ตอนที่ 5เมื่อกี้ผมเห็น...ผมเห็นคนคนหนึ่งที่หน้าเหมือนผม หรือเป็นเพราะคำพูดของไอ้แนนกันแน่ที่ทำให้ผมเห็นภาพหลอน เพราะเมื่อขยี้ตาเพื่อจะมองดูให้ชัดเขาก็หายไปในฝูงชนที่กำลังหลั่งไหลออกจากประตูรถไฟฟ้า ผมส่ายหน้าเล็กน้อย สะบัดเอาความเบลอออกจากหัว วันนี้ผมคงใช้สมองมากเกินไปจนเกิดการเออเร่อ และแน่นอนว่าเรื่องที่ทำให้สมองของผมทำงานหนักก็กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
คุณธนิกนัดเจอกับผมที่สถานีรถไฟฟ้า เขาเกิดเปลี่ยนใจที่จะไม่นั่งรถยนต์ และก็บอกกับผมว่าคงขี่มอเตอร์ไซค์ไปร้านประจำของเขาไม่ได้เพราะทางมันไกลเกินไป เราจึงต้องอาศัยระบบการคมนาคมสาธารณะเพราะสะดวกสบายในการเดินทางมากกว่า อีกทั้งร้านที่จะไปนั้นยังอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าไม่กี่ร้อยเมตร แต่ผมค่อนข้างกังวลใจก็เมื่อเห็นร้านที่เขาพามา มันเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่มีดนตรีสดเล่นคลอเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ให้กับลูกค้า ผมเกรงว่าถ้ามานั่งร้านอย่างนี้เขาคงคิดจะนั่งนาน แล้วก็คงทำให้กลับไม่ทัน รถไฟฟ้าจำกัดเวลาแค่เที่ยงคืน ผมไม่คิดอยากจ่ายค่าแท็กซี่ในการกลับบ้านหรอก เพราะคำนวณระยะทางแล้วคงหมดหลายร้อย
“โต๊ะประจำของพี่” คุณธนิกบอก เปิดทางให้ผมเข้าไปนั่งด้านใน ก่อนเขาจะนั่งลงในฝั่งเดียวกัน ทิ้งโซฟาอีกฝั่งให้ว่างเปล่า
“มาบ่อยเหรอครับ” ผมหันไปถาม ขยับตัวชิดด้านในอีกนิดเมื่อคุณธนิกขยับเข้ามาใกล้
“อืม ค่อนข้างบ่อยนะ”
ผมไม่ถามต่อ แม้จะมีคำถามในใจว่าเขามากับใคร แต่ก็ไม่เสี่ยงทำลายบรรยากาศ
ร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งนี้เป็นร้านที่ให้ความรู้สึกไม่อึดอัดวุ่นวาย เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในร้านเป็นโทนสีน้ำตาล ไม่แน่ใจว่าเลียนแบบไม้จริงหรืออย่างไร แต่ก็ให้อารมณ์เหมือนสร้างจากไม้จริงๆ ผมหันมองรอบตัว มองแสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟระย้า มองนักร้องที่กำลังขับขานเพลงสากลที่ผมไม่ทราบเนื้อความ แต่ฟังแล้วเพราะจับใจ หันมองไปอีกด้านก็เจอสวนสวยๆ ที่มีดอกไม้กำลังผลิบาน อาจเป็นดอกไม้ปลอมก็ได้เพราะสีสันสดสวยจนยากจะคิดว่าเป็นของจริง
“ขวัญดื่มได้ไหม” คุณธนิกที่กำลังสั่งอาหารกับพนักงานหันมาถาม เขาคงตั้งใจมาดื่มอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกพาผมมาร้านนี้
“ก็นิดหน่อยครับ ดื่มได้แต่ไม่มาก” หากเทียบกับไอ้แนนแล้วผมดื่มได้ไม่เก่ง เพราะไม่ได้มีเวลาฝึกปรือซ้อมคอสักเท่าไร เวลาส่วนใหญ่ของผมคือการทำงาน ในสมัยที่ยังเรียนก็ตั้งใจเรียนเพื่อให้น้าลีภูมิใจ น้ารักผม ผมจึงไม่คิดที่จะทำให้น้าผิดหวัง หากไม่คิดอย่างนั้น ตอนนี้ผมคงเป็นลูกไล่ของไอ้วันกับไอ้ทิวไปแล้ว
“คออ่อนเหรอ”
“ครับ” ผมตอบ เห็นประกายบางอย่างในดวงตาเขาเพียงครู่ จากนั้นก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
แววตาที่ราวกับเสือจ้องจะตะปบเหยื่อแบบนั้น ไม่เหมาะที่จะอยู่บนใบหน้าใจดีของคุณธนิกเลยสักนิด
“คออ่อนก็ไม่เป็นไร มากับพี่ ขวัญดื่มได้ พี่ดูแลเอง”
ทำไมผมถึงรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ไม่แน่ใจเลยว่าคุณธนิกจะดูแลผมแบบไหน ถ้าผมเมาจริงๆ เขาจะปล่อยผมไว้ข้างทางไหมก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องกังวล
“ผมเอาน้ำเปล่าดีกว่าครับ” ไม่เสี่ยงเมา อย่างน้อยเซฟตัวเองไว้คงดีที่สุด
“ไม่ได้ มาทั้งที ดื่มเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะครับ” แต่ความคิดเมื่อครู่ก็มีอันตกไปเมื่อเขาทำหน้าอ้อนอย่างที่ผมไม่คิดว่าเขาจะทำ ไฟในร้านก็ไม่ได้สว่างมากนักจึงไม่แน่ใจว่าใช่อย่างที่คิดไหม แต่เขาดูอ้อนมากจริงๆ เสียงก็ทุ้ม มือก็ไล้เบาๆ ที่แก้มของผม มันทำให้ผมเคลิ้มตามได้ไม่ยาก
“ก็ได้ครับ แต่นิดเดียวนะ”
“ครับ ขวัญเป็นเด็กดีจัง”
เขาขยับหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้มากพอที่ริมฝีปากของเขาจะแนบชิดลงมาที่แก้มของผม เขาทำอย่างแผ่วเบา เขาทำเหมือนเป็นธรรมชาติเลย ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมตกใจมากผมยอมรับ แต่ไม่ได้รู้สึกไม่ดี ไม่มีความรู้สึกแย่แม้แต่น้อย ผมก็แค่ตกใจที่อยู่ๆ ก็โดนหอมแก้ม
“คุณธนิกครับ คือ...ผมว่าเราใกล้กันมากไป แล้วก็อย่าทำอีกนะครับ มันแปลกๆ”
เขานั่งเบียดผม ไม่เหลือช่องว่างระหว่างเรา มือของเขาก็ฉวยโอกาสมากอดรอบเอวของผมไว้
“ขวัญไม่ชอบเหรอ พี่ขอโทษนะ” เขาทำหน้าสำนึกผิด แต่เขาไม่ได้ขยับออกห่างหรือปล่อยตัวผม
“ไม่ใช่ไม่ชอบครับ แต่มันไม่ดีเลย”
“อย่าคิดมาก ปล่อยไปตามที่มันควรจะเป็นนะ”
อะไรคือที่มันควรจะเป็น ณ วินาทีนั้นผมไม่รู้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหล้ารสดีราคาแพงที่เขาป้อนให้ผม แก้วแล้วแก้วเล่าก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ควรจะเป็นนั้นคืออะไร
คุณธนิกทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิดหลายเรื่อง เขาฉวยโอกาส แต่ทั้งๆ ที่ผมรู้ ผมก็ไม่ได้ห้าม ริมฝีปากของเขาคลอเคลียไม่ห่าง ทั้งแก้มและริมฝีปากของผมถูกเขาสัมผัสทีเผลออยู่หลายครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าจะมีลูกค้าโต๊ะอื่นสังเกตบ้างไหมในสิ่งที่เราทำกันอยู่ แต่ก็ดูเหมือนว่าคนรอบข้างก็ทำไม่ต่างกัน โต๊ะที่มุมนั้น หรือโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปสองช่วงตัว ดูเหมือนจะแสดงความรักยิ่งกว่าที่คุณธนิกทำกับผมมากกว่าด้วยซ้ำ
ผมนั่งฟังเพลง หลับตาแล้วพิงหัวกับไหล่ของเขา ส่วนเขาก็เอาแต่ไล้มือวนที่เอวของผม อีกมือก็ถือแก้วพลางยกขึ้นกระดกไปหลายครั้งหลายครา
คุณธนิกเมาหรือยัง แล้วสิ่งที่เขาทำ มันเป็นเพราะเขาเมาหรือไม่ ผมเอาแต่ตั้งคำถามอยู่ในใจ
“ขวัญพัฒน์” เขาเรียกผม น้ำเสียงแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง “คืนนี้ค้างกับพี่นะ”
“ค้างเหรอครับ” ผมทวนคำ สมองประมวลผลช้าเพราะน้ำเมาที่ได้รับเข้าไปมากพอประมาณ “ไม่ดีกว่าครับ ผมต้องกลับบ้าน ไอ้หลงนอนคนเดียวไม่ได้ มันกลัวผี”
ผมเข้าใจความหมายที่เขาชวนค้าง และเข้าใจดีว่าหากผมตอบตกลง ผมคงไม่รอดเงื้อมมือของเขา เพราะแค่ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวผมก็ถูกเขาสัมผัสแทบจะทุกส่วน
“อย่าครับคุณธนิก ทำแบบนี้ไม่ดีครับ” มือของคุณธนิกเคลื่อนลงต่ำจนผมต้องหยุดไว้ ผมให้เขาสัมผัสมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นคนที่แย่ก็คือผม
เขาไม่ว่าอะไร หยุดมือตามนั้น แต่แขนของเขากระชับตัวผมให้เข้าหา ให้แนบชิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ดื่มอีกหน่อยสิ”
“ไม่ครับ มากกว่านี้ผมคงไม่ไหว”
“ตามใจพี่หน่อยนะครับ” เขากระซิบข้างหู สิ้นเสียงกระซิบตัวผมก็ร้อนวาบเมื่อลิ้นร้อนของเขากำลังคลอเคลียอยู่ตรงนั้น “พี่เป็นผู้ชายขี้เหงา คืนนี้พี่อยากอยู่กับขวัญ ขวัญอยู่กับพี่ ตามใจพี่นะครับ ดื่มอีกหน่อยนะ”
“แต่ว่า...”
เป็นสถานการณ์ที่ผมปฏิเสธได้ยาก เพราะแม้จะได้ยินคำเตือนของไอ้แนนดังมาจากที่ไกลๆ ในหัวแต่ผมก็ยังโอนอ่อนตามเขาไป หัวใจของผมกลับถูกเขาควบคุมได้ง่ายๆ แค่เพราะถ้อยคำหวานไม่กี่คำ
“พี่ชอบขวัญ ชอบมากครับ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ไม่มีเหตุผลจะเล่นตัวอีกต่อไป คุณธนิกกำลังป้อนคำหวานให้ผมตายใจ สัญญาณอันตรายเตือนอยู่ในหัวของผม แต่ผมกลับเมินสัญญาณนั้นแล้วก้าวลงไปในกับดักของเขา
ผมจะมีสติพอที่จะหลบเลี่ยงเขาได้ไหม ในเมื่อตอนนี้หัวใจของผมกองอยู่แทบเท้าของเขาแล้ว
“ก็ได้ครับ คุณธนิกป้อนผมหน่อยสิครับ”
คำพูดของผมคงทื่อแสนทื่อ อยากทำเสียงให้ฟังดูเซ็กซี่สักนิด แต่ผมก็คิดไม่ออกว่าต้องทำแบบไหน อีกอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอาแต่คิดอยากทำตัวเซ็กซี่ต่อหน้าคุณธนิก ทั้งๆ ที่รูปร่างของผู้ชายอย่างผมและเสื้อผ้าที่สุดเชยชุดนี้ใกล้เคียงกับคำว่าเฉิ่มที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้
“ให้พี่ป้อนไปจนเช้านะครับ”
“ร้านเปิดจนถึงเช้าเหรอครับ”
แน่อยู่แล้วว่าผมแกล้งถาม ถึงผมจะจบแค่มัธยมปลาย แต่ผมก็รู้กฎหมายพื้นฐานอยู่พอสมควร ร้านอาหารกึ่งบาร์โดยส่วนมากแล้วจะเปิดให้บริการถึงเที่ยงคืน
“เด็กโง่” เขาอมยิ้ม แววตาเจ้าเล่ห์ราวกับหมาป่าออกล่าเหยื่อ “ต้องไปต่อที่ห้องพี่สิครับ พี่มีคอนโดฯ อยู่ใกล้ๆ”
“แต่ผมอยู่นานไม่ได้ ไอ้หลงจะแย่เอา ถ้าผมไม่กลับบ้าน มันต้องเหงาแน่ๆ”
“ขวัญพัฒน์” น้ำเสียงที่เรียกอ่อนโยน รอยยิ้มที่มอบให้ก็น่ามอง สายตาที่มองก็หวานซึ้ง “พี่ก็เหงานะครับ”
เหมือนมีศรรักหลายพันดอกกำลังกระหน่ำแทงหัวใจของผม ผมไม่เคยเจอผู้ชายแบบคุณธนิกมาก่อนเลย ทำไมเขาถึงชอบพูดแต่คำที่น่าฟังกันนะ ไอ้แนนตอนที่จีบกับเมียมันก็ยังด่ากันเช้าเย็น คำหวานๆ ไม่เคยมีต่อกัน จนผมเข้าใจเอาเองว่าคู่รักอาจเริ่มต้นด้วยการเป็นคู่กัด เข้าทำนองยิ่งกัดก็ยิ่งรัก แล้วถ้าหากผมกับคุณธนิกเริ่มต้นกันแบบนี้ สุดท้ายแล้วเราจะจบลงด้วยการเป็นคู่รักได้ไหมนะ ผมมีความกลัวอยู่ในใจเต็มไปหมด แต่ศรรักของคุณธนิกก็ปักลึกลงมาทุกที ทุกคำพูด ทุกถ้อยคำของเขาเหมือนแรงผลักให้ลูกศรนั้นไม่ถูกความกลัวของผมผลักไส
“แต่ผมต้อง... อื้อ...” คำพูดของผมกลืนหายไปในลำคอ เพราะผ้าเช็ดหน้าสีดำที่อยู่ในมือของคุณธนิกปิดตรงจมูกของผม กลิ่นฉุนที่ปะปนกับน้ำหอมราคาแพงนั้นทำให้ผมเบ้หน้า ผมเผลอสูดเข้าไปด้วยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ขวัญพัฒน์” เสียงของคุณธนิกดังขึ้นใกล้ๆ ใบหน้าของเขาอยู่ห่างไปไม่มาก แววตาที่ผมไม่เคยเข้าใจความหมายดูอันตรายอย่างไม่เคยเห็น “พี่ไม่ชอบเด็กดื้อ”
ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า ที่ลำคอก็ไม่ต่างกัน รู้สึกมึนงงเล็กน้อย กลิ่นฉุนนั้นยังคงติดจมูก “คุณธนิกครับ เมื่อกี้คุณธนิกทำอะไร...”
“พี่แค่เช็ดหน้าให้ ขวัญดื่มอีกหน่อยนะ สีหน้าไม่ดีเลยนี่” เขายกแก้วขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากของผม “พี่ป้อนนะ ดื่มครับ”
ผมเวียนหัว ยิ่งน้ำสีอำพันที่ไหลผ่านคอลงไปก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี ความร้อนปะทุขึ้นทั่วใบหน้า จนผมแทบทรงตัวไม่ไหว
“เป็นอะไรไป รู้สึกไม่ดีเหรอ” รอยยิ้มของคุณธนิกไม่น่ามองเลยแม้แต่น้อย “งั้นกลับห้องกับพี่นะ ขวัญคงอยากพัก”
“ผมไม่ไปครับ ผมไม่ไปนะครับ ผมจะกลับบ้าน ไอ้หลงรอผมอยู่ ผมจะกลับบ้านครับคุณธนิก ให้ผมกลับบ้านนะครับ...”
คำขอร้องของผม แม้จะพูดออกไปกี่ครั้ง แต่คุณธนิกทำราวกับไม่ได้ยินมันเลย
.
.
.
เพื่อนเวร: ไอ้ขวัญ ไอ้เพื่อนเหี้ย ไม่รับสายกู มึงปล่อยไอ้หลงนอนหน้าบ้านได้ยังไงกัน หายหัวไปไหนของมึงเนี่ย เห็นข้อความกูแล้วตอบด้วยเว้ย
ธนิกโยนโทรศัพท์มือถือราคาถูกลงบนโซฟาหลังจากที่อ่านข้อความจบแล้วจัดการปิดระบบเพื่อตัดการรบกวน รูปหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้ม ก่อนเสียงหัวเราะในลำคอจะดังขึ้นคลอไปกับเสียงดนตรีคลาสิคที่กำลังบรรเลงท่วงทำนอง เขาส่ายหัวเล็กน้อยไปตามจังหวะ ส่งเสียงฮึมฮัมเป็นทำนองเพลง ในขณะที่สายตาก็ทอดมองไปยังเรือนร่างของคนที่กำลังพยายามลุกขึ้นจากเตียงใหญ่ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เจ้าตัวพยายามเค้นออกมา
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่า” เขาบอกเสียงนุ่มพลางลุกขึ้นเดินไปใกล้ แค่เพียงออกแรงสะกิดที่ไหล่ ขวัญพัฒน์ก็ล้มลงไปบนเตียงไม่เป็นท่า
“ผมจะกลับบ้าน คุณธนิกให้ผมกลับบ้านนะครับ” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนช่างพยายามสร้างเสียงหัวเราะให้กับธนิก เขาส่ายหน้า ก้มลงมองให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน ใบหน้านี้คือใบหน้าที่อยู่ในฝันร้ายของเขา อยู่ในความคำนึงหาอยู่แทบทุกขณะที่หายใจ เพราะแม้จะเป็นฝันร้าย แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นฝันดี
“มองพี่ตาเยิ้มขนาดนี้ จะให้กลับได้ยังไงกันครับ” ธนิกถามเสียงนุ่ม มองใบหน้าของคนดื้อรั้นด้วยความชอบใจ แม้จะแทบไม่มีแรง แต่ก็ยังพยายามจะต่อสู้
น่ารัก น่ารักมากๆ เพราะอย่างนี้เขาถึงต้องใช้วิธีสกปรกเพื่อพามาที่ห้อง ไม่งั้นคงหมดแรงไปกับการยื้อยุดฉุดกระชากเด็กหนุ่มสุขภาพดีอย่างขวัญพัฒน์ที่คงมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ แต่แค่เพียงสารระเหยกลุ่มไนไตรท์เพียงนิดที่ให้สูดดมเข้าไปก็ทำให้เด็กหนุ่มที่เปรียบเหมือนม้าพยศทำตัวเชื่องขึ้นมา ขวัญพัฒน์หน้าแดงก่ำ ไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืน เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าจะกลับบ้าน แต่มีหรือที่เขาจะปล่อยให้กลับง่ายๆ
ธนิกได้ตัวมาแล้ว และเขาจะไม่ปล่อยจนกว่าจะได้ทำตามต้องการ
“คุณธนิกทำแบบนี้ทำไมครับ” ขวัญพัฒน์ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่แทบหมดเรี่ยวแรง มันแผ่วเบา แทบถูกกลบด้วยเสียงเพลงจากเครื่องเล่น แต่คนถูกถามคงได้ยิน เขาจ้องมอง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่คนมองไม่สามารถเข้าใจได้ เขาเปิดเผย แต่กลับดูไม่มีความจริงอยู่ในนั้น
“เพราะพี่ชอบขวัญ” ธนิกนั่งลงเคียงข้าง ยกมือขึ้นไล้ไปตามผิวแก้มของเด็กหนุ่มที่มองเผินๆ เหมือนจะชักจูงได้ง่าย แต่ที่จริงกลับไม่ง่ายอย่างใจคิด จนต้องใช้ลูกเล่นทำให้โอนอ่อนตาม “แล้วพี่ก็รู้ว่าขวัญชอบพี่ แต่ขวัญก็แค่ยังไม่แน่ใจในตัวพี่ ก็เลยเอาแต่ปฏิเสธ คืนนี้พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอะไรที่ขวัญไม่ชอบ พี่่จะทำแต่สิ่งที่ขวัญชอบนะครับ”
ขวัญพัฒน์ได้แต่ตะโกนต่อว่าคนขี้โกงที่ไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไรได้อยู่ในใจ เพราะตอนนี้ถูกริมฝีปากของเขาปิดกั้นความไม่สมัครใจเสียแล้ว ธนิกบดจูบลงมาอย่างเอาแต่ใจ ไม่มีจังหวะให้ได้ทันตั้งตัว มือนั้นยกขึ้นทุบที่อกของเขาไม่เต็มแรงนัก ฤทธิ์ของสิ่งแปลกปลอมที่เคยสูดดมกำลังเล่นงานให้ทำตัวว่าง่าย แค่เพียงถูกมือใหญ่หยุดการกระทำนั้นไว้ ขวัญพัฒน์ก็หยุดกระทำในทันที เปลี่ยนการทุบตีเป็นการลูบไล้ไปตามมัดกล้ามสมชายชาตรีของเขา
“ชอบใช่มั้ย” เขากระซิบถาม แววตารักใคร่ “ชอบพี่มากใช่มั้ยครับ”
ขวัญพัฒน์ไม่ตอบ ได้แต่หอบหายใจ ร่างกายที่ถูกเขากระตุ้นกำลังทรยศความต้องการที่จะถอยห่าง ความร้อนลามเลียไปทั่วร่าง ติดตามไปยังทุกที่ที่ถูกฝ่ามือของเขาสัมผัส
“คุณธนิก...” เสียงนั้นเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา ความยั้งคิดหลุดลอยไปไกล คงหนีหลบไปพักร้อนอย่างไม่หวนกลับมาในหนึ่งหรือสองนาทีนี้เป็นแน่ อาภรณ์ที่เป็นปราการกั้นจึงถูกถอดทิ้งโดยไร้การขัดขืน ขวัญพัฒน์ทำตัวว่าง่าย นอนตัวแดงก่ำเปลือยเปล่ารอการถูกลิ้มลอง
“ขวัญพัฒน์” ธนิกเอ่ยเสียงพร่า เขามองสำรวจ สายตาโลมเลียเปิดเผย แต่คนถูกมองกลับลืมสิ้นความอาย ขวัญพัฒน์ใช้ดวงตาฉ่ำเยิ้มไปด้วยความต้องการมองกลับอย่างเชิญชวน เขาจึงไม่รอช้า ปลดกระดุมเสื้อที่สวมใส่แล้วถอดทิ้งอย่างไม่ใยดี จากนั้นอีกไม่กี่วินาทีแผงอกกำยำน่ามองก็เผยให้เห็น
“งู” ขวัญพัฒน์ว่าเสียงเบา ไล้นิ้วไปตามรูปสัตว์ร้ายที่อยู่บนผิวกายชายตรงหน้า มันแผ่แม่เบี้ยสวยสง่าอยู่บนท้องด้านซ้าย พาดหางไปตามกล้ามเป็นลอนสวย
“ระวังโดนกัดนะครับ” ธนิกเตือน จับนิ้วซุกซนขึ้นมาพลางใช้ลิ้นตวัดชิม “งูตัวนี้ชอบกัดคนน่ารัก”
“อื้มม..ม..ม” ขวัญพัฒน์ไม่อาจละสายตาจากภาพหยาบโลนตรงหน้า นิ้วแทบทุกนิ้วถูกทำให้ชุ่ม ริมฝีปากของธนิกครอบครองแทบทุกนิ้ว ในโพรงปากนั้นอุ่นร้อน สร้างความวาบหวามที่มีอยู่มากเป็นทุนเดิมให้ยิ่งมากเป็นทวีคูณ
“ทำเสียงน่ารัก ก็จะโดนกัดที่อื่นด้วยนะ”
สิ้นคำเตือนของธนิก ลำคอขาวก็ถูกงับ ขวัญพัฒน์เผลอร้องเมื่อถูกลิ้นร้อนดุนดันตามแรงอารมณ์ ชายหนุ่มดูดชิมรสเนื้อหวาน ครั้งแล้วครั้งเล่าจนขึ้นรอยสีกุหลาบ แต่ราวกับไม่พอใจแค่นั้น ริมฝีปากร้ายเคลื่อนลงต่ำ งับลงบนผิวกาย สร้างรอยไปตลอดทางที่ผ่าน เสียงดูดดุดันดังคลอไปกับเสียงครางหวานจากขวัญพัฒน์
“อืมม..ม อ้ะ อ่า...”
หากเปรียบขวัญพัฒน์เป็นขนมหวานก็คงเป็นสายไหมที่แค่ถูกปลายลิ้นสัมผัสก็พร้อมจะละลาย ปลายลิ้นของธนิกไล้วนไปแทบทุกส่วน ไม่เว้นพื้นที่ส่วนไหนไว้ให้เกิดความเสียดาย เขาชิมตรงนั้น กัดตรงนี้ จนขวัญพัฒน์เสียวซ่านไปทั่วร่าง มือไม้ป่ายปัด จัดวางแทบไม่ถูก สุดท้ายก็ยกขึ้นโอบรั้งร่างกำยำของเขาไว้ นี่คงเป็นที่ที่ถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อขวัญพัฒน์ทำเช่นนั้น เขาก็มอบจูบแสนหวานให้เป็นรางวัล
“ชอบมั้ยครับ” เขาเอ่ยถาม ทำให้ชอบยิ่งขึ้นด้วยการละเลียดชิมเม็ดทับทิมสีเนื้อ ข้างหนึ่งถูกนิ้วบีบขยี้ ส่วนอีกข้างถูกลิ้นร้อนของเขาหยอกเอิน
“อาา..า..า”
ขวัญพัฒน์ไม่อาจปฏิเสธว่ากำลังรู้สึกดีเพียงใดกับสัมผัสที่ช่ำชองนี้ มันมากกว่าคำว่าชอบ มากจนไม่มีคำไหนมานิยามความรู้สึกในตอนนี้ได้ ร่างนั้นบิดพลิ้วตามทิศทางที่ถูกเขาชักนำ เขาพาไปซ้ายขวัญพัฒน์ก็ไปซ้าย ให้เปลี่ยนไปทางขวาขวัญพัฒน์ก็ไม่รีรอ เขาทำให้แทบคลั่ง ทำให้ขวัญพัฒน์ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดเว้นแต่เสียงครางแผ่วที่เล็ดลอดออกมา
“แม้แต่เสียงครางก็ยังเหมือน” น้ำเสียงของธนิกแหบพร่า แววตาเต็มไปด้วยความต้องการ “เรียกชื่อพี่หน่อยครับ”
“คุณธนิก” ขวัญพัฒน์ส่งเสียงเรียก ยื่นมือออกมาตรงหน้าราวกับกำลังไขว่ขว้าหาเจ้าของชื่อ ก่อนจะถูกมือใหญ่กุมไว้
“แค่เวลาที่ถูกพี่กอด ต้องเรียกว่าพี่ธนิกนะครับ” เขาสั่ง สีหน้าอ้อนวอนราวกับจะขาดใจหากขวัญพัฒน์ไม่เอ่ยปากเรียก
“พี่ธนิก” เสียงของขวัญพัฒน์สั่นเครือเล็กน้อย “พี่ธนิกครับ”
หัวใจของธนิกสั่นไหว เขาหลับตาลงเพียงครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองคนใต้ร่าง แววตาที่ขวัญพัฒน์ไม่เคยตีความได้ปรากฎร่องรอยแห่งความปวดร้าว “เรียกอีกสิ”
“พี่ธนิก”
“ขอบคุณครับ” เขากระซิบเสียงนุ่ม จูบผะแผ่วลงบนแก้มขวัญพัฒน์ “ให้พี่ทำนะครับ พี่อยากให้เรารู้ว่าพี่รู้สึกกับเรามากแค่ไหน”
ขวัญพัฒน์ไม่ได้เอ่ยอนุญาต แต่คนขอกลับรีบแสดงความรู้สึก ไม่รอแม้แต่การพยักหน้ายินยอม ขวัญพัฒน์ถูกเขาพร่ำคำรักอย่างเร่าร้อน บรรเลงทำนองตามจังหวะเพลงที่เปลี่ยนไป ห้องทั้งห้องเหมือนดั่งโลกทั้งใบของคนทั้งสอง ขวัญพัฒน์ถูกปรนเปรอ ถูกบอกรัก ถูกครอบครองจากคนที่ทำราวกับเป็นเจ้าของมาช้านาน เขาทำราวกับว่ารู้จักทุกส่วนบนร่างกายของขวัญพัฒน์เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะสัมผัสตรงไหนก็สร้างความหฤหรรษ์ได้อย่างประหลาด เขาพาขวัญพัฒน์ไปแตะถึงบันไดสวรรค์ แต่แค่เพียงไม่นาน ถ้อยคำที่ดังจากปากของเขา ถ้อยคำกระซิบรักที่ทำให้ขวัญพัฒน์พยายามถอยหนีจากเขา แต่กลับถูกตรึงไว้ด้วยแรงที่เหนือกว่า ถ้อยคำที่กรีดแทงและนำพาให้ดิ่งลงสู่พื้นด้วยความเร็วสูง
ถ้อยคำที่ว่าคือคำรักที่เขาบอกออกมาพร้อมกับชื่อของคนอื่น...
ขิม...............................ต่อด้านล่าง..............................