พระลอตามไก่
ตอนที่ ๙
เช้านี้พระลอตื่นมาวิ่งได้ตามปกติ เมื่อวานกว่าจะกลับจากบ้านของจิ๊บก็เกือบ 6 โมงเย็น หลังจากจิ๊บรับลูกกลับมาแล้วเวลาที่จะอยู่กันเพียงลำพังก็ถูกขโมยไปโดยแก้วเจ้าจอมตัวแสบ หลังจากรู้จักพี่คนโตกับน้องคนเล็กมาระยะหนึ่งเมื่อวานพระลอก็ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับจันทร์เจ้าขาซักที เด็กหญิงวัย 13 ปีเป็นคนพูดน้อยและขี้อาย ออกจะติดแม่มากกว่าเจ้าเจี๊ยบของเขาซะอีก จันทร์เจ้าขามักจะนั่งหลบอยู่ข้างหลังแม่เสมอ ถ้าหากว่าเจ้าเจี๊ยบเหมือนแม่มากแล้วล่ะก็จันทร์เจ้าขาคือร่างแยกของจิ๊บดีๆนี่เอง
“มะรืนจะเลือกตั้งแล้ว ตื่นเต้นมั้ยลอ”ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามเขาหลังจากกินข้าวกินปลากันเรียบร้อย พระลอชงกาแฟมาวางให้พ่อที่โต๊ะไม้นอกชาน ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างประสานมือไว้บนหน้าตักด้วยท่าทางสบายๆ
“ไม่ตื่นเต้นครับ”ตอบไปตามตรง อาการตื่นเต้นมีแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นที่ต้องออกไปพบปะพวกคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน แต่ตอนนี้เขาคุ้นชินกับคนในหมู่บ้านพอสมควรแล้ว เวลาออกไปข้างนอกชาวบ้านเริ่มทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ บางครั้งพระลอออกไปสำรวจหมู่บ้านก็จะได้กับข้าวกับปลาติดมือกลับบ้านมาเสมอ
สังคมชนบทคือสังคมแห่งการแบ่งปันโดยแท้ การแบ่งปันโดยไม่หวังผลประโยชน์แบบนี้เขาหาไม่ได้ที่กรุงเทพ นอกจากกลุ่มเพื่อนสนิทที่คบกับมาตั้งแต่มัธยมจนกระทั่งทำงาน
“นอบน้อมถ่อมตนไว้นะลูก เป็นคนดีให้ชาวบ้านเขาเอาไปพูดถึงกันว่าลูกผู้ใหญ่ชลิตดีได้พ่อได้แม่มา อย่าไปทำตัวเกกมะเหรกเกเรที่ไหน”
"ครับพ่อ"
“แล้วก็พรุ่งนี้งานบวชลูกทิดอ่ำท้ายวัดตอนเย็นกินเลี้ยงเขาทำเลี้ยงกันเองแม่เอ็งว่าจะทำฟักทองสังขยาไปช่วยเดี๋ยวให้คนงานตัดในไร่ซัก 20 ลูก เลี้ยงแขกตอนเย็นเลี้ยงพระตอนเช้า”
“ได้ครับ จะให้เอาไปตอนไหนก็บอกแล้วกัน”
“แล้ววันนี้จะไปไหนหรือเปล่า ไปวัดกับพ่อมั้ย จบเลือกตั้งพ่อว่าจะเปลี่ยนไฟในโบสถ์ให้วัด เผื่อเอ็งมีคำแนะนำอะไรจะได้ใส่ลงไปในรายละเอียดได้เลย”
“ไปก็ได้ครับ ดีเหมือนกันได้แวะไปคุยกับหลวงลุงซักหน่อย เวลาท่านมารับบาตรตอนเช้าไม่ค่อยได้คุยเลย”
สรุปว่าวันนั้นทั้งวันพระลอไปตะลอนเข้าบ้านนู้นออกบ้านนี้หลังเพลก็แวะเข้าไปในวัด สภาพวัดนั้นเก่าและทรุดโทรมพอสมควร ตรงกุฎิกลางหลังคาผุตามกาลเวลา เมื่อตอนเด็กๆเคยอยู่ยังไงตอนนี้ก็ยังอยู่อย่างนั้น ในโบสถ์สายไฟไม่เป็นระเบียบนัก ไฟบางดวงก็ดับๆติดๆ พระลอจดรายละเอียดต่างๆลงในสมุดพกเล่มเล็กที่มักจะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา พอตกเย็นก็เดินไปดูคนงานตัดฟักทอง เลือกลูกที่แก่จัด แม่ของเขาสั่งให้ตัดลูกเล็กที่สามารถนึ่งทั้งลูกได้เลย ฟักทอง 20 ลูก ถูกขนขึ้นรถกะบะแล้วขับไปที่บ้านงานในตอนเกือบมืด แม่ของเขาติดรถไปบ้านงานด้วยเพราะจะช่วยกันทำบายศรี
“คืนนี้แม่จะกลับมั้ยครับผมจะได้ขับรถไปรับ”ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วพอประมาณหันไปถามมารดาที่นั่งคู่กันมา
"ไม่ต้องรับลูก แม่นอนค้างนั่นเลย พรุ่งนี้จะได้ทำครัวเลี้ยงพระเช้ากับเพลไปเลย”
“อย่าหักโหมนะแม่ อายุมากแล้ว เหนื่อยก็พัก”
“รู้แล้วน่ารู้แล้ว ลอนี่นับวันจะขี้บ่นเหมือนพ่อนะ”
“ก็ผมรักแม่ห่วงแม่นี่นา แล้วนี่บายศรีต้นเขาจะทำกันกี่ชั้นครับ”
“น่าจะห้าชั้นนะ แล้วก็บายศรีปากชามอีก 3 หวีมั้ง เดี๋ยวถึงงานค่อยถามเขาอีกที ส่วนมากก็ทำ 5 แต่บ้านทิดอ่ำเขามีเงินอาจจะทำ 7 ชั้น”แม่ตอบอย่างไม่แน่ใจนัก เมื่อถึงบ้านงานลลิตภัทรก็ถอยกระบะเข้าไปตรงเต็นท์ที่ตั้งเป็นครัว บรรดาแม่ครัวและญาติๆของนาคมาช่วยกันขนของลง นอกจากฟักทองแล้วยังมีผักอื่นๆที่แม่ให้คนงานเก็บใส่ตะเข่งมาช่วยอีกหลายชนิด
“แหมพี่โฉม วันนี้พาลูกชายคนเล็กมาเปิดตัวเหรอพี่”แม่ของนาคเอ่ยปากแซวลลิตภัทรยกมือไหว้บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในงาน มีทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักบางคนคุ้นหน้าแต่กลับนึกชื่อไม่ออก ชายหนุ่มจึงได้แต่กวาดยิ้มให้กับมุกคนแทนคำทักทาย
“พามารู้จักพี่ป้าน้าอาหน่อย อย่าลืมนะเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านรอบนี้ฝากพ่อลอเขาด้วย ถือซะว่าเป็นลูกเป็นหลานแล้วกันนะ”
“โอ้ย ไม่ต้องห่วง ยังไงบ้านฉันก็เลือกพ่อลออยู่แล้ว มาๆนั่งพักกินน้ำกินท่ากันก่อน ข้างบนกำลังทำบายศรีกันอยู่พอดี เดี๋ยวค่อยขึ้นไปสมทบ”พระลอและแม่ถูกลากไปนั่งคุยอีกพักใหญ่ ชายหนุ่มตอบคำถามที่บรรดาแม่ย่าแม่ยายถามกันมาไม่ได้ขาด และคำที่ได้ยินบ่อยๆคือ
“ลูกพี่โฉมนี่หล่อสมชื่อจริงๆ มีคู่หมั้นคู่หมายหรือยังจ๊ะ”
“ยังครับ”
“เนี่ยเลือกๆเอาซักคนสิมีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ ชอบคนไหนบอกได้เลยนะ พวกแม่ๆยินดียกให้ ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกพี่ลิตพี่โฉมใครๆก็อยากได้”
“ผมยังไม่ได้คิดเรื่องมีครอบครัวเลยครับ”
“อะไร๊ อายุก็ 30 กว่าแล้วไม่ใช่เหรอพี่โฉม ทำไมยังไม่มีเมีย เดี๋ยวก็มีลูกไม่ทันใช้หรอก รีบหาเมียให้ลูกซักคนสิพี่”ท้ายประโยคหันไปพยักเพยิดกับย่าโฉม พระลออยากจะกรอกตามองบนวนเป็นเลข 8 แบบฮะจิบังราเมนแต่จำต้องนิ่งเงียบและส่งยิ้มบางๆแจกจ่ายให้พี่ป้าน้าอาอย่างทั่วถึง ย่าโฉมหัวเราะน้อยๆกับท่าทางของคู่สนทนา
“เรื่องคู่ครองฉันจะไปบังคับลูกได้ยังไงล่ะ คนที่จะอยู่กับเขาเขาก็ต้องเลือกเอง พ่อแม่เลือกให้ก็แค่ถูกใจพ่อแม่ แต่เขาต้องอยู่กันทั้งชีวิตถ้าไม่รักไม่ชอบไม่ถูกใจกันอยู่ไปก็ไม่มีความสุข สงสารลูก”
“เนี่ย พี่โฉมล่ะก็ตามใจลูกแบบนี้ ลูกถึงได้ไปอยู่กรุงเทพซะเกือบ 20 ปี เพราะเลือกคนผิดไง”พอจบประโยคที่เจ้าของบ้านพูดก็เกิดอาการเดธแอร์ขึ้นชั่วขณะ พระลอเหลือบตามองเจ้าของประโยคด้วยสีหน้าเรียบนิ่งติดจะตึงๆ รอยยิ้มละมุนเมื่อครู่จางหายไปเหมือนเทน้ำลงบนพื้นผิวของทะเลทราย หายวูบไปในพริบตา ส่วนคนอื่นๆในวงสนทนาที่หัวเราะกันคิกคักพอหันมาเจอสีหน้าของชายหนุ่มก็ค่อยๆเงียบกันไปทีละคน
บอกเลยว่างานกร่อยแบบสุดๆ
“ขอโทษทีนะพ่อลอ น้าปากไวไปหน่อย”เจ้าของงานลูบมือลงบนต้นแขนของลลิตภัทรเบาๆพลางเอ่ยขอโทษขอโพย
“ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว แต่ขอแก้ข่าวนิดหนึ่งนะครับที่ผมอยู่กรุงเทพนานก็เพราะผมเรียนหนังสือ ทั้ง ม.ปลาย ปริญญาตรี แล้วก็ต่อปริญญาโท พอจบผมก็ได้งานทำ เงินเดือนมันดีแล้วผมก็สนุกกับงานเลยไม่ได้กลับไม่ใช่เพราะเรื่องเก่าตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ตอนนี้ผมกับจิ๊บก็ยังคุยกันได้ดีอยู่ในฐานะเพื่อน อะไรที่มันผ่านไปแล้วผมไม่เก็บมาคิดให้รกสมอง”ลลิตภัทรพูดยาวที่สุดตั้งแต่มานั่งคุยกับพวกแม่ๆ ถึงแม้ว่าเขาไม่กลับมาก็เพราะช้ำรักจริงๆ แต่แบบมาพูดแบบนี้เหมือนฉีกหน้ากัน ขอบอกเลยว่าไม่ยอม ย่าโฉมรู้ดีว่าลูกชายกำลังไม่พอใจและกำลังข่มเมียทิดอ่ำอยู่ในทีหญิงชราแตะต้นแขนลูกพลางใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยกับพระลอเบาๆ
“จะสองทุ่มแล้ว ลอกลับบ้านไปเถอะลูก ถนนมันไม่มีไฟข้างทาง”
“งั้นผมกลับเลยแล้วกันนะครับ ฝากดูแม่ด้วย แล้วก็ถ้ามีอะไรแม่โทรหาลอได้เลยนะครับ”
“ได้ลูกขัยรถดีๆนะ”พระลอก้มลงจูบแก้มแม่ก่อนจะลาพวกผู้ใหญ่ ระหว่างทางเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก มีเรื่องเดียวนี่แหล่ะที่คนบ้านนอกก็ไม่ต่างจากคนเมืองกรุงคือพร้อมจะขุดเรื่องของคนอื่นมาพูดได้อย่างสนุกปาก แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่คิดอะไรกับจิ๊บแล้วก็ตามแต่ทุกคนก็ยังมองเป็นภาพจำว่าพระลออกหักจากจิ๊บ
อยากจะลบความเชื่อพวกนั้นออกไปซะจะต้องทำยังไง เปิดตัวเลยมั้ยว่าตอนนี้มีคนในใจแล้ว แถมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ลูกชายคนโตของจิ๊บนั่นแหล่ะ
พระลอรู้สึกตัวตื่นตอนตี 4 เมื่อโทรศัพท์บนหัวเตียงส่งเสียงดังขึ้น เมื่อมองหน้าจอปรากฏเบอร์ของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มงัวเงียลุกขึ้นนั่งแล้วกดรับสาย
“ครับแม่”
“ลอตื่นยังลูก”
“ตื่นแล้วครับ”ชายหนุ่มกรอกเสียงตอบผู้เป็นแม่ มองนาฬิกาเพิ่งจะตี 4
“ลอช่วยขับรถเข้าเมืองไปซื้อของให้ทีได้มั้ยลูก พอดีคนขับรถมันเมาลุกไม่ขึ้น”
“อ่อ ได้ครับ แม่จะซื้ออะไรบ้างจดใส่กระดาษไว้นะครับ อีก 20 นาทีผมถึง”ลลิตภัทรลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัวชายหนุ่มแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์สีซีด รองเท้าผ้าใบลูกหยิบมาสวมเช็คความเรียบร้อยเล็กน้อยก็คว้ากุญแจรถออกจากห้องมา ไม่นานชายหนุ่มก็มาถึงบ้านงานที่ตอนนี้เหล่าแม่ครัวเริ่มลงมือหั่นของเตรียมทำกับข้าวเลี้ยงพระและแขกในงาน ชายหนุ่มสะดุดตากับร่างบางของใครบางคนที่กำลังช่วยแม่ของเขาหั่นฟักทองอยู่ในเต็นท์
“อ้าว ลอมาแล้วเหรอลูก”
“อาลอ...”ลูกเจี๊ยบน้อยที่เมื่อวานเขามัวแต่ยุ่งจนไม่เห็นหน้าเลยทั้งวันหันมาส่งยิ้มให้เขาจนตาหยี พระลอรู้สึกว่าโลกมันสดใสขึ้นมาทันทีทันใดแม้จะเป็นเวลาตีสี่ครึ่ง วางมือลงศีรษะของหลานแล้วโยกไปมาอย่างหยอกล้อ
“ว่าไงเรา หายดีแล้วเหรอคะ แล้วนี่มายังไงเนี่ย”
“หายดีแล้วจ้า หนูมากับแม่ แม่อยู่ข้างบนช่วยจัดบายศรีอยู่ วันนี้หนูจะมาเป็นลูกมือย่าโฉม”
“อย่างนี้กับข้าวจะกินได้แน่เหรอ พระสงฆ์องค์เจ้าท่านจะไม่ท้องเสียใช่มั้ยคะ?”ส่งเสียงเย้าคนเป็นหลานกลั้วเสียงหัวเราะจนศตายุยู่ปากทำท่าจะงอน
“อาลออย่ามาดูถูกหนูนะ หนูทำกับข้าวเป็นเหอะ”คนแก่กว่าต้องรีบง้อก่อนที่จะโดนลูกเจี๊ยบจิกตาแตก
“โอ๋ๆ ไม่งอนดิ่ อาล้อเล่น แล้วนี่จะให้ผมไปซื้ออะไรครับแม่?”
“เดี๋ยวลอไปตลาดนะลูก ของน่ะทางนี้เขาสั่งไว้แล้วไปถึงก็เอาขึ้นรถได้เลยแม่จดชื่อร้านไว้แล้ว ลูกเจี๊ยบรู้จักร้านดีเดี๋ยวหลานไปด้วย เจี๊ยบถือเงินให้ดีนะลูกระวังอย่าไปทำหล่น”
“รับทราบจ้าเจี๊ยบจะถืออย่างดีไม่ให้หล่นซักบาท”
“เช็คของให้ดีนะลูกอย่าให้ขาด”
“ได้ครับ งั้นไปก่อนนะเดี๋ยวสาย ไปตัวแสบ”พระลอดึงมือลูกเจี๊ยบให้ลุกตามตนเองมา ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้หลานเข้าไปนั่งและปิดให้เรียบร้อย ลูกเจี๊ยบแอบยิ้มกับการดูแลนี้ของคนเป็นอา
อาลอน่ารัก
แล้วไปตลาดแค่นี้ทำไมต้องแต่งตัวหล่อด้วยอ่ะ ถ้ามีคนมองเยอะแล้วมาชอบอาลอจะทำยังไง ความคิดเห็นแก่ตัวอยากจะหวงอาลอไว้กับตัวคนเดียวผุดขึ้นมากินจิตใจให้เผยด้านมืดทีละน้อย พระลอเห็นหลานนั่งจ้องตัวเองมาตลอดทางก็รู้สึกแปลกๆจนต้องหันไปมองหลาน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คราวหลังไม่ต้องแต่งตัวหล่อแบบนี้ได้มั้ยอาลอ”
“อาก็แต่งตัวปกตินะ”ชายหนุ่มหัวเราะในคอเบาๆเมื่อคนเด็กทำปากขมุบขมิบ
“จะบอกว่าหล่อเป็นปกติงี้อ่อ หนูไม่ชอบเลย”
"อ่าว ทำไมล่ะคะ อาลอหล่อๆแบบนี้ทำไมหนูไม่ชอบล่ะ ใครๆก็ชอบกันทั้งนั้น”
“ก็เพราะใครๆก็ชอบนั่นแหล่ะหนูถึงไม่ชอบ”คนเด็กกว่าว่าเสียงเอาแต่ใจ กอดอกหมับหันหน้าหนีทำเป็นมองข้างทาง ไม่ได้จะกวนประสาทอาลอนะ แต่เนี่ย หล่อแบบนี้ไปไหนใครๆก็มองอ่ะ
“ไหนบอกอาลอสิคะทำไมถึงไม่ชอบ”
“ก็หนูหวง อาลอหล่อเดี๋ยวสาวๆมาติดแล้วทำไงล่ะ?”คนเด็กหลุดปากหันไปแง้วๆใส่ แต่ประโยคที่พูดทำเอาพระลอยิ้มกว้างขึ้นทันที ชายหนุ่มอยากจะจอดรถข้างทางแล้วฟัดแก้มเจ้าแมวดื้อนี่ซะจริงๆ
รู้มั้ยว่าพูดอะไรออกมา รู้มั้ยว่าคำพูดและหน้าตาท่าทางแบบนั้นอ่ะ มันหมายความว่ายังไง
หมายความว่าลูกเจี๊ยบหึงเขาได้มั้ยนะ?
จอดรถข้างทางแล้วจับปล้ำทำเมียได้มั้ยเนี่ย อยากกินเด็ก เด็กจะได้รู้ว่าเขาจะไม่ไปกินใครแน่นอน
ลลิตภัทรเดินตามศตายุเข้าร้านนู้ออกร้านนี้ ตะเข่งผักรวมทั้งถุงพลาสติกที่ใส่อาหารหลากหลายชนิดถูกลำเลียงขึ้นมาไว้ท้ายกะบะจนเต็ม บรรดาเนื้อสัตว์ทั้งหมู ปลา ไก่ เนื้อ รวมทั้งไข่เป็ดไข่ไก่ถูกวางเรียงไว้อย่างระมัดระวัง ศตายุตรวจตรารายการของอีกครั้งเมื่อเห็นว่าครบถ้วนจึงชวนชายหนุ่มกลับเมื่อตอนที่ฟ้าเริ่มสว่าง
“อาลอ แวะตรงนั้นแป๊บหนึ่ง”มือน้อยๆเขย่าแขนเขาเบาๆ ด้านหน้าคือรถเข็นที่แม่ค้ากำลังหยดขนมครกอยู่อย่างขะมักเขม้น คนเด็กเปิดประตูรถตรงดิ่งไปยังรถเข็นคันนั้น แน่นอนลลิตภัทรตามลงมาด้วย
“เอาปนกันกระทงละ 20 เอา 5 กระทงครับ” คนเด็กสั่งอย่างแคล่วคล่องพลางยืนรอถุงที่แม่ค้ากำลังจับคู่ขนมครกอย่างใจเย็น กระเป๋าสตางค์ถูกดึงออกมาเตรียมจ่ายค่าขนมแต่ลลิตภัทรก็รั้งไว้ซะก่อน
“เอาที่อา”ศตายุย่นจมูกใส่ เพราะรู้จักพระลอมาร่วมเดือนแล้วเด็กน้อยรู้ดีว่าพระลอไม่ชอบให้ขัดใจ หากสิ่งไหนคนแก่กว่าบอกก็จงทำตามซะ ศตายุกระพุ่มมือไหว้ขอบคุณยามที่รับถุงขนมครกมาถิอไว้ เด็กน้อยนำมันวางไว้เบาะหลังกะดูแล้วว่าคงจะไม่หล่นลงมาหากลลิตภัทรเบรกรถหรือเลี้ยวแรงๆ ปีนกลับขึ้นมานั่งบาะหน้าดังเดินตั้งใจจะกินขนมเจ้าอร่อยก็พอดีกับที่ลลิตภัทรเอื้อมมือมาโอบรอบเอวของเขาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างเพียงคืบ ดวงตากลมช้อนขึ้นสบอย่างตกใจ
“คาดเข็มขัดด้วยค่ะ เพื่อความปลอดภัย”ลมหายใจสะอาดปัดผ่านผิวแก้มราวกับแสงแดดที่ทอดลงมาสู่ทุ่งหญ้ากว้าง ศตายุลืมวิธีหายใจไปชั่วขณะเมื่อดึงสติกลับมาได้จึงเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงแหบพร่า
เขิน...
แม้จะเคยใกล้ชิดอาลอมาหลายครั้งแต่ศตายุก็ยังคงเขินอาลอเหมือนเช่นทุกครั้ง เขินและไม่เคยจะชิน เด็กน้อยนั่งนิ่งไม่ได้ชวนคุยจนลลิตภัทรแปลกใจ เมื่อแอบหันไปมองก็เห็นศตายุเอาแต่บี้ขนมครกในมือเล่น
“ไปบี้มันเล่นให้เลอะมือทำไมล่ะค่ะ ทำไมไม่ทานเข้าไป?”ศตายุสะดุ้งเฮือก เขาเอาแต่คิดอะไรเพลินๆ เด็กน้อยเหลือบมองเสี้ยวหน้าขาวๆของอาลอที่เริ่มเด่นชัดจากแสงสว่างด้านนอก ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าและคลายออกอย่างคนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง
“อาลอ...”ที่สุดก็ยอมเปิดปากเอ่ยเรียกคนข้างๆเสียงแผ่ว
“คะ?”
“กินมั้ยจ๊ะ”มือเล็กยื่นถุงขนมครกไปให้คนที่ทำหน้าที่สารถี พระลอยกยิ้มเจ้าเล่ห์ อันที่จริงเขาไม่ชอบกินขนมที่ใส่กะทิซักเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ทำไม่อยู่ๆวันนี้ก็นึกอยากกินซะอย่างนั้น
“อาลอขับรถอยู่ค่ะ”ลอบสังเกตกริยาเด็กอ้วนๆฟูๆแล้วเกือบจะหลุดขำ ลูกเจี๊ยบทำหน้าเหมือนกำลังตบตีกับความคิดบางอย่างในใจของตัวเอง
“แต่ถ้าเจี๊ยบจะใจดีป้อนอา อาก็จะดีใจมาก”
ป้อนอาหน่อย อาอ่อยนานแล้ว ติดแฮชแท็กด้วยได้มั้ย
“งั้นเดี๋ยวหนูป้อนอาลอนะ”เด็กก็คือเด็กวันยันค่ำ หลอกง๊ายง่าย มันน่าหลอกไปทำอย่างอื่นที่ตื่นเต้นๆอ่ะเนอะ
มือเล็กยื่นขนมครกมาจ่อปากคนเป็นอา พระลอมองปลายนิ้วสะอาดนั้นก่อนจะอ้าปากรับขนมครกโดยทำเนียนดูดเอานิ้วมือหลานเข้าไปด้วย เสียงดังจ๊วบพร้อมความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากคนที่ขึ้นชื่อว่าอาทำให้ใจดวงน้อยกระตุกวูบอย่างรุนแรง
“หวานจังเลยค่ะ”ไม่เว้นวรรคให้คนเด็กคลายความเขินสายตาหวานหยาดเยิ้มก็มองจ้องราวคนหน้าด้าน ศตายุอมยิ้มจนแก้มแทบแตก
ขนมครกที่ไหนจะมาหวานกันเล่า อาลอขี้ตู่จริงเชียว ศตายุป้อนขนมเข้าปากตนเองกับพระลอสลับกันไปจนชายหนุ่มบอกพอเพราะปกติไม่กินขนมที่มีกะทิมากนัก หันมาให้ความสนใจกับคนเด็กที่ยังคงนั่งกินขนมครกอย่างเอร่ดอร่อยอยู่คนเดียวแทน
“หนูหายไม่สบายดีแล้วจริงๆเหรอคะ”คนแก่กว่าเหมือนนึกได้เอ่ยถามอย่างห่วงใจ เจ้าเจี๊ยบน้อยที่กำลังหย่อนขนมครกเข้าปากพยักหน้ารับหงึกหงัก แก้มฟูยิ่งอูมเข้าไปใหญ่เมื่อเจ้าตัวยัดขนมอีกฝาเข้าปากตามไปติดๆ
“หายดีแล้วจ้า สบายมากๆเลยตอนนี้”
“หายดีก็ดีแล้ว...”ลลิตภัทรหันไปมองหลายคำพูดที่จะพูดต่อถูกกลืนหายไปในลำคอทันที เพราะศตายุยัดขนมเข้าปากไป 2 อันติด คราบกระทิจึงเล็ดมาเปื้อนริมฝีปาก และศตายุกำลังใช้ลิ้นกวาดคราบขาวของกะทิออก
เด็กน่ะ มันไม่คิดอะไรหรอก แต่อิ่ผู้ใหญ่นี่สิ ใจอกุศลคิดเป็นฉาก 18+ ไปเรียบร้อยแล้ว
“อาลอเป็นอะไรจ๊ะ หน้าแดงๆ”ศตายุที่กวาดเอากระทิเข้าปากไปเรียบร้อยแล้วหันมาเจอพระลอหน้าแดงไปยั้นหูยั้นคอได้แต่เอียงคอถามอย่างแปลกใจ
ให้ตายเหอะ ขอหูกระต่ายกับถุงน่องตาข่ายให้ลลิตภัทรซักชุดแล้วจะไม่ลืมพระคุณเลย
“ป่ะ..เปล่าค่ะ สงสัยอากาศจะร้อน”
“หกโมงเช้าเนี่ยนะ หนูก็ว่าอากาศกำลังดีนะ ไม่เห็นจะร้อนเลย”คนเด็กว่าพลางเปิดหน้าต่างรถเพื่อเช็คสภาพอากาศ ก็เย็นดีนี่นา แล้วอาลอร้อนอะไรตรงไหนเนี่ย
แปลกคน...
เกือบ 7 โมงเช้า รถกระบะของพระลอก็เข้ามาจอดเทียบ บรรดาพ่อครัวแม่ครัวเข้ามาช่วยกันยกของลงจากรถใช้เวลาไม่นานก็แล้วเสร็จ พวกของสดถูกน้ำไปแช่ในถังน้ำแข็งใบใหญ่ ผักสารพัดชนิดที่ไม่ต้องแช่ถูกนำไปวางไว้มุมครัวบางส่วนถูกแบ่งออกมาเพื่อเตรียมทำกับข้าวเลี้ยงพระเพล สำรับสำหรับเลี้ยงพระเช้าถูกจัดเตรียมไว้แล้วทั้งคาวหวานรวมถึงผลไม้หลากหลายชนิด พิธีตอนเช้าเริ่มต้นขึ้นหลังจากพระขึ้นไปบนเรือน ศตายุและพระลอนั่งคู่กันพนมมือฟังพระอย่างสงบ ลูกเจี๊ยบไม่มีกริยายุกยิกซุกซนเหมือนที่เคยเลยซักนิด เมื่อพระสงฆ์สวดจบบรรดาแม่ครัวก็ทยอยกันยกอาหารขึ้นไปประเคนพระ ศตายุยื่นจานอาหารหลากหลายให้พระลอส่งต่อกันไปให้คนบนบ้าน ปลายนิ้วแตะกันเพียงน้อยแต่ทำเอาคนเด็กแก้มแดงปลั่ง ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็อมยิ้มอย่างชอบใจ
หลังพระฉันท์เช้าเสร็จบรรดาแม่ๆก็ร้องเรียกให้แขกและผู้มาช่วยงานล้อมวงกินข้าว ศตายุตักข้าวให้ย่าโฉมและพระลอส่วนตนเองนั่งตรงกลางระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองคอยตักกับข้าวให้ทั้งย่าโฉมและพระลอไม่ได้ขาด
“แหม ปรนนิบัติพัดวีดีแบบนี้ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงฉันเป็นพี่โฉมฉันจะไปขอมาหมั้นมาหมายกับพ่อลอเลยเนี่ย”ผู้หญิงวัยรุ่นราวคราวเดียวกับย่าโฉมเอ่ยทัก ศตายุนั่งเงียบไม่ได้ตอบโต้อะไรพระลอเห็นหลานก้มหน้างุดก็ตักปลาทอดให้ลูกเจี๊ยบเงียบๆ
“กินข้าวเถอะ”
“เด็กมันนิสัยดี เจี๊ยบนี่ฉันก็เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก็ไม่แปลกหรอกที่หลานมันจะช่างเอาอกเอาใจ รักเหมือนลูกเหมือนหลานแท้ๆ”ยังไม่ทันที่จะมีบทสนทนาอื่นใด้เพิ่มเติมร่างของศตายุก็โอนโอบกอดจากทางด้านหลัง
“โอ๊ะ!!”
“ลูกเจี๊ยบของเฮียยยยยย”เสียงทักทายด้านหลังทำให้ศตายุหันไปมองก็พบกับรุ่นพี่ที่สนิทกันมากกำลังกอดตนเองจากทางด้านหลัง
“พี่สอง!! กลับมาตอนไหนทำไมเจี๊ยบไม่เห็นอ่ะ”สอง หรือสรุศักดิ์ลูกชายคนรองของทิดอ่ำยกมือไหว้ผู้ใหญ่รอบโต๊ะ ชายหนุ่มตีรถกลับมาร่วมงานบวชของพี่ชายคนโตหลังสอบเสร็จ บรรดาคนแก่ต่างเอ่ยทักกันเกรียวกราวแสดงถึงความโซฮอตของเจ้าตัว
เมื่อก่อนมีเจี๊ยบที่ไหนมีสองที่นั่น
เป็นคู่หูกันมาตั้งแต่เจี๊ยบยังเด็ก
“กลับมาเมื่อกี๊เอ็งเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวถึงไม่รู้ว่าพี่มา น่าน้อยใจชิบหาย”
“แล้วกินข้าวยังเนี่ยพ่อกับแม่พี่อยู่ข้างบนไปหามาแล้วหรือยัง”
“เดี๋ยวค่อยไปหา มาหามึงก่อนคิดถึงชิบหายมาให้พี่ฟัดแก้มหน่อยซิ๊ไม่เจอปีเดียวทำไมแก้มฟูจังวะ”
“งื้อ...หนูโตแล้วนะพี่สองจะมาหอมแก้มได้ไงอายคนเขา”คนตัวเล็กดันหน้าของพี่ที่สนิทออกไปทันที พระลอมองเด็กสองคนหยอกล้อกันแล้วก็รู้สึกหัวร้อนแปลกๆ
คือไอ้สองไอ้สามสี่ห้าหกเจ็ดแปดนี่มันเป็นใครก็ไม่รู้ แต่มันมาแป๊บเดียวมันทั้งกอดทั้งลูบลูกเจี๊ยบของเขาได้มากพอๆกับที่เขาทำมาตลอดเดือนเลยทีเดียว แถมมันทำได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆในขณะที่เขาต้องแอบๆทำ
ไม่ยุติธรรม!!
หลังจากกินข้าวกินปลากันเรียบร้อยแล้ว แม่ครัวก็เริ่มเตรียมกับข้าวสำหรับเลี้ยงเพล พระลอกับสองโดนมอบหมายให้ช่วยหั่นผักเตรียมของต่างๆไว้เพื่อปรุง ส่วนศตายุไปนั่งช่วยย่าโฉมหั่นฟักทองเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อทำสังขยาฟักทอง แยกไว้ 5 ลูกเพื่อทำแบบทั้งลูก
“ย่าจ๋าแกะสลักฟักทองไปด้วยเลยมั้ยเพื่อความสวยงาม”ศตายุเงยหน้าไปถามย่าโฉมที่กำลังตอกไข่เป็ดใส่กะละมังใบใหญ่
“หนูจะแกะเป็นรูปอะไรล่ะ?”
“โปเกม่อน!!”
“งั้นไม่ต้องแกะหรอกพระน่าจะไม่ฉันท์ตัวการ์ตูน”พระลอเอ่ยแซวจนศตายุทำปากยู่ใส่
เนี่ย...ทำอะไรก้น่ารักน่าเอ็นดูน่าบดจูบตลอดอ่ะ
“เดี๋ยวหั่นของเสร็จไปเอาแห้วในถังน้ำแข็งมาหั่นนะลูก เย็นจะทำทับทิมกรอบเมื่อเช้าบ้านตาเฉียบเอามะพร้าวกะทิมาให้สิบกว่าลูก”
“ดีจังหนูอยากกิน”
“ตะกละนะมึงไอ้เจี๊ยบ”สองโยนมะเขือเปราะใส่น้อง
“แล้วตัวเองไม่ชอบกินหรือไงล่ะ”เถียงเก่ง พระลอมองเด็กสองคนเถียงกันพลางซอยใบมะกรูดที่จะใส่ในหอยดองอย่างใส่อารมณ์เต็มที่ ไม่นานทุกสิ่งที่ต้องเตรียมก็เสร็จพระลอจำใจต้องขอตัวกลับบ้านเพราะพระลักษณ์โทรมาตามให้ไปช่วยที่โรงสี แม้จะเอ่ยปากชวนลูกเจี๊ยบให้กลับด้วยกันแต่เด็กน้อยบอกว่าตนเองต้องกลับพร้อมแม่ พระลอรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กๆเมื่อลูกเจี๊ยบดูจะให้ความสนใจกับรุ่นพี่คนนั้นมากกว่าตน ย่าโฉมจึงถือโอกาสกลับมาบ้านนอนเอนหลังแล้วอาบน้ำอาบท่ากลับไปบ้านงานอีกครั้งในตอนเย็นที่มีกินเลี้ยงครั้งนี้ย่าโฉมไปบ้านงานพร้อมสามีพระลอที่หงุดหงิดกลับมาจึงไม่ได้ตามไปส่ง เขาไม่รู้ว่าป่านนี้ศตายุกลับมาแล้วหรือยังชายหนุ่มเข้านอนในตอนสามทุ่ม
เสียงไก่ขันในรุ่งเช้าพระลอตื่นมาล้างหน้าล้างตา ออกเดินไปดูนาและแปลงผักที่อยู่ข้างบ้าน คนงานเริ่มทยอยมากันตอนเจ็ดโมงครึ่ง เอ่ยทักทายพูดคุยแล้วกลับเข้าบ้านในตอนสาย เสียงหมอทำขวัญนาคดังแว่วมาให้ได้ยิน ทำนองหวานเสนาะพูดถึงบุญคุณน้ำนมของแม่การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ให้มาตั้งแต่แรกคลอด หน้าที่ๆลูกผู้ชายควรทำ นึกถึงสมัยตนเองบวชพระลอเลือกที่จะบวชเงียบๆในวัดที่กรุงเทพมีเพียงพ่อแม่พี่น้องญาติๆและเพื่อนสนิทเท่านั้น ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปรอที่วัดตอนเขาแห่นาคเข้าโบสถ์ เมื่อขับรถมาถึงทางแยกพระลอก็ต้องหยุดเมื่อขบวนแห่นาคเดินมาถึงก่อน พวกนักเต้นต่างออกลวดลายตามจังหวะแตรวงอย่างเมามันโดยที่ตัวนาคเองก็โดนเขย่าไปตามจังหวะเพลงด้วย สารพัดเพลงถูกเล่นในจังหวะเร้าใจ เสียงโห่ฮิ้วดังมาเรื่อยๆอย่างสนุกสนาน พลันสายตาของลลิตภัทรก็ไปสะดุดกับใครบางคน
ใครบางคนที่มีแก้มฟูๆในชุดเสื้อยืดสีเหลืองอ๋อย กางเกงยีนส์สีซีดยาวแค่เข่า ที่สำคัญบนใบหน้าปรากฏแว่นตาดำกำลังออกสเต็ปกับคนที่ชื่อสองอย่างเมามันส์ ท่าเต้นที่เห็นนั้นเป็นท่าที่อ้อนตีนเป็นที่สุด ทั้งยกแข้งยกขาโบกมือไปมาถอยหน้าถอยหลังเหมือนคนเมาก็ไม่ปาน หากไปเต้นตอนสงกรานต์ท่าเต้นเหล่านี้เป็นท่าเต้นของเด็กแว๊นซ์ดีๆนี่เอง เสียงเพลงขอใจแลกเบอร์โทรดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อถึงจังหวะเอิ้วๆร่างบางนั้นก็เด้งนมเข้าใส่สุรศักดิ์อย่างสู้ตาย
พระลอคิดมาตลอดว่าศตายุเป็นเด็กเรียบร้อย จนกระทั่งมาเห็นคนเด็กกว่าออกสเต็ปอยู่หน้าขบวนแห่นาคนี่เอง...
นักเต้นเท้าไฟประจำหมู่บ้านสินะ...
ลลิตภัทรจะเป็นลม....
ดิ้นเก่งเต้นเก่งจังเลยนะคะหนู มันน่าจะให้มาดิ้นใต้ร่างอาซะจริงๆเลย
..................................................
ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ ลงทะเบียนฝากไว้ตัวเอากลับไปใจให้เก็บรักษา เอิ๊วๆๆๆๆๆๆ
เต้นหน้านาคนี่เป็นการประกาศศักดาว่าข้านี่น่ะนักเต้นตีนทองแห่งท้องทุ่งเลยแหล่ะ ใครเต้นเก่งดูได้จากงานนี้