9
ฝึกภาษา
"เดทที่ตลาดกับคุณอัลวินเป็นไงบ้าง"
ระหว่างที่นรินทร์กำลังดื่มน้ำเต้าหู้ใส่วุ้นเยอะๆ อย่างที่โปรดปราน ครูสาวร่างอวบก็เดินมาหยุดลงหน้าโต๊ะที่เขานั่งอยู่ ก้มลงมาเท้าคางมอง ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้เขาแทบสำลัก
นรินทร์รีบกลืนน้ำเต้าหู้อึกๆ ก่อนจะปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
"ไม่ได้เดทซักหน่อย!"
"แซวเล่นแค่นี้ ทำไมต้องจริงจัง"
"ผมเปล่า!"
ครูเมย์หรี่ตามองอย่างจับผิดท่าทีที่ลุกลี้ลุกลนจนเกินไปของรุ่นน้องคนสนิท สายตาที่มองมาทำให้นรินทร์รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อย่างบอกไม่ถูก เมธินีเหมือนจะสื่อว่า 'มีพิรุธจังนะริน' ออกมาทางสีหน้า
นรินทร์อยากจะถอนหายใจออกมาที่ตัวเองแสดงอาการตกใจมากเกินไปหน่อย ไม่ใช่ว่าเขินหรืออะไรหรอกนะ ที่ทำหน้าไม่ถูกเพราะพี่เมย์ใช้คำเหมือนเขากับอัลวินเป็นแฟนกันนี่แหละ ห่างหายไปจากการโดนพวกสาวๆ จับจิ้นกับหนุ่มๆ ไปตั้งแต่ช่วงมหา'ลัย พอมาโดนแซวแบบนี้เลยตั้งตัวไม่ทัน
"ตกใจเกินกว่าเหตุนะ"
เธอเลือกที่จะพูดออกมาแค่นี้ด้วยเสียงไม่จริงจังปนหัวเราะ
"แล้วพี่รู้ได้ไงว่าผมไปเดินตลาดกับคุณอัลวิน"
นรินทร์ไม่ปล่อยให้เมธินีถามเกี่ยวกับอาการของเขาไปมากกว่านี้ จึงรีบเป็นฝ่ายถามกลับไปเอง
"ฉันมีสายข่าวเยอะ" ครูเมย์ยักไหล่พลางอมยิ้ม
"พูดอย่างกับเป็นปาปารัสซี"
"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง" เธอหัวเราะ "อย่างคุณอัลวินก็หล่ออย่างกับดาราได้เลยนะ
"พี่เคยเห็นเขาแล้วเหรอ"
"เขามาอยู่สักพักแล้วถ้าไม่เคยเห็นสิแปลก สีผมโดดเด่นซะขนาดนั้น"
นรินทร์หัวเราะ พยักหน้าเห็นด้วย และแล้วภาพของเพื่อนบ้านหน้านิ่งก็ปรากฏขึ้นในหัว จะว่าไปผมสีบลอนด์ของอัลวินตรงโคนก็เป็นสีดำแล้ว แม้จะมีผมสองสีก็ยังดูดี ไม่ได้ดูเหมือนเด็กแว้นแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าเบ้าหน้าก็สำคัญจริงๆ
หน้าหล่อมีชัยไปกว่าครึ่ง แล้วไหนจะบุคลิกภายนอกที่แสนจะดูดีนั่นอีก
"สนิทกันแล้วเหรอ"
"หืม"
ความคิดเพลินๆ ของครูหนุ่มถูกขัดจังหวะโดยเมธินี
"เห็นมีการไปไหนมาไหนด้วยกัน" ครูเมย์เห็นว่านรินทร์ไม่ตอบทันทีเลยพูดเสริมขึ้น
ครูรินนิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะว่า "ก็สนิทกันมากขึ้น...เกินกว่าที่คิดเอาไว้" ประโยคหลังพูดเสียงเบาลง แต่ก็ไม่รอดพ้นที่เมธินีจะได้ยิน
"ยังไงกัน"
"ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะสนิทกับเขาได้ อย่างที่เคยเล่าให้พี่ฟัง เจอกันครั้งแรกก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่ผมไปขอให้เขาช่วยจัน ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเขายอมให้เข้าถึงมากกว่าเดิมจากตอนแรกที่เข้าถึงยากสุดๆ"
"แล้วตอนนี้"
"ก็...สนิทกันแล้ว"
"แล้วไม่สงสัยในตัวเขาแล้วเหรอ"
นรินทร์มองออกไปยังหน้าต่างห้อง จับจ้องยังท้องฟ้าสดใสยามใช้ความคิด แน่นอนว่าเขายังตงิดใจอยู่ว่าอัลวินไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไป แต่จากการที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็นส่วนใหญ่มาสักพัก เขาก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ดังนั้นความสงสัยจึงถูกปัดตกไป แล้วเลือกที่จะรู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้รู้เท่านั้น จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย
บางทีอัลวินอาจจะมีเหตุผลส่วนตัวทำให้บอกความจริงไม่ได้
แต่ยังไงเขาก็คิดว่าอัลวินนั้นไว้วางใจได้ ไม่ใช่คนไม่ดีเสียหน่อย
"ผมว่าก็ไม่มีอะไรหรอก สงสัยไปก็เท่านั้น" นรินทร์ตอบปัดๆ ไปอย่างไม่สนใจอะไรมาก ขณะใช้หลอดดูดคนน้ำเต้าหู้ในแก้วอย่างเพลินๆ ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่องสนทนา "แล้วตรวจข้อสอบเป็นไงบ้างพี่เมย์ เด็กๆ ทำได้ไหม"
"คะแนนน่ะเหรอ คะแนนเฉลี่ยก็ถือว่าปานกลางนะ ดีที่ไม่มีใครตก"
"ดีแล้ว"
"ของรินล่ะ"
"ก็โอเคอยู่นะพี่ คนสอนเก่งก็งี้" นรินทร์อมยิ้มพลางยักคิ้ว
"จ้า จ้า"
"รวมปอสามกับปอหกก็มีได้เต็มตั้งแปดคนแหนะ ตอนแรกผมซื้อของรางวัลมาแค่ห้าอัน เลยต้องไปซื้อมาเพิ่ม"
นรินทร์ชี้ๆ ไปที่ถุงใส่ของซึ่งข้างในมีขนมกับตุ๊กตาเป็นรางวัลให้เด็กที่ได้เต็ม ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะให้ห้ารางวัลกับคนที่ได้คะแนนมากที่สุดเพื่อแสดงความยินดีให้กับลูกศิษย์และเป็นแรงกระตุ้นให้คนอื่นๆ ตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กๆ จะทำได้คะแนนเต็มตั้งแปดคน น่าปลื้มใจเป็นที่สุด
"เดี๋ยวนี้ภาษาสำคัญ เห็นเด็กๆ เก่งอังกฤษตั้งแต่ยังเด็กก็ดีเนอะ เป็นพื้นฐานทั้งนั้น"
"ใช่พี่ ผมสอนสุดฝีมือเลย"
"ได้เรียนอังกฤษกับครูริน ถือเป็นโชคดีของเด็กๆ"
"แหม อวยกันอย่างนี้เลย ผมจะลอยแล้ว" นรินทร์แกล้งทำเป็นยกมือขึ้นปิดหน้าและทำทีเป็นเขินอาย
"งั้นขอกลับคำแล้วกัน" ครูเมย์ชักจะหมั่นไส้
"ไม่ได้สิ ชมแล้วชมเลย" นรินทร์หัวเราะ
ร่างผอมของนรินทร์เดินตรวจตราไปตามชั้นต่างๆ ของตึกเรียน คนเป็นครูที่เป็นเวรวันนี้ไล่ดูไปทีละห้องอย่างไม่เร่งรีบ ในขณะที่เดินมาจนถึงห้องเรียนของระดับชั้นป.สี่ เขาก็ได้ยินเสียงของเด็กคนหนึ่งที่กำลังแจกแจงหน้าที่ให้เพื่อนๆ
"เรา จิน คุกกี้ แล้วก็ว่านช่วยกันกวาดห้องกับถูห้องนะ"
ดูเหมือนว่าเด็กชายขมจะเป็นหัวหน้าเวรทำความสะอาดห้องเรียน จึงมีหน้าที่มอบหมายงานให้เพื่อน
นรินทร์ชะงักฝีเท้าเมื่อหยุดอยู่ข้างห้องเรียน จากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นในห้องเรียนได้ แต่คนในห้องไม่น่าจะมองเห็นเขา ครูรินเลือกที่จะยืนสังเกตการณ์อยู่นอกห้องก่อนแทนที่จะเข้าไปดู
เขาเห็นขมหันไปสั่งเด็กผู้ชายใส่แว่นอีกคนที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวนอกวงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่
"ส่วนยอด นายต้องยกเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะ ทิ้งขยะ เปลี่ยนน้ำต้นไม้ แล้วก็เคาะแปรงลบกระดานด้วย"
ได้ยินดังนั้นคิ้วเรียวของนรินทร์ก็ขมวดเข้าหากันทันที ยอดโดนสั่งงานมากกว่าเพื่อนคนอื่น ซ้ำยังเป็นงานที่หนักกว่า ทั้งที่น่าจะช่วยๆ กันทำหลายคนแท้ๆ
เขาถอนหายใจ
เอาอีกแล้ว เด็กชายยอดโดนขมแกล้งอีกแล้ว
เขาพยายามสังเกตท่าทางของเด็กที่ก้มหน้าแล้วรับคำเบาๆ อย่างไม่หือไม่อือว่ากำลังรู้สึกแบบไหน เห็นท่าทางหงอยๆ แล้วนึกสงสารขึ้นมาจับใจ
ขมก็จริงๆ เลย เก่งนักเรื่องแกล้งเพื่อน
จะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดีนะ
ครูรินเผลอกัดริมฝีปากตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจเมื่อกำลังครุ่นคิด คิดไปสักพักก็คิดไม่ตกเสียที จะให้เข้าไปห้ามตรงๆ ว่าอย่าแกล้งเพื่อน ก็เป็นวิธีที่แก้ไขสถานการณ์ได้เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น ภายหน้าขมก็คงยังแกล้งยอดต่อไปโดยไม่สำนึกอยู่ดี ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ถ้าเกิดขมคิดว่าเขาลำเอียงเอาแต่เข้ามาปกป้องยอด อาจจะแค้นเคืองแล้วหาเรื่องแกล้งยอดหนักยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้
คราวนี้นรินทร์จึงปล่อยไปก่อน เขาก้าวเท้าออกไปจากบริเวณนั้น แต่คิ้วเรียวก็ยังไม่คลายลง
คนเป็นครูเดินดูความเรียบร้อยเหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ จนกระทั่งเดินจนทั่วโรงเรียนแล้ว เขาก็เดินกลับมานั่งที่ม้านั่งใต้ต้นทองกวาวข้างสนามฟุตบอล
ถัดไปแค่สองโต๊ะ เขาก็เห็นเด็กชายที่เพิ่งแกล้งเพื่อนมาหมาดๆ นั่งอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขมเหม่อมองไปกลางสนามที่เพื่อนๆ เล่นบอลกันอยู่ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เข้าไปร่วมวงเสียที
"ไม่ไปเล่นบอลกับเพื่อนเหรอ"
ขมเงยหน้าไปก็เห็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษมายืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะนั่งลงยังเก้าอี้ซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน
เด็กชายส่ายหน้า "ผมไม่ค่อยมีอารมณ์เล่น"
นรินทร์มองเด็กชายที่ถือว่าตัวใหญ่เกินเด็กวัยเดียวกัน พูดจาเหมือนผู้ใหญ่เชียว
"เห็นมองสนามตั้งนาน ครูก็นึกว่าอยากเล่นซะอีก"
"..." ขมไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
"มีอะไรกังวลหรือเปล่า เล่าให้ครูฟังได้นะ" นรินทร์เอียงคอ และโน้มเข้าไปพูดใกล้ๆ เด็กชายมากขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ขมมองอดีตคุณครูประจำชั้นของเขาเมื่อปีที่แล้ว สีหน้าของครูชวนให้ผ่อนความกังวลลง เขาไม่สนิทกับครูคนไหนเป็นพิเศษ เพราะส่วนใหญ่ก็โดนหาว่าดื้อแล้วก็เกเร จะมีก็แต่ครูรินนี่แหละที่พูดกับเขาดีสุดเมื่อเทียบกับครูจนอื่น น้ำเสียงไม่ดุ แล้วยังมีท่าทางเข้าอกเข้าใจเด็กทุกคนเสมอ
ขมนิ่งไปสักพัก ก่อนจะยอมเล่า
"ผมสอบตก"
นรินทร์ไม่เปลี่ยนสีหน้า แค่พยักหน้ารับรู้เบาๆ แล้วถามต่อ "วิชาอะไรกัน บอกได้ไหม"
"ภูมิศาสตร์" พอได้พูดออกไปก็บ่นตามมา "มันยากมากเลย ผมจำไม่ได้สักที"
"ครูเข้าใจ วิชานี้ใช้ความจำเยอะ" ครูรินเอ่ยปลอบ
"ครูก็สอนไม่รู้เรื่อง จะให้ผมสอบซ่อมอีก จะไปทำได้ไง เซ็งชะมัด" ขมหน้าบูด
"คนเราก็มีสิ่งที่ถนัดต่างกัน แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่เก่งอะไรก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังท้อแท้ ต้องพยายามให้เต็มที่ที่สุด"
"ผมก็พยายามแล้วนะ"
"อืม..." นรินทร์เว้นช่วงไปครู่หนึ่งเพื่อคิดหาคำแนะนำ และแล้วก็มีความคิดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว "เอาอย่างนี้ไหม ครูเห็นว่ามีคนหนึ่งเก่งภูมิศาสตร์มาก น่าจะให้ช่วยติวได้"
"ใครเหรอ" ขมสนใจขึ้นมานิดๆ
"ยอดไง เพื่อนห้องเดียวกัน"
"เฮ้อ ครูก็รู้เหรอว่ามันได้คะแนนเต็ม" หน้าของขมแสดงอาการเบื่อหน่ายอย่างสุดๆ
นรินทร์ไม่รู้มาก่อนหรอกว่ายอดสอบได้คะแนนเต็มวิชานี้ เขาแค่คาดเดาจากการที่คลุกคลีอยู่กับเด็กชายใส่แว่นตลอดปีการศึกษาที่แล้ว เด็กคนนั้นเก่งเรื่องดูเส้นทาง ศึกษาแผนที่ น่าจะเชี่ยวชาญในวิชาภูมิศาสตร์
"ยอดไม่ติวให้หรอก แล้วผมก็ไม่อยากติวกับมันด้วย" ขมพูดด้วยอาการไม่สบอารมณ์
"ทำไมล่ะ"
ขมไม่ตอบ เพียงแต่นั่งนิ่งๆ แต่เหมือนกับคิดอะไรอยู่
นรินทร์จึงเอ่ยต่อ "เอางี้ ไปลองคิดดูก่อนแล้วกัน ถ้าอยากติวก็มาบอกครู เดี๋ยวครูลองไปคุยกับยอดให้"
ขมเหมือนจะปฏิเสธออกมาเดี๋ยวนั้น แต่ก็เก็บอาการ แล้วพยักหน้าแกนๆ อย่างขอไปที
นรินทร์ยิ้มให้ ก่อนจะผละออกมา ให้เวลาขมคิดอยู่คนเดียว
ไม่รู้ว่าจะเป็นวิธีที่เข้าท่าหรือเปล่า แต่เขาก็อยากลองดู
บางทีถ้าเด็กคนนี้ได้เห็นข้อดีของเพื่อนที่ตัวเองคอยกลั่นแกล้งมาตลอด อาจจะทำให้เปลี่ยนความคิดก็เป็นได้
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ในโรงอาหารของโรงเรียนยามพักกลางวันลดระดับความดังลง เนื่องจากส่วนใหญ่กินมื้อเที่ยงของตนเองหมดแล้ว จึงออกไปเล่นด้านนอกแทน เด็กๆ ทยอยลุกออกไปเก็บชามทำให้โต๊ะไม้ทาสีฟ้าสดใสโล่งขึ้นเรื่อยๆ
มีสายตาหลายคู่มองไปที่โต๊ะหนึ่งในโรงอาหารอย่างสนอกสนใจ
ครูรินนั่งอยู่กับใครกันนะ หล่อจัง
คนสองคนเพิ่งทานก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกเจ้าเด็ดประจำโรงเรียนหมด ก่อนจะต่อด้วยขนมโตเกียวที่นรินทร์ไปต่อแถวซื้อมา ครูรินเคี้ยวขนมขณะลอบมองคนตรงหน้าไปด้วย
แค่ชวนมาโรงเรียน ต้องแต่งตัวดีขนาดนี้เชียว
เพื่อนบ้านของเขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินอ่อน กางเกงสีดำ หวีผมเปิดหน้าผากขึ้น ไม่ได้ปล่อยให้ยุ่งเหมือนตอนอยู่บ้าน ภาพลักษณ์ดูน่าเชื่อถือกว่าเขาที่เป็นครูเสียอีก เขาคิดอย่างขบขัน
"ปกติคุณกินข้าวที่โรงอาหารเหรอ" อัลวินถามคนที่กำลังมองสำรวจตนเองอยู่
"กินที่ห้องพักครูบ้าง กินที่โรงอาหารบ้าง สลับกันน่ะครับ"
ปลายเท้าของอัลวินเลื่อนมาชนกับเท้าของนรินทร์ในตอนที่คนตัวโตกว่าขยับตัว หัวเข่าของพวกเขาชนกันเป็นบางครั้ง อัลวินขยับตัวอย่างยากลำบากอยู่สักหน่อย เนื่องจากที่นี่เป็นโรงเรียนประถม โต๊ะจึงออกแบบมาให้ตัวเล็กเหมาะกับเด็ก พอคนส่วนสูงกว่าร้อยแปดสิบมานั่งจึงดูอึดอัดอยู่ไม่น้อย ขายาวๆ งอแล้วก็ยังชนกับโต๊ะ
"โต๊ะตัวเล็กก็ลำบากหน่อยนะครับ" นรินทร์ว่าพลางยิ้มน้อยๆ
"ไม่เหมือนคุณ ดูนั่งได้สบายๆ" อัลวินเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
"คุณว่าผมเตี้ยเหรอ"
"ผมยังไม่ได้พูดสักคำ"
นรินทร์เผลอเบ้ปากออกมาอย่างขัดใจ พออีกฝ่ายเห็นอาการดังนั้นก็มีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปาก ยิ่งเห็นยิ่งน่าหมั่นไส้กว่าเดิม จะหาว่าเขาร้อนตัวไปเองน่ะสิ
"ผมไม่ได้เตี้ยนะครับ มาตรฐานชายไทย" คนที่ไม่ยอมถูกหยามเรื่องส่วนสูงแก้ตัว
"แต่ผมคิดว่าคุณน่ะตัวเล็ก"
"ว่าไงนะครับ" นรินทร์ส่งสายตาไม่ยอมแพ้ไปให้ "ผมให้โอกาสพูดใหม่"
อัลวินหัวเราะในคอ "คุณตัวเล็ก...กว่าผม"
"คุณน่ะตัวใหญ่ไปเอง" คนตัวเล็กกว่าออกอาการฮึดฮัดเล็กน้อย
อัลวินอมยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ
นรินทร์ดูดน้ำเปล่าเย็นๆ ในแก้วสเตนเลสหลังจากกินอาหารจนหมด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรกำชับอัลวินเสียหน่อยก่อนที่จะพาอีกคนขึ้นตึกเรียน
"คุณอย่าทำหน้านิ่งเกินไปนะครับ เดี๋ยวเด็กๆ กลัว"
"แล้วคุณกลัวไหม" คนตรงข้ามไม่รับคำในทันที แต่ดันถามกลับมา
ถ้าเกิดไม่ได้กำลังคุยกับเขาอยู่ โดยส่วนมากแล้วอัลวินก็ยังคงมีใบหน้าราบเรียบเช่นเดิม แต่เพราะได้อยู่ด้วยกันเยอะขึ้นจึงคิดว่าไม่น่ากลัวเท่าตอนแรก นึกๆ ดูแล้วก็ต่างจากตอนพบกันแรกๆ อยู่พอควร สีหน้าเคร่งขรึมนั้นอ่อนลง ยิ้มเยอะขึ้น แม้ส่วนใหญ่จะเป็นยิ้มมุมปากก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นรอยยิ้มล่ะนะ
นอกจากนั้น...ดวงตาดุดันเหมือนราชสีห์ที่เมื่อสบตาแล้วให้ความรู้สึกกดดันนั้นลดลงมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงอำนาจไม่เคยเปลี่ยน
เหมือนสิงโตที่เคยอยู่ในป่าถูกจับมาเลี้ยงให้เชื่อง แต่เจ้าป่าก็ยังคงเป็นเจ้าป่า ยังมีสัญชาตญาณของนักล่าอยู่เต็มเปี่ยม
นึกไปถึงนู่นได้ไงนะ สงสัยเมื่อวานดูสารคดี Discovery แล้วอินเกินไปจนเอามาเปรียบเทียบกับอัลวินซะได้
ยังไงก็ตาม เขาเดาว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนรวย ผู้ดีตีนแดงอะไรแบบนี้แน่ๆ ถึงได้มีภาพลักษณ์ที่ข่มคนอื่นอยู่กลายๆ
"ไม่รู้สิครับ" นรินทร์ยักไหล่ แล้วเบนหน้าหนีจากคนที่จ้องรอคำตอบ
"ผมน่ากลัวอย่างนั้นเหรอ"
"ถ้าไม่ทำหน้านิ่งๆ ไร้อารมณ์มันก็ไม่ได้น่ากลัวหรอกครับ ถ้าคุณยิ้มด้วยจะยิ่งดีเลย เด็กๆ จะได้กล้าเข้ามาคุยด้วย" นรินทร์หันมาหาอัลวินพลางพูดอย่างขำๆ
"ผมไม่ชอบยิ้มพร่ำเพรื่อ"
ก็อย่างเนี่ย เวลาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย บรรยากาศก็หนักอึ้งขึ้นทันที
"ก็ไม่ต้องยิ้มตลอดเวลาไงครับ แค่ทำหน้าให้เป็นมิตรหน่อย" นรินทร์ยังคงคะยั้นคะยอ
"งั้นผมคงต้องเรียกค่าตอบแทนเพิ่ม" อัลวินว่า
ความงุนงงฉายชัดบนหน้าขาวใสของครูริน ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ตกลงเรื่องค่าตัวกันมาก่อน แค่เอ่ยปากชวนอัลวินก็รับปากทันที
"ผมไม่ได้จะเอาเงิน" อีกฝ่ายบอก เหมือนอ่านสีหน้าของเขาออก
"แล้วจะเอาอะไรครับ"
บทสนทนาขาดช่วงไป นรินทร์เงยหน้าขึ้นมอง อีกคนเหมือนจะคิดอยู่ ดูไม่น่าไว้วางใจชอบกล จนคนเป็นครูชักจะหวั่นๆ
"เลี้ยงข้าวผมซักมื้อ"
คำตอบนั้นทำให้นรินทร์คลายความเกร็งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
"โถ่ นึกว่าอะไร เลี้ยงข้าวนี่เอง" นรินทร์เดาะลิ้นเล่น แค่นี้สบายมาก
"ฝีมือคุณ"
"หือ?"
"ผมมีเมนูที่อยากกิน ให้คุณทำให้หน่อย" อัลวินว่าต่อ
นรินทร์เอียงคอ "ทำไมไม่ให้แฟนลุงขามทำให้ล่ะครับ"
อัลวินก็จ้างให้เมียลุงขามทำอาหารมาส่งให้เป็นประจำอยู่แล้ว ป้าเขาน่าจะทำอร่อยกว่าฝีมือผู้ชายอย่างเขา
"ถ้าให้คนอื่นทำก็ไม่ใช่สิ่งตอบแทนจากคุณน่ะสิ" อัลวินกล่าว ถ้ามองไม่ผิด เหมือนแววตาจะมีร่องรอยขบขันอยู่
นี่ก็อีกอย่าง ชอบพูดจาไล่ต้อนจนสุดท้ายบรรลุความต้องการ ส่วนเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ ทั้งที่ตอนแรกเริ่มมาจากแค่ขอให้ยิ้มให้เด็กๆ ด้วยเท่านั้นเอง
"ผมพอทำอาหารได้บ้าง ถ้าเมนูยากเกินผมก็ทำไม่ได้หรอกนะครับ" ครูรินพูดดักเอาไว้ก่อน
"ไม่ยากหรอก"
เมื่อเวลาพักกลางวันใกล้สิ้นสุดลงนรินทร์จึงเดินนำอัลวินขึ้นตึกเรียน พลางพูดนัดแนะกันไปด้วยว่าจะทำอะไรบ้าง
นรินทร์สอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ป.สามกับป.หก เขามีแผนการสอนว่าสัปดาห์นี้ต้องจบบทไหน โชคดีที่บทล่าสุดนั้นไม่ยากเขาเลยสอนเด็กป.หกจบเร็วกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่กำลังคิดว่าจะจัดกิจกรรมอะไรให้นักเรียนดี ครูรินก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้ ถ้าเด็กๆ ได้ลองพูดคุยกับคนต่างชาติตัวเป็นๆ คงจะดี
แล้วคนต่างชาติก็ไม่ต้องไปหาจากที่ไหนไกล เจอหน้ากันแทบทุกวัน คิดว่าจะต้องขอร้องกันนานหน่อย แต่แค่พูดจบอัลวินก็ยอมมาอย่างง่ายดาย
เมื่อออดเริ่มคาบใหม่ดังขึ้น นรินทร์ก็เข้าห้องเรียนไปพร้อมกับอัลวิน
พอเด็กๆ เห็นว่าวันนี้คุณครูไม่ได้มาคนเดียว ห้องเรียนจึงเงียบกริบกว่าทุกวัน หัวหน้าห้องบอกทำความเคารพ นรินทร์ทักทายกับลูกศิษย์ ก่อนจะแนะนำตัวอัลวินเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังสลับกับพูดแปลไปด้วยถ้าประโยคไหนเห็นว่ายากเกินไป
กิจกรรมในคาบนี้คือจะให้เด็กๆ ไปคุยอะไรกับอัลวินก็ได้ แล้วมาเล่าให้คุณครูฟัง เขาจะติ๊กชื่อให้คะแนนแล้วปั๊มตัวการ์ตูนให้ ถ้าใครได้ตัวการ์ตูนเยอะจะแจกขนมให้เป็นรางวัล
ออกจะเป็นการบีบบังคับไปหน่อย แต่ก็ต้องมีแรงกระตุ้น ไม่งั้นเด็กๆ คงไม่ค่อยกล้าคุยกับคนต่างชาติแน่
เขาให้อัลวินคุยกับลูกศิษย์โดยพูดแปลให้เพื่อสร้างความผ่อนคลายกันก่อน จึงค่อยพูดเชียร์ให้เด็กๆ เข้าไปคุยด้วยตัวเอง
อัลวินนั่งอยู่มุมหนึ่ง นรินทร์นั่งอีกมุมหนึ่ง เว้นระยะออกมาเพื่อให้เด็กๆ ไปรวมตัวกันได้
ตอนแรกเหล่าเด็กๆ ก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าไปคุย แต่เมื่อมีคนหนึ่งกล้า ก็พบว่าไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป เลยต่อแถวเข้าไปคุยด้วย ไปๆ มาๆ จากแถวก็เปลี่ยนไปเป็นล้อมวงคุยกับชาวต่างชาติอย่างไม่เคอะเขิน
นับเป็นเรื่องดีที่นักเรียนไม่กลัวอัลวินอย่างที่กังวลมาก่อนหน้า ครูรินลองถามเด็กๆ ว่าไม่กลัวใช่ไหม เด็กๆ ก็ว่าไม่เห็นน่ากลัว เด็กผู้หญิงชมว่าอัลวินหล่อมาก ส่วนเด็กผู้ชายก็ยกย่องว่าพี่ชายคนนี้เท่ชะมัด
ได้ยินเด็กๆ เรียกอัลวินว่าพี่ แต่เรียกเขาว่าคุณครู จู่ๆ ก็รู้สึกแก่ขึ้นมา
นรินทร์เลยแก้ไปว่าให้เรียกอัลวินว่าอาดีกว่า อายุเท่านี้ไม่เรียกพี่แล้ว ก่อนจะแอบขำคิกๆ อยู่คนเดียว
นักเรียนสลับกันเดินมาเล่าให้ครูรินฟัง บางคนคิดไม่ออกว่าภาษาอังกฤษพูดยังไงก็มาถามครู บ้างก็ฟังอัลวินไม่ออกก็มาให้ช่วยแปล
"ครูรินๆ หนูอยากถามพี่เขาว่ามีแฟนหรือยัง"
เด็กหญิงผมเปียเข้ามาถามด้วยใบหน้าแจ่มใส แฝงความเขินอาย จนคนเป็นครูถึงกับชะงัก
เอาน่า เด็กสมัยนี้ก็แก่แดดกันทั้งนั้น
"แฟนสาวภาษาอังกฤษคืออะไร"
"หนูนึกไม่ออก"
เด็กอีกคนที่อยู่ข้างกันนึกออก "หนูรู้ๆ girlfriend"
"ใช่แล้ว ประโยคคำถามต้องเรียงประโยคยังไง"
นรินทร์ค่อยๆ สอนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เจ้าหนูผมเปียพอรู้เรื่องก็รีบวิ่งไปถาม
ผ่านไปไม่นานเด็กหญิงคนเดิมก็กลับมาด้วยสีหน้าเคลิ้มฝันเหมือนได้เจอดาราที่ชอบ
"ครูรินๆ พี่ชายสุดหล่อเขาบอกว่าให้มาบอกครูรินว่าเขายังไม่มีแฟน"นรินทร์รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของลูกศิษย์
"เขาให้มาบอกครู?" คนเป็นครูถามพลางเลิกคิ้ว
"ใช่ค่ะ เขาบอกมาเป็นภาษาไทย"
ได้ฟังคำตอบอย่างนั้นนรินทร์ก็นิ่งไป ก่อนจะหันไปมองอัลวินที่มองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว ดวงตาคู่คมวิบวับอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะก้มหน้าลงไปคุยกับเด็กต่ออย่างเป็นธรรมชาติ
"อย่าพูดภาษาไทยสิครับ ผมอยากให้เด็กๆ ใช้ภาษาอังกฤษ" นรินทร์บอกเป็นภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว
อัลวินเงยหน้าขึ้นมองมาที่เขาอีกรอบพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากก่อนจะให้เหตุผล "ผมกลัวเธอจะไม่ได้บอกคุณ เดี๋ยวไม่ได้คะแนน"
"ผมให้คะแนนเด็กทุกคนอยู่แล้วน่า"
อัลวินไม่ได้ตอบกลับบทสนทนา เมื่อชายเสื้อถูกเด็กสะกิดยิกๆ คนตัวโตหันไปตอบคำถามเด็กๆ ต่อ
"ครูริน แล้วถ้าจะถามว่าสเปคพี่เขาเป็นแบบไหน ต้องถามยังไง"
นรินทร์ถึงกับยิ้มแห้งออกมา อยากจะยกมือกุมขมับ แล้วเขาต้องสอนเด็กถามจริงๆ ใช่ไหม
เอาวะ คิดซะว่าเพื่อการศึกษา
นรินทร์ปั๊มตัวการ์ตูนให้นักเรียนคนอื่นต่อไป เวลาผ่านไปประมาณสิบนาทีกระดาษใบหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้
"ประโยคมันยาวหนูแปลไม่ออก เลยให้พี่เขาเขียนมาให้" เด็กหญิงยิ้มแฉ่ง
ลายมืออัลวินเขียนอยู่กลางกระดาษทดเลข นรินทร์กวาดตามองวูบเดียวก็อ่านให้ฟัง
"เขาบอกว่าชอบคนอายุน้อยกว่า"
"งุ้ย หนูเขิน" เด็กผมเปียยืนบิดไปมา กุมหน้าที่ร้อนฉ่า
เก็บอาการหน่อยลูก
นรินทร์เกือบหลุดขำเพราะท่าทางตลกๆ ของเด็กหญิง
"แล้วก็อ่อนโยน มีรอยยิ้มสดใส รักเด็ก"
กลุ่มเด็กผู้หญิงฟังแล้วก็เขิน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าแก้มของคุณครูสีระเรื่อขึ้นเล็กน้อย นรินทร์โบกมือเพื่อให้เด็กคนต่อไปเข้ามาเล่าบ้าง ไม่ได้หันไปมองตัวการที่ทำให้เด็กๆ ในปกครองทำตัวแก่แดดแม้แต่น้อย
เขาทำปากขมุบขมิบ
สเปคของอัลวิน คงต้องไปหาตามกองประกวดนางสาวไทย
-------------------------
#รินรักล้นใจ
ช่วงนี้อยู่ในช่วงพัฒนาความรู้สึก ปล่อยให้หนุ่มฮ่องกงจีบต่อไปค่ะ หมั่นไส้เขานะคะ ฮ่า