Chapter 14
ปาลินนั่งมองเด็กน้อยสองคนที่ดูเศร้าสร้อย เขาพาน้องชายของอินทัชกลับมาค้างด้วยที่บ้าน ส่วนโอ๊ตก็ถูกฝากขังไว้ก่อน เมื่อคืนไม่มีใครหลับได้สนิท ทั้งอ้น อุ้ม และตัวเขาเองด้วย
เมื่อคืนพี่ชายเขาไม่ได้กลับ ปาลินเลยไม่รู้จะปรึกษากับใครดี ได้แต่อยู่เป็นเพื่อนอ้นกับอุ้ม ช่วยดูแล หาอะไรมาให้กิน อาบน้ำแต่งตัวและพาไปนอนด้วยกันในห้อง
ประมาณสิบโมงเช้า หลังจากกินข้าวกันแล้ว นิมมาน..พี่ชายของเขาก็กลับมาจากข้างนอก พี่ดูอ่อนเพลียและอิดโรย มาถึงก็เดินผ่านไปโดยไม่ทันได้สนใจอะไรจนเขาต้องเรียกเอาไว้ก่อน
“พี่ศร” ปาลินทัก “เมื่อคืนงานเยอะหรือครับ”
นิมมานหยุดฝีเท้า หันมามองอีกฝ่าย แต่ไม่ได้ตอบคำถามเมื่อเจอเด็กอีกสองคนนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“นี่อ้น แล้วก็อุ้ม” เขาแนะนำตัวเด็กๆให้รู้จัก น้องชายของเพื่อนสนิทลงจากเก้าอี้แล้วยกมือสวัสดีผู้ใหญ่อีกคน “เป็นน้องของโอ๊ต พี่ศรจำโอ๊ตได้ไหม”
เขาเคยพาโอ๊ตมาเที่ยวบ้านตอนวันหยุดงานอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเขาตกลงกันว่า หากพี่ศรถามว่ารู้จักกันได้ยังไง ให้บอกว่าเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ในฐานะของพนักงานกลางคืนในเลาจน์ เพราะถ้าพี่ศรรู้เข้าว่าน้องแอบไปหาเงินด้วยวิธีนั่งดื่มกับแขก พี่คงจะไม่พอใจมาก พี่ศรเลยรู้จักโอ๊ตเท่าที่เขาอยากจะให้รู้
คนฟังพยักหน้า ยิ้มให้แล้วถามไถ่ “ทำไมถึงทำหน้าตาไม่สดชื่นกันเลยล่ะ”
ปาลินบอกให้น้องๆนั่งเล่นไปก่อน ส่วนตัวเขาขอเวลาพี่ชายครู่หนึ่งเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ตอนนี้โอ๊ตถูกฝากขังอยู่ เมื่อเช้า ผมโทรไปหาคุณกนธี แต่เขาไม่ได้รับสาย เลยคิดไม่ตกว่าจะทำไงต่อ” เจ้าตัวพึมพำ “พี่ศรพอจะรู้จักใครที่ช่วยได้บ้างไหม”
นิมมานถอนหายใจ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พอจะมีเพื่อนที่นามสกุลดังอยู่บ้าง แต่ก็ร้างลากันไปนานแล้ว ไม่ได้ติดต่อกันมากนัก เรื่องที่จะให้มาช่วยประกันตัวคนไม่รู้จักคงเป็นไปได้ยาก
“แล้ว..คุณภวินท์ล่ะ” ปาลินเลียบเคียง ทางนั้นเป็นภาษยวัต อาจจะพอมีลู่ทางช่วยเหลือได้บ้าง
“นั่นสินะ” เขาครุ่นคิด หยิบมือถือมาไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนรุ่นพี่ “พี่จะลองคุยดูให้นะ แต่ของแบบนี้ก็รับปากยากหน่อย เพราะพี่วินท์เองก็ไม่เคยรู้จักโอ๊ตมาก่อน ถ้าเขาปฏิเสธ เราก็โกรธเขาไม่ได้นะ เป็นสิทธิ์ของเขา”
“อืม..ผมเข้าใจ” ที่นึกถึงทางนั้น ปาลินเองก็เกรงใจเหมือนกัน ไหนจะความลับเรื่องที่เขาทำงานกลางคืน เขาเองก็เคยขอให้พี่วินท์ปกปิดให้แล้ว ยังจะมาเรื่องนี้อีก ไม่รู้ว่าทางนั้นจะยอมช่วยไหม
ยังไม่ทันที่นิมมานจะได้กดโทรศัพท์ เสียงเรียกเข้าที่มือถือของปาลินก็ดังขึ้น
‘เมื่อชั่วโมงก่อน..คุณโทรมาเบอร์นี้ใช่ไหมครับ’
ร่างเล็กยิ้มอย่างมีความหวัง “คุณกนธี..”
......
กนธีเสร็จธุระเรื่องการโอนที่ดินแล้ว เจ้าของพอได้เงินก็แบ่งค่านายหน้าให้เขา จัดการโอนเข้าบัญชีตามที่ตกลงกันไว้ ชายหนุ่มเลยเดินตัวหนักกลับไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าที่ทำการ
ถ้าเป็นแต่ก่อน กนธีคงจะเที่ยวต่ออีกสักวัน แต่ตอนนี้คิดอยากจะซื้อของฝากกลับไปให้เด็กๆมากกว่า
“เอาล่ะ..ขนมเปี๊ยะของดีบางคล้าอยู่ตรงไหนล่ะนี่” เขาหยิบมือถือขึ้นมาจะเปิดแอพพลิเคชั่นนำทาง แต่เหลือบเห็นสายเข้าที่ไม่ได้รับประมาณสามสาย พอดีเขาทำธุระเรื่องที่ดินเลยปิดเสียงไว้
กนธีกดโทรออกไปยังเบอร์ล่าสุดขณะปลดล็อครถแล้วเข้าไปนั่ง
“เมื่อชั่วโมงก่อน..คุณโทรมาเบอร์นี้ใช่ไหมครับ” เขาสตาร์ทเครื่อง ถอยรถออกจากที่จอด
‘คุณกนธี..’ ทางนั้นดูดีใจมาก สังเกตได้จากน้ำเสียง
“ครับ..ใช่ครับ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้รับ พอดีผมติดงานอยู่ ไม่ทราบว่าจากไหนครับ” เขาใส่บลูทูธ
‘ผม..ปาลินครับ ปาลินที่เป็นพนักงานของ Vin Santo เป็นเพื่อนของอินทัช’
กนธีร้อง ‘อ้อ’ ปาลิน..เด็กน้อยตัวจ้อยที่เจ้าไผ่มันมองตามนั่นเอง “ครับผม..มีอะไรหรือเปล่า”
‘ผมจะขอรบกวน อยากได้ความช่วยเหลือจากทางคุณกนธี คือตอนนี้..’ ปลายสายดูร้อนรน ‘โอ๊ตเขาถูกตำรวจจับไปฝากขังไว้ก่อน ข้อหาขายยาเสพติดครับ’
ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ยอมรับว่าคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ อินทัชที่เขารู้จักมาตลอดไม่ใช่คนที่จะทำอะไรผิดกฎหมายเลยแม้แต่น้อย
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
‘ตำรวจเล่าว่าโอ๊ตให้น้องชายส่งขนมที่มียาบ้าซ่อนอยู่ พอเข้าไปตรวจในบ้านพักก็เจอห่อยาบ้า บุหรี่ยัดกัญชากับยาไอซ์ซ่อนอยู่ใต้เตียง’
กนธีสบถในลำคอ
..เวรเอ๊ย..ฟังแค่นี้เขาก็รู้เรื่องแล้ว!..
ความทรงจำวันนั้นวนกลับ ที่เขารู้สึกแปลกๆว่ากลิ่นบุหรี่ที่ลอยมาไม่เหมือนปกติ ก็เพราะมันมีกลิ่นของกัญชาผสมอยู่นี่เอง จะว่าเขาไม่เอะใจก็คงไม่ได้ เพราะเกิดมา กนธียังไม่เคยได้สูบกัญชาเลยสักปลายนิ้ว
แต่มันน่าเจ็บใจที่ตอนนั้นเขาหาหลักฐานชัดเจนไม่ได้
“เอาล่ะ..คุณฟังผมนะ” เขาตั้งสติ บอกอีกฝ่าย “ตอนนี้น้องอ้นกับน้องอุ้มอยู่กับใคร”
‘อยู่กับผมที่บ้านครับ’
“โอเค..คุณช่วยดูแลเด็กๆไปก่อน โดยเฉพาะน้องอ้น เขาคงรู้สึกผิดมากเพราะตั้งใจจะทำงานพิเศษ หาเงินไปช่วยพี่ชาย แต่เรื่องมาลงแบบนี้ น้องคงตกใจแล้วก็เสียใจไม่น้อยเลย คุณช่วยปลอบและคุยกับน้องหน่อยนะ”
‘ครับ ได้ครับ’
“ส่วนเรื่องของโอ๊ต ผมจะจัดการให้” กนธีบอก “ผมอยู่ฉะเชิงเทรา จะกลับเดี๋ยวนี้ บอกโรงพักแล้วก็ชื่อตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้มาให้หน่อย ส่งข้อความมานะ”
เขาบอกไว้แค่นั้นแล้วก็ตัดสาย อาศัยช่วงที่รถติดไฟแดงโทรหาพสิษฐ์
“ไผ่..พี่ขอเบอร์ท่านรองฯหน่อย มีเรื่องจะขอให้ท่านช่วย” กนธีมีเส้นสายและรู้จักคนในวงการนี้อยู่หลายคน แต่ที่จะโทรหาเป็นเพื่อนของบิดา มียศระดับพลตำรวจ “แล้วก็ติดต่อทนายของเราให้ที พี่กำลังจะเข้ากรุงเทพ แต่มีเรื่องด่วนนิดหน่อยเลยจะแวะไปโรงพักก่อน”
‘เกิดเรื่องอะไรขึ้น’
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลย ส่งเบอร์มาให้พี่ก็พอ เดี๋ยวเล่าทีหลัง แค่นี้นะ ขับรถก่อน” เขาตัดสาย มีเสียงข้อความจากปาลิน เขาเหลือบมองชื่อที่ฝ่ายนั้นส่งมา จากนั้นก็เป็นเบอร์โทรนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จากญาติผู้น้อง
กนธีต่อสายทันที รออยู่สักพัก อีกฝ่ายก็รับ
“สวัสดีครับท่าน..ผม กนธี สิงหนาท” เขาแนะนำตัวอีกครั้ง ซึ่งทางนั้นเองก็ยังจำเขาได้ เพราะปีใหม่ที่ผ่านมา เขายังเอากระเช้าไปไหว้อยู่เลย
ชายหนุ่มทักทายตามมารยาทและถามไถ่ทุกข์สุขของคนอายุมากกว่าสักพักก็วกเข้าเรื่อง
“ผมมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือ..”
......
อินทัชนั่งพิงผนังสีหม่น นัยน์ตาแห้งผาก ความมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนยังคงมีอยู่ แต่ความหวังที่จะหลุดพ้นออกไปได้นั้นเริ่มมอดลงทุกขณะ ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เขาห่วงที่สุดก็ไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นความรู้สึกของน้องชายต่างหาก
เมื่อวานเขารู้เรื่องจากเจ้าอ้นเพราะน้องมาสารภาพ อ้นแอบทำงานพิเศษเพราะหวังจะหาเงินมาช่วยเหลือเขาอีกแรง ที่ไม่ยอมบอกเพราะกลัวเขาจะไม่ให้ทำ ซึ่งก็ถือว่าอ้นคิดถูกแล้ว ถ้าเขารู้ เขาจะไม่ยอมให้อ้นต้องลำบากเด็ดขาด
เขายอมลำบากคนเดียวพอ แต่จะไม่ยอมให้น้องมาเหนื่อยไปด้วย
ตอนนี้เขาคิดแค้นคนที่ให้ร้ายเขา โยนความผิดให้ทั้งที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อน แต่ที่แค้นที่สุด คือการที่มันหลอกใช้น้องชายของเขาให้ทำงานนี้ มันเห็นความไร้เดียงสาของเด็กคนหนึ่งเป็นอะไร..เป็นแค่เครื่องมือทำความชั่วอย่างนั้นเองหรือ
อินทัชกำหมัดแน่น บดกรามเป็นสันนูน คิดไม่ออกว่าถ้ามีโอกาสรอดพ้นออกไป เขาจะทำอะไรกับมันเป็นการตอบแทนดี
เด็กหนุ่มหลับตานิ่ง เงยหน้าพิงกำแพงด้านหลังอย่างอ่อนล้า
..ถ้าหากว่าชีวิตเขาจะไม่มาอับจนแค่นี้ ก็ขอให้มีทางออกดีๆด้วยเถอะ..
เจ้าหน้าที่เรียกชื่อเขา บอกว่ามีคนมาเยี่ยม อินทัชหันมอง เขายิ้มจางเมื่อเห็นว่าเป็นปาลินกับน้องๆ
“ว่าไงเรา..” เขายื่นมือออกไปลูบหัวเจ้าอ้นที่ยังตาแดงก่ำ “ซนกับพี่เขาหรือเปล่า”
ปาลินแตะมือเพื่อนแผ่วเบา “โอ๊ต..เราโทรหาคุณกนธีให้แล้วนะ เขารับปากว่าจะคุยให้”
อินทัชพยักหน้ารับ เขาไม่กล้าให้ความหวังตนเองเกินเหตุ ไม่รู้ว่าพี่กุนต์จะอยากเสี่ยงช่วยเหลือเขาหรือไม่ ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นจะบอกว่าพวกเขาสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่อินทัชก็รู้ฐานะตัวเองดีอยู่เสมอ
ถ้าหาตัวคนผิดไม่ได้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชะตากรรมไปในทางไหน ถ้าถึงกับต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เขาเองก็ไม่มีปัญญาจะหาทนายมาแก้ต่างอยู่แล้ว พี่กุนต์จะช่วยเขาถึงขั้นนี้จริงๆหรือ
น้องอุ้มจับมือพี่โอ๊ตแล้วซบหน้า แก้มกลมป่องแนบลงมาให้คนพี่ลูบปลอบใจ
“เชื่อในตัวคุณกนธีนะ” ปาลินบอก “เราฟังที่เขาพูด เรารู้สึกได้ว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่เชื่อใจได้”
“เรารู้ว่าเขาเชื่อใจได้” อินทัชพึมพำ “แต่เราก็รู้เหมือนกัน ว่าทุกอย่างมันมีขอบเขตของมันเอง เราไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเลย แค่คนทำงานในเลานจ์ที่เขาไปนั่งเท่านั้น”
คนฟังเงียบกริบ ได้แต่กอดน้องอ้นกับน้องอุ้มแน่นขึ้น
“นายอินทัช..” นายตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
เจ้าของชื่อเงยหน้ามอง จ้องกุญแจที่อีกฝ่ายไขลูกกรง
“ออกมาได้แล้วไอ้หนู..”
อินทัชพูดไม่ออก ตำรวจนายนั้นเปิดประตูห้องขัง พยักพเยิดเรียก
“เส้นใหญ่นะเอ็ง..ระดับนายพลเลยนะที่สั่งให้ปล่อย”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนอย่างมึนงง พอออกมาได้ น้องๆก็โผเข้ากอดขา ร้องไห้โฮกันทั้งคู่ เขาก้มลงกอดเด็กๆ ลูบหัวลูบหน้าอ้นกับอุ้มเป็นการปลอบใจ จากนั้นปาลินก็เข้ามาโอบไหล่พวกเขาสามคนไว้ด้วยกัน
“ดีใจด้วยนะโอ๊ต..ดีใจด้วย” ปาลินกอดเพื่อนแน่น “คุณกนธีเชื่อใจได้จริงๆ”
กระบอกตาของเขาร้อนผ่าว
..พี่กุนต์..
เพียงคืนเดียวที่ถูกกักขัง มันทำให้เขาหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเจอมา แต่ตอนนี้ ความโล่งใจไม่รู้มาจากไหน เขายิ้มออกมาทั้งหยดน้ำตาที่คลอเอ่อ
“อย่าเพิ่งไปไหน เข้าไปในห้อง รอญาติมา” ตำรวจคนนั้นบอก “เอ็งยังไม่พ้นข้อหานะ แต่ท่านฯบอกว่าคนรู้จักเขาขอให้เอาเอ็งออกมาก่อนแล้วจะตามมาประกันตัว”
อินทัชพยักหน้ารับ แค่นี้เขาก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว
..เขาเป็นหนี้พี่กุนต์อีกครั้ง..
......
กนธีมาถึงโรงพักประมาณบ่ายกว่า เขาขับโดยไม่พักเลยมาจากฉะเชิงเทรา พอถึงที่หมาย เขาก็เดินขึ้นไปพบกับตำรวจที่จัดการเรื่องคดีโดยไม่ได้เข้าไปทักทายเด็กๆ อีกอย่าง..เขาเห็นว่าอินทัชนั่งอยู่กับปาลินเลยได้แต่ยิ้มให้ ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการพูดคุยเรื่องทั่วไป ก็คือการลากคอไอ้ชาติชั่วนั่นมาเข้าคุกให้ได้ ไม่อย่างนั้น เขาคงนอนไม่หลับไปตลอดชีวิต
“ผมมาประกันตัวน้องชายของผม” เขาบอก “แล้วก็มาให้การในฐานะพยานคนหนึ่งด้วย”
ทางเจ้าหน้าที่เตรียมจดบันทึก ส่วนกนธีก็ยื่นหลักฐานเป็นภาพถ่ายที่เขายังเก็บไว้ในมือถือ นับว่าความช่างระแวงของเขามีประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ
“ผู้ชายคนนี้ คือคนที่น้องอ้นไปส่งขนมให้ตามคำสั่งของนายพัน วันนั้นผมรู้สึกว่าเขามีพฤติกรรมแปลกๆหลายอย่างเลยถ่ายรูปเก็บไว้” กนธีเล่า “เท่าที่รู้มา เขาจะรอรับของอยู่ข้างวัด และถุงที่ใส่ขนมก็มีลักษณะต่างจากถุงอื่น”
รองสารวัตรหนุ่มรับภาพมาดูแล้วให้ลูกน้องเอาไปขยายผล ตรวจสอบว่าเป็นใคร จะได้สอบสวนจากคนเสพยาที่จับได้เมื่อครั้งก่อนว่าคนที่ขายยาบ้าให้ใช่คนๆนี้หรือไม่
“ตอนนี้เราได้ข้อมูลมาส่วนหนึ่งแล้วเรื่องของผู้ต้องสงสัยอีกราย ถ้าทางคุณอยากให้การอะไรเพิ่มเติมก็เชิญได้เลย”
“คนที่จ้างให้น้องอ้นเอาขนมไปขายชื่อว่าพัน อยู่ห้องที่สาม นับจากห้องของอินทัช ที่ผมฟังจากเด็ก เขาเป็นผู้เช่ารายใหม่ อ้างว่าเป็นพ่อครัวแต่ไม่เคยทำขนมในบ้านเช่าเลยสักครั้ง ผู้กองถามจากเด็กข้างห้องของอินทัชได้ เขาบอกเองว่านายพันรับขนมมาจากที่อื่น แล้วก็มาจ้างน้องอ้นให้ส่งตามร้านครั้งละสองร้อยบาท”
ตำรวจอีกคนทำหน้าที่จดบันทึก พอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับว่าตรงกับเรื่องที่ฟังมา ทั้งเจ้าของบ้านเช่าคนข้างห้อง และคุณกนธี บอกเล่าตรงกันว่าคนที่จ้างเด็กไปส่งของชื่อ นายพัน
“ถ้าเด็กคนนั้นพร้อมแล้ว ให้เอาตัวมาคุยอีกคนก็แล้วกัน” เขาสั่งลูกน้อง
“ผมจำหน้าตาของมันได้นะ” กนธีบอก “สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบ ผิวดำแดง กรามใหญ่ จมูกหนาใหญ่ ตาเรียวรี สองข้างไม่เท่ากัน มีรอยแผลเป็นตรงหางคิ้วด้านขวา ที่คางมีรอยบุ๋ม ไว้หนวดเครา ผมดำ ตัดสั้นเกรียน มีรอยสักภาษาเขมรที่ต้นคอ เป็นคนสูบบุหรี่จัด มีรอยดำที่ปาก แล้วก็รอยไหม้ของบุหรี่ที่นิ้วชี้กับนิ้วกลาง”
“ละเอียดมาก” ผู้กองยิ้ม ก่อนหน้านี้ที่ถามคนอื่น ตำรวจไม่ค่อยได้อะไรชัดเจนนัก
“ผมคิดว่าเขาสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชา เพราะกลิ่นมันแปลกๆ แต่เขาใช้ยาบ้าด้วยไหม ผมไม่รู้ แต่ตอนเดินผ่าน ตัวเขามีกลิ่นสาบชอบกล”
“คนที่ใช้ยาบางคนจะมีกลิ่นเหงื่อที่เป็นลักษณะเฉพาะ ถ้าจับพวกเล่นยาบ่อย คุณจะรู้ได้เองจากตัวเขานี่แหละ”
“โอเคครับ อะไรที่เป็นประโยชน์ผมก็เล่าไปหมดแล้ว หลังจากนี้คงต้องพึ่งพวกคุณจริงๆ” กนธีพูด “น้องของผมบริสุทธิ์ ตรวจสอบประวัติเขาก็ได้ ถามใครดูก็ได้ว่าพวกเขาสามพี่น้องอยู่กันยังไงในบ้านเช่าหลังนั้น แค่แอบเลี้ยงแมวครอกหนึ่ง พวกเขายังไม่ค่อยจะกล้าเลยเพราะระเบียบของที่พักบอกเอาไว้ แล้วจะให้ขายยาเสพติด ความเป็นไปได้คือติดลบ”
“เรื่องนี้พวกเราจะหาหลักฐานเพิ่มเติมต่อ ถ้าไม่ได้ทำก็วางใจเถอะ ไม่มีการจับแพะหรอกครับ”
เขาพยักหน้ารับ “ลองตรวจสอบห้องพักของนายพันดูอีกทีเถอะครับ น่าจะได้อะไรเพิ่มขึ้น เห็นว่ายาซ่อนอยู่ใต้เตียงของอินทัช ผมว่ามีแต่คนโง่ที่จะซ่อนไว้ในที่ที่เจอได้ง่ายขนาดนั้น แล้วก็ถ้าหลักฐานยังสภาพดีอยู่ คุณลองตรวจหารอยนิ้วมือดูไหมล่ะ”
“ผมส่งคนไปตรวจซ้ำแล้ว วันนี้รบกวนแค่นี้ ถ้าคืบหน้ายังไงจะแจ้งไปนะครับ” รองสารวัตรบอกขอบคุณ
กนธีเดินออกมา น้องอ้นถูกเรียกตัวเข้าไปให้ปากคำเพิ่มเติม เขาเลยไปจัดการเรื่องการประกันตัวและเข้ามาสมทบกับพวกเด็กๆ ปาลินสวัสดีเขา ชายหนุ่มยิ้มให้
“วางใจนะ..พี่ไม่ปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องติดคุกหรอก” กนธีให้ความมั่นใจ
อินทัชยกมือไหว้อย่างสำนึก แต่พี่กุนต์บอกปัด
“ต่อให้พี่ไม่ได้เป็นเพื่อนกับโอ๊ต แต่ถ้าพี่รู้และมีหลักฐานที่จะเอาผิด พี่ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน”
พวกเขานั่งรออ้นประมาณครึ่งชั่วโมง เด็กชายก็ถูกปล่อยตัวออกมา
“ผมพาน้องๆกลับบ้านได้แล้วใช่ไหมผู้กอง” เขาถามอีกฝ่าย
“เชิญครับ ถ้าตามตัวคนผิดได้ ตอนนั้นจะบอกไปอีกที”
กนธียิ้มขอบคุณก่อนจะจูงมืออ้นกับอุ้มที่ยังซึมๆอยู่ไปขึ้นรถ ตามด้วยอินทัชและปาลิน
“กลับห้องเช่าไม่ได้แล้วนะโอ๊ต” เขาตัดสินให้ ตอนนี้อพาร์ทเมนท์ห้องนั้นก็ยังไม่เสร็จ เหลืออยู่ทางเดียว “ไปค้างกับพี่ที่คอนโดก่อนแล้วกัน เคลียร์เรื่องนี้แล้วค่อยย้ายออก”
อินทัชไม่ได้พูดแย้งอะไร เขานิ่งเงียบไปตลอดทาง
“แล้วปาลินล่ะ” กนธีมองกระจกส่องหลัง “ให้ผมไปส่งคุณที่ไหนครับ”
เด็กหนุ่มอึกอัก มีท่าทีเกรงใจ คุณกนธีดูเป็นพี่ชายใจดี แต่เวลาเครียดขึ้นมาก็ดูดุเอาเรื่องเหมือนกัน
“เอ่อ..ผมขอติดรถไปลงป้ายรถเมล์แล้วกันครับ เดี๋ยวไปเองได้ครับ”
“ไม่เป็นไร บอกที่อยู่มา ผมจะแวะไปส่งถึงบ้าน”
“แต่ว่า..”
“ผู้ใหญ่ช่วยเหลือ ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”
ปาลินยิ้มแห้ง บอกซอยบ้านไป จากนั้นทุกคนก็เงียบสนิท กระทั่งคุณกนธีพาเขาไปส่งถึงที่
“คุณก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าแวะไปที่บ้านเช่านั่นอีก เราไม่รู้ว่าพวกนั้นจะย้อนกลับไปหรือเปล่า การย้ายที่อยู่ใหม่เป็นทางที่ดีที่สุด เข้าใจไหม” กนธีบอกอย่างห่วงใย เด็กยกมือไหว้ และเขาก็รับไหว้อีกครั้ง
อ้นกับอุ้มนั่งกอดกันอยู่ตรงเบาะหน้า กนธีเห็นอินทัชนิ่งไปก็ได้แต่ถอนหายใจ ขนาดพากลับมาถึงคอนโดแล้ว เด็กๆก็ยังดูเศร้าซึม เขาสั่งอาหารญี่ปุ่นมาให้ทานเป็นการปลอบ สามพี่น้องก็ยังไม่ร่าเริงเหมือนเก่า
เขารู้ว่าเด็กหนุ่มรู้สึกสับสน เครียด ไม่แน่ใจ และระแวงกับทุกเรื่องเพราะยังไม่พ้นความผิดเสียทีเดียว ถึงแม้ตอนนี้จะถูกปล่อยตัวออกมาก่อน แต่ก็คงจะรู้สึกเหมือนว่าเท้าแหย่เข้าไปในตารางเสียข้างหนึ่งแล้ว แค่ว่าสุดท้ายจะต้องเข้าไปทั้งตัว หรือได้ออกมาแบบไร้มลทินอีกหน
ไม่มีใครยิ้มออกหรอกถ้าได้เจอเรื่องแบบนี้
“โอ๊ต..” เขาเรียก มองคนที่หันมาสบตากับเขา “ไปอาบน้ำ เอาเสื้อผ้าพี่ไปใส่ก่อน แล้ววันพรุ่งนี้พี่จะพาเข้าไปเก็บของ ย้ายมาอยู่กับพี่ชั่วคราว อาทิตย์หน้าห้องก็เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณครับ” อินทัชลุกเดินเนือยๆไปตามคำสั่ง
กนธีลูบท้ายทอยตัวเอง เขาหันมายังเด็กน้อยสองคนที่นั่งเบียดกันบนโซฟา เขาเปิดการ์ตูนให้ดู แต่น้องอ้นไม่ได้สนใจเท่าไร เด็กชายคงจะยังรู้สึกผิดอยู่มาก
“อ้นครับ..เดี๋ยวพี่โอ๊ตอาบน้ำเสร็จ อ้นพาน้องอุ้มไปอาบนะ แล้วเด็กๆใส่เสื้อพี่กุนต์ไปก่อน ตัวใหญ่ไปหน่อยแต่ก็พอทนได้เนอะ”
อ้นพยักหน้าหงึก มองพี่กุนต์ที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“พี่รู้ว่าอ้นรู้สึกไม่ดีที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ แต่น้องอ้นทำดีที่สุดแล้ว หนูเองมีแต่ความหวังดี ความปรารถนาดีให้กับพี่โอ๊ต ถ้าหนูรู้อนาคตล่วงหน้า พี่รู้ว่าหนูไม่ทำหรอก จริงไหมครับ”
“จริงครับ” อ้นตอบรับ
“การกระทำทุกอย่างอยู่ที่เจตนานะครับ ใครทำชั่วก็ให้มันรับผลกรรมของมันไป แต่พวกหนูเป็นเด็กดี ยังไงก็ต้องได้อะไรดีๆกลับมา ถึงคนอื่นไม่เห็น แต่พวกเราก็เห็น..และพี่ก็เห็น พี่เชื่อในตัวอ้นหมดใจนะ”
อ้นน้ำตาร่วงเผาะ โผเข้ากอดพี่กุนต์เต็มแรง น้องอุ้มเลยปีนลงจากโซฟามากอดไปด้วยอีกคน
กนธียิ้มจาง ลูบหัวลูบหลังปลอบโยน “เด็กดีของพี่..โอ๋นะครับ ไม่เป็นไรแล้วนะ ขวัญเอ๋ยขวัญมาครับ..”
อินทัชออกมาจากห้องน้ำ เขายืนมองพี่กุนต์อยู่เงียบๆ เห็นฝ่ายนั้นพูดปลอบและกอดน้องชายของเขาทั้งสองด้วยความอ่อนโยนเทียบเท่ากับพ่อคนหนึ่ง อันที่จริงต้องบอกว่าดีกว่าพ่อแท้ๆของพวกเขาด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มเลี่ยงไปใส่เสื้อผ้าที่เจ้าของห้องเตรียมไว้ให้ กลับมาอีกทีก็เห็นแต่พี่กุนต์อยู่คนเดียวในห้องรับแขกแล้ว
กนธีกำลังเก็บกวาดกล่องอาหารที่ทุกคนกินเสร็จไปทิ้ง เขาหันกลับมาโดยไม่รู้ว่าอินทัชมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไร ทั้งตัวเลยปะทะเข้าแต่ยังยั้งเท้าทัน
“โทษทีๆ..ไม่ทันได้ระวัง” เขาบอก
อินทัชดึงกล่องอาหารไปทิ้งให้เอง เขาเอาผ้าเช็ดโต๊ะมาทำความสะอาดให้
“พอแล้ว ไปพักเถอะ ที่นี่จ้างแม่บ้านไว้ ไม่ต้องซีเรียส”
ร่างสูงนิ่งไป “ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนพี่” เขาพึมพำ “ทำได้..แค่รบกวนอยู่เรื่อย”
“นี่..” กนธีส่ายหัว เดินมานั่งบนโต๊ะหมิ่นๆ “กับบางเรื่องที่มันเหนือบ่ากว่าแรง ยังไงก็ต้องยอมพึ่งผู้ใหญ่บ้างนะ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
คนฟังเงียบไปอีก กนธีเองก็เข้าใจ ถ้าลุกขึ้นมาหัวเราะสิ ถึงจะไม่เข้ากับสถานการณ์ ดังนั้นเขาเองก็ได้แต่ให้ความมั่นใจและปลอบโยนไปจนกว่าเรื่องจะคลี่คลาย
“ฟังพี่นะ..พี่อยากให้โอ๊ตทำใจให้สบาย ไม่ต้องห่วงเรื่องคดี หากว่าต้องขึ้นศาลสู้กัน พี่ก็ไม่กลัว” เขาพูดหนักแน่น “ข้อหาเล็กน้อยแค่นี้ คิดว่าทนายของสิงหนาทเป็นพวกปลายแถวหรือไง”
อินทัชยอมรับฟัง แต่ยังไม่คลายความตึงเครียดลง
“เวลานี้ คนที่ต้องการกำลังใจมากที่สุดก็คือน้องอ้น พวกเรามาเข้มแข็งเพื่อน้องอ้นดีไหม”
เด็กหนุ่มนิ่งงัน สุดท้ายก็หลับตาลง ยกมือขึ้นลูบหน้าเหมือนจะเรียกสติ “ผมขอโทษ..”
..เขาเผลออ่อนแอและท้อถอยไปชั่วขณะ..
“ไม่เป็นไรหรอก” กนธียิ้ม “คนเราก็มีวันที่ต้องหมดแรงแบบนี้เป็นธรรมดา เข้มแข็งได้ตลอดก็ไม่ใช่คนสิ”
อินทัชมองอีกฝ่าย สบตาลึกลงไปในความดีที่พี่กุนต์กระทำต่อเขา
“ทำไมพี่ถึงเชื่อใจว่าผมไม่ได้ทำ” เขาถาม “เราเพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน ทำไมถึงเสี่ยงช่วยเหลือ พี่ไม่ระแวงบ้างหรือ ว่าผมอาจจะแอบขายยาจริง เอายาให้อ้นส่งต่อจริงๆ”
“ถ้าถามแบบนั้น พี่ก็คงไม่มีเหตุผลมาให้หรอก มันเป็นแค่ความรู้สึก” กนธีเอาลิ้นดุนปากอย่างครุ่นคิด “แต่ที่พี่เชื่ออย่างสุดใจ ก็คือโอ๊ตไม่มีวัน และไม่มีทางจะทำร้ายน้องๆแบบนี้แน่ มันไม่ใช่เรื่องสุดท้ายในโลกที่โอ๊ตจะทำ แต่เป็นเรื่องที่ต่อให้โลกล่มสลายลงไปต่อหน้า โอ๊ตก็จะไม่มีวันทำ”
อินทัชมองภาพตรงหน้าพร่ามัว เขาไม่รู้ว่าหยดน้ำตาร่วงลงมาเมื่อไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายตอนไหน ไม่รู้กระทั่งว่าเขาดึงพี่กุนต์เข้ามากอดเต็มอ้อมแขน จากนั้นก็ซบหน้าลงกับอก ปล่อยน้ำตาไหลลงมาโดยไร้แรงสะอื้น
กนธีนิ่งอึ้งไปครู่ แต่เมื่อตั้งตัวได้ เขาก็ยกมือขึ้นลูบผมนุ่มๆของคนอายุน้อยกว่าแผ่วเบา
“พี่เป็นไม่กี่คนในโลกเฮงซวยใบนี้..ที่มองผม..ให้เกียรติผม และเคารพผมมากกว่าฐานะของเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง” เขาพูดเสียงแหบพร่า “แค่หนึ่งในไม่กี่คน..”
“โอ๊ต..” เขาขยับปากจะพูด แต่คนตรงหน้ากระชับอ้อมแขนเข้ามาที่เอว คุกเข่าลง ซุกใบหน้าที่อิดโรยแต่ยังหล่อเหลาลงมาอย่างเหนื่อยล้า
“ขออยู่แบบนี้..อีกสักพักได้ไหมครับ”
พวกเขากอดกันและกันในความเงียบงัน และหัวใจของใครบางคนก็ไหวคลอน
นานมาแล้ว ที่กนธีไม่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้..ความรู้สึกของการได้เป็นที่พึ่งพา ได้เป็นที่ต้องการ ได้เป็นหลักนำและคุ้มภัยให้กับใครคนหนึ่ง เขารู้สึกว่าตนเองมีความหมายต่ออีกฝ่ายมากกว่าแค่เรื่องความสะดวกสบายและเงินทอง
..นี่คือสิ่งที่เขาต้องการอยู่ลึกๆมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ..
[ต่อด้านล่าง]