บทที่ 4
ตระกูล ‘ซง’ เป็นคหบดีที่มีหน้ามีตาในอำเภอเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทำการค้ามารุ่นสู่รุ่นจนมั่งคั่งร่ำรวย ทั้งยังเป็นเจ้าของที่นาและกิจการต่างๆมากมาย นับว่าเป็นตระกูลที่ทำให้ใครหลายคนอิจฉา โดยเฉพาะฮูหยินซงที่แต่งเข้าตระกูลมาอย่างภาคภูมิ แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ฮูหยิงซงต้องทนทุกข์มากเพียงใด
กล่าวถึงประมุขซงคนปัจจุบันนั้น แม้จะมิใช่คนดีมีเมตตาหรือใจกว้างดั่งมหาสมุทร แต่ก็นับว่าเป็นคนที่เคารพกฎหมายและทำการค้าอย่างสุจริต หน้าตา ฐานะหรือก็นับว่าดี เลี้ยงดูบ่าวไพร่อย่างเหมาะสม แต่เสียอย่างเดียวที่เป็นคนเจ้าสำราญและมักมากในกาม
แม้จะมีฮูหยินใหญ่ ฮูหยิงรอง อนุภรรยา และบ่าวบำเรอมากมาย ประมุขซงก็ยังแอบลักลอบได้เสียกับขี้ข้าในเรือน เท่านั้นมิพอ ยังนิยมชมชอบการไปหาความสุขที่หอนางโลมเป็นชีวิตจิตใจ ฮูหยินใหญ่แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะอย่างน้อยนางก็เป็นเพียงคนเดียวที่ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรธิดาทั้งหมดสามคน ส่วนบรรดาเมียเล็กเมียน้อยของสามี นางย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีโอกาสให้กำเนิดมารหัวขน แต่ใครจะรู้ล่ะว่าวันหนึ่งสามีจะพาหญิงนางโลมหน้าตางดงามหมดจดกลับบ้านในสภาพท้องโต
หญิงนางโลมผู้นั้นมีนามว่า ‘เหลียงซูมี่’ เป็นดอกไม้งามอันดับหนึ่งแห่งหอเฝิ่นลู่ที่มีชื่อเสียงในเมือง ข่าวฉาวโฉ่แบบนี้แหละที่มักเป็นเรื่องเล่าสนุกปากยามจิบน้ำชา ไม่นานหัวข้อข่าวการรับเหลียงซูมี่เป็นอนุภรรยาในตระกูลซงก็ถูกกล่าวถึงไปอีกนานหลายเดือน ฮูหยินใหญ่แสนอับอาย ไม่กล้าก้าวเท้าออกจากเรือนด้วยซ้ำ และนั่นทำให้นางตระหนักได้ถึงความหลงใหลของสามีในตัวนังแพศยาคนนั้น
หกเดือนต่อมา เหลียงซูมี่ได้ให้กำเนิดคุณชายเล็กแห่งตระกูลซง แต่เพราะนางเป็นหญิงไร้การศึกษา ฮูหยินใหญ่จึงใช้โอกาสนี้ ออกปากขอเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนเด็กน้อย ซึ่งประมุขซงในเวลานั้นที่รู้สึกผิดต่อฮูหยินใหญ่บ้างไม่มากก็น้อย จึงได้มอบอำนาจในการดูแลจัดการลูกชายคนนี้แก่นาง
เด็กน้อยผิวขาวหน้าตาน่ารักได้รับการตั้งชื่อว่า ‘มี่หมิง’ ที่พร้องเสียงกับคำที่มีหมายความว่า ‘ช่วงชีวิตที่ลึกลับ’ นับว่าเป็นชื่อที่ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
‘มี่หมิง’ เติบโตมาในดงของสตรีอสรพิษ ที่แก่งแย่งชิงความโปรดปรานของผู้เป็นสามี เด็กน้อยใช้ชีวิตในฐานะของบุตรตระกูลซงอย่างสมศักดิ์ศรีจนมีอายุได้เจ็ดปี กระทั่งวันหนึ่งที่ ‘เหลียงซูมี่’ ถูกฮูหยินใหญ่ใส่ร้ายและสร้างหลักฐานปลอมว่านางคบชู้กับคนสวน ทำให้นางถูกประมุขซงไล่ออกจากตระกูล ระเหเร่ร่อนไปที่ใดไม่ปรากฏ
ชีวิตนับแต่นั้นของมี่เมิงก็ราวกับตกนรกทั้งเป็น เขาถูกกลั่นแกล้งอย่างออกนอกหน้าจากผู้หญิงใจยักษ์ ทั้งหาเรื่องลงโทษสั่งสอนโดยการให้อดอาหาร ทุบตีสารพัดจนมีสภาพสะบักสะบอม แต่ผู้เป็นบิดาหาได้สนใจไม่ ด้วยเพราะเด็กน้อยได้ใบหน้าที่ถอดแบบมาจากมารดายิ่งนัก ยิ่งมองก็ยิ่งแค้นใจ จึงปล่อยให้บรรดาคนของฮูหยินใหญ่ทำตามอำเภอใจ เพียงแค่ไม่ตายก็นับว่าปราณีแล้ว
ซงมี่เมิงเกลียดทุกคนในชีวิตของเขา!
เกลียดมารดาที่ทอดทิ้งเขาไป เกลียดมารดาที่ใช้มารยาสารพัดในการแย่งชิงความโปรดปรานจากสามีของผู้อื่น
เกลียดบิดาที่ไม่เคยปกป้องดูแลเขาเลย
เกลียดพี่น้องที่กลั่นแกล้งเขาสารพัด
เกลียดแม่ใหญ่ที่แกล้งทำดีกับเขามาโดยตลอด กระทั่งวันหนึ่งจึงแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาให้เขาได้รับรู้ว่า นางไม่เคยเห็นเขาเป็นคนในตระกูลเลย
ในช่วงงานเทศกาลกราบไหว้บรรพบุรุษของตระกูลซง มี่เมิงตัดสินใจใช้ความวุ่นวายในการตระเตรียมงาน แอบหนีออกจากบ้าน เร่ร่อนไปตามเมืองต่างๆ ค่ำไหน นอนนั่น ทั้งถูกรังแกจากขอทานเจ้าถิ่นและพวกพ่อค้าทาส ในแต่ละวัน เด็กน้อยต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงมานานกว่าสองเดือน กระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบนักพรตประหลาด ที่ยื่นมือให้เขาแล้วถามว่า…ต้องการไปอยู่ในหุบเขาเซียนกับข้าหรือไม่?
ในยามนั้นเด็กน้อยทั้งหิวโซ และร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แม้อยากจะวิ่งหนีต่อไปเรื่อยๆก็ทำไม่ไหวเสียแล้ว จึงได้แต่พยักหน้าอย่างขลาดกลัวแล้วเดินตามนักพรตท่านนั้นไป
ต่อมามี่เมิงได้กราบเป็นศิษย์นักพรตท่านนั้น…ใช่แล้ว คนผู้นั้นคือจ้าวหนิงเหอหรืออาจารย์ของโจวจิ่นเลี่ยนนั่นเอง
มี่เมิงได้พบกับโจวจิ่นเจี่ยนผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางไปถึงหุบเขาเซียน สถานที่แห่งนั้นเมื่อเทียบกับคฤหาสน์ตระกูลซงแล้ว ไม่นับว่าสบาย แต่ย่อมดีกว่าการกินนอนข้างถนนแน่นอน มี่เมิงใช้เวลาในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงสัปดาห์ที่หนึ่ง เขาไม่ยอมเข้าใกล้ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆเลย นอกจากโจวจิ่นเลี่ยนและท่านอาจารย์ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมอ้าปากพูดสักคำ
ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนที่แปลกประหลาดนัก มี่เมิงไม่รู้ว่าเพราะอะไรศิษย์พี่ใหญ่จึงได้ใจดีกับเขาเป็นพิเศษ ทั้งที่เขาก็มิเคยทำดีกับอีกฝ่ายเลย ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มี่เมิงมิเคยลืม ทั้งช่วยฝึกสอนกำลังภายใน เป็นคู่ซ้อมเพลงกระบี่ ปักชุนเสื้อผ้าที่ขาด หากมีอาหารดีๆก็มักจะเก็บไว้ให้เขากินก่อน แม้กระทั่งช่วงภัยแล้งที่ปลูกไม่ได้แม้แต่ข้าว มี่เมิงทนกินมันเทศเสียจนไม่สามารถกลืนลงคอได้อีกแล้ว พี่ใหญ่ก็จูงมือเขาเข้าไปในป่า เดินอยู่หลายชั่วยาม ก็สามารถจับกระต่ายป่าตัวหนึ่งมาย่างไฟปรุงรสด้วยเครื่องเทศให้เขากินได้
หลังจากนั้นไม่นานมี่เมิงได้เริ่มเปิดปากพูดคุยกับคนอื่นๆ ท่านอาจารย์หนิงเหอเมื่อทราบว่าเขามีชื่อที่ไม่เป็นมงคลว่า ‘มี่เมิง’ จึงได้ตั้งชื่อให้เขาเสียใหม่ว่า ‘มี่เหริน’ ใช้อักษรคำว่า ‘มี่’ เหมือนเดิม ส่วนคำว่า ‘เหริน’ มีความหมายว่า ‘ความเมตตา’ ดังนั้นชื่อของเขาจึงมีความหมายที่ดีว่า ‘ความลับ ความเมตตา’
มี่เหรินดีใจมากที่ตอนนี้ตนเองมีชื่อที่ดี เช่นเดียวกับศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนัก จึงถือโอกาสนี้ เปลี่ยนมาใช้แซ่เดียวกับท่านอาจารย์ ซึ่งท่านอาจารย์ก็ใจดียอมให้เขาใช้แซ่จ้าว เช่นเดียวกับศิษย์ในสำนักอีกหลายคน
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่มี ‘มี่เมิง’ ที่อ่อนแอไร้สามารถอีกแล้ว จะมีก็แต่ ‘จ้าวมี่เหริน’ ที่แข็งแกร่ง เขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแก และจะไม่ยอมให้ผู้ใดมีอิทธิพลเหนือชีวิตของเขา สำหรับเขาแล้ว ความรักความปรารถนาดี เป็นเพียงความรู้สึกที่น่าชัง เกิดขึ้นและหายไปอย่างไร้เหตุผล เช่นเดียวกับความรู้สึกของท่านพ่อที่มอบให้แก่ผู้หญิงหลายต่อหลายคนอย่างละโมภ
จ้าวมี่เหรินเฝ้ามองศิษย์พี่คนแล้วคนเล่า กราบลาท่านอาจารย์แล้วก้าวเท้าออกจากหุบเขาเซียนไปโดยไม่ได้หวนกลับมาอีก เขาเองก็มีเป้าหมายใหญ่ในชีวิตเช่นกัน เขาปรารถนาจะออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง ปรารถนาจะปล้นชิงทรัพย์สินเงินทองจากคนที่เขาต้องการ เพื่อความสะใจและสนองความต้องการส่วนตน หากเขาไม่มีเป้าหมายนี้อยู่ในใจ การใช้ชีวิตต่อไปดูจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง มันเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่งที่เขาใช้กลบฝังจิตใจบิดเบี้ยวของตนเอง
ตั้งแต่ที่จ้าวมี่เหรินมีเป้าหมายในการก้าวเท้าออกไปจากหุบเขาเซียน เขาก็เริ่มวางความสัมพันธ์กับผู้คนไว้อย่างเท่าเทียม ผู้คนต่างคิดเอาเองเพียงฝ่ายเดียวว่าสนิทสนมกับจ้าวมี่เหรินผู้สุภาพและงดงาม เพียงแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาคบหาผู้คนไว้ใช้สอยเท่านั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับว่าในเวลานั้นเขาต้องการอะไร ไม่มีใครสลักสำคัญพอจะให้เขาอยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับอีกฝ่าย
หรือบางที…ในส่วนลึกของจิตใจนั้น ไม่เคยศรัทธาในความรักความเชื่อใจเลยต่างหาก
สำหรับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว คนผู้นี้เป็นแหล่งประโยชน์ชั้นเลิศ เพียงแต่ความหวั่นไหวบางอย่าง ทำให้เขามิกล้าฉกฉวยผลประโยชน์ได้อย่างสบายใจ จึงค่อยๆก้าวเท้าออกห่างจากอีกฝ่ายทีละเล็กทีละน้อย กระทั่งเจ็ดปีต่อมา เขาก็ห่างเหินจากอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์ การสนทนาระหว่างทั้งคู่ก็มีเพียงประโยคทักทายสั้นๆตามมารยาทเท่านั้นเอง
จ้าวมี่เหรินสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายในการเป็นจ้าวกระบี่ จ้าวแห่งพิษ และจ้าวแห่งกำลังสายหยิน เขาเคยแสร้งมีใจให้ศิษย์พี่ผู้หนึ่งในสำนักเพื่อหลอกล่อ ขอวิชากระบี่ลับที่ฝ่ายนั้นคิดค้นขึ้นมา ใช้ประกอบกับวิชาที่ท่านอาจารย์สั่งสอนทำให้เขาเป็นมือกระบี่ที่ดีที่สุดในบรรดาศิษย์แห่งหุบเขาเซียน
ไม่ว่าศิษย์พี่หรือศิษย์น้องในสำนัก หากจ้าวมี่เหรินปรารถนาให้ลุ่มหลง ปรารถนาจะใช้ประโยชน์ ฝ่ายนั้นย่อมมิอาจปฎิเสธเสน่ห์อันร้ายกาจของเขาได้ ไม่ว่าจะลุ่มหลงในใบหน้า หรือลุ่มหลงเพราะยาเสน่ห์ก็เป็นอีกเรื่อง
ใช่แล้ว…จ้าวมี่เหรินเป็นจ้าวแห่งยาพิษ จึงมิแปลกที่เขาจะรู้จักตำรับยามากมายพอจะใช้เสริมสร้างความลุ่มหลงให้ตนเองได้ง่ายๆ จ้าวมี่เหรินมิรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
ผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ส่วนผู้ที่โง่เขลาย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ฉลาด นั่นเป็นสัจจะธรรมหนึ่งของโลก
ในค่ำวันหนึ่ง ขณะที่จ้าวมี่เหรินมีอายุครบ 15 ปี เขาตัดสินใจกราบลาท่านอาจารย์ แล้วเร้นกายหายไปจากหุบเขาเซียน โดยไม่แม้แต่จะร่ำลาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก
นับตั้งแต่วันนั้น จ้าวมี่เหรินได้กลายเป็น ‘จอมโจรหน้ากากทอง’ ผู้ปล้นชิงทรัพย์สินเงินทองเพื่อความสะใจ ชมชอบการเห็นบุคคลที่อยู่เหนือผู้อื่นพังทลายในชั่วข้ามคืน คอยหัวเราะเยาะเย้ยเศรษฐีใหญ่ที่แสร้งใช้ชีวิตหรูหราเช่นเดิม ทั้งที่เงินทองนั้นสาบสูญไปเกือบทั้งหมดแล้ว
“อาเหริน”
เสียงของศิษย์พี่ใหญ่ที่ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ได้ปลุกให้จ้าวมี่เหรินตื่นจากภวังค์ เขาหลุบตามองถ้วยไม้ไผ่ในมือที่บรรจุของเหลวสีดำ ในนั้นคือยาถอนพิษตำรับลับจากคุกหลวง ศิษย์พี่ใหญ่ใช้สมุนไพรแห้งที่เก็บไว้ในกระเป๋าหนังสัตว์บนอานม้า นำมาปรุงยาให้เขาดื่ม นับตั้งแต่วันที่เขามีสัมพันธ์สวาทกับอีกฝ่ายก็ผ่านมาถึงสามวันแล้ว และกำลังภายในที่ถดถอยก็กลับมาจนเกือบสมบูรณ์แล้วเช่นกัน ยามนี้เห็นสมควรที่จะต้องจากลา
จ้าวมี่เหรินยกถ้วยยาในมือขึ้นดื่มจนหมด แล้วส่งคืนให้อีกฝ่ายที่รับมาตรวจสอบเช่นทุกครั้งว่าเขาดื่มจนหมดแล้วจริงๆ
“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแล้ว”
โจวจิ่นเลี่ยนเอ่ยขึ้น หลังจากที่ยื่นปลายนิ้วไปสัมผัสข้อมือของผู้เป็นศิษย์น้องเล็กและแน่ใจว่าอีกฝ่ายแข็งแรงมากพอสำหรับออกเดินทางไกล
“ข้าหนาว”
ริมฝีปากซีดเซียวพร้อมกับอาการตัวสั่นเบาๆ ทำให้โจวจิ่นเลี่ยนหัวใจอ่อนยอบ ประคองศิษย์น้องเข้ามาในอ้อมกอดพลางลูบศีรษะเล็กทุยเบาๆอย่างเคยชิน
เพราะความประมาทชั่วขณะ บวกกับที่เขาเห็นว่าศิษย์น้องเล็ก ทำตัวว่าง่ายมาตลอดหลายวัน จึงได้คลายความระมัดระวัง และถูกอีกฝ่ายใช้กำลังภายในกระชากร่างของเขาเข้าหาตัว พร้อมกับใช้ริมฝีปากเย็นๆประกบลงมาอย่างรุนแรง ลิ้นอ่อนนุ่มที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของเขาโดยไม่ให้ตั้งตัว
โจวจิ่นเลี่ยนตัวแข็งทื่อ ตะลึงกับรสสัมผัสหวานล้ำ ก่อนจะทันรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างถูกส่งเข้ามาในโพรงปากก่อนจะไหลลงคอไปอย่างง่ายดาย โจวจิ่นเลี่ยนไอแคกๆอยู่หลายหน หลังจากที่ถูกปล่อยให้ริมฝีปากเป็นอิสระ
“เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” เขาถามด้วยความโมโหต่างจากท่าทีสุขุมอย่างในยามปกติ
“อย่ากังวล เป็นเพียงยานอนหลับเท่านั้น”
จ้าวมี่เหรินเคยได้รับฉายาว่า ‘ดอกไม้สารพัดพิษ’ สมัยที่ยังอยู่ในหุบเขาเซียน เพราะเจ้าตัวนิยมชมชอบการเก็บอาวุธลับมีพิษไว้แทบทุกส่วนของร่างกาย ทั้งเข็มดอกท้อในเส้นผม ผงรักเร่หมื่นราตรีในแขนเสื้อ ยานอนหลับฤทธิ์รุนแรงบริเวณฟัน และอื่นๆที่ผู้อื่นใดก็คาดไม่ถึง
โจวจิ่นเลี่ยนรู้ดีในความสามารถนี้ แม้ในตอนร่วมรักกับผู้เป็นศิษย์น้อง เขาก็ระมัดระวังตัวเสมอ เพียงแต่เมื่อครู่ไม่คาดว่าจะถูกอีกฝ่ายจู่โจมกะทันหัน
ร่างของโจวจิ่นเลี่ยนไร้เรี่ยวแรง เขาถูกอีกฝ่ายประคองให้นอนบนพื้นถ้ำอย่างนุ่มนวม ใช้ผ้าผืนหนึ่งห่อหุ้มร่างกายให้อบอุ่นในยามค่ำคืน
“ข้ามันคนใจแคบนัก ข้าไม่ต้องการท่านที่รักษาผลประโยชน์ให้แก่ผู้คนในใต้หล้า”
จ้าวมี่เหรินกระซิบแผ่วเบา ฝ่ามือเรียวยาวลูบศีรษะผู้เป็นศิษย์พี่อย่างอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ ราวกับว่าในวินาทีนี้ เป็นเพียงวินาทีเดียวในชีวิตของเขา ที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงให้ใครบางคนได้รับรู้
“แต่ข้าต้องการท่าน คนที่พร้อมจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียว”
แสงตะวันสีส้มในยามเย็นสาดส่องเข้ามาทางปากถ้ำ อาบไล้ผิวขาวของจ้าวมี่เหริน ทำให้มองดูราวกับเทพเซียนที่กำลังเปล่งแสงสว่างก็มิปาน
“อา…เหริน” โจวจิ่นเลี่ยนที่กำลังถูกฉุดรั้งเข้าสู่ห้วงนิทรา พยายามเปร่งเสียงในลำคออย่างยากลำบาก
“ข้าให้เวลาท่านเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น…”
จ้าวมี่เหรินจุมพิตบนหน้าผากของผู้เป็นศิษย์…
ข้ามิต้องการมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ยิ่งมิต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้ใด และย่อมมิต้องการมีความรู้สึกเกินจำเป็นอย่างเช่นคำว่า ‘รัก’ หากท่านปฎิเสธข้าในครั้งนี้ ข้าย่อมไม่มีโอกาสให้ผู้ใดอีกเป็นครั้งที่สอง
“หาไม่แล้ว…ข้าจะไม่รอท่านอีก”
TBC.
จริงๆเนื้อเรื่องทั้งหมดจบเท่านี้ เเต่...เเต่ ยังมีบทส่งท้าย 555
ไม่รู้นักอ่านเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อหรือเปล่า รู้สึกเขียนยากจังเลย
มี่เหรินมีความหวั่นไหว หรือชอบพอศิษย์พี่ตั้งเเต่สมัยที่อยู่ในหุบเขาเซียนเเล้ว
เเต่ด้วยความยึดมั่นในใจ คิดว่าความรักเนี่ยไม่จำเป็น
มนุษย์ทุกคนก็เเย่เหมือนกันหมด ฉันอยู่ของฉันคนเดียวได้ ฉันไม่ต้องการยึดติดกับใคร
อีกอย่างเเนวทางการใช้ชีวิตของสองคนนี้ต่างกันมาก อาโจวยอมรับการใช้ชีวิตอินดี้
ออกปล้นคนอื่น อยู่ในป่าในเขาไปเรื่อยๆเเบบนี้ไม่ได้ เเต่อาเหรินก็โรคจิตหน่อยๆ
ฉันชอบอยู่ในป่า ฉันชอบปล้น จะทำไม
เเต่ตอนที่ได้เสียกับศิษย์พี่เเล้ว เริ่มลังเลว่าจะจากกันทั้งอย่างนี้ดีเหรอ
ถ้าจากกันครั้งนี้ อาจไม่มีทางได้เจอกันอีก เลยออกปากชวนผู้ชายอ้อมๆนั่นเเหละค่ะว่า
จะไปอยู่กินกับฉันมั้ย ฉันรอเธอหนึ่งเดือนนะ ถ้าไม่มา ฉันจะครองโสดจนตาย
อารมณ์ประมาณนี้ เเต่เราไม่อยากใช้ถ้อยคำบรรยายที่มันชัดเจนเกินไป
ด้วยความที่เป็นเรื่องสั้น เลยอยากให้จินตนาการกันเต็มที่ หวังว่านักอ่านจะไม่เบื่อ 'รักเร่' นะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ