ครึ่งหลังมาแล้วเจ้าค่า ขออภัยที่ล่าช้ากว่าที่บอกไว้มากมาย ทั้งเพราะงานเข้า + เข้าเรียน (ป.โทกั๊บ ป้ากลับไปเป็นนักศึกษาแล้วนะ ฮุฮุฮุ) หลังจากนี้ก็คงยิ่งยุ่งๆมากเข้าไปอีก ยังไงถ้ามาต่อช้าก็อย่าเพิ่งทิ้งสองคนนี้ไปไหนนะจ๊ะ 10. (ครึ่งหลัง)พายุที่หอบเอาสายฝนกระหน่ำมาเมื่อครู่ก่อนพัดผ่านบริเวณรีสอร์ทไปแล้ว ปุยเมฆบนฟ้าเริ่มกระจายตัวออกจากกันมากพอจะเผยให้เห็นแสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน ละอองฝนประปรายที่ยังเหลือตกค้างทำให้บรรยากาศภายนอกชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ แม้แต่สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่รอบรีสอร์ทก็ดูจะเข้มขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากได้รับน้ำฝนจนอิ่ม
หลังจากแต่งตัวกันเรียบร้อยและเห็นว่าพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว เชษฐ์ก็ขับรถพาภัทรออกไปหาร้านอาหารเพื่อทานมื้อเย็นด้วยกัน ทั้งคู่ตัดสินใจไม่ทานที่ห้องอาหารของรีสอร์ท เพราะจะได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการอยู่แต่ในบริเวณที่พักกับชายหาดหน้าห้องบ้าง และหลังจากที่ขับรถวนสำรวจถนนเลียบหาดไปหนึ่งรอบ ทั้งคู่ก็เห็นพ้องกันว่าจะเลือกร้านริมทะเลร้านหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากที่พักออกไปราวสองกิโลเมตร เพราะดูแล้วไม่ถึงกับโหรงเหรงหรือมีลูกค้าแน่นเกินไปจนต้องรออาหารนาน
ร้านที่เชษฐ์กับภัทรเลือกนั้นมีทั้งส่วนที่เป็นห้องอาหารหลักและศาลามุงจากหลังย่อมๆอีกจำนวนหนึ่งสำหรับรับลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มเล็ก โต๊ะและเก้าอี้สำหรับที่นั่งตรงศาลาก็ทำจากไม้ไผ่ที่ประกอบกันเป็นแคร่ ซึ่งต่างจากโต๊ะและเก้าอี้เหล็กพับในส่วนของห้องอาหารหลัก โชคดีที่ทางร้านนำผ้าพลาสติกมาคลุมศาลาเหล่านี้เอาไว้ระหว่างที่มีพายุฝน โต๊ะและที่นั่งซึ่งถูกคลุมเอาไว้จึงไม่เปียกเฉอะแฉะ
พนักงานของร้านเดินนำทั้งคู่ไปนั่งที่โต๊ะริมทะเลซึ่งประกอบขึ้นจากไม้ไผ่และมีหลังคามุงจากบนเสาไม้ทั้งสี่ด้าน หลังจากได้ที่นั่งแล้ว ทั้งสองก็สั่งเมนูที่ทางร้านแนะนำให้และอาหารทะเลเผาอีกสองสามอย่าง ลมเย็นที่โชยมาในยามค่ำให้ความรู้สึกสดชื่นโดยไม่ทำให้เหนียวตัว ทั้งสองจึงนั่งทานอาหารและคุยกันไปเรื่อยๆโดยมีตะเกียงที่ให้แสงสว่างตั้งอยู่กลางโต๊ะ จวบจนเวลาผ่านไปสองชั่วโมงและดวงจันทร์ลอยขึ้นสูงแล้วจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงินและเดินทางกลับ
เนื่องจากที่รีสอร์ทแถมน้ำดื่มให้แขกที่มาพักเพียงห้องละสองขวด ทั้งสองจึงแวะซื้อน้ำจากร้านสะดวกซื้อซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางก่อนจะกลับที่พัก หลังจากเชษฐ์จอดรถและล็อกประตูแล้วก็ฉวยถุงใส่ขวดน้ำไปถือและเดินนำไปก่อน ขณะที่กำลังเดินไปตามทางเดินเพื่อกลับห้องพักนั่นเอง ภัทรที่เดินตามหลังร่างสูงใหญ่ไม่ห่างนักก็แหงนหน้ามองผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ดวงดาวที่กำลังกะพริบแสงดูแล้วเหมือนกับมีใครเอากากเพชรสีทองไปโปรยไว้ ชายหนุ่มจึงเร่งฝีเท้าไปแตะข้อศอกของคนที่เดินนำหน้าเบาๆ
“คุณเชษฐ์ ผมยังไม่ง่วงเลย เดี๋ยวผมไปเดินเล่นก่อนนะครับ”
ภัทรเอ่ยขึ้น เพราะนับตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่บริษัทนี้ เขาก็แทบจะไม่ได้ออกจากกรุงเทพฯมาเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยนัก ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจึงอยากจะซึมซับช่วงเวลาและบรรยากาศของการพักผ่อนให้นานขึ้นอีกหน่อย เพราะวันพรุ่งนี้ทั้งคู่ก็ต้องกลับกรุงเทพฯกันแล้ว
เชษฐ์ปรายตามองมือเรียวที่ยังแตะอยู่บนข้อศอกของตน จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นแล้วถามเจ้าของมือยิ้มๆ
“แล้วฉันล่ะ?”
“เอ๊ะ?”
คำถามของอีกฝ่ายทำให้ภัทรเลิกคิ้วอย่างงุนงง เชษฐ์จึงอธิบายต่อให้
“ก็เห็นเธอพูดเหมือนอยากจะไปเดินเล่นคนเดียว ใจคอจะไม่ชวนกันเลยหรือไง?”
พอได้ยินคำอธิบาย ภัทรก็ให้นึกอยากจะจิกเล็บลงบนแขนแข็งแรงที่ตัวเองวางมือทาบอยู่ขึ้นมาติดหมัด เพราะเขายังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยสักคำ มีแต่คุณเชษฐ์นี่ล่ะที่ชอบเอาคำพูดเขาไปตีความใหม่อยู่เรื่อย
“...อยากมาก็มาสิครับ ผมไม่ได้บอกว่าไม่ให้ตามมานี่”
ชายหนุ่มปล่อยมือข้างที่ยื่นออกไปเมื่อครู่ลงข้างตัว หัวคิ้วทั้งสองข้างมุ่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ เชษฐ์ที่ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นจึงหัวเราะเบาๆ
“เข้าใจละ งั้นเธอไปรอที่หาดก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันเอาน้ำไปเก็บที่ห้องเสร็จแล้วจะตามไป”
คนตัวใหญ่เอ่ยพลางชูถุงใส่ขวดน้ำในมือขึ้น ภัทรจึงค่อยยิ้มและพยักหน้า จากนั้นก็ปลีกตัวเดินย้อนไปตามทางที่เดินมาเพื่อจะเลี้ยวลงชายหาด ดูเหมือนว่านอกจากพวกเขาสองคนที่เลือกพักที่ห้องสวีทริมทะเลแล้ว แขกที่มาพักกลุ่มอื่นๆจะเลือกพักในส่วนที่เป็นตึกโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้ล็อบบี้มากกว่า เพราะว่าภัทรเห็นแสงไฟและเงาที่ลอดผ่านผ้าม่านของห้องบางห้องได้ลางๆ ซึ่งเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะราคาห้องพักที่ถูกกว่าห้องบีชฟร้อนท์สวีทแบบที่เชษฐ์เลือกอยู่หลายพันบาทนั่นเอง
ลมทะเลยามค่ำที่ค่อนข้างแรงคงทำให้แขกคนอื่นเลือกจะอยู่ในห้องมากกว่าออกมาเดินเล่น ดังนั้นนอกจากเสียงลมแล้วก็มีเพียงเสียงคลื่นที่กำลังม้วนตัวเข้าซัดหาดทรายให้ได้ยิน แสงจากดวงจันทร์ข้างขึ้นสีเงินยวงช่วยให้มองเห็นจุดที่เส้นขอบฟ้าบรรจบกับท้องน้ำได้ลางเลือน นอกจากนี้ก็มีแสงสว่างจากโคมไฟดวงเล็กที่ทางรีสอร์ทเปิดไว้เป็นระยะบริเวณรั้ว บริเวณหน้าหาดจึงไม่ถึงกับมืดมิดจนมองอะไรไม่เห็น
พื้นทรายที่ภัทรเหยียบย่ำลงไปนั้นยังชื้นเพราะพายุฝนเมื่อช่วงบ่าย ชายหนุ่มจึงถอดรองเท้าแตะออกแล้วเดินเท้าเปล่าลงไปบริเวณที่คลื่นซัดขึ้นมาจนน้ำปริ่มข้อเท้า ร่างเพรียวเหยียดแขนขึ้นสูงก่อนจะสูดกลิ่นอายทะเลและอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนเข้าเต็มปอด ความจริงแล้วตอนเด็กเขาก็โตมากับทะเลภาคตะวันออก และชอบเล่นน้ำทะเลเวลาที่อารมณ์ครึ้มพอ แต่เพราะว่าเมื่อตอนบ่ายนั่นเขาโดนเชษฐ์บังคับอุ้มลงไป ทำให้ไม่ได้สนุกกับการเล่นน้ำอย่างเต็มที่เท่าไหร่นัก
นัยน์ตาเรียวทอดมองออกไปยังผืนทะเลกว้างที่มีเงาของดวงจันทร์สะท้อนอยู่เป็นวง เงาสีขาวนวลเต้นระยิบไปมาตามริ้วคลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่โถมเข้าหาฝั่ง ชายหนุ่มยืนนิ่งขณะทอดสายตามองไปยังแสงไฟจากเหล่าเรือหาปลาที่อยู่ไกลจนเห็นเป็นเพียงกลุ่มแสงจุดเล็กๆ หลังจากใช้เวลาอยู่กับเชษฐ์มาทั้งวัน เมื่อได้มายืนมองทะเลตามลำพังเช่นนี้ ภัทรก็ให้นึกถึงผู้มีพระคุณในครอบครัวที่เขารักและเคารพที่สุดขึ้นมา
…ป่านนี้น้าจินกับน้าบรรณเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ตั้งแต่สิ้นปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้โทรไปหาเลย ถ้าจู่ๆโผล่ไปเยี่ยมจะเป็นยังไงนะ อุตส่าห์มาถึงระยองทั้งที ขับรถต่อไปอีกหน่อยก็ถึงจันทบุรีแล้ว
แต่ว่า...จะให้พาคุณเชษฐ์ไปแนะนำเลยน่ะหรือ.... จะเร็วเกินไปหรือเปล่า
ชายหนุ่มหวนนึกถึงตอนที่เชษฐ์ขับรถพาเขาออกมาจากกรุงเทพฯเมื่อเที่ยงวัน ตอนนั้นเขาไม่ได้บอกว่าสาเหตุที่แสดงท่าทางแปลกๆตอนเห็นป้ายบอกทางไปจันทบุรีก็เพราะนึกถึงน้าขึ้นมา นับตั้งแต่พ่อกับแม่เสียไปเพราะอุบัติเหตุทางเรือตอนที่ภัทรยังเรียนมัธยมนั้น ก็เป็นน้าจิน น้องสาวของแม่ กับน้าบรรณซึ่งเป็นสามีที่คอยดูแลและช่วยเหลือสองพี่น้องเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ความที่ทั้งสองไม่มีลูกจึงเอ็นดูพวกเขามาก แม้กระทั่งยามที่ภัทรสอบติดมหาวิทยาลัยและย้ายตามแพนไปอยู่กรุงเทพฯแล้ว ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองก็ยังคงติดต่อมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอยู่เสมอ ตอนที่เขาท้อถอยเพราะถูกคนรักเก่าทอดทิ้งจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานต่อ ก็เป็นบ้านของน้าจินกับน้าบรรณที่เขาหลบมาพักเพื่อเยียวยาแผลที่เกิดขึ้นและเพื่อเรียกความเข้มแข็งกลับมาจนมีกำลังใจกลับไปสู้ชีวิตที่กรุงเทพฯอีกครั้ง ทั้งที่น้าจินซึ่งเขาเคารพเหมือนแม่คนที่สองก็เคยแนะนำว่าให้หางานทำที่จันทบุรีแล้วพักอยู่ที่บ้านด้วยกัน แต่ถ้าหากว่าตอนนั้นเขาไม่ได้กลับเข้ากรุงเทพฯ เขาก็คงไม่ได้พบกับเชษฐ์...และไม่ได้รู้ว่าตัวเองก็ยังมีค่าให้ใครอีกคนเอาใจใส่ดูแลดังเช่นตอนนี้
ภัทรล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกงที่ใส่โทรศัพท์มือถือไว้ ปลายนิ้วเรียวลูบตัวเครื่องไปมา ขณะที่ความคิดในใจกำลังขัดแย้งระหว่างจะโทรหรือไม่โทรหาผู้มีพระคุณนั่นเอง ชายหนุ่มก็สะดุ้งกับเสียงทุ้มลึกที่ดังมาจากด้านหลัง
“อยากว่ายแข่งแก้มืออีกรอบมั้ย?”
ภัทรสะดุ้งชักมือออกจากกระเป๋าแล้วก็หันไปทางต้นเสียง ทำให้พบว่าเชษฐ์กำลังยืนมองเขาอยู่ ร่างสูงใหญ่เอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงผ้าฝ้ายที่ม้วนชายขึ้นเหนือข้อเท้าจนเห็นสายคาดรองเท้าแตะสานทำจากหนัง ใบหน้าคมที่มองเห็นใต้แสงจันทร์สลัวอมยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็บุ้ยคางไปแถวกลางทะเลเลยจุดที่ภัทรยืนอยู่ออกไป
ร่างเพรียวเบนสายตาตามไปยังทิศทางนั้น ทำให้ได้เห็นเรือลำที่เป็นเส้นชัยการแข่งขันเมื่อตอนบ่ายยังคงทอดสมออยู่ที่เดิม ลำเรือโยกเอียงไม่อยู่นิ่งตามแรงคลื่นที่ซัดเข้ากระทบ ชายหนุ่มจึงหันกลับไปหาคนถามอีกครั้ง
“เรื่องอะไรล่ะครับ แพ้รอบเดียวก็พอแล้ว อีกอย่างคราวนี้ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนแล้วจริงๆนะ บอกไว้ก่อน”
ชายหนุ่มพูดดักคอโดยเอ่ยเป็นนัยๆถึงเรื่องที่เขาโดนอุ้มลงน้ำทั้งที่ไม่เต็มใจเมื่อช่วงบ่าย แต่เรื่องที่เขาไม่มีเสื้อผ้าจะเปลี่ยนแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะภัทรตั้งใจจะใส่เสื้อยืดที่ใส่นอนคืนนี้กลับบ้าน เนื่องจากเสื้อผ้าเปียกที่เขาผึ่งเอาไว้คงไม่มีทางแห้งทันพรุ่งนี้เช้า และถ้าจะให้ถอดเสื้อลงเล่นน้ำตอนกลางคืนที่ลมค่อนข้างแรงแบบนี้ คราวนี้เขาก็คงไม่แคล้วจะไม่สบายเอาจริงๆ
เชษฐ์หัวเราะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ภัทรจึงเดินขึ้นจากน้ำไปบนหาดแล้วก็สวมรองเท้าที่ถูกถอดทิ้งไว้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหาแล้วก็ยื่นมือข้างหนึ่งมาให้
นัยน์ตาเรียวตวัดลงมองมือแข็งแรงข้างนั้นก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของมือ ทว่าอีกฝ่ายเพียงยืนรอเงียบๆโดยไม่พูดอะไร และไม่ได้บังคับคว้ามือเขาไปจับเองโดยพลการ ราวกับจะรอให้ภัทรเป็นฝ่ายยื่นมือกลับไปหาด้วยตัวเอง
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วอึดใจ มือเรียวจึงถูกยื่นออกไปวางทาบลงบนมือใหญ่อบอุ่นที่รออยู่ ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเชษฐ์ดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ จากนั้นก็ปล่อยมือและยกแขนขึ้นโอบไหล่เขาไว้หลวมๆขณะพาออกเดินไปบนหาดทรายด้วยกัน
กลิ่นบุหรี่อ่อนจางโชยมาเข้าจมูกภัทร ทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงจะเพิ่งสูบบุหรี่มาก่อนจะลงมาหาเขาที่หาด และทั้งที่นึกขึ้นได้ว่าตั้งใจจะคุยเรื่องนี้กับเชษฐ์ตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ภัทรก็เริ่มไม่แน่ใจว่าถ้าหากทำอย่างนั้น เขาจะล้ำเส้นอะไรไปหรือเปล่า ถึงอย่างไรนี่ก็คือส่วนหนึ่งของ ‘ตัวตน’ ของเชษฐ์ซึ่งเขาไม่มีสิทธิ์ไปกะเกณฑ์ แค่การที่อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาไม่ชอบและพยายามหลีกเลี่ยงการจุดบุหรี่ให้เห็นต่อหน้า บางทีนี่ก็อาจเป็นวิธีแสดงการยอมรับในสิทธิ์ที่ภัทรพึงได้รับแล้วก็ได้
แต่ว่า...ถึงยังไงสูบบุหรี่ก็ไม่ดีต่อสุขภาพอยู่ดีนั่นแหละ
ภัทรมุ่นหัวคิ้วขณะที่โต้เถียงกับตัวเองในใจ มือหนึ่งยกขึ้นจับชายเสื้อด้านหลังของเชษฐ์แน่นโดยไม่รู้ตัว ความที่กำลังใช้ความคิดติดพัน ชายหนุ่มจึงไม่รู้ตัวสักนิดว่าสายตาของอีกฝ่ายกำลังจับจ้องตนอยู่
“ว่าจะลดลงแล้วล่ะ”
จู่ๆคนตัวใหญ่ก็ทะลุกลางปล้องขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ภัทรที่ยังเถียงกับตัวเองจึงไม่ทันได้สนใจจับใจความของประโยคที่ได้ยิน แต่ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าแล้วกะพริบตาด้วยความงุนงง เชษฐ์ที่เดินโอบไหล่เขาอยู่จึงหยุดเดินตามไปด้วย
“อะไรนะครับ?”
ภัทรเหลือบตาขึ้นแล้วก็เอ่ยถาม เพราะเขาไม่แน่ใจนักว่าเชษฐ์กำลังพูดถึงเรื่องเดียวกับที่เขาคิดอยู่หรือเปล่า เชษฐ์จึงยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่รู้ตัวล่ะสิท่า เมื่อกี้ตอนฉันดึงเธอมาใกล้ๆน่ะเธอย่นจมูกทันทีเลย ทีหลังถ้าหากไม่ชอบอะไรก็บอกกันตรงๆสิ มัวแต่เกรงใจแล้วคนอื่นจะรู้เหรอว่าเธอคิดอะไรอยู่?”
ภัทรทำหน้าเหลอ เขาไม่รู้ตัวจริงๆว่าเผลอแสดงกิริยาแบบนั้นออกไป แต่ปกติเขาก็ไม่ถูกกับบุหรี่อยู่แล้ว ยังดีที่ไม่ได้แพ้ควันจนถึงกับผื่นขึ้นก็เท่านั้น แต่ดูเหมือนปฏิกิริยาตอบสนองทางกายของเขาจะเป็นไปเองโดยที่ตัวเองก็ควบคุมไม่ได้
“ขอโทษครับ...แต่คุณเชษฐ์ก็เคยได้ยินผมพูดว่าไม่ชอบบุหรี่ไปตั้งแต่ตอนเจอกันแรกๆแล้วนี่”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวขาต่อ ทำให้เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังกำเสื้อด้านหลังของอีกฝ่ายแน่น แต่จะให้ปล่อยมือตอนนี้ก็คงอิหลักอิเหลื่อพิกล จึงแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ยังคงจับยึดชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้อย่างนั้น
ดูเหมือนเชษฐ์จะเข้าใจทันทีว่าภัทรหมายถึงตอนที่เขาเพิ่งย้ายมาทำงานที่บริษัทเดียวกันใหม่ๆ และเคยแสดงความเห็นเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงานตอนที่กำลังจะไปทานข้าวกลางวันกัน ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่คุณผู้จัดการดันยืนสูบบุหรี่อยู่แถวนั้นตอนที่เขากำลังพูดพอดี หากฟังเผินๆจึงเหมือนภัทรตำหนิอีกฝ่ายทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงถึงใครเป็นพิเศษ
“ตอนนั้นเธอพูดกับคนอื่นแล้วฉันบังเอิญได้ยินต่างหาก มันไม่เหมือนกับการที่เธอมาบอกฉันด้วยตัวเองนี่นา ถ้าหากเธอพูด...ฉันอาจจะยอมคิดอย่างจริงจังก็ได้”
ภัทรฟังแล้วก็ทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายในหัว งั้นก็หมายความว่า...ต่อให้เขาขอร้อง คุณเชษฐ์ก็อาจจะไม่ได้ยอมทำตามทันทีเสียหน่อยน่ะสิ แต่หากพิจารณาจากบุคลิกของเจ้าตัวและความรั้นที่แทบจะไม่ยอมลงให้ใครในเวลางาน ซึ่งขัดแย้งเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนทั้งสองอาบน้ำด้วยกันเมื่อตอนบ่าย นี่อาจจะหมายถึงการ ‘ยอม’ มากที่สุดเท่าที่อีกฝ่ายเคยทำมาแล้วก็ได้
ยิ่งเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่ก่อนเชษฐ์พูดว่าอะไรตอนที่เขากำลังเหม่อ ภัทรก็เหลือบตาขึ้นมองคนข้างตัวอีกครั้ง และคราวนี้ริมฝีปากบางเผยอยิ้มขึ้นน้อยๆ
อย่างน้อยที่สุด...คุณเชษฐ์ก็กำลังพยายามเหมือนกันล่ะนะ…
“เข้าใจแล้วครับ”
ภัทรเอ่ยพลางเอนศีรษะลงบนไหล่หนาขณะที่ทั้งสองออกเดินต่อ มือข้างที่เมื่อครู่กำชายเสื้ออีกฝ่ายค่อยๆคลายออกแล้วเปลี่ยนเป็นเลื่อนไปโอบเอวแกร่งไว้แทน และเขาก็รู้สึกได้ว่าแขนที่โอบอยู่บนไหล่ของตัวเองก็กระชับแน่นขึ้นเหมือนกัน
ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำที่มีเมฆพาดผ่านเป็นริ้วและมีหมู่ดาวระยิบระยับลอยสูงเหนือขึ้นไป วูบหนึ่ง เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากสามารถหยุดเวลาไว้ตรงนี้ตลอดไปได้ก็คงดี
หลังจากเดินกันมาจนไกลพอสมควร ทั้งสองก็หมุนตัวย้อนกลับทางเดิมเพื่อกลับไปที่ห้องพัก แต่ครั้งนี้ไม่ได้โอบไหล่กันเช่นขามา ภัทรเพียงใช้นิ้วชี้เกี่ยวไว้กับนิ้วก้อยของเชษฐ์ ระหว่างทาง นัยน์ตาเรียวก็ทอดมองไปยังผืนทะเลและเรือลำที่ทอดสมออยู่อีกครั้ง ความทรงจำของเมื่อยามบ่ายที่หวนคืนมาทำให้ภัทรหันกลับไปหาคนที่เดินอยู่ข้างๆ
คุณเชษฐ์ลืมไปแล้วหรือยังไงนะ ตอนที่อาบน้ำก็ไม่เห็นพูดถึงเลย...
ความสงสัยทำให้ภัทรกระตุกนิ้วที่ไขว้เกี่ยวกับนิ้วแข็งแรงเพื่อเรียกความสนใจ พออีกฝ่ายหันมาหาก็เอ่ยถาม
“คุณเชษฐ์...แล้วเรื่องของรางวัลที่คุณเชษฐ์แข่งชนะล่ะครับ?”
ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วขึ้น และภัทรก็จ้องตาอีกฝ่ายนิ่งท่ามกลางแสงจันทร์สลัวที่ทอดลงมาโอบล้อมคนทั้งคู่ จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้ชอบใจนักที่ตัวเองแพ้ แต่ว่าก็ไม่ได้ถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ และถึงแม้ว่าการแข่งขันเมื่อตอนบ่ายจะไม่ใช่การแข่งแบบจริงจัง แต่ในเมื่อเชษฐ์ชนะ อีกฝ่ายก็มีสิทธิ์ที่จะทวงสิ่งที่ตนพึงได้
และที่สำคัญ…ภัทรก็อยากจะรู้ว่าถ้าหากจะต้องขอรางวัลจากเขาจริงๆ อีกฝ่ายจะขออะไร
เจ้าของนัยน์ตาคมมองคนถามราวกำลังใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกปลายนิ้วชี้ของมือข้างที่ไม่ได้กุมกันไว้ขึ้นดันแว่นและตอบเสียงเรื่อยๆ “ไม่สำคัญหรอก เพราะตอนนี้ฉันได้ของดีกว่าที่อยากขอไปแล้ว”
คำตอบที่ได้ทำให้ภัทรทำตาโตอย่างประหลาดใจ และที่ตามมาหลังความประหลาดใจก็คือความงุนงงสงสัย ในเมื่อเขายังไม่ได้ให้อะไรกับอีกฝ่ายเลยสักอย่าง จะมาบอกว่าได้ไปแล้วได้อย่างไรกัน?
“หมายความว่าไงครับ? แล้วตอนแรกคุณเชษฐ์ตั้งใจจะขออะไรกันแน่ ในเมื่อผมยัง...ไม่ได้ให้...อะไรเลย”
ชายหนุ่มจบประโยคอย่างตะกุกตะกัก ในชั่ววินาทีที่รู้ตัวว่าแพ้หลังการแข่งขันจบลงนั้น เขามั่นใจว่าเชษฐ์คงจะขอให้เขายอมให้ทั้งคู่นำความสัมพันธ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลยสักครั้ง ทั้งๆที่มีโอกาสจะทวง ‘รางวัล’ อย่างเต็มที่ตลอดเวลาที่อาบน้ำด้วยกัน
เชษฐ์เงียบไปครู่หนึ่ง มือใหญ่ที่เกาะเกี่ยวนิ้วกับภัทรเอาไว้ถูกปล่อยลงก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเดินช้าๆไปข้างหน้า และนั่นก็ทำให้ภัทรใจหายวูบ นี่เขาพูดอะไรผิดไปหรือ?
“จริงอยู่ว่าถ้าหากจะยึดเอาการแข่งนั่นเป็นจริงเป็นจัง ฉันก็มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับเธอได้จริง แล้วก็ที่คิดน่ะไม่ผิดหรอก ที่ฉันอยากจะขอก็คือสิ่งที่เธอคิดนั่นแหละ”
เชษฐ์เอ่ยจบก็หันกลับมาหา ตอนนี้อีกฝ่ายหยุดยืนห่างจากเขาไปประมาณห้าช่วงก้าว มือทั้งสองข้างไขว้หลังไว้หลวมๆ ทว่าสีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึก มีเพียงนัยน์ตาเท่านั้นที่จับจ้องผู้อ่อนวัยกว่าไม่วางตา
ภัทรขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน ร่างเพรียวก้าวช้าๆเข้าไปหาคนตัวใหญ่ทีละก้าว ลมทะเลที่พัดมาไม่หยุดทำให้เกิดเสียงยามปะทะกับเสื้อและผมของทั้งคู่ ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลงเมื่ออยู่ในระยะที่ห่างจากอีกฝ่ายเพียงเอื้อมมือถึง
“แล้วคุณเชษฐ์รู้เหรอครับว่าผมคิดว่าคุณเชษฐ์จะขออะไร?”
ภัทรกลั้นใจทำปากแข็ง รู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่ถูกอีกฝ่ายอ่านความคิดออกอีกแล้ว แต่หากจะให้ยอมรับตรงๆก็จะดูเหมือนเขาหลงตัวเองเกินไป เชษฐ์ที่ทอดสายตามองมาจึงยิ้มบางๆ
“อยากให้พูดจริงๆรึ?”
ร่างสูงใหญ่ถามพลางยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้นไล้แก้มของภัทรอย่างแผ่วเบา ภัทรจึงเหลือบตาขึ้นสบกับนัยน์ตาคมตรงๆ แต่เมื่อได้เห็นประกายที่สะท้อนออกมาในดวงตาหลังเลนส์แว่นก็ต้องส่ายหน้า ผิวแก้มบริเวณที่ถูกสัมผัสร้อนวาบราวกับกำลังยืนอังไฟกองใหญ่อยู่
ก็แววตาแบบนั้น...มันเหมือนกับตอนที่อีกฝ่ายมองเขาในห้องอาบน้ำไม่มีผิด
“ไม่ต้องก็ได้ครับ”