หลังจากงานแต่งของเรา
ก็ผ่านมาแล้วสองเดือน
ยังคงเป็นเรื่องที่ผมนึกขำไม่หาย
สาเหตุมาจากการกระทำอันคึกคะนองของเขา แขกผู้มีเกียรติที่มางานอันยิ่งใหญ่ของเราก็ยังสนุกครื้นเครง และคงคิดว่าบ่าวสาวซึ่งหายวับไม่เห็นแม้แต่เงาเข้าไปพักผ่อนในห้องหอ ใครเล่าจะรู้ว่าเข้าพักฟื้ดูอาการที่ห้องพิเศษในโรงพยาบาลแทน
ดีนะยังมีตัวเผือกกับแฟน เพื่อนบ้า และลูกของเขาดูความเรียบร้อยในงานให้
ไม่งั้นคงเละไม่เป็นท่าแน่
ก็ทำตัวเองแท้ ๆ ด้วยความซ่าจนลืมอายุอานาม โชว์เตะปี๊บกลางงานต่อหน้าผู้คนมากมาย อยากจะโชว์ว่าตัวเองยังฟิตปั๋ง แล้วเป็นไงล่ะ ต่อให้ปี๊บจะกระเด็นไกลไปหลายสิบเมตร แต่แทนที่จะเข้าเรือนหอ กลับถูกหามส่งโรงบาล เพราะออกแรงเตะผิดท่าจนทำให้เอวเคล็ด หกสิบนะ ไม่ใช่สิบหก ทำอะไรไม่เกรงใจสภาพร่างกายเลย
เขาทั้งบ่นและร้องโอย
จนผมไม่รู้จะขำหรือสงสารดี
แถมยังจะมางอแงขอแต่งใหม่อีกรอบ เอากับเขาสิ
ผมบอกไม่แล้ว กว่าจะเตรียมงานเหนื่อยแทบตาย โต๊ะจีนนับร้อย แขกนับพัน กำแพงกั้นกลางบ้านสองหลังถูกทุบทิ้งจนเนียนกริบ แต่งอีกครั้งก็ไม่รู้จะคนเยอะเท่านี้หรือเปล่า เชิญมั่วซั่วไปหมด แจกการ์ดเชิญ
ทั้งหมู่บ้าน คนรู้จัก คนไม่รู้จัก แค่คนที่เดินผ่านก็ยังแจก
จนผมปรามว่าชวนทำไมเยอะแยะ เขาบอกอยากจะคนมาให้เยอะกว่าที่เขาแต่งกับผู้หญิงคนนั้น ให้คนรู้ทั้งโลกได้ยิ่งดี ให้ทุกคนได้รับรู้ว่าคุณคือของผม และเป็นเจ้าสาวที่ผมภาคภูมิใจ พอได้ยินเช่นนี้ ทำเอาผมห้ามไม่ลง
ต่อให้เป็นงานแต่งไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่คิดไว้ ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
แต่ผมพอใจแล้ว ทำให้ผมมีความสุขมากกว่าครั้งก่อน เพราะคนในงานคือผู้คนมาร่วมยินดีกับเรา
จากใจจริง ไม่เหมือนกับตอนนั้น งานแต่งเหมือนกับงานศพของใครสักคน
คนที่ดีใจและร่วมยินดีอย่างแท้จริง มีเพียงผม เขา บรรดาเพื่อนของเรา ครอบครัวผม ส่วนครอบครัวของเขา..ไม่มีใครร่วมยินดีจากใจ ยกเว้นพี่หมอซึ่งเห็นเส้นทางความรักของเรามาตั้งแต่ต้น
ในตอนนี้เป็นแบบนี้
ดีแล้ว
ขอบคุณ...ผมอยากจะขอบคุณที่จัดงานของเราขึ้นมาอีกครั้ง ทำลายสิ่งที่คาใจของเราทั้งสองคน
เท่านี้ก็ดีแล้ว
ดีมากแล้วจริง ๆ
และจะมางอแงแต่งรอบสาม ผมก็ไม่เอาแล้ว ผมยื่นคำขาดไปเลย มีหรือเขาจะไม่ยอม
สุดท้ายเมื่อแต่งรอบสามไม่ได้ เขาจึงชวนผมไปฮันนีมูนแทน และนี่เป็นเหตุผลที่ผมถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่ แววตามองโจ๊กอุ่นส่งกลิ่นชวนหิวและแก้วนมสดด้านข้าง ก่อนจะตักเข้าปากอย่างสะลึมสะลือ
ส่วนเขากำลังเตรียมเก็บของเท่าที่จำเป็นใส่กระเป๋าอย่างกระปรี้กระเปร่า แถมฉีกยิ้มกว้างจนเกือบถึงใบหู จากลักษณะท่าทางสงสัยอาการเอวเคล็ดคงจะหายดี
แต่มาชวนกะทันหันอย่างนี้ ทำให้ตั้งตัวไม่ทัน
เอาเถอะ ยังไงเราก็วัยเกษียณทั้งคู่ นอกจากอยู่บ้านทั้งวัน ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว ผมถามเขาเหมือนกันว่าจะไปไหน แต่เขากลับบอกว่าขออุบไว้ก่อน เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์
เอาที่สบายใจ
ก็แล้วแต่เขาแล้วกัน ถือว่าชดเชยที่ตลอดสองเดือน เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ออกไปไหนเพราะขยับตัวไม่ค่อยได้ และอีกอย่างก็ถือโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตาด้วย
ในระหว่างรอผมอาบน้ำ เขาเหมือนรู้หน้าที่ ไปยืนรดน้ำต้นไม้ให้ผมอย่างอารมณ์ดี อากาศที่สดชื่นกับท้องฟ้าสีคราม แค่เขายิ้ม แค่เห็นเขามีความสุข โลกทั้งใบของผมก็ดูสดใสจนตาพร่าไปหมด
เมื่อผมแต่งตัวเสร็จ
เราก็เตรียมตัวออกจากบ้าน ทั้งที่มีรถส่วนตัว เขากลับชวนผมนั่งรถสาธารณะแทน แวะเที่ยวทุกที่โดยใช้การนั่งรถต่อเป็นทอด ค่อย ๆ เที่ยวไปทีละแห่ง ไปทีละจังหวัด
และประเด็นคือแวะทุกจังหวัดด้วย
ปัจจุบันบ้านเราอยู่ที่จังหวัดระยอง ก็แวะพัทยา ไปนั่งชิลที่ทะเล เดินตลาดน้ำสี่ภาค แวะอยุธยาไปโบราณสถานและตลาดน้ำอีกรอบเพราะของกินเยอะดี เหมือนเขามีจุดมุ่งหมายที่จะไป แต่แค่ถือโอกาสแวะทุกจังหวัดที่ผ่านเท่านั้น
กล้องฟิล์มคู่ใจอันเก่า ผมเคยเก็บเงินซื้อให้ในวันเกิดของเขาก่อนเข้ามหาลัย เขายังคงเก็บรักษาอย่างดี คนก็คนเก่า แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเก่า คือรูปทั้งหมดไม่ใช่การแอบถ่ายอีกต่อไป มีเพียงรูปคู่ของเราแทน
รูปในขณะเดินจับมือ
รูปเรากับสถานที่ต่าง ๆ
รูปที่ผมหลับไปและอิงซบไหล่
รูปที่เขาชูสองนิ้ว กับฉากหลังที่ผมยืนหน้านิ่วเพราะอากาศร้อน
รูปทุกอิริยาบถที่ถูกถ่ายเก็บไว้ทั้งหมด และรูปอีกมากมายนับไม่ถ้วน
รูปที่สื่อถึงความรู้สึกและอบอวลไปด้วยความสุข ทุกภาพที่มีแต่รอยยิ้ม
ทุกสถานที่ ใช่ว่าจะเคยมาเป็นครั้งแรก แต่ผมกลับรู้สึกสนุกมากกว่าครั้งไหน ส่วนหนึ่งอาจเพราะไม่ได้เดท ได้เที่ยว ได้ตะลอนกิน ค่ำไหนนอนนั่น แบบนี้มานาน จึงทำให้สนุกเป็นพิเศษ
ทว่าหากมาคนเดียวหรือมากับใครอื่น ผมคงไม่มีความสุขได้มากขนาดนี้
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญ
คงต้องยกความดีความชอบให้กับคนที่กำลังทำหน้าชื่นมื่น ยิ้มจนแก้มปริยืนอยู่ข้าง ๆ คนที่จะเข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย คนที่จะทำให้ผมสุขใจ อิ่มใจได้ บนโลกอันกว้างใหญ่ สำหรับผมมีเพียงเขาคนเดียว
และด้วยอายุอานามของเรา
ถามว่าเหนื่อยไหมมันก็เหนื่อยนั่นแหละ แต่สนุกมากกว่า สนุกจนลืมสายตาพร้อมคำซุบซิบนินทาทิ่มแทง ไม่ว่าจะเดินหรือเที่ยวบริเวณไหน ก็มักจะมีสายตามองมาเสมอ มันคงจะแปลกในสายตาคนอื่นที่ลุงวัยหกสิบสองคนจะมาทำอะไรแบบนี้
ทว่า..ทั้งผมและเขาหาได้สนใจไม่ เพราะที่ผ่านมาเราแคร์กับคำพูดคนอื่นมามากเกินพอ อายุและประสบการณ์ มันทำให้คิดได้ว่าจะไปสนใจทำไม
ใครจะคิดยังไง
ถ้าเอาความรู้สึกไปผูกติดไว้กับปากคนอื่น แล้วเราจะมีความสุขได้ยังไง ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอน ถ้ามัวลังเล อาจจะสายเกินไป ด้วยความโชคดีที่เรายังมีชีวิตอยู่ หากใครคนใดคนหนึ่งจากไป ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
มัวแต่สนใจคนอื่นจนไม่กล้าก็เสียดายเวลาแย่ เพราะในเมื่อมันคือความสุขของเราจงกระทำไปอย่างที่ใจต้องการ
เหมือนผมกับเขาในตอนนี้..เสื้อคู่ที่สวมใส่ มีตัวอักษรตัวอย่างใหญ่ว่าคนนี้ของผม นิ้วมือที่สอดประสาน หรือแม้กระทั่งการป้อนอาหารให้กันท่ามกลางสายตาคนมากมาย ราวกับคนอื่นไม่ได้มีบทบาทใด ๆ สายตาของผม เห็นเพียงรอยยิ้มของคนที่อยู่ตรงหน้า
แค่เขามีความสุข
และผมมีความสุข
นั่นก็เพียงพอแล้ว
ตามจริง..เรื่องที่เขาขอคืนดี ผมใจอ่อนตั้งแต่สี่ห้าปีแรก น้ำหยดลงหินทุกวันมันยังกร่อน นับภาษาอะไรกับใจคน และผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะไม่หวั่นไหวในคำพูด คำหวานของเขา
เพียงแต่..
ผมไม่เคยบอกว่า "รอ"
รอ..ให้เขาจัดการเรื่องทางบ้านของตัวเองให้เสร็จ
รอ..เขาได้เป็นลูกที่ดี
ได้เป็นลูกกตัญญูของพ่อแม่
ได้ทำตามอย่างที่พวกท่านหวังไว้
ได้เป็นคุณพ่อที่ดีของลูก
สิ่งที่เขาทำไม่ได้คงมีเพียงสามีที่ดีของภรรยาใหม่ ถึงไม่บอก การกระทำที่สื่อออกมาอย่างชัดเจน จนคนรอบข้างรู้สึกได้ จะให้ดีกับผู้หญิงที่ทำให้ชีวิตครอบครัวของเราพัง คงฝืนใจทำไม่ลง และเป็นเรื่องเดียวที่ทำไม่ได้จริง ๆ
ต่อให้อยู่บ้านเดียวกันก็ตาม
เมื่อลูกโตพอจนรู้ความก็จะหย่าทันที
ขอออกตัวไว้ก่อน ผมไม่เคยพูดให้เขาหย่า ไม่เคยขอให้เขาหย่า ผมเคารพทุกการตัดสินใจ จึงอยากให้กระทำไปตามความรู้สึกของตัวเอง อยากให้เขาได้ทำตามหน้าที่ โดยไม่ต้องมาห่วง มาพะวง เรื่องคนนอกอย่างผม
และอีกอย่างคำว่ารอ ใช่ว่าจะเอาตัวเองหรือความรู้สึกไปผูกติดกับเขา
คำว่ารอในความหมายของผม คือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกวันบนจุดยืนของตัวเอง จนกว่าความรักจะเป็นของเราจริง ๆ
ถ้าจะให้พูดตามตรง
การกลับมาอยู่ในจุดยืนของตัวเองทำให้ผมมีความสุขมากกว่าตอนที่เราอยู่ด้วยกันเสียอีก การกระทำหลายอย่างของเขาที่ผมไม่ได้เคยสัมผัส มีความดื้อ ความเอาแต่ใจ ความยียวนที่เขาไม่ค่อยแสดงออกมาให้เห็น
แม้กระทั่งบางครั้งการพูดจา หรือทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเกลียด หรือบอกเลิก เพราะต่อให้โกรธยังไง โมโหกันแค่ไหน เราปรับความเข้าใจในฐานะเพื่อนข้างบ้าน เรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดี
ก็เพราะเป็นแค่เพื่อนข้างบ้าน
บางอย่างมันจึงกลายเป็นง่ายที่จะพูดคุย
ถึงจะมีหลายเรื่องที่ทำร่วมกันไม่ได้ แต่ผมก็พึงพอใจกับสถานะแบบนี้ มันไม่วุ่นวายดีและไม่ค่อยมีเรื่องเข้ามากระทบจิตใจ แม้เธอจะเคยมาราวี ต่อว่าผมบ้างสองสามครั้ง ทว่าเจอผมไล่ไป บวกกับมีเขาคอยห้ามปรามก็ไม่เคยเห็นเธออีกเลย
เขาขอหย่า..
เขาเคยถึงขนาดก้มหัวขอร้องให้เธอหย่า เคยทำอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ยอม หากเธอไม่มีความสุขก็อย่าหวังว่าใครจะมี เขาจึงหมดความอดทน และจำยอมปล่อยแบบต่างคนต่างไป
ทำไม...ไม่ฟ้องหย่า...
เพราะเขาไม่อยากจะให้เป็นเรื่องใหญ่ และต้นเหตุมาจากผม
เพื่อรักษาหน้าตาทางสังคมของทั้งสองฝ่าย
เขาทำได้เพียงประกาศชัดเจนให้รู้กันภายในครอบครัวว่าแยกกันอยู่ พร้อมกับอธิบายแกมขอร้องให้ลูกของเขาเข้าใจว่าไม่อาจฝืนอยู่ไปโดยข้างกายไม่มีผม..ได้อีกแล้ว
จากเคยมาอยู่ข้างบ้านเพียงวันเดียวหรือสองวันในหนึ่งปี
กลายเป็นว่ามาอยู่ทุกวัน
และไปหาเธอเพื่อขอหย่าก่อนวันเกิดผมคือวันที่ 25 ของทุกปี
ทำ..วนเวียนอยู่แบบนี้
จนเหมือนเป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมมีความสำคัญ ผมเป็นคนเดียวที่เขาคิดจะรัก นิ้วนางข้างซ้ายก็ไม่เคยถอดแหวนของเรา
แม้จะนอนบ้านคนละหลัง แต่ก็เห็นหน้าเขาทุกวัน คอยแวะเวียน คอยกวนประสาท คอยจัดงานวันเกิด ชวนไปฉลองปีใหม่ เที่ยวลอยกระทง สงกรานต์ ทุกเทศกาลเราอยู่ด้วยกันเหมือนวันเก่า ๆ ทำทุกอย่างเหมือนกับเราเป็นคนรักกัน แต่สถานะที่แท้จริง เป็นเพียงเพื่อนข้างบ้านเท่านั้น
ส่วนลูกของเขาก็โตพอที่จะไปสนุกกับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ เราไม่เคยไปเที่ยวกันสองต่อสอง ไม่เคยไปค้างคืนกันแค่สองคน ยังอยู่ในศีลธรรม ไม่เคยแม้แต่จะเกินเลย เขาให้ความสำคัญกับผม และไม่ลดละความพยายามที่จะขอหย่าเธอในทุก ๆ ปี
ผลสุดท้าย
สิ้นสุดการสมรสก็ในวันที่เธอไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้
คงเพราะสถานะเพื่อนข้างบ้านมันไม่ได้แย่เท่าไหร่ มีทั้งทุกข์ สุข เศร้า ปะปนกันไป ถึงจะไม่เคยเกินเลยกันไปมากกว่ากอด ...กอดปลอบในฐานะเพื่อนข้างบ้าน และด้วยความที่ในชีวิตประจำวันมักมีเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง คอยสานสัมพันธ์ไม่ให้ขาดหาย
จึงทำให้ดูเหมือนว่าระยะเวลาเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน
พอรู้สึกตัวอีกทีเราก็อายุหกสิบกันแล้ว
หกสิบแค่ตัว สำหรับเขาทั้งงอแง ทั้งชอบออดอ้อน สมองคงจะคิดว่าตัวเองยังเด็กอยู่มั้ง แต่น่าแปลก คือผมดันใจเต้นแรงกับกระทำอย่างนั้น แถมมองว่าน่ารัก จนเผลอตามใจทุกที
การเดินทางในครั้งนี้เหมือนหวนวันเวลาเก่า ๆ ให้ย้อนคืนกลับมา ย้อนวัย ย้อนเรื่องราวที่เราชอบทำ หรืออยากทำให้สมัยก่อน แต่ไม่มีโอกาสนั้น
พอมาตอนนี้เขาใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า
ใส่ใจทุกอย่าง เลือกเฉพาะในแบบที่ผมชอบ และผมก็เลือกในแบบที่เขาชอบ
จึงทำให้เป็นการเดินทางที่สนุกเกินคำบรรยาย
จนเผลอลืมไปว่าเขามีเรื่องจะอยากจะทำให้ผมประหลาดใจ
ปลายทางสุดท้ายตามโปรแกรมฮันนีมูนของเขาคือกรุงเทพมหานคร ซึ่งถ้ามาจากระยองใช้เวลาเพียงสามชั่วโมง แต่เรากลับใช้เวลาเดินทางตั้งสามวัน พร้อมภาพถ่ายอีกหลายร้อยรูป ไปทุกซอกมุม สนุกก็จริง ทว่าผมคงเอียนเรื่องเที่ยวไปอีกนาน
และพอมานึกคิดดู จะว่าไปตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่เคยมาเหยียบที่กรุงเทพอีกเลย จะคุยงาน เพื่อนแต่งงาน หรืออะไรก็ตาม ผมหลีกเลี่ยงมาตลอด เหมือนกลายเป็นเรื่องฝังความคิด หากมาแล้วผมกลัวว่าจะหักห้ามใจ แวะไปดูบ้านเก่าที่เคยเป็นของเราไม่ได้
สามสิบปีแล้วนี่นะ
ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปยังไงบ้าง..
รถแท็กซี่กำลังแล่นไปที่ไหนสักแห่ง เรายังคงจับมือกันไม่ยอมปล่อย แม้นจะรู้สึกเขินนิดหน่อย
ในสายตาของคนขับที่เหลือบมองอยู่เป็นระยะ แต่ยิ่งมอง เรายิ่งจับกันแน่นกว่าเดิม ในเมื่อเราเป็นคนรักกัน
สิ่งที่ทำก็ไม่เห็นจะผิดแปลกอะไร
ผมหันมองเส้นทางที่เราจะมุ่งไป โดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนเหมือนกัน เพราะเขาไม่ยอมบอกเอาแต่ถามเป็นแกมนัยว่าจำทางนี้ได้ไหม จำตรงนี้ได้หรือเปล่า ตึกรอบข้างที่เปลี่ยนไปเยอะขนาดนั้นใครมันจะไปจำได้ล่ะ
เขาบอกงั้นก็ดี
ใกล้ถึงแล้ว
ปิดตาก่อน
ด้วยความสงสัยผมจึงถามว่าทำไม เขาบอกแถมยิ้มอย่างมีเลศนัย ลืมไปแล้วเหรอว่าผมจะมีเรื่อง เซอร์ไพรส์ ถ้าเห็นมันจะไม่ตื่นเต้นสิ ผมจึงยกมือสองข้างขึ้นมาปิดตาตัวเองอย่างว่าง่าย
ถ้าจะมาเซอร์ไพรส์แบบกินอาหารหรูรสเลิศใต้แสงเทียนบนโรงแรมห้าดาว หรือเขียนคำบนลูกโป่งว่ารักผมโน่นนี่ หรือจัดฉากของแต่งงานรอบสามล่ะก็ ผมจะขำก๊ากให้
ยิ่งแถวนี้มีโรงแรมเยอะด้วย
รถที่จอดนิ่งสนิท เขาจ่ายเงินก่อนจะเปิดประตูและพาผมเดินลงมาจากรถ พร้อมกำชับว่าห้ามแอบดู ด้วยความที่ผมเป็นคนซื่อสัตย์จึงไม่คิดจะแอบดู และคิดว่ามันคงไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นอีกแล้วสำหรับเรา
เขาจูงมือพาผมค่อย ๆ เดินไป
เหมือนถึงจุดหมาย
เขาจึงบอกให้เปิดตาได้
ผมกะพริบถี่เพื่อปรับระดับสายตา
และสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือเขายืนระบายยิ้ม อ้าแขนกว้างกล่าวคำว่าเซอร์ไพรส์ออกมาอย่างดีใจ
ฉากหลังเป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ร่างกายแข็งทื่อไปโดยพลัน
น..น..นี่มัน...
ไม่...
ไม่คิดเลย..
ไม่คิดเลยว่าจะยังอยู่
เมื่อตั้งสติได้ เนื้อตัวที่กำลังสั่นเทาอย่างไม่อาจเก็บอาการ ขาวิ่งก้าวไป ก่อนจะกระโดดกอดเขาด้วยความตื้นตันพร้อมใบหน้าที่เอ่อล้นเต็มไปด้วยน้ำตา
ไม่คิดเลยจริง ๆ
บ้าน
"อูย เจ็บ..มันสะเทือนไปถึงเอวผมเลยนะ"
บ้าน
บ้านของเรา
บ้านที่เหมือนเดิมทุกอย่าง ต่อให้รอบข้างจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง แต่บ้านของเราก็ยังเหมือนเดิม สิ่งที่แตกต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่เห็นคือบ่อปลาคราฟของเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ส่วนฝั่งของผมก็ยังคงมีผักสวนครัวและดอกดาวเรืองที่บานสะพรั่ง
"คนโกหก"
ผมบ่นอุบอิบในลำคอ ขณะที่อ้อมแขนแกร่งกระชับแน่น
"ให้อภัยผมนะครับ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมโกหกคุณ"
"ผมรู้ว่าคุณไม่มีเงินเก็บที่ไหน เพราะตอนนั้นเราใช้บัญชีเดียวกัน แถมคุณไม่ยอมรับอะไรไปสักบาท ผมไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรที่จะให้คุณรับเงินนั้นไว้ นอกเสียจากโกหกว่าขายบ้านของเราไปแล้ว"
"ผมขอโทษจริง ๆ อย่าโกรธผมเลยนะ"
"นะครับ"
"นะ.."
เสียงออดอ้อน
"นะ..."
และเริ่มแผ่วลง เมื่อเห็นผมไม่ตอบอะไร
นอกจากเรื่องนอกใจ คือผมไม่ชอบคนโกหกแถมถ้าจับได้ โทษฐานก็พอ ๆ กัน
แต่สำหรับเรื่องนี้
ใครมันจะไปโกรธลง
แถมไม่มีสิทธิ์จะโกรธด้วยซ้ำ
ใบหน้าของผมที่ซุกลงไปในอกของเขา เห็นแบบนั้นเขาจึงรับรู้ได้ทันที
"ไม่ได้โกรธแล้วดีใจไหมครับ"
ผมกอดเขาแน่นขึ้นแทนความรู้สึกที่มี พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
มันไม่อะไรที่จะทำให้ผมมีความสุขไปมากกว่านี้อีกแล้ว
"ผมคิดว่ามันจะไม่มีวันที่เรากลับมาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้ ขอบคุณที่ให้โอกาสผมมาตลอด ขอบคุณที่ให้ผมกลับมาดูแลคุณอีกครั้งนะครับ ขอบคุณจริง ๆ "
ผมสิที่ควรจะเป็นฝ่ายขอบคุณมากกว่า
ยิ่งกว่าคำว่ารัก
ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
ไม่มีคำไหนที่จะมาบรรยายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ
บ้านของเรา..
"กลับมาแล้ว"
เสียงที่พยายามเปล่งออกไปอย่างสะอึกสะอื้น
เขาระบายยิ้มละมุน ลูบหัวผมอย่างปลอบโยน
"ยินต้อนรับกลับบ้านนะครับ"
ก่อนโน้มลงประทับริมฝีปากพรมจูบซับน้ำตาบนใบหน้า
เพียงไม่นาน
เขาจูงมือของผมเข้าไปชมภายในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอันแสนสดใส
เหมือนภูมิใจนำเสนอในทุกอย่างที่เขารักษาไว้อย่างคงมั่น แถมยังมีสภาพเดิมทุกประการราวกับเพิ่งซื้อมาใหม่ ๆ สิ่งที่แตกต่างออกไปมีเพียงรูปแอบถ่ายซึ่งเคยถูกประดับทั่วซอกมุมได้มลายหายไปใส่เก็บไว้ในอัลบั้มหลายสิบเล่มแทน
ในระหว่างที่เราเดินทัวร์ไปรอบบ้านให้หายคิดถึง ไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ ใช่ว่าไม่มีเรื่องจะพูดคุย
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้น ภาพเบื้องหน้าที่เห็น ไม่ต่างอะไรกับความฝัน จนไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง
อัดอั้น
ตื้นตัน
บ้านของเรา..ที่ยังคงดังเดิม
เหมือนกับความรู้สึกของเราที่ไม่เคยลดลง
ถึงจะมีเรื่องมากมายอยากจะบอก อยากจะระบายให้เขาได้ฟัง แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับติดอยู่ในลำคอ
สิ่งที่แสดงให้เขารับรู้ว่าผมดีใจมากแค่ไหน ทั้งเรื่องบ้าน และตัวเขาซึ่งไม่เคยเปลี่ยนไป คงมีเพียงรอยยิ้มพร้อมหยดน้ำตาที่พรั่งพรู
ทั้งที่ความอบอุ่นของอุณหภูมิร่างกายอยู่บริเวณปลายนิ้วสัมผัส แต่ผมกลับชื่นฉ่ำในหัวใจมากกว่า
เรามานั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ระเบียงบ้าน ข้างบ่อปลาคราฟโดยมุมนี้จะมองเห็นดอกดาวเรืองโอนเอนไปมาสะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายได้ชัดเจนที่สุด และมีโซฟารูปตัว L วางราบไปกับพื้นเป็นที่ประจำสำหรับเรา
เสียงน้ำตกคลอเบา ๆ บวกกับสายลมพัดอ่อนเย็นสบายเรามักจะนอนกลางวันกันที่นี่
สามสิบกว่าปีก่อน..ส่วนใหญ่ในวันหยุดสุดสัปดาห์เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันจะมีเพียงเท่านี้
นานครั้งเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวอาจจะไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง ไม่ต้องหวือหวาอะไรมากมาย แค่ได้อยู่ด้วยกัน
แค่ได้เห็นหน้ากันก็มีความสุขแล้ว
เขาล้มตัวลงนอนหนุนตักของผม เราคุยเรื่องเที่ยว เรื่องการเดินทางในสองสามวันมานี้ ว่าชอบอะไร ชอบที่ไหน ชอบกินอะไร ความคิดเห็นตรงกันบ้าง ไม่ตรงบ้าง
แต่สิ่งที่เรามีความคิดเห็นตรงกัน..
คือขอแค่ในทุกวันมีกันและกัน ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวไปจนอายุร้อยปี
ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปยังไง ต่อให้ถึงวันที่ขาจะเดินไม่ไหว ต่อให้ถึงวันที่ไม่เหลือฟันจะเคี้ยวอะไร ในสายตาผม เขาก็ยังเป็นเขาคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แม้นวันเวลาเปลี่ยนผันไปแค่ไหน
สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือความรู้สึกในใจเราสองคน
เราคุยเรื่องสัพเพเหระกันนิดหน่อย สุดท้ายด้วยความอ่อนล้าทำให้เขาผล็อยหลับไปในที่สุด เหลือแต่ผมที่ยังคงเหม่อมองรอบกาย ซึมซับบรรยากาศรอบด้านอย่างอิ่มเอม และมือพลางลูบไล้เส้นผมของเขา อย่างบางเบา
ใครหลายคนให้คำนิยามว่า..
การกลับไปคบกับแฟนเก่า ก็เหมือนอ่านหนังสือเล่มเก่า ไม่ว่าจะอ่านอีกสักกี่ร้อยรอบ ตอนจบก็เหมือนเดิม แต่การที่ผมนำคนเก่า มาสร้างเป็นหนังสือเล่มใหม่
บทสรุปสุดท้าย
เรื่องราวทั้งหมด
ก็จบลงอย่างมีความสุข
Happy Ending