┤S i n c e r e├
ปลดเปลื้องเหตุผลทั้งหมดทิ้งไป
เหลือแค่ร่างเปล่าเปลือยของเรา และความรู้สึกอันเป็นเนื้อแท้
ให้ไอร้อนจากตัวฉัน เคลือบอยู่บนผิวของนาย
ให้ร่างกายเราสองหลอมรวม..เพื่อเราจะไม่พรากจากกันอีก
ในฝันร้ายเบื้องหลังเปลือกตา..
กระซิบคำรัก และเอ่ยคำลวงกับฉันเถิด
โปรดบอกฉันสักครั้ง..ว่าเราจะไม่หันหลังกลับไป...
03 : Bittersweet Nightmare
ผมตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนตั้งไว้
กริ่งของนาฬิกาซึ่งปกติไม่ค่อยได้ใช้นักแผดลั่นทั้งห้อง ปกติผมใช้มือถือตั้งปลุกมากกว่า พอได้ยินเสียงแหลมน่ารำคาญเช่นนี้จึงรู้สึกว่ามันหนวกหูจนชวนหงุดหงิด ผมควานมือเปะปะเพื่อปิดมันเสีย แต่อาการวิงเวียนก็เข้าจู่โจมทันทีที่ผงกศีรษะขึ้นมา ผะอืดผะอมและปั่นป่วนในท้อง ยิ่งหาปุ่มปิดไม่เจอยิ่งงุ่นง่าน สุดท้ายก็ปัดมันกระเด็นหล่นพื้น เสียงหน้าปัดกระจกแตกเป็นเสี่ยงติดหูและคงหลอกหลอนผมไปอีกพักใหญ่
กริ่งของนาฬิกาจบลงแค่ตรงนั้น เหลือแค่เสียงหายใจแรง ๆ ของผมที่ล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียง ดิ้นรนกับการประท้วงจากร่างกายเมื่อยขบ พยายามลืมตาขึ้นสู้แสง เพิ่งตระหนักได้ตอนนั้นว่าผมกำลังนอนอยู่บนเตียงของวี แต่สวมชุดนอนของตัวเองเรียบร้อย..
“....วี..?”
ผมเด้งตัวขึ้นนั่งบนเตียง ห้องหมุนติ้วอยู่อีกวูบใหญ่ เหลียวมองไปรอบห้องแต่ไม่เห็นใครสักคน นาฬิกาแขวนผนังอีกฝั่งบอกเวลาแปดโมงครึ่ง วีคงเป็นคนตั้งนาฬิกาบนหัวเตียงไว้ เขารู้ตารางเรียนของผม
ผมเงี่ยหูฟังเสียงข้างนอก ทว่าไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต
ไม่อยู่..?
ความทรงจำผสมกันมั่วไปหมด ต้องตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่กว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเริ่มไล่เรียงเป็นลำดับ
คืนก่อนหน้าผมออกไปจากอพาร์ตเม้นต์กลางดึก หลังจากเกือบทำอะไรเลยเถิดกับวี...หรือบางทีอาจเรียกว่ามันเลยไปไกลแล้ว ผมปล่อยเขาทิ้งไว้ในสภาพครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทั้งที่เป็นคนเริ่มสัมผัสรุกเร้าเขาก่อน ทนกับความรู้สึกทั้งรักทั้งเจ็บจนเจียนคลั่งไม่ไหว และเมื่อได้ยินถ้อยคำเขาว่าเราเป็นพี่น้องกัน ผมก็ไม่สามารถสู้หน้าเขาได้อีกจนต้องหนีออกมา ไม่ได้หยิบมือถือหรือเงินติดตัวมาด้วยสักบาท
ผมนั่งสงบสติอารมณ์หน้าร้านสะดวกซื้อไม่ไกลจากอพาร์ตเม้นต์นัก อยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง ก่อนจะเจอบาสที่เดินสะโหลสะเหลออกจากประตูอัตโนมัติของร้านตอนใกล้รุ่ง มือหิ้วถุงพลาสติก อีกมือถือขวดกระทิงแดง ผมเพิ่งเห็นมันตอนกำลังจะเดินออก แต่ไม่รู้เดินผ่านเข้าไปตั้งแต่ตอนไหน อันที่จริงต้องเรียกว่าบาสเห็นผมก่อนมากกว่า
“ไอ้วิน!?”
ผมเงยหน้า ทำตาโหลใส่มัน
บาสโคลงศีรษะ หน้าตาอิดโรยไม่แพ้กัน ดูจากท่าทางและของที่ซื้อคงปั่นงานหามรุ่งหามค่ำด้วยสภาพเหมือนผมก่อนเกิดเรื่องกับวี
“มานั่งทำอะไรตรงนี้วะ” อีกฝ่ายว่าพลางหยิบกาแฟกระป๋องในถุงโยนมาให้
“เรื่อย ๆ น่ะ” ผมถอนหายใจ เปิดกระป๋องแล้วยกกาแฟกรอกปากตัวเอง เพิ่งจำได้ว่าหิวอยู่ตั้งแต่เมื่อตีสองจนตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง อย่างน้อยกาแฟสักหน่อยก็ยังดี
“งานล่ะ?”
“ไว้ก่อน”
“เป็นไร” บาสเลิกคิ้ว “ทะเลาะกับพี่ชาย?”
“นายรู้?”
อีกฝ่ายยักไหล่ โยนขวดกระทิงแดงเปล่าลงถังขยะ “เดาน่ะ ปกติเรื่องที่ทำให้กลายเป็นหมาหงอยได้ก็เห็นมีอยู่เรื่องเดียว”
ผมก้มลงซบหน้าบนฝ่ามือตัวเอง บาสเองก็รู้ว่าผมคิดอย่างไรกับวี น่าหัวเราะที่แม้ตั้งใจเก็บไว้คนเดียว แต่เพื่อนผมกลับสังเกตเรื่องนั้นได้ แล้วอย่างนี้วีจะเอะใจบ้างหรือเปล่า หรือเขารู้อยู่แล้วจึงได้คอยย้ำกับผมเสมอว่าเราเป็นพี่น้องกัน
“บาส”
“หือ”
“ขอไปพักหอนายแป๊บดิ”
มันปรายตา ยืนค้ำหัว ถามกลับเสียงเรียบ “แป๊บคือนานเท่าไหร่”
“...ไม่รู้”
บาสไม่ตอบ แต่ผมก็ถือวิสาสะตามมันไปถึงห้องพัก ยึดเก้าอี้ที่มุมหนึ่งของห้องมันแล้วเอาแต่เหม่อมองออกนอกหน้าต่าง ส่วนเจ้าของห้องก็ทำงานของตัวเองไป ไม่สนใจผมที่มาขอเกาะเป็นเห็บ งานตัวเองไม่เสร็จเหมือนกันยังมัวแต่มานั่งจิตตกตั้งแต่เช้าจนบ่าย หมกมุ่นอยู่กับความสงสัยว่าวีจะกำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่า จะคิดอะไรอยู่หลังจากผมล่วงเกินเขาไปอย่างนั้นแล้วหนีออกมา
เขาไม่ได้ติดต่อมาเลย แต่นั่นละ..ผมทิ้งมือถือไว้ที่ห้อง บอกแค่ไปหาเพื่อน ไม่รู้จะให้เขาติดต่อทางไหนหรือผ่านใครเหมือนกัน
“บาส”
ผมทำตัวเป็นเห็บหมาที่งี่เง่าอีกครั้ง ด้วยการสะกิดเพื่อนซึ่งกำลังฟุบหลับหลังจากทำงานต่อเนื่องมาหลายชั่วโมง
มันเงยหน้าขึ้นมา ถามเสียงงัวเงีย “อะไร”
“ไปกินเหล้ากัน”
“งานฉัน”
ผมพยักหน้าเข้าใจ “งั้นขอยืมตังค์หน่อย”
บาสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นยืน ตบไหล่ผม เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับมือถือ จากนั้นก็เดินนำออกไป
เรานั่งแช่อยู่ร้านเหล้ากันตั้งแต่บ่ายยันค่ำ ไม่รู้ว่าหลังจากเริ่มเมาแล้วผมหลุดปากเรื่องอะไรออกไปบ้าง แต่ที่แน่ ๆ คือผมคายของเก่าออกทางปากชุดใหญ่ แล้วไม่นานจากนั้นวีก็กระหืดกระหอบมายืนอยู่ต่อหน้า
ผมดีใจที่เขามา ความหวาดหวั่นหายไปแล้ว ของเหลวสีอำพันที่ผมกรอกปากตัวเองมาตั้งแต่บ่าย ไม่ได้ทำให้ผมลืมเรื่องราวหรือความรู้สึกที่มีต่อเขา แต่มันละลายความกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันไปต่างหาก
ผมยืนโงนเงน เดินให้ตรงยังทำไม่ได้ ทิ้งน้ำหนักใส่เขา กว่าเราจะกลับถึงห้อง ปล่อยผมแผ่อยู่บนโซฟา ก็ทำเอาวีส่งเสียงหอบหนัก ๆ
ผมกอดเขา เรียกเขาว่าพี่ รู้ว่าพอเรียกอย่างนี้แล้วเขามักใจอ่อน แต่ผมไม่ได้อยากให้เขาเป็นแค่พี่เลย...ไม่เลยสักนิด
โดยเฉพาะตอนที่วีพูดว่าเขาก็รักผมน้ำตาเขาเอ่อคลอ เราบอกรักกันซ้ำไปซ้ำมาในจูบ แต่ผมไม่รู้อีกแล้วว่ามันหมายถึงอะไร
ที่รู้คือผมจำภาพเขาได้ ร่างกายร้อนผ่าวและสั่นระริก หยาดเหงื่อโซมกาย ใบหน้าแดงซ่านกับไฝเล็ก ๆ ตรงหางตาและต้นคอที่ผมย้ำจูบลงไป รสหวานละมุนนั้นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นผม ตัดกับรสเค็มแปร่งของน้ำตาบนแก้มวี เสียงครางเขาหวานหู แต่แล้วกลับเปลี่ยนเป็นสะอื้นเมื่อผมกระแทกกระทั้นเข้าหา รุกล้ำในส่วนที่ไม่ควร หาความสุขกับเรือนร่างเขา กอดเขาไว้จนแน่นที่สุด บดเบียดตัวเองให้ลึกที่สุด...
วีร้องไห้ บอกว่ารักผม ต่อให้พอรุ่งเช้าผมจะลืมคำพูดเขา
...แต่ผมไม่ลืม....ทั้งยังจำได้ ว่าวีไม่พูดเรื่องเราเป็นพี่น้องกันอีกแม้แต่คำเดียว
มือผมสั่น รวมทั้งเนื้อตัวผมก็พลอยสั่นเทิ้มไปหมดเมื่อตระหนักได้ว่าทำอะไรลงไป เขาอาจเกลียดผมแล้วก็ได้...และนั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย
ผมกอดเขา...จูบเขา....ทำเขาร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า...
...ผมมีอะไรกับเขา....กับพี่ชายร่วมสายเลือดของตัวเอง
“…ไอ้เหี้ยวิน....”
เสียงผมแหบแห้ง หัวใจผมเหมือนจะขาด
“...มึงนี่มัน....”
เช้านั้นผมไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย ผมขาดเรียนครึ่งเช้า นั่งตีอกชกหัวอยู่บนเตียง และใช้เวลาที่ควรเข้าเรียนไปกับการนั่งร้องไห้เหมือนคนบ้า
บาสโทรมาตอนสายโด่งแต่ผมไม่มีแก่ใจรับสาย สุดท้ายก็มีแต่เสียงเตือนข้อความเข้า ทว่าผมก็ไม่ได้เปิดดูอยู่ดี เป็นชั่วโมงผ่านไป กว่าผมจะลุกขึ้นมาเดินเตร่อยู่ในห้อง ก้มลงมองผ้าปูที่นอนผืนหนึ่งซึ่งถูกขยำอยู่ในตะกร้า หยิบออกมาคลี่ดู เห็นทั้งคราบคาวสีขาวขุ่น และคราบเลือดเป็นดวงเล็ก ๆ
“...”
ผมขมวดคิ้ว หย่อนมันลงที่เดิม รวมกับเสื้อผ้ายับย่นของวีและของผมเองที่สวมไว้เมื่อวานนี้ สภาพผมเมื่อวานคงสกปรกเหมือนหมา แต่ตอนนี้กลับเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน สวมชุดนอนตัวที่ใส่สบาย จำได้ว่าวีเป็นคนซื้อชุดนี้ให้ผม เข้าคู่กับของเขาที่มีอีกชุดแต่เป็นคนละสี หลังจากเกิดเรื่องแบบนั้น วียังอุตส่าห์มาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมอีก
"อึ้ก!"ผมเม้มปาก กลั้นเสียงสะอื้นน่าสมเพช วีไม่ควรใจดีกับผมอย่างนี้เลย เพราะมันจะทำให้ผมหลงผิดไปว่าเขาเองก็รักผมในความหมายเดียวกัน จนผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เหมือนอย่างที่เพิ่งเกิด
ผมยกมือปิดหน้า เงยขึ้นให้น้ำตาที่กำลังจะไหลอีกครั้งไม่ร่วงลงมา แต่มันก็ยังเอ่อล้นจนหยดลงข้างแก้มจนได้
“...วี...ฉันขอโทษ...”
โทรศัพท์มือถือผมดังอีกครั้ง เป็นบาสอีกแล้ว แต่คราวนี้เพียงแค่ไม่นานก็เงียบไป แล้วมีข้อความถูกส่งมาแทน ผมกดไล่ดูตั้งแต่อันที่ไม่ได้อ่านก่อนหน้านี้ เลื่อนมาถึงข้อความล่าสุดที่เพิ่งได้รับ
‘วิน พี่แกเอาใบลาป่วยมาฝากยื่น บอกว่าไม่สบาย เมาค้างรึไง’
‘บ่ายนี้ต้องคุยกับอาจารย์เรื่องงานกลุ่ม ถ้าไม่ได้ป่วยแบบใบลานั่นก็มาด้วย’วีส่งใบลาป่วยให้ผม?
ผมยกมือลูบหน้า ร้องไห้จนปวดตาไปหมด เหลือบมองนาฬิกาก็ใกล้เที่ยงเข้าไปแล้ว อยากโทรหาวีถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแต่ไม่กล้า เขาต่างหากเป็นฝ่ายที่ควรลาหยุด ไม่ใช่ไปลาป่วยให้ผม
บ่ายนั้นผมเดินเข้าคณะด้วยสีหน้าหดหู่ เพื่อนหลายคนมองมาแต่ผมไม่ได้ใส่ใจ บางคนเดินเข้ามาถามว่าหายป่วยแล้วหรือ แต่ผมไม่ได้ป่วย ผมแค่งี่เง่า เรื่องนั้นรู้ตัวดีที่สุด ทว่าไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
บาสเหลือบมองผมด้วยหางตา ตบไหล่แรง ๆ ครั้งหนึ่งเหมือนจะเรียกสติ ระหว่างที่เราเดินรั้งท้ายกลุ่มเพื่อนที่จะไปพบอาจารย์ด้วยกัน
“ก็กะอยู่แล้วว่าไม่เป็นอะไร” มันทัก
“นายเจอวีหรือ?”
“เมื่อเช้า มาฝากใบลากับใบรับรองแพทย์ที่มีชื่อแก ไม่ใช่ลายเซ็นแกใช่ไหม แต่ลายมือคล้ายกันอยู่”
ผมส่ายหน้า จะไปเซ็นได้อย่างไร ผมหลับไม่รู้เรื่องจนนาฬิกาที่วีตั้งไว้ดังนั่นละ
“เขาเป็นไงบ้าง” กลั้นใจเอ่ยปากถาม แล้วก็รอฟังคำตอบด้วยความหวาดหวั่นเสียเอง
“สภาพคล้าย ๆ แก” บาสเอ่ยเสียงเบา “ตาบวมกว่านิดหน่อย...กับ...”
บาสเงียบไป แล้วก็พึมพำต่อเสียงแผ่วกว่าเดิม
“...รอยที่คอ”
ผมใจหายวาบ
“มีเพิ่มขึ้นอีก จากตอนที่เขามารับแกที่ร้านเหล้า...”
“...อา...”
“..แก..ทำ....กับพี่ชายหรือ?”
ผมเงียบไป...และเราเดินมาถึงห้องที่นัดไว้กับอาจารย์พอดี ผมจึงไม่ได้ตอบคำถามนั้น
จนถึงตอนเย็น ผมก็ยังไม่ได้เจอกับวี ไม่ได้โทรหาวี บาสแยกออกไปก่อนแล้ว เหลือแต่ผมที่นั่งกุมหน้าผากอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนใต้ร่มไม้ข้างตึกคณะ ยังคิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป วีจะเกลียดผมหรือเปล่า ถ้าเจอหน้าเขาแล้วผมจะพูดอะไร ทำหน้าแบบไหน ผมควรบอกเขาว่าจำเรื่องทั้งหมดได้หรือทำเป็นลืมมันไปเสีย แบบไหนจึงจะดีกับเขามากกว่า
หากบอกว่าจำเรื่องเมื่อคืนได้ทุกอย่าง นั่นหมายความว่าวีจะรู้เรื่องผมคิดไม่ซื่อกับเขาจริง ๆ แล้วต่อจากนี้เราจะเข้าหน้ากันได้อย่างไร
แต่ถ้าผมบอกว่าจำเหตุการณ์ไม่ได้ หรืออ้างว่าทำไปเพราะเมา ก็เท่ากับเป็นการผลักความผิดที่ได้ร่วมกันทำทั้งหมดนี้ให้วีแบกรับไปคนเดียว เขาจะต้องร้องไห้อีกสักกี่ครั้ง แล้วผมจะทนเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขาได้หรือ?
ผมสับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว.. พอไม่มีเขาอยู่ด้วย ผมก็กลายเป็นไอ้บ้าที่เอาแต่เพ้อเจ้อ แต่พออยู่กับเขา ผมก็เป็นไอ้บ้าอีกคนที่ห้ามหัวใจและการกระทำของตัวเองไม่ได้....
“วิน”เสียงคุ้นหู ผมจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้บ่อย ๆ อยู่เกือบสามเดือน จนกระทั่งร้างรากันไปเมื่อราวสามสัปดาห์ก่อน
“พี่จูน?”
“วิน..มีคนบอกว่าวินไม่สบาย” เธอส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใย ยื่นมือมาแตะหน้าผากผม “ไม่มีไข้แล้วนี่นา ค่อยโล่งใจหน่อย”
ผมนั่งหลังตรง พยายามทำตัวเป็นปกติ
“ผมไม่ได้เป็นอะไร”
อดีตแฟนคนล่าสุดของผมถอนหายใจโล่งอก ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ขยับขาไขว่ห้าง กระโปรงสีดำของเธอร่นขึ้นมาถึงกลางต้นขา
“ดีแล้ว พี่เป็นห่วงแทบแย่ ตานายดูช้ำ ๆ ยังไงไม่รู้...” เธอยิ้มบาง “...พี่เป็นห่วงมาตลอด ตั้งแต่เรื่องวันนั้น”
“ผมไม่เป็นไร” ผมย้ำ ที่ตาผมช้ำวันนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ ต่อให้เธอจะพยายามเอามันมาโยงกับการบอกเลิกครั้งก่อนก็ตาม
“วิน..นายยังโกรธพี่อยู่หรือที่บอกเลิกนาย”
“เปล่า”
“พี่ขอโทษ พี่รู้ว่านายเสียใจ”
“ผมไม่ได้เสียใจ”
“ขอโทษจริง ๆ”
“ผมไม่ได้โกรธ และไม่ได้เสียใจอะไรทั้งนั้น”
ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน เตรียมเดินออกจากตรงนั้น แต่กลับมีแขนเล็ก ๆ เอื้อมมารั้งไว้จากข้างหลัง
“วิน..” พี่จูนเรียกชื่อผมเสียงสั่น “พี่จะไม่เซ้าซี้ ไม่ทำตัวน่ารำคาญ ไม่วุ่นวายเรื่องนายกับแฝดของนายอีกแล้ว..”
“ดีแล้วครับ”
“...เรากลับมาคบกันอีกครั้งเถอะนะ”
“พี่จูน”
“ให้โอกาสเราเริ่มใหม่นะ...นะ....วิน....นะคะ”
ผมหันกลับไปมองหน้าเธอ พี่จูน รุ่นพี่ผู้หญิงที่เพิ่งเลิกกันไปเมื่อสามสัปดาห์ก่อน เธอเป็นคนขอแยกทางเองเพราะทนไม่ได้ที่ผมให้ความสำคัญกับวีมากกว่าคนอื่น และตอนนี้กำลังทำสายตาวิงวอน บอกว่าอยากกลับไปคบกันอีกครั้ง
พี่จูนตัวเล็ก ผมดำขลับ ดวงหน้าอ่อนโยน ไฝเม็ดเล็ก ๆ ที่คางเธอทำให้ผมนึกถึงวี เห็นแต่ภาพวีอยู่เต็มหัว ไม่รู้ตัวว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี จะกลับไปคบเธออีกครั้งทั้งที่ไม่ได้รู้สึกรัก ทำเหมือนที่ผ่านมาเวลามีผู้หญิงบอกชอบ หรือควรหยุดเรื่องพวกนั้นเสียที ผมจะตามหาคนอื่นอีกเท่าไรจึงแทนวีได้...ผมบ้าไปแล้ว...มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ในเมื่อไม่เคยคิดอยากให้ใครมาแทนเขา ผมอยากได้ตัวและหัวใจเขาต่างหากไม่ใช่ผู้หญิงพวกนี้
“วิน..?”
เธอส่งสำเนียงอ้อนวอน ทว่ามันก็เพียงลอยผ่านหูผมไป
“วิน..มองหน้าพี่..”
เธอทำเสียงแข็งขึ้น ลุกขึ้นยืนต่อหน้า ฝ่ามือและนิ้วเรียวยาววางทาบลงสองข้างแก้มผมเบา ๆ
มือเธออ่อนนุ่ม เล็บเธอทาสีสวยหวาน ริมฝีปากเธอเป็นสีชมพูสด เครื่องหน้าชวนมอง แต่สายตาผมไม่ได้จับจ้องอยู่กับสิ่งใดบนใบหน้านั้น แม้แต่ตอนที่เธอเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ เขย่งบนปลายเท้า แตะริมฝีปากของตัวเองแผ่วเบาบนริมฝีปากของผม
ผมมองไกลออกไป ใต้ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า ขณะที่ยังอยู่ในจูบซึ่งไม่มีความรักเจืออยู่สักนิด
ที่ตรงนั้น ผมสังเกตเห็นบาสยืนมองอยู่พอดี ด้วยสีหน้าไม่ประหลาดใจนัก และผมก็ไม่แปลกใจเช่นกัน แต่คนที่อยู่ข้างบาสต่างหากซึ่งทำให้หัวใจผมร่วงดิ่งลงเหว รีบผลักพี่จูนออกห่างตัว
วียืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาแดงช้ำกำลังมองกลับมาที่ผมเราสบตากันเพียงแวบเดียว ก่อนบาสจะเดินไปบังเขาไว้ จับไหล่วีให้หันหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่อยากให้เขาเห็นผมกับพี่จูน แต่ผมรู้ดีว่าไม่ทัน ระยะทางระหว่างผมกับเขาไม่ใกล้พอจะได้ยินเสียงพูดคุย ทว่าก็ไม่ไกลพอให้มองข้ามไหล่สั่นเทาของเขาที่บาสโอบไว้ และมือเขาที่ยกขึ้นขยี้ตาตัวเอง
“วี!”เขาได้ยิน...ได้ยินแน่นอน แต่ไม่ยอมหันกลับมาตามเสียงเรียก มีแต่ไหล่ไหวระริกที่ดูห่างออกไป เปลี่ยนจากที่แค่ยกมือขยี้ตาเป็นปิดไว้ทั้งหน้า
ผมจะทำให้วีร้องไห้อีกสักกี่ครั้งกัน? ----------| S i n c e r e |----------
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v