สนามบินสุวรรณภูมิมีผู้คนบางตากว่าช่วงวันหยุด แต่ก็ยังถือว่าเยอะ เมื่อเทียบกับความอลังการของตัวสนามบินอันเป็นที่เชิดหน้าชูตา ชายหนุ่มสองคนที่แต่งกายด้วยชุดสูท เพราะเพิ่งเดินทางออกมาจากบริษัท และตรงมาที่สนามบินเลย กำลังนั่งจิบกาแฟฆ่าเวลาอยู่ที่ร้านกาแฟ สายตาก็คอยมองจอมิเตอร์สลับกับฟังประกาศจากสนามบิน
เป็นเรื่องปกติสำหรับนักธุรกิจหนุ่มอย่าง เขตแดน เกียรติณรงค์ ที่ต้องเดินทางติดต่อธุรกิจอยู่เสมอ เขตแดน เกียรติณรงค์จึงคุ้นเคยกับสนามบินสุวรรณภูมิเป็นอย่างดี ชายหนุ่มจิบกาแฟสลับกับกวาดสายตาดูผู้คนที่เริ่มพลุ่กพล่าน ระหว่างรอเครื่องบินที่กำลังเดินทางมาจากนิวยอร์ก และแวะเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่น ซึ่งกำลังจะลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิตามกำหนดการ
“เครื่องลงเรียบร้อยแล้วครับ คุณเขตต์” เวธน์เดินกลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากดูที่หน้าจอมอนิเตอร์อีกรอบ แล้วพบว่าไฟลท์ที่กำลังรออยู่เดินทางมาถึงเรียบร้อย คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างรอสัมภาระและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
เขตแดนพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาและเวธน์จะเคลื่อนย้ายตัวเองมายืนรอบริเวณผู้โดยสารขาเข้า ผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินผ่านทำเอาเขตแดนชะงัก ถึงจะรู้จักกับธรณ์ อิสรพัฒน์มากกว่าค่อนชีวิต เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย แต่ล่าสุดที่พบปะเห็นหน้าค่าตากันก็ตอนสมัยที่เขายังเรียนอยู่อังกฤษ นี่ก็ผ่านมาเกือบหกปีแล้ว ที่ผ่านมาก็เห็นแต่รูปที่เวธน์คอยรายงาน ซึ่งเห็นชัดเจนว่าต่างจากความทรงจำครั้งสุดท้ายของเขา มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาถึงตัวจริงของอีกฝ่าย
“นายจำหน้าเขาได้ใช่ไหม?” เขตแดนถามคนสนิท
ถึงแม้ว่าปกติเขตแดนจะติดต่อกับธรณ์อยู่เสมอ แต่เขาพยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อโดยตรง เพราะรู้ดีว่าระหว่างเขากับอีกฝ่ายมีกำแพงที่ขวางอยู่ จนยากที่จะปีนข้าม ชายหนุ่มจึงมอบหมายให้เวธน์เป็นคนดำเนินการแทน และเวธน์เองก็เคยเดินทางไปพบธรณ์ที่นิวยอร์ก เท่ากับว่าก็เคยเห็นตัวจริงของธรณ์มาแล้ว
“หล่อแบบคุณธรณ์ ผมจำติดตาเลยครับ มิน่า...อยู่ที่นิวยอร์กถึงมีสาวควงอยู่ตลอด”
ผู้โดยสารเดินออกมาจากเกทคนแล้วคนเล่า ทั้งชาวไทยที่กลับมาบ้านเกิดและชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยว แต่เขตแดนและเวธน์ก็ยังคงไม่เห็นบุคคลที่พวกเขามารอรับ จนชายหนุ่มเผลอนิ่วหน้า ก่อนจะเอ่ยปากถามกับคนสนิทอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
“ฉันกับนายคลาดสายตา หรือว่าเขาเปลี่ยนไฟลท์กระทันหันหรือเปล่า?”
เพราะรู้ดีว่าคนที่มารอรับมีลูกล่อลูกชนแพรวพราว และแน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องรู้ดีแน่นอนว่าเขาเช็ครายละเอียดเที่ยวบิน และถือวิสาสะมารับโดยไม่บอกกล่าว จึงอาจจะเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเปลี่ยนไฟลท์เพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขา
“ไม่นะครับ ผมยังไม่เห็นคุณธรณ์ออกมาเลย ส่วนเรื่องไฟลท์ ผมก็เช็คละเอียดหลายรอบแล้วนะครับ ล่าสุดเมื่อเช้าก็เช็คแล้ว มีชื่อคุณธรณ์เดินทางมาด้วยแน่นอน นั่นไงครับคุณเขตต์!!” เวธน์อุทาน พร้อมกับที่เขตแดนมองเห็นผู้ที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาเดินมาพอดี
ชายหนุ่มสามคนเดินเคียงกันออกมา ดึงดูดทุกสายตาของผู้คนที่มารอรับ ยิ่งชายหนุ่มคนที่เดินอยู่ตรงกลาง แม้ว่าจะสวมแว่นกันแดดบดบังดวงหน้ากว่าครึ่ง และมีหมวกสีดำปกคลุมศีรษะ แต่ก็พอดูออกว่าหน้าตาหล่อจัด ผิวขาวอย่างคนที่อยู่เมืองหนาวมานาน เป็นสีระเรื่อเพราะความร้อนของประเทศบ้านเกิด และเหมือนเจ้าตัวก็จะรู้ถึงสภาพอากาศที่แตกต่าง จึงสวมเพียงแค่เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงลายทหารสี่ส่วน
อีกสองหนุ่มที่เดินประกบเหมือนคอยคุ้มกัน ก็แต่งกายลักษณะเดียวกัน ทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน เสียงฮือฮาก็ดังเกรียวกราว เพราะเผลอคิดว่าอาจจะเป็นศิลปินจากประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาพักผ่อน
“คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคือคุณธรณ์ครับ แล้วก็คุณชินดนัยกับมิสเตอร์อเล็กซ์ขนาบข้าง โชคดีนะครับ ที่ไม่ได้พาลูกเมียกลับมาด้วยอย่างที่คุณเขตต์ว่า” เวธน์ยังอุตส่าห์มีอารมณ์ขำ หยิบยกเอาถ้อยคำที่เขตแดนเคยกล่าวกลับมายอกย้อน จนชายหนุ่มต้องตวัดสายตาเป็นเชิงปราม
พอกลุ่มชายหนุ่มสามคนเดินมาถึงบริเวณที่เขตแดนยืนอยู่ นักธุรกิจหนุ่มก็ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักทายคนที่เพิ่งเดินทางกลับมาบ้านครั้งแรก นับจากเดินทางออกนอกประเทศตอนอายุสิบห้า
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ธรณ์ อิสรพัฒน์!!” เขตแดนเอ่ยเน้นนามสกุลอีกฝ่ายชัดเจน หมายจะเตือนว่า ที่นี่คือประเทศไทย ชื่อเสียงและความเป็นอิสรพัฒน์คือสิ่งที่ทายาทคนเดียวพึงรักษา
มือขาวขยับถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาเรียวที่แฝงความเย็นชามองสบประสานมา ก่อนจะเอ่ยด้วยภาษาแม่ที่ช้าและชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่าจะอยู่ต่างประเทศมานาน
“นับว่าเป็นเกียรติสำหรับธรณ์ อิสรพัฒน์เหลือเกิน ที่ท่านประธานบริษัทอิสระคอนสตรัคชั่นอุตส่าห์สละเวลามารับผมด้วยตัวเอง”
ดวงตาสองคู่จ้องมองกันนิ่ง เหมือนจะหยั่งเชิงของแต่ละฝ่าย ประเมิณกันและกัน เป็นเวลานานที่ความอึดอัดครอบคลุมทั่วบริเวณ จนชินดนัยต้องเป็นฝ่ายทำลายความอึดอัดด้วยการแนะนำตัวเอง แม้ว่าจะเป็นการเสียมารยาท
“ผม...ชินดนัย จิรวงศ์ เป็นเพื่อนสนิทของธรณ์ครับ”
“อ๋อ...ลูกชายของท่านนายพลชานนท์นั่นเอง ผมเองก็เคยพบกับคุณพ่อของคุณอยู่หลายที ฝากสวัสดีท่านด้วยแล้วกัน” เขตแดนเบือนสายตามาทางชายหนุ่มอีกคน “นี่ก็คงเป็นมิสเตอร์อเล็กซ์ คาร์เตอร์ ยินดีที่รู้จักครับ ผมเขตแดน เกียรติณรงค์”
“เดี๋ยวผมกับอเล็กซ์ขอตัวก่อนละกันครับคุณเขตแดน” ชินดนัยเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าตนถึงเจ็ดปี แล้วสองหนุ่มจึงหันมาสวมกอดเพื่อนรัก “แล้วเดี๋ยวกูค่อยติดต่อหามึงอีกทีละกัน”
ธรณ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ หากสายตายังคงจับจ้องเขตแดนนิ่ง ระหว่างชายหนุ่มสองคนเหมือนมีม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่ แต่มันคงกินเวลานานจนก่อตัวเป็นกำแพงหนา
สำหรับธรณ์แล้ว เขตแดนก็คือผู้ชายที่พ่อของเขาชื่นชมและยกย่องมากกว่าลูกชายคนเดียวอย่างเขา พ่อของเขาส่งเสียเขตแดนเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ ดันเข้ารับตำแหน่งประธานบริษัท ซึ่งถือว่าข้ามหน้าข้ามตาธรณ์ที่เป็นลูกชายคนเดียวอย่างมาก แต่ก็นั่นแหล่ะ...เขายังเคยนึกสงสัยครามครันว่า พ่อเคยเห็นเขาเป็นลูกหรือเปล่า เหมือนที่พ่อแต่งงานกับแม่แค่เพราะต้องการทายาท
====================
รถยนต์คันหรูแล่นออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ จุดหมายปลายทางคือบ้านเดี่ยวชานเมือง หลังจากที่ชายหนุ่มนักเรียนนอกประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า ต้องการพบ ‘ลุงคราม’ มากกว่าจะกลับบ้านของตนเอง ธรณ์นั่งเอนหลังพิงพนัก ปิดเปลือกตาลงราวกับจะตัดตัวเองออกจากความวุ่นวายรอบด้าน เวธน์ลอบมองผ่านมองกระจกหลังแล้วก็รู้สึกอึดอัดแทนแต่ละฝ่าย
ความสัมพันธ์ระหว่างเขตแดนและธรณ์ เป็นความอึดอัดที่บ่มเพาะมาเนิ่นนาน ตั้งแต่สมัยที่แต่ละคนยังอายุน้อยอยู่ แรกเริ่มเดิมทีก็เป็น ‘พี่เขตต์’ และ ‘น้องธรณ์’ เพราะรู้จักกันมานาน จนกระทั่ง...
คุณธีรยุทธ อิสรพัฒน์เริ่มที่จะเอ็นดูและผลักดันเขตแดนอย่างออกนอกหน้า หลังจากที่คุณสงครามหย่าร้างกับภรรยา ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหนุ่มสองคนจึงเริ่มเย็นชา เด็กชายวัยหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างธรณ์เริ่มตีตัวออกห่างคนที่ ‘เคย’ นับถือประหนึ่งพี่ชาย และยิ่งหนักข้อมากกว่าเดิม เมื่อธรณ์เริ่มต่อต้านพ่อตัวเองหลังจากที่มารดาเสียชีวิต และเขตแดนก็รับรู้แต่วีรกรรมร้ายกาจของธรณ์ จนภาพของเด็กชายตัวน้อยที่เคยวิ่งตามเขา เลือนหายจากความทรงจำตามวันและเวลา
“ลุงครามสบายดีหรือเปล่า?” คำถามหลุดออกมาจากริมฝีปากของคนที่ทำเสมือนว่ากำลังนอนหลับ
เขตแดนนิ่งเงียบเสีย เพราะเขาคิดว่าเจ้าตัวคงจะพูดกับตนเอง ส่วนเวธน์ก็เอาแต่ขยับตัวอย่างอึดอัด
“ผมถาม...”
“ถ้าต้องการจะถามใครก็ควรเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วย ฉันอายุมากกว่านายเจ็ดปี หวังว่าคงจะรู้มารยาท” เขตแดนตอบเสียงเรียบ ไม่นำพากับอาการหงุดหงิดงุ่นง่านของอีกฝ่าย ที่เขาเหมาเอาว่าเป็นอาการของเด็กพาล
“คุณเขตแดน...ลุงครามสบายดีหรือเปล่า”
“ก็ดี มีความสุขกับสวนที่บ้านแล้วก็หมาเหมือนคนแก่คนอื่น”
สำหรับธรณ์แล้ว คุณสงคราม เกียรติณรงค์คือทุกสิ่งทุกอย่างของเขารองจากมารดา ‘ลุงคราม’ ที่เป็นเพื่อนสนิทและคนสนิทของพ่อ แต่เอาใจใส่และดูแลเขายิ่งกว่าพ่อของเขาเอง จนชายหนุ่มนับถือและรักคุณสงครามยิ่งกว่าคุณธีรยุทธ พ่อของเขา
บ้านเดี่ยวชานเมืองที่มีสวนล้อมรอบ คือสถานที่ที่ธรณ์เคยมาวิ่งเล่นสมัยเด็ก หรือมาหาลุงครามอยู่เสมอด้วยความคิดถึง ก่อนที่จะถูกพ่อเตะโด่งออกนอกประเทศหลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง และแม้กระทั่งวันที่เขาเดินทางไปเรียนต่อ ก็ยังมีแค่ลุงครามที่เดินทางมาส่งที่สนามบิน
พอเห็นร่างสูงที่คุ้นตากำลังยืนรดน้ำอยู่ตรงสวนหน้าบ้าน ดวงตาเรียวก็เปล่งประกายด้วยความยินดี ก่อนจะเลือนหายกลับมาราบเรียบดังเดิม เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจับตามองจากผู้ร่วมทาง
ธรณ์เคยคิด...บางทีคุณธีรยุทธอาจจะอยากได้เขตแดนเป็นลูกมากกว่า เหมือนที่เขาเองก็อยากได้ลุงครามเป็นพ่อมากกว่า
พอรถจอดสนิท ชายหนุ่มก็ถลาลงจากรถตรงเข้าสวมกอดลุงครามของเขาทันที จากเด็กชายตัวน้อย ธรณ์เติบใหญ่จนสูงกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย เด็กชายธรณ์ที่เคยเกาะขาลุงคราม กำลังยืนกอดลุงครามของแน่นด้วยความรักและความคิดถึง สมกับที่จากกันนานถึงเกือบเจ็ดปี
“ลุงคราม ธรณ์กลับมาแล้วครับ”
ชายสูงวัยสวมกอดเด็กหนุ่มที่เขารักเหมือนลูก ซึ่งโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วอย่างแนบแน่น แทนความคิดถึง แทนความห่วงหา
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะธรณ์ เรียนจบแล้วก็กลับมาอยู่บ้านเรานะธรณ์”
“ครับ ธรณ์คิดถึงลุงครามนะครับ”
“แล้วนี่พี่เขาไปรับกลับมาล่ะสิ มา...เข้าบ้านกันดีกว่า เดี๋ยววันนี้ลุงจะเข้าครัวลงมือทำอาหารเองเลย” สองลุงหลานเดินกอดเอวกันเข้าตัวบ้านจนลืมอีกสองคนที่มาด้วย
ดวงตาสองคู่มองตามหลังสองคนที่เดินหายลับเข้าตัวบ้าน นักธุรกิจหนุ่มรู้ดีว่า คุณพ่อของเขารักและเอ็นดูธรณ์มาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะขยันทำตัวเสเพลก็ตาม แต่คุณสงครามก็ยังรัก บางที...อาจจะเพราะเห็นแก่บุญคุณและความเป็นเพื่อนสนิทของคุณธีรยุทธ
“โชคดีนะครับ ที่คุณธรณ์ยังมีคุณพ่อคุณเขตต์คอยดูแลอยู่”
นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เขตแดนนึกสงสารธรณ์ ชายหนุ่มที่เหลือตัวคนเดียว พ่อมารดาเสียชีวิต ยังดีที่ยังมีพ่อของเขาคอยเป็นห่วงอยู่เสมอ ถ้าเพียงแต่ธรณ์จะทำตัวดีกว่าที่เป็นอยู่ เขตแดนอาจจะนึกเอ็นดูอีกฝ่ายมากกว่านี้ เพราะเขาเองก็เป็นลูกชายคนเดียวเหมือนกัน หากมีน้องชายซักคนก็คงดีไม่น้อย
====================
อาหารเย็นที่บ้านเดี่ยวหลังเล็กชานเมือง พร้อมหน้าพร้อมตาด้วยชายหนุ่มสามคนและชายวัยกลางคนอีกหนึ่ง คุณสงครามลงมือเข้าครัวเองเพื่อต้อนรับหลานรัก มีเวธน์เป็นลูกมือคอยช่วยเหลือหยิบจับตามที่คุณสงครามร้องขอ จวบจนลำเลียงกับข้าวกับปลามาวางบนโต๊ะ
ชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากต่างแดน คุยกับผู้เป็นลุงอย่างออกรสชาติ เล่าสารพัดเรื่องที่พบเจอมา แม้ว่าปกติธรณ์จะโทรศัพท์กลับมาคุณสงครามอยู่บ่อยครั้งก็ตาม คุณสงครามเองก็ซักถามหลานชายหลายเรื่อง ยิ่งเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเรียนจบมาด้วยเกียรตินิยม ก็ยิ่งภาคภูมิใจ
“ถ้าคุณยุทธยังอยู่ต้องภูมิใจในตัวธรณ์มากแน่นอน”
คำพูดของคุณสงครามเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางวง เพราะดวงหน้าขาวเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนริมฝีปากจะเม้มแน่น เพราะต่างฝ่ายต่างจากกันโดยไม่ได้ปรับความเข้าใจ และตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสปรับความเข้าใจกันอีกแล้ว เพราะฝ่ายหนึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
คุณสงครามเองก็คงจะรู้ถึงบรรยากาศที่อึมครึมขึ้นมากะทันหัน จึงเปลี่ยนเรื่องชวนคุยทันที
“แล้วนี่ธรณ์จะเริ่มทำงานเลยหรือเปล่า”
“ยังครับ ธรณ์ว่าจะขอพักผ่อนอีกซักหน่อยน่ะครับ”
“ถ้าจะเริ่มงานก็บอกพี่เขานะ เขตต์ก็ช่วยสอนงานน้องด้วยละกัน”
ธรณ์เลือกที่จะทำหูทวนลมเสีย เขาเสตักอาหารลงบนจานของลุงคราม มองเมินคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนเอง เพราะรู้ตัวดีว่าสำหรับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะมาญาติดีกับเขตแดน หรือแม้กระทั่งกลับมาเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่เขตต์’ อีกครั้ง
“เวลาอยู่ด้วยกันกับน้อง ก็คอยดูแลช่วยเหลือกันด้วยนะเขตต์”
“อยู่ด้วยกัน?” ธรณ์ทวนคำพูดของลุงครามอย่างงุนงง
“เขตต์เองก็อยู่ที่บ้านของธรณ์ด้วย เพราะเข้าบริษัทและรับรองลูกค้าสะดวกกว่า พอเสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับมาค้างกับลุง” คุณสงครามชี้แจง ธรณ์ฝืนยิ้มออกมา แม้ว่ามันจะฝืดเฝื่อนเต็มทน
...นอกจากตำแหน่งประธานบริษัทแล้ว เขตแดนยังถือวิสาสะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของเขาอีก ต้องการที่จะเข้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของเขาหรืออย่างไร... เขตแดนเองเห็นอาการชะงักงันของธรณ์ ตอนที่รู้ว่าต้องอยู่กับเขาก็นึกรู้ทันที ว่าอีกฝ่ายคงกลัวเขาจะลิดรอนอิสรเสรีภาพ เด็กหนอเด็ก...ที่เขาอยู่ที่เขาทำทุกอย่างทุกวันนี้ ก็เพียงเพราะคำขอของคุณธีรยุทธที่มีบุญคุณต่อเขา ถึงเวลาเขาจะคืนทุกสิ่งทุกอย่างแก่เจ้าของตัวจริง ที่คุณธีรยุทธทำ ก็คงเพราะรู้ดีว่าลูกชายของตัวเองยังขาดวุฒิภาวะอยู่มาก
ยิ่งนึกถึงคำสั่งเสียก่อนตายของคุณธีรยุทธ เขตแดนก็หมายมั่นว่า...เขาเองจะต้องเป็นคนดัดนิสัยธรณ์ อิสรพัฒน์ เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณของคุณธีรยุทธที่เมตตาเขาเหลือเกิน
TO BE CONTINUE
๐ ตอนหน้า...รบกวนรอนานมาก เพราะเขียนถึงเท่าที่ลงนี่เอง เรื่องนี้เป็นลูกเมียน้อย
๐ พล็อตพร้อมแล้ว วางเรียบร้อย ขาดแค่แรงกระตุ้น ฮา... ว่าแต่ใครรุกใครรับหนอ?
๐ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากเลยนะคะ สัญญาว่าจะพยายามเข็น แม้จะช้ามาก