจะไปทันที
ทุกครั้งที่เลิกรากับคนรักผมมักเป็นฝ่ายพูดก่อนเสมอ
การยืดเยื้อทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์ก็เหมือนการเดินถอยหลัง ในเมื่อสุดท้ายต่างมีจุดจบเหมือนกัน แล้วผมจะมัวรีรอให้เวลานั้นมาถึงทำไม
ตอนบอกเลิกกับราเชนท์ก็เหมือนกัน ผมทนความ ‘มาก’ เกินไปของเขาไม่ได้
ถึงเขาจะขอโอกาสแก้ตัว แต่ผมก็ตัดสินเดินจากมา ถ้าทำได้เมื่อไหร่ผมอาจลองคิดใหม่ แต่ระหว่างนั้นผมไม่รอจนกว่าเขาจะเปลี่ยนหรอก
และผมก็คิดถูก
เพราะจนถึงตอนนี้ราเชนทร์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ไม่สิ น่ารำคาญกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เรื่องของผมกับเขาไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
“มาสักที” ผมพึมพำเมื่อในที่สุดไฟสีเขียวก็ติด การรอคอยทำให้เกิดความเบื่อหน่าย แต่น่าแปลกที่ทุกครั้งยามเปิดประตูเข้าไปสู่ความมืดมิดของปริ้นส์รูม กลับปลุกสัญชาตญาณให้ผมไหวตัวด้วยความตื่นเต้นปนหวาดหวั่นเสมอ
เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลย
ความมืดไม่ทำให้ผมตกใจเท่าครั้งแรก แต่กลับทำให้ฝีเท้าก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างมั่นคงขึ้น เสียงลมหายใจ เสียงการเคลื่อนไหวที่ค่อยๆ คืบคลานเข้าหากัน ทำให้ผมเผลอจับยางตรงข้อมือขวาเพื่อยินยันว่ายังอยู่
แต่เสี้ยวนาทีที่ละสายตาไปจากเงาร่างสีดำนั้น ตัวผมก็ถูกโอบกอดเสียจนจมอยู่ในแผ่นอกอุ่นร้อน
เนื้อแนบเนื้อ เสียงหัวใจที่ได้ยินผ่านความเงียบงัน ทำให้ผมหายใจแรงขึ้นและค่อยๆ ยกมือกอดตอบ
วินาทีนั้นรู้สึกไม่แน่ใจ ใช่? ไม่ใช่?
ถ้าใช่ แล้วทำไมสัมผัสบางอย่างคล้ายไม่คุ้นเคย
ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมถึงได้มอบอ้อมกอดที่อบอุ่นขนาดนี้ทั้งที่ควรเป็นคนแปลกหน้ามุ่งหาแต่เซ็กซ์
คำถามตีกันไปมาจนน่าเวียนหัว แต่นั่นเป็นเพียงความคิดภายในจิตใจ เพราะด้านร่างกาย ผมกับเขากำลังกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม
ปลายลิ้นที่รุกคืบอย่างระวังแต่แฝงความดุดัน ทำให้ผมยิ่งคลางแคลงสงสัยจนจุกอก
ในกฎระเบียบของปริ้นส์รูมระบุชัดว่าห้ามถามถึงข้อมูลส่วนตัวของฝ่ายตรงข้าม
แต่ถ้าหาก...
“โอ๊ย!”
เสียงร้องที่เล่นเอาใจกระตุก เพราะถึงเวลาอุทานจะฟังยาก แต่กลับไม่เหมือนคนเมื่อวานตอนโดนผมกระชากหัวจนล้มหงาย
ผมชักมือที่โอบกอดร่างนั้นกลับมาแตะปลายลิ้น รสชาติขมปร่าของเลือด ไม่ได้ตั้งใจจะเล่นแรงขนาดนี้เลยจริงๆ แค่คิดว่าหากเป็นคนคนเดิมก็อยากจะสร้างรอยประทับไว้ แต่ถ้าไม่ใช่ งั้นก็ถือว่าซวยไปแล้วกัน
รอยยิ้มบางผุดขึ้นในความมืด
เป็นความยินดีที่มาพร้อมความเสียดายปนโล่งใจ
คราวนี้มือที่เอื้อมออกไปผ่อนคลายกว่าเดิม ผมไล้ปลายนิ้วตามเส้นผมละเอียดของฝ่ายตรงข้ามเป็นเชิงปลอบโยนพร้อมเงยหน้าประกบจูบกึ่งออดอ้อน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังฉุนเฉียวไม่น้อย ถึงได้ดันตัวผมออกแล้วจับหันหลังให้ยกมือค้ำกำแพง
เส้นผมถูกตลบไปด้านหน้า เผยต้นคอให้ร่างนั้นลากเลียปลายลิ้นจนเสียวสะท้าน
ผมลอบกลั้นใจเมื่อถูกรุกรานในทันที หลุดเสียงครางแผ่วเมื่อการสอดใส่ไม่ได้ยัดเยียดรุนแรงอย่างที่หวาดกลัว แต่ถึงอย่างนั้นความเต็มตื้นก็เล่นเอานิ่วหน้า พยายามถ่างขาทรงตัวในท่าที่ค่อนข้างยากลำบากและทุลักทุเล
“อ๊ะ...”
แต่ร่างนั้นยอมรอได้ไม่นานก็เริ่มกระแทกเข้ามาในจังหวะที่ถี่รัวไปสักหน่อย ผมเกร็งตัวหอบหายใจ อยากจะเอื้อมมือไปตีอกชกหัวก็ทำไม่ได้เพราะต้องยันร่างตัวเองไม่ให้ทรุดฮวบ เลยตัดสินใจกระทืบเท้าเหยียบเข้าเต็มๆ
อีกฝ่ายสะดุ้ง เล่นเอาตัวผมพลอยสะท้านเฮือกไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมผ่อนจังหวะลง ให้ผมได้พอเตรียมตัวปรับสภาพร่างกาย ค่อยๆ ไต่ระดับอารมณ์อย่างไม่เร่งร้อน
ครั้งนี้ผมค่อนข้างพอใจจนเผลอครางหวาน รู้ตัวอีกครั้งสะโพกก็ถูกโอบกอดแน่นแฝงซึ่งความต้องการควบคุม ปลายนิ้วบีบเคล้นไปทั่วอย่างหื่นกระหาย ผมจิกปลายเท้าเป็นระยะ ปล่อยใจไปตามจังหวะที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนร่างโยกคลอนเสียวเสียดแทบขาดใจ แม้จะมากไปสักนิด แต่ก็มีเว้นช่วงให้ร่างกายพอรับไหวไม่ทำให้ต้องฝืนทนมากนัก
ช่วงหลังผมปล่อยให้คู่นอนเป็นคนคุมทั้งหมด โดนปรับเปลี่ยนไปหลายท่าจนขาชาหนึบ ในห้องเล็กแคบช่วยอำนวยความสะดวกในการทรงตัวมาก ไม่ว่าจะอุ้มกระเตงหกสูงตีลังก็ทำได้ สงสัยจะโดนสุ่มมาเจอกับพวกรสนิยมพิสดารเข้าให้แล้ว แต่เพราะไม่ได้คาดหวังแต่แรก และค่อนข้างโลงใจที่ตัดความปลื้มปริ่มเมื่อวานทิ้งสำเร็จ เลยไม่ยักหงุดหงิดทั้งที่ไม่เคยชอบเซ็กซ์ดุเดือดขนาดนี้
คงเพราะต่างไม่เห็นหน้า ไม่จำเป็นต้องรักษาเกียรติหรือมารยาทเช่นคนรัก เลยให้อิสระตัวเองอย่างเต็มที่
ถ้าให้เทียบกับเมื่อวาน บอกตรงๆ เลยว่าเทียบไม่ได้
หากให้นิยามสักหนึ่งประโยค...
ก็คงจะเป็นเซ็กซ์ที่แม้ไม่นับว่ายอดเยี่ยมแต่ก็ไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!
...และคงไม่คิดจะลองอีกตลอดชีวิต!นั่นเป็นความคิดของผมในวันถัดมาหลังลืมตาตื่นในห้องนอนนุ่มนิ่มประหนึ่งโรงแรมห้าดาวของปริ้นส์รูม
เมื่อคืนคล้ายกับสติหลุดชอบกล ปล่อยตัวปล่อยใจจนแทบจะคลานออกมานอนซะด้วยซ้ำ ไม่ใช่เขาที่หมดแรงก่อน แต่เพราะผมใกล้จะขาดใจถึงได้ยอมหยุด ตอนนอนก็ไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่พอตื่นนี่สิผมถึงกับปวดไปทั้งตัวและเจ็บชาแถวง่ามขาจนแทบดิ้น
ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวที่เริ่มตามมาทำให้ผมตัดสินใจโทรไปขอลาหยุดกับทางคลับทันที
ให้ตายเถอะ...เอาทิปห้าพันของคีรีมาใช้กับเรื่องอย่างนี้ แล้วยังมาเสียงานที่ไม่รู้จะได้ทิปอีกตั้งเท่าไหร่
ผมเข็ดแล้วจริงๆ
เลิกรากับปริ้นส์รูมอย่างถาวรคิดแล้วก็ทิ้งตัวนอนพักอีกสักตื่นเพราะเดินไม่ไหว พลางยกมือเสยผมที่ยุ่งกระเซิงพร้อมถอนหายใจอย่างสุดแสนเสียดายในลาภลอยที่หลุดหายไปต่อหน้า
ก่อนจะชะงักในท่านั้น
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง จวบจนเรียกสติได้ ถึงค่อยลดระดับแขนขวาในท่าเสยผมลงมาในระดับสายตา
...หนังยางหายไปอีกแล้ว!
ตื่นมาอีกครั้งตอนสี่โมงเย็นเพราะท้องร้องครวญครางเกินจะทนไหว ผมเดินสะโหลสะเหลลงมาจ่ายค่าห้องพักที่เล่นเอาแทบทรุด มือลูบท้องอย่างมุ่งมั่นตั้งใจว่าคงแวะทานก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้ามอีกตามเคย
แต่ผมกลับเห็นคนที่ไม่ควรเห็นเข้าซะก่อน
คีรี
...ประธานบริษัทอหังสาฯที่ไม่ควรจะปรากฏตัวในปริ้นส์รูมในช่วงสายที่ควรเป็นเวลาทำงานได้เลย!
ผมพยายามก้มหน้าหลบขณะเดินออกจากปริ้นส์รูม จงใจให้เส้นผมดำยาวไร้ยางรวบมัดปกปิด แต่ไม่ทันผ่านประตูดี ท่านประธานที่น่าเคารพรักก็ตามมาจับข้อศอกผมเบาๆ
“คุณหรัญญ์”
น้ำเสียงที่ติดจะดุเหมือนชอบออกคำสั่ง จริงจังไปกับทุกสิ่งทำเอาผมตัวแข็งเกร็ง หรือคนเมื่อคืนจะเป็นคีรี?
ผมตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้า คลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะถือวิสาสะกระชากคอเสื้อเชิ้ตลงมาจนเนคไทร่นกระดุมเด้งออกจากกัน
...ไม่มีรอยข่วนที่ผมทำจนเลือดซิบ
พลันในใจพองโตอย่างโล่งอกสุดแสน ผมคงไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของเซ็กซ์ดิบเถื่อนปานคนคลั่งจะเป็นประธานที่เซ็ทผมเรียบไม่กระดิกคนนี้ไปได้
“คุณหรัญญ์?”
“ขอโทษครับ” ผมตบอกคีรีแก้เก้อ เพื่อแสดงความจริงใจเลยช่วยติดกระดุมและผูกเนคไทให้ใหม่ ไอ้นิสัยคิดอะไรก็ทำโดยไม่ทันชั่งใจนี่ควรจะแก้บ้างได้แล้วนะหรัญญ์เอ๊ย “แค่นี้ก็เรียบร้อย”
ผมมองผลงานอย่างภูมิใจ บาร์เทนเดอร์ต้องผูกเนคไทมาทำงานทุกวันทำไมจะไม่เชี่ยวชาญ ยิ่งต้องรักษาภาพลักษณ์ด้วยแล้ว ต่อให้หลับตาผมก็ผูกปมได้สวยเป๊ะทุกองศาไม่มีเบี้ยวแม้แต่เซนติเมตรเดียว
แต่พอจะผละมือออก คีรีดันคว้ามือผมไปกุมและมองตาซาบซึ้งซะนี่
ไอ้บรรยากาศแสนจะคลุมเครือตรงหน้าประตูปริ้นส์รูมคืออะไรกัน ผมชักกระดาก กลัวจะมีคนรู้จักเห็นเข้า เลยดึงมือกลับและแอบเช็ดกับชายเสื้อน้อยๆ แบบจงใจให้เห็น...ถึงคีรีจะทิปหนัก แต่การรักษาระยะห่างนอกเวลาทำงานก็มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างยิ่งยวด
ได้ผล พอเห็นท่าทางกึ่งรังเกียจของผมแล้วคีรีก็เก็บสายตาและท่าทางประเจิดประเจ้อได้นิ่งขึ้น
“คือ...”
“ไปทานข้าวด้วยกันมั้ยครับ” ผมเป็นฝ่ายชวน เพราะเห็นว่ายังไงคีรีก็คงไม่ให้ผมไปง่ายๆ แน่ ถ้าอย่างนั้นสู้หาสถานที่เองดีกว่า เผลอๆ อาจจะได้อานิสงส์มีพ่อบุญทุ่มช่วยเลี้ยงอีกกระทง “ผมหิวมากเลย”
อ้อน? ไม่หรอก ผมไม่ใช่คนขี้อ้อนสักหน่อย ผมก็แค่...บอกเป็นเชิงว่าถ้าไม่ตกลงก็จะข้ามถนนไปนั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวโดยไม่รอรีแล้วก็เท่านั้น และถ้าเขากล้าตามมาจริงๆ...ผมก็กล้าคุยด้วยล่ะนะ
“ดะ ได้สิ” คีรีที่เหมือนเพิ่งสติรีบตอบกลับแบบลนลาน หมดกันมาดท่านประธานบริษัท ทำไมถึงได้ขยันปล่อยไก่ขนาดนี้ “ไปที่รถฉันแล้วกัน”
“ครับ” ผมตอบรับเสียงเรียบและเดินตามต้อยๆ อย่างว่าง่าย ถ้าเป็นคนอื่นอาจไม่กล้า แต่ผมคิดว่าคีรีคงไม่ลักพาตัวไปทำอะไรๆ หรอก เพราะคนที่เสียหายคือเขา ไม่ใช่ผม
รถบีเอ็มสีขาวจอดนิ่งอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลังของปริ้นส์รูม กลิ่นหอมปรับอากาศให้ความรู้สึกสดชื่น บ่งบอกว่าเจ้าของรถเป็นคนรักสะอาด เพราะแค่ขี้ผงหรือเศษฝุ่นสักนิดก็ไม่มี ข้าวของทุกอย่างจัดเก็บไม่รกหูรกตา คีรีดูจะยืดอกภูมิใจมาก หารู้ไม่ว่าทำให้ผมค่อนข้างประหม่ามากกว่าเพราะกลัวว่าจะไปทำสกปรกเข้า
ผมมองเสี้ยวหน้ายามตั้งอกตั้งใจขับรถโดยไม่ถามว่าจะพาไปทานอาหารที่ไหน ของแบบนี้ย่อมตามใจเจ้ามืออยู่แล้ว แต่ผมเลือกที่จะถามในสิ่งที่คาใจที่สุด
“ทำไมคุณถึงเดินลงมาจากชั้นบนล่ะครับ หรือว่าเมื่อคืนคุณก็ใช้บริการของปริ้นส์รูม”
แถมยังลงบันไดของทางฝั่ง ‘รุก’ ซะด้วย ผมเคยบอกแล้วสินะว่าทางขึ้นของแต่ละสายไม่เหมือนกัน ถึงจะไม่ใช่คนคุยเก่ง แต่ถ้ามีเรื่องคาใจก็อยากคลี่คลายด้วยดีไม่ใช่ประวิงเวลาชักช้าโดยมีคนให้ถามอยู่ข้างๆ
คีรีทำหน้าลำบากใจ ทั้งที่เป็นฝ่ายพยายามรั้งอยากชวนคุยแท้ๆ แต่กลับโดนผมจี้จุดก่อนซะนี่
“ฉันเป็นหุ้นส่วนของที่นี่น่ะ”
ผมลอบอึ้งตะลึงอยู่ลึกๆ
ประธานบริษัทอหังสาฯที่เป็นหุ้นส่วนกับโรงแรมกึ่งม่านรูดแบบนี้เนี่ยนะ!?
คนเราดูกันที่กรอบแว่นไม่ได้จริงๆ“งั้นคุณคงขอดูข้อมูลของผม และตามมาที่คลับใช่มั้ยครับ”
ฟอร์มที่ต้องกรอกก่อนเข้าใช้บริการนั้นถามถึงการทำงานและให้ระบุที่อยู่ซะด้วย แล้วยังเบอร์โทรศัพท์ ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว
“ฉันขอโทษ” คีรีเป็นคนดีอย่างที่คิด อย่างน้อยน้ำเสียงเขาก็แสดงถึงความรู้สึกผิดจริงๆ “ฉันจะไม่บุกรุกพื้นที่ส่วนตัวหรือทำอะไรเกินขอบเขตแน่นอน ฉันสัญญา”
แต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดนั้นได้มากแค่ไหน
“คุณหรัญญ์ชอบบริการของปริ้นส์รูมมั้ย”
คำถามเหมือนจะอ้อมโลก ผมมองคีรีอย่างเฝ้าสังเกตแม้อีกฝ่ายจะพยายามไม่เผยพิรุธ
คนเมื่อคืนไม่ใช่แน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็...คนเมื่อวาน?
นอนกับผม ดูประวัติผม แล้วตามไปเจอผมที่ทำงานในทันที
นับว่าเข้าข่ายทีเดียว
“ชอบนะครับ แต่ผมคงไม่ไปอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ!” น้ำเสียงสุภาพกลายเป็นคำกระชากห้วน ผมมองแล้วก็ลอบยิ้ม ยิ้มจางประดับที่มุมปาก
“นั่นสินะครับ ทำไมกันนะ”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากคีรี เช่นเดียวกับผมที่ไม่คิดจะพูดนอกเหนือไปกว่านี้
ในรถมีเพียงความเงียบสงัด เมื่อถึงร้านอาหารอิตาเลียนคีรีก็ลอบมองผมเป็นระยะด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผิดกับผมที่สั่งพาสต้าอย่างแสนสบายใจราวกับว่าเป็นคนพามาเลี้ยงซะเอง
เขาพยายามชวนผมคุยเรื่องอื่น ผมก็ใจดีตอบทุกคำถามแต่ไม่สานต่อ
จนสุดท้ายเขาก็เรียกเก็บเงิน และยิ่งตีหน้าผิดหวังเมื่อผมยืนยันว่ากลับบ้านเองได้
ตอนยืนมองรถบีเอ็มที่ขับห่างออกไป ผมก็มั่นใจกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วว่าคีรีต้องเป็นหนึ่งในสองคนนั้นแน่นอน
มีใครบ้างที่เข้าหาคนอื่นโดยไม่หวังผล
แต่แล้วยังไงล่ะ จะเป็นคนไหนก็ช่างสิ
ผมตัดใจแล้ว
เหมือนกับการบอกเลิกคนสักคน ถ้าคิดว่าเบื่อ คิดว่าเสียดายเวลาที่จะค้นหากันและกัน
...ผมจะตีจากทันที
คืนนั้นผมไข้ขึ้นดังคาด
ทั้งที่กินยากันไว้แล้วเชียว แต่อาการปวดเนื้อครั่นตัวก็ทำเอานอนไม่หลับ ผมพลิกไปมาบนเตียงอย่างกระสับกระส่าย หลับๆ ตื่นๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู
ตอนแรกผมไม่แน่ใจนักหรอก แต่หลังจากหลับตาฟังกว่าสิบนาทีแล้วคนเคาะยังขยันสร้างความรำคาญ ก็เริ่มเดาได้ว่าผู้มาเยือนคือใคร
คนที่รู้จักห้องของผมมีแค่ไม่กี่คน แต่คนที่บ้าขนาดไม่รู้จักเกรงใจใครก็มีแค่คนเดียว
ราเชนทร์
“มีอะไร” ผมกระชากประตูอย่างหงุดหงิด ถ้าเป็นปกติคงปล่อยให้เขาเคาะจนโดนคนอื่นไล่ แต่เพราะกำลังพยายามข่มตาหลับ เลยทนฟังต่อไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
ไม่ทันเห็นรอยยิ้มยียวนร่างของผมก็ถูกกระชากเข้าไปจมในอ้อมแขน ซ้ำรอยกับเมื่อคืนที่ผมถูกดึงไปโอบกอดในความมืดพอดิบพอดี
อย่าบอกนะว่าอีกคนก็คือ...“กินยารึยัง” ไม่ว่าเปล่ายังจับหน้าจับแก้มจับหน้าผากผมไปทั่ว สิ่งที่ผมไม่ชอบคือความ ‘มาก’ เกินไปของเขา และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าแม้อีกฝ่ายจะบอกว่าพยายามปรับปรุงตัว แต่ก็ไม่ยักมีอะไรเปลี่ยนไปเลย
“กินแล้ว” ผมบอกปัดเสียงห้วน อาการปวดหัวทำให้ผมทำตัวใจดำกว่าเดิมสองเท่า
“ฉันเห็นนายไม่ได้ไปทำงานก็เลยเป็นห่วง” ราเชนทร์มองสำรวจผมอีกครั้ง “แต่ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากก็เบาใจ”
เขายอมปล่อยผมจนได้ แถมยอมหันหลังกลับแต่โดยดี
ผมได้แต่ยืนมองเป็นบ้าใบ้อย่างปรับตัวไม่ทัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากผมไม่ออกปากเขาคงยังดื้อเพ่งหน้าด้านยืนจังก้าไม่ไปไหนเด็ดขาด
“เชนทร์...”
ผมเผลอเรียกรั้งเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ราเชนทร์หันกลับมาด้วยรอยยิ้มระริกระรี้ สองแขนอ้ากว้างราวกับรอให้ผมพุ่งเข้าไปหา
ฝันไปเถอะ“เมื่อคืนคุณไปที่ปริ้นส์รูมรึเปล่า”
ใช่ ฝันไปเถอะว่าผมจะรั้งให้เขาอยู่ต่อ!ราเชนทร์ลดวงแขนทันที กระทั่งรอยยิ้มก็หายไป
เขามองผมนิ่งๆ ครู่หนึ่ง เดินย้อนกลับมาจนชักกลัวว่าจะโดนทำอะไรพิเรนทร์ และก็คิดไม่ผิดจริงๆ เขาหยุดยืนหน้าผม ถือวิสาสะเชยคางขึ้นและประกบจูบบดเบียดลงมาเร็วๆ โดยไม่ได้สอดลิ้น
“ฉันรักนาย”
เขาอาจคิดว่าตัวเองช่างเท่นักหนาเมื่อทำแบบนั้นแล้วเดินจากราวกับพระเอกเอ็มวี ผมได้แต่นึกหมั่นไส้ขณะยืนพิงกับกรอบประตู เฝ้าคิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรหนอที่ทำให้ผมเคยตกลงคบกับเขา
คงเป็นเพราะดวงใจเจ้ากรรมที่มันสั่นไหวในตอนนี้
ถ้าไม่รู้สึกอะไรก็คงไม่วิ่งเข้าหากองไฟ
แต่เพราะทนไม่ไหวถึงได้เลือกจากมา
ผมส่ายศีรษะน้อยๆ ก่อนจะปิดประตูห้องแล้วทิ้งตัวนอนอย่างอ่อนล้า ได้แต่คิดวนเวียนซ้ำไปมาถึงเรื่องสำคัญที่ต้องจำให้ขึ้นใจ
...ห้ามลืมซื้อยางรัดผมเด็ดขาด...-------
จบตอนแล้วได้แต่อุทานว่า #หรัญญ์เอ๊ย
หนูรัญเป็นคนตรงค่ะ ทำอะไรตามใจอยาก กล้าเลี้ยงก็ไป มีอะไรก็ว่ามา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้ตัวเองเลยว่าไอ้ที่คิดว่าเป็นนั้นไม่ใช่ซะทีเดียว ถ้าหรัญญ์เป็นคนน่าเบื่อ ก็คงไม่มีคนมาติดบ่วงขนาดนี้ ความจริงแล้วหนูรัญเป็นพวกไม่รู้ตัวเองเลยว่าบางครั้งน่ะทั้งอ้อนทั้งอ่อยเลยอีหนูเอ๊ย!
เพจนักเขียนที่อัดคลิปทำป้ายไฟพร้อมแต่ยังเลือกข้างไม่ถูก