23:45 น. : The Prim (Safe house)“คุณไฟจะรับอะไรครับ” พี่ธานถาม
“ไวน์” ผมตอบ วางผ้าขนหนูที่เพิ่งใช้เช็ดผมจนแห้งทิ้งบนโซฟา ผมกับพี่ทัพเดินทางมาที่ Safe house ของพี่แก ส่วนพี่ธานเพิ่งตามมาถึงก่อนหน้าที่ผมจะเข้าไปอาบน้ำไม่นานนี้เอง
“มึงไม่คิดจะใส่กางเกงหน่อยรึไง” พี่ทัพที่กำลังจัดเตรียมอาหาร ชะงักเท้าเอวมองมาที่ผมด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย
“ใส่เสื้อกับกางเกงใน ไอ้เหี้ย..มีแต่เขาใส่กางเกงไม่ใส่เสื้อ” อีกฝ่ายส่ายหัว ผมกับพี่ธานยิ้มให้กันน้อย ๆ ผมคว้ารีโมทกดเปลี่ยนช่องแล้วนั่งลง รายการถูกเลื่อนไปเรื่อย ๆ จนถึงช่องฉายภาพยนตร์โรแมนติกที่นาน ๆ ทีจะได้มีโอกาสดู พี่ธานกับพี่ทัพสลับกันเดินนำอาหารและเครื่องดื่มมาจัดเรียงวางบนโต๊ะ
“ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้มึงดูหนังแนวนี้ด้วย” พี่ทัพยิ้ม วางจานอาหารลงแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารกลางห้อง ผมเพียงเงียบมองฉากพระเอกกับนางเอกที่จวนจะเข้าด้ายเข้าเข็มกัน พอนึกอะไรขึ้นได้มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกอย่างไม่รีรอให้ระบบเหตุผลสั่งการ
พี่ธานนำแก้วไวน์แดงยื่นมาให้ โทรศัพท์ถูกแนบอยู่ที่หู ผมรับแก้วมา กลอกตาไปมาพลางยักคิ้วให้อีกฝ่าย พี่ธานยิ้มกว้าง ไวน์ถูกนำขึ้นดมก่อนจิบ หลังเทเอนลงบนเบาะจนกลายเป็นกึ่ง ๆ นั่งจนเกือบนอน ฐานแก้วไวน์วางลงบนเบาะ ขาอ้าออกเล็กน้อยเพื่อความสบายตัว ปลายสายที่ยังไม่รับเสียทีกลับทำให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไวน์จึงถูกยกกรอกเข้าปากอีกทีจนเกือบหมด ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกที่ผมโทรหาเขานอกเหนือจากเรื่องงานเลยละมัง
ใช่แล้ว.. ครั้งแรกนี่หว่า
ไอ้ฉิบหาย!“ฮัลโหล ครับ” สมุทรพูด น้ำเสียงนุ่มทุ้มไม่ได้งัวเงียทำให้ใจชื้นขึ้นนิดหน่อยที่คาดว่าเขายังไม่ได้เข้านอน
“.........” ผมเงียบอย่างกับมีใครมากดปิดสวิตซ์ ปกติเขาต้องพูดอะไรก่อน สมองกำลังประมวลถึงเหตุการณ์ย้อนหลังที่เคยโทรหาคนอื่นก่อน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการชวนออกไปหลับนอนทั้งสิ้น ..
บัดซบ“คุณไฟ” สมุทรเรียก
“ได้ยินไหมครับ..”
“ได้ยิน” ผมตอบ น้ำเสียงทุ้มอยู่ในลำคอ หลังจากที่ปลายสายรู้ว่าผมได้ยินเขาก็เงียบไปเสียเฉย ๆ เราต่างทิ้งช่วงเว้นอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที ผมยกไวน์ที่เหลือดื่มอีกครั้งจนหมดแก้ว พี่ธานที่เพิ่งวางจานอาหารเหลือบมาเห็นแก้วที่ว่างเปล่าของผมพี่เขาก็รีบรินเติมให้อีกครั้ง
“ดื่มอยู่เหรอครับ ?” อีกฝ่ายทัก
“ไหงงั้น” ผมพูดเสียงห้วนแกมหยอก
“ก็เสียงคุณดูเป็นอย่างนั้นน่ะครับ” สมุทรตอบ ผมเพียงอมยิ้มมุมปากรับฟังเท่านั้น
“มีธุระรึเปล่าครับ” อีกฝ่ายถามเข้าประเด็น
“ไม่มี” ผมตอบตรง ๆ พี่ทัพวางกล่องกระดาษทิชชู่ใกล้มือผม คงเพราะรู้ว่าผมมักจะใช้กระดาษทิชชู่บ่อย พี่แกเหลือบมองมาที่ร่างกายผมก่อนถอนหายใจหันไปส่ายหัวให้กับพี่ธาน พี่ธานฉีกยิ้มแต่ยังนิ่งสงบเช่นทุกที
“นี่กูต้องนั่งแดกไปพร้อม ๆ กับดูเป้ามันทั้งคืนรึไงวะ” อีกฝ่ายบ่นทำเอาพี่ธานหลุดหัวเราะ
เสียงโทรทัศน์ถูกหรี่จนเงียบเหลือเพียงภาพที่ดำเนินไปไม่รู้จบ เจ้าของห้องเปลี่ยนเป็นเปิดเพลงแนว R&B แบบที่ไม่ค่อยเข้ากับหน้าเคล้าคลอไปด้วย ผมลุกขึ้นปลีกตัวออกมาอีกฝั่งหนึ่งของห้องนั่งเล่น ความเงียบที่ตรงนี้จึงทำให้ได้ยินเสียงของปลายสายได้ชัดขึ้น กระจกห้องเปิดกว้างเห็นตึกรามบ้านช่อง ท้องฟ้าที่ถูกแสงสีของเมืองกระทบทำให้จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเมืองนี้มันน่าเบื่ออยู่ไม่น้อย ริมฝีปากที่เพิ่งดื่มเครื่องดื่มมาหยก ๆ กลับรู้สึกแห้งขึ้นมาทันทีอย่างนั้น
เรื่องเมื่อเย็นนี้หวนมาให้นึกถึง ผมกำลังรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองถูกสมุทรและพลอยทำให้เป็นคนนอก เพิ่งจะมารู้สึกเดี๋ยวนี้ ก่อนหน้านั้นไม่คิดว่าทั้งคู่ติดต่อกันอยู่ด้วยคำพูดสนิทสนมเช่นนั้น ถ้าทั้งคู่จะสนิทกันจริงจังและให้บอกว่าผมไม่รู้สึกใด ๆ คงจะต้องปฏิเสธ ไม่ว่าจะฝั่งพลอยหรือฝั่งสมุทรมันก็คือคนที่พบปะกันมากกว่าหลายครั้ง ในความสัมพันธ์รูปแบบไม่เชิงปกติ ความจริงแล้วตอนนี้ผมเองก็เหมือนคนที่กำลังลงเล่นเกม เล่นเกมกับพลอยแบบที่อีกฝ่ายไม่ทราบอะไร หากพลอยกำลังทอยลูกเต๋าอยู่เงียบ ๆ ผมเองก็จะทำเหมือนกัน
“ฉัน...” ผมก้มหน้าลง คำพูดที่อยู่ในใจทำให้รู้สึกปากหนักขึ้นมาและเริ่มขนลุกที่ต้นคอ
“แค่อยากได้ยินเสียงน่ะ” ผมพูด น้ำลายถูกกลืนลงคอจนรู้สึกว่ามันชัดเจนเกินไป เสียงใจที่กระหน่ำแรงจนฟังดูน่ารำคาญ แน่นอนว่าปลายสายคงจะไม่ตอบอะไรอยู่แล้ว แล้วกูแม่งพูดเหี้ยอะไรออกไปวะเนี้ย
มึงเป็นเด็กมัธยมปลายรึไง!“ไม่ได้เมานะ” ผมดักทางไว้ก่อนเลย
“ครับ คนเมาเขาก็ชอบพูดประโยคนี้กันทั้งนั้น” อีกฝ่ายตอบ น้ำเสียงยังคงนิ่งตามเคย
“คนเขินก็มักชอบย้อนแบบนายเหมือนกัน” ผมย้อนกวน ทำเอาปลายสายเงียบไปแล้ว
“ฉันก็แค่คิดว่านายคงอยากได้ยินฉันพูดแบบนี้ ก็เลย..พูดดู” ผมขยายความห้วน ๆ เหล่ตามองไปที่รูปภาพที่ติดอยู่บนฝาผนังอย่างอ้อนวอนหาเพื่อนร่วมชะตากรรม
“แล้วนาย ก็คง ยิ้ม..อะไรแบบนั้น” ผมเว้นจังหวะงง ๆ
“เมาก็ไปนอนซะครับ” อีกฝ่ายตอบ ผมกลั้นหัวเราะ
“น้ำเสียงคนเรามันบอกได้นะว่ายิ้มอยู่รึเปล่า” ผมแสยะยิ้ม แซวด้วยน้ำเสียงทุ้มเบาลง
“..........” สมุทรเงียบ
“ถ้านายบอกฝันดีฉันละก็นะ จะวางให้ก็ได้” ผมตัดบท เกือบจะหลุดถามในสิ่งที่ต้องการรู้และคงจะเป็นประโยคที่ละศักดิ์ศรีอย่างน่าอับอายว่า “คุยกับใครอยู่รึเปล่า..?” คำตอบจากอีกฝ่ายถ้าจะโกหกเพื่อรักษาน้ำใจหรือไม่โกหกกลับมาก็คงไม่น่าฟังทั้งนั้นละมัง
“ไม่ครับ” สมุทรตอบเรียบ ๆ
“ไม่เป็นไร ฝันดีก็ฟังดูเห่ยไปนิดหน่อย ก็ไม่ใช่เด็กสิบเจ็ดกันแล้วนี่นะ” ผมเบ้ปาก
“เอาเป็นว่า คืนนี้อย่าคิดมากจนเอาฉันไปฝันก็แล้วกัน เดี๋ยวมันจะแย่กันหมด” ผมยิ้มบอก
สุดท้ายกูก็อดวกกลับมากวนไม่ได้อยู่ดี“หึ ผมคิดว่าน่าจะมีคนแย่กว่าผมนะครับ” สมุทรตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ก่อนชิงตัดสายไปในทันที
“ฮึ!” ผมกระแทกเสียงหัวเราะ ตามองหน้าจอโทรศัพท์ยิ้ม ๆ ลิ้นเกลี่ยริมฝีปากจนเปียกแฉะ
“อย่าให้กูได้นะ ชิ~” เสียงคำรามบ่นรอดออกมาตามไรฟันที่ขบกัด
“จีบใครวะ” พี่ทัพปากมากทันทีที่ผมกลับมาถึงโซฟา
“หึ..เพิ่งเห็นมึงจีบคนอื่น” พี่ทัพบ่นยิ้ม ๆ ปากที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่กลับดูเหมือนไม่สนใจว่าจะได้รับคำตอบหรือไม่ ผมนั่งลงที่เดิม ยกแก้วขึ้นดื่มหมดแก้วอีกครั้งก่อนพ่นลมออกจากปากอย่างแรง “อ้า!”
“พี่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครสักคนไหม ประมาณว่า..” ผมจ้องมองโทรทัศน์ สังเกตถึงอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้และที่ผ่านมา
“กูได้กลิ่นของเซ็กส์ ทุกครั้ง..ที่อยู่ใกล้คน ๆ นี้ ท่าทีกับคำพูดบางอย่าง ที่ดูเหมือนธรรมดา แต่กูกลับมีอารมณ์ กูว่า..มันคือการเกิดมาเพื่อตกกระทบกัน” ผมตาลอยมองหน้าพี่แก
“เฮ้อ ฟังแล้วกูเหนื่อย” อีกฝ่ายทำหน้าหนักใจ
“แล้ว ..ผู้หญิงผู้ชาย ?”
“ผู้ชาย” ผมยิ้มกริ่มพร้อมหยิบสับปะรดเข้าปาก
“งั้นที่ไอ้คินเล่าให้กูฟังก็ไม่ใช่ข่าวโคมลอยน่ะสิ” พี่ทัพแซว
“แถมหัวนมสวยสุด ๆ” ผมยักคิ้ว ขยายความบอกสรรพคุณไปปากก็เคี้ยวสับปะรดไปยิ้ม ๆ ตามองโทรทัศน์แต่ในหัวกลับนึกถึงแต่เรื่องพิเรนทร์ ๆ
“แบบว่า..” ผมหันหน้ากลับมาจ้องหน้าพี่ทัพ มือซ้ายชูขึ้นทำท่าประกอบ อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองตามมือผมงง ๆ ลิ้นถูกดุนไว้ในกระพุ้งแก้มและทิ้งจังหวะใช้ความคิดเพื่อประมวลคำพูดตัวเอง
“รูปหน้าอกกับหัวนมโค้งได้รูป แข็งกำลังดีเลย” ผมตาวาวบรรยาย ขยับรูปมือประกอบ ผู้ชายเพศสภาพปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ตรงหน้ากำลังอ้าปากเหวอด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับไปเสียแล้ว
“ระยำเอ๊ย!” พี่ทัพด่าตาขวาง ผมกับพี่ธานพร้อมใจกันหัวเราะลั่นจนแทบหงายท้อง
“นี่กูอยู่โลกไหนวะเนี้ย” อีกฝ่ายตาลอยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“มันก็เหมือนที่พี่ชอบดูดจุกผู้หญิงแหละน่า ทำเป็นรับไม่ได้ไปได้” ผมย้อน
“พี่จะลองดูหน่อยไหมละ เผื่อติดใจ มันมีเทคนิคที่ถึงพี่ให้ผู้หญิงลองดูดให้ดูมันก็ไม่เหมือนกันหรอกนะ บางทีพี่อาจจะมีพรสวรรค์ทางด้านนั้นแฝงอยู่ก็ได้” ผมเสนอด้วยใบหน้าสนใจขึ้นมา
“คว-ย!” พี่ทัพด่าเสียงแข็ง สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวง
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ผมก้มหน้าหัวเราะอีกครั้ง
“มึงนี่เล่นไปเรื่อย” อีกฝ่ายเอื้อมมือเข้ามาจะตีปราม ผมหลบตัวยิ้ม ๆ
“ลูกน้องกูคิดว่ามึงเป็นโรคจิตจริง ๆ แล้ว ไอ้เหี้ย” พี่ทัพด่าไม่หยุด
“แต่ก็นะ เพราะกูต้องการไอ้ตรงนี้ของมึงที่คนของกูไม่มีนี่แหละ เฮ้อ กูละเบื่อจริง ๆ” อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนกับเป็นหัวข้อที่ไม่อยากยอมรับแต่ต้องยอมจำนน
“ผมก็เบื่อพี่เหมือนกัน” ผมบอก
“ใครจะพูดยังไง แต่ไอ้ความจริงที่ว่าผมชอบหน้าอกแบบพี่ธานมากกว่าของผู้หญิงก็ยังไม่เปลี่ยนอยู่ดีอะนะ” ผมยักไหล่ส่ง ๆ ยักคิ้วไปทางพี่ธานที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัว ใส่เพียงกางเกงขายาว เปลือยท่อนบนไว้เผยให้เห็นสัดส่วนกล้ามเนื้อชัดเจน
“มึงเติบโตมายังไงถึงทำให้มึงเป็นคนแบบนี้” พี่ทัพถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง พี่ธานที่นั่งอยู่ถึงกับก้มหน้ากลั้นหัวเราะจนหูแดงก่ำไปหมด
“ไม่น่าเลยกู..” ผมส่ายหัวไว้อาลัยตัวเอง หยิบส้อมเสียบเนื้อปลาตักเข้าปาก
“ขอกระดาษผมหน่อย” ผมกวักมือ พี่ทัพหันไปเปิดลิ้นชักตั้งโต๊ะข้างโซฟา หยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กกับปากกามาให้ ผมรับมาและเขียนเบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ในหัวลงไป
“ให้” ผมบอก
“อะไร” พี่ทัพถาม หยิบกระดาษไปดู
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าได้มาจาก ‘คุณศพ’ วันนี้” ผมตอบ พี่ทัพมองมาด้วยสีหน้าตกใจ
“อุตส่าห์แอบเอามาให้เลยนะเนี้ย” ผมปั้นหน้ากวน เราสามคนต่างเงียบลง เสียงเพลงที่คลออยู่ไม่ดังนัก พี่ทัพจ้องแน่นิ่งอยู่ที่กระดาษทีท่าสลดผิดปกติ
“เหมือนตอนนี้กูไม่เหลือใคร..” พี่เขาพูดปนหัวเราะ
“ที่จริงกูไม่อยากพูดคำนี้เลยว่ะ คงได้เฉพาะต่อหน้าพวกมึง”
“คดีอะไร” ผมถามเสียงห้วน
“ฟอกเงิน ค้ายา มนุษย์ อวัยวะข้ามชาติ..แก๊งใหญ่” พี่ทัพตอบ ผมหันไปมอง
“เอาซะกูกระเดือกปลาไม่ลง” ผมหยิบไวน์ขึ้นกระดก
“หึ..ไอ้เต้เห็นศพค้าอวัยวะ แม่งอ้วกไปเป็นสิบโลละมั้ง” พี่ทัพหัวเราะ
“กูรู้สึกว่ากูไปแตะโดนคนใหญ่คนโต ใครสักคนที่กูมองไม่เห็น การที่กูกำลังจะกระเด็นออกจากทีม ทำให้กูรู้สึกว่าหน้าที่ที่กูรักษามาอย่างดีสิบกว่าปีแทบไม่เหลือเกียรติห่าอะไรเลย”
“เกียรติมันก็ยังอยู่ที่พี่อะนะ” ผมแซว ทำเอาพี่แกชะงัก
“ไม่มีใครทำลายเกียรติกูได้นอกจากตัวกูเอง ผมคิดแบบนี้มาตลอด ผมนี่มัน..เท่โคตรเลยใช่ไหมละ” ผมปั้นหน้าทะเล้น เงยหน้ามองเพดานด้วยท่าทางภูมิใจ
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” พี่ทัพนั่งขำ ดูท่าจะชอบใจไม่เบา
“พี่กำลังจะบอกว่า มีคนใหญ่คนโตในบ้านเราอยู่เบื้องหลังงั้นเหรอครับ” พี่ธานถาม
“คิดว่างั้นนะ” พี่ทัพผงกหัว
“ก็..บอสก็โดนเบื้องบนว่ามาเหมือนกัน บอกว่าอั๊วบุ่มบ่ามเกินไป บุกเข้าจับกุมกี่ครั้งพลาดจนโดนด่าไม่รู้จะเอาหูไปไว้ตรงไหนแล้ว ที่สำคัญ..สายที่อั๊วส่งเข้าไปสืบลับสองคนก็หายเข้ากลีบเงียบไปซะเฉย ไม่รู้ตอนนี้เป็นตายร้ายดียังไง”
“แล้วพี่จะให้ผมช่วยยังไง ?” ผมถาม
“ตกลงมึงจะช่วยกูใช่ไหม” พี่ทัพยิ้มด้วยท่าทางดีใจ
“กูแค่ถามก่อนเฉย ๆ เว้ย” ผมดักคอมองปรามแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มไม่หุบ
“จิ..เฮ้อ!” ผมถอนหายใจทิ้ง ขมวดคิ้วเป็นปม
“กูไม่ได้ต้องการให้มึงช่วยเต็มตัวหรอก กูแค่อยากได้ข้อมูลบางอย่าง บางอย่างที่สายของกูเข้าไม่ถึง ได้จากมึงน่าจะเร็วกว่า” พี่ทัพบอก เราเงียบกันอีกครั้ง
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไอ้กริดแล้วก็ไอ้กายด้วย” ผมถามถึงคนที่ไม่อยากแตะต้องมากที่สุด มันน่าเบื่อ
“ไอ้กริดทำงานให้ไอ้กาย เรารู้อยู่แล้วว่าพวกมันค้ายา แต่แค่จับคาหนังคาเขาไม่ได้ มันสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานนี้ กูตามสืบเรื่องไอ้กายมานานแล้ว เหมือนกับว่าไอ้กายตั้งใจใช้ไอ้กริดเป็นเครื่องมือ” พี่ทัพตอบ
“ก็คงงั้น ไอ้กริดไม่น่าฉลาดทำงานใหญ่ขนาดนั้น” ผมหัวเราะเยาะอย่างอดไม่ได้
“ไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา มันเพิ่งมาทำท่าจะขอซื้อที่ดินของผมที่ภูเก็ต” ผมเล่า เท้าแขนไว้บนหน้าตัก แขนขวาหยิบส้อมจิ้มแครอทเข้าปาก
“เสี่ยปรีดาน่ะ..” พี่ทัพเอ่ยเสียงเบา ผมกับพี่ธานจ้องเขม็งมองหน้าพี่แกในทันทีที่ได้ยินชื่อนี้
“น่าจะอยู่ในขบวนการนี้ด้วย” พี่เขาขยายความ ผมไม่คิดตอบหรือพูดให้ข้อมูลในส่วนของผมที่พอมีอยู่ พี่ทัพหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักยื่นมาให้ ผมรับมาเปิดดู ในนั้นเต็มไปด้วยรูปภาพของศพที่ถูกคว้านเอาอวัยวะไปทั้งหมด สภาพไม่ชวนมองสักนิด ไม่เลย..สักนิดเดียว
“เจ้านายของพวมกัน ใครสักคนที่เหี้ยมเหี้ย ๆ แถมเส้นหนายิ่งกว่าอุด้ง” พี่ทัพบ่นแกมประชด ผมกับพี่ธานขำให้กับไอ้มุขอุด้งที่อยู่ ๆ ก็โผล่มา รูปภาพถูกสอดกลับเข้าซองอย่างเดิมแล้วยื่นต่อให้พี่ธาน พี่แกรับไปเปิดดูเช่นกัน
“คุณสืบประวัติไอ้กายแล้วเหรอครับ” พี่ธานถาม
“พ่อแม่ถูกฆ่าตาย เติมโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มีคนอุปการะให้ไปเรียนต่อสายอาชีพที่ประเทศอเมริกา ประเด็นคือ..คนอุปการะไม่ได้แจ้งชื่อ” พี่ทัพตอบ ผมนั่งเฉย รักษาความเงียบเอาไว้
“ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ตอนนี้กูสรุปเจาะจงอะไรไม่ได้มาก ถ้ารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังไอ้กาย..งานคงง่ายกว่านี้”
“อยากลาออกฉิบหาย” พี่ทัพถอนหายใจเหนื่อย ๆ
“ทำงานลืมตาย ขนาดเมียยังทิ้ง” อีกฝ่ายไม่หยุดบ่นความในใจ
“หึ..” ผมอมยิ้ม อ้าแขนออกพาดโซฟา นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินผู้ชายคนนี้พูดแบบนี้กับงานที่รักด้วยใจ บ้านพี่ทัพมีฐานะดีมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นตาโน่นแล้ว กับการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเรียบ ๆ ของพี่แกถ้าไม่ต้องทำมาหากินก็ยังอยู่ได้สบาย ๆ ถึงจะใจรักมากแค่ไหน
คนเรามันก็คงต้องมีเรื่องสุดทนกันบ้างละนะ“มีข้อมูลแค่นี้เหรอ” ผมถามห้วน ๆ แกมประชด
“มีอีกเยอะเลย ถ้าลื้อยอมรับปากตรงนี้ว่าผมจะช่วยพี่เองอะนะ คุยกันยาวได้ทั้งคืน!” พี่ทัพกวนกลับตาเบิกโต ผมสบถพร้อมกลอกตาหนีไอ้บ้านี่
“ผมบอกไว้ก่อนนะ ..แค่บางเรื่อง” ...............(ไฟ)..............