{ Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: { Yaoi-Drama } น้ำตาเทียน | Tian’s Tears #เปลวจุดเทียน ( จบแล้ว )  (อ่าน 34685 ครั้ง)

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1



11


‘เปลวเทียน’









       ‘หมอครับ พอมีวิธีที่จะทำให้ความทรงจำของผมกลับมาไหม’

       ‘ผมอยาก..ขอโทษเขา’




     



       ..มีประโยคๆนึงในหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่าน มันเขียนเอาไว้ว่า ..การพบเจอใครซักคนนึงไม่ว่าเราจะสนิทหรือไม่ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของมันเสมอ ครั้งแรกที่อ่านผมก็ไม่ได้เข้าใจมันซักเท่าไหร่ แต่พอมาวันนี้…ผมรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่หนังสือเล่มนั้นบอก..หมายถึงอะไร

       วันที่ผมรู้สึกตัวขึ้นมาครั้งแรกบนเตียงของโรงพยาบาลในหัวของผมมันแทบไม่มีอะไรอยู่เลย ผมไม่รู้สึกถึงกระบวนความคิดที่กำลังทำงาน ไม่รู้สึกถึงความผูกพัน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ความรู้สึกเองผมก็แทบจะไม่รู้สึกถึงมัน

        ทุกอย่าง..ว่างเปล่า

       ราวกับตกอยู่ในห้วงอวกาศที่ไม่มีสสาร ..ไม่มีดวงดาว ..ไม่มีดาราจักรหรือพลังงานใดๆ เป็นเพียงพื้นที่ว่างที่มืดสนิท ที่แย่ไปกว่านั้นคือ..ผมไม่รู้ว่าคนที่ผ่านไปผ่านมารอบๆตัวผมเขาเป็นใคร ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร แม้กระทั่ง..พ่อของผม ผมก็จำเขาไม่ได้

       และคง..ไม่มีโอกาสให้ผมจำได้อีกต่อไปแล้ว



       ..เขาจากไปในตอนที่ผมกำลังลอยอยู่ในห้วงอวกาศที่ว่างเปล่า ..ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยู่ดูแลผมที่นอนติดเตียงได้ซะทุกวัน ..ไม่รู้เหตุผลที่เขายิ้มเวลาที่ผมมีความสุข ที่สำคัญคือ..ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ข้างๆผม สู้ไปกับผมมาตลอดนั่นคือพ่อ และใช่…ผมมารู้เอาทีหลังในตอนที่เขาไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ..ไม่มีสัญญาณบอกเหตุ ไม่มีคำร่ำลา และ..ไม่มีแม้แต่โอกาสที่ผมจะเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ด้วยปากของตัวเองเลย

       ..ความรู้สึกตอนนั้น จะว่าเศร้ามั้ย..จริงๆผมก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น จะว่ามีความสุข..นั่นก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน บางทีอาจจะเรียกได้ว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ที่แย่ก็คือ..หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปไม่นานสมองของผมกลับมีความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา อาจจะดูอ่อนแอ..แต่ว่าตอนนั้นผมร้องไห้ ..ร้องไห้โดยที่ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไม มีเพียงความรู้สึกนั้นเท่านั้นที่พอจะเป็นสิ่งที่สามารถบอกเหตุผลของหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาได้ ซึ่งถ้าจะให้นิยามมัน ..ความรู้สึกนั้นก็คงเป็น..ความรู้สึกผิด 

       ..รู้สึกผิดตรงที่วันที่คนสำคัญของผมได้จากไป ผมกลับกำลังยิ้ม..กำลังหัวเราะ โดยที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรทั้งนั้น ในฐานะลูกผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควร ผมจึงพยายามนึกเข้าข้างตัวเองแล้วนำเอาอาการป่วยของตัวเองมาอ้างเพื่อลบความรู้สึกนั้นออกไป แต่ว่าสุดท้ายแล้วน้ำหนักมันก็ยังไม่มากพอที่จะลบล้างความผิดของตัวเองได้ สิ่งที่ทำได้จึงมีแค่ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นครอบงำ เป็นแบบนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

       ผมชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะพวกหนังสือที่เป็นปรัชญาต่างๆผมยิ่งชอบเป็นพิเศษ ตลอดวันผมมักจะนั่งขลุกอยู่กับมัน อ่านทุกคำและกวาดสายตาไปทุกๆตัวอักษร ทำแบบนี้วนเวียนไปเป็นวัฏจักรซ้ำๆเพื่อหาคำตอบหรือสิ่งที่ผมพอจะจำมันได้

       นอกเหนือจาก..ชื่อตัวเอง



       มีหนังสือหลายเล่มที่พูดถึงคำๆนึงที่เรียกว่า ‘ความสุข’ ในชีวิตประจำวันความสุขที่ว่าเป็นเรื่องที่พบเจอได้อย่างง่ายดาย แต่รู้มั้ย..สำหรับผม ความสุขมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย

       การผ่าตัดสมองที่ผมเคยได้รับมันล่าช้าไปก้าวนึง ผม..สูญเสียความทรงจำ แต่ถ้าจะเอาแบบเป็นรูปธรรมจริงๆก็คือผมสูญเสียไปหมดทุกอย่าง ..กล้ามเนื้อผมอ่อนแรงลง ผมไม่สามารถหยิบจับ หรือยกของอะไรหนักๆได้ ในช่วงแรกอาการตรงนี้ค่อนข้างหนัก ผมต้องมีคนดูแลอยู่ตลอดซึ่งบางครั้งก็เป็นพยาบาล บางครั้งก็เป็นญาติของผมเอง ผลจากการดูแลตรงนี้ทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงของผมค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆจนสามารถใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้เฉกเช่นปัจจุบัน แต่กว่าจะผ่านมันมาได้ก็ค่อนข้างจะทุลักทุเลไม่น้อยเลย 



       ..ผมพบเจอกับใครหลายๆคนในชีวิต ซึ่งทุกคนที่ผมได้มีโอกาสรู้จักพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่มอบมิตรภาพอันแสนอบอุ่นคอยจุนเจือหัวใจให้ผม ยกเว้นก็แต่..ใครคนนึงที่..ระหว่างเรา คำว่า ‘มิตรภาพ’ มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย

       เขาชื่อ ‘เทียนไข’ ..วันที่ได้รู้จักกันผมไม่เคยนึกโกรธหรือเกลียดอะไรเขาเลย กลับกันผมรู้สึกเหมือนกับว่านี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพบกัน ด้วยความรู้สึกนี้จึงทำให้ผมอยากจะสนิทกับเทียนไขให้มากขึ้น



       แต่แย่หน่อยที่..เทียนไขไม่ได้คิดแบบผม

       ..อากัปกิริยาทุกอย่างที่เขาแสดงออกมาล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงความรังเกียจเดียจฉันท์ผมราวกับผมเป็นตัวเชื้อโรคที่ไม่น่าเข้าใกล้ ในขณะที่กับคนอื่นเทียนไขเริงร่าราวกับเป็นคนละคน ..ถ้าเขาจะเกลียดหรือโกรธอะไรผมมันก็ควรจะมีเหตุผลสิ..จริงมั้ย เพราะงั้นผมจึงคิดว่าเขาคงจะเข้าใจอะไรผมผิดไปซักอย่าง ก็เลยหาโอกาสที่จะอธิบายให้เขาฟังว่าผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรืออะไร และดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเข้าข้างผม เพราะช่วงเย็นของวันเดียวกันผมบังเอิญเจอเทียนไขที่ร้านอาหารพอดี

       ทันทีที่เจอหน้ากัน ผมยิ้มให้เขาเพื่อหวังจะให้เขาวางใจ..และปฏิกิริยาที่ผมได้คือการก้มหน้างุดไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสนใจ

       ผมจึงเอ่ยทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร…และคำตอบที่ได้คือการวางสมุดจดเมนูลงแล้วเดินหนีผมไปหลังร้าน

       ผมควรจะพอได้แล้ว..ถูกมั้ย ทว่าสมองโง่ๆของผมกลับสั่งการตรงกันข้าม มันพร่ำบอกผมอยู่ซ้ำๆในความรู้สึกว่าให้ผมตามเขาไป  และอย่างที่บอก..

        ผมแม่ง..โง่จริงๆนั่นแหละ



        ‘นาย..นายทำบัตรนักศึกษาหล่นหรือเปล่า..’



       ‘เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ..?’


       

       ..ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่มีวันเก็บบัตรนักศึกษาใบนั้นขึ้นมาให้สกปรกมือ และจะไม่มีวันปล่อยให้ความคิดที่อยากจะผูกมิตรกับคนเลวๆอย่างเทียนไขเกิดขึ้นมาเป็นอันขาด

       ..ทันทีที่ผมวิ่งตามเขาไปหลังร้าน ทุกๆอย่างที่ผมกับหมอพยายามสู้ด้วยกันมาตลอดก็เปล่าประโยชน์ เทียนไขใช้มือของเขากดและบีบที่ศีรษะของผมราวกับอยากจะให้มันแหลกสลาย ก่อนจะสะบัดมือออกจนหัวของผมกระแทกไปกับผนังอย่างรุนแรง

        ท้ายที่สุดหลังจากที่เขาแค่นยิ้มอย่างสมใจที่ได้เห็นผมกราบแทบเท้า เทียนไขก็เดินจากไป ขณะเดียวกันนั้นผมก็..จมดิ่งสู่ห้วงนิทราตั้งแต่ตอนนั้น



       ….ผมอยู่ในความฝันไม่รู้สึกตัวอยู่เกือบสัปดาห์ จริงๆไม่อยากจะรู้สึกตัวขึ้นมาซักเท่าไหร่ เพราะวินาทีแรกที่ผมสัมผัสการมีชีวิตอีกครั้ง..ความเจ็บปวดจากร่างกายที่บอบช้ำก็เกิดขึ้นแทบจะทุกส่วน ผมปวดหัว..ปวดในขั้นที่ว่าไม่สามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติได้ ปวดในขั้นที่ยาแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย

       ‘ไม่มีอะไรผิดปกติ พักอีกซักระยะคุณจะดีขึ้น’ หมอบอกผมแบบนั้น ผมอยากจะเชื่อเขาเหมือนกันแต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด ผมยังคงเจ็บ..ยังคงปวดศีรษะอยู่เหมือนเดิม ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผันผ่านไปด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าซักวันความเจ็บปวดจะหายไป

       

       ..โชคดีหน่อยที่ผมไม่ได้สู้อยู่ตัวคนเดียว ที่ว่างข้างๆเตียงของผมถูกเติมเต็มโดยพละพล..เพื่อนของผมในทุกๆวัน เขาอยู่คอยให้กำลังใจและดูแลผมเป็นอย่างดี ด้วยนิสัยและท่าทางที่ดูเป็นมิตรของเขาผมก็เลยยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้นในเวลาต่อมา และเพราะเหตุนี้..ผมจึงรู้สึกขาดเขาไปไม่ได้

       เขามักจะมาเยี่ยมผมทุกเย็น ..นานวันเข้าผมก็เริ่มนับเวลาคอยเขาอยู่ในทุกๆวัน ..รอคอยที่จะได้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้โลกของผมสดใส ..รอคอยที่จะฟังเรื่องราวในแต่ละวันของเขา ขณะเดียวกันก็รอคอยที่จะเล่าเรื่องราวของผมให้เขาฟังด้วยเช่นกัน เราเติมเต็มซึ่งกันและกันจนเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจผม ฟังดูเหมือนจะดีใช่ไหมล่ะ..? ผมเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นนะ

      แต่ก็...ได้แค่ ‘เหมือน’



       ..หลังจากนั้นจู่ๆเทียนไขก็โผล่หน้าของเขามาให้ผมเห็นอีกครั้ง เขาดูซูบลงกว่าเดิมนิดหน่อยแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นประเด็นเพราะผมไม่ได้สนใจความเป็นไปของเขาอยู่แล้ว ..จริงอยู่ที่ตั้งแต่พบกันผมรู้สึกเหมือนเคยรู้จักเขา แต่ทั้งหมดมันก็มีแค่นั้น พอได้มารู้จักกันจริงๆเทียนไขกลับไม่ได้เป็นคนอย่างที่ผมคิดไว้ เขาเป็นแค่คนใจร้ายคนนึงที่ทำให้ผมต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอย่างทุกวันนี้ ..กับเทียนไขผมมีแต่ความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้อยากฟังในสิ่งที่เขาจะพูด ..ไม่ได้อยากเห็นในสิ่งที่เขาจะทำ และที่สำคัญ…ผมไม่ได้อยากเห็นหน้าเขา

       น่าคิดเหมือนกันนะว่าเพราะอะไรเขาถึงกล้าโผล่หน้ามาให้ผมอีกเป็นครั้งที่สองโดยที่ไม่มีคำขอโทษหรือคำแก้ตัวกับสิ่งที่ทำกับผมไว้เลยแม้แต่คำเดียว



        ‘…พลฝากมาให้’ เขาพูดพร้อมกับวางถุงกระดาษเอาไว้ ยืนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะทำท่าเหมือนกำลังจะเดินออกไป

        นี่คือ..นิสัยคุณจริงๆหรอวะเทียนไข?

        ‘เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน!’ ..คุณไม่มีจิตสำนึก ไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่ซักหน่อยเลยหรอ..

       ‘…’

       ‘คุณทำแบบนี้ทำไม?’

       ‘…’

       ‘คุณทำร้ายผมทำไม คุณโกรธคุณเกลียดอะไรผมขนาดนั้นเลยหรือไง ..ทั้งๆที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยเนี่ยนะ?’ คุณใหญ่โตมาจากไหนถีงได้กล้าทำตัวเป็นอันธพาลจนทำให้ผมเป็นแบบนี้

        ‘ไม่เคย?’

        ‘ทำไม? หรือคุณจะบอกว่าเรารู้จักกันมาก่อนหน้านี้?’ ..ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆคุณช่วยบอกผมหน่อยได้มั้ยล่ะว่าเพราะอะไรผมถึงเป็นแบบนี้ คุณบอกผมได้ไหมว่าจริงๆแล้วผมเป็นใคร

        ‘…’ เห็นมั้ย..คุณก็ให้คำตอบผมไม่ได้ สิ่งที่คนอย่างคุณทำได้ก็คือทำตัวแบบนี้ไง

        ‘ไม่ตอบ เอาจริงๆปะ ผมว่าคุณควรไปพบหมอจิตเวชข้างล่างนี่บ้างอะ คุณเหมือนคนไม่เต็ม’

        ‘…’

        ‘จะออกไปแล้วไม่ใช่หรอ ไปได้เลยครับ ฝากขอบคุณพลด้วย ผมอยากให้เขามาให้ผมด้วยตัวเองจัง’ ผมเน้นประโยคสุดท้ายอย่างจงใจเพื่อเป็นการบอกให้เขารู้ตัวซักทีว่าผมไม่ได้อยากเจอหน้าเขา

        ‘...’ ทว่า..น่าแปลกที่เขากลับไม่ตอบอะไรมาเลย

        ‘อยู่ทำไมล่ะ? ออกไปดิ’ ขวางหูขวางตาเป็นบ้า

        ‘คิดว่า…อยากอยู่มากนักหรอ?’

        ‘แล้วใครใช้ให้คุณอยู่? ผมบังคับคุณหรอ’ ที่ตรงนี้มีแค่ผมกับคุณ ..ถามจริงๆผมเคยยกมือไหว้วอนขอให้คุณมาอยู่ตรงนี้มั้ย แน่นอนว่าผมไม่เคย แสดงว่าที่ตรงนี้ก็ไม่มีใครอยากให้คุณมาเหยียบหรอก

        คนอย่างคุณมัน…สกปรก

        ‘..จริงด้วยสิเนอะ ถ้าไม่ได้รู้จักกัน..กูก็คงไม่ต้องทน ‘อยู่’ มาจนถึงทุกวันนี้’

        ‘…’

        ‘กูไม่รู้ว่ามึงกำลังทำอะไร ไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไร ..แต่ถ้ามึงคิดว่ามึงแกล้งทำเป็นลืมเรื่องเหี้ยๆที่มึงเคยทำกับกูแล้วกูจะให้อภัยมึงได้ กูจะบอกมึงตรงนี้เลยว่ามึงคิดผิด’

        ‘…’ ทำไมเทียนไขถึงน่ารำคาญแบบนี้วะ เขาเอาอะไรมาพูด ผมไปทำแบบนั้นตอนไหน ประสาท..

        ‘กูเกลียดมึง นี่แหละสิ่งเดียวที่กูรู้สึก’ ..ทว่าจู่ๆ..ร่างกายผมก็ชาวาบกับสิ่งที่เทียนไขพูดออกมา ..เขาเกลียดผม ผมเองก็เกลียดเขาไม่ต่าง ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรอ.. ทำไมใจผมกลับหวั่นไหวกับคำว่า ‘เกลียด’ ที่เทียนไขพูดออกมาได้ขนาดนี้..

        ‘ผ..ผมก็ไม่ได้ขอให้คุณอภัยให้ผมซักหน่อย เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด’ ใช่แล้ว..ผมไม่ได้ทำอะไรผิด

        ‘มึงกล้าพูดว่ามึงไม่ผิดหรอ..’

        ‘…’ ..แต่ทำไมผมถึง..

        ‘สิ่งที่มึงทำกับกู ..สำหรับกูมึงแม่งยิ่งกว่าฆาตรกร ..ยิ่งกว่ายมบาล ..ยิ่งกว่าผีห่าซาตานตนไหนๆ’ ..เจ็บกับสิ่งที่เทียนไขพูดออกมาได้มากขนาดนี้..

        ‘…’

        ‘มึงทำให้กูเจ็บ...เจ็บแบบที่มึงก็จินตนาการไม่ได้ว่ามันเจ็บขนาดไหน เพราะสิ่งที่มึงได้รับมันเทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวนึงกับสิ่งที่กูเจอ’

        ‘…’ ผมพยายามคิดไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยิน พยายามคิดหาว่าก่อนหน้านี้ผมเคยทำอะไรเอาไว้หรือเปล่า ..ทว่าจู่ๆผมก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ..ยิ่งฟังสิ่งที่เทียนไขพูดออกมามันก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ..

        ‘..มึงกลับมาทำไม.. มึงกลับมาให้กูเห็นหน้ามึงอีกทำไม ..กูเหนื่อยแล้ว…ไม่อยากรับรับรู้อะไรแล้ว ..มึงได้ยินมั้ย ฮือ’

        ‘…’ ปวดหัว..ปวดหัว..

        ‘ทำไมมึงต้องทำให้กูรัก ทำไมมึงต้องทำอย่างงี้กับกู ทำไม…’

        ‘ออกไป’ ออกไปเถอะนะ.. ออกไปจากตรงนี้ หยุดพูดอะไรแบบนี้ออกมาซักที..

        ‘มึงลืมกูลงได้ยังไงอะเปลว ..ไหนมึงบอกว่ามึงรักกู ..มึงจะไม่ทำให้กูเจ็บปวด ..มึงจะทำให้กูมีแต่ความสุข ..มึงจะปกป้องกู…แล้วดูสิ่งที่กูได้รับ’     

       ‘ผมบอกให้ออกไป’ ขอร้อง..

       ‘กูไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ ..กูไม่ได้อยากมาหามึง ..กูไม่ได้อยากเจอมึง..’

       ‘ทำตัวเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่บังคับไปได้’ ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมฟังในสิ่งที่ผมพูด ..ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะเห็นใจกันบ้างแม้ซักเล็กน้อย.. ผมต้องทำยังไงเทียนไข

       ‘…’

       ‘ถ้าคุณไม่ใช่เด็กแบบนั้นคุณก็ไปซะ ไม่ได้อยากเจอผม? ผมก็ไม่ได้อยากเจอคุณ เราก็ไม่จำเป็นต้องพบเจอกัน..’ ..มือของผมที่เคยวางขนาบข้างลำตัวเริ่มขมวดกำผ้าห่ม พร้อมกับจิกปลายเล็บอย่างสุดแรงเพื่อระบายความเจ็บปวดที่ศีรษะที่กำลังรู้สึก

       ‘..กูรู้..กูรู้แล้ว แล้วมึงล่ะรู้มั้ย…กูไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เลย’

       ‘…’ เหงื่อไคลของผมเริ่มผุดขึ้นมาตามผิวหนังแต่ก็ทำได้แค่อดทนต่อความเจ็บปวดต่อไป บางที..ถ้าสิ่งที่เทียนไขพูดเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ และผมก็..เป็นคนผิดจริงๆ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผมสมควรจะได้รับแล้วก็ได้ เพราะเรื่องราวเหล่านั้นที่กลั่นออกมาจากปากของเทียนไขมันกำลังบีบเค้นหัวสมองของผมราวกับอยากจะทำลายมันลง

       ‘..แต่กูต้องทำ ..กูต้องอดทนถึงแม้ตัวกูจะเจ็บซ้ำๆครั้งแล้ว..ครั้งเล่า..’

       ‘คุณอยากตายคุณก็ไปตายสิ คุณจะฝืนอยู่ทำไม ออกไปซักที!’ ผม…ขอร้อง

       ‘..มึงอาจจะ..ไม่เคยรักษาสัญญา แต่กูจำได้ทุกประโยคเลยนะ..ฮ่าๆ ..กูจำได้..ทุกคำพูดที่กูเคยพูดกับมึง แล้วกูก็ไม่เคยผิดสัญญา’

       ‘…’

       ‘มึงเคยขอให้กูมีชีวิตอยู่ต่อไป’

       ‘…’

       ‘กูเลยอยู่ ..ฝืนอยู่ต่อไปทั้งๆที่กูโคตรทรมาน’

       ‘…’

       ‘มึงเคยบอกว่ามึงชอบรอยยิ้มกู…กูก็เลยยิ้มให้มึงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่ากูจะกำลังเจ็บปวดหรือกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ก็ตาม’

       ‘…’

       ‘มึงเคยบอกกูว่าอย่าร้องไห้ กูเลยพยายามกลัดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลถึงแม้ข้างในกูจะกำลังพังทลายก็ตาม..’

       ‘ออกไป’

       ‘…’

       ‘ผมอาจจะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่คุณเคยรู้จัก’

       ‘…’

       ‘อย่ามาพูดอะไรแบบนี้ให้ผมฟังอีก ผมไม่ชอบ’

       ‘กูขอถามอะไรมึงเป็นอย่างสุดท้าย..’

       ‘…’

       ‘กู..หายไป ได้แล้วใช่ไหม?’

       ‘…’

       ‘กูไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นมีความสุข ไม่ต้องแกล้งยิ้ม…แกล้งหัวเราะแล้วใช่ไหม?’

       ‘ผมจะพูดอีกครั้ง ออกไปซะ’

       ‘นี่คือ..คำตอบของมึงใช่รึเปล่า?’

       ‘…’

       ‘ฮ่าๆ ขอบคุณมึงมากๆเลยเปลว กูจะไม่..เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว..’

       ‘…’

       ‘กูอาจจะเห็นแก่ตัว แต่เรื่องราวดีๆที่เคยเกิดขึ้น กูขอ…เก็บมันไว้ในความทรงจำของกูหน่อยนะ..’ ..เจ้าของแผ่นหลังบางเอ่ยพูดออกมาทั้งน้ำตาก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป

       ‘..มีชีวิตอยู่’ ทว่าเป็นจังหวะเดียวกับผมที่พูดออกไปเช่นกัน แน่นอนว่าสิ่งที่เทียนไขพูดมันกำลังทำให้ผมต้องทรมาน แต่เขาเองก็กำลังทรมานอยู่ไม่ต่าง เขาร้องไห้..เป็นการร้องไห้ที่เจ็บปวดที่สุด และผมก็รู้…ผมรู้ดี ..ว่าเขาไม่เคยนึกสงสารผมเลย ผมทั้งโกรธแล้วก็เกลียดเขาเข้าไส้

        ระหว่างเรามันเป็นแบบนั้น แต่ว่า…ผมอยากให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อนะเทียนไข

        ‘ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ผมเชื่อว่าเขาจะพูดแบบนี้’







       

        หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเราก็แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย ต่างคนก็ต่างมีชีวิตเป็นของตัวเองตามทางที่ได้เลือกเดิน มีบ้างที่ผมพยายามมองหาเขาเพราะอยากรู้ความเป็นไปหลังจากนั้น แต่ผมก็ไม่เคยพบเขาอีกเลย ขณะเดียวกันผมกับพละพลก็เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ของกันและกันไปจนเราทั้งสองต่างก็รับรู้แล้วว่าอีกฝ่ายก็คิดเหมือนกัน

       ใช่..ผมชอบพละพล และพละพลก็ชอบผมอยู่เช่นเดียวกัน



       เราทั้งสองต่างก็มีความสุขกับชีวิตในแต่ละวันที่อบอวลไปด้วยความรัก ผมมีแพลนจะขอพละพลเป็นแฟนเหมือนกันนะแต่คิดว่ารอไปอีกซักพักให้อะไรๆมันลงตัวมากกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า

       ‘กลับบ้านดีๆนะ’ พละพลมักจะบอกลาผมด้วยคำนี้ซะทุกวัน แต่ผมกลับไม่เบื่อเลย คงเพราะ..รับรู้ถึงความเป็นห่วงที่เขาส่งมาให้ผมละมั้งครับ

       ผมมักจะคิดถึงสิ่งที่จะทำในวันพรุ่งนี้เสมอ โดยเฉพาะเรื่องของพละพล ผมวางแผนไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เราจะไปไหนกันดี ทานอะไรกันบ้าง ซึ่งการที่ผมชอบคิดอะไรแบบนี้มันทำให้ผมยิ้มมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เคยคิดเหมือนกันนะว่ายังไงซะความทรงจำของผมก็ไม่มีวันกลับมาอยู่แล้ว เลิกหวังดีกว่า แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ..ถ้าผมดึงความทรงจำนั้นกลับคืนมาไม่ได้ ผมก็จะสร้างมันใหม่ สร้างกับพละพล

       ..คงจะดีถ้ามันไปได้สวย



       แต่สุดท้ายแล้วมันก็คงเป็นแค่..ความฝันลมๆแล้งๆของผมที่มันไม่มีวันเป็นจริง

       ..ผมเจอเทียนไขอีกครั้งกลางดึกคืนเดียวกันหลังจากที่ผมไปส่งพละพล เขาเดินขาลากดินราวกับมันใช้การไม่ได้ ซ้ำร้ายลำตัวก็เต็มไปด้วยรอยแผล เสื้อนิสิตด้านหลังขาดวิ่นเปรอะเปื้อนเศษดินและน้ำโคลน ดวงตาของเขาเหม่อลอยไร้จุดโฟกัส ริมฝีปากที่แห้งแตกพร่ำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ออกออกมาซ้ำๆไม่รู้หยุด ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือดและคราบน้ำตา ..สภาพร่างกายของเขาค่อนข้างน่าเป็นห่วง แต่จู่ๆภาพในวันนั้นก็ฉายเข้ามาในหัวผม..



      ‘ไม่ต้องเสือกแสดงว่าตัวเองเจ็บหรอก’

      ‘…เจ็บ..’

      ‘ถุ้ย ขนาดกูมึงยังไม่เคยเห็นใจเลยไอ้เหี้ย!!’

      ‘..โอ๊ย..ฮือ ช่วยด้วย..’

      ‘มึงหูหนวกหรอไอ้ควาย’

      ‘…ช่วยด้วย’

      ‘อยากให้ช่วยมากนักหรอ’

      ‘…’

      ‘กราบตีนกูดิ’




      ..ภาพที่ผมกำลังเจ็บเจียนตายอยู่ไม่ต่าง กำลังขอร้องอ้อนวอนให้เขาเมตตา เขาบอกให้ผมกราบเท้าเขา ใช่ผมยอมทำ เพราะวินาทีนั้นผมทรมานมากจริงๆ แต่สิ่งที่คนๆนี้ทำกลับเป็นการเดินจากไปอย่างไม่ใยดี

       “…” แล้วดูสภาพเขาตอนนี้สิ..มันไม่ได้ต่างอะไรกับผมในวันนั้นเลย ผมควรจะ..ช่วยเขาจริงๆหรอ…?

        “เทียน ใครทำอะไรคุณ?” ผมเอ่ยถามออกไปเพื่อพยายามที่จะเรียกสติอีกฝ่ายให้กลับมา และดูเหมือนการรับรู้ของเทียนไขจะยังคงทำงานได้ดีอยู่ เขาใช้เวลาในการประมวลคำถามของผมอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที..ใจผมก็ตกไปอยู่ที่ปลายเท้า

        “มีชีวิตอยู่.. มีชีวิตอยู่.. เข้มแข็ง ..ต้องเข้มแข็ง..” เสียงแหบพร่าที่ตอบผมกลับมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส น้ำตาของเขาหลั่งไหลออกมาไม่หยุดจากดวงตาทั้งสอง ..มือผมสั่น ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พยายามประคองเขาเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังคงตัวเอาไว้ไม่อยู่ มือข้างนึงพยายามเขย่าไหล่เขาเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ก็ไม่เป็นผลอะไร วินาทีต่อมา..คนในอ้อมแขนของผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป

        “เทียน!” ผมตกใจอย่างสุดขีดเมื่อร่างทั้งร่างเซล้มมาทับตัว ..พยายามเรียกชื่อเขาให้ได้สติขึ้นมา ..พยายามหาสิ่งที่พอจะช่วยเขาได้ ผมใช้มือข้างนึงพยุงตัวเขาเอาไว้ ส่วนอีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากะว่าจะโทรเรียกรถพยาบาล แต่จู่ๆความเจ็บปวดจากแขนข้างที่ใช้พยุงเทียนไขก็เกิดขึ้นจนทำเอาร่างทั้งร่างของผมกระตุกวาบ โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือหล่นลงไปในบ่อน้ำข้างๆ เพียงเสี้ยววินาทีจอโทรศัพท์ที่เคยเปล่งแสงสว่างก็มืดดับ



       “…” ผมหันมามองดูคนในอ้อมกอดอีกครั้ง

       “คุณสมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ” ก่อนจะตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพยายามฝ่าฟันมันมาอย่างยากลำบากเพื่อที่จะให้ตัวเองหายดี แล้วใช้แขนที่สั่นเทาไร้เรี่ยวแรงของตัวเองทั้งสองข้างโอบอุ้มเทียนไขขึ้นมา

       “โอ๊ย..” ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่มันก็คงจะ..ไม่สำคัญเท่าชีวิตของเทียนไขอีกต่อไปแล้ว

 

       ..นึกสมเพชตัวเองที่อ่อนแอได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่ร่างทั้งร่างสมควรจะกำยำและแข็งแกร่ง แต่ผมกลับ..ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะขับรถไปส่งเทียนไข

      ความเจ็บปวดเริ่มหนักหน่วงมากขึ้นเมื่อผมยังคงอุ้มเขาอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อดี พยายามกัดฟันทนเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรซักเท่าไหร่

      สุดท้ายผมจึงตัดใจจากรถของตัวเองแล้วหารถแท็กซี่แทน จุดหมายปลายทางที่ผมเลือกผมรู้ว่าผมควรจะเลือกโรงพยาบาล แต่นั่นมันอาจจะไกลเกินไปสำหรับเทียนไขตอนนี้ ผมจึงเลือกที่จะพาเขามาที่บ้านของผมแทน เพราะมันก็..ไม่ได้ต่างอะไรจากโรงพยาบาลซักเท่าไหร่

        ผมรักษาตัวอยู่ที่บ้านมานเกือบครึ่งปี อุปกรณ์หลายๆอย่างของโรงพยาบาลหาได้ง่ายๆในบ้านของผม และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้มากมายซักเท่าไหร่ แต่ผมก็พอจะรู้จักวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น หลังจากนั้นถ้าเทียนไขยังไม่ฟื้นผมค่อยพาเขาไปโรงพยาบาลแล้วกัน



        ไม่นานนักรถแท็กซี่ก็พาเรามาถึงจุดหมาย ผมจัดแจงทำการปฐมพยาบาลทุกๆบาดแผลของเทียนไขด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถ และขณะที่ผมกำลังทำแผลอยู่ จู่ๆเทียนไขก็รู้สึกตัวขึ้นมา

       “โอ๊ย!” เทียนไขขยับตัวในขณะที่ผมกำลังล้างแผลให้ เจ้าตัวจึงร้องโอดโอยขึ้นมาพร้อมกับนิ่วหน้าเพราะความเจ็บปวด

       “อยู่เฉยๆ ผมจะทำแผลให้” ผมบอกเขาไปตามตรง ถึงเราจะเกลียดกันแค่ไหนแต่ถ้าจะให้ยืนดูคนทั้งคนตายไปต่อหน้าผมก็ทำไม่ได้หรอก เพราะงั้นนี่เลยเป็นสิ่งที่ผมเลือก..

       “…” นั่นไง กะไว้แล้วว่าคุณต้องไม่เข้าใจ

       “ไม่ต้องกลัวหรอกผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ ผมแค่บังเอิญเห็นคุณสลบ เลยพาคุณมาที่นี่ กำลังทำแผลให้”

       “…”

       “ขยับมานี่”

       “..ไม่ต้องหรอก ท..ทำเองได้”

       “ตามใจ” ผมถอนหายใจ ก่อนจะวางที่คีบสำลีในมือลงแล้วหยิบกล่องพยาบาลให้เขา เทียนไขรับมันไปแต่โดยดีพร้อมกับค่อยๆจัดแจงปฐมพยาบาลให้ตัวเอง เป็นครั้งแรกเลยที่ผมมองเทียนไขต่างออกไปจากที่เคยเป็น เขาในตอนนี้ดูไร้เดียงสาและดูไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยแม้แต่น้อย นี่ถ้าสมมุติว่าเราเข้าใจกัน..เราจะพอเป็นเพื่อนกันได้ไหมนะ?



       “ดีใจนะที่คุณเลือกที่จะมีชีวิตอยู่” ผมพูดออกไปตามสิ่งที่กำลังรู้สึก บอกตรงๆว่าตอนนั้นหลังจากที่เขาพูดอะไรแบบนั้นออกมาผมก็อดหวั่นใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากรู้ความเป็นไปของเขา แล้วก็อยากจะขอบคุณเขามากๆเลยที่เขาไม่ได้เลือกที่จะหายไป

       “…”

       “ผมว่าเขาคนนั้น..ที่อาจจะหน้าเหมือนผม? เขาต้อง..ดีใจมากแน่ๆ” ผมเชื่อแบบนั้น  “กินอะไรซักหน่อยมั้ย? ผมทำอาหารเก่งนะ”

       “ไม่เป็นไร..เดี๋ยวก็กลับแล้ว” เทียนไขตอบ ..เดาว่าเขาคงจะเกรงใจน่ะแหละ อีกอย่างเราก็ไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นที่ต้องบริการกันขนาดนั้น แต่ผมเชื่อว่าเขาจะต้องหลงรักอาหารที่ผมจะทำ เพราะผมคิดออกแล้วว่าจะทำอะไรให้เขาทานดี มันเป็นสิ่งที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงทำมันออกมาได้อร่อย ..เป็นสิ่งที่ช็อตโน้ตบนตู้เย็นเขียนเอาไว้ว่าต้องมีวัตถุดิบเตรียมพร้อมที่จะทำมันอยู่เสมอ

       ‘แกงเขียวหวาน’ ครับ ตอนแรกผมไม่รู้ชื่อของมันหรอก แค่เอาของที่อยู่ในตู้เย็นมาทำอาหารประทังชีวิตก็เท่านั้น แต่ปรากฎว่าผมดันทำแกงเขียวหวานได้อร่อยซะงั้น รสชาติมันมีเอกลักษณ์บางอย่างที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายยังไง ดังนั้นผมก็เลยอยากให้เทียนไขลองชิมมันดูซักครั้ง

       “ดึกแล้วนะ นอนที่นี่ก็ได้ มีห้องว่างอีกหลายห้องเลย..ผมอยู่คนเดียว” ผมยิ้ม พร้อมกับบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนอย่างที่เคย

       “..พ่อละ?” ทว่าผมพูดยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆเทียนไขก็ถามขึ้นมาทันที เป็นคำถามที่ทำเอารอยยิ้มเมื่อครู่..ต้องหุบลง


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       “ไม่รู้เหมือนกัน” ก่อนจะปั้นยิ้มอีกครั้งเพื่อตอบกลับไป

       “…”

       “คุณนอนห้องใหญ่ข้างบนได้เลยนะครับ ห้องนั้นมีเตียงมีทีวีมีทุกอย่าง ผมทำความสะอาดประจำเพราะงั้นสบายใจได้” จริงๆนั่นห้องเก่าของผมเองแหละ แต่ว่าการที่มันอยู่ชั้นบน มันเลยเป็นอุปสรรคแก่การรักษาตัวของผมที่จะต้องพึ่งอุปกรณ์หลายๆอย่าง ดังนั้นผมจึงย้ายมานอนห้องข้างล่างแทน

        ดีหน่อยที่เทียนไขยอมรับฟังแล้วเดินขึ้นไปบนห้องแต่โดยดี ผมจึงยิ้มให้กับแผ่นหลังที่ว่านอนสอนง่ายสำหรับตอนนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ครัวแล้วเริ่มทำแกงเขียวหวานอย่างที่ตั้งใจ ..จัดการทำทุกอย่างอย่างสุดฝีมือ ทั้งการเตรียมวัตถุดิบ การประกอบอาหาร และการตกแต่งจานให้สวยงามน่ารับประทาน

      …คุณต้อง...ชอบมันแน่ๆ





       “ท..ทำไมถึงทำแกงเขียวหวาน..?” ทว่า..ทันทีที่เทียนไขได้เห็นกับข้าวตรงหน้าเขากลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป 

       “ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้อร่อยที่สุดแล้วครับ รู้สึก..คุ้นเคยกับมัน” ผมยิ้ม และตอบเขาไปตามตรง ก่อนจะขยับไปนั่งตรงข้ามเทียนไข แต่จู่ๆเทียนไขก็วางช้อนส้อมในมือลง

       “อิ่มแล้ว”

       “เดี๋ยวก่อน.. คุณกินไปแค่ไม่กี่คำเองนะ”

       “ไม่หิว”

       “ผมตั้งใจทำมากเลย..” คุณกำลังแย่ สารอาหารพวกนี้มันสำคัญมากๆ เพราะงั้น..ช่วยกินให้มากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรอ..

       ผมเป็น…



       เพล้ง!

       ..ชามแกงเขียวหวานถูกเทียนไขยกขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ถังขยะแล้วเทแกงที่ผมตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือทิ้ง..

       “ตั้งใจทำหรอ..?” ..แล้วปล่อยให้ชามกระเบื้องตกกระทบพื้นจนมันแตกละเอียด

       “เฮ้ย! ทำอะไรวะ!” ..คืออะไรวะ? ถึงคุณจะโกรธจะเกลียดกันยังไงแต่ตอนนี้คุณควรจะขอบคุณผมด้วยซ้ำมั้ย แล้วนี่คืออะไร คุณทำอะไรของคุณวะเทียนไข..!

       “เลิกโกหกกันซักที!” อีกฝ่ายตะโกนลั่น กรีดปลายนิ้วชี้มาทางหน้าผมอย่างเหลืออด

       “ผมโกหกอะไรคุณวะ!”

       “เลิกแสดงละครตบตากันได้แล้ว มึงคิดว่ากูเป็นตัวอะไร..? จะทำอะไรกับกูก็ได้ จะทิ้งจะขว้างยังไงก็ได้หรอเปลว..”

       “ผมไม่เคยคิดแบบนั้น แล้วผมก็ไม่เคยโกหกคุณ”

       “จริงหรอ? แล้วแกงเขียวหวานนี่ล่ะ มึงก็รู้ว่ากูชอบกิน มึงทำให้กูกินทุกครั้งที่กูพูดว่ากูอยากกิน”

       “…”

       “บ้านหลังนี้.. ห้องของมึง.. ทุกๆอย่างมันก็คือของๆมึง มึงคิดว่ากูจะโง่จำไม่ได้หรอ?”

       “...”

       “มึงก็คือไอ้เหี้ยเปลวคนนั้นนั่นแหละ คนที่ทำชีวิตกูพังพินาศมาจนถึงทุกวันนี้”

       “…”

       “มึงเห็นสภาพกูตอนนี้ไหม? ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะมึง”

       “…”

       “เพราะฉะนั้น..มึงเลิกโกหกกันซักที”

       “…”

       “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ แต่ทีหลังไม่ต้องหรอก สาระแน!”

       “เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อนเทียนไข!” เรา..เรา..เคยรู้จักกัน..?

       “อย่ามายุ่งกับกู!!” เทียนไขเปิดประตูก่อนจะประคองร่างตัวเองให้ไปจากที่นี่ด้วยการกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ..ใจผมเริ่มเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก

       “เดี๋ยวก่อน..ที่คุณพูดหมายความว่ายังไง?” ผมไม่รอช้า และรีบตามเขาไปจนแนบชิดติดตัว ใช้มือข้างนึงรั้งแขนเขาเอาไว้

       “เปลว…ถ้ามึงสงสารกูแม้ซักเสี้ยวนึง..”

       “…”

       “มึง..ปล่อยกูไปเถอะ” เขาหันกลับมาหาผมอีกครา และผมก็ต้องชาวาบไปทั้งร่างอีกครั้งเมื่อเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าของเทียนไข

       “…” เขาพยายามแกะมือผมออก สุดท้ายแล้วผมเลยจำเป็นต้องปล่อยเขาไป ทว่าเทียนไขเดินออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าวเขาก็เซล้มไม่เป็นท่า

       “เทียน.. ให้ผมช่วย..” ผมวิ่งเข้าไปด้วยความร้อนรนพร้อมกับยื่นมือให้อีกฝ่ายยึดไว้ให้ยืนขึ้น แต่เทียนไขก็ปัดมันออกอย่างไม่ใยดี

       “ไม่ ถอยไป..อย่ามาแตะต้องตัวกู”

       “แต่คุณกำลังเจ็บ..”

       “สำหรับกูแผลพวกนี้มันไม่มีผลอะไรหรอกเปลว การที่กูได้มาเจอมึงต่างหากที่ทำให้กูเจ็บ”

         “…” ราวกับถูกของมีคมเสียดแทงไปกลางหัวใจ ผมพูดอะไรไม่ออก

         “มึงเข้ามาอีก..กูจะฆ่าตัวตายตรงนี้” และผม..ก็ทำได้แค่ยืนเป็นไอ้โง่อยู่ตรงนั้น

         ..ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่สามารถรั้งเทียนไขเอาไว้ได้เลย สิ่งที่ทำได้มีแค่ยืนอยู่ตรงนั้นจมจ่อมอยู่กับคำพูดที่เทียนไขพูดออกมา พร้อมกับมองดูเขาที่กำลังเดินออกไปไกลเรื่อยๆจนลับสายตา













        เวลาผ่านไปนับสัปดาห์หลังจากวันนั้น ..ทุกๆคำพูดของเทียนไขเริ่มฉายย้อนเข้ามาในหัวผมซ้ำๆ จนผมไม่สามารถสลัดมันออกไปจากหัวได้

       อะไรหลายๆอย่างในบ้านหลังนี้ที่ผมอยู่มันเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าสิ่งที่เทียนไขพูดเป็นความจริง ..ทั้งกระดาษโน้ตที่ติดอยู่บนตู้เย็นเอาไว้ว่าให้เตรียมวัตถุดิบให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับการทำแกงเขียวหวาน และเทียนไขก็บอกว่าผมชอบทำให้เขากิน..ทุกครั้งที่เขาพูดว่าเขาอยากกิน รวมถึงคำถามที่เขาถามถึงพ่อผมก่อนหน้านี้ ถ้าเขาไม่ได้รู้จักผมมาก่อนเขาจะรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าผมอยู่กับพ่อ ไหนจะกิริยาท่าทางที่ดูคุ้นชินกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีของเขานั่นอีก..

        แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าตัวผมก่อนหน้านี้..เป็นคนอย่างไร

        ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เทียนไขก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดเลย



        “หมอครับ พอมีวิธีที่จะทำให้ความทรงจำของผมกลับมาไหม ผมอยาก..ขอโทษเขา” ผมเริ่มต้นหาคำตอบให้กับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในหัว ..ผมอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้ผมทำอะไรไว้กับเทียนไข เขาที่ดูไร้เดียงสาถึงกลับกลายเป็นคนก้าวร้าว ดูเศร้าโศกได้ถึงขนาดนี้

       ..และผมไม่ได้อยากรู้แค่อย่างเดียว

       ผมอยากจะขอโทษเขาด้วยเช่นกัน..จากใจจริง

       “การบริหารสมองและออกกำลังกายจะช่วยได้ครับ” หมอตอบผม

       “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆผมคงจะจำเรื่องราวทุกอย่างได้ตั้งนานแล้วล่ะครับ” และใช่..คำตอบที่หมอให้มันก็คำตอบเดียวกันกับตอนที่ผมรู้สึกตัวครั้งแรกเลย ..ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำมาทั้งหมดมันไม่มีผลอะไรเลย เปลวคนนี้ยังคงตกอยู่ในห้วงอวกาศอันมืดมิด

        “บางสิ่งบางอย่างมันต้องใช้เวลา ขอแค่คุณอดทนอีกซักหน่อย ทุกๆอย่างจะดีขึ้น”

        “มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอครับ..?” ..ก่อนหน้านี้ผมก็เคยเชื่อเหมือนกันว่ามันจะดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ว่างเปล่าเหมือนเดิม

        “เป็นแบบนั้นครับ ไม่ใช่ว่าที่คุณพยายามมาทั้งหมดมันไร้ความหมายนะครับ สมองของคุณมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ดังนั้นขอแค่คุณไม่หยุดพยายาม ความพยายามก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ”

       “…” ผมก็อยาก..ให้เป็นแบบนั้น “ขอบคุณนะครับ”

       ขอให้..มันเป็นแบบนั้น






















        ..เวลาผันผ่านไปตามกลไลของมัน จนมาถึงเช้าวันนึงของการเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ ..วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ใครหลายๆคนเกลียด เปลวเองก็เช่นกัน แต่ว่าเขาไม่ได้เกลียดแค่วันจันทร์

        เขาเกลียดทุกวัน

        เปลวเกลียดโลกที่ผุพังของเขาใบนี้



        “วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี” นี่คือสิ่งที่เปลวมักจะบอกกับตัวเองในกระจกในทุกๆวัน ตัวเขาที่มักจะฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับจัดคอปกเสื้อนักศึกษาให้อยู่ทรง และขยับเนคไทสีเขียวเข้มให้ไม่แน่นและไม่หลวมจนเกินไป เปลวจ้องมองดูใบหน้าที่สะอาดเหลี้ยงเกลาของตัวเองในกระจก ก่อนจะพยายามปั้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง แต่ก็ต้องหุบมันลงเพราะดูเหมือน..มันจะไม่เวิร์คเอาเสียเลย

       “นายจะหายดี..ซักวันนึง.. นายจะ..หายดี” นายเก่งมากแล้วเปลวที่ผ่านจุดนั้นมาได้ ไม่นานหรอก ..อีกไม่นานนายจะหายดีอย่างที่หมอบอก

        ถึงตอนนั้นเส้นผมของนาย..ก็จะขึ้นตามปกติ



       “…” หมวกไหมพรมสีดำถูกถอดออก เปลวมองภาพของตัวเองที่สะท้อนในกระจก ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง

       “เห็นไหม..นายเก่งแล้ว” หยดน้ำตาเม็ดหนึ่งไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกเพราะยากแก่การอดกลั้นเอาไว้ ..ภาพในกระจกที่สะท้อนกลับมาคือสัญลักษณ์ของความทรมานที่เขาเคยพบเจอ



       ..รอยผ่าตัดสมองที่ปรากฎเด่นชัดให้เห็นบนหนังศีรษะตั้งแต่บริเวณบนใบหูด้านขวายาวไปจนถึงส่วนกลางของศีรษะ เป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนเลยว่าในหัวของคนๆนี้...ไม่มีอะไรสมบูรณ์อีกแล้ว

        ..การผ่าตัดครั้งนั้นเปลวถูกเปิดกะโหลกออกเพื่อรักษาเลือดคั่งที่อยู่ในสมอง แน่นอนว่าขณะผ่าตัดทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เปลวไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่นั่นก็เพราะฤทธิ์ของยาสลบ ..ทันทีที่เขาฟื้นขึ้นมาเขาเอาแต่ร้องไห้โวยวาย ดิ้นเร่าๆไม่หยุดเพราะความเจ็บปวดที่ตัวเองรู้สึก ..เป็นความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส

       หลายครั้งที่เขาต้องพึ่งยานอนหลับเพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ได้แค่ระยะสั้นๆเท่านั้น ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมา..ความเจ็บปวดก็ยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่ร่ำไป



       ..ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไรเหมือนเดิม เปลวพยายามรับความจริงในเรื่องนี้ แต่มันก็..ยากเหลือเกิน

       ฝีเข็มที่เย็บปิดแผลผ่าตัดบางส่วนยังคงเห็นชัดเจน เช่นเดียวกับรอยแผลที่พาดยาวอยู่บนศีรษะ และเส้นผมที่ขึ้นเป็นหย่อมๆ ดูน่าเกลียดน่ากลัว  เพราะเหตุนี้..เปลวจึงใส่หมวกไหมพรมใบนี้อยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดก็เพื่อซ่อนบาดแผลที่น่าเกลียดนี้เอาไว้ไม่ให้ใครเห็น

       “…” ..เปลวปั้นรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหยิบยาแก้ปวดที่วางอยู่ข้างหน้าขึ้นมาทานแล้วดื่มน้ำตาม เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเกิดปวดหัวขึ้นมาขณะที่อยู่มหาลัย

       “วันนี้..จะเป็นวันที่ดี..” พรประจำวันที่เขาอยากจะวอนขอต่อพระเจ้าในวันนี้ ..ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดี ..ขอให้..มันผ่านไปได้ด้วยดี









       ..หลังจากนั้นเขาก็ออกเดินทางเพื่อไปมหาลัย ทุกอย่างปกติดี เขาได้เจอเพื่อนคนสนิทภายในคณะ และที่แน่นอนที่สุดเขาได้เจอคนที่เขารัก..

       “มาสายนะคุณ” เสียงนุ่มๆที่ทำให้เขาสบายใจเอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเขา

       “ไม่คิดว่าจะมีคนรอเจอ ถ้ารู้จะมาตั้งแต่ประตูยังไม่เปิดเลย” เปลวตอบ

       “ใครบอกว่ารอ”

       “อ่าว งั้นถ้าไม่มีใครรอกูกลับก่อนนะ”

       “โอ๋ งั้นกูรอก็ได้ ถ้าคุณเขาจะงอนเก่งขนาดนี้”

       “ไม่หาย มึงต้องง้อด้วยการไปดูหนังกับกูเย็นนี้ครับ”

       “อะได้ เอางั้นก็ได้ครับ”

       “แล้วนี่..ทำไมอยู่คนเดียวอะ?” เปลวเอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นว่าพละพลกำลังนั่งอยู่คนเดียวจริงๆ

       “เมธมันไม่สบาย ก็เลยหยุดวันนี้วันนึง” อีกฝ่ายเอ่ยตอบ ..วันนี้คนติดแฟนเขาเกิดป่วยขึ้นมากระทันหัน เดาว่าคงติสต์เดินกลับบ้านแต่เจอฝนตกแน่ๆ

       “…” เปลวยังคงมองไปที่พื้นที่ว่างรอบๆโต๊ะที่พละพลกำลังนั่งอยู่ แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้อยากรู้เรื่องของเมธ แต่เขาอยากรู้เรื่องของ..

        “มองหาอะไร”

        “ป..เปล่า” เรื่องของ..เทียนไข

        “เดี๋ยวกูจะขึ้นไปเรียนละ ตอนเที่ยงเจอกันนะ โรงอาหารใต้ตึกกูนี่แหละ..อร่อยสุดในมอละ” พละพลลุกขึ้นมาจากที่ที่ตัวเองนั่งอยู่ก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นมาแล้วทำท่าจะเดินออกไป

        “โอเค” เปลวคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายแล้วหันกลับมาอีกทางเพื่อแยกไปเรียนอีกตึก





        ไม่นานนักก็ได้เวลาพักเที่ยง แสงแดดที่แรงกล้าสาดส่องมายังโลกใบนี้อย่างไม่ยำเกรง นิสิตส่วนใหญ่เริ่มทยอยกันออกมาที่โรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งสำหรับโรงอาหารคณะแพทย์แล้ววันนี้ก็คึกครื้นเหมือนเคย ..คงจะเพราะอาหารที่นี่ค่อนข้างอร่อยถูกปาก แถมยังราคาเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋า จึงทำให้ดึงดูดนิสิตนักศึกษาต่างคณะให้มาซื้ออาหารที่นี่ได้มากมาย

        รวมถึงเปลว



        เปลวมาตามที่คุยกับพละพลเอาไว้เมื่อเช้าว่าจะมาทานข้าวที่นี่ด้วยกัน เขามาพร้อมกับพวกไอ้โจ้ กลุ่มเพื่อนของเขานั่นเอง ..เปลวใช้เวลาชั่วขณะในการกวาดสายตามองหาพละพล และก็พบว่าพละพลกำลังนั่งจองโต๊ะอยู่ที่โต๊ะตัวนึงโซนกลางๆโรงอาหาร

       “นั่นไงแฟนมึง” โจ้ชี้ให้เปลวดู ก่อนจะถูกเจ้าตัวตบกะโหลกไปทีนึงเบาๆ

       “ไม่ใช่แฟนครับโจโจ้” แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่โจ้พูดมันกำลังทำให้เปลวหุบยิ้มไม่ได้

       “เออกูเชื่อก็ได้” โจ้ขำร่วน ก่อนจะเดินเคียงคู่มากันเปลวไปยังโต๊ะที่พละพลนั่งรออยู่ โดยมีเพื่อนคนอื่นๆของโจ้เดินตามอยู่ข้างหลัง

       “เปลว กูรู้ว่ามึงชอบกินอันนี้ก็เลยซื้อไว้ให้ละ มึงจะได้กินพร้อมกูได้เลยไม่ต้องไปต่อแถวรอนาน” และทันทีที่เปลวนั่งลงตรงข้ามพละพลเจ้าตัวก็จัดแจงจานข้าวแกงที่ซื้อรอเปลวอยู่ก่อนแล้ว

       “อ่าวพล แล้วกูล่ะเพื่อน ทำไมซื้อให้แต่ไอ้เปลว” โจ้ทักท้วง

       “สิทธิพิเศษที่เปลวได้รับคนเดียวครับ โจ้อยากให้มีคนซื้อให้โจ้ต้องหาเมียแล้วปะ”

       “โหดร้ายว่ะ งั้นกูกับพรรคพวกไปซื้อข้าวก่อนน้า เชิญสวีทวี๊ดวิ่วกันตามสบาย” พูดเสร็จเจ้าตัวก็ทิ้งท้ายด้วยการทำหน้าทำตากวนส้นเท้าแล้วเดินออกไป ..เหลือเพียงแค่เปลวกับพละพลสองคนกลางโรงอาหารที่คนพลุกพล่านเต็มไปหมด

       “มึงจะดูหนังเรื่องอะไรวะ มีหนังใหม่เข้าหรอ” พลเปิดประเด็น พร้อมกับหยิบคู่ช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมจะตักข้าวกิน

       “ใช่ กูรู้ว่ามึงต้องชอบแน่ๆ” เปลวตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจ

       “รู้ใจกูจังเลยเนอะ อย่างงี้ก็ควรเป็นมากกว่าเพื่อนแล้วปะ” ทว่าความมั่นใจเมื่อครู่ก็ต้องลดหลั่นลงมา ..มันไม่ใช่ว่าเปลวจะไม่อยากเลื่อนสถานะขึ้นไป แต่ว่า..มันยังไม่สมควรที่จะเป็นตอนนี้

       “…”  เปลวกลัว..

       “ล้อเล่นหรอก เป็นแบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรไม่ต้องเป็นแฟนกันก็ได้” ..กลัวว่าพละพลจะรับในเรื่องที่เขากำลังป่วยไม่ได้

        “อีกซักพักนะมึง รอให้กูพร้อม..” เพราะเขาก็รู้ตัวเองดีว่าสิ่งที่เขาเป็นมันค่อนข้างหนักหนาพอสมควร ถ้าพละพลรู้แล้วทำให้พละพลต้องคอยเป็นห่วงกัน อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากให้พละพลรู้หรอก เป็นแบบนี้ต่อไปดีที่สุด…กับทุกฝ่าย

       “กูไม่ได้อยากมีแฟนอะไรขนาดนั้น แค่มีมึงอยู่ข้างๆกูก็โอเคแล้วอะ”

       “กูอยู่ข้างๆมึงนี่แหละ ไม่ไปไหนหรอก..”





       เพล้ง!

       จู่ๆเสียงจานตกกระทบพื้นก็ดังขึ้นมา ดึงเอาความสนใจของผู้คนภายในโรงอาหารกันเป็นตาเดียว เปลวหันไปตามต้นตอของเสียง ก่อนจะพบว่าคนที่ทำเสียงดังรบกวนคนอื่นๆทั้งโรงอาหารก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

        เทียนไขนั่นเอง..



        “อะไร? มองกูทำไม มึงสะดุดขากูเองปะไอ้ควาย” ใครคนนึงที่นั่งอยู่ตรงนั้นตะโกนใส่หน้าเทียนไขที่กำลังหันไปมองหาผู้ที่ทำให้ตัวเองล้ม “มองเหี้ยไรนักหนาไอ้สัด ทำไม? มึงไม่อยากจบตรงนี้มึงก็ไปเจอกับกูได้”

        “…” ส่วนเทียนไข ..ตัวเขาเริ่มสั่นระริกเพราะความหวาดกลัวที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ เขาค่อยๆใช้แขนข้างนึงยันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะขยับไปหยิบถาดรองจานที่กระเด็นไปใต้โต๊ะอีกโต๊ะนึงกลับมา แล้วใช้มือเปล่าของตัวเองหยิบจับเศษจานที่แตกขึ้นมาไว้บนถาดในมือด้วยความระมัดระวัง

        ..เม็ดข้าวที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น รวมถึงเนื้อและผักชิ้นโตที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเทียนไขถูกเจ้าตัวค่อยๆโกยขึ้นมาใส่ไว้ในถาดรองจาน จนพื้นที่เคยเปรอะเปื้อนดูสะอาดมากขึ้น ..เทียนไขลุกขึ้นยืนพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาเดินต่อไป ทว่าทุกคนต่างก็รู้ดี..ใบหน้าของเทียนไขเต็มไปด้วยคราบน้ำตา



        ..ที่แย่ไปกว่านั้น เศษข้าวที่เทียนไขเก็บขึ้นมาเขาไม่ได้นำมันไปทิ้งแต่อย่างใด แต่เทียนไขกลับพาข้าวเหล่านั้นไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป จับช้อนส้อมขึ้นมา ริมฝีปากที่สั่นระริกจากการสะอื้นค่อยๆอ้าออกก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆนำข้าวที่ตกพื้นเหล่านั้นเข้าปาก

         มันไม่ใช่อุบัติเหตุ…ทุกคนต่างก็รู้ดี คนที่ด่าเทียนไขคนนั้นเขาจงใจยื่นขาออกมาสกัดขาให้เทียนไขล้มหน้าคะมำ และใช่…ดีใจด้วยที่ทำสำเร็จ

        ..แต่คุณจะรู้มั้ยว่า นั่นมันเป็นเงินที่กว่าจะได้มาเทียนไขต้องแลกมันด้วยน้ำพักน้ำแรง…

        คุณจะรู้มั้ย..ว่ามันทรมานขนาดไหนกับการเป็นตัวตลกของทุกคนในโรงอาหาร..







       “มึงดูดิ แม่งแดกข้าวที่ตกดิน โคตรบ้า..” ที่โต๊ะกลางโรงอาหารพละพลหัวเราะร่วนเมื่อเห็นภาพเทียนไขทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด

        “…” เปลวถึงกับขมวดคิ้วกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

        “มันยังสติดีอยู่หรือเปล่าวะ?” ..และแล้วเส้นความอดทนที่มีอยู่ก็ขาดลง เปลวลุกขึ้นออกมาจากตรงนั้นก่อนจะเดินออกไป















        “เทียนวางช้อนลง ผมซื้อมาให้คุณ” ..การมีชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียวในสภาพแบบนี้แกก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอเทียนไขว่ามันยาก ทำไมแกถึงยังดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่ออีกล่ะ..?

         “เทียน.. คุณได้ยินผมมั้ย?” จะบอกว่าอยู่ต่อไปเพราะความฝัน..เพราะความเชื่อมั่นของตัวเองหรอ …มันไม่จำเป็นซักเท่าไหร่หรอก เพราะแกไม่ได้สำคัญกับใครอะไรขนาดนั้น

         เอาจริงๆ..ต่อให้แกหายไปก็..ไม่มีใครสนใจเลยด้วยซ้ำ



        “เทียน” เปลวเอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดุดันมากขึ้น เพราะเทียนไขเอาแต่เหม่อลอยพยายามจะเอาเศษข้าวเข้าปากอยู่ซ้ำๆ จนเปลวต้องหยิบถาดข้าวตรงหน้าเทียนไขออกมาแล้วแทนที่ด้วยข้าวจานใหม่ที่เขาซื้อมาให้ ..เปลวไม่ได้เดินออกไปไหน แต่เขาเดินไปซื้อข้าวจานใหม่มาให้เทียนไข

        “…” คนตัวเล็กกว่าจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นทำท่าจะเดินหนีไป แต่เปลวรู้ทันก็เลยรั้งเทียนเอาไว้ได้

        “คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ที่ผมทำผมก็แค่อยากจะช่วยคุณ…สิ่งที่เขาทำกับคุณมันแย่” เปลวพูดในสิ่งที่รู้สึก ..ก็เห็นอยู่เต็มๆตาว่าจงใจขัดขากันชัดๆ ยังมีหน้ามาด่าคนอื่นเขาอีก 

        “ปล่อย..” เทียนไขพยายามปลดตัวเองออกมาจากพันธนาการที่ข้อมือ แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ เพราะยิ่งขยับมากเท่าไหร่เปลวก็ยิ่งบีบข้อมือของเขาแรงขึ้นเท่านั้น

        “เทียน..คุณฟังผม ผมไม่ได้จะทำอะไรคุณ ผมสงสาร..ก็เลยซื้อข้าวมาให้คุณใหม่” เปลวพูดไปตามตรง เขารู้สึกไม่โอเคเลยซักนิดที่เห็นคนๆนึงโดนแกล้งแบบนี้ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือทุกคนต่างก็หัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่พละพลที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของเทียนไข ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจทำแบบนี้ ถึงแม้ว่า..

        “กูขอมึงหรอ..?” จะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเทียนไขไม่ต้องการ

        “…”

        “กูบอกว่ายังไง.. กูบอกว่าทีหลังไม่ต้องมาช่วยกูไง กูไม่ต้องการ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเริ่มสั่นเครือ เปลวสบตากับเทียนไขอีกครั้งก่อนจะพบว่าดวงตาคู่สวยกำลัง..ร้องไห้อีกแล้ว

        “คุณเกลียดผม ผมรู้…ผมรู้ดี แต่คุณช่วยห่วงตัวเองก่อนได้มั้ยเทียนไข” ใช่แล้ว..ตอนนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดตอนนี้ก็คือเทียนไข เพราะงั้น..คุณช่วยเป็นห่วงตัวเองก่อนได้ไหม…

        “เปลวมึงทำอะไร” เสียงนุ่มที่เคยฟังแล้วสบายหู ตอนนี้พละพลกลับใช้มันด้วยความดุดัน

        “…” เปลวหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะพบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง กำปั้นทั้งสองของพละพลกำแน่นเพื่อระบายอารมณ์ เพราะสิ่งที่ประจักษ์ชัดแจ้งเต็มๆตาก็คือ..เปลวกำลังจับมือกับตัวเชื้อโรคอย่างเทียนไข

        “ฮือ…ปล่อย ปล่อยกู.. ปล่อยกูที” และดูเหมือนเขาจะรู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งอะไร ..ทันทีที่เทียนไขเห็นพละพลเขาก็รีบแกะมือของเปลวออกไป

        “หยุด” เปลวออกแรงบีบข้อมือของอีกฝ่ายให้มากขึ้นพร้อมกับบังคับขู่เข็ญเทียนไขด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “พล มึงไม่มาดูเพื่อนมึงหน่อยหรอวะ? พล?”

        “…มึงจะไปยุ่งกับมันทำไม มึงก็รู้นี่ว่าไอ้เหี้ยเทียนมันทำอะไรไว้กับมึงบ้าง!”

        “ทำไมวะ.. เทียนทำอะไรกูแล้วมันทำไม..?”

        “มึงยังต้องถามอีกหรอว่าทำไม มันทำมึงเกือบตายเลยนะเปลว”

        “ตอนนี้กูไม่สน” เปลวทิ้งท้ายก่อนจะหันกลับมาหาเทียนไขอีกครั้ง

        “ปล่อยเถอะ..ปล่อยเถอะนะ” คนตัวเล็กกว่ายังคงดื้อดึงไม่หยุด

        “คุณฟังผม …ที่ผ่านมาผมรู้ว่าระหว่างเรามันแย่ แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าจริงๆแล้วผมไม่เคยคิดร้ายกับคุณเลย ผมอยากให้เราได้เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ” …ถ้าหากทุกอย่างมันไม่บิดเบี้ยวแบบนี้ พวกเขาทั้งสองคงจะไม่ต้องมาพบเจอความเจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่แบบนี้.. พอจะเป็นไปได้ไหม ถ้าระหว่างเรา…จะเริ่มต้นใหม่

        “กูไม่อยาก! มึงปล่อย…กูบอกให้ปล่อย ปล่อยกู”

        “…” แต่คงจะเป็นไปไม่ได้

        “กูเกลียดมึง..กูเกลียดมึง …มึงได้ยินไหมว่ากูเกลียดมึง ..อย่ามายุ่งกับกู …อย่ามายุ่งกับกู ฮือ….” ..ยังไงโลกของพวกเขาทั้งสองคนก็บิดเบี้ยวกันไปจนแทบจะไม่มีรูปร่างแล้ว …ไม่มีหนทางไหนให้โลกทั้งสองใบนี้มาบรรจบกันได้หรอก.. 

         มีแต่…จะคอยแผดเผาทำลายกันอยู่เรื่อยไป







        …เทียนไขร้องไห้อย่างหนัก ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ของตัวเองปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด ..เขาผลักเปลวออกไปเพื่อจะให้เปลวปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระ เพราะเขารู้ดีว่ายังไงซะเปลวก็ไม่มีทางเจ็บปวดอะไรอยู่แล้ว เปลวมีคนที่รักเขายืนอยู่ไม่ห่าง มีเพื่อนพ้องคอยปกป้อง ในขณะที่เขาไม่มีอะไรเลย..



        โครม!

        …หากแต่ว่ามันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เทียนไขคิดไปซะทั้งหมด ด้วยแรงผลักเมื่อครู่เปลวถึงกับหงายหลังล้มลงไปกับพื้นโดยที่ไม่มีใครรับได้ทัน ที่แย่ไปกว่านั้น..

        หมวกไหมพรมกำลังจะหลุดออกไปจากศีรษะ

       

        “ฮะ..ฮะๆ ฮ่าๆ..” เปลวรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิด เขาจึงพยายามหัวเราะเพื่อสร้างความสุขปลอมๆขึ้นมาในโลกที่ผุพังลงไปแล้วของเขา

        “เปลว..!” เสียงนุ่มๆเอ่ยเรียกชื่อของเขา ก่อนจะพุ่งตรงมาหาเขาอย่างไม่รอช้า ทว่าพละพลกลับชะงักฝีเท้าอยู่ตรงนั้นข้างๆลำตัวของเขา หยุดยืนอยู่นิ่งๆจ้องมองไปที่ศีรษะของเขาด้วยสีหน้าที่ดูตกใจอย่างสุดขีด

        ..เช่นเดียวกันกับพวกไอ้โจ้ที่เดินมาถึงเมื่อครู่ พวกมันหยุดกึกไม่กล้าเข้ามาใกล้เขา

        รวมถึง..คนอื่นๆในโรงอาหารด้วยเช่นกัน



        ‘วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี’ ทั้งๆที่เขาหวังให้มันเป็นแบบนั้น ..เขาสู้มาโดยตลอด พยายามอยู่ในสังคมให้ได้ด้วยสภาพที่น่าเกลียดแบบนั้นของตัวเอง

        ทั้งๆที่เปลว…พยายามจะมีความสุขมาโดยตลอด.. 





        “สะใจคุณหรือยัง..เทียนไข” แต่ตอนนี้..มันไม่มีผลอะไรแล้ว โลกที่ผุพังถล่มสลายไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ความรู้สึกดีๆก็เช่นกัน

        มัน..ไม่เหลืออะไรแล้ว







       

       

       























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2019 19:42:33 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เอิ่มมมมม งืมมมมมมม "....." แตกสลายกันทั้งสอง ณ เวลานี้ แต่หลังจากนี้ผลสะท้อนกลับมาคงน่าจะเป็นเทียนมากกว่าหากว่าพลและเพื่อนรับได้กับสิ่งที่เปลวเป็นอยู่ตอนนี้ เทียนละจะโดนตีกลับแบบหนักว่าเดิมอีก ไอ้เราก็นึกว่าหายไปจะเข้มแข็งขึ้นมาได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็เปล่า โอเคเราจะพยายามเข้าใจว่าเวลาแค่นี้ใครจะทำได้ (แหมมมแต่ถ้าเรามีแรงเกลียดชัง เราทำได้นะ เราต้องดีขึ้นงี้ 55555) //ในมุมมองต่อเปลว บางทีเราก็คิดนะว่าการที่เทียนมาทำร้ายๆใส่เปลวในตอนนี้ มันก็ไม่แฟร์สำหรับเปลวเลย เพราะเปลวเขาจำความเดิมไม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็ถูก แล้วเทียนมาพ่นคำร้ายๆใส่ ทำร้ายร่างกายด้วย เขาจะคิดว่าเทียนร้ายนั้นมันก็ไม่แปลก ก็ไม่มีใครรู้ว่าเทียนเจอไรมา //ส่วนในมุมมองของเทียน เราก็เข้าใจอีกละว่า ก็คนเรามันเกลียด แทบอยากฆ่าให้ตายกับสิ่งที่เขาทำกับเรา มันเลยแบบเกลียดและโกรธจนไม่สนว่าเขาจะจำได้หรือไม่ แต่เทียนในตอนนี้ก็(คงแอบ)สับสนอยู่ว่าเขาแกล้งความจำเสื่อมหรือว่าเป็นจริงๆ (ซึ่งตามจริงเทียนน่าจะรู้บ้างแล้วนะว่าเขาเป็นจริงๆ) เราก็เลยเข้าใจทั้งสอง พยายามไม่เอนเอียงสุด 555555  แต่ถ้าเมื่อไหร่ความจำเปลวกลับมาเถอะ หึหึ! บัญชีหนังหมาเปิดรอเลย เทียนจะเอาคืนในความทรงจำเก่าเราไม่ว่าเลย (เราคงไม่กระทืบหรอกแแต่จะหล่อเริ่ดเชิดจนอิจฉาไปเลยละวะ ฮ่าๆๆ) หลังจากนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็อยากให้ทั้งสองต่างแยกกันเข้มแข้งนะ คงกลายเป็นเส้นขนานไปแล้ว ไม่อยากให้เกี่ยวข้องคือไม่ต้องไปวอแวนะเปลว ต่อจากนี้คงไม่ไปวอแวจริงๆแล้วละ ก็นะ แล้วเทียนก็เข้มแข็งไว้นะ สู้โว้ย ชีวิตมันต้องเดินต่อไป อย่าให้พวกมันมาหยามสิวะ ตีนกูนี้กระตุกอยู่ร่ำๆ อยากถีบหน้าพวกแม่ง อร๊ายยยยยยยยอินเว่อร์วังค่ะ 55555 สนุกกกกมากกก ดราม่าหน่วงดีแท้ อ่านยาวเลย เพลินจนอยากอ่านต่อแล้ว ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพให้อ่านกัน รอเสมอค่ะ อยากรู้จริงปลายทางของสองคนนี้อยู่ตรงไหน 555555555  เอาอีกค่ะเอาอีก รอรอรอนะคะ แต่งดีมาก ชอบเลย ^_^

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
12


‘เปลวเทียน’




*เนื้อหาในตอนนี้ค่อนข้างรุนแรง ภาษาที่ตัวละครใช้ก็รุนแรงไม่แพ้กัน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ*




       ‘ทำไมหน้าเปลวดูเครียดๆ คิดอะไรอยู่หรอ’

       ‘คิดถึงมึง’

       ‘คิดถึงเราก็ต้องยิ้มสิ’

       ‘เทียนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.. ’

       ‘มีอะไรหรือเปล่า หื้ม’

       ‘มึง..อยู่ข้างๆกู อย่าทิ้งกูไปได้มั้ย..’




       ...ภาพจำใบหน้าของเปลวในหัวเทียนไข เขาดูเป็นคนที่ไม่เคยทุกข์ร้อนอะไรเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเปลวจะควบคุมสติและหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างเชี่ยวชาญ ..ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเปลวแทบจะไม่เคยแสดงออกมาเลยว่าตัวเองเศร้า กลับกันเปลวมักจะยิ้มอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันเปลวมักจะสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้โลกทั้งใบของเขาสดใส เพียงแต่..เทียนไขไม่เคยรู้เลยว่ารอยยิ้มที่ประดิษฐ์อยู่บนใบหน้าของเปลวมันยากแค่ไหนกว่าจะยิ้มออกมาได้



       “…” เทียนไขยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาทำอะไรไม่ถูก แขนขารู้สึกแข็งชาไปหมดทำให้ก้าวไม่ออก ..เอาจริงๆคือ..เทียนไขยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะก้าวไปหาเปลวหรือเปล่า ควรจะช่วยเปลวขึ้นมามั้ย

       “เปลว..” พละพลก็ดูจะตกใจกับภาพอันอัปลักษณ์ของเปลวอยู่ไม่น้อย เขาจึงทำหน้าที่การเป็นคนที่เปลวรักและเป็นคนที่รักเปลวได้อย่างดีเยี่ยมด้วยการ…ยืนดูอยู่ตรงนั้นไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้าไปช่วย ..เปลวเห็นอย่างนั้นแล้วก็นึกขำตัวเอง ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงแล้วหยิบหมวกใบเดิมของตัวเองขึ้นมาสวม ..ใช้แขนอันสั่นเทายันตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก เนื่องจากความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อแสนอ่อนแอที่ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ถูกเทียนไขผลักจนล้มกระแทกไปกับพื้น

       “…” ..เปลวเริ่มเดินเข้ามาใกล้เทียนไข ทำเอาหัวใจของเทียนไขเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ความหวาดกลัวเกิดขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อระยะห่างระหว่างเขากับเปลวเหลือไม่ถึงฟุต ภาพหมัดหนักๆที่กวัดแกว่งกระหน่ำใส่เขาอย่างบ้าระห่ำฉายย้อนเข้ามาให้เกิดความรู้สึกเย็นวูบ 

       “…” หากแต่..เปลวไม่ได้ลุกขึ้นมาเพื่อทำร้ายเขาเหมือนอย่างที่เขาคิดเลย ที่แย่ไปกว่านั้น..คนที่มักจะยิ้มอยู่เสมออย่างเปลวกลับกำลัง..ร้องไห้

       …หยาดน้ำตาเม็ดใสกำลังไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ฉายแววออกมา เปลวเชยสายตามาที่เทียนไขอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาของเทียนไขที่เขาเห็นฉายแววเพียงความหวาดกลัว ..ไม่มีคำถามไถ่ ..ไม่มีความสงสัย และไม่มีคำขอโทษใดๆเกิดขึ้น ..นั่นจึงเป็นคำตอบที่แน่ชัดแล้วว่าที่เขาคิดอยากจะสนิทกับเทียนไข ..อยากจะเป็นเพื่อนกัน และอยากจะขอโทษถ้าซักวันความทรงจำเขากลับมา ทุกอย่างล้วนเป็นความคิดที่เกิดจากความขาดสติของเขาเอง เปลวโง่เองที่คิดแบบนั้นกับเทียนไข ..นี่สิความเป็นจริง ทำไมเขาถึงไม่ยอมรับมันซักที..



       “คุณคง..เกลียดผมมากเลยสินะ..?” น้ำเสียงแหบพร่าของเปลวเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด ..ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องถามในสิ่งที่ตนเองก็..รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

       “…”

       “ช่วยตอบให้..คนโง่ๆอย่างผมรู้ตัวเองซักที..” ..แต่ถึงอย่างนั้น…เปลวก็อยากจะฟังจากปากเทียนไขอยู่ดี เขาจะได้รู้ตัวว่าต่อจากนี้กับเทียนไขเขาควรจะก้าวไปทางไหน

       จะได้..ไม่ก้าวผิดทางอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้



       “เออใช่! กูเกลียด.. เกลียดมึงฉิบหาย กูอยากฆ่ามึงให้ตายเลยด้วยซ้ำเปลว!” และนี่..คือคำตอบที่เขาได้รับ

       “ถ้าเป็นอย่างนั้น..” เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ สำหรับเรื่องราวทั้งหมด

       “…” ..เราต่างก็พบเจอแต่ความเจ็บปวด ..เราต่างก็ร้องไห้ เสียหยดน้ำตาจนมันดูไร้ค่า  ..เราต่างก็ทนทุกข์ทรมานกับการพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ให้เหมือนคนปกติ และสุดท้าย..เราต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่าเรา..ไม่ควรพบไม่ควรเจอกันเลยซักนิด เพราะฉะนั้น..ทางที่ดีที่สุดที่พอจะช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นก็คงมีแต่ต้อง..ลบคำว่า ‘เรา’ ออกไปซะ

       ..ไม่ควรมีคนชื่อเทียนไข ในโลกที่ผุพังของเปลว

       และไม่ควรมีคนชื่อเปลว ..ในโลกที่แหลกสลายของเทียนไข



       “…” คนตัวเล็กกว่าเจ้าของนัยน์ตาคู่สวยสบตากับเปลวอีกครั้ง และภาพที่เห็นก็ค่อนข้างพร่าเบลอจนแทบจะแยกวัตถุไม่ออก หยาดน้ำตาเม็ดใสรื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาเต็มไปหมด ..เขาควรจะดีใจที่เปลวรู้ตัวเองซักทีว่าเขาโคตรจะเกลียดเปลวเลย ใช่ เขารู้..เขารู้ตัวดี แต่ลึกๆในใจมันกลับรู้สึกเจ็บแปล๊บๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  …วินาทีนั้นเองที่เทียนไขเริ่มรู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปเมื่อครู่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกที่ควร ริมฝีปากที่กำลังสั่นเครือจึงพยายามที่จะเอ่ยคำขอโทษออกไป

      “ต่อจากนี้ก็ขอให้เรา..อย่าได้เจอกันอีกเลย”

      ทว่ามันก็..สายเกินไปซะแล้ว



















       …หลังจากเหตุการณ์นั้นเรื่องของเทียนไขก็เริ่มลือกระฉ่อนไปไกล สายตาทุกคู่ในโรงอาหารตอนนั้นจับจ้องมาที่เขากันเป็นตาเดียว คิ้วของคนส่วนใหญ่ขมวดกันเป็นปม ก่อนที่คนเหล่านั้นจะหันกลับไปนินทาเรื่องเขากันอย่างสนุกปากภายในวงสนทนา และเรื่องของเทียนไขก็ถูกเล่าต่อกันไปปากต่อปากจนขยายกันเป็นวงกว้าง  ทำให้หลังจากนั้น..ทุกครั้งที่เทียนไขเดินผ่านใครก็ตามไม่ว่าจะคนในคณะเดียวกันหรือต่างคณะ สายตาของคนพวกนั้นก็มักจะมองมาที่เทียนไขด้วยความรังเกียจ..

       “คนนี้หรือเปล่าที่ทำให้เด็กสินกำคนนั้นหัวแตกอะ?” เสียงของใครคนนึงที่ดังแว่วมาให้ได้ยินบริเวณที่นั่งริมคณะขณะที่เทียนไขเดินผ่าน

       “ใช่ๆ วันก่อนก็ทะเลาะกันกลางโรงอาหารเลย มึงเห็นแผลเป็นหัวเด็กสินกำคนนั้นปะ แบบ..น่าสงสารว่ะ”

       “ใจคอมันทำด้วยอะไรวะ ถึงได้ใจร้ายขนาดนั้น แล้วนี่ทำไมยังกล้าเดินลอยหน้าลอยตาในสังคมอยู่อีก มันควรจะไปอยู่ในคุกแล้วปะ?” ..สิ่งที่เทียนไขทำได้มีเพียงแค่พยายามไม่สนใจต่อคำพูดเหล่านั้น ทำได้แค่ย้ำเตือนตัวเองให้เดินต่อไป อย่าสนใจ.. อย่าใส่ใจ..



       ปั่ก!

       “หมั่นไส้มันว่ะ” เสียงทุ้มตะโกนตามหลังเขามาด้วยความสะใจหลังจากที่ได้ปาก้อนหินก้อนนึงใส่หัวเทียนไข ..ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่เทียนไขก็ต้องกัดฟันทนแล้วก้าวเดินต่อไป

       “เอาว่ะ วันนี้เดินมาคนเดียวว่ะ ปกติเห็นตัวติดกับไอ้เหี้ยเมธ” ทว่าพอเดินออกมาจากคนกลุ่มนั้นที่ปาหินใส่เขา เทียนไขก็ยังมาเจอกับกลุ่มคนอีกกลุ่มที่นั่งออกันอยู่ตรงเชิงบันได

       “เมธไหนวะ”

       “ก็ไอ้นั่นไงที่ใส่แว่นหนาๆ แต่ก่อนเคยสนิทกับไอ้พล แต่เดี๋ยวนี้มาอยู่กับไอ้เทียนละ งงมันเหมือนกันว่าทำไมเลือกมาอยู่ข้างไอ้เหี้ยนี่ ไม่รู้ว่าโง่หรือบ้า” ..มือที่แนบสนิทข้างลำตัวเริ่มสั่นเพราะความหวาดกลัวที่กัดกินในหัวใจ เทียนไขพยายามข่มมันเอาไว้ก่อนจะก้าวเดินต่อไปเพื่อหลีกหนีคนพวกนี้ไปให้พ้นๆ แต่เสียงนกเสียงกาเหล่านั้นก็ไม่วายดังตามหลังมาให้ได้ยิน..

       “ก็คงพอๆกับไอ้เหี้ยเทียนมันนั่นแหละ คนศีลเสมอกันก็อยู่ด้วยกันได้ ศีลต่ำๆอย่างพวกมันเลยอยู่ด้วยกันได้ไง” ..ถ้าถามว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากการต่อยตีกับความเจ็บปวดที่เกิดจากคำพูดเหล่านี้อะไรเจ็บปวดกว่ากัน เทียนไขสามารถตอบได้โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย เพราะคำพูดเหล่านี้นี่แหละที่เจ็บปวดมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ทรมานมากๆที่เรารู้สึกเจ็บ แต่เราตอบโต้ไม่ได้ ทำได้แค่ก้มหน้ารับก้อนดินก้อนโคลนที่มันไม่เป็นความจริงเหล่านั้นปล่อยให้มันแต่งแต้มร่างกาย จนสุดท้ายแล้วเทียนไขที่คนอื่นๆรู้จักก็มีแค่เทียนไขที่เป็นข่าวลือ ไม่มีใครรู้จักกันจริงๆเลยแม้แต่คนเดียว

       “จริงว่ะ จำได้ว่าไอ้พลเคยบอกกูว่าไอ้เมธติดแฟนชิบหายเพราะแฟนมันรวย เลยทำตัวเป็นแมงดา เกาะเขากินไปวันๆ” ขอโทษนะเมธ.. ขอโทษที่กูดึงมึงลงมาให้คนเหล่านี้มันนินทา

       “5555555555 สมเพชว่ะ” ขอโทษจริงๆ…

       “อะดู เชี่ยเทียนแม่งเดินคอตกเป็นหมาเลย สมน้ำหน้า”

       

       …เทียนไขยังคงพยายามใช้ชีวิตต่อไปให้ดูปกติมากที่สุด เขายังคงดื้อรั้นที่จะมาเรียน มาเจอเพื่อนฝูงที่เคยทักทายกันถึงแม้ตอนนี้จะเปลี่ยนจากคำทักทายเหล่านั้นเป็นคำครหานินทาไปแล้ว เขายังคงคลี่ยิ้มออกมาเพื่อหวังให้มันซ่อนความเจ็บปวดข้างในที่กำลังแหลกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี

       ..แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมด ..โชคดีหน่อยที่เขายังมีเมธอยู่เคียงข้าง การใช้ชีวิตในสภาพแบบนั้นจึงไม่ได้ยากเท่าไรนัก เพราะอย่างน้อยๆถ้าเกิดรู้สึกแย่มากๆเขาก็ยังมีคนคอยรับฟัง..คอยเข้าใจเขาอยู่ จริงๆ..เมธเองก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าทุกคนกำลังมองเทียนไขอย่างไร เขาเคยตั้งคำถามอยู่เหมือนกันว่าเทียนไขทำอะไรลงไปหรือเปล่า และคำตอบที่เขากลั่นกรองมาได้จากปากของคนอื่นๆก็คือ

       พละพลไปเล่าให้ฟังว่าที่เปลวมีสภาพเป็นแบบนั้นก็เพราะเทียนไข

       …รอยแผลบนศีรษะของเปลวเกิดขึ้นก็เพราะฝีมือของเทียนไข

       และใช่…คนส่วนใหญ่เชื่อแบบนั้น เพราะภาพในวันนั้นมันก็ชัดเจนมากพอจนไม่จำเป็นต้องสรรหาหลักฐานใดๆมารองรับอีก



       ..สำหรับเมธ แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อไอ้ข่าวลือบ้าๆนี่แน่ๆ ซ้ำในใจก็เป็นห่วงเทียนไขอยู่เต็มอก ทว่าเมธก็..ช่วยอะไรเทียนไขไม่ได้เลย เขาอยากจะให้คนอื่นๆรู้ว่าเทียนไขกำลังป่วย อยากให้มีคนเข้าใจเทียนไขเพิ่มขึ้นแม้ซักคนก็ยังดี ..แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลย เทียนไขไม่ให้เขาบอกเรื่องที่ตัวเองป่วยกับใคร ซึ่งเอาจริงๆเขาจะไม่ทำตามสิ่งที่เทียนไขพูดก็ได้ แต่พอหันไปเห็นรอยยิ้มของเทียนไขแล้วเมธก็ทำแบบนั้นไม่ลง.. ยิ่งไปกว่านั้น…เมธจะไม่มีวันทำร้ายเพื่อนที่รักและเป็นห่วงเขาอย่างเทียนไขแน่ๆ 

       “เมธ มึงไม่ควรมาเดินกับกู ทุกคนจะมองมึงไม่ดีนะ” นี่เป็นสิ่งนึงที่เทียนไขบอกเขา ขณะที่กำลังเดินเลียบไปบนฟุตบาทด้วยกันเพื่อไปหน้ามหาลัยในช่วงเย็นหลังจบคลาส แน่นอนว่าเมธไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้างอยู่แล้ว ทว่าเทียนไขกลับไม่ได้คิดเหมือนเขา เพื่อนของเขาคนนี้เป็นห่วงเขาอยู่เต็มอก.. “กูว่า..เราไม่ควรเป็นเพื่อนกัน”

       “ไม่เกี่ยวปะวะ กูก็ไม่ได้สนใจอะไรกับคนพวกนั้นอยู่แล้ว” เมธตอบ คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน

       “แต่คนพวกนั้นที่มึงว่ามันสามารถทำให้มึงใช้ชีวิตลำบากได้เลยนะ ..มึงควรไปอยู่ในที่ที่มีงควรอยู่ ไม่ใช่มาอยู่กับกูที่เป็นตัวเชื้อโรค..”

       “ใครจะคิดยังไงมึงจะไปสนใจทำไม”

       “เมธ กูไม่อยากให้มึงต้องมาเจ็บตัวหรือพบเจออะไรร้ายๆเพราะกู”

       “แล้วยังไง มึงจะให้กูทิ้งมึงที่กำลังแย่อยู่หรอวะ? กูทำไม่ได้หรอก”

       “กูไม่เป็นไรหรอกเมธ กูอยู่คนเดียวได้ อีกซักพักเรื่องนี้มันก็คงซาลง แล้วสุดท้ายมันก็จะผ่านไป” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างที่เขามักจะทำอยู่ทุกครั้ง หากแต่เมธรู้ดีว่าจริงๆเทียนไขไม่ได้ยิ้มอยู่อย่างที่ปรากฎให้เห็น

       “ใช่ มันเป็นแบบนั้น และในระหว่างที่รอให้มันผ่านไป กูจะอยู่ข้างๆมึง” และเมธก็เข้าใจเพื่อนของเขาดี เขาไม่มีทางทิ้งเทียนไขไปเด็ดขาด โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ ไม่มีทาง..

       “มึงต้องไปจากกูเมธ”



       พลั่ก!

       แต่ทว่า..ทันใดนั้นคนตัวเล็กกว่าก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีออกแรงผลักให้เมธล้มลงไปบนฟุตบาท ในขณะเดียวกันแฟนของเมธที่จอดรถรออยู่ไม่ห่างก็เปิดประตูออกมาเห็นพอดี เช่นเดียวกับนิสิตคนอื่นๆบริเวณนั้นที่เห็นเหตุการณ์เต็มๆตา  ..น้ำตาเม็ดใสรื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาของเทียนไขอีกครั้ง ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับไปอีกทางแล้ววิ่งหนีไป

       ทั้งหมดนี่…เพื่อให้เมธหลุดออกไปจากชีวิตเขา

       ..เพื่อให้..เมธที่เป็นเพื่อนของเขาเพียงคนเดียวในตอนนี้ จะได้ไม่ต้องเจ็บปวด หรือถูกนินทาว่าร้ายอะไรอีก..













       ..หลายวันผ่านไปหลังจากวันนั้น เทียนไขก็ยังคงดื้อรั้นที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่มีแต่คนรังเกียจเขาต่อไป สถานการณ์มันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆเพราะสิ่งที่เทียนไขทำ เมธห่างออกไปเพราะน้ำผึ้งสั่งห้าม พละพลมีเพื่อนกลุ่มใหม่ในคณะ และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในมหาลัย ส่วนตัวเขาก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเดิม เทียนไขยังคงต้องไปไหนมาไหนคนเดียว ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว เพื่อนคนเดียวที่เขาพอจะมีเหลืออยู่ก็คงจะเป็นตัวเขาเองในกระจก ที่พอเขายิ้ม..เพื่อนคนนี้ก็จะยิ้มตอบ พอเขาบอกว่าสู้ๆ ..เพื่อนคนนี้ก็จะขยับปากเป็นคำว่า สู้ๆ เช่นเดียวกัน

       เทียนไขไม่ได้รับรู้เรื่องของเปลวอีกเลยนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น แต่ก็เคยเดินสวนกันอยู่บ้าง  สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเปลวและเขาต่างก็เดินไปตามทางของตนเอง สวนทางกันไปโดยไม่เหลียวหลังมามอง

       เราตายจากกัน..อย่างสมบูรณ์



       เทียนไขเลือกที่จะมากินข้าวคณะอื่นที่ไกลออกไปจากคณะตัวเอง ถึงแม้มันจะใช้เวลาในการเดินเท้าเพื่อมาที่นี่มากพอสมควร แต่มันก็ดีกว่าจะให้ไปนั่งกินข้าวท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาที่มีมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ

       ..เวลาช่วยให้ทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นได้จริงอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เพราะส่วนใหญ่คณะอื่นๆก็ไม่มีใครมาสนใจกับเรื่องของเขาซักเท่าไหร่แล้ว เพราะเหตุนี้เทียนไขจึงสบายใจมากกว่า กับการมารับประทานอาหารที่โรงอาหารของคณะอื่นที่ไกลออกไป เขามักจะทำแบบนี้ทุกวัน รวมถึงวันนี้ด้วยเช่นกัน.. แต่ละวันของเทียนไขสงบสุขเสมอมา จนกระทั่ง..

        “อ้าว เทียน..? ใช่เทียนไขปะ..?” มีใครคนหนึ่งที่กำลังเดินมาทางเขาหลังจากสบตากับเขาอยู่ครู่นึง เจ้าตัวไม่เพียงแต่เดินเข้ามาใกล้ แต่ยังถือวิสาสะนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามเทียนไขอีกด้วย

       “กูโก้นะ มึงสบายใจได้กูไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น” คนตรงข้ามพูดเจื้อยแจ้วด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เทียนไขจึงพอจะเบาใจไปได้บ้าง เพราะอย่างน้อยคนๆนี้ก็ดูไม่มีพิษมีภัย “แต่กู..มีอะไรสงสัยอยู่อย่างนึง”

       “อ..อะไร..”

       “มึงกับเปลว..ทำไมถึงมาทะเลาะกันได้วะ?”

       “…” ฉึก! ..ราวกับถูกมีดแหลมๆปักลงกลางใจ ไม่เป็นไรเทียนไข.. ไม่เป็นไร

       “ทำไมทำหน้างั้น ..จำกูไม่ได้หรอเทียน กูโก้ไง เด็กใหม่ตอนม.4 ที่ย้ายมากลางเทอม”

       “อ..อ๋อ.. ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามึงเรียนที่นี่” ยิ้มเข้าไว้…

       “รู้สิแปลก ตลอดช่วงม.ปลายมึงกับกูคุยกันยังไม่ถึงห้าประโยคเลยด้วยซ้ำมั้ง”

       “ฮ่าๆ.. จริงด้วย” หัวเราะเข้าไว้..

       “แล้วนี่จะตอบคำถามกูได้ยัง? ที่กูถามก่อนหน้านี้”

       “…” อย่าคิดถึง.. อย่ารู้สึก..

       “จะด่าว่ากูเสือกก็ได้ แต่ถ้ากูจำไม่ผิดมึงกับเปลวอยู่บ้านเดียวกันไม่ใช่หรอวะ สนิทกันมากด้วย”

       “ไม่ขนาดนั้น..” ..มันผ่านมาแล้วเทียนไข มันผ่านมาแล้ว

       “ขนาดนั้นแหละ กูยังจำได้อยู่เลยว่ามึงอยู่รอมันซ้อมบอลจนมืดค่ำได้ซะทุกวัน”

       “...” ..ทั้งๆที่เทียนไขพยายามย้ำเตือนกับตัวเอง ..แต่สุดท้ายแล้วภาพเด็กหนุ่มที่กอดคอกันเดินกลับบ้านพร้อมเสียงหัวเราะและรอยยิ้มในอดีตก็ฉายย้อนกลับมาในหัว..



       ‘บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้กลับไปก่อน กว่ากูจะซ้อมเสร็จก็มืดค่ำ’

       ‘ก็อยากกลับพร้อมกันอะ’

       ‘ดื้อ’

       ‘บ่นไปเถอะ กูก็จะอยู่รอกลับพร้อมมึงอยู่ดี’

       ‘บ่นเพราะเป็นห่วง ยุงมันเยอะ ไม่อยากเห็นคนแถวนี้เป็นไข้เลือดออก’

       ‘งั้น..ขอรับความเป็นห่วงของมึงไว้แล้วเลิกรอมึงตั้งแต่พรุ่งนี้เลยดีกว่าเนอะ’

       ‘ไม่ได้ ก..กูชินกับการกลับพร้อมมึงไปแล้ว’

       ‘อ่าว เดี๋ยวยุงกัดกู ..เป็นไข้เลือดออกทำไง?’

       ‘เดี๋ยวกูเหมาโลชั่นกันยุงมาไว้ให้มึง’




       …ภาพเหล่านี้มันผ่านไปแล้วก็จริง แต่ความรู้สึกมันไม่เคยผ่านไปเลย

       “..ไหนจะตอนที่มึงเจ็บตัวเพราะตกบันไดตอนหลังกีฬาสีจนมึงเดินไม่ได้นั่นอีก ได้ยินว่าเปลวหยุดเรียนดูแลมึงเป็นอาทิตย์เลยนะ พอมาโรงเรียนมันเห็นมึงเดินกะเผลกๆหน่อยก็อุ้มมึงขึ้นหลังเลย”

       “…” ..หยาดน้ำตาเม็ดใสรื้นเอ่อขึ้นมารอบๆดวงตาอีกครั้ง ข้าวในจานกร่อยลงจนแทบจะไร้รสชาติ ถึงแม้จะพยายามสลัดภาพเหล่านั้นให้ออกไปจากหัว แต่ก็ทำไม่สำเร็จเสียที

       “มึงดูสนิทกันจะตายไป ทำไมตอนนี้เป็นแบบนั้นไปซะได้?”

       “ม..ไม่มีอะไรหรอก กูกับมันเคยสนิทกันก็จริง แต่มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าบนโลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน..” ยอมรับเถอะว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว..เทียนไข

       “หมายถึง..?”

       “กูกับเปลวเลยเป็นอย่างในทุกวันนี้ไง” 

       “เดาว่ามึงคงรู้สึกแย่พอสมควร” อีกฝ่ายตอบกลับมา ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้บทสนทนาหลังจากไม่ได้เจอกันเกือบปีของพวกเขากร่อยลงไปมากกว่านี้ “เอางี้ดีกว่า พรุ่งนี้วันเกิดเพื่อนกู มึงน่าจะรู้จักนะแต่ไม่รู้ว่ามึงจะจำได้หรือเปล่า สนใจจะไปด้วยหรือเปล่า? งานใหญ่มากเลยนะ”

       “ใคร..?” เทียนไขเอ่ยถาม

       “เอาน่าเดี๋ยวมึงก็รู้เอง ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อย” โก้เอ่ยตอบ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดตรงๆ แต่ยอมรับว่าท่าทางของโก้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เทียนไขไว้ใจ











       และใช่.. เทียนไขไว้ใจโก้ แล้วเลือกที่จะไปงานวันเกิดของใครก็ไม่รู้ตามที่โก้ชวน







       เทียนไขตกลงที่จะไป

       โดยที่..ไม่รู้เลยว่า ถ้าเขาไป..นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2019 02:08:27 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       …งานถูกจัดในโรงแรมหรูตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่งานวันเกิดธรรมดาๆของเด็กในช่วงอายุสิบเก้ายี่สิบปี แต่มันเป็นงานที่พิเศษยิ่งกว่านั้น ..งานนี้เป็นงานที่รวมทั้งงานวันเกิดของเพื่อนที่โก้บอก และปาร์ตี้เลี้ยงฉลองความสำเร็จในหน้าที่การงานของผู้เป็นพ่อของเพื่อนคนนั้นที่พึ่งถูกเลื่อนให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานของบริษัทชื่อดังระดับประเทศ

       รองประธานคนนี้จึงเห็นว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะจัดงานนี้ขึ้นมา ทั้งนี้ก็เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของลูกชาย และเลี้ยงขอบคุณคณะผู้บริหาร และพนักงานภายในบริษัทที่ช่วยให้เขาได้มีวันนี้อีกทั้งยังช่วยให้กระชับความเป็นพี่เป็นน้องกันภายในบริษัทอีกด้วย เพราะฉะนั้นในงานจึงถูกจัดตกแต่งให้อยู่ในรูปแบบที่หรูหราและสมกับชื่อของบริษัทนี้ ..มีพนักงาน หัวหน้าฝ่ายต่างๆ คณะผู้บริหาร รวมถึงกลุ่มเพื่อนของลูกชายผู้จัดงานมากมายที่มาร่วมงาน ค่ำคืนนี้ของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความสนุก และความอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า

       ..เทียนไขและโก้จึงเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆของงานนี้ พวกเขาเดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็นั่งลงท่ามกลางกลุ่มคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขาทั้งสอง เทียนไขที่ไม่รู้จักใครเลยก็ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ ไม่กล้าที่จะพูดคุยกับใครซักเท่าไหร่ แต่ก็มีโก้คอยช่วยเป็นคนกลางในการทำความรู้จักให้ ความประหม่าที่เคยมีจึงคลายลงไปมาก

       เป็นแบบนั้นอยู่ครู่นึง ..ก่อนที่โลกของเทียนไขจะค่อยๆมืดดับลงอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของงานวันเกิด

       “อ้าวไอ้แม็ก! กูอยู่นี่เพื่อนมานี่เร็ววว” โก้เอ่ยเรียก ทำให้มันที่อยู่ในชุดสูทราคาแพงเดินเข้ามาใกล้

        “ก..โก้ กูกลับก่อนนะ” เห็นดังนั้นแล้วเทียนไขจึงรีบขอตัวก่อนจะลุกเดินออกไปด้วยความหวาดกลัว แผ่นหลังบางรวมถึงแขนขาใบหน้าของเทียนไขสั่นเครือไปหมด และที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ..ไอ้แม็กรับรู้แล้วว่าไอ้คนที่กำลังยืนตัวสั่นงันงกอยู่คือใคร

       “อ่าวไปไหน ..แล้วนี่มึงเป็นอะไรเนี่ย หนาวหรอ?” โก้เอ่ยถามเมื่อเห็นเทียนไขหน้าซีดเผือก ริมฝีปากสีอ่อนสั่นระรัว ดวงตาล่อกแล่กราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่างอย่างสุดขีด

      “ป..ไปก่อนนะ” ก่อนจะวิ่งออกไป แหวกฝูงชนที่กำลังดื่มด่ำกับเครื่องดื่มรสเฝื่อน

      “เฮ้ย! ไอ้เทียน..!” โก้หันไปเรียกตามหลังเทียนไข “รีบไปไหนของมันวะ ดู..ลืมกระเป๋าไว้อีก..”

      “มาไอ้โก้ เดี๋ยวกูเอาไปให้ไอ้เทียนเอง” เสียงทุ้มต่ำอันน่าขนลุกเอ่ยขึ้นมาก่อนจะเดินมาหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างๆเก้าอี้แล้วเดินตามแผ่นหลังบางนั่นไป





       เพี๊ยะ!

       ไอ้แม็กใช้ฝ่ามือของมันวาดวงกลางอากาศก่อนจะตวัดเข้าไปรวบแขนของเทียนไขอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ..ความเจ็บแสบเกิดขึ้นในทันที และมันก็มากพอที่จะกระตุกความหวาดกลัวทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเทียนไขให้แสดงมันออกมา

       “ใครกันเนี่ย หน้าคุ้นๆเหมือนเคยรู้จัก..” แม็กรวบคนอ่อนแออย่างเทียนไขเข้าไปในอ้อมกอดอันแข็งกระด้างที่เขาสรรสร้างมันมาด้วยแขนแกร่ง ฝ่ามือสกปรกโอบกอดเอวบางเข้ามาแนบตัว

       “…!!!” เทียนไขตกใจอย่างสุดขีดเมื่อตกเข้าไปอยู่ในพันธนาการ ทันใดนั้นเทียนไขจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักไอ้แม็กออกไปจนมันเซถอยหลังไปสองสามก้าว

       “รุนแรงจังเลย ..ว่าไงที่รัก ไม่ได้เจอกันนาน.. คิดถึงผัวบ้างมั้ยครับ.. หื้ม” เสียงอันน่าขนลุกเอ่ยเอื้อนออกมาจากปากของไอ้แม็กที่กำลังแสยะยิ้มด้วยความสะใจ ก่อนมันจะพุ่งเข้ามาหาเทียนไขอีกครั้ง พร้อมกับใช้มือเชยคางเทียนไขขึ้นมาแล้วยื่นใบหน้าทุเรศๆของมันเข้ามาใกล้ๆ

       “ปล่อย.. ออกไป.. ออกไป” เทียนไขร้องขอด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาพยายามปิดเปลือกตาลงเพราะไม่อยากสบตากับสิ่งมีชีวิตอย่างไอ้แม็ก หมัดที่มือกำแน่นก่อนจะทุบตีอีกฝ่ายเพื่อดิ้นรนให้มันปล่อย

       “ดูทำหน้าสิ กลัวกูขนาดนั้นเลยหรอ เสียใจจังทั้งๆที่เราก็เคยมีความสุขร่วมกัน” แต่ก็เปล่าประโยชน์สิ้นดี ยังไงแรงอันน้อยนิดของเขาก็สู้แรงของมันไม่ได้เลย ซ้ำร้ายพอไอ้แม็กรู้ว่าเขาพยายามดิ้นรน มือที่มันใช้เชยคางก็เริ่มออกแรงบีบปลายคางราวกับอยากจะให้มันแหลกสลายคามือ

       “อย่า..อย่าเข้ามาใกล้กูนะ.. อย่า อย่าเข้ามา”

       “คิดถึงเสียงนี้ของมึงจังเลยเทียน เอาอีกสิ ..ครวญครางออกมา ..ร้องขอชีวิตกับกูอย่างวันนั้น”

       “อย่า ฮือ..อย่าเข้ามา อย่า.. อย่า อย่า….” ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้น้ำตาที่เขากลั้นเอาไว้หลั่งไหลออกมา เทียนไขสะอื้นอย่างหนัก พร้อมกับขยับถอยหนีออกมาจากไอ้แม็ก แต่มันก็ขยับเข้ามาใกล้เขาอยู่ตลอด จนท้ายที่สุดก็ไม่มีที่ให้เทียนไขหนีอีกต่อไป เบื้องหลังของเทียนไขเป็นโต๊ะที่วางอุปกรณ์รับประทานอาหารต่างๆไว้มากมาย มีแก้วไวน์จัดเรียงซ้อนๆกันเป็นชั้นๆกว่าห้าชั้น ส่วนอีกฝั่งนึงของโต๊ะที่ว่าก็เป็นโต๊ะของคณะผู้บริหารของบริษัทนี้

       “…จะถอยไปไหนอีกล่ะ ไม่มีที่ให้มึงหนีแล้วล่ะเทียน” ไอ้แม็กแค่นขำ ก่อนจะใช้มือทั้งสองเท้าโต๊ะเอาไว้โดยมีเทียนไขที่กำลังสั่นกลัวอยู่ตรงกลางวงแขน

       “ฮือ อย่ามายุ่งกับกู อย่า..อย่ามายุ่งกับกู…” เสียงครวญครางของเทียนไขยังคงดังให้เขาได้ยินอยู่เรื่อยๆ แม็กหลับตาพริ้ม รับฟังเสียงหวานที่เขาเคยได้ยินมันตอนที่เขามีความสุขอยู่กับร่างกายของไอ้เทียน

       “ไม่คิดเลยว่ามึงจะมา มึงเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดเลย..” มือข้างนึงเลื่อนขึ้นมาตามผิวสีเปลือกไข่ของเทียนไขขึ้นมาเรื่อยๆ ลูบไล้ขึ้นมาจนปลายนิ้วมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากสีอ่อน แม็กแสยะยิ้มก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ทว่าเขาก็ต้องถอยออกไป ..อาการป่วยของเทียนไขถูกกระตุ้นให้มันรุนแรงขึ้นมาอีกครั้งผ่านการกระทำของไอ้แม็กเมื่อครู่ สมองที่ไม่สมดุลของเขาสั่งการให้เขาปกป้องตัวเองด้วยการตะโกนกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง..

       “อย่า.. อย่ามาแตะต้องตัวกู!!” พร้อมกับหลบหลีกออกมาจากตรงนั้น แต่เพราะความเร่งรีบ แขนเทียนไขจึงไปชนกับแก้วไวน์ที่วางเรียงรายซ้อนกันอยู่จนโครงสร้างของมันพังทลาย ทำให้แก้วทั้งหมดเอียงและตกกระแทกลงบนหัวของชายหัวโล้นคนนึงผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานบริษัท



       เพล้ง!

       “เฮ้ย!!!” ไอ้แม็กตกใจกับภาพที่เห็นอย่างสุดขีด ..แก้วหลายสิบใบตกกระแทกลงบนหัวของเจ้านายของพ่อมันจนเลือดสีสดไหลรินออกมา ส่วนตัวของชายคนนั้นก็หมดสติเอียงตัวลงมาก่อนจะล้มลงไปกับพื้นทับเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น



       “กรี๊ดดดดดดดดด!!!!” เสียงหวีดร้องของแขกเหรื่อดังสนั่น เหตุการณ์เริ่มชุลมุนวุ่นวาย คนในงานแตกตื่นกันไปหมดเมื่อเห็นเลือด ไอ้แม็กก็ไม่ต่าง หากแต่ว่า..ที่น่าตกใจที่สุดก็คงจะเป็นคนตรงหน้าเขาในตอนนี้

       “ไม่.. ไม่ ไม่ ไม่ ฮือ…อย่าเข้ามา ฮือ.. อย่าทำกูเลย กูกลัวแล้ว.. กูกลัวแล้ว ก..กู กูขอโทษ กูขอโทษ กูขอโทษ..ฮือ” ..คนตัวเล็กที่ร่างทั้งร่างสั่นระรัวไม่หยุด กำลังนั่งซุกหน้าลงกับหัวเข่าประนมมือขึ้นมาเหนือหัวเพื่อร้องขอความเมตตาจากเขาซ้ำๆไม่หยุด ทั้งๆที่เขา..ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

       “ไอ้เทียน! มึงทำอะไร!!!” เขาตะโกนเรียกไอ้คนที่เอาแต่ขอโทษให้มันได้สติ ความโกรธเกรี้ยวปะทุเดือดจนเขาแทบจะอยากเอามีดที่อยู่ไม่ห่างมาแทงให้ไอ้เทียนมันตายๆไปซะ แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาเป็นคำตอบกลับเป็นคำขอโทษคำเดิม เทียนไขยังคงพร่ำมันออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นดังระงมจนเขาอดที่จะแปลกใจไม่ได้

       “ฮือ ..กูขอโทษ กูยอมแล้ว อย่าทำกูเลยนะ ..กูขอโทษ ..กูขอโทษ ..กูขอโทษ ..กูขอโทษ..”

       “มึงออกไปจากงานนี้เลยนะ ออกไป๊!” เป็นอีกครั้งที่ไอ้แม็กพยายามตะโกนใส่เทียนไขเพื่อให้เทียนไขได้สติ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ท่ามกลางเหตุการณ์ที่กำลังชุลมุนวุ่นวาย ตัวต้นเหตุอย่างเทียนไขกลับไม่คิดหนีและยังคงเอาแต่นั่งก้มหน้าพร้อมกับพนมมือไหว้อากาศ ..แม็กมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นในใจ จริงๆเขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าพร้อมที่จะขยี้เทียนไขให้ตายตรงนี้ แต่ลึกๆในใจเขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เทียนไขกำลังแสดงออกมา…มันไม่ปกติ

       และใช่…ตอนนี้เทียนไขไม่ได้ปกติ

       ที่แย่ไปกว่านั้น เทียนไขอาจจะ..กลับมาเป็นปกติไม่ได้อีกแล้ว..

       “แม็กอย่าทำกู.. กูเจ็บ ..อย่าใส่เข้ามา กูกลัว ..กูกลัวแล้ว ..กูไม่ไหวแล้ว ฮือ…กูขอโทษ ..กูขอโทษ” ..ภาพที่เทียนไขรับรู้ตอนนี้มันไม่ใช่โรงแรม แต่มันคือห้องที่สลัวไร้แสงไฟ เขามองเห็นแต่เพดานสีขาวเบื้องบน ..มองเห็นแผ่นหลังกว้างที่นั่งอยู่ไม่ห่าง และมองเห็นใครคนหนึ่งที่กำลังกระทำชำเราเขาอย่างสะใจ

       “…” ..แม็กเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ สิ่งที่เทียนไขพร่ำออกมามันกำลังดังกังวานอยู่ในหัวของเขาซ้ำๆ

       ครั้งนึงเขาเคยนึกสะใจที่เห็นเทียนไขเจ็บปวด และสะใจสุดๆเวลาได้ยินเสียงร้องครวญคราง

       นี่ก็เป็นเสียงที่เขาควรจะชอบไม่ใช่หรอ..?

       ทำไมเขาถึง..กลัว..กลัวเสียงนี้

       “โอ๊ย! ฮือ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย ผมถูกข่มขืน ช่วยด้วย..” จู่ๆเทียนไขก็กรีดร้องโวยวาย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกวัดแกว่งแขนทั้งสองไปมั่วซั่วปัดเป่าอากาศอย่างไม่มีทิศทาง และแน่นอนว่า..เสียงของเขามันก็ดังพอที่จะทำให้คนในงานทุกคนได้ยิน จึงทำให้ทุกๆคนเริ่มหันมาสนใจกับร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังโซซัดโซเซกวัดแกว่งแขนในอากาศ

       “…” …สิ่งที่เห็นเริ่มประจักษ์ชัดเจนมากขึ้นแก่ดวงตาของผู้กระทำอย่างแม็ก ..นี่คือผลจากสิ่งที่เขาทำกับชีวิตของเพื่อนมนุษย์คนนึง ..นี่คือผลจากการที่เขาใช้อำนาจของตัวเองทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้จักคิด 

 

       “แม็ก นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไอ้เด็กนี่เป็นใคร มันเป็นบ้าหรือไง” คนเป็นพ่อกึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาหาลูกชายด้วยความร้อนรน เขามองไปที่เทียนไขอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามออกไปแบบนั้น และเขาก็ต้องตกใจอย่างสุดขีดเมื่อคนที่ดูเหมือนคนสติไม่ดีอย่างเทียนไขพุ่งเข้ามาจับแขนพร้อมกับเขย่าอย่างรุนแรง

       “คุณ.. คุณช่วยด้วย ..ช่วยผมด้วย ฮือ ช่วยด้วย เจ็บ เจ็บ..ไม่ไหวแล้ว” ..แน่นอนว่าไม่มีใครรู้เลยว่าภาพที่เทียนไขเห็นเป็นอย่างไร ..เทียนไขเห็นชายคนนึงเปิดประตูออกมา ชายคนนั้นเป็นความหวังเดียวของเทียนไขที่เขาหวังว่าจะช่วยให้เขาหลุดพ้นไปจากที่นี่ เพราะฉะนั้นเทียนไขเลยไปเขย่าแขน และอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ

       “หุบปาก! รปภ.อยู่ไหนกันหมด ทำไมไม่มาเอาไอ้เด็กนี่ออกไป!” ทว่า..ผู้เป็นพ่อก็ปัดมือของเด็กน้อยออกไป ก่อนจะชะเง้อชูคอพร้อมกับตะโกนเรียกหารปภ.

       “เดี๋ยวพ่อ” หากแต่เขาถูกแม็กพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน..

       “…” ผู้เป็นพ่อมองลูกชายที่ห้ามปรามตนด้วยความงุนงง ก่อนจะต้องเดินออกไปจัดการกับสถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นต่อเมื่อมีคนเดินมาเรียกตัว

       ส่วนแม็ก ..เขาเดินเข้ามาใกล้เทียนไขอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะทำอะไร เขาแค่อยากจะ.. ทำให้ตัวเองแน่ใจ

       “เทียน.. เทียน มึงเห็นกูมั้ย นี่กูเอง..” แม็กหยุดอยู่ตรงหน้าเทียนไขด้วยใจที่กำลังหวาดหวั่น น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตา

       “ฮือ.. แม่ ช่วยเทียนด้วย” …ก่อนจะต้องปล่อยให้มันไหลออกมาเมื่อเทียนไขโผเข้ากอดเขาพร้อมกับรำพึงรำพันทั้งน้ำตาว่าเขาเป็นแม่

       “เทียน กูขอโทษ.. กูขอโทษจริงๆ..” แม็กเอ่ยออกไป ก่อนจะโผกอดเทียนไขเอาไว้ พร่ำคำขอโทษที่มันไม่มีความหมายอะไรเลยซ้ำๆ “กูขอโทษที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ ..กูขอโทษจริงๆ”

       “…” ..แม็กยังคงพร่ำคำขอโทษออกมาไม่หยุด แต่มันก็สายเกินไปซะแล้ว เพราะเทียนไขในตอนนี้ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว



       “เฮ้ย มึงทำอะไรไอ้เทียนวะ!” เสียงไอ้โก้ร้องตะโกนอยู่ข้างหลัง ก่อนเจ้าตัวจะพุ่งเข้ามาแล้วแยกเขากับเทียนไขออกจากกัน

       “…” ความรู้สึกผิดเริ่มถาโถมเข้าใส่ไอ้แม็กจนทำให้มันไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเพื่อนคนอื่นๆเลยแม้แต่น้อย

       “เทียนมึงลุกไหวมั้ย ค่อยๆลุกนะ” โก้พยุงเทียนไขให้ยืนขึ้น ก่อนจะค่อยๆพาถอยออกมาจากไอ้แม็กแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเสียงทุ้มดังตามหลังมา..

       “โก้ ไอ้เทียนมันเป็นอะไรวะ..?” แม็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ..โก้ที่ได้ยินสิ่งที่เทียนไขร้องตะโกนเมื่อครู่จึงหันกลับไปตอบด้วยน้ำเสียงดุดันเพื่อหวังให้มันลั่นสะท้านไปในหัวสมองอันน้อยนิดของแม็กให้มันคิดได้ซักที

       “แล้วมึงทำอะไรมันล่ะไอ้สัด”

       “…”

       “มึงออกไปห่างๆไอ้เทียนเลยนะ แล้วอย่ามายุ่งกับมันอีก มึงแม่ง..ทุเรศ!” โก้ประกาศเกล้า ก่อนจะหันกลับมาแล้วพยุงเทียนไขออกไป





       “…” ส่วนแม็ก ..ความรู้สึกผิดในใจมันก็ยังคงทำให้แม็กเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าที่จะเงยหน้ามาเผชิญความจริง มันรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงที่เคยมีหดหายไปหมดเลย แขนขาชา ใบหน้าชาราวกับถูกตบซ้ำๆ

       “แม็ก” ใครคนนึงเรียกเขา เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันที่เขาเชิญมานั่นแหละ “มึงทำอะไรไอ้เทียนวะ.. กูได้ยินที่ไอ้เทียนมันพูดเมื่อกี้..”

       “ไม่.. ไม่ ไม่เท็น กูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น..” จริงสิ ไม่.. ไม่เลย.. เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เขาไม่ผิด เขาไม่ผิด..

       “แต่..”

       “ก็กูบอกว่ากูไม่ได้ทำไง!!” ขอหลอกตัวเองไปแบบนี้ได้ไหม..?

       “เออๆ นี่กูไปเจอไอ้เปลวมาเมื่อวาน กูเชิญมันมาด้วยแหละ มันดูงงๆนิดหน่อย แต่ก็บอกว่าจะมา แต่รู้สึกงานมึงจะล่มแล้วว่ะ.. มันคงไม่มาแล้วมั้ง..”

       “ไอ้เปลวหรอ..” รู้แล้วล่ะ..ว่าเขาจะหาคำตอบจากความสงสัยในหัวได้จากที่ไหน

       “ใช่ เออนั่นไงมันมาแล้ว” เท็นชี้ไปทางประตูทางเข้า แล้วหันกลับมาหาไอ้แม็กอีกครั้ง ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว

 

       “มึงมานี่!” แต่มันพุ่งมาหาผู้มาเยือนคนใหม่อย่างเปลวต่างหาก

       “ไอ้เทียนมันเป็นบ้าอะไรของมัน” แม็กไม่รอช้า เขาถามออกไปตรงๆทันทีที่ลากไอ้เปลวมาที่มุมนึงของห้องได้

       “โอ๊ย! คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย!”คนที่ถูกกระชากคอเสื้อร้องโอดโอย นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับใช้ถ้อยคำสุภาพๆจนแม็กนึกขนลุก

       “ไม่ต้องมาทำเฉไฉไอ้สัด บอกกูมา!”

       “แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงวะ! ปล่อย!”

       “มึงต้องรู้ดิไอ้เหี้ย มึงเป็นผัวมันไม่ใช่หรอ!!” ใช่แล้ว มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนที่รักไอ้เทียนนักหนายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมอย่างไอ้เปลวมันจะไม่รู้เรื่องว่าคนรักของมันป่วยเป็นอะไร

       “…”

       “เพราะงั้นมึงต้องบอกกูได้ว่าไอ้เทียนมันเป็นอะไร ..ทำไมถึงทำท่าทางแบบนั้น..” ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรอ..? เปลวควรจะรู้เรื่องของเทียนไขดีที่สุด.. แต่ทำไม..

       “เมื่อกี้..คุณว่าอะไรนะ..?”

       “…”

       “ผมกับเทียนไข..?” มันกลับทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

       “อะไร..? นี่มึงจะบอกกูว่ามึงจำไม่ได้หรอ อย่ามาทำเป็นโง่หน่อยเลยเปลว”

       “ขอโทษนะครับ แต่ผมคิดว่าเราไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นใช้คำแบบนั้นต่อกันได้ ..อีกอย่างผมจำไม่ได้จริงๆครับ ผมมาที่นี่เพราะมีคนเชิญให้มา เขาดูเหมือนจะเคยรู้จักผมผมก็เลยตอบรับว่าจะมา เผื่อจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”

       “ม..หมายความว่าไง.. มึงจำกูไม่ได้? จำไอ้เท็น ..จำไอ้เทียนไม่ได้หรอ?” โกหก.. โกหกแน่ๆ

       “ขอโทษที่ต้องตอบว่าใช่ ..ผมสูญเสียความทรงจำไปหมดแล้ว”

       “…” ..เป็นอีกครั้งที่รู้สึกชาวาบไปทั่วร่าง ในหัวของแม็กเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้แล้ว..

       “คุณรู้จักผมหรอ พอจะบอกได้มั้ยว่าผมเป็นใคร..?”

       “ม..มึง..สูญเสียความทรงจำไปตอนไหน” และเขาก็รู้ตัวแล้วว่า..

       “..ไม่รู้แน่ชัดนะครับ แต่พยาบาลบอกผมว่าตอนนั้นมันช่วงประมาณเดือนกุมภาที่ผ่านมาครับ”

       “…” ..เขาได้ทำลายชีวิตของคนทั้งสองคนจนมันแหลกสลายไม่มีชิ้นดี

       “แล้วสรุปว่า.. คุณพอจะบอกผมได้มั้ยว่าผมเป็นใคร..?”

       “ไม่..ไม่ กูไม่รู้จักมึง” แม็กรีบส่ายหัวปฏิเสธ ก่อนจะพยายามเม้มปากเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้มันสั่นกลัวไปมากกว่านี้  ..เขาเดินออกมาจากการสนทนา กำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาผู้เป็นพ่อที่กำลังจัดการอยู่กับเหตุการณ์วุ่นวายในโรงแรม ทว่ากว่าเขาจะเดินไปถึงตัวของพ่อ เสียงซุบซิบนินทามากมายที่ด่าว่าเขาอย่างรุนแรงก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน

       ‘หน้าก็หล่อ แต่สันดานแย่มากเลย’

       ‘สงสัยพ่อแม่ไม่รัก เลยต้องทำแบบนั้นกับคนอื่น’

        ‘ขยะสังคม’

        ‘หยี้ อย่ามาใกล้นะ ออกไปไกลๆ’

        …แม็กจึงทำได้แค่พยายามทำตัวให้ลีบและเล็กที่สุดเพื่อที่จะไม่ตกเป็นจุดสนใจ แต่ไม่ว่ายังไง..สุดท้ายแล้วเขาก็หนีความจริงไม่พ้น



       Rrrrrrrrrrr

         “ครับ..”

       [ไอ้เชี่ยแม็ก! ไอ้เหี้ย มึงแม่งเหี้ย โคตรชั่ว..ไอ้สารเลวเอ๊ย!]

       “เหี้ยอะไรของมึงไอ้โก้”

       [อย่าใช้ปากมึงเรียกชื่อกูไอ้สัดกูขยะแขยง คนอย่างมึงมันไม่ตายดีหรอก มึงจำสิ่งที่มึงทำกับไอ้เทียนไว้ดีๆ ซักวันนึงมึงต้องโดนคืน และหนักกว่าไอ้เทียนเป็นร้อยเท่าพันเท่า มึงจำไว้เลย]

       “…”

       [กูไม่น่ามาเป็นเพื่อนกับคนอย่างมึงเลยว่ะ]

       “…”

       และมันก็..จะเป็นตราบาปติดตัวเขาไปตลอดกาล









       ..หลังจากนั้นสามสี่วันก็มีข่าวมาว่ารองประธานบริษัทดังหลังจากเลี้ยงฉลองที่ได้เลื่อนตำแหน่งสดๆร้อนๆจู่ๆก็ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และถูกไล่ออกเพราะเกิดข้อพิพาทกันระหว่างรองประธานและประธานบริษัทเนื่องจากครอบครัวของรองประธานคนนี้มีพฤติกรรมที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม และพฤติกรรมเหล่านั้นก็นำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียงของบริษัท แต่ฝ่ายรองประธานดื้อดึงไม่ยินยอมจึงเกิดการใช้กำลัง จนถูกควบคุมตัวไปสืบสวนสอบสวนต่อที่โรงพัก ภายหลังพบว่ารองประธานคนเดียวกันนี้เคยมีประวัติตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดียักยอกเงินของบริษัทไปกว่าหนึ่งล้านบาท แต่รอดคดีไปเพราะหาตัวผู้กระทำผิดได้แล้ว คือ นายสุริยสัตย์ พนักงานบริษัท แต่หลังจากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่าจำนวนเงินกว่าล้านบาทที่ขึ้นอยู่ในบัญชีของนายสุริยสัตย์ถูกปลอมแปลงขึ้นมา และผู้ที่ปลอมแปลงก็คือ รองประธานคนเดียวกันนี่เอง

        ..คดียักยอกเงินในอดีตจึงถูกนำกลับมาสืบสวนใหม่อีกครั้ง ทำให้รองประธานคนนี้ถูกดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมาย ใช้ชีวิตเพื่อรอรับโทษทางกฎหมายต่อไป





























   

       

       


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

13


‘เปลวเทียน’









       ‘..กูมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?’



       ..บนตัวผมมีใครคนนึงกำลังทำร้ายผมอยู่ มือของเขาบีบลงมาที่ไหล่ทั้งสองพร้อมกับรุกล้ำนำส่วนนั้นของเขาเข้ามาในร่างของผม และมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนลมหายใจของผมเริ่มติดขัด

       ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง ..มันทรมาน ..ทรมานราวกับผมกำลังจะตายอยู่ตรงนั้น ผมจึงพยายามขอร้องเขาให้หยุดการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ ..ขอร้องจนเสียงที่เปล่งออกไปมันแหบพร่าฟังไม่ได้ศัพท์

       ผมเห็นผู้คนมากมายกำลังเดินขวักไขว่ไปมา พวกเขาหันมามองผม ก่อนจะหันกลับไปซุบซิบอะไรบางอย่างที่มันไม่เป็นภาษา ผมจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้น ..แต่ในขณะที่ผมกำลังเข้าไปใกล้พวกเขา คนเหล่านั้นก็จะขยับหนีออกไป จนสุดท้ายแล้วแขนที่เอื้อมไปหวังจะไปให้ถึงตัวพวกเขาก็กลายเป็นเอื้อมออกไปจับอากาศ แต่แล้วจู่ๆ..ภาพที่เห็นก็ค่อยๆถูกแต่งเติมด้วยสีดำ มันค่อยๆกัดกินจากขอบรอบนอกก่อนจะเคลือบคลานเข้ามาเรื่อยๆจนภาพที่เห็นมืดไปหมดทั้งๆที่เปลือกตาของผมไม่ได้ปิด

       ใจผมเต้นถี่รัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ผมกลัว..กลัวเหลือเกิน มีใครพอจะช่วยผมได้ไหม.. ผมกลัว..



       ปัง!

       เสียงอะไรบางอย่างดังแว่วเข้ามาในหู จึงทำให้ผมกลับมาสู่ ‘โลกใบเดิม’ อีกครั้ง ผมเห็นประตูสีขาวอยู่ไม่ไกลไปจากตัวผม มันถูกเปิดออก ก่อนจะถูกแทรกเข้ามาด้วยผู้ชายคนนึงที่ดูมีอายุ อา…ในที่สุดก็มีคนมาช่วยผมซักที

       เห็นมั้ย.. โลกใบนี้ยังเหลือ..คนที่มองผมในฐานะคนๆนึงอยู่นะ..



       “คุณ.. คุณช่วยด้วย ..ช่วยผมด้วย ฮือ ช่วยด้วย เจ็บ เจ็บ..ไม่ไหวแล้ว” ผมไม่รอช้า ใช้สองเท้าที่มันแทบไม่เหลือแรงอะไรวิ่งเข้าไปหาชายคนนี้ในทันที เขามาช่วยผม.. เขามาช่วยผมแล้ว เขา..มาช่วย...

       “หุบปาก! รปภ.อยู่ไหนกันหมด ทำไมไม่มาเอาไอ้เด็กนี่ออกไป!” เสียงตะโกนด่าดังอยู่ตรงหน้าผม ..เห็นมั้ย เขามาช่วยผม ..ช่วยให้ผมรู้ตัวว่าผมควรตายได้แล้ว ควรตายคามือของแม็กตั้งแต่วันนั้น

       ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพอเป็นประโยคที่เขาไล่ผมเหมือนหมูเหมือนหมาในหัวของผมมันถึงรับรู้..ทั้งๆที่ผมไม่ได้อยากรับรู้เลย มันเจ็บไปทั้งใจ ..ชาไปทั้งร่าง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมในหัวของผมมันถึง..ไม่สงสารตัวมันเองบ้างเลย ..ตัวมันที่กำลังร้องไห้ ตัวมันที่กำลังสั่นราวกับลูกสุนัข ตัวมัน..ที่กำลังรอคอยใครซักคนมาช่วยให้หลุดพ้นไปจากตรงนี้ มันยังคงรอ..รอต่อไปทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครมาสนใจมันหรอก



      “เดี๋ยวพ่อ” ..เสียงที่ผมหวาดกลัวที่สุดในชีวิตดังเข้ามาในโสตประสาท กระตุกเอาความรู้สึกนึกคิดของผมเมื่อครู่ให้ดิ่งลงเหว

       เป็นอีกครั้งที่ภาพตรงหน้าเริ่มถูกความมืดมิดกัดกิน มันค่อยๆมืดลง..ค่อยๆมืดลง ในขณะที่ในใจของผมกลัวมากและมากขึ้นเรื่อยๆ..

       “เทียน.. เทียน มึงเห็นกูมั้ย นี่กูเอง..” ทว่าจู่ๆเสียงนั้นมันก็กลายเป็นเสียงหวานๆที่ผมชอบฟัง ..เป็นเสียงนางฟ้าของผมที่ถูกสวรรค์เบื้องบนพากลับขึ้นไปในตอนที่ผมยังเยาว์วัย แต่ตอนนี้เธอกลับมาหาผม ..เธอกลับมาหาลูกของเธอ ..แม่กลับมา..แม่กลับมาช่วยเทียนแล้ว

       “ฮือ.. แม่ ช่วยเทียนด้วย” ผมวิ่งเข้าไปกอดพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง …แม่จ๋า แม่รู้มั้ย… เทียนคิดถึงแม่มากเลย เทียนคิดถึงรอยยิ้มของแม่ เทียนคิดถึงเสียงของแม่ เทียนคิดถึงอ้อมกอดที่ทำให้เทียนอบอุ่นใจแบบนี้..

       ..แม่..มารับเทียนใช่มั้ย..?

       เทียนโกรธแม่ได้มั้ยครับ.. โกรธที่แม่ปล่อยให้เทียนรอนานได้มั้ย แม่รู้มั้ย..เทียนอยากไปตั้งแต่วันที่เทียนเดินลงคลองแล้วแต่แม่ก็ไม่ให้เทียนไป ..ฮ่าๆ แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้แม่ก็มารับเทียนแล้ว

       เทียนกำลัง..จะได้ไปอยู่กับคนที่เทียนรัก..



       “เทียน กูขอโทษ.. กูขอโทษจริงๆ..” ..แม่ขอโทษเทียนทำไมครับ.. เทียนไม่โกรธเลย เทียนดีใจซะอีกที่แม่ไม่ทิ้งเทียนไว้ให้มีชีวิตอยู่ เทียนน่ะ…อยากขอบคุณแม่ด้วยซ้ำ

       “กูขอโทษที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้ ..กูขอโทษจริงๆ”





       …ขอบคุณที่ทำให้ครั้งนึงเทียนได้เรียนรู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง













       ‘คนๆนี้มันจะถีบแก’

       ‘ไอ้โง่ แกอยู่กับมันเดี๋ยวมันก็จับแกกระทืบ’

       ‘ไปสิ ไปเลย ไปตายด้วยมือของมัน’



       ‘อย่ากินยา กินแล้วจะปวดหัว แกจะอยากอ้วก’

       ‘หมอนัดแกไปฆ่า แกห้ามไปหาหมอ’

       ‘ดื้อนัก.. แกก็ตายไปนั่นแหละ สมควรแล้ว’




       …นานนับปีที่เสียงพวกนี้ดังวนเวียนอยู่ในหัว มันคอยเตือนผมให้ระวังคนรอบตัวและคอยเตือนให้ผมไม่ไปหาหมอ ..เพราะมันรู้ว่าผมไม่ชอบถูกใครถามเซ้าซี้ มันบอกให้ผมหนีออกจากผู้คน ผมก็ทำตาม ..จนสุดท้ายแล้วผมก็เลยเหลือคนในชีวิตอยู่แค่ไม่กี่คน

       ..ความรู้สึกในหัวมันมีแต่ความรู้สึกร้อนรน ไม่สบายใจ และหวาดหวั่นสั่นกลัวอยู่ตลอดเวลา ..ผมหวาดกลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง ทั้งสิ่งของและผู้คนด้วยกัน อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นพักๆโดยที่ผมก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ยาที่กินอยู่ทุกวันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย มันแค่ช่วยให้ผมคลายเศร้าได้นิดนึง ยืดเวลาระยะที่เป็นปกติให้นานขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่สามารถลบความรู้สึกหวาดกลัวเหล่านั้นของผมออกไปได้

       ผมยังคงรู้สึกถึงมัน ..ยังคงหวาดกลัว ..ร้อนรน และไม่สบายใจอยู่เช่นเดิม แต่ดีหน่อยที่ระยะปกติผมจะรู้ตัวว่าความเป็นจริงคือผมแค่กำลังป่วยเลยรู้สึกแบบนั้น ทำให้ผมยังพอเข้าสังคมได้ ..หากไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น

       ..ผมเฝ้าภาวนาอยู่ทุกวันว่าขอให้ผมไม่เจอกับอะไรที่เลวร้าย ขอให้ทุกวันผ่านไปได้อย่างราบรื่น อาจจะไม่ต้องมีความสุขแต่ก็ขอให้ไม่เจ็บปวดก็พอ

       ผมหวังให้มันเป็นแบบนั้นมาตลอด.. แต่ความหวังของผม..มันกลับมืดมิดไร้แสงสว่างใดๆ



       การที่เจอไอ้แม็กในวันนี้มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพียงแค่มือมันโดนตัวผม ความหวาดกลัวทั้งหลายที่ผมพยายามเก็บซ่อนก็ถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาจนทำให้ผมกลับมาอยู่จุดเดิมอีกครั้ง.. จุดที่…อาการป่วยของผมตกมาอยู่ในเกณฑ์อันตราย ..ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้

       สิ่งที่ผมพยายามทำมาทั้งหมด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องอนาคตของตัวเอง ..ความฝันที่ผมอยากเป็น ..เพื่อนที่ผมอยากจะรักษาเอาไว้ ชีวิตของผมที่อยากจะก้าวหน้าเดินต่อก็..ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

       ทุกอย่าง..พังทลายแหลกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี



       ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ถ้าไม่ถูกสมองที่มันไม่สมดุลนี่หลอกหลอนด้วยภาพอันโหดร้าย ผมก็พอจะรับรู้อยู่บ้างว่าใครเป็นใคร และใช่..ผมรู้ว่าคนที่ช่วยผมออกมาจากโรงแรมคือโก้ แต่ผมก็ปฏิเสธความรู้สึกในหัวไม่ได้เลย โก้เกลียดผม ..เขากำลังจะทำร้ายผม ..ในหัวผมมันรู้สึกแบบนั้น





       ..โลกภายนอกมืดลงอีกแล้ว วันนี้ท้องฟ้าเบื้องบนก็ยังคงใจร้ายอยู่เหมือนเดิม ใจร้ายตรงที่ปล่อยให้หมู่เมฆบดบังแสงดาวที่ควรจะระยิบระยับและบดบังแสงจันทร์ที่ควรจะผ่องประกาย แต่ก็ต้องขอบคุณท้องฟ้าคืนนี้มากๆ.. ขอบคุณที่ทำให้ความหวังของผมมีเพื่อน

       เพราะมันก็..มืดดำไม่ต่างอะไรกับท้องฟ้าตอนนี้เลย



       ผมถูกโก้พยุงออกมาจากภายในโรงแรม เขาให้ผมเกาะคอ ขณะเดียวกันก็ใช้มือข้างนึงของเขาพยายามพยุงตัวผมไปด้วย ผมที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรก็ได้แต่ทำตามในสิ่งที่เขาบอกโดยมิอาจขัดขืนหรือเอ่ยร้องออกไปได้เลยว่าตัวเองกำลังทรมานขนาดไหน..

       “ค่อยๆเดินนะเทียน ระวังๆค่อยๆลงบันได” เขาบอกผมแบบนี้ แต่กว่าสมองของผมจะประมวลผลได้ผมก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าขึ้นมาซะแล้ว

       ..ผมตกบันได ข้อเท้าข้างซ้ายพลิกจนทรุดลงตรงนั้น ความเจ็บปวดเกิดขึ้นจนผมต้องนิ่วหน้า ..ผมร้องออกไปเพื่อบอกให้เขารู้ว่าผมเจ็บปวดแต่สิ่งที่ออกมาก็มีแต่เสียงแหบๆที่ฟังไม่รู้เรื่อง

       เขาใช้มือจับที่ข้อเท้าผมก่อนจะตรวจสอบดูว่ามันเป็นอะไรมากหรือเปล่า แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ความเจ็บปวดที่ผมรู้สึกทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

       “เทียนแป็ปนึง อย่าขยับ.. มึงฟังกูหน่อย” เขาบังคับผม และผมก็ไม่มีทางสู้อะไรเขาได้เลย..

       “ออกไป.. ออกไป.. ออกไป..” มีแค่เสียงเล็กๆอันแผ่วเบาและการดิ้นรนเท่านั้นที่ผมสามารถใช้มันสู้กับเขาได้

       “เทียนอยู่เฉยๆ กูจะช่วยมึงเนี่ย เป็นอะไรของมึงวะ..” คำหยาบโลนเริ่มหลั่งไหลออกมาจากปากที่อยู่ห่างไปจากผมไม่ถึงฟุต มือของผมกำแน่น หลับตาปี๋เตรียมรับความเจ็บปวดที่เขาจะกระทำ..

       “…มึงเป็นอะไรของมึงวะเทียน? ฮะ?” หลังจากนี้เขาคงจะใช้หมัดหนักๆของเขากระแทกลงมาที่กลางหน้าของผม แล้วก็ใช้เท้ากระทืบผมจนกว่าผมจะจมไปกับพื้นคอนกรีต เขาเกลึยดผม…ผมรู้ ทุกคนเกลียดผม.. ไม่มีใครอยากช่วยผมหรอก..

       “ขี่หลังกู..ไหวปะ?” แต่ทำไม.. เขาคนนี้กลับไม่ทำผมซักทีล่ะ.. ทำไมยังปล่อยให้ผมยังมองเห็น ยังได้ยิน และยังรับรู้อะไรต่างๆได้อยู่..

       “จับกูไว้นะ..” เขาขยับมานั่งแทรกตรงหน้าผม ก่อนจะใช้แขนทั้งสองบังคับให้ตัวผมเอนลงไปพิงบนหลัง จัดแจงเอามือทั้งสองของผมไปประสานกันอยู่ด้านหน้า แล้วใช้แขนทั้งสองของเขาพยุงตัวผมไว้จากด้านหลังจากนั้นก็ค่อยๆยืนขึ้น

       “ปล่อย.. ไม่อยากไป ออกไป.. ออกไป” ผมพร่ำพูดออกไปซ้ำๆข้างๆหูของเขาเมื่อตัวผมถูกเขายกขึ้นเหนือพื้น ใจตกไปอยู่ที่ปลายเท้า ตัวสั่นไปหมด กลัวว่าเขาจะพาผมไปทำร้าย กลัวว่าผมจะตก กลัวว่าเขาจะทำให้ผมต้องเจ็บตัว..

       “เทียนอยู่เฉยๆก่อน กูหนัก อย่าดิ้น!” เขาตวาดใส่ จากความกลัวที่มีมากอยู่แล้วพอถูกกระตุ้นให้มากขึ้นน้ำตาผมจึงไหลออกมาอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้ดิ้นรนอะไรอีกต่อไป เพียงแต่..หลับตา..ปล่อยให้น้ำตามันไหล และทำใจไว้รอรับความเจ็บปวด..

       ..ผมไม่ได้ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย ผมไม่ชอบความรู้สึกที่เหมือนตัวเองไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรัก ผมอยากจะเข้าข้างตัวเองว่ามันเป็นเพราะตัวผมป่วย แต่ความเป็นจริงก็มีผู้คนอยู่ไม่น้อยเลยที่รู้สึกแบบนั้นกับผม ..พวกเขาเกลียดคนที่ทำให้พลกับเปลวต้องแตกหัก พวกเขาเกลียดคนที่ทำให้เปลวเป็นแผลเหวอะหวะกลางหัว พวกเขาเกลียดคนที่ชื่อ..เทียนไข

       ..ทั้งๆที่เทียนไขคนนี้ลำพังแค่ตัวมันเองยังแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว มันไม่มีเรี่ยวมีแรงจะไปทำร้ายใครได้เลย แต่เพราะว่ามันดันเกิดมาเป็นเทียนไข ผู้คนเหล่านั้นก็เลยเกลียดมัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวมัน ..ไม่มีใครสนใจว่ามันจะเจ็บเจียนตายขนาดไหน สิ่งที่เทียนไขคนนี้ทำได้มีแค่ต้องกัดฟันทน ..ให้ความหวังตัวเองไปเรื่อยๆทุกวันๆว่ามันจะผ่านไป ..ซักวันมันจะมีความสุข

       แต่ใจมันก็รู้อยู่แล้วแหละว่า...ไม่มีวันนั้นจริงๆหรอก..



       “คุณครับ! เดี๋ยวก่อน..!” เสียงทุ้มนุ้มที่ผมคุ้นเคยตะโกนไล่หลังมาไม่ห่าง ผมร้องไห้หนักขึ้น ..อยากจะออกไปจากตรงนี้ อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล แต่โก้กลับหันกลับไปหาเจ้าของเสียงนั้น

       “อ้าวเปลว..? มึงก็มาหรอ” ขอร้อง.. ขอร้องล่ะ …ผมไม่อยากเห็นหน้าเปลว ผมไม่อยาก..เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว..

       “รู้จักผมด้วยหรอครับ?”

       “เล่นมุกหรอสัด แล้วมีอะไร กูกำลังจะพาไอ้เทียนไปโรง’บาล”

       “เปล่าครับ พอดีเมธกำลังตามหาว่าเทียนอยู่ไหน เมื่อกี้เขาโทรมาด่าผมเพราะคิดว่าผมทำอะไรเทียนไข คุณ..เป็นเพื่อนเทียนไขใช่มั้ยครับ..?”

       “ครับ กูเป็นเพื่อน..”

       “ไม่.. ไม่ ปล่อยเรา ..ปล่อยเราไปเถอะนะ..” ..ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับผมจริงๆหรอกผมรู้ความจริงในข้อนี้ดี ..ได้โปรดอย่าโกหกกันอีกเลย ..อย่าทำให้หัวใจของผมมันกลับมาตื่นเต้นดีใจกับคำลวงโลกคำนี้อีกเลยนะ..

       “…เปลว มึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้เทียนมันเป็นอะไร กูไม่เข้าใจมันว่ะ ไม่รู้ว่าควรทำไงมืดแปดด้านไปหมดแล้ว”

       “…” คนที่ยืนอยู่ไม่ห่างเริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเมื่อได้ยินโก้พูดออกไปแบบนั้น ..ผมหลับตาปี๋ ก้มใบหน้าซบลงกับไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะกดมันลงเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้าคนใจร้ายอย่างเปลว ..ระยะห่างของเราเหลือไม่ถึงครึ่งเมตร เปลวเอื้อมมือออกมาหวังจะแตะตัวผมทว่าจู่ๆเขาก็ชะงักค้างกลางอากาศเมื่อเห็นว่าทั่วทั้งร่างผมกลับมาสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะนำมือกลับไปดังเดิม..

       “..ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไร” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหมุนตัวแล้วทำท่าเหมือนจะเดินกลับไป แต่จู่ๆเขาก็ชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันมาทางผมอีกครั้ง พูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าสร้อย.. “คุณ..ต้องช่วยเขาให้ได้นะ..”

       “กูก็ว่าจะพาเทียนไปโรง’บาลนั่นแหละ แต่กูไม่รู้ไงว่าอาการแบบนี้กูควรพาไปโรง’บาลไหน”

       “..เมธบอกผมว่าถ้าเห็นเทียนมีอาการแปลกๆให้ไปที่โรงพยาบาลตามในกระดาษแผ่นนี้ เขามีหมอที่ประจำตัวเขาอยู่”

       “อาการแปลกๆ..? นี่มึง..จะบอกกูว่าเทียนเป็นโรคประสาทหรอวะ..”

       “…เมธไม่ได้บอกผมเรื่องนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

       “หมายความว่าไงวะ? แล้วนี่เลิกเล่นได้ยัง ปกติคำพูดคำจามึงไม่ใช่แบบนี้..”

       “คุณก็เคยรู้จักผมหรอ..?”

       “กูไม่ตลกนะเปลว ยิ่งรีบๆอยู่”

       “..ขอโทษครับ แต่ว่าผมไม่ได้แกล้งคุณหรอก”

       “…”

       “ผมจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักคุณ เอาจริงๆก็คือ..ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยรู้จักใครบ้าง”

       “จะบอกว่ามึงสมองเสื่อมหรอ ล้ออะไรแบบนี้กูไม่ตลกด้วยจริงๆนะเปลว”

       “ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ต้องเชื่อก็ได้ขอแค่อย่าลืมที่ผมบอกก็พอ ..ช่วยเทียนไข..ให้ได้นะ” ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเสียงของเปลวถึงได้ฟังดูเหมือนเขากำลังเป็นห่วงผมนัก ..ทั้งๆที่เขาเป็นคนพูดออกมาเองแท้ๆว่าอย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย และใช่..นั่นเป็นสิ่งที่ทั้งผมและเขาต่างก็ต้องการ เราต่างก็เฝ้าภาวนาขออย่าให้ได้เจอะเจอกันอีก ที่ผ่านมามันเพียงพอแล้ว.. เราเจ็บปวดกันมามากพอแล้ว..

       “งั้นก็ไปกับกูดิเปลว” ..โก้เอ่ยถาม เปลวนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองมาทางผม..

       “ไม่ดีกว่า เทียนคงไม่ต้องการแบบนั้น” ก่อนจะให้คำตอบ …เปลวพูดถูกแล้ว ผมไม่ได้ต้องการให้เขามายุ่งเกี่ยวกับผม แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกเจ็บ..เจ็บเสียยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเสียอีก…

       โก้และเปลวเหมือนตกอยู่ในโลกของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างพวกเขาไม่มีใครพูดโต้ตอบอะไรกลับมา มีเพียงแค่ผม..ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนแผ่นหลังของโก้ ..อะไรบางอย่างกระตุ้นให้ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของผมก็คือ..เปลวที่กำลังคลี่ยิ้มให้ผม รอยยิ้มนั่นแต่งแต้มใบหน้าที่ดูเศร้าโศกของเขาราวกับอยากจะใช้มันกลบเกลื่อนความเศร้า เป็นแบบนั้นอยู่ชั่วขณะ แต่เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าผมกำลังมองเขาอยู่ รอยยิ้มที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆหุบลง เปลวหันหลังกลับ ก่อนจะ..ค่อยๆก้าวเดินจากไป

       ..ภาพที่ผมเห็นมันอาจจะนิ่ง เงียบสงัด.. ไร้เสียงตะโกนด่า ไม่มีการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย แต่มันก็เป็นภาพๆนึงเลยที่…ผมคงไม่มีวันลืม



       ‘เปลว..อย่าไปจากกันอีกเลยนะ..’

       ..อย่าไปจากเราได้มั้ย ..อยู่กับเรา.. อยู่ด้วยกันอย่างที่เปลวเคยสัญญา..

       มีคำพวกนี้ดังวนเวียนอยู่ในความรู้สึก แน่นอนว่าไม่มีใครได้ยินคำพวกนี้หรอก เปลวก็เช่นกัน เขาเดินออกไปไกลเกินกว่าจะหันกลับมาแล้ว  ..ฮ่าๆ ตลกดีเหมือนกันนะ

       ในเวลาแบบนี้ผมกลับต้องการ..คนที่ผมเกลียดแสนเกลียด






ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       …ไม่นานนักผมก็ถูกนำมาส่งที่โรงพยาบาลอย่างที่พวกเขาคุยกัน ..ทันทีที่ผมเห็นรูปร่างอาคารและป้ายโรงพยาบาลผมก็เอาแต่ดิ้นไม่หยุด ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังอยู่ภายในรถแท็กซี่ ..ความเจ็บปวดทรมานในอดีตฉายย้อนเข้ามาในหัว ทั้งภาพที่ผมเอาแต่ร้องไห้โวยวายภายในโรงพยาบาลโดยไม่มีใครสามารถควบคุมได้จนสุดท้ายต้องพึ่งยานอนหลับ ..ทั้งภาพที่ผมเซื่องซึม ไม่พูดไม่จา ไม่อยากอาหาร ไม่อยากพบเจอกับผู้คน เอาแต่หาโอกาสหลบหลีกเข้าไปในที่แคบๆมืดๆอย่างในห้องน้ำอยู่ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส และพอผมได้โอกาสที่แสนประจวบเหมาะ ผมก็พยายามจะคร่าชีวิตตัวเอง

       ..เลือดสีสดไหลออกมาไม่หยุดจากข้อมือที่ผมใช้เศษกระจกกรีดหวังจะฆ่าตัวตาย แต่โชคร้ายที่..เทียนไขคนนี้ทำไม่สำเร็จ ใครคนหนึ่งผ่านมาพอดีช่วยเอาไว้ได้ทัน ผลที่ตามมาก็คือยาต่างๆ กระบวนการรักษาต่างๆ ที่ผมเคยได้รับก็ถูกเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น ถูกช็อตไฟฟ้า การรักษาหลายๆอย่างทำให้เกิดอาการข้างเคียงกับตัวผมมากมาย จนทำให้ผมไม่อยากรักษาอีกต่อไป พอได้รับอนุญาตให้อยู่ในสังคมได้ผมก็เลยไม่มาหาหมออีกเลย และครั้งนี้..ก็เป็นครั้งแรกที่ผมกลับมาที่ที่ผมเกลียดอีกครั้ง..



       ผมแอตมิตอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่หนึ่งคืนเพื่อรอหมอมาดูอาการในตอนเช้า ระหว่างนั้นก็มีพยาบาลมาซักประวัติผมอยู่คนนึง ผมพยายามจะให้คำตอบกับเธอไปตามตรง.. แต่มันก็ติดๆขัดๆ พูดไม่เป็นถ้อยเป็นคำ ..คงเพราะผมยังคงรู้สึกถึงความหวาดกลัวภายในจิตใจ สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการซักประวัติผมเลย เธอเลยค้นประวัติการรักษาของผมขึ้นมา และทันทีที่เธอเห็นสีหน้าเธอดูตกใจไม่น้อย เธอมองมาที่ผมด้วยแววตาสงสาร แต่สมองผมกลับไม่เข้าใจแววตาของเธอ คิดแต่เพียงต้องหลบต้องซ่อน ต้องหนีไปให้ไกล ..ผมยังคงคิดอยู่ตลอดเวลาว่าผมจะถูกทำร้าย มัน..ทรมานอย่างถึงที่สุด..

       สิ่งที่ทำได้คือรอให้เวลามันผ่านพ้นไปด้วยความหวังที่จะให้อาการที่ผมกำลังเป็นมันทุเลาลงไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะนานเท่าไรอาการเหล่านี้ก็ไม่ทุเลาลงไปเลยแม้แต่น้อย ..ตลอดทั้งคืนผมเอาแต่นอนร้องไห้สะอึกสะอื้น ดื้นเร่าๆปัดเป่าอากาศเพื่อพาตัวเองหลีกหนีจากภาพอันแสนโหดร้ายที่เห็นอยู่ในหัว เป็นแบบนั้นจนพระอาทิตย์ขึ้น และล่วงเลยมาถึงช่วงสายของวันซึ่งได้เวลาเข้าพบพี่หมอที่เคยรักษาผมครั้งที่แล้วพอดี

       หมอเรียกผมเข้าไปในในห้องตรวจ ตัวผมในวันนี้บนรถวีลแชร์ผิดแผกไปจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง ผมรู้สึกเหนื่อย เฉื่อยชา ไม่อยากขยับเขยื้อน จริงๆก็คือไม่อยากจะหายใจเลยด้วยซ้ำ ..ผมอยากจะหายไป หายไปจากที่นี่ หายไปจากโลกนี้

       ..ทันทีที่ผมบอกสิ่งที่ผมรู้สึกให้พี่หมอรับรู้ไปหมดทุกอย่างสีหน้าเขาก็ดูเปลี่ยนไป เขาจดสิ่งที่ผมพูดลงบนแผ่นกระดาษเอกสารอะไรบางอย่าง เมื่อเสร็จสิ้นพี่หมอจึงวางปลายปากกาลงแล้วพูดอะไรบางอย่างกับผม..

       “เทียนไข เทียนไขฟังพี่หมอนะ”

       “…” ..ผมรู้ว่าพี่หมอไม่เคยโกหกผมเลย พี่หมอใจดี และหวังดีกับผมเสมอมา แต่ว่าครั้งนี้.. พี่หมอที่เคยใจดีกลับกลายเป็นคนละคน..

       “พี่หมอรู้ว่าเทียนไขมีสังคมที่ดีภายนอกเป็นของตัวเองแล้ว แต่ต่อจากนี้..”

       “…”

       “พี่หมอคงต้องให้เทียนไขพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ซักระยะ”

       ..พี่หมอ..โกหกเทียนทำไมครับ

       พี่หมอ..ล้อเทียนเล่นทำไม..



       ..ฮ่าๆ พี่หมอก็รู้อยู่แล้วว่าเทียนอยู่รักษาตัวที่นี่ไม่ได้ เทียนยังอยากใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ..ยังอยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ที่สำคัญเทียนต้องกลับไปเรียนหนังสือ ..เทียนต้องกลับไปทำงานหาเงินมาใช้ เทียนต้องกลับไปหาเพื่อนของเทียน.. ความฝันของเทียน.. เทียนยังอยาก..เห็นรอยยิ้มของคนรอบๆตัวเทียน.. สิ่งที่เทียนพยายามทำมาทั้งหมด..

       “พี่หมออยากให้เทียนพักการเรียนครับ”

       ..เทียนไม่อยากทิ้งมันเลย...



       การรักษาตัวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นโดยที่ผมไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ โก้ที่รออยู่ข้างนอกพอถูกหมอเรียกเข้าไปคุยเขาก็มีทีท่าเป็นอันว่าตกลง เขาบอกกับผมว่า ‘ตอนนี้ตัวมึงสำคัญที่สุด อย่างอื่นไว้ทีหลัง’ ผมรู้ว่าพวกเขากำลังเป็นห่วง แต่ผมอยากไปเรียนมากๆ ผมพยายามมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความฝันของผม ..ผมไม่อยากให้มันมาสูญเปล่าเพราะความอ่อนแอของผมเลย

       เวลาผ่านไปหลายวันหลังจากวันนั้น การรักษาดำเนินไปได้ด้วยดี ผมไม่ได้ดื้อรั้นอะไรกับวิธีรักษา เพราะมาคิดๆดูแล้วถ้าเกิดผมยังไปเรียนอยู่ผมก็คงควบคุมตัวเองไม่ได้จนทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกแน่ๆ สิ่งที่คิดมีเพียงอย่างเดียวคือผมอยากหาย ..อยากหายจากโรคนี้ ไม่ว่าวิธีรักษาจะเป็นอย่างไรผมก็ยินดีเข้ารับถ้ามันจะทำให้ผมหายขาด

       ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล โก้และเมธจะมาเยี่ยมผมตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่าสองคนนี้ไปรู้จักกันได้ไงแต่เขาก็ดูสนิทสนมกันดี พวกเขาสร้างเสียงหัวเราะเก่งทั้งคู่ ทำให้ชีวิตในโรงพยาบาลของผมคลายความเหงาลงไปได้เยอะเลย ..วันนี้ก็เช่นกัน

       “วันนี้เป็นไงบ้างมึง” พวกเขาทั้งสองเอ่ยทักทายผมที่กำลังนอนนิ่งๆอยู่บนเตียง ..ผมหันไปตามเสียงเรียก แต่สมองของผมมันกลับไม่สั่งการให้ผมตอบอะไรกลับไปเลย ในหัวยังคงจมอยู่กับภาพเลวร้ายเหล่านั้น ..จริงอยู่ที่นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรภาพเหล่านั้นก็ไม่เคยจางหายไป ..ความรู้สึกเจ็บปวด.. เสียงอันน่าขนลุก.. สัมผัสเหล่านั้น พวกมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว..

       “วันนี้กูกับเมธขนของกินมาฝากมึงเยอะแยะเลย” เสียงของโก้ดังเข้ามาในโสตประสาท ผมพยายามจะประมวลผลมัน พยายามจะเข้าใจที่เขาจะสื่อออกมา แต่ก็..ไร้ผล

       “กูไปช่วยมันซื้อมาเลยนะเนี่ย ใช้ตังค์มันจนคุ้ม”

       “สัด” พวกเขากำลังหัวเราะ รอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาทั้งสอง และใช่..ผมไม่รู้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะให้กับอะไร บางที..พวกเขาอาจจะกำลังหัวเราะเยาะคนโรคจิตอย่างผมหรือเปล่า..

       กลัว.. กลัวไปหมดแล้ว..

       “แล้วนี่..มึงจะได้ออกจากโรง’บาลวันไหนหรอ”

       “…” โก้หันมาทางผม ผมจึงหลับตาปี๋ กระตุกเข่าขึ้นมากอดเพื่อปกป้องตัวเอง เขากำลังจะทำร้ายผม.. เขากำลังจะทำร้ายผม ช่วยด้วย..

       “เทียน..เทียน!” เขากำลังด่าผม ..มีใครพอจะช่วยผมได้ไหม ผมไม่อยากอยู่ตรงนี้.. ไม่อยากอยู่ที่นี่.. หมอ..พี่หมอ เทียนอยากได้ยานอนหลับ เทียนอยากหลับ…ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

       “โก้..จากที่มึงเล่าให้ฟัง ..จากที่กูเห็น จากที่กูรู้ทั้งหมด.. กูว่าระหว่างเปลวกับเทียน..มันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆเลยว่ะ” …หยาดน้ำตาเริ่มรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างควบคุมไม่ได้ ผมพยายามก้มหน้า ก้มลงไปให้ได้มากที่สุด ตัวสั่นไปหมดทั้งร่าง..

 

       ‘ไล่กูหรอ กูคนที่ช่วยชีวิตมึงมาทั้งชีวิตอะนะ?’

       ‘ทวงบุญคุณ? แล้วจะช่วยกูทำไมวะ ปล่อยให้กูตายดิ คิดว่ากูอยากอยู่มากนักหรือไง!!’

       ‘ยังไงมึงก็ได้ตายแน่ๆอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยให้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นมึงก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกู’



       ‘จริงๆกูไม่ใช่คนที่จะให้เด็กกำพร้าแบบมึงมาตะโกนใส่หน้าแบบนี้นะ’



       ‘มึงเก่งนักก็อย่ากลับไปบ้านกูดิ ออกไปอยู่บ้านโทรมๆของมึง ไป๊!’




      อีกแล้ว.. ผมเห็นภาพเหล่านั้นอีกแล้ว เมื่อไหร่..ผมจะหลุดพ้นไปจากมันซักที เหนื่อยแล้ว ไม่อยากทนต่อไปแล้ว..



       “กูก็คิดเหมือนมึงเมธ ..เปลวกับเทียนเคยอยู่บ้านเดียวกันมาก่อน แถมยังสนิทกันโคตรๆ แต่ตอนนี้พวกมันกลับแตกหักกันไปคนละทาง..” ใครคนหนึ่งขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับดึงผมเข้าไปกอด สัมผัสที่กลุ่มผมถูกฝ่ามือของใครคนนั้นลูบเพื่อหวังจะปลอบประโลม

       “ถ้าจำไม่ผิดมึงบอกกูว่าวันก่อนทันทีที่เทียนเจอคนชื่อแม็กเทียนก็เอาแต่ร้องไห้บอกว่าตัวเองถูกข่มขืน ..ใช่มั้ย?” ..ผมยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เช่นเดิม เหมือนพวกเขาจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่ออีก เพียงแต่หันมาปลอบประโลมผมด้วยความเงียบสงบและอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น เป็นแบบนั้นอยู่นานจนผมค่อยๆทุเลาลงเพราะความห่วงใยที่ถูกส่งผ่านกิริยาของพวกเขาทั้งสอง

 

       “..กูคิดว่าไอ้แม็กน่าจะเป็นคนทำร้ายเทียน จนทำให้เทียนเป็นแบบนี้” โก้เปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเริ่มไม่มีอาการเหล่านั้น

       “แล้ว..เปลวล่ะวะ? เปลวโดนอะไรทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้..”

       “กูก็ไม่แน่ใจ กูกับมันเคยเรียนด้วยกันนะ แต่วันนั้นมันทำเหมือนแบบไม่รู้จักกู ไม่รู้จักเทียน ทำเหมือนไม่รู้อะไรเลย”

      “เป็นไปได้ไหมวะที่เปลวจะประสบอุบัติเหตุ”

       “เฮ้ยเมธ! กูจำได้ละ ตอนกูจบม.6 ใหม่ๆ แถวโรงเรียนกูมีข่าวว่ารถบรรทุกชนมอเตอร์ไซค์ มันไม่ได้ออกทีวีนะแต่มีคนเล่ากันมาปากต่อปาก..” …การประมวลผลในหัวของผมเริ่มทำงานอีกครั้ง ผมเริ่มรับรู้สิ่งที่พวกเขากำลังสื่อสารถึงกัน ทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นจนคงที่อยู่ในระดับนึง ก่อนจะ..ดิ่งลงเหวลึกอีกครั้ง..

       “แล้วไงวะ..?”

       “ก็วันหลังจากปัจฉิม เปลวเคยทักมาในไลน์กรุ๊ปถามว่ามีใครเห็นเทียนไหม ทุกคนงงกันมากว่าทำไมเปลวถามแบบนั้นทั้งๆที่เทียนกับเปลวอยู่บ้านเดียวกัน คนในห้องก็ช่วยกันตามหาอะ ประกาศคนหายในทวิต ในเฟซ แต่ก็ไม่มีใครพบเทียนเลย และที่สำคัญคือ..นั่นเป็นข้อความสุดท้ายที่เปลวพิมพ์มา ก่อนเปลวจะ..หายตัวไปเช่นกัน”

       “…”

       “เคยมีคนไปหาเปลวที่บ้าน แต่ว่าพอกดกริ่งก็ไม่มีใครมาเปิดประตูเลย บ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ ทุกคนเป็นห่วงกันมากๆเลยปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี แต่จู่ๆไอ้แม็กก็บอกว่าเปลวกับเทียนย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด ทุกคนก็เลยโล่งอก จากนั้นก็ไม่มีใครติดใจอะไรอีก นานวันเข้าก็ลืมกันไปหมด..รวมถึงกูด้วย”

       “..ไม่ใช่อะ ตั้งแต่กูเป็นเพื่อนกับเทียนมาเทียนไม่เคยบอกเลยว่าเคยย้ายไปต่างจังหวัด”

       “นั่นแหละ แล้วข่าวอุบัติเหตุนั่นอะแม่กูฟังมาจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาบอกว่ามันเกิดขึ้นเพราะมีคนเดินลงถนน รถบีบแตรไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป จนสุดท้าย..”

       “…”

       “..มีรถมอเตอร์ไซค์ขับมาจากไหนไม่รู้ มาอุ้มคนที่เดินลงถนนคนนั้นแล้วผลักออกไปข้างถนน คนขับรถเสียหลักหักหลบรถบรรทุกข้างหลังไม่ทันก็เลยโดนชน”

        “โก้ นี่มึงจะบอกว่า..?” ..จริงๆ ผมรู้…ผมรู้ว่าเปลวมีอะไรบางอย่างที่มันไม่ปกติ ท่าทางของเขา.. บาดแผลของเขา.. ทุกอย่างเป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนเลยว่าเปลวกำลังเจ็บปวด ..แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่สามารถลบล้างความผิดที่เขากระทำกับผมได้ ยังไงเปลวก็เป็นคนที่ผมเกลียดแสนเกลียด เกลียดจนอยากให้ตายไปจากกัน เกลียดโดยที่ไม่รู้เลยว่า..คนที่ผมเกลียดแสนเกลียดคนนั้น…

       จะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด..

       “กูว่า…เปลวอาจจะเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์คนนั้น”



       จู่ๆเม็ดน้ำตาก็หลั่งไหลออกจากดวงตาทั้งสองของผมอีกระลอกอย่างห้ามไม่ได้ ภาพของคนใจร้ายที่เอาแต่เรียกชื่อผมไหลย้อนเข้ามาในหัวไม่หยุด..



       ‘เทียน พวงกุญแจอันนี้น่ารักดี กูว่ามึงน่าจะชอบเลยซื้อมาฝาก’



       ‘เทียน ไปดูหนังกัน ..แหน่ะ..อย่ามามองกูแบบนั้น กูรู้อยู่หรอกว่ามึงไม่ชอบดูหนังโรงกูก็เลยไปซื้อแผ่นมา …ดูด้วยกันนะครับ ถ้าดื้อจะเอาป๊อปคอร์นถุงละยี่สิบฟาดหัว’



       ‘เทียน! มึงทำอะไรของมึงเนี่ย แค่หั่นผักก็หั่นให้มีดบาด ไปนั่งตรงนู้นเลย อยู่เฉยๆด้วยอย่าขยับเดี๋ยวกูไปเอากล่องพยาบาลก่อน ทีหลังอย่าจับมีดอีกนะ’



       ‘ไม่เป็นไรนะเทียน กูอยู่ข้างๆมึงแล้ว เนี่ยจับดู กอดกูดู กูอยู่ข้างๆมึงแล้ว ไม่ต้องร้องแล้วนะ..’



       ‘5555555กูไม่จากมึงไปไหนหรอกเทียน คิดมากว่ะมึงเนี่ย ใครจะไปกล้าทิ้งคนที่เขารักโคตรๆแบบนี้กันวะ’



       ‘เทียนมึงรู้มั้ย ภาพในหัวกูตอนนี้คือตาแก่สองคนอยู่ด้วยกัน คนนึงรดน้ำต้นไม้ คนนึงกำลังทำอาหาร พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็มากินข้าวด้วยกัน เป็นแบบนี้ทุกวัน..อยู่ด้วยกันตลอดไป’




       คุณควรจะเป็นคนเห็นแก่ตัวเหมือนอย่างที่ผมคิดอยู่ในหัวไม่ใช่หรอ.. คุณควรจะเป็นคนที่มีนิสัยแย่ๆคนนึงที่พร้อมจะขายคนรักของตัวเองเพื่อความสุขทางใจ  ..คุณควรจะเป็นคนเลวๆคนนึงที่ผมโชคร้ายที่ได้รู้จัก คุณมันก็แค่..คนใจร้ายคนนึงไม่ใช่หรอ..

       ..ทำไมคนอย่างคุณถึงต้องเอาแต่เรียกชื่อผม  ..ทำไมคนอย่างคุณถึงเอาแต่ห่วงใยผม ดูแลผมเหมือนผมเป็นเด็กที่ไม่มีวันโต ..ทำไมคุณต้องรู้ทุกอย่างว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร คนอย่างคุณทำไมถึงได้เข้าใจผมทุกอย่าง และที่สำคัญ

       …ทำไมคุณต้องยอมเจ็บเพื่อให้ผมปลอดภัยด้วย…เปลว



       คุณกำลังทำให้ผมรู้สึกไม่ดี คุณกำลังทำให้ผมร้องไห้ไม่หยุดซักที คุณคิดบ้างมั้ยว่ามันทรมานแค่ไหน.. ผมทรมานแค่ไหนคุณเคยคิดถึงใจกันบ้างมั้ย..



       ..คุณอาจจะเจ็บปวดมาไม่ต่างอะไรจากผม แต่อย่างที่บอก..

       มันทดแทนกันไม่ได้หรอก



       











       ..วันนี้ท้องฟ้าก็โหดร้ายกับผมอีกแล้ว หมู่เมฆสีขาวที่ดูสะอาดและบริสุทธิ์ยังคงกลั่นแกล้งให้ผมพบเจอแต่อะไรร้ายๆ ผมควรจะชินชาไปกับมันได้แล้วจริงไหม..? แต่ผมกลับไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย..

       ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล แต่ผมอยู่ที่มหาลัย พี่หมอให้อนุญาตผมออกมาวันนึงเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ผมจะต้องจัดการ อีกทั้งผมก็พอจะสื่อสารรู้เรื่อง สมองประมวลผลได้รวดเร็วมากขึ้นบ้างแล้ว วันนี้ก็เลยเป็นวันที่ดีแสนดีของผม เพราะผมจะได้กลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง..

       

       “วันนี้มันมาเรียนว่ะ คิดว่าจะลาออกแล้วซะอีก ทำไมยังกล้ามาอีกวะ” เสียงของใครคนนึงดังเข้ามาให้ได้ยินทันทีที่ผมเดินผ่านกลุ่มเพื่อนที่เคยรู้จักกันก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นพวกคนที่เกลียดขี้หน้าผม ..จริงอย่างที่เขาพูดกันนั่นแหละ..ผมควรจะลาออกไปได้แล้ว ไม่ควรมีคนชื่อเทียนไขมายืนอยู่ตรงนี้เลยจริงๆ

       “คนแบบนี้เขาเรียกว่าไรวะ ไม่มีจิตสำนึกเลยหรอวะถามจริง หน้าด้านหน้าทนฉิบหายไอ้เหี้ย” 

       ‘..ไม่เป็นไรเทียนไข ทนอีกนิด.. อีกนิดเดียวเท่านั้นแหละ’ ผมบอกกับตัวเอง พยายามคลี่ยิ้มออกมาเพื่อให้ขาทั้งสองก้าวต่อไป..

        ..จริงอยู่ที่วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจจะกลับมาเรียน แต่นี่คงเป็นวันเดียวและวันสุดท้ายแล้วล่ะที่จะเห็นผมมายืนอยู่ตรงนี้ ..หลังจากที่ผมทำเรื่องพักการเรียนให้ตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็จะไม่มีใครต้องมาทนเห็นเทียนไขให้สกปรกรกสายตาอีกต่อไป

       ..ที่บอกว่าจะมาเรียน ผมไม่ได้บอกพี่หมอตรงนี้ แต่แค่ทำตามความรู้สึก ..ผมรู้ว่ามันอาจจะดูแย่ แต่ว่า..วันนี้ผมขอ..ไปนั่งเรียนกับพวกคุณได้มั้ย.. ผมขอไปนั่งอยู่ในที่ของผม.. นั่งจดเลคเชอร์อย่างที่เคยทำ ขอผม..พูดคุยกับพวกคุณ ยิ้มและหัวเราะไปกับพวกคุณได้ไหม..

       ‘ได้อยู่แล้ว’ ขอโทษที่ผมถือวิสาสะให้คำตอบแก่ตัวผมเอง ผมเห็นแก่ตัวผมรู้ดี แต่นี่..เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ

        ..ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง มันจะดีเหมือนที่ผมคิดเอาไว้หรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่มีวันลืมมันแน่นอน ..ทั้งความรู้สึกที่ได้มาเรียนที่นี่พร้อมกับเพื่อนๆของผมอีกหลายคน ..รอยยิ้ม ..เสียงหัวเราะของพวกเขา ภาพความทรงจำที่แสนงดงามมากมายที่ได้เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ผม..จะไม่มีวันลืมเลย



       08.00

       เวลาแห่งการเรียนการสอนเริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมจึงเดินขึ้นไปบนอาคารเรียนจนไปถึงห้องๆหนึ่งที่ใช้เรียนในวิชาแรก ..ผมก้าวเข้าไปในห้องด้วยความมั่นใจพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เดินเข้าไปหาที่นั่งที่พอจะเหลืออยู่ ..ไม่อยากจะอวดเลยว่าผมโชคดีมากๆ เพราะที่ที่ยังว่างอยู่คือที่ข้างๆพละพล ถัดไปข้างหน้าก็เป็นที่ของเมธ หลังจากที่ผมพาตัวเองไปนั่งตำแหน่งนั้นความรู้สึกเก่าๆก็กลับมา เหมือนเราทั้งสามคน..ยังสนิทกันอยู่เหมือนเดิมเลยเนอะ..?

       “กระเป๋าใหม่หรอเพื่อนพล สีสวยว่ะ” ผมหันไปทักด้วยน้ำเสียงสดใสหลังจากสังเกตเห็นกระเป๋าคู่ใจของเขาเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีน้ำตาลอิฐ รูปทรงกระเป๋าก็ดูแตกต่างไปจากเดิม โลโก้แบรนด์ที่มุมกระเป๋าก็ผิดไปจากที่เคยเห็น

       “เสือก เป็นเหี้ยไรของมึง ไปไกลๆกูเลยนะ” พละพลหันมาตอบผม ..นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้นั่งคุยกันแบบนี้

       “พลแล้วหนังที่เข้าเมื่อเดือนที่แล้วมึงไปดูมายัง จำได้ว่ามึงรอมาปีกว่าตั้งแต่เห็นข่าวว่าเริ่มทำ..”  ..คิดถึงบรรยากาศเก่าๆจังเลยเนอะ กูกับมึงที่หัวเราะไปด้วยกัน คุยเรื่องห่าเหวไปด้วยกันไม่รู้จักเบื่อ พล..มึงรู้มั้ย กูน่ะอยากเป็นเพื่อนกับมึงแบบนั้นตลอดไปเลยนะ ถึงแม้มันเป็นได้แค่ฝัน แต่ก็เป็นความฝันที่ดีที่สุดของกูเลย

       “เมธ มาเอาเพื่อนรักมึงออกไป กูรำคาญ”

       “…” จริงๆ… ผมรับรู้ทุกอย่าง หากแต่ผมก็ยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น ..เป็นรอยยิ้มที่ปกปิดไม่ให้ใครเห็นว่าภายในผมกำลังแหลกสลาย..

       “อย่าปากดีไอ้พล ..เทียนมานั่งข้างหน้ากูดีกว่า” เมธหันมาหาผมพร้อมกับพยักเพยิดไปทางเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่

       “นั่งตรงนั้นถ้ากูพูดอะไรไอ้พลก็ไม่ได้ยินอะดิ ไม่เป็นไรหรอกกูนั่งนี่แหละ” นั่งตรงนั้นอาจจะเห็นภาพในห้องได้กว้างกว่า เห็นรอยยิ้มของคนอื่นๆได้มากกว่า รวมถึงเห็นสไลด์ด้านหน้าได้ชัดกว่า แต่ถ้าเทียบกัน…ที่ที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ผมจะได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนรักของผม ได้เห็นพลหัวเราะ ได้ฟังเสียงพล พูดคุยกันเหมือนอย่างที่เคยเป็น เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว..สำหรับเหตุผลที่ผมต้องนั่งตรงนี้

       “ไปไกลๆกู อย่าให้กูต้องรังเกียจมึงไปมากกว่านี้ไอ้เหี้ยเทียน” ผมรู้...ผมรู้ว่าผมควรจะยอมรับความจริง..

       “…”

       “ไป๊!”

       แต่ขอ..ผมหลอกตัวเองอีกซักนิดได้ไหม

       “ก..กูจะไม่กวนมึงเลย แต่ขอกูนั่งตรงนี้.. นั่งข้างๆมึงได้มั้ย” ผมขอหลอกตัวเองว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีที่สุด น่าจดจำที่สุด เป็นวันที่ผมจะมีแต่ความสุขเฉกเช่นวันแรกที่ผมก้าวเข้ามาในมหาลัยนี้ ขอหลอกตัวเองต่อไปว่าคนรอบตัวผมยังคงมองผมในฐานะเพื่อนคนนึง

       “…”

       “กูจะนั่งอยู่เงียบๆ ไม่ยุ่งกับมึงอีกแล้ว.. ได้ไหม..” ขอหลอกตัวเองว่า..มันจะผ่านไปได้ด้วยดี

       พลไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขามองผมตาขวางอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายแล้วก็เบือนหน้าไปอีกทาง ..ผมจึงหันกลับมาที่สไลด์ด้านหน้าอีกครั้ง หยิบชีทเรียนเก่าๆที่คนอื่นๆเรียนจบไปแล้วขึ้นมาจากกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะวางมันลงตรงหน้าแล้วหยิบปากกาหลากสีและดินสอขึ้นมาเตรียมจดเลคเชอร์ ..มือที่สั่นเทาพยายามจับปากกาให้มั่นก่อนจะบรรจงเขียนตามสไลด์ตรงพื้นที่ว่างเพียงเล็กน้อยตรงมุมชีทเรียน มือข้างหนึ่งต้องยกขึ้นมาป้องปากเพราะกลัวจะเสียงดังออกไป เพราะตอนนี้..น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอีกแล้ว

       ..แต่ถึงกระนั้นผมก็พยายามที่จะกลัดกลั้นมันเอาไว้ พยายามใจจดใจจ่อไปที่การเรียนการสอนให้มากที่สุด สิ่งนี้เป็นความสุขของผม..ผมจะต้องไม่ร้องไห้ ..ห้ามร้องไห้เด็ดขาดเลย

       เพื่อนๆของผมกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการเรียนไม่ต่าง แต่ก็มีบางคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น บ้างก็จับกลุ่มเล่นเกม บ้างก็กำลังแชทคุยกับคนที่เป็นหวานใจของพวกเขา ส่วนอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี น้ำเสียงที่ฟังดูเชี่ยวชาญของเธอยังคงพร่ำอธิบายเนื้อหาไม่หยุดหย่อน ผมมองภาพที่เห็น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆจดจำภาพเหล่านี้ ความรู้สึกตอนนี้ และรอยยิ้มของทุกๆคน เข้าไปเก็บไว้ในความทรงจำ..

       

       “อยากนั่งกับกูมากหรอ” ทว่าจู่ๆคนที่นั่งข้างๆผมอย่างพละพลก็พูดขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบมาหลายนาที

       “…” ผมหันไปตามเสียงของเขา ยิ้มกว้างและพยักหน้าตอบรับอย่างเร็วรี่

       “ได้” และนี่คือคำตอบที่พละพลให้ผม ..ความรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นมันเป็นอย่างไรผมได้รู้แล้วในตอนนี้ 

       “ขอบคุณมึงมากเลยพล” ..ในที่สุดพละพลก็เมตตาผมแล้ว ในที่สุดสิ่งที่ผมวาดฝันไว้ก็กำลังจะปรากฎให้เห็นในโลกความเป็นจริง

       “ไม่เป็นไรอยู่แล้ว ก็..เพื่อนกัน” พลพูดต่อ ..เพื่อน..? เพื่อนหรอ นี่พลหายโกรธผมแล้วหรอ..?

       “เพื่อน..?” ผมถามออกไปอย่างไปเชื่อหู ก่อนจะได้รับคำตอบที่ทำเอาหยาดน้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอีกครั้ง..

       “มึงเป็นเพื่อนกูไงเทียน” หากแต่ว่ามันไม่ใช่น้ำตาที่เกิดจากความเจ็บปวด แต่มันเป็นน้ำตาที่เกิดจาก..ความตื้นตันใจ

       “ขอบคุณ..ขอบคุณมากๆเลยพล ขอบคุณมึงมากๆเลย” ผมรู้สึกหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ พอได้ยินพละพลพูดแบบนั้นแล้วโลกที่เคยเป็นสีหม่นของผมก็เริ่มปรากฎสีสันขึ้นมา ท้องฟ้าที่เคยดูใจร้ายก็กลับกลายเป็นท้องฟ้าที่งดงามที่สุด

       “เย็นนี้มีบอลคณะ ไปกับกูปะ” เขาเอ่ยถาม และผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดเลยแม้แต่เสี้ยววินาที

       “ไปสิ..ไป กูไป” ริมฝีปากขยับเป็นคำออกไปอย่างรวดเร็ว และก็เอาแต่พูดซ้ำๆอยู่แบบนั้นไม่หยุด ..ผมดีใจ..ดีใจมากจริงๆ

       และคง..จะดีใจมากเกินไปหน่อย..

       “ดีเลย จะได้ไปช่วยกันเก็บลูกบอล”







       11.05

       เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาพัก ทุกคนในคณะทยอยกันออกไปรับประทานอาหารกันอย่างที่ควรจะเป็น ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน

       และที่พิเศษที่สุด วันนี้ผมได้ไปกินข้าวกับเพื่อนรักของผมด้วยล่ะครับ พลใช้ให้ผมไปซื้อข้าวให้ ผมทำตามอย่างไม่คิดจะปฏิเสธ แถมยังซื้อมาเกินกว่าที่พลสั่งอีกด้วย ในใจหวังอยู่เต็มที่ว่าพลจะต้องชอบแน่ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆหลังจากที่ผมเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมของกินที่เต็มไม้เต็มมือ พลกลับ..ไม่แม้แต่จะสนใจมันเลยแม้แต่น้อย

       ‘ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรพลอาจจะไม่หิว’ ผมบอกกับตัวเอง ก่อนจะชวนพลคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ต่อ



       11.37

       เรากินข้าวกันเสร็จเรียบร้อย พลบอกผมว่าจะไปหาเพื่อนคณะอื่น ผมจึงขอแยกตัวออกมาโดยโกหกพลไปว่าวันนี้แดดร้อนเลยจะเตรียมตัวขึ้นเรียนแล้ว เมธก็มากับผมด้วยเหมือนกันผมจึงต้องโกหกเมธด้วยอีกคนว่าจะไปห้องน้ำ ก่อนจะแยกตัวออกมาเพียงลำพัง..

       ..ขอโทษนะ..ที่ผมต้องโกหก



       11.50

       ปลายปากกาจรดลงที่ช่องลงชื่อบนกระดาษเอกสารทางการ ผมพยายามบังคับให้มือไม่ให้สั่นแต่มันก็ยากเหลือเกิน..



       11.51

       แต่ในที่สุดบนช่องลงชื่อก็มีชื่อของผม

       เรียบร้อยแล้วล่ะ..

       ต่อจากนี้ ..ชื่อผมก็จะไม่อยู่ในชั้นปีนี้อีกต่อไป







       12.01

       การเรียนการสอนของวิชาในภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว ในขณะที่ผมยังเอาแต่นั่งบนม้าหินอ่อนไม่ลุกไปไหนเพราะไม่มีแรงหลงเหลือพอ …จู่ๆผมก็ปวดหัวอีกแล้ว



       12.37

       แล้วผมก็ตัดสินใจกัดฟันทนก่อนจะลุกขึ้นพาร่างตัวเองขึ้นไปเรียนต่อ



       12.40

       ผมโดนอาจารย์ด่า เพราะรบกวนการเรียนการสอน อีกทั้งยังเข้าเรียนสายไปเกือบชั่วโมง เพื่อนร่วมคลาสหันมามองที่ผมกันเป็นตาเดียว ในหัวของผมมันบอกกับผมว่าให้ผมก้มหน้า อย่าไปสนใจกับสายตาเหล่านั้น แต่ในใจของผมมันกลับต่างออกไป มันบอกให้ผมยิ้ม ..แล้วพวกเขาก็จะยิ้มตอบกลับมา

       ผมเชื่อหัวใจของผม ก่อนจะปั้นรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนหน้า..

       ‘เกลียดขี้หน้ามันว่ะ คนแบบนี้ทำไมยังไม่ตายไปซักทีวะ’

       เห็นมั้ย..เขายิ้มตอบผมจริงๆด้วย เป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดที่ผมสามารถ..จินตนาการได้









     

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       17.05

       การเรียนการสอนจบลงไปได้ด้วยดี ผมพาตัวเองไปยืนหน้าประตูทางออก ใช้โอกาสนี้ในการโบกมืออำลาเพื่อนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่อาจจะเมินเฉยกับสิ่งที่ผมทำ แต่ก็มีบางคนที่โบกมือตอบผมด้วยเหมือนกัน ผมยิ้มจนแก้มแทบปริ ปากพูดอยู่ซ้ำๆจนลิ้นแทบพันกันว่า ‘กลับบ้านดีๆนะ’ ‘โชคดีนะเพื่อน’ พร้อมกับยืนส่งพวกเขาอยู่ตรงนั้นจนแผ่นหลังของเขาไกลออกไปลับสายตา



       ผมโบกมือบ๊ายบายเมธ พร้อมกับคำว่า ‘โชคดีนะ’ ตามหลังอย่างแผ่วเบา ส่วนเจ้าตัวที่กำลังเร่งรีบเพราะมีคนรอก็ได้แต่โบกมือไหวๆตอบกลับมา ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป

       เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว.. ปล่อยให้เมธเข้าใจไปว่าผมกลับมาเรียนได้ตามปกติน่ะดีที่สุดแล้วสำหรับคนที่เอาแต่มาอยู่ดูแลผมจนสภาพตัวเองโทรมลง



       เมื่อได้บอกลากับทุกคนจนครบ ผมจึงสูดหายใจเข้าไปลึกๆจนอัดแน่นเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา

       ทีนี้ก็เหลือแต่..พละพลเพื่อนรักของผม





       17.45

       ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มทอแสงสีส้ม แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลงจนไม่รู้สึกแสบผิวเมื่อได้รับแสง ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเคลื่อนไปอยู่ใกล้เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่นานความมืดมิดจะมาเยือนอีกครั้ง

       เดาว่าตอนนี้พี่หมอคงเป็นห่วงผมมากๆแน่ๆเลยที่ยังไม่กลับไปโรงพยาบาลซักที แต่อีกไม่นานผมก็จะกลับไปแล้วล่ะ ..อีกไม่นานเท่านั้น..

       ขอผม..เก็บเกี่ยวความสุขของผมอีกซักนิด



       ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบอลของมหาลัย ยืนอยู่โดดๆท่ามกลางผู้คนมากมายที่มารอเชียร์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนๆกันนี่แหละครับ ได้ยินว่าเดือนหน้าจะมีงานกีฬาอะไรซักอย่าง เพราะงั้นก็เลยต้องมีการแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักกีฬา ส่วนผมที่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะว่าพละพลชวนให้ผมมา แย่หน่อยที่สนามนี้เป็นสนามที่ไม่มีอะไรคอยกั้น จึงทำให้ผมมีทำหน้าที่คอยเก็บลูกบอลที่ถูกเตะจนออกจากสนาม

       จริงๆหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของพลเพียงคนเดียว มันค่อนข้างเหนื่อยเขาก็เลยชวนคนมาช่วยเขา ซึ่งก็มีอีกหลายคนเลยทีเดียวรวมถึงผมด้วย



       ไม่นานนักแมตช์นี้ก็เริ่มขึ้น นักฟุตบอลหลายคนวิ่งตามลูกหนังกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนสุดท้ายลูกหนังลูกนั้นก็ถูกใครคนหนึ่งเตะมันเพื่อหวังจะให้เข้าประตู ทว่าบอลลูกนั้นกลับลอยขึ้นมาสูงจนชนกับตัวประตูที่เป็นเหล็กแข็ง ทำให้บอลลูกนี้กระเด็นออกไปไกลจากสนาม

       “โหไกลว่ะ.. กูเหนื่อยแล้วอ่ะ เทียนมึงวิ่งไปเก็บแทนกูหน่อยดิ” พลเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาเดินมาหาผมที่อยู่ไม่ห่างก่อนจะแตะบ่าแล้วไหว้วานให้ผมช่วยวิ่งไปเก็บ

       “ได้ เดี๋ยวมานะ” แน่นอนว่าผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แค่นี้สำหรับผมน่ะ ..สบายมาก และผมก็ไปเก็บมาให้ได้จริงๆ



       “สัดเตะแรงกันจังวะ เทียนไปเก็บตรงนั้นด้วย” ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้หยุดหายใจหายคอ บอลอีกลูกก็กระเด็นข้ามหัวผมออกไปในอีกทิศทาง

       “ได้เลยเพื่อน” ผมตอบรับก่อนจะวิ่งตามลูกหนังลูกนั้นไป ความเหน็ดเหนื่อยเกิดขึ้นจนฝีเท้าเริ่มช้าลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นจนเสื้อที่ใส่เริ่มแนบไปกับแผ่นหลัง

       แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังคงดั้นด้นไปเก็บลูกบอลมาให้พละพลจนได้ เป็นแบบนั้นอยู่หลายครั้งจนผมรู้สึกแล้วว่าโลกของผมมันเริ่มโคลงเคลง และที่แย่ไปกว่านั้น..



       “พล..กูขอพักแป็ปนึงได้ไหม กูเหนื่อย ไม่ไหว..” ..การหายใจของผมเริ่มติดขัด ผม..หายใจไม่ออก

       “อ้าว แล้วลูกนั้นใครจะไปเก็บวะ”

       “..กูเหนื่อยจริงๆ ..มียาดมไหม กูเหมือนจะเป็นลมเลย” ผมทรุดนั่งลงกับพื้นเพราะไม่มีเรี่ยวแรงใดๆหลงเหลือ พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากพละพล

       “ตอแหล” ..แต่มันก็เปล่าประโยชน์

       “…”

       “มึงขี้เกียจอะดิไม่ว่า ถุ้ย! สำออยฉิบหาย วิ่งแค่นิดหน่อยทำเป็นบ่นไม่ไหวจะเป็นลม” เพื่อนรักของผมกำลังเหยียดปลายนิ้วชี้มาที่หน้าของผมพร้อมกับตะโกนด่าเสียงดัง

       “…” ผมตกใจกับภาพที่เห็นจนได้แต่นั่งนิ่งๆไม่รู้จะพูดอะไรออกไป พละพลถูกใครบางคนหันมาด่าเพราะกำลังละเลยหน้าที่ เขายกมือไหว้ขอโทษขอโพยก่อนจะหันกลับมาทางผมอีกครั้งด้วยความโกรธเกรี้ยว

       “เห็นมั้ยไอ้เหี้ยโดนด่าเลยเนี่ย แม่งเอ๊ย!”

       “พ..พลกูขอโทษ.. กูขอโทษ กูกำลังจะไปเก็บให้..เดี๋ยวนี้แหละ” ผมหลับตาปี๋ พร่ำคำขอโทษออกไปซ้ำๆ ตัวเริ่มสั่นระรัวไม่หยุด แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังฝืนตัวเองลุกขึ้นแล้วพยายามที่จะวิ่งไปเก็บบอลลูกนั้น ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวผมก็ล้มลงตรงนั้นอีกครั้ง

       “ถุ้ย! อ่อนแอนักมึงก็ตายเหอะ ไร้ประโยชน์จริงๆเลยมึงเนี่ย” ..ราวกับถูกใครซักคนกรีดก้อนหัวใจ ทั่วทั้งร่างชาวาบ หยาดน้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอย่างห้ามไม่ได้

       คำว่า ‘เพื่อน’ ของพละพล จริงๆลึกๆผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าความจริงก็คือเขาแค่แกล้งพูดให้ผมตายใจเพราะเหตุผลอะไรซักอย่าง และผมก็ได้รู้แล้วว่าเหตุผลนั้นก็คือเขาต้องการจะหลอกใช้ผม ต้องการจะขยี้ผมให้จมดิน

       แต่ผมก็ไม่เสียใจหรอกที่เชื่อในคำว่า ‘เพื่อน’ ของพละพล

       เพราะสำหรับผม…เขาคือเพื่อนของผมจริงๆ



        “พลระวัง!” …เสียงเล็กๆของผมผมใช้มันตะโกนออกไปเพื่อบอกให้พละพลหลบออกมาจากตรงนั้น เพราะบอลลูกหนึ่งกำลังถูกเตะมาทางนี้ พละพลหันหลังกลับไปดูอย่างรวดเร็ว แต่ว่า..มันก็ไม่ทันเสียแล้ว



        ปั่ก!

        “เฮ้ย!” เสียงกลุ่มคนกรีดร้องดังเข้ามาในโสตประสาท ก่อนเสียงพวกนั้นจะค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เดาว่าคงเป็นพวกนักฟุตบอลที่กำลังแห่กันวิ่งมาดู..

       “เทียน…ไอ้เทียน!” ..มาดูผมที่กำลังจะล้มลงไปนอนกับผืนหญ้า

       ..ในขณะที่บอลเมื่อครู่กำลังตรงดิ่งมาหาพละพล ผมใช้จังหวะเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเอาสารร่างของตัวเองไปบดบังเอาไว้ไม่ให้เพื่อนรักของผมได้รับอันตราย ถึงแม้มันจะทำให้คนที่จะได้รับอันตราย..จะเป็นผมเองก็ตาม



       …มีใครหลายคนกำลังมายืนมุงอยู่รอบๆตัวผม ใครคนนึงกำลังจะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ผมก็ใช้แขนที่กำลังสั่นเทาของตัวเองปัดออกไป

       …อีกไม่นานผมก็จะหายไปอย่างที่พวกคุณต้องการแล้ว เพราะงั้น..คุณไม่จำเป็นต้องมาช่วยผมหรอก มองว่าผมเป็นหุ่นยนต์เหล็กที่จะเหยียบย่ำความรู้สึกยังไงก็ได้อย่างที่พวกคุณเคยมองต่อไปนั่นแหละดีแล้วล่ะ..



       “เทียน.. จมูกมึง.. เลือด..” เสียงทุ้มของพละพลเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ..อีกหนึ่งอย่างที่ผมอยากจะขอหลอกตัวเอง ตอนนี้พละพล..เป็นห่วงผมใช่มั้ย..?

       ผมกำลังถูกใครซักคนเป็นห่วงใช่หรือเปล่า..



       ‘มึงกับเปลวเป็นอะไรกัน’

       ‘ร..เรา…ไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น’

       ‘เชื่อก็โง่ กูรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น’



       ‘มึงทำให้เปลวเป็นแผลที่หัว เพราะงั้น..’

       ‘…’

       ‘มึงก็โดนบ้างแล้วกัน’
     



        ..แต่คงจะเป็นคำขอที่สูงเกินไปหน่อย เพราะมันตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ที่ตรงนี้..ไม่มีใครเป็นห่วงเทียนไขอย่างผมหรอก..

       “เทียนมึงเลือดไหลใหญ่แล้ว เช็ดก่อน..” พละพลเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางร้อนรน เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาก่อนจะยื่นเข้ามาใกล้ผมหวังจะซับเลือดกำเดาที่กำลังหลั่งไหลออกมาจากจมูกของผม ..ผมเห็นท่าทางของพละพลแบบนั้นแล้วจึงคลี่ยิ้มเล็กๆออกมา แต่แย่หน่อยที่รอยยิ้มนี้เกิดขึ้นพร้อมกับหยาดน้ำตาพอดี

       “..กูมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” ผมเอ่ยถามพละพลทั้งน้ำตา ..เป็นคำถามที่ผมอยากถามเขามานานแล้ว

       “…” คนตรงหน้าผมนิ่งไปไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่จริงๆ..ไม่ต้องตอบก็ได้แหละ เพราะผมคิดว่า..ผมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ผมน่ะ…ไม่มีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่หรอก



       ..วันนี้เป็นวันที่ดีมากจริงๆวันนึงในชีวิตผมเลย ทุกๆอย่างที่เห็นที่รับรู้ล้วนดูสวยงามไปหมด ทั้งในทางกายภาพและในทางของความรู้สึก โดยเฉพาะรอยยิ้มของใครหลายๆคนที่ผมได้เห็นอีกครั้งในวันนี้ มันเป็น..สิ่งที่สวยงามมากๆเลย

       แต่ว่าคง...ได้เวลาบอกลากันแล้วล่ะ

       “ดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนมึง แล้วก็..ขอโทษด้วยที่เข้าไปเป็นเรื่องแย่ๆ ต่อจากนี้..”

       “…”

       “มันจะไม่มีอีกแล้ว”

       ..จะไม่มีเทียนไขคนที่พวกเขาต่างก็ขยะแขยงอีกต่อไป

       























       หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากนั้น โลกได้หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน ทำให้กลไลของเวลายังคงดำเนินต่อไป จากแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันก็เปลี่ยนเป็นแสงจันทร์ในตอนกลางคืน ในความรู้สึกของผมมันเป็นแบบนั้นเพราะผม..ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เช่นเดิม

       อาการยังขึ้นๆลงๆไม่มีอะไรคงที่อยู่เหมือนเดิม บางครั้งก็เศร้าโศก เซื่องซึม แต่บางครั้งก็ร้องไห้โวยวายขึ้นมา และบางครั้ง..ก็ยังคงเห็นภาพเหล่านั้นตามหลอกหลอน

       แต่การรักษาก็ค่อนข้างช่วยผมได้เยอะ เพราะความรู้สึกหวาดกลัวอันแสนทรมานเหล่านั้นเริ่มจางหายไปบ้างแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกถึงมันซักเท่าไหร่

       ทว่าที่แย่ก็คือ…

       ผมมีความผิดปกติที่ไตข้างที่เหลืออยู่



       ครั้งแรกที่วินิจฉัยพบ ผมทำอะไรไม่ถูกเลย ในหัวมันตื้อไปหมด หมอบอกว่าอาจจะเพราะร่างกายผมอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าใช้ร่างกายหนักเกินไปก็จะเกิดผลเสียหลายๆด้าน การที่ไตผมเริ่มผิดปกตินี่ก็เป็นหนึ่งในผลเสียเหล่านั้นที่มักจะเกิดขึ้นได้ ..จะว่าผมเสียใจมั้ยก็ไม่ จะผมว่าดีใจ..นั่นก็ไม่อีกเหมือนกัน เหมือนเคยอยากตายมาตลอดแต่พอมารู้ว่าตัวเองกำลังจะตายจริงๆมันก็รู้สึกโหวงๆยังไงไม่รู้

       ภาพวินาทีที่ผมถูกย้ายจากโรงพยาบาลทางจิตมาอีกโรคพยาบาลเพื่อดำเนินการรักษาเรื่องไตผมยังจำได้อยู่เลย ..มันเป็นภาพตอนที่ผมนั่งอยู่บนวีลแชร์และกำลังจะถูกเข็นออกไป เสี้ยวนึงผมหันมามองเตียงที่ผมเคยนอนมาตลอดการรักษา สิ่งที่เห็นก็คือ..มันว่างเปล่า ว่างเปล่าซะจนใจหาย



       …ผมเป็นผู้ป่วยแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลนี้ แต่ละวันยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านกันไปด้วยความเงียบเหงา โลกของผมค่อยๆถูกจำกัดให้มันแคบลง และแคบลงเรื่อยๆ มีกฎเกณฑ์มากมายสำหรับผู้ป่วยโรคไต ผมถูกจำกัดทั้งอาหารการกินและการใช้ชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อความรู้สึกผมเริ่มแย่ อาการหวาดกลัวเหล่านั้นก็จะกลับมาให้รู้สึก



       ..วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ผมถูกแสงอาทิตย์ปลุกให้ตื่นขึ้นในตอนเช้า นอนรอกินข้าวตอนประมาณเจ็ดโมง รอหมอจิตเวชมาตรวจดูอาการช่วงสาย ก่อนจะลงไปตรวจไตที่ห้องตรวจด้านล่าง

       ..ทุกอย่างดำเนินไปแบบนั้น



       แต่แล้วผมก็ต้องชาวาบไปทั้งร่างอีกครั้งเมื่อได้เห็นคนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเขาดี

       เปลว.. ที่กำลังเดินเคียงคู่มากับ..พละพล

       

       เสี้ยวหนึ่งผมเผลอสบตาพวกเขา แต่ผมก็หันหนีออกมาก่อนจึงไม่ทันได้สังเกตเลยว่าพวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไร ทว่าผมกลับได้คำตอบมาอย่างง่ายดาย เพราะฝ่ามือของใครบางคนที่แตะลงมาบนไหล่ผม..

       “เทียน มึงเป็นไงบ้าง” เสียงของพละพลเอ่ยถามขึ้นมา เขาเดินมาหาผมคนเดียวในขณะที่เปลวยืนอยู่ห่างออกไป ..ผมพยายามจะเดินหนี แต่ก็ถูกอีกฝ่ายตรึงไหล่ไว้เสียก่อน “ตอบกู กูเป็นห่วง”

       “…” และผมก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ..เป็นห่วง? เป็นห่วงผมน่ะหรอ..

       “กูรู้เรื่องที่มึงพักการเรียนแล้วนะ ..เพราะอะไรวะ? มึงป่วยเป็นอะไรกันแน่เทียน”

       “..มึงเป็นห่วงกูจริงๆหรอ..” ผมถามซ้ำ

       “ใช่ไง”

       “จริงๆนะ..ไม่โกหกกูใช่มั้ย” และยังคงถามซ้ำอยู่แบบนั้น

       “ไม่โกหก”

       “..กูไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็หายแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงกูนะ ดีใจมากๆเลย” ขอโทษที่กูโกหกมึงอีกแล้ว..

       “เป็นแบบนั้นกูก็ดีใจ เออเผื่อยังไม่รู้..” พละพลพูดต่อ สำหรับความเป็นห่วงของพล ผมดีใจมากๆเลยที่พลเป็นห่วงผม ผมรู้แหละว่าที่ผ่านมาระหว่างเรามันโคตรแย่ ถึงจะไม่รู้ว่าผมผิดหรือเปล่าแต่ผมอยากขอโทษเขามากๆเลย ผมอยากให้เรา..กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม..

       “…”

       “กูคบกับเปลวได้ซักพักแล้วนะ” กลับไปเป็นเพื่อนที่..

       “…”

       “…ยินดีด้วยนะเพื่อนพล ขอให้มึงมีความสุขมากๆ” ..ยิ้มยินดีได้อย่างเต็มใจเวลาที่เพื่อนมีความสุข ไม่ใช่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกตบหน้าซ้ำๆแบบนี้..







 


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1  o13 ขอบคุณครับ :pig4: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จ่ะ! เอาเลยทั้งคู่ เอาตามสบายใจเลย คนดูเรื่องราวอย่างเรานี่ เหนื่อยไปกับทุกคน เพลีย แต่ถึงยังงั้นก็อยากติดตามอยากรู้ชีวิตเทียนต่อจากนี้อยู่นะ พี่หมอช่วยเทียนที ฝากความหวังไว้ได้ไหม 555 ต้องรักษายาวเลยละ อาการเหมือนจะดีแต่ก็ไม่น่ารอดถ้ามาออกเจอสภาพเดิมๆ คนเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆ ใจจริงก็อยากรักษาให้จิตแข็งได้เลยนะถึงควรออกมาใช้ชีวิตปกติ สุดท้ายแล้วก็ยังคง งงว่าปลายทางของสองคนนี้อยู่ที่ไหน 5555555 เทียนวนลูปมาก หรือบางที่ก็เหมือนเดจาวู ตรงที่คิดว่าเคยเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกันกับพล แต่จริงๆแล้วคือไม่เคยเป็นเลย 5555 เอาจริงเทียนนี้ละ ทำให้เราระแวงไปด้วยเหมือนกันว่าคนที่เข้ามาคือความหวังดีจอมปลอม หูแว่ว หลอน คิดไปเอง คล้อยตามเทียนเลย ซะงั้น นี่ถ้าได้อยู่กับเทียน เชื่อได้เลยว่าบ้าอีกคนแน่ๆกู 55555555 แต่ดูเมธกับโก้ก็คงดีจริงๆละ (มั้ง5555) สุดท้าย ท้ายสุดจริงก็คงต้อง อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ เส้นทางความสำเร็จของความฝันคงอีกยาวไกล หากตัวเองยังเป็นแบบนี้ จะพูดปลอบยังไงดีนะ ให้เทียนได้ลุกขึ้นฮึบสู้ คนเป็นโรคนี้เขาดูแลกันยังไงเดี๋ยววาปเข้าไปเป็นเพื่อนเทียนซะเลยหนิ 555555 ส่วนไอ้ชั่วแม๊กนั่น มันก็คิดสำนึกได้นะว่าสิ่งที่ทำไปโหดร้าย เพียงแต่ขี้ขลาดมากเกินไปเลยไม่กล้าจะยอมรับความผิด รอกรรมตามสนองละกัน ไอ้เหี้ยเอ๊ย!! ^_^ ว้อยยยยสนุกกกค่า ลุ้นนะ อยากรู้จะเกิดไรขึ้นบ้าง จะเอาไงกับชีวิตดี ทำไมมันถึงได้ยากอย่างเน่~~~ รออออออออรอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ยังคงแต่งและมาอัพให้เรื่อยๆ เจอกันตอนหน้าค่า ^__^ สนุกดี ดราม่าสมชื่อ คึคึ (:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สายดราม่าต้องมา มาคุได้ใจ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
14

‘เปลวเทียน’






       ‘เทียน…เราลองมาคบกันดูดีมั้ย?’

       ‘…’

       ‘กูอยากดูแลมึงอย่างจริงจัง กูจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมึงอีกแล้ว’

       ‘เรา..’

       ‘เป็นแฟนกูนะ’

       ‘…’

       ‘กูสัญญาว่าจะไม่ทิ้งมึงไปไหน’




       …ตลกดีเหมือนกันนะที่ผมยังคงจมอยู่กับสัญญาปากที่เปลวเคยให้ ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเคยสัญญาอะไรไว้

       และมันก็ตลกมากๆเลยที่ความสัมพันธ์นี้ไม่เคยจบลงจริงๆ เพราะระหว่างผมกับเปลวยังไม่มีใครเอ่ยตัดความสัมพันธ์ของเรากันเลยซักคน ถึงแม้ผมจะเกลียดเขาแค่ไหนก็ตามแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ายังไงเปลวก็ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของผม ทว่าสำหรับเปลว…คงไม่ใช่แบบนั้น

       ความรักครั้งใหม่ของเปลวเริ่มต้นขึ้นในขณะที่ความรักครั้งเก่าของเขายังไม่จบลง เปลวกำลังก้าวเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับคว้ามือของพละพลมากอบกุมแล้วเดินต่อไปด้วยกัน ในขณะที่ผมยังอยู่ที่เดิม จมอยู่กับความเจ็บปวดและบาดแผลแสนทรมานอยู่เหมือนเดิม

       และผมก็คงเลือกอะไรไม่ได้นอกจากจะเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของตัวเองเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ก่อนจะปั้นรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยอวยพรให้พวกเขา

       ‘…ยินดีด้วยนะเพื่อนพล ขอให้มึงมีความสุขมากๆ’

       ถึงแม้ข้างในจะเจ็บเจียนตายก็ตาม…











        หลังจากพบคุณหมอเรื่องไตและทำการตรวจดูอาการเสร็จเรียบร้อย ผมก็ถูกส่งกลับขึ้นมาพักผ่อนบนห้องเหมือนเดิม ระหว่างทางขณะที่ผมกำลังขึ้นลิฟต์ภาพตัวเองในกระจกเงาที่สะท้อนกลับมาทำให้ผมอดที่จะสงสารตัวเองไม่ได้

       ..เทียนไขในกระจกใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากที่เคยปรากฎสีระเรื่อตอนนี้กลับไร้สีสัน เช่นเดียวกับเรียวผิวที่เคยมีน้ำมีนวลตอนนี้ก็ดูซูบลงไปมาก ..ทุกๆอย่างทำให้ผมอดคิดไม่ได้จริงๆว่าเวลาที่เหลืออยู่…มันมากน้อยขนาดไหนกันนะ? ผมจะยังคงตื่นขึ้นมาในตอนเช้า มองดูท้องฟ้าสวยๆ และแสงไฟระยิบระยับตา ผมจะรับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ไปได้อีกกี่วัน..



       ‘ซักวันเทียนไขจะส่องสว่าง’ เมธเคยบอกผมเอาไว้แบบนั้น ผมเองก็เคยเชื่อแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอันที่จริง…เทียนไขเล่มนี้เคยส่องสว่างไปนานแล้ว และเพราะแสงสว่างเหล่านั้นเทียนไขเล่มนี้จึงค่อยๆหลอมละลายจนตอนนี้เหลือแค่เทียนเล่มเล็กๆ ที่ยังคงถูกแสงสว่างเหล่านั้นแผดเผาต่อไปเรื่อยๆ…หลอมละลายต่อไปจนกว่าจะไม่มีเชื้อเทียนเหลืออยู่



       ท้องฟ้าสีแสดภายนอกเริ่มถูกความมืดมิดเข้ามาแทนที่แล้ว ตึกรามบ้านช่องในเมืองหลวงแบบนี้จึงเริ่มปรากฎแสงไฟจากหลอดไฟชนิดต่างๆ มองจากหน้าต่างบนชั้นบนสุดของโรงพยาบาลแบบนี้ก็ดูระยิบระยับตาดี

       ผมในชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ริมหน้าต่างกระจกใส ทอดสายตาไปยังแสงสีละลานตาเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลินใจ พวกมันทอแสงแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมใครราวกับว่ากำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน …ผมคลี่ยิ้มให้กับความสนุกสนานที่ผมรับรู้ ก่อนจะหันกลับมาในห้องสี่เหลี่ยมสลัวๆอันเงียบเหงาดังเดิม สายตาทอดไปที่ประตูห้อง ก่อนจะพบกับแสงสว่างจากไฟทางเดินที่สอดส่องเข้ามาผ่านกระจกสี่เหลี่ยมเล็กๆ

      “..สวัสดีครับ ..ขอบคุณนะครับที่มาเยี่ยมกัน วันนี้ผมอาการดีขึ้นมากแล้ว” ผมคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยขอบคุณกับคนที่มาเยี่ยมผม ..ฮ่าๆ ผมซ้อมน่ะครับ จริงๆภาพที่เห็นมีแค่ความว่างเปล่า ประตูห้องวันนี้เงียบสนิทเหมือนอย่างเคย ‘..ดีจังเนอะที่มีคนมาเยี่ยม’ ผมอยากสัมผัสความรู้สึกนั้นจัง แต่คงจะไม่มีทางเป็นไปได้ ช่วงนี้เมธกับโก้ยุ่งอยู่กับการเรียนจึงทำให้ไม่มีเวลาว่างเหลือพอที่จะมาเยี่ยม พอมองหาคนอื่นๆนอกเหนือจากเพื่อนสองคนนี้ผมก็ไม่เห็นใครเลย สงสัยผมจะลืมไป..

       เทียนไขคนนี้…ไม่เหลือใครแล้วซักหน่อย

 

       พอรู้ตัวแล้วผมก็เลยพาตัวเองกลับมาที่เตียง ค่อยๆใช้แขนยันตัวให้ขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ค่อยๆเอนตัวลงนอน กระชับผ้าห่มสีขาวขึ้นมาห่มในระดับอกสร้างความอบอุ่นขึ้นมาโอบล้อมร่างกาย ก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาลง..

       …หลับฝันดีนะเทียนไข







       ‘วันนี้มันมาเรียนว่ะ คิดว่าจะลาออกแล้วซะอีก ทำไมยังกล้ามาอีกวะ’

       ‘คนแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรวะ ไม่มีจิตสำนึกเลยหรอวะถามจริง หน้าด้านหน้าทนฉิบหายเลยไอ้เหี้ย’




       หลับ.. หลับสิเทียนไข..



       ‘มึงทำให้คนที่เขากำลังจะไปกันได้ดี ต้องมาหยุดชะงักความสัมพันธ์’

       ‘ไม่เข้าใจเลยว่ะ ทำไมเพื่อนกูถึงต้องมาเจอคนแบบมึงด้วยวะ’




       หลับได้แล้วเทียนไข ขอร้อง..



       ‘..คนเขารักกัน’

       ‘…’

       ‘อิจฉาล่ะสิ น่าสมเพชจัง’

       ‘…’

       ‘แต่ก็แน่นอนอยู่แล้วแหละ คนอย่างมึงไม่น่าจะมีใครรัก!!!’

       ‘…ปล่อยกูไป..เถอะนะ’

       ‘ไปตายเถอะไอ้เหี้ย!!’




       …ทำไมไม่หลับซักที ..ผมจะต้องทนเห็นภาพเหล่านี้ซ้ำๆไปจนถึงเมื่อไหร่ ..ผมจะต้องทนได้ยินเสียงของพวกเขาไปอีกนานแค่ไหน ..เมื่อไหร่มันจะผ่านไป ..เมื่อไหร่มันจะดีขึ้นจริงๆซักที..

       ..สุดท้ายแล้วหยาดน้ำสีใสๆก็ไหลรินออกจากหางตาข้างนึงของผม ความเจ็บปวดในวันที่ผมถูกกระทำหวนปรากฎขึ้นมาในหัวทำให้สวิตซ์ความรู้สึกถูกกดเปิดอีกครั้ง ..ภายใต้ห้องทรงเหลี่ยมสลัวๆห้องนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมนอนตัวงอเป็นกุ้ง แขนทั้งสองพยายามโอบกอดร่างกายของตัวเองด้วยความสั่นเครือ     

       “ห..หลับ หลับสิเทียนไข..” ผมคลายแขนข้างนึงออกมาก่อนจะใช้กำปั้นทุบศีรษะตัวเองเพื่อเว้าวอนให้จมดิ่งสู้ห้วงนิทราเสียที ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมกำลังเผชิญและกำลังต่อสู้ทั้งๆที่แทบไม่มีแรงเหลือแล้ว ทว่า…เปล่าประโยชน์ ..ท้ายที่สุดผมก็ทำได้แค่ปล่อยให้ภาพเหล่านั้น เสียงก่นด่าเหล่านั้นตามหลอกหลอน ..นอนทรมานอยู่ตรงนั้นทั้งน้ำตาจนผล็อยหลับไป แต่รู้มั้ย..ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ผมต้องเจ็บปวดแบบนี้อยู่เสมอเมื่อหลับตาแต่ผมก็ไม่เคยชินกับมัน ทุกครั้งที่เกิดขึ้นผมจะรู้สึกว่าผมกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆราวกับกำลังจมดิ่งสู้ก้นบึ้งของมหาสมุทรที่ไม่ว่าจะตะเกียกตะกายอย่างไรสุดท้ายแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ต่อมวลน้ำมหาศาล ที่ทรมานมากไปกว่านั้นก็คือ…ผมยังต้องตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เพื่อจมดิ่งสู่มหาสมุทรนี้อีกครั้งเมื่อพยายามจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

       ผมจึงภาวนาอยู่ในใจทุกครั้ง..

       ขอร้อง.. อย่าให้ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย



















       แต่โลกใบนี้ก็ยังคงใจร้ายกับผมอยู่เหมือนเดิม ..ทั่วทั้งร่างของผมกระตุกตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกแสงอาทิตย์ยามเช้ารบกวน เหมือนจะดีใช่มั้ยที่ภาพเหล่านั้นจบลงแล้ว..? แต่ไม่เลย ทันทีที่ผมรู้สึกตัวสิ่งที่ผมรับรู้มีอยู่สองสิ่ง สิ่งแรกก็คือเมื่อคืนผมก็แค่ฝันร้าย อีกสิ่งนึงก็คืออีกไม่นานเดี๋ยวฝันร้ายนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เกิดขึ้นซ้ำๆอยู่ร่ำไป ผมจึงไม่ได้ดีใจ ไม่ได้ตื่นเต้นกับวันใหม่ และไม่มีความหวังใดๆในการใช้ชีวิตหลงเหลืออยู่เลย ก่อนหน้านี้อาจจะเคยวาดฝันลมๆแล้งๆให้ตัวเองว่าถ้ามีโอกาสหายดีผมจะกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง ปีนป่ายไต่เขาไปให้ถึงจุดหมายที่ผมเฝ้าฝัน ..แต่สิ่งที่ผมวาดฝันเอาไว้มันก็เหมือนกับสายลมในห้องปิดตาย เป็นลมที่เกิดขึ้นแค่ตอนที่เปิดประตูเข้ามาเท่านั้น หลังจากประตูถูกปิด ก็ไม่มีสายลมใดพัดผ่านเข้ามาอีกเลย..

       “…” ผมก็เลยเริ่มคิดแล้วว่า…การรักษาของผม มันเสียเวลาเปล่าๆมั้ย.. ยารักษาทุกชนิดที่ผมได้รับมันสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์หรือเปล่า..

       ‘ใช่ แกคิดถูกแล้ว’

       …เสียงๆนึงดังอยู่ข้างๆหู ให้คำตอบแก่คำถามที่ผมตั้งขึ้นมาในหัว ผมรู้..ผมรู้ว่ามันเกิดจากจิตของผมที่ประสาทหลอนไปเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันก็..เป็นความจริง

       ผมกำลังทำให้หมอและพยาบาลหลายๆคนเสียเวลา ฮ่าๆ เห็นแก่ตัวที่สุดเลยใช่มั้ย.. นอกจากเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่า ไม่มีใครต้องการแล้วผมยังจะเป็นคนเห็นแก่ตัวอีก คงไม่แปลกหรอกที่จะมีแต่คนรังเกียจ บางที..คงจะถึงเวลาจริงๆแล้วล่ะมั้งที่ผมควรจากไป จะได้ไม่ต้องเหงา ไม่ต้องเจ็บปวดและไม่ต้องรู้สึกอะไรอีก

       ..ตอนเด็กๆหลังจากที่ตะวันลาลับฟ้าขณะที่ผมและแม่กำลังจะเข้านอนเรามักจะคุยกันว่าหลังจากผมเรียนจบได้มีการมีงานดีๆทำอย่างที่ผมฝันเอาไว้เราจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน  แม่อยากจะไปเห็นกำแพงเมืองจีนที่ว่าเป็นกำแพงที่ยาวที่สุดในโลก ส่วนผมอยากสัมผัสหิมะ ตามหาแสงเหนือที่ว่ากันว่าสวยงามตระการตา และอีกหลายๆอย่าง ..เราต่างวาดภาพเอาไว้ในจินตนาการมากมาย เพราะผมและแม่ต่างก็รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีทรัพย์มากพอที่จะไปทำแบบนั้นได้จริงๆ แต่ถึงแบบนั้นเราทั้งสองก็มีความสุขมากๆที่ได้แบ่งปันจินตนาการด้วยกัน  ทว่า…น่าเสียดายที่ผมและแม่ไม่มีทางได้ไปเที่ยวด้วยการแบ่งปันจินตนาการให้กันได้อีกแล้ว แม่ทิ้งผมด้วยการออกเดินทางไปคนเดียวโดยไม่รอผมเลย แต่คง..ไม่เป็นไรแล้วแหละ ตรงนี้สูงกว่าพื้นดินแปดชั้น ถ้ากระโดดลงไปก็จะดิ่งลงสู่พื้นคอนกรีตข้างล่างทันที แรงกระแทกคงมากพอที่จะทำให้ศีรษะและสมองที่ไม่สมดุลของผมแหลกสลาย ทุกๆอย่างก็คงจะจบลงในทันทีโดยที่ไม่ต้องทรมาน ผมก็จะได้ออกเดินทางไปหาแม่ หลังจากนั้นเราก็จะไปเที่ยวด้วยกันอย่างที่เคยวาดไว้

       คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็เลยกระตุกสายน้ำเกลือออกไปจากมือ ก่อนจะลุกออกจากเตียงแล้วก้าวเดินออกไป ผมจำได้ว่ามีหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ตรงทางเดินบริเวณหน้าลิฟต์ ตรงนั้นผมคงพอจะปีนข้ามและกระโดดลงไปได้

       ผมคลี่ยิ้มให้ภาพตัวเองในกระจกภายในห้องน้ำ

       “ที่ผ่านมานายทำดีที่สุดแล้ว” ก่อนจะเอ่ยออกไปพร้อมกับชูสองนิ้วให้ตัวเอง ..ที่ผ่านมามันอาจจะไม่ได้ทำให้หลายๆอย่างดีขึ้นแต่ผมก็เต็มที่ที่สุดแล้วจริงๆ ..ผมอาจจะไม่ได้สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าตั้งแต่แรกผมสามารถเลือกเส้นทางชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ตัวเองได้ผมก็จะเลือกเส้นทางนั้น..ขอแค่ผมมีโอกาส ถ้าทุกอย่างมันไม่ใช่แบบนี้..ถ้ามันไม่ลงเอยแบบนี้ ..ถ้าให้โอกาสผมซักนิดให้ผมมีชีวิต ผมก็อยากมีชีวิตอยู่เหมือนกัน

       แต่ก็อย่างที่รู้กันดี ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผมไม่ได้รับโอกาสนั้น



       ไม่รู้ว่าทำไมตัวผมในกระจกถึงมีน้ำตาไหลอาบแก้ม ยิ้มสิ.. ยิ้มเข้าไว้ เคยมีคนบอกว่าชอบรอยยิ้มของนายนะ ยิ้มหน่อยได้มั้ย.. อย่าร้องไห้อีกเลย..



       แกร๊ก!

       “..อาหารเช้าค่ะ” เสียงอ่อนหวานดังอยู่ด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยง แม่ครัวเองก็ดูจะตกใจไม่น้อยที่พอเปิดประตูเข้ามาก็เจอคนไข้อย่างผมยืนอยู่ข้างหน้าแบบนี้ แต่สุดท้ายเธอก็ควบคุมสติและแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสให้ผมก่อนจะหยิบถาดที่มีชามอาหารวางอยู่เข้าไปจัดแจงไว้บนโต๊ะคร่อมเตียงด้านใน

       “อ..อรุณสวัสดิ์นะครับ” เมื่อตั้งสติได้ผมจึงเอ่ยทักทายออกไปเพื่อไม่ให้เธอสงสัยอะไร ในใจได้แต่ภาวนาให้เธอไม่เห็นสายน้ำเกลือที่ห้อยต่องแต่งอยู่ไม่ห่างจากเตียงตรงนั้น

       “..อรุณสวัสดิ์เช่นกันค่ะ” แต่ยังไงซะเธอก็ไม่ใช่พยาบาลเสียหน่อยนี่ ผมคงไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไร ผมจะไม่ถูกจับได้แล้วกลับไปอยู่จุดที่ต้องเพิ่มขนาดยาเหมือนครั้งก่อนอีกแน่นอน ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก..

       ทว่าถึงจะพยายามคิดแบบนั้นยังไงผมก็ไม่สามารถข่มอาการหวาดกลัวในใจที่กำลังรู้สึกได้เลย มือผมเริ่มสั่น แววตาล่อกแล่ก สมองประมวลผลให้รับรู้ว่ากำลังจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับตัวผมและผมก็ต้องป้องกันตัวเอง ท้ายที่สุด..ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ..แม่ครัววัยกลางคนกำลังจะเดินออกไปจากห้องหลังจากเสร็จสิ้นภาระงาน ทว่าจังหวะที่เธอเดินเข้ามาใกล้ ในหัวผมก็สั่งการให้พาตัวเองหนีไปให้ไกลจากเธอ แต่ผมไม่ได้วิ่งหนี..

       “ออกไป.. ออกไปเดี๋ยวนี้ ..ออกไป!” ..สองมือของผมกลับเลือกที่จะออกแรงผลักเธอออกไป ผมอยากจะห้ามปรามตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจจนไม่หลงเหลือความสงสารใดๆอีก..

       “โอ๊ย!” เธอล้มลงไปกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดัง และเมื่อได้ยินเสียง..วินาทีนั้นผมตกใจอย่างสุดขีด ความหวาดกลัวที่มีเพิ่มมากขึ้น ในหัวรู้แต่ว่าตัวเองกำลังจะถูกทำร้าย ถึงจะพยายามสะบัดความคิดนั้นออกไปยังไงก็ไม่มีทางพ้นไปจากมัน ผมถอยกรูดจนเสียหลักหงายหลังล้มลงไปกับพื้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายที่จะขยับหนีต่อไป ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างปิดหูเอาไว้ หลับตาปี๋ เท้าทั้งสองขยับถอยจนไปหยุดอยู่ที่มุมห้อง

       “ฮือ..ออกไปนะ อย่าทำเราเลย ช่วยด้วย..” ..ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังจมดิ่งสู่ก้นบึ้งของมหาสมุทรปกติจะเกิดขึ้นตอนพยายามจะหลับไหล แต่ตอนนี้ ..ตอนนี้มันเกิดขึ้นกับผมอีกแล้ว เกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังตื่นและรับรู้ทุกอย่างดี ..ภาพเหล่านั้นฉายย้อนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ผสมปนเปกันอย่างยุ่งเหยิงทั้งภาพจำที่แสนงดงามและภาพจำที่ผมไม่เคยอยากจำแต่กลับไม่เคยลืม..

       ..ผมหนีมันไม่พ้น..หนีไม่พ้นอีกต่อไปแล้ว



       ‘ไปตายเถอะไอ้เหี้ย!!!’

       …เสียงของโจ้ โจ้รู้มั้ย..ผมไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เลย



       ‘กูอยากให้มึงมีชีวิตต่อไป’

       ‘มีชีวิตอยู่.. มีชีวิตอยู่ต่อเถอะนะ…’


        …เสียงของเมธ เมธ..กูเหนื่อยเหลือเกิน กูขอโทษนะที่กูคงทำอย่างที่มึงต้องการไม่ได้



       ‘คุณอยากตายคุณก็ไปตายดิ อยู่ทำไม’

       เสียงของเปลว.. น้ำเสียงอันแข็งกร้าวที่ทำให้ผมชาไปทั้งร่าง ..ผมก็ไม่ได้อยากจะอยู่นักหรอก ผมพยายามหายไปเพื่อทุกๆคนแล้วแต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลย มันทรมานมากเลยนะคุณรู้มั้ย..



       ‘เทียน กูรักมึงนะ รักที่สุดในโลกเลย’

        …เสียงของเปลวอีกแล้ว เสียงนุ่มๆที่ผมชอบฟัง ..เราก็เคยรักคุณที่สุดเหมือนกัน แต่ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้เราขอเลือกที่จะไม่รู้จักคุณเลยจะดีกว่า..



       ‘เก่งนักมึงก็อย่ากลับไปบ้านกูดิ กลับไปอยู่บ้านโทรมๆของมึงนู่นไป๊!’

        …และเสียงของเปลวอีกครั้ง หากแต่ว่าครั้งนี้ผมเห็นเป็นภาพชัดเจนอยู่ในหัว ..ใบหน้าของเปลวที่โกรธเกรี้ยว ..เสียงก่นด่าเหยียดหยามกันอย่างหยาบคายที่เปลวตะโกนใส่หน้า ชัดเจนเหลือเกินว่าคุณรังเกียจเรามาตลอด เปลวรังเกียจผม.. เปลวไม่เคยรักผมจริงๆเลยซักครั้ง

       ..ทุกคนต่างปรารถนาให้ผมจากไป แต่คงจะมีเปลวนี่แหละที่ไม่เพียงแค่ปรารถนา คำพูดของเขาทุกๆคำคอยฆ่าผมทีละเล็กทีละน้อยให้ตายลงอย่างช้าๆ ไม่ว่าจะเป็นคำด่าทอที่ทำให้ผมเจ็บปวดทรมานหรือคำบอกรักแสนหวานที่ทำให้หัวใจผมพองโต ..ความปวดหัวเกิดขึ้นเมื่อภาพเหล่านี้ฉายย้อนขึ้นมาไม่หยุด จนท้ายที่สุดร่างกายผมก็..ทนรับไม่ไหวอีกต่อไป ผมร้องไห้อย่างหนักหน่วง กรีดร้องออกไปสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะ…หมดสติลงตรงนั้น










       …ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่  แต่พอรู้สึกตัวอีกครั้งผมก็กลับมานอนอยู่บนเตียงเหมือนเดิมซะแล้ว ผมกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะพบกับประตูห้องที่ถูกเปิดออกพอดี พี่พยาบาลคนหนึ่งเดินตรงมาที่ผม เธอคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าผมกำลังมองไปที่เธอ พี่พยาบาลเดินเข้ามาจนมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

       “เป็นยังไงบ้างคะคุณเทียนไข”

       “…ปวดหัวนิดหน่อยครับ เหนื่อยๆเพลียๆยังไงก็ไม่รู้” ผมตอบไปตามตรง อาการปวดศีรษะตอนนี้ก็ยังคงรู้สึก คงจะผ่านไปแค่ชั่วโมงหรือไม่ก็สองชั่วโมง ..ผมเลยยังรู้สึกอยู่

       “คงจะเป็นเพราะหลับนานน่ะค่ะ ซักพักก็คงดีขึ้น” ..เดี๋ยวก่อนนะ หลับนาน?

       “…นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนครับ”

       “วันนึงเต็มๆน่าจะได้ ก่อนหน้านี้เทียนรู้สึกตัวมาแล้วรอบนึงแต่อาการของเทียนไม่คงที่ และไม่มีใครควบคุมเทียนได้พี่เลยให้ยานอนหลับเพื่อที่เทียนจะได้พักผ่อน” พี่พยาบาลให้คำตอบ ผมจึงพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ นี่ผม..อาการรุนแรงมากขึ้นอีกแล้วสินะ ผมจำไม่ได้เลยว่ารู้สึกตัวขึ้นมาตอนไหน รู้แค่ว่าผมฝันร้ายมาตลอดตั้งแต่หมดสติไป “เดี๋ยววันนี้เทียนไปพบคุณหมอภวิดาตอนบ่ายสามนะคะ …อีกครึ่งชั่วโมงค่ะ”

       “ครับ” ผมรับคำ เสี้ยวหนึ่งผมสังเกตเห็นแววตาที่ฉายแววความกังวลใจของพี่พยาบาล เธอจดบันทึกอะไรบางอย่างลงแผ่นกระดาษที่หนีบอยู่บนคลิปบอร์ด แต่เมื่อเห็นว่าผมกำลังมองเธออยู่ พี่เขาก็เลยยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วเดินออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูลงอย่างเบามือ







       หลังจากนั้นไม่นานผมก็ถูกพามาพบหมอเจ้าของไข้สำหรับโรคประสาทที่ผมเป็น ทันทีที่เข้าไปในห้องตรวจผมก็พบว่าเธอนั่งรอผมอยู่แล้ว ผมจึงเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามตัวที่หมอนั่ง ยอมรับว่าผมประหม่ามากๆ เพราะตั้งแต่ที่รู้ว่าป่วยเป็นโรคนี้ผมก็รักษากับพี่หมอคนเก่ามาโดยตลอด พอต้องย้ายโรงพยาบาลก็เลยต้องเปลี่ยนคุณหมอด้วย ผมรักษากับหมอคนนี้ได้แค่เดือนเดียว เอาตรงๆผมยังไม่ชินซักเท่าไหร่

       “สวัสดีค่ะคุณเทียนไข” เธอละสายตาจากเอกสารและหนังสือตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันเป็นมิตรมาให้ผมด้วย

       “...สวัสดีครับ” สายตาของผมกวาดมองไปซ้ายขวาก่อนจะมองพื้นแล้วมองขึ้นไปบนเพดาน หลบสายตาของคนที่อยู่ตรงหน้า  นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาอยู่ตรงนี้ก็จริง แต่ไม่ว่าจะครั้งไหนๆผมก็เป็นเหมือนเดิม ซึ่งก็คือ..เป็นแบบนี้ ไม่ว่าใครเห็นก็เป็นต้องรำคาญทั้งนั้นแหละ คุณหมอคนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรหรอก..

       “พี่หมอของเทียนบอกหมอว่าเทียนชอบอ่านหนังสือ” ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปจากทุกครั้ง น้ำเสียงของเธอดูเป็นมิตร สีหน้าของเธอเจือไปด้วยความห่วงใย “..หมอพึ่งอ่าน The Little Book of Hygge จบ สนใจเอาไปอ่านมั้ยคะ..? เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสุขเล็กๆของชาวเดนมาร์ก”

       “ความสุข..?” จะแปลกไปมั้ยที่ผมจะจำไม่ได้เลยว่าความสุขจริงๆมันเป็นอย่างไร ..ความสุขในหนังสือที่หมอบอกคืออะไร

       “ใช่แล้ว…ความสุข ..ความสุขที่ซุกซ่อนอยู่รอบตัวเทียนไขมาโดยตลอด”

       “..ยังไงหรอครับ”

       “เทียนไขสังเกตต้นไม้ในสวนข้างหลังนี่ดูสิ ตอนนี้พวกมันอาจจะกำลังผลัดใบจนใบไม้ร่วงหล่นไปจนเหลือแค่กิ่งก้าน ..ดูเหงาๆใช่มั้ยคะ แต่หมอมองว่ามันไม่ได้เหงาเลย หมอมองว่าต้นไม้เหล่านี้มีความสุขดี พวกมันแค่กำลังซึมซับบรรยากาศของฤดูหนาวมากกว่า หลังจากนั้นพอเต็มอิ่มกับลมหนาวพวกมันก็จะผลิดอกออกใบอีกครั้ง”

       “…” สายตาของผมมองมองไปนอกหน้าต่างที่เป็นกระจกใสด้านหลังของคุณหมอภวิดา ภาพที่เห็นถ้ามองอย่างที่เธอว่า ต้นไม้เหล่านั้นก็เป็นแบบนั้นจริงๆ กิ่งก้านของพวกมันกำลังขยับเขยื้อนเมื่อถูกลมหนาวพัดผ่านราวกับว่ากำลังเต้นระบำ

       “ที่หมอจะบอกก็คือ…ถ้าเรามองทุกๆอย่างรอบๆตัวเราให้เป็นความสุข เราก็จะมีความสุข”

       “…”

       “วันนี้เทียนไขคงจะเบื่อที่จะทานยา เบื่อที่จะเข้ารับการรักษาในแบบต่างๆแล้ว แต่ถ้าเทียนไขมองให้การกินยาเนี่ยเป็นความสุข มองการเข้ารับการรักษาในทุกๆแบบเป็นความสุขเล็กๆ อย่างน้อยๆเลยเทียนไขก็จะไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป ..ส่วนตัวหมอมองทุกๆอย่างรอบๆตัวหมอเป็นแบบนั้น ผลที่ได้ก็คือหมอมีความสุขมากๆ อย่างการที่ได้พูดคุยกับเทียนไขตอนนี้หมอก็มีความสุข และหมอก็อยากให้เทียนไขคิดแบบนั้นเหมือนกัน”

       “…”

       “..รอยยิ้มเป็นสิ่งที่น่ารักมากๆเลยนะคะบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นอยู่กับหมอเทียนไขไม่ต้องกลั้นรอยยิ้มไว้ก็ได้ค่ะ…ยิ้มออกมาเลย เหมือนหมอ…แบบนี้” เธอฉีกยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ จนผมอดที่จะหัวเราะตามไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้น “เอาล่ะ ทีนี้มาเข้าประเด็นกันดีกว่าเนอะ”

       “…” ผมพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ..น่าแปลกที่การมาพบหมอครั้งนี้มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปราวกับว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมพบกับคุณหมอภวิดา ..คงจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ผมรู้สึกหวาดกลัวอยู่ทุกครั้งที่ต้องเข้าพบเลยอาจจะทำให้ผมไม่ได้ใส่ใจที่จะฟัง แต่ครั้งนี้พอไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเท่าไหร่ ผมก็มีสมาธิในการฟังมากขึ้น สามารถรับรู้ในสิ่งที่หมอต้องการจะสื่อได้ พอจะเรียกว่า…เป็นสัญญาณที่ดีได้มั้ยนะ..?

       “พี่พยาบาลบอกว่าเทียนฝันร้าย ..หมอเองก็เคยฝันร้ายเหมือนกันนะคะ มันค่อนข้างแย่มากๆเลย แต่พอได้เล่าให้ใครซักคนฟังแล้วก็สบายใจมากขึ้นจนไม่มองว่ามันเป็นเรื่องที่แย่อีกต่อไป ตอนนี้หมอมองว่าฝันร้ายพวกนั้นเป็นภาพศิลปะอันทรงคุณค่าภาพนึง ที่พอเรามองย้อนกลับไปเราก็รับรู้ได้ว่ามันเป็นแค่ภาพที่ผ่านไปแล้ว และที่บอกว่าทรงคุณค่าเนี่ยก็เพราะว่าภาพศิลปะภาพนี้สอนให้เราเป็นเรา ให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง …แล้วเทียนล่ะ? มองภาพของเทียนเป็นอย่างไร” ..นี่คือกระบวนการรักษาในรูปแบบนึงหรือเปล่า.. ทำไมผมรู้สึกอบอุ่นใจมากกว่าที่จะอึดอัดใจอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา ..และดูเหมือนว่าเพราะความอบอุ่นใจเหล่านั้น จึงทำให้ผมกล้าที่จะบอกคุณหมอไปตามตรงอย่างที่ผมรู้สึก

       “เทียน.. เทียนมองว่ามันเป็นเป็นภาพที่โหดร้ายมากเลย” ผมตอบ “..ทุกครั้งที่เทียนถูกบังคับให้มองภาพนั้นเทียนจะรู้สึกเจ็บปวด อยากจะหันไปทางอื่นแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่จมอยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้น..”

       “เจ็บปวด.. หมอเป็นกูรูเรื่องความเจ็บปวดพอดีเลย”

       “ครับ มันเป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากคนที่ผมรัก เชื่อใจ แล้วก็ไว้ใจเขามากที่สุด..” …เสี้ยวนึงผมนึกถึงใบหน้าของเปลว เป็นเปลวตั้งแต่วันแรกที่รู้จักซ้อนทับกันมาเรื่อยๆจนมาถึงเปลวคนปัจจุบัน ..จากรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงก่นด่า ..จากเสียงก่นด่าก็กลายเป็นเปลวที่ดูเศร้าสร้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นเปลวแบบไหนก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ผมทรมาน “หมอครับ ..ผมไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ผมอยากหายไป ..หายไปจากตรงนี้ ..หายไปจากพวกเขาที่ตามหลอกหลอนผมตลอดเวลา”

       “พวกเขาตามหลอกหลอนเทียนอยู่ตลอดเวลาเลยใช่มั้ยคะ”

       “ใช่ครับ ผม..ทรมานมากๆเลย จะหลับก็หลับไม่ได้ บางครั้ง…อยู่เฉยๆก็ได้ยินเสียงของพวกเขาแล้ว”

       “หมอเข้าใจเทียนนะ ดีใจมากๆเลยค่ะที่เทียนแชร์ความรู้สึกของเทียนให้หมอรับรู้” เธอยิ้มกว้าง

       “…” ส่วนผมเมื่อได้ยินคำว่า ‘เข้าใจ’ ความรู้สึกทรมานในหัวใจก็ทุเลาลง

       “หมอมีวิธีที่จะทำให้พวกเขาเลิกตามหลอกหลอนเทียนนะคะ รวมถึงเสียงพวกนั้นด้วย อาจจะไม่ใช่การหายไปอย่างที่เทียนต้องการ แต่หมอมั่นใจว่าเป็นวิธีที่ดีกว่าการหายไปเป็นร้อยเท่าเลยค่ะ”

       “..วิธีอะไรหรอครับ”

       “วิธีที่เราจะสู้ไปด้วยกัน”


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       “เราจะทำ ECT กันสัปดาห์ละสามครั้งต่อจากนี้”

       “..แต่ผมจำได้ว่าครั้งก่อนที่ทำน้าหยวนเสียเงินไปเยอะมากๆเลย ที่ผ่านมาค่ารักษาก็น่าจะเกินกว่าประกันชีวิตนักศึกษาของเทียนแล้ว เทียนไม่มีเงินพอที่จะเข้ารับการรักษาแบบนั้นหรอกครับ” ใช่แล้ว… การช็อตไฟฟ้าช่วยได้มากก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย ตัวผมในตอนนี้ไม่มีทางจะรักษาด้วยวิธีการแบบนั้นได้หรอก..

       “เรื่องนั้นเทียนไขไม่ต้องกังวลเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างมีคนรับผิดชอบให้เราแล้ว”

       “…” ผมขมวดคิ้ว ใครรับผิดชอบผม..?

       “ครอบครัวของเทียน”

       “เทียนไม่มีครอบครัวหรอกครับ เทียนอยู่ตัวคนเดียว”

       “ผิดแล้ว มีคนๆนึงอยู่เคียงข้างเทียนมาตลอดเลย หมอไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพี่หรือน้องของเทียน แต่เขาบอกว่าเขาเป็น..คนในครอบครัวของเทียน”

       “ใครกันครับ”

       “เขาชื่อทินกร เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการรักษา”

        ..เปลว..?

        ..ทำแบบนี้ทำไม ไหนจะที่บอกว่าผมเป็นคนในครอบครัวของเขานั่นอีก อ๋อ..รู้แล้ว คงจะสมเพชกันมากๆเลยใช่มั้ยเปลว..

       

        “เทียนขอไม่รับการรักษาครับ”

        ถ้ามันเป็นเงินของคุณ…เราก็ไม่ต้องการ

       

   





       …ไม่นานนักท้องฟ้าเบื้องบนก็เริ่มทอแสงสีส้มอีกครั้ง ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้าไปในเวลาไม่ช้า …ผมที่พึ่งจะเสร็จจากการพบคุณหมอภวิดากำลังจะเดินไปที่ลิฟต์เพื่อกลับขึ้นไปพักผ่อนบนห้องพักของตัวเอง การพูดคุยกับคุณหมอตลอดช่วงเย็นนี้ก็เกือบจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วแหละ ผมควรจะดีขึ้นจริงๆ ถ้าไม่ต้องมารับรู้ว่าเปลวเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ผม และมันก็แย่มากๆเลยที่ผมเลือกอะไรไม่ได้ ผมปฏิเสธการรักษาไม่ได้ คุณหมอไม่อนุญาต เพราะถ้าผมไม่รักษาต่อผมเสี่ยงที่จะเสียชีวิต มากไปกว่านั้นอาการของผมควบคุมไม่ได้และเป็นอันตรายกับผู้อื่น ด้วยจรรยาบรรณของแพทย์เธอจึงไม่สามารถอนุญาตผมได้จริงๆ

       ตอนนี้เปลวก็คงจะคิดว่าผมน่าสมเพช ใครจะไปรู้…บางทีอาจจะหัวเราะเยาะกันอยู่ก็ได้ เพราะในที่สุดก็ถึงคราวที่เขาได้เอาคืนสำหรับสิ่งที่ผมทำกับเขา

       ฮ่าๆ แต่ก็ถูกแล้วแหละเปลว ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน โคตรสมเพชตัวเองเลย





       ติ๊ง!

       ตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไกลจากตัวลิฟต์เท่าไหร่นัก จึงทำให้เสียงลิฟต์ดังเข้ามาในโสตประสาท เท้าซ้ายและขวายังคงก้าวสลับกันต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะต้องหยุดกึก เมื่อพบว่าคนที่กดลิฟต์ลงมาเมื่อครู่คือคนที่ทำให้วันนี้ของผมแย่กว่าที่ควรจะเป็น

       ผมมองไปที่เขาแบบพร้อมที่จะประจันหน้าเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเข้ามาทักผมแน่ๆ ระยะห่างเหลือน้อยลงกว่านี้เมื่อไหร่เดี๋ยวก็คงจะยกยิ้มอย่างผู้ชนะ ..เป็นผู้ชนะที่ได้เหยียบย่ำชีวิตผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

       ผมก้าวเดินต่อไป ขณะเดียวกันสายตาก็ยังคงมองไปที่เปลวอยู่ดังเดิม น่าแปลกเหมือนกันที่เปลวไม่แม้แต่จะเหลียวมามองผมเลยแม้แต่นิดเดียว สายตาของเขามองไปข้างหน้านิ่งๆไร้จุดโฟกัส นัยน์ตาสีนิลของเขาดูว่างเปล่า …จนในที่สุดระยะห่างของเราก็เหลือแค่เอื้อม ผมกำหมัดในมือทั้งสองข้างแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจเตรียมตัวรับมือกับทุกถ้อยคำที่เปลวจะสาดใส่

       หากแต่…เปลวกลับเดินสวนไปเฉยๆ



       “…” ผมยืนนิ่ง หันกลับไปหาเขาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเปลวกำลังเดินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับทั้งๆที่ผมอยู่ในระยะสายตาเขาซะขนาดนั้น แขนเสื้อเราแทบจะชนกันแล้วด้วยซ้ำ



       “เดี๋ยวก่อน..!” ผมเรียกเสียงแข็ง ความหงุดหงิดใจที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อบ่ายทำให้ผมกล้าที่จะเดินเข้าไปประชิดตัวเปลวได้โดยปราศจากความรู้สึกหวาดกลัว

       “…” เปลวหันมาตามเสียงเรียก …ความรู้สึกเย็นวาบเกิดขึ้นทั่วร่างเมื่อเห็นแววตานิ่งเรียบของเปลวที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

       ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรหรอก ใจแข็งเข้าไว้..  ยังไงก็ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง กับค่ารักษาพยาบาลโง่ๆที่เขาเสนอตัวมารับผิดชอบ อย่ากลัว.. อย่ารู้สึก อย่าคิดถึงมัน..

       “ทำไมมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กู? คิดว่ามันจะลบล้างสิ่งที่มึงทำได้หรอ?” ..จากกำปั้นที่เคยกำไว้แน่นเพราะความฉุนเฉียว ตอนนี้เปลี่ยนมาจิกลงบนชายเสื้อเพราะกลัวว่ามือจะสั่นอีก.. เสียงของผมที่พูดออกไปผมรู้ว่ามันกำลังจะขาดๆหายๆและฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็พยายามคงน้ำเสียงให้ได้ปกติที่สุด

       “..ยอมรับครับว่าผมคิดแบบนั้นจริงๆ ผมหวังว่ามันจะพอลบล้างสิ่งที่ผมเคยทำกับคุณเอาไว้ได้บ้าง” ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นเสียงที่ดูเหนื่อยๆกลับมา

       “..มึงเป็นคนบอกกูเองไม่ใช่หรอว่าอย่ามายุ่งเกี่ยวอะไรกันอีก กูก็ต้องการแบบนั้น แล้วนี่อะไร..มันคืออะไรวะ!”

       “ก็จริงที่ผมพูดไปแบบนั้น แต่คุณรู้มั้ยเทียนไข หลังจากนั้นผมก็สลัดคุณออกไปจากหัวไม่ได้เลย ผมก็ไม่ได้ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้นักหรอก.. ไม่ชอบเลยที่ในหัวมันเอาแต่คิดเรื่องของคุณ”

       “…” โกหก.. นิสัยนี้เมื่อไหร่จะเลิกซักที..

       “น่าสมเพชใช่ไหม? ผมเองก็คิดแบบนั้น ไม่รู้ว่าผมต้องโง่ขนาดไหนถึงไม่โกรธคุณเลย หลังจากที่คุณทำให้ผมต้องอับอายคนทั้งคณะ แต่กลับกันพอผมสงบสติอารมณ์ได้ผมก็เอาแต่กังวลเรื่องคุณ เฝ้าติดตามเรื่องราวของคุณมาตลอด แต่ก็ทำได้แค่อยู่ห่างๆตรงนี้เพราะกลัวว่าถ้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้จะถูกคุณเกลียดมากขึ้น…” ..ทำไมไม่เป็นคุณล่ะที่เป็นคนพูดว่าผมน่าสมเพช ทำไมคุณถึงถามกลับว่าตัวเองน่าสมเพชมั้ย ทำไมคุณถึงกลัวถูกผมเกลียด..

       “พอ …มึงต้องการให้มันลบล้างสิ่งที่มึงเคยทำกับกูใช่ไหม?” แต่ผมจะไม่โง่ให้คุณโกหกกันได้อีกต่อไปแล้ว

       “…”

       “งั้นกูจะบอกตรงนี้เลยว่ามันลบล้างกันไม่ได้ กูไม่ใช่ขอทาน!” ผมขึ้นเสียง ตะโกนใส่หน้าเขาอย่างที่เขาเคยทำกับผมในอดีต ..ผมคิดว่าการที่จะให้เปลวโดนบ้างมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ..แต่พอทำไปแล้วมันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเลย หยาดน้ำตากลับรื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาจนใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว หัวใจรู้สึกเหมือนกับถูกใครซักคนบีบทำลาย …เพียงเพราะได้เห็นสีหน้าของเปลวกำลังแสดงถึงความเจ็บปวด..

       “ข..ขอโทษครับ”

       “..รู้ตัวแล้วก็ไสหัวไป มาป้วนเปี้ยนทำไมที่นี่ รำคาญลูกตาจริง..” ผมหันหน้าหนี ก่อนจะเดินไปกดลิฟต์โดยไม่สนใจอะไรเขาอีก ไม่สิ.. คงต้องใช้คำว่า ‘พยายาม’ ที่จะไม่สนใจเขามากกว่า



       “..เทียนไข” เสียงทุ้มนุ่มที่ผมคุ้นเคยเรียกให้ผมหันกลับไป แต่ผมไม่ได้ทำอย่างที่เขาต้องการ เพราะถ้าหากหันไปหาเขาตอนนี้..ผมกลัวว่าเขาจะถูกผมทำร้ายอีก..

       “…”

       “ผมขอโทษ..จริงๆนะ”

       “…”

       “ถึงผมจะไม่รู้ว่าผมทำอะไรกับคุณไว้ แต่ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยคุณได้ผมก็พร้อมจะช่วยเต็มที่”

       “เพราะงั้นก็เลยเสือกมารับผิดชอบค่ายาให้กู?” …ยิ่งฟังเปลวพูดนานเท่าไหร่ความหวาดกลัวในใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ผมไม่อยากกลับไปรู้สึกอะไรอีกแล้ว ไม่อยากแล้ว.. กลับไปเถอะนะ กลับไป..

       “ครับ ผมคิดแบบนั้น ก็เลยรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่วันแรกที่คุณมาโรงพยาบาล…”

       “…”

       “วันนั้นผมแยกกับพวกคุณไปแล้วก็จริง แต่หลังจากนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะตามพวกคุณไป ผมรู้…ผมรู้ว่าคุณไม่ได้อยากเห็นหน้าผม เพราะฉะนั้นผมก็เลยไม่เข้าไปอยู่ให้คุณเห็นแม้แต่หางตา”

       “…”

       “ฮ่าๆ… ไม่ได้หวังจะให้คุณอภัยให้กันหรอกนะครับ แต่แค่อยากให้คุณรับรู้บ้างซักนิด ว่าผมเองก็..”

       “กูไม่ได้อยากรู้ และที่สำคัญกูไม่ใช่คนในครอบครัวของมึง!!” ผมพยายามใช้เสียงขับไล่เขาให้ไปๆซะ น้ำตาเริ่มหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ตัวเริ่มสั่นระรัว ความรู้สึกในหัวเริ่มกลัวเสียงของเปลวราวกับว่าเสียงที่เปลวพูดเป็นมีดแหลมๆที่คอยทิ่มแทง ..พอแล้วเปลว.. กลับไป ออกไปจากตรงนี้ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้..

       “อา..นั่นสินะ ก็จริงของคุณ..”

       “ไปซะ ไม่ต้องกลับมาที่นี่แล้ว กูรำคาญ” ..ในที่สุดลิฟต์ก็เปิดออก ไม่รอช้า..ผมรีบเข้าไปข้างในตัวลิฟต์ทันที มือเอื้อมไปกดที่ชั้นแปดก่อนจะกดปิดอย่างเร็วรี่ ทว่าจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังปิด เสียงทุ้มนุ่มของเปลวก็ไม่วายที่จะดังมาให้ได้ยิน และยิ่งไปกว่านั้น..

       “ขอโทษอีกครั้งนะครับ แต่ที่อยากจะบอกก็คือ..ผมพยายามแล้ว พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ..” เปลวกำลังร้องไห้





       ..ประตูลิฟต์ปิดลง ดีหน่อยที่ไม่มีใครกดลิฟต์ระหว่างชั้นต่างๆ ทำให้ลิฟต์ที่ผมใช้มุ่งขึ้นไปที่ชั้นแปดอย่างเดียว ผมไม่ได้ยินเสียงใดๆรบกวนอีก ข้างในนี้มีเพียงความเงียบสงัด หากแต่เสียงความรู้สึกของผมนั้นดังสะท้อนไปทั้งใจ ..ผมไม่รู้..ไม่รู้เลยว่าควรจะเชื่อสิ่งที่เปลวบอกมั้ย ..กับใบหน้าแบบนั้น สีหน้าแบบนั้น น้ำเสียงแบบนั้น ผมควรจะเชื่อคนที่เคยโกหกอย่างเขาหรือเปล่า ..และเพราะผมดันโง่ที่ตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าควรเชื่ออะไร ผมจึงทำให้ลิฟต์ตัวนี้เปื้อนหยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า

       ตอนนั้นที่ตัดสินใจเรียกเปลวออกไป ในหัวของผมมันไม่มีเหตุผลอะไรมากมายเลย ผมแค่..รู้สึกแปลกๆเมื่อเปลวแค่เดินสวนกันไปเฉยๆ ทั้งๆที่ในอดีต..



       ‘มายืนเอ๋ออะไรอยู่ตรงนี้ อ้าปากอีก แมลงวันบินเข้าปากหมดแล้วมั้ง เอานี่ไปอุดปากหน่อยไป ซื้อมาฝาก เห็นบ่นว่าอยากกิน’



       ตอนนั้น…



       ‘ทายซิใครเอ่ย ใบ้ให้หน่อยๆว่าเป็นคนที่ถูกมึงทิ้งให้นอนตื่นสายแล้วมาโรงเรียนคนเดียว ทั้งๆที่ไอ้เราอุตส่าห์บอกว่าเดี๋ยวจะใจดีให้ซ้อนมอ’ไซค์ไปพร้อมกัน’



       และไม่ว่าตอนไหน..



       ‘ตื่นแล้วหรอ ลงมาช้าจังวะ ข้าวเย็นหมดแล้วมั้ง มาให้กูกอดเลย’

       ‘หาความเชื่อมโยงให้หน่อย’

       ‘จะมาดีๆปะหรือชอบแบบฉุดกระชากลากถู’

       ‘โทษทีครับ แต่เราต้องไปหาน้าหยวนขายผักที่ตลาด สายแล้วด้วย’

       ‘โห่ อุตส่าห์ทำแกงเขียวหวาน นี่ฝีมือเชฟระดับ Michelin Three Stars เลยนะ ..แต่มึงจะไปเดี๋ยวนี้เลยใช่ปะ งั้นรอเดี๋ยว กูไปเอากล่องมาใส่ให้ก่อน เผื่อมึงหิว’

       ‘โอเคเลยครับ’

       ‘มาแล้ว อ่ะข้าวกล่อง กินให้หมดด้วย’

       ‘ต้องกินกล่องด้วยแล้วมั้ง ..ไปก่อนนะครับ’

       ‘ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับมึงนะ’




       เปลวก็จะ..เข้ามาทักผมเสมอ



       ผมแค่..คิดถึงเปลวคนนั้น พอเห็นเขาแตกต่างไปจากเดิมก็เลยรู้สึกไม่ดีซักเท่าไหร่ ผมรู้ว่าผมควรจะควบคุมสติตัวเองให้ดีมากกว่านี้ ถ้าผมไม่หันไปเรียกเปลว ผมและเขาก็คงจะเดินจากกันไปแล้ว ต่างคนต่างไปในเส้นทางของตัวเอง ไม่มีใครต้องร้องไห้ แต่ผมกลับเลือกที่จะทำ.. เลือกที่จะทำให้ตัวเองเจ็บ

       เลือกที่จะทำให้เปลวร้องไห้











       สองวันผ่านไปนับจากวันนั้น ผมรู้สึกตัวขึ้นมาในห้องพักผู้ป่วยเงียบๆห้องเดิม ด้วยความที่หน้าต่างอยู่ทางทิศตะวันออกแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นนาฬิกาปลุกที่ทำงานได้ดีมาก

       วันนี้เป็นวันแรกของการทำ ECT จำได้ว่าคุณหมอนัดไว้ตอนประมาณบ่ายโมง ช่วงเช้าหลังจากที่พี่พยาบาลมาดูแลเรื่องไตพร้อมกับจ่ายยาสำหรับตอนเช้าให้เสร็จแล้วผมก็ว่างยาวเลย

       …อาการป่วยตอนนี้ผมไม่รู้ว่าอยู่ในระดับไหน มันอาจจะแย่จริงๆนั่นแหละ แต่พอผมลองเปลี่ยนมุมมองแล้วลองมองโลกใบนี้ในอีกมุมดูผมก็รู้สึกว่ามันอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้ ..ตอนนี้ผมชอบที่จะใส่ชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาล ..ชอบเตียงที่ไม่นุ่มและไม่แข็งจนเกินไปที่กำลังนอนอยู่ ..อาหารรสจืดที่เคยเกลียดก็เริ่มชอบขึ้นมาเมื่อมองว่ามันคืออาหารเพื่อสุขภาพ

       และดูเหมือนว่าการที่มองโลกในแง่นี้ทำให้ผมรู้สึกว่าฝันร้ายที่ผ่านมาเมื่อคืนก็ทำอะไรผมไม่ได้อีกแล้ว ฝันร้ายเหล่านั้นเป็นแค่ภาพศิลปะอันทรงคุณค่าอย่างที่คุณหมอบอกจริงๆ



       …นั่งคิดนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ซักพักนาฬิกาบนฝาหนังก็บอกเวลาให้ผมรู้ว่าตอนนี้เที่ยงแล้ว ผมจึงลงมาเพื่อเตรียมตัวจะไปทำ ECT ทว่าพอถึงชั้นล่างเดินออกมาจากลิฟต์ได้ไม่กี่ก้าวผมก็เจอเปลวอีกครั้ง เขาอยู่ในชุดนักศึกษา พร้อมกับหมวกไหมพรมที่พละพลซื้อให้ใบเดิม และเหมือนผมจะมองเขานานเกินไป เขาจึงรู้สึกตัวแล้วหันมาที่ผมเช่นเดียวกัน ..จู่ๆผมก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว สีหน้าของเปลวไม่ต่างอะไรกับเมื่อวานก่อนเลย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่างที่พอได้สบตาแล้วทำให้ผมรู้สึกจุกอยู่ที่อก หากแต่พออีกฝ่ายเห็นว่าเป็นผม สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไป..

       “เป็นยังไงบ้างครับวันนี้?” เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ก่อนจะหยุดอยู่ข้างๆ เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเขา ..ผมได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงสัย ลึกๆในใจก็รู้สึกผิด แต่คนๆนี้ยังไงผมก็เชื่ออะไรเขาไม่ได้อีกต่อไป และด้วยความที่ไม่อยากตั้งคำถามอะไรให้ไม่สบายใจไปมากกว่านี้แล้ว ความเกลียดชังในใจจึงชนะไป

       “โผล่มาทำไมอีก รำคาญ หลบไป เดี๋ยวไอ้พลก็เข้าใจผิดอีก” ผมหันไปด่าเพื่อตัดรำคาญ ก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่สนว่าเปลวจะพูดอะไรให้ผมได้แสลงหูอีก ทว่าก็ไม่วายที่จะได้แสลงหูอย่างที่คิดจริงๆ..

       “ขอโทษครับ งั้น…ผมกลับก่อนนะ”..น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เคยน่าฟังกลับเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย..

       “…” ผมหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันกลับไปหาเปลว แล้วก็พบว่าเขากำลังหันกลับไปทางที่เขาควรจะเดินแล้วเช่นกัน แต่จู่ๆ…เปลวก็หยุดกึกแล้วหันกลับมาหาผมพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างออกมา ..เป็นคำพูดที่คนที่จำได้ทุกอย่างอย่างผม..เจ็บปวด..

       “ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของคุณนะเทียนไข”





       …การรักษาโดยใช้ ECT ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการผมก็ถูกส่งกลับมาพักฟื้นบนห้องพักผู้ป่วยเช่นเดิม ชั่วโมงแรกหลังจากการทำ ECT ผมรู้สึกปวดหัวมากๆ ซึ่งผมก็คุ้นเคยกับมันดีเพราะมันคือผลข้างเคียงจากการรักษาของวิธีนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ค่อยๆดีขึ้น และที่ดีสุดๆเลยก็คือ…ชั่วขณะนึงผมรู้สึกว่าผมกลับไปอยู่ในระดับคนปกติอีกครั้ง

       หมอบอกให้ผมนอนพักผ่อนให้มากๆ หลังจากถูกส่งขึ้นมาบนห้องผมจึงเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที

       การหลับครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆตรงที่ครั้งนี้ผมไม่ฝันร้ายแล้ว เป็นการหลับที่ลึกและทำให้ผมสบายใจมากๆ ทว่ามันก็ไม่ได้ดีไปเสียทั้งหมด เพราะถึงแม้จะไม่มีฝันร้าย ไม่มีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ให้ผมดำดิ่ง แต่ก็มีเสียงนุ่มๆของใครคนนึงที่ผมได้ยินเมื่อตอนเที่ยง มันยังดังขึ้นซ้ำๆอยู่ในความรู้สึก

       ‘ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของคุณนะ’ สีหน้าของเขาตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา …ไม่ได้ต่างอะไรกับเปลวที่ไร้เดียงสาคนนั้นเลย





       …ไม่นานแสงตะวันก็สาดส่องเข้ามาในห้องที่ผมนอนอยู่อีกครั้ง เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น วันนี้ผมมีนัดตรวจไตอีกแล้ว คุณหมอบอกว่าผมตัวซีดๆ เริ่มมีอาการเหนื่อยเพลียอย่างไม่มีสาเหตุแล้ว ปัสสาวะเริ่มบ่อยครั้งมากขึ้น ..เรื่องนี้ผมพยายามมองให้มันเป็นความสุข แต่ไม่ว่ายังไง..ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้เลย ผมกลัว.. กลัวไปหมดเลย ..ไม่อยากให้ความหวังที่คุณหมอภวิดาจุดประกายให้ผมมันสูญเปล่า

      ไม่อยากเสียใจแล้ว..



       ผมพาตัวเองลงมาข้างล่างตั้งแต่เช้าก่อนเวลานัดประมาณสามชั่วโมง สองเท้าของผมพามาหยุดอยู่ที่ม้านั่งตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น ต้นไม้สองต้นนี้ไม่ได้ผลัดใบเหมือนต้นอื่นๆที่โรงพยาบาลปลูก เดาว่าคงตั้งใจจะจัดไว้ให้มันเป็นโซนผ่อนคลายสำหรับบุคลากรในที่แห่งนี้ล่ะมั้ง ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รู้สึกว่าที่ตรงนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้มากจริงๆ ..มีสายลมเอื่อยๆคอยพัดอยู่เรื่อยๆ มีนกพิราบมาจิกหาอาหารอยู่ตามพื้นดิน มีกระรอกตัวน้อยๆ ไต่ไปตามกิ่งก้านสาขาเพื่อหาอาหาร ..ผมมองภาพที่เห็นพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ใบหน้าสร้างขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว ผมปิดเปลือกตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อซึมซับบรรยากาศ ..ทว่าทุกอย่างก็ต้องหยุดลงเมื่อเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังเข้ามาให้ได้ยิน มันค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนทำให้ผมต้องลืมตาแล้วหันไปมองตามเสียง

       สิ่งที่เห็นก็คือ..ใบหน้าของคนๆเดิม



       “เจอคุณอีกแล้ว สวนข้างหลังอาคารเฉลิมพระเกียรตินี่ร่มรื่นดีนะครับเทียนไข” เปลวเดินเข้ามาจากข้างหลัง เขาเท้ามือไว้กับพนักพิงม้านั่งตรงที่ว่างข้างๆผม

       “…” ส่วนผม.. ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป มีหันไปมองเขาอยู่ครู่นึง แต่ก็หันกลับมามองไปข้างหน้าเหมือนเดิม สีหน้าของเปลววันนี้ดูต่างไปจากสองวันที่ผ่านมา ..เขากลับมาเป็นเปลวคนเดิมแล้ว และเราก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะมาคุยกันแบบนี้ได้

       “ร่มรื่นดีเนอะ ถ้าได้มานั่งอ่านหนังสือตรงนี้ก็คงจะดีไม่น้อยเลย”

       “มาทำไมอีก ไม่ได้อยากเจอ ไปไหนก็ไป” ผมเอ่ยไล่เสียงเนือยๆ เขาน่ารำคาญมากๆเลยนะตอนนี้ ถ้าถามว่าอุปสรรคในการรักษาตัวของผมตอนนี้คืออะไร

       คำตอบก็คือ..เปลว



       “..ขอโทษครับ งั้น..ขอตัวก่อน ขอโทษจริงๆที่เข้ามารบกวน จริงสิ…ลืมบอกไป”

       “…”

       “วันนี้วันแรกของเดือนธันวาคม December wish ของผมเดือนนี้ผมขอให้คุณหายไวๆนะครับ ขอให้เป็นเดือนที่ดีสำหรับคุณเลย”

       “ไร้สาระ” ผมพูดก่อนจะหมดความอดทนแล้วลุกออกจากตรงนั้น “จะขอก็ขอเรื่องตัวเองสิ อย่ามายุ่งเถอะ ไป๊!”

       “ผมอยากขอให้คุณมากกว่า อย่างที่บอกไป…ขอให้คุณมีความสุขกับเดือนส่งท้ายปีนะเทียนไข” ..ผมไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นโรคประสาท ดูท่าเหมือนจะเป็นเปลว อยากจะรู้เหมือนกันนะว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงหยิบยกคำพูดสวยหรูมาพูดให้ผมแสลงหู ทั้งๆที่ถ้าอยากจะให้ผมมีความสุขมันก็ง่ายๆ…

       “กูมีความสุขแน่ๆถ้าไม่มีมึง”





       ..เวลาผันผ่านไปหลายวันจนเกือบจะครบสัปดาห์ การรักษาทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ทางฝั่งของโรคประสาทผมรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากจริงๆ เพียงแต่ผลข้างเคียงก็ทำให้ผมเริ่มแย่ในด้านอื่นๆ แต่ก็จะดีขึ้นตามกาลเวลา ส่วนทางฝั่งของโรคไต หลังจากวันนั้นที่หมอนัดไปตรวจดูไตผลที่ออกมา…ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ ผมไม่อยากนึกถึงมันนักเพราะกลัวว่าจะเกิดอาการหวาดกลัวพวกนั้นขึ้นมาอีก พยายามใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขและไม่เครียดให้มากที่สุด บางวันจมอยู่กับหนังสือดีๆที่คุณหมอภวิดาให้มาอ่าน บางวันก็ไปนั่งฟังเพลงสากลเพราะๆที่ม้านั่งตัวนั้น แต่ไม่ว่าจะวันไหนทุกกิจกรรมที่ผมลงมาข้างล่างก็จะถูกขัดเพราะคนๆนึงที่เสนอหน้ามาทุกวันไปเสียหมด และก็..ไม่ต่างอะไรกับวันนี้ที่ผมกำลังจะไปที่ม้านั่งตัวเดิมพร้อมกับนวนิยายไซไฟในมือ แต่กลับต้องหยุดกึกระหว่างโถงทางเดินชั้นหนึ่งเพราะเปลวเข้ามาทักอีกแล้ว

       “สวัสดียามเช้าครับคุณเทียนไข เจอกันแต่เช้าเลยนะครับ”

       “…” ผมไม่ตอบ พยายามเดินหนี แต่เขาก็ไม่ล้มเลิกความพยายาม เปลวเร่งฝีเท้าเดินตามผมมาติดๆจนขึ้นมาเดินข้างๆพร้อมกับเสนอใบหน้าที่ผมไม่อยากเห็นมาใกล้

       “เวลานี้เวลาทานข้าวเช้าของผู้ป่วยใช่ไหม? คุณทานหมดหรือเปล่า รสชาติอาจจะจืดไปหน่อยแต่คุณต้องทานให้หมดนะ…” …ไม่รู้แล้วว่าเปลวต้องการอะไรกันแน่ อาจจะเป็นการให้อภัยจากผม เขาเลยเลือกที่จะตามรังควานผมไม่หยุด ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป แต่มันไม่ได้น่าให้อภัยเลยนะเอาจริงๆ น่ารำคาญที่สุด

       “รำคาญ ไปไกลๆแล้วเลิกยุ่งกับกูซักที เป็นบ้าอะไรของมึงอีกวะ!!!” ผมตวาดใส่เสียงดัง จนคนอื่นๆหันมามอง แต่วินาทีนี้ผมไม่สนแล้วถ้ามันสามารถทำให้เปลวไปจากผมได้

       “ข..ขอโทษอีกครั้งครับ” คนถูกด่าอย่างเขาพอได้ยินแบบนั้นก็ใช้ลูกไม้เดิมๆ นั่นก็คือตีหน้าเศร้า …เผื่อจะยังไม่รู้ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วนะว่าสีหน้าเศร้าๆรวมถึงหยดน้ำตาของคุณมันเกิดขึ้นเพราะอะไร

       คุณโกหก… โกหกทั้งหมดนั่นแหละ

       …ไม่อยากคิดเป็นอย่างอื่นให้ทรมานใจแล้ว



       “ไม่ต้องขอโทษก็ได้มั้งถ้ามึงคิดจะทำอยู่เรื่อยๆ กูได้ยินจนโคตรเบื่อแล้วแต่มึงก็ไม่เคยหายไปจริงๆซักที”

       “ฮ่าๆ..” เปลวหัวเราะก่อนจะตีหน้าเศร้าอีกครั้ง “อีกหน่อย..เดี๋ยวผมก็จะหายไปแล้วล่ะ”

       “…” เก่งมากๆ ผมเกือบเชื่อแล้ว

       “ตามที่คุณต้องการเลย ..อย่างที่คุณต้องการมาตลอด”

       “ดี ไปซักที กูจะได้มีความสุขอย่างที่มึงต้องการเหมือนกัน” ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจของผมกลับตรงกันข้าม ก้อนเนื้อในอกเริ่มสูบฉีดเลือดถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ใจสั่นไปหมด เป็นปฏิกิริยาที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมผมต้องกลัว..

       “ครับ ผมจะหายไป..ตลอดกาล” กลัวว่าครั้งนี้คุณจะพูดจริงๆ




ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       ผมเดินแยกมาจากเปลว ก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้อย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก มีบ้างที่หันกลับไปมองว่าเปลวจะเป็นยังไง ..ครั้งแรกที่หันกลับไปเขายืนอยู่ที่เดิม ก้มหน้า มือข้างหนึ่งถูกใช้ปิดใบหน้าเอาไว้ ทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของเขาชัดเจนนัก แต่พอเห็นว่าไหล่กว้างของเขาสั่นระริก ใจผมก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกเลย ..เดินมาไกลกว่าห้าสิบเมตร ผมหันไปมองเขาอีกเป็นครั้งที่สอง สิ่งที่เห็นก็คือแผ่นหลังที่ผมคุ้นเคยกำลังเดินจากไป ระยะห่างระหว่างเรามากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามสะบัดความคิดประหลาดๆในหัวออกแล้วเดินต่อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองที่ที่เปลวยืนอยู่อีกครั้ง และเป็น..ครั้งสุดท้าย ที่ตรงนั้นไม่มีเปลวอีกแล้ว



       ..ไม่หรอก ก็เหมือนทุกวันที่ผ่านมานั่นแหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็กลับมาใหม่ให้ผมรำคาญใจอีกเหมือนเคย เขาไม่เคยพูดความจริงออกมาหรอก..จริงมั้ย เขาหลอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า โกหกผมจนทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย อย่าคิดมากเลยนะเทียนไข.. อย่าคิด …อย่าร้องไห้…

       สุดท้ายแล้วนวนิยายที่ผมว่าจะเอามาอ่านเพื่อให้เป็นสีสันให้แก่วันนี้ทั้งวันของผมก็ต้องถูกปิดลง เพราะถ้าหากเปิดเอาไว้..กระดาษทุกหน้าก็จะเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตา

       ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย.. ตลอดสัปดาห์นี้ผมด่าเขาสาดเสียเทเสีย ไล่เขาเหมือนหมูเหมือนหมา บางวันที่รำคาญใจมากๆผมหลุดปากแช่งเขาด้วยซ้ำ แล้วดูตอนนี้สิ…ผมกลับเอาแต่ร้องไห้เพียงเพราะคำพูดของเขาและสีหน้าที่ดูเจ็บปวดรวดร้าวของเขา… ที่ผ่านมาแต่ละวันเปลวก็ตีหน้าเศร้าแบบนี้มาตลอดทำไมผมถึงไม่ชิน.. ไม่ชินเลย..

       ผมต้องเป็นคนโง่เชื่อคำโกหกไปอีกนานแค่ไหน…







       เวลาผันผ่านไปจนถึงช่วงเย็นของวัน เมื่อตั้งสติได้ผมจึงลุกออกมาจากตรงนั้นหลังจากจมกับกองน้ำตามาครึ่งค่อนวัน สองเท้าก้าวเดิน มุ่งกลับไปที่ห้องพักของตัวเองดังเดิม…ซึ่งเป็นที่ที่ผมควรจะอยู่

       ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องผมก็ต้องตกใจว่าทำไมไฟห้องถูกเปิดอยู่ แต่ก็ถึงบางอ้อเมื่อเห็นเมธนอนแผ่หร่าอยู่บนโซฟาพร้อมกับเล่นเกมในมือถือไปด้วยอย่างเมามันส์ ..ผมเดินเข้าไปสะกิดเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างทันทีเมื่อเมธหันมาหา

       คิดถึงมึงจังเลยว่ะเพื่อน…

       “เป็นไงบ้างมึง ขอโทษที่หายไปนาน กูไม่ค่อยว่างเลยว่ะ นี่ก็พึ่งสอบเสร็จไปเมื่อวานพึ่งได้มีโอกาสมาเยี่ยมมึงนี่แหละ ส่วนไอ้โก้เดี๋ยวมันมาเยี่ยมนะช่วงนี้คณะมันมีงาน สอบย่อยเสร็จก็มีงานต่อกูล่ะวงวาร” มันวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวทันทีทั้งๆที่หน้าจอยังเป็นเกมที่มันกำลังเล่นอยู่ มันทักทายผมด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความห่วงใยกึ่งๆความกวนตีนของมัน พอผมได้ยินเสียงมันใจผมที่บอบช้ำเมื่อเช้าก็ค่อยๆดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

       “555555กูสบายดี …ดีขึ้นเยอะ ฝากบอกไอ้โก้ด้วยกูคิดถึง” ผมตอบ อา…แต่ว่าคงต้องโกหกมึงอีกแล้ว ขอโทษนะ..แต่เรื่องไตมันเลวร้ายเกินไปสำหรับมึงจริงๆ

       “ได้เลยเพื่อน มึงเวรี่กู๊ดมากที่ดีขึ้นเยอะ กินอะไรอร่อยๆหน่อยดีกว่า..อะซื้อมาฝาก” มันยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะหยิบถุงจากร้านสะดวกซื้อมาให้ผม ผมจึงรับแล้วนำไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ข้างเตียง

       “แล้วเป็นไงบ้างมึง” ผมถามกลับ

       “อย่างที่บอกแหละ กูพึ่งผ่าน one night miracle มา”

       “55555กูก็เตือนมึงตลอดว่าอย่าเล่นมาก”

       “โห่ใครจะไปเก่งเหมือนมึงล่ะวะ” มันแซวผม ..โถ่ไอ้ฟาย ชวนมึงมาช่วยกันสรุปหลายรอบแล้วมึงก็บอกนัดแฟนไว้ สุดยอดไปเลยเพื่อน

       “ไอ้พลเก่งกว่ากูเยอะ” ผมขำก่อนจะปัดไปให้ไอ้พล ..เป็นบทสนทนาเรียบๆอย่างที่เราสามคนเคยคุยเล่นกัน พอคนนึงโบ้ยให้คนนี้ คนนั้นก็จะโบ้ยให้อีกคนนึง

       …คิดถึงจังเลย



       “..เออแล้วไอ้พลล่ะเป็นไงบ้าง”

       “…มันหรอ ก็ดีแหละ ปกติเหมือนที่ผ่านมา” จริงสินะ พลก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ทุกข์ร้อนได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมทำให้เขาต้องเจ็บปวด หรือเรื่องที่เขาทำให้ผมต้องทรมาน

       “พลคง..จะเกลียดกูอยู่ใช่ไหม?” ..ผ่านมานานเดือนกว่าแล้ว พอจะหวังได้ไหมให้เวลาช่วยลบเลือนความรู้สึกของพละพล.. เป็นไปได้ไหมที่อย่างน้อยๆเพื่อนที่ผมเคยสนิทจะเลิกมองผมแบบนั้น

       “…” เมธได้ยินสิ่งที่ผมถามเขาจึงอ้ำๆอึ้งๆไม่รู้จะตอบอะไรกลับมา แต่แค่นี้ผมก็เข้าใจแล้วล่ะ รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางเป็นแบบที่ผมหวัง พละพลเกลียดผม เป็นคนที่ทำให้คนอื่นๆในคณะและนอกคณะบางคณะพลอยเกลียดผมไปด้วยทั้งหมด.. พอผมหายไปจากพวกเขาแบบนี้คงจะมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นหรือเปล่า..

       “พอที่ตรงนั้นไม่มีกูอยู่ ทุกคนมีความสุขมากขึ้นบ้างไหมเมธ..” อย่างน้อยๆ…ก็ไม่มีไอ้ตัวเชื้อโรคอย่างผมมาให้เกะกะลูกตาแล้ว

       “เทียน…”

       “กูอยากให้เป็นแบบนั้นจัง อยากให้ทุกคนมีความสุข..” แต่ผมไม่โกรธหรอกนะที่ทุกคนจะคิดแบบนั้น มันสิทธิ์ของพวกเขาอยู่แล้ว ผมก็แค่…ต้องผ่านมันไปให้ได้

       “..ทุกคนรอมึงอยู่นะ” เมธตอบ

       “ฮ่าๆจะดีมากเลยถ้ามันเป็นเรื่องจริง.. เมธมึงไม่จำเป็นต้องโกหกเพื่อให้กูสบายใจหรอก กูไม่เป็นไรแล้ว เทียนไขคนนี้เข้มแข็งขึ้นเยอะ”

       “..ดีแล้วเทียน มึงเก่งมากที่ผ่านเรื่องเหล่านั้นมาได้ อย่าไปนึกถึงอะไรพวกนั้นเลย” …พยายามแล้วล่ะเมธ และตอนนี้ก็จะพยายามต่อไป แต่ยังไงก็อดนึกถึงไอ้พลไม่ได้จริงๆว่ะ..



       “เมธ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

       “ว่ามาเลย”

       “พลมีความสุขหรือเปล่า..?”

       “…”

       “อยากรู้ ตอบตามตรงนะ” ..ที่ผ่านมาผมทำหน้าที่เพื่อนที่ดีบกพร่องไปมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นผมก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ไดแล้วด้วย สิ่งที่ทำได้ก็คงมีแค่นี้ ..เป็นกำลังใจให้ห่างๆตรงนี้ ขอให้เพื่อนรักของผมมีความสุขและมีชีวิตที่ดี เป็นหมอที่ดีอย่างที่มันวาดฝัน

       “ไอ้พลมันก็ไปตามทางที่มันเลือกน่ะแหละ กูไม่ยุ่งกับมันแล้ว” ผมคลี่ยิ้ม รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่ทว่าผมไม่รู้เลยว่าภูเขาที่ถูกยกออกไป แท้จริงแล้วมันแค่ก้อนกรวดเล็กๆเท่านั้น ยังมีภูเขาอีกลูกที่ใหญ่โตกว่ามาก และกำลังจะทับตัวผมในอีกไม่กี่วินาที…

       “…”

       “…แต่เห็นว่าเดี๋ยวนี้มันมีแฟนเป็นเด็กทันตะต่างมอ…ดูสดใสขึ้นเยอะ”

        “…เดี๋ยว”

        “…”

        “พลไม่ได้คบกับเปลวอยู่หรอ?”

        “อ้าว มันคบกันหรอ ไม่เคยมีใครบอกกูเลยนะ”

        “…” ..ภูเขาลูกใหม่นี้ จะเรียกมันว่าเป็นความรู้สึกผิดก็คงจะได้ …ผมทำร้ายเปลวด้วยคำพูดมากมายมากว่าสัปดาห์ ทำร้ายเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขากำลังเผชิญอะไรอยู่













       …ผมจมอยู่กับความรู้สึกนั้นมาจนตะวันของเช้าวันใหม่ฉายขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง วันนี้อากาศค่อนข้างหนาว ถึงแม้เครื่องปรับอากาศจะไม่ได้ถูกใช้งานในวันที่อากาศแบบนี้ แต่มวลความกดอากาศจากภายนอกก็ทำให้ภายในห้องทรงเหลี่ยมเล็กๆห้องนี้หนาวเหน็บได้สุดขั้วหัวใจ

       เมื่อวานผมกับเมธอยู่คุยกันจนดึกดื่น ถามไถ่ถึงกันได้ซักพักก็ออกทะเลไปไกลจนเกินกว่าจะว่ายกลับ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวก็บอกว่าง่วงแล้วก็วาร์ปหลับไปเลย พอผมตื่นมาเขาก็ไม่อยู่ซะแล้ว ดีหน่อยที่มันยังทิ้ง message เอาไว้ให้ดูต่างหน้าว่า ‘ไปละ’ ถามว่าทำให้กูเข้าใจโลกมากขึ้นมั้ย คำตอบคือไม่

       แต่พอในห้องหนาวๆแบบนี้เหลือแค่ผมความเงียบเหงาก็ทำให้ความรู้สึกในใจของผมชัดเจนมากขึ้น..


       ‘ผมจะหายไป…ตลอดกาล’


       เสียงของเปลวดังขึ้นในความรู้สึก ผมจึงหันไปมองนาฬิกาที่ฝาผนังเพื่อดูเวลา ก่อนจะตัดสินใจลงไปข้างล่าง



       10.12
       ผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมงแล้วที่ผมลงมาอยู่ข้างล่างตรงนี้ แต่ก็ไม่มีวี่แววของเปลวเลยแม้แต่เงา



       11.34
       วันนี้วันเสาร์.. เปลวจะตื่นสายหน่อยมันก็ไม่แปลกอะไรหรอกมั้ง อีกซักหน่อยเดี๋ยวเขาก็คงจะมาก่อกวนผมเหมือนอย่างทุกวัน



       13.20
       บ่ายโมงแล้ว.. ไม่หรอก.. เปลวคงกำลังเดินทางมาซะมากกว่า อีกไม่นานเขาก็คงจะมาถึง โผล่หน้ามาให้ผมด่าเหมือนทุกวันก่อนจะกลับไปเพราะโดนไล่



       14.50
       …บางทีเปลวอาจจะคิดว่าผมนั่งอยู่ที่ม้านั่งที่เดิมตรงนั้นก็ได้ ใช่..ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ๆ



       14.55
       คุณ.. คุณอยู่ที่ไหน

       เราขอโทษ..ขอโทษที่ว่าคุณแบบนั้น



       15.47
       ปวดท้องมากๆเลย อยากไปหาอะไรกินแต่ก็กลัวว่าคุณจะมาในอีกไม่กี่นาทีนี้ รออีกซักหน่อยแล้วกัน



       16.27
       ขอโทษ..

       ขอโทษจริงๆ



       …หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ผมจึงได้รู้แล้วว่าตัวเองทำเกินไปจริงๆ บางที..สิ่งที่ผมคิดมันอาจจะผิดหมดเลยก็ได้ เพราะแต่ละอย่างที่ผมคิด..ผมไม่เคยมองในมุมของเปลวเลย ไม่เคยเห็นความจริงใจของเขาที่พยายามสื่อออกมาเลย

       และผลสุดท้าย…ผมก็ทำร้ายคนๆนึงไปแล้ว

       

       เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของเปลว ผมจึงลุกขึ้นจากม้านั่งตัวนั้นแล้วเดินกลับไปที่ห้องพักเหมือนเดิม

       ..ยอมรับว่าลึกๆในใจยังอยากจะรอเขาอยู่ตรงนี้อีกซักนิด ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน แต่ก็พอจะทำให้ฝีเท้าของผมช้าลง เท้าซ้ายและขวาก้าวสลับกันไปอย่างช้าๆ สายตากวาดมองไปรอบๆอยู่ตลอดเวลา

       แต่ก็..ว่างเปล่า

       ผมคงไม่มีโอกาสได้ขอโทษเขาแล้วจริงๆ..



       “เทียน” ทว่าขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นชานบันไดตรงหน้าตึกเสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นหูก็ดังมาจากข้างหลัง สองเท้าชะงักหยุด หันไปตามต้นตอของเสียงนั้นด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว

       “เปลว…” เขา..เป็นเขาจริงๆ

       “ค่ำแล้วนะครับ เดี๋ยวยุงก็กัดหรอก” ขอบคุณ… ขอบคุณจริงๆที่ครั้งนี้คุณโกหก… “อ้อ.. สวัสดียามเย็นนะครับ วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับคุณหรือเปล่า”

       “…” เขาเป็นห่วงผม.. เป็นห่วงผมมาตลอดจริงๆ และผมก็ทำร้ายเขามาตลอดเช่นกัน

       “อา..ผมกวนใจคุณใช่ไหม? ขอโทษที่ยังมาให้คุณเห็นหน้าอีกนะ จะไม่มีอีกแล้วสบายใจได้” เปลวปั้นรอยยิ้มขึ้นมาประดับหน้า ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายแล้วทำท่าจะหันกลับไปอีกทาง เขายิ้มอยู่ก็จริง.. แต่ก็ดูเจ็บปวดไม่ต่างอะไรกับสีหน้าตอนที่เขาร้องไห้เลย

       “เดี๋ยวก่อน” ไม่รู้แล้วว่าต้องทำยังไงถึงจะกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลได้ ..ภาพเวลาที่เห็นเปลวกำลังจะเดินจากกันไปมันทำให้ผมเจ็บ ..เจ็บยิ่งกว่าความเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยเจอ.. ผมไม่อยากให้เปลวไปจากกันอีกแล้ว…

       “…”

       “เราอาจจะพูดกับเปลวแรงไป ขอโทษด้วยเหมือนกัน” ผมพยายามคงน้ำเสียงให้คงที่ถึงแม้จะสะอึกสะอื้นไปบ้าง แต่ก็หวังว่าเปลวจะเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ ทุกคำของผม..ผมพูดมันจากใจจริงๆ..

       “…”

       “เรามีอะไรจะถามหน่อย..” อะไรบางอย่างที่ในใจลึกๆอยากจะถามคุณมาตลอดตั้งแต่กลับมาเจอกันครั้งแรก..

       “…”

       “เปลวเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?” วันนั้นคุณเปลี่ยนไปมากจริงๆนะ.. เราอยากรู้มากเลยว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง ชีวิตคุณเป็นอย่างไร ทั้งคิดถึง ทั้งเป็นห่วง ..แต่เพราะความโกรธ ความเกลียดและความแค้นที่มีมากกว่าเราเลยไม่ได้ถามคุณออกไป จนมาถึงวันนี้.. วันที่เราเข้าใจแล้วว่าคุณก็เจ็บปวดมาไม่แพ้กันเลย เราจึงอยากถามคุณดูซักครั้ง..

       “…” ..พอเปลวได้ยินดังนั้น ใบหน้าหล่อของเขาก็ปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา เป็นรอยยิ้มที่ผม..โคตรคิดถึง เปลวก้าวเดินขึ้นมาทีละขั้นๆเพื่อที่จะมาหาผม ..หากแต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาไหล่กว้างของเปลวก็สั่นระริก เม็ดน้ำตาร่วงหล่นจากนัยน์ตาสีนิลไม่หยุด.. “สบายดีครับ ..ผม..สบายดี”



       ขอโทษนะเปลว.. ขอโทษจริงๆ

       “เปลว…ดูแลเพื่อนเราดีหรือเปล่า พลมีความสุขดีใช่มั้ย” ผมปาดน้ำตาออกก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดแล้วเอ่ยถามออกไปแบบนั้นเพราะนี่เป็นจุดประสงค์ของผม ..ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ผมก็คิดว่าเปลวควรจะรับรู้

       “ไม่รู้จะตอบยังไงเลยครับ ..เขินแปลกๆ แต่ผมก็ดูแลเขาอย่างสุดความสามารถเลยล่ะ ฮ่าๆ” คนตัวสูงกว่าผมปาดน้ำตาออกไปเช่นกัน เจ้าตัวยังคงรอยยิ้มนั้นไว้บนใบหน้า “..ส่วนเรื่องพลมีความสุขมั้ย อันนี้ผมไม่มั่นใจซักเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมักจะเกิดขึ้นกับพวกเราเสมอเลย..”

       “…” ผมมองภาพที่ปรากฎให้เห็นอยู่ตรงหน้า เปลวตอบคำถามผมอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าของเขา.. น้ำเสียงของเขา รอยยิ้มของเขา.. ไม่ต่างอะไรกับเปลวในตอนที่ยังเป็นแค่เด็กน้อยไร้เดียงสาคนนั้นอยู่เลย ..เป็นเด็กที่คุยโวเรื่องเกมส์ หุ่นยนต์กันดั้ม และตัวต่อเลโก้รุ่นใหม่ที่พึ่งซื้อเพื่ออวดเพื่อนๆคนอื่นๆ สีหน้าของเด็กคนนั้นเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มเฉกเช่นเปลวในตอนนี้

       



       “คุณล่ะเป็นยังไงบ้างเทียนไข?” เปลวถามกลับ น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้หัวใจผมสูบฉีดเลือดหนักหน่วงมากขึ้น จนทำให้ผมหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่

       “สบายดีเหมือนกัน” ผมตอบ ก่อนจะถามต่อ “แล้วนี่..พลไม่มาด้วยหรอ เห็นวันนั้นพลก็มากับเปลว”

       “เขาไม่ค่อยว่างซักเท่าไหร่ ผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้หรอกครับ เขาเรียนหนักผมรู้ หน้าที่สำคัญของคนรักกันก็ควรที่จะเข้าใจกันจริงไหม? ผมและพลก็เลยเอาใจใส่แล้วก็เข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี”

       “…” ..พอมาถึงตอนนี้ จะว่าเจ็บมั้ยที่ได้รับคำตอบกลับมาแบบนี้ จริงๆก็รู้สึกแบบนั้น แต่พอเห็นใบหน้าที่พูดเจื้อยแจ้วได้อย่างมีความสุข ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

       “ผมไม่รู้ว่าเขามีความสุขมั้ยที่มีผม แต่ผมน่ะ…มีความสุขมากๆเลยล่ะครับ” แต่ว่า…นี่เขาคง..ไม่รู้จริงๆสินะว่าคนรักของเขามีคนอื่นไปแล้ว

       “มั่นใจหรอว่าเป็นแบบนั้น?”

       “..ครับ..?”

       “หมายถึง.. มั่นใจหรอว่าพลเอาใจใส่แล้วก็เข้าใจเปลว?”

       “ฮ่าๆ ผมกล้าพูดเต็มปากเลยครับว่ามั่นใจ พละพลบอกว่าเขารักผม ผมเองก็รักเขาเหมือนกัน ..แค่นี้ก็ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาทำให้ใจสั่นคลอนแล้วครับ” ..ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของเปลวคงอยู่ต่อไป แต่ถ้ามันเป็นความสุขที่กำลังทำร้ายเขาอยู่ ผมก็คงต้องช่วยเขา..

       “เปลว.. เราสงสารคุณนะ” ..ถึงแม้ว่าผมจะกลายเป็นคนที่ทำร้ายเขาแทนก็ตาม

       “…”

       “พลมีคนอื่น พวกเขาคบกัน ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกันอย่างเปิดเผย” ผมบอกไปตามตรง คนตรงหน้าพอได้ยินดังนั้นแล้วก็นิ่งไปครู่ใหญ่

       ขอโทษนะเปลว.. ขอโทษจริงๆ



       “ผมเข้าใจแล้ว” ทว่าหลังจากนั้นจู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาดูว่างเปล่า รอยยิ้มที่เคยเกิดขึ้นจางหายไป “..ที่คุณเข้ามาทักผม ก็เพราะจะเข้ามาบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้ใช่มั้ย?”

       “…”

       “..คำถามที่เราถามกันว่า ‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย?’ สำหรับผมผมถามออกไปเพราะความห่วงใยเล็กๆที่เกิดขึ้นในใจ แต่เสียดายที่ของคุณคงไม่เหมือนกัน”

       “…” ..ความรู้สึกชาวาบเกิดขึ้นไปทั่วร่าง ผมทำร้ายเปลวอีกแล้ว..

       “ขอบคุณนะครับที่มาบอกให้ผมรู้ แต่เอาจริงๆ..”

       “…”

       “ผมรู้อยู่แล้ว”

       “…”

       “..ตอนที่คุณทำหมวกผมหลุดออกไปทุกคนต่างมองมาที่ผมด้วยหวาดกลัว บางคนก็รังเกียจด้วยซ้ำ ..วินาทีนั้นผมไม่ต้องการอะไรมากเลย จริงๆ ขอแค่มีใครซักคนเดินเข้ามาแตะบ่าผมแล้วบอกผมว่า ‘ไม่เป็นไร’ ผมก็มีแรงลุกขึ้นเดินต่อแล้ว แต่ก็..ไม่มีหรอก ผมโคตรสมเพชตัวเองเลย ..คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อน ..คนที่เคยบอกว่าคิดถึงกัน เป็นห่วงกัน ก็เอาแต่ยืนมองอยู่ห่างๆไม่กล้าเข้ามาใกล้ เวลานั้นผมก็เลยได้รู้แล้วว่าตัวผมไม่เหลือใครที่จริงใจกับผมกันจริงๆซักคน”

       “…”

       “แต่หลังจากนั้น…พละพลก็เข้ามาหาผม ..ขอโทษผม ..กอดผมที่กำลังร้องไห้ให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง และผมก็ใจอ่อนเชื่อคำขอโทษของพละพล จนสุดท้ายก็ได้คบกัน”

       “…”

       “แต่หลังจากคบกันได้ไม่กี่วันพละพลก็เปลี่ยนไป เหมือนกับว่าพอเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วผมก็ไม่จำเป็นอะไรอีก ตอนนั้นแหละผมถึงได้รู้ตัวว่าผมเป็นแค่ไอ้โง่คนนึง เป็นคนน่ารำคาญอย่างที่คุณเคยว่า”

       “…”

       “..พละพลเคยเป็นทุกอย่างของผม แต่ผมต้องจำใจห่างออกมา ความรู้สึกตอนนั้นมันว่างเปล่ามากๆเลยครับ แต่เพราะเรื่องของคุณอยู่ในหัวผมอยู่ตลอดหลังจากนั้นผมก็เลยมาหาคุณบ่อยๆ คิดว่าอย่างน้อยๆสภาพผมที่เป็นแบบนี้ก็ไม่อยากถูกใครเกลียดอีกแล้ว ..ผมก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าไม่มีทางที่คุณจะให้อภัยผมหรอก แต่ผมก็ยังอยากมาหาคุณ ..ผมไม่อยากให้คุณเหงา”



       …ภูเขาลูกเดิมที่ทับผมอยู่รู้สึกเหมือนจะใหญ่มากขึ้น ..เพราะอย่างนี้เปลวก็เลยมาเยี่ยมผมทุกวันใช่มั้ย.. ถึงแม้จะถูกผมด่า ถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมา.. แต่ก็ยังมาหากัน ..ทำแบบนั้นแค่เพราะว่ากลัวผมจะรู้สึกเหงาน่ะหรอ..

       แต่คุณก็..ทำสำเร็จนะ ตลอดเวลาในช่วงที่ผ่านมา ผมไม่รู้สึกแบบนั้นเลยจริงๆ ถึงแม้จะเพราะคิดรำคาญเสียงของคุณไปทั้งวัน แต่นั่นก็ทำให้แต่ละวันในโรงพยาบาลของผมมีสีสันขึ้นมาก

       ผมอาจจะไม่เคยคิดในมุมนี้ แต่พอเข้าใจแล้วก็อยากจะบอกคุณนะว่า..

       ..ขอบคุณเปลวมากๆเลย



       “..ถ้าเปลวรู้แล้ว เปลวจะคบต่อทำไม?” ผมถามต่อ ในใจตอนนี้รู้สึกสงสารเปลวมากกว่าสิ่งใด

       “ฮ่าๆ นั่นสิเนอะ คงเพราะ..สำหรับผมพละพลเป็นความสุขของผมจริงๆละมั้งครับ ..ทุกๆเรื่องราวของเขา ..สีหน้าของเขา ..รอยยิ้ม ..เสียงหัวเราะของเขาทำให้ผมมีความสุข ..เป็นความสุขเพียงความสุขเดียวแล้วที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม”

       “…” ..ครั้งนึงเทียนไขคนนี้ก็เคยได้ชื่อว่าเป็นความสุขของเปลวเหมือนกัน และเปลวเป็นคนพูดมันออกมาเอง แต่ตอนนี้เทียนไขถูกแทนที่แล้วล่ะ.. ฮ่าๆ



       “และเพราะว่าพละพลคือคนๆนั้น ผมก็เลยคิดว่า..”

       “...”

       “..คงไม่ผิดใช่ไหม ที่ผมจะเลือกจดจำความรักครั้งนี้ในด้านที่ดีๆเท่านั้น” ..เปลวยังคงรอยยิ้มของเขาไว้บนใบหน้า ถึงแม้ริมฝีปากเขาจะสั่นๆไปบ้างแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าเปลวรักพละพลมากจริงๆ ผมรู้นะว่าตอนนี้เปลวกำลังเจ็บปวด แต่คง..ไม่สามารถปลอบอะไรเขาได้ ผมเองก็เจ็บไม่ต่างอะไรจากเขาเลย



       “เปลว” ผมเรียกเขา ..ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น ผมต้องยอมรับมัน ต้องยอมรับให้ได้..

       “ครับ” เปลวตอบ ผมสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง มองใบหน้าของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของผม ..คุณยังเหมือนเดิมเลยเนอะ เวลาที่คุณรักใครคุณก็จะเป็นแบบนี้ คุณอาจจะจำอะไรไม่ได้ แต่คุณก็ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ..

       เพราะฉะนั้น..เราก็อยากให้คุณรู้ไว้..

       “อันที่จริง.. ที่เราถามเปลวว่า ‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม’ ..เราถามเพราะเราเป็นห่วงเปลวนะ” ..ทั้งเป็นห่วง แล้วก็คิดถึงคุณมากๆ

       “…”

       “เอาจริงๆเราอยากขอโทษเปลวเหมือนกันสำหรับวันนั้นที่โรงอาหาร ขอโทษที่ทำตัวแย่ๆใส่เปลวมาตลอด แต่อยากให้รู้ไว้ว่าทุกอย่างที่เราทำมันเกิดขึ้นเพราะมันมีเหตุผลของมัน ..เหตุผลที่เปลวเองก็ลืมไปแล้ว” ..ผมอยากให้เปลวเข้าใจ ..ทุกๆความรู้สึกของผมตอนนี้กำลังทำให้ผมทรมาน ผมคิดถึงคุณ ผมเป็นห่วงคุณ ผมอยากกอด อยากอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของคุณ และผม..รักคุณ รักที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ยังรัก แต่ทุกความรู้สึกของผม..ไม่ว่ายังไงมันก็ข้ามกำแพงนี้ไปไม่ได้ กำแพงที่สร้างขึ้นมาหลังจากคุณทำแบบนั้นลงไปในคืนวันปัจฉิม

       “ผมรู้… ผมเลยไม่โกรธคุณหลังจากที่รู้สึกว่าตัวผมเคยทำอะไรไม่ดีไว้กับคุณ”

       “…”

       “ผมอาจจะจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วล่ะ…คุณเป็นคนสำคัญของผมนะเทียนไข” ..มันก็ยังไม่พอหรอกเปลว แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วด้วย

       “ตอนนี้เรา…เหนื่อยแล้วว่ะ สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาเลย ..อยากพัก ไม่อยากคิดอะไรให้ทรมานจิตใจตัวเองแล้ว” ถ้าคุณลืม ..ผมก็จะพยายามลืมมันไปเหมือนกัน เปลวที่ใจร้ายคนนั้นที่ผมรัก.. ผมจะลืมเขา

       “มาคุยกับผมแบบนี้คุณไม่ทรมานจิตใจมากกว่าเดิมหรอครับ?”

       “จริงๆ..ลึกๆก็เจ็บอยู่แหละ” เจ็บ.. เจ็บมากๆเลยด้วย แต่เพราะคุณเองก็เจ็บเหมือนกันและผมก็เป็นห่วงคุณมากกว่า ความเจ็บของผมมันก็ดูเล็กน้อยไปเลย

       “..ผมขอโทษนะเทียน” คำขอโทษถูกพูดออกมารอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จริงอยู่ที่เปลวขอโทษออกมาจากใจจริง แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆหรอกว่าสิ่งที่เขาทำผิดมันคืออะไร

       “บางครั้ง..เราก็อยากเป็นเปลวนะ ..อยากเป็นฝ่ายที่ลืมเรื่องราวทุกอย่างบ้างจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้”

       “เหมือนกันเลยครับ”

       “…”

       “..บางครั้งผมก็อยากเป็นคุณ”

       “…”

       “..อยากจำเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นให้ได้ อยากเป็นฝ่ายเจ็บปวด อยากเป็นฝ่ายที่ทรมานแทนคุณ”

       “…” สายตาที่ฉายแววความเจ็บปวดจ้องมองมาที่ผม เราสบตากันอีกครั้งแต่ครั้งนี้ภาพที่เห็นของผมกลับสลัวเบลอไปหมด น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมาจนบดบังใบหน้าหล่อของคนตรงหน้า

       “ในใจผมมันรู้สึกแบบนั้น”

       “ไม่หรอก.. ดีแล้วแหละที่เปลวลืมเรื่องพวกนั้นไป” ผมเม้มปาก กลั้นใจพูดต่อไป “..ต่อจากนี้เราจะคิดว่าเปลวคนนั้นที่เราเคยรู้จักเขาได้ตายไปแล้ว เปลวกับเขาไม่ใช่คนเดียวกัน”

       “ไม่ดีหรอกครับ การจำอะไรไม่ได้สำหรับผมมันแย่มากๆเลย..”

       “…”

       “เวลาที่คุณร้องไห้…ผมไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรคุณถึงเจ็บปวด”

       “…”

       “เวลาที่สีหน้าคุณดูหวาดกลัวอะไรบางอย่าง…ผมก็ไม่รู้เลยว่าทำไมคุณถึงเป็นแบบนั้น”

       “…”

       “เวลาคุณอยู่กับเพื่อน รอยยิ้มของคุณน่ะน่ารักมากๆเลยนะรู้มั้ย แต่พอคุณเจอหน้าผม รอยยิ้มของคุณก็จะหายไปทันที ผมก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

       “…”

       “คำถามมากมายเต็มไปหมดในหัว แต่ผมไม่รู้คำตอบเลย อยากจะขอโทษคุณ..ผมก็ทำได้แค่ขอโทษออกไปปากเปล่า ในใจไม่ได้รู้เลยว่าทำอะไรกับคุณไว้”

        “..ช่างเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว” ไม่เป็นไร.. ไม่อยากเป็นอะไรอีกต่อไปแล้ว.. ปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมามันเป็นอดีตต่อไปนั่นแหละ

        “…”

        “ขอบคุณที่มาเยี่ยมเราบ่อยๆนะ” ผมบอก ก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปในอาคาร มือสองข้างผมยกขึ้นมาซับน้ำตาออก ขาทั้งสองข้างที่รู้สึกราวกับเรี่ยวแรงหดหายไปหมดพยายามก้าวเดินต่อไป ก่อนจะต้องหยุดกึกเพราะเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นมาตามหลัง..

        “งั้นผม…มาอีกได้มั้ย?”

        “…”

        “…”

        “ตามใจ”











______________________
โค้งสุดท้ายแล้วนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2019 19:51:50 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ดีแล้วดีที่เปิดอกคุยกันแล้วยอมลงให้กันแบบนี้ เฮ้ออออออ!! ถอนหายใจยาวๆ เหนื่อยละเกินกับสองคนนี้ อย่างเพิ่งถามหาว่าปลายทางสองคนนี้อยู่ที่ไหนเลย เอาวันนี้ พรุ่งนี้ให้รอดก่อนเถอะ เล่นเอาซะเพลียตาม 55555555 ต่อจากนี้ก็หวังว่าความสัมพันธ์จะดีขึ้นบ้างนะ การรักษาก็คงง่ายขึ้น ทั้งรักษาจิตใจและเรื่องไตละนะ ได้กำลังใจจากคนที่อยากได้ จะรอติดตามเมื่อไหร่เทียนไขจะส่องแสงสว่างได้เต็มที่สุดสักที เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคน สนุกกกกกชอบความหน่วงนี้จริงๆ 55555 ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพต่อ อยากรู้จะเกิดไรขึ้นบ้าง จะหาทางออกยังไง เลยรอติดตามตลอดนาาา ^^

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หายเร็วๆแล้วกลับมาคบกัน เติมเต็มกันและกันนะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

15


‘น้ำตาเทียน’


1/2







       “สวัสดียามเช้าครับเทียน”

       ..เสียงทุ้มนุ่มดังเข้ามาในโสตประสาททันทีที่ผมรู้สึกตัวหลังจากจมดิ่งสู่ห้วงนิทราตลอดทั้งคืน ผมขยับร่างกายพร้อมกับค่อยๆลืมตาขึ้น แสงอาทิตย์จากภายนอกสาดส่องเข้ามาผมจึงได้รู้ว่าตอนนี้เช้าแล้ว

       เมื่อวานผมกับเปลวเราพึ่งจะคุยกันดีๆเป็นครั้งแรก แต่ก็มีอีกหลายอย่างมากๆที่ยังติดค้างอยู่ในใจและยังไม่ได้ถามเปลวออกไป หลังจากที่แยกกันผมจึงกลับไปคิดไตร่ตรองอะไรหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องราวที่ผ่านมา ความรู้สึกของเปลว และความรู้สึกของผม พยายามหาทางออกที่ดีที่สุดโดยที่ผมและเปลวจะไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีก แต่สุดท้ายแล้วไม่ทันที่ผมจะพบทางออกใดๆผมก็ผล็อยหลับไปเสียก่อน รู้สึกตัวอีกทีก็คือตอนนี้

       ดูเหมือน..ผมจะฝันถึงเขาด้วย เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้คงเป็นเสียงจากความฝันเมื่อครู่สินะ..?

       “เป็นคนป่วยที่ขี้เซาดีนะครับ” ทว่าเสียงทุ้มนุ่มนี่ก็ยังดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกครั้ง ผมจึงหันไปหาต้นตอของเสียงนั้น

       “…”

      ก่อนจะพบกับ..ความว่างเปล่า



       ..หูแว่วอีกแล้ว จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าวิธีการรักษาของคุณหมอจะได้ผลหรือเปล่า ก็จริงอยู่ที่ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่อาการเหล่านี้ก็ไม่หมดไปซะทีเดียว และเพราะการที่มันยังไม่หมดไปเสียที ผมจึงเหนื่อยล้าเหลือเกินที่จะสู้ต่อ

       สุดท้ายวันนี้ก็คงเป็นแค่ ‘อีกวัน’ ที่ผมต้องตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอันว่างเปล่า



       “ผมอยู่นี่” ทว่าเสียงนี่ก็ยังไม่หายไป ผมจึงมองไปที่ต้นตอของเสียงอีกครั้ง แล้วผมก็พบกับ..ใบหน้าครึ่งซีกที่อาศัยเงามืดจากมุมที่แสงอาทิตย์เข้าไม่ถึงบดบังเอาไว้ ทันทีที่เห็นผมสะดุ้งจนร่างกายกระตุก หากแต่เมื่อแพ่งสายตาดูดีๆแล้วก็พบว่า..นั่นมันเปลว

       “ฮ่าๆ ขอโทษนะครับที่ทำให้ตกใจ แค่คิดว่าอยากจะให้คุณหัวเราะน่ะครับ” คนตัวสูงพูดพร้อมกับก้าวเท้าออกมาจากมุมตรงนั้น ผมจึงเห็นใบหน้าหล่อที่ถูกแสงแดดตกกระทบของเขาชัดเจนขึ้น เปลวในชุดนักศึกษา..อยากรู้จังว่าว่างนักหรอถึงมาทำอะไรแบบนี้ ..นั่นก็อีกประเด็นนึงแหละนะ แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือเขารู้ได้ยังไงกันว่าผมพักอยู่ที่ห้องนี้

       “คุณรู้ได้ไงว่าเราพักอยู่นี่..?” ผมเอ่ยถาม หลังจากรวบรวมสติและขวัญที่ผวาดผวาไปกับภาพที่เห็นเมื่อครู่ แต่ก็..ดีแล้วแหละที่ผมไม่ได้หูแว่วไปเอง

       “ผมก็ถามประชาสัมพันธ์ไงครับ ง่ายนิดเดียวเอง”

       “แล้ว..เปลวมาทำไม” ผมถามต่อ จริงอยู่ที่เมื่อวานเราคุยกันแบบค่อนข้างที่จะเปิดใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่ในตำแหน่งที่ขึ้นมาหากันได้ มาแกล้งกันแบบนี้ได้หรือเปล่า ..ไม่เข้าใจเปลวเลย

       “แวะมาก่อนจะไปเรียนน่ะครับ จริงๆก็รอเจอคุณอยู่ข้างล่างนั่นแหละแต่ว่าไม่เห็นคุณลงมาซักทีก็เลย..”

       “ขึ้นมาหา..?”

       “ครับ ..พอขึ้นมาก็เห็นว่าคุณยังหลับอยู่ เลยไม่อยากกวน กะว่าจะออกไปแล้วล่ะครับแต่คุณขยับตัวไปมาเหมือนกำลังจะตื่น ผมก็เลยอยากจะแกล้งคุณนิดๆหน่อยๆ..” เปลวอธิบายให้ผมฟังอีกยาวเหยียด ผมจึงไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังอีกต่อไป เพียงแต่สายตาของผมพอมองไปที่เขาที่กำลังพูดไม่หยุดด้วยท่าทีเลิ่กลั่กแบบนี้แล้วก็รู้สึก..โกรธไม่ลง

       แม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่แค่ขอโทษพร้อมกับบอกเหตุผลก็น่าจะพอแล้ว แต่เปลวก็เลือกที่จะอธิบายเพื่อที่ผมจะได้เข้าใจ

       “ขอโทษอีกครั้งนะครับ อย่าไล่ผมเลยนะ..” 

       “พอเถอะ เราเข้าใจแล้ว” ผมบอกเขา ..พอเจ้าตัวได้ยินดังนั้นริมฝีปากที่เคยขยับเขยื้อนเป็นคำอย่างรวดเร็วนั่นก็หยุดลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างอันสดใสที่พอผมเห็นแล้วก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีสายรุ้งพาดผ่านเข้ามาในห้อง เฟอร์นิเจอร์และของใช้ทุกอย่างดูมีสีสันขึ้นมาถนัดตา

       “ขอบคุณครับ อันนี้..ไม่รู้ว่าคุณจะชอบแอปเปิลมั้ย แต่เห็นว่ามันเป็นรูปกระต่าย น่ารักดี นึกถึงคุณขึ้นมาก็เลยซื้อมาฝากครับ” เปลวยังคงรอยยิ้มนั้นไว้บนหน้า พร้อมกับหยิบกล่องแอปเปิลที่ถูกหั่นเป็นรูปกระต่ายวางเรียงรายกันขึ้นมา ก่อนจะนำเอาไปวางที่โต๊ะคร่อมเตียง จากนั้นเจ้าตัวก็ปัดมือทั้งสองข้างแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โอเค.. เสร็จสิ้นภารกิจ”

       “ภารกิจ..? ภารกิจอะไร” ..ยิ่งมองสิ่งที่เปลวกระทำผมก็ยิ่งสับสน

       “ก็หั่นมาให้.. หมายถึง เอาแอปเปิลมาให้คุณน่ะครับ”

       “…”

       “ถือว่าเป็นคำขอบคุณ…ที่คุณอุตส่าห์เข้าใจผม”

       แต่ว่า..ผมคงจะไม่ต้องหาคำตอบอะไรแล้วล่ะครับ รอยยิ้มและสายตาของเปลว..บอกทุกอย่างให้ผมได้รับรู้แล้ว 



       “..เมื่อกี้เปลวบอกว่าแวะมาก่อนจะไปเรียนใช่หรือเปล่า? รีบมั้ย.. เรามีอะไรจะถามหน่อย..” ผมยิ้มให้กับภาพที่เห็น ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น ไหนๆเปลวก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว ผมก็ขอใช้โอกาสนี้ถามในสิ่งที่ค้างคาใจตลอดเวลาที่ผ่านมาหน่อยแล้วกัน

       “ไม่รีบครับ จริงๆจะไม่เข้าคลาสเช้าก็ได้” เขาตอบ ..ผมสบตาเปลวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆผ่อนออก เรียวนิ้วมือทุกนิ้วแทรกอยู่บนผ้าห่มก่อนจะออกแรงขยำเพื่อรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะถามคำถามนี้ออกไป



       “เปลว..ความจำเสื่อมใช่ไหม”

       ..เป็นคำถามที่คั่งค้างอยู่ในใจมานานตั้งแต่วันแรกที่กลับมาเจอกันอีกครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเปลวจะลืมเรื่องราวทั้งหมดได้จริงๆ เลยหลอกตัวเองไปว่า ‘เปลวก็แค่แกล้งทำ’ ..เป็นแบบนั้นมาจนกระทั่งวันที่ได้ยินเมธและโก้คุยกัน ผมจึงได้รู้ว่าที่ผ่านมา…ผมคิดผิดมาตลอด

       การที่ผมหลอกตัวเองไปแบบนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยไม่ว่าจะกับใครหรือแม้แต่กับตัวผมเอง

       ที่เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง..ก็เพราะตัวผมเองทั้งนั้น



       “..ผมไม่ได้ความจำเสื่อมครับ” เปลวตอบ “อยากให้เรียกว่า..สูญเสียความทรงจำไปมากกว่า”

       “…”

       “เพราะความจำเสื่อม..อาจจะจำอะไรได้บ้าง ..อย่างชื่อคน ..สถานที่ หรือการใช้ชีวิตเล็กๆน้อยๆ แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น..”

       “…”

       “ผมจำอะไรไม่ได้เลย”

       “…”

       “ผมไม่เคยบอกคุณไปตรงๆเพราะเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง เราเลยไม่เข้าใจกันตั้งแต่แรก แต่ถ้าเป็นไปได้..ในเมื่อคุณไม่รู้ ผมก็อยากจะให้คุณไม่รู้ตลอดไป” ..เสียงทุ้มนุ่มยังคงเอ่ยเอื้อนต่อไป หากแต่สายตาของเขาไม่ได้มองมาที่ผมอีกแล้ว ..ดวงตาสีนิลเชยมองไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง สิ่งที่ผมรับรู้ได้จากแววตาคู่นี้มีเพียง..ความเจ็บปวด “คุณจำ..ตอนที่ผมไปเจอคุณที่ร้านอาหารได้มั้ย..?”

       “…”

       “ตอนนั้น..ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณมากเลยนะ ..แต่เพราะผมเข้าหาคุณเกินไปจนมันล้ำเส้น ผลที่ออกมาเลยค่อนข้างแย่” ..ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นปรากฎชัดขึ้นมาในหัว หากแต่ภาพเหล่านั้นเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องทรมาน และใช่..ผมไม่ใช่ฝ่ายที่ส่งเสียงร้อง “ตอนที่ผม..กราบเท้าคุณ ผมขอร้องคุณจริงๆนะ  มันเจ็บ..เจ็บจนชา อยากจะวิ่งหนีไปแต่ก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว ผมอยากให้คุณหยุด..”

       “…” แต่ตอนนั้น..ผมกลับไม่ฟังเขาเลย ผมยังคงทำร้ายเปลวไม่หยุด..

       “..ตัวผมในวันนั้นอ่อนแอมากๆ อ่อนแอจนทำได้แค่เว้าวอนขอความเมตตาจากคุณ แต่ถ้าถามว่า..ที่เป็นแบบนี้มันโอเคหรือเปล่า สำหรับผม..ผมว่ามันโอเคนะ เพราะหลังจากนั้นเราต่างก็มีโอกาสได้รู้จัก ได้เข้าใจกันมากขึ้น ..จนมาถึงวันนี้”



       ..ไม่ ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้นเลย ถ้าเกิดว่าตอนนั้นผมกล้าที่จะเผชิญหน้ามากกว่านี้อีกซักนิด ทุกอย่างก็คงจะไม่ลงเอยแบบนี้ โอกาสที่เราจะได้รู้จักและได้เข้าใจกันก็คงจะเกิดขึ้นเร็วกว่านี้

       ..แย่เหลือเกินที่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก  สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีแค่ความรู้สึกผิดที่ค่อยๆกัดกินหัวใจไปทีละเล็กทีละน้อยเท่านั้น

       

       “เปลว..” ผมกลั้นใจเรียกชื่อเขาอีกครั้ง ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยถามเปลวอีกคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “บอกเราได้ไหมว่าหลังจากที่ถูกเราทำร้าย ..เปลวเป็นยังไงบ้าง”

       “…” เขาไม่ได้ให้คำตอบผมในทันที หากแต่เปลวนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาที่เคยมองออกไปนอกหน้าต่างหันกลับมาสบตาผมอีกครั้ง และผมก็ได้เห็นว่านัยน์ตาสีนิลคู่สวยตรงหน้ารื้นเอ่อไปด้วยหยาดน้ำตาอีกแล้ว “..สัญญากับผมก่อนได้ไหมว่าคุณจะไม่รู้สึกแย่”

       “…” ผมพยักหน้ารับคำ ..พอได้ยินเปลวพูดแบบนี้แล้วผมก็อดที่จะกลัวไม่ได้ ผมกลัว..กลัวว่าคำตอบที่เปลวจะให้มันจะไม่ใช่เรื่องดี

       ผมกลัว..ความเป็นจริง

       “..ต้องทำตามสัญญานะ” หากแต่..เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นความกลัวเหล่านั้นก็จางหายไปเมื่อถูกความอบอุ่นจากผิวนุ่มๆที่แนบมาบนหลังมือ ..สองมือของเปลวกำลังกอบกุมมือของผมที่กำผ้าห่มแน่น ผมตกใจอยู่เหมือนกันที่เปลวทำแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่วยได้มากจริงๆ

       “ตกลง” ผมคลี่ยิ้มก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เตรียมรับฟังคำตอบ ทว่าเปลวก็ไม่ได้ให้คำตอบผมในทันที เขานิ่งไปชั่วขณะ แต่ในขณะที่เขานิ่งไป ผมก็รู้สึกได้ว่าฝ่ามือของตัวเองกำลังถูกบีบเบาๆ เป็นแบบนั้นอยู่หลายครั้งจนผมรับรู้ได้เลยว่า..เปลวกำลังอยากให้ผมผ่อนคลาย และเมื่อได้รู้ผมจึงใช้แรงอันน้อยนิดบีบฝ่ามืออุ่นๆของเขากลับ

       “เราไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง” เพื่อที่เปลวจะได้ไม่กังวลอะไรอีกผมเลยบอกให้เขารับรู้ว่าผมพร้อมแล้วที่จะฟัง ..ไม่ว่าคำตอบที่เปลวจะให้ผมมันจะเลวร้ายซักแค่ไหน ผมก็พร้อมที่จะยอมรับ ฮ่าๆ..ทั้งๆที่คิดไว้แบบนั้นแท้ๆ..



       “ผม..อยู่บนเส้นด้ายบางๆระหว่างความเป็นกับความตาย” ..แต่พอเอาเข้าจริงๆผมกลับ..ชาวาบไปทั้งร่าง

       “…” 

       “สิ่งที่เทียนทำ..มันเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล” ..แรงบีบจากฝ่ามือของเปลวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ผมอยากจะตอบกลับเขาไปด้วยการออกแรงบีบฝ่ามือเขาอย่างครั้งก่อน แต่ปรากฎว่าผมไม่มีเรี่ยวแรงใดๆเหลืออยู่เลยหลังจากที่รับรู้ความเป็นจริงที่ผมกลัว

       “…” ผมไม่แน่ใจแล้วว่าเปลวต้องผ่านอะไรมาบ้างจนกว่าจะมีวันนี้ สิ่งที่ผมเคยคิดมันผิดทั้งหมด ผมทำร้ายเขา..ผมทำร้ายเปลว ทำร้ายจนเกือบได้ชื่อว่าเป็นฆาตกร ..เปลวคนตรงหน้าผมรับรู้ทุกอย่างว่าผมเป็นอย่างไร ทำอะไรกับเขาไว้บ้าง เปลวที่สูญเสียความทรงจำมีสิทธิ์ที่จะโกรธและเกลียดผมไปตลอดกาลเลยก็ได้ แต่เขากลับไม่ใช้สิทธิ์นั้น เขายอมเสียเปรียบและเลือกที่จะปลอบประโลมคนที่ทำร้ายตัวเองด้วยฝ่ามืออุ่นๆของเขา..



       “เทียน ..ไหนล่ะที่เราตกลงกันไว้” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากที่ระหว่างเราจมอยู่กับความเงียบงันมาได้ชั่วขณะ เปลวกำลังทักท้วงในสิ่งที่ผมเอ่ยปากรับคำ จริงด้วยสินะ..ผมสัญญากับเปลวไว้แล้วว่าจะไม่รู้สึกแย่ โอเค..ผมจะไม่รู้สึกแบบนั้น จะไม่รู้สึก..ไม่รู้สึก ห้ามรู้สึกสิเทียนไข อย่ารู้สึก.. ห้ามร้องไห้..

       “สัญญากันแล้ว…ห้ามผิดสัญญาสิครับ”

       “ขอโทษ…ขอโทษนะเปลว ขอโทษ..” ขอโทษที่ไม่สามารถทำตามที่ตกลงกันไว้ได้จริงๆ.. ขอโทษที่ผมแก้ไขอะไรไม่ได้ทำได้แค่ร้องไห้อยู่แบบนี้..

       “ไม่เป็นไรครับ..ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ดูสิครับ ผมกลับมา..ยิ้มได้แล้ว” ใบหน้าหล่อของเปลวปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ผมพยายามจะยิ้มตามเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรกันอีก แต่ก็..ทำไม่ได้จริงๆ..

       ..หยาดน้ำตายังคงไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของผมไม่รู้หยุด ภาพใบหน้าของเปลวที่ถูกประดับด้วยรอยยิ้มที่เคยชัดเจนดี ตอนนี้พร่าเบลอไปหมด..

       “ขอโทษนะเปลว..” เป็นคำขอโทษรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่ผมก็ยังพร่ำมันออกไปซ้ำๆ หวังเพียงให้มันลบล้างความรู้สึกผิดออกไปจากใจ แต่ก็..ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ไม่ว่าจะขอโทษอีกกี่สิบครั้ง บาดแผลของเปลวก็ไม่จางหายไป

       “..ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆครับ” เปลวพยายามปลอบ ฝ่ามือข้างหนึ่งผละออกจากฝ่ามือของผมก่อนที่เปลวจะใช้มันลูบหัวผมเบาๆ

       “…”  ..ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะสัมผัสจากฝ่ามือของเปลวบนศีรษะ สายตาหันไปสบตากับเขาเพื่อหาคำตอบสำหรับการกระทำนี้ และสิ่งที่ผมเห็นก็คือ..เปลวกำลังร้องไห้อยู่ไม่ต่างกัน

       “..ไม่ร้องแล้วนะ ห้ามร้องไห้” น้ำเสียงทุ้มนุ่มพูดออกมาด้วยความสั่นเครือ ผมรับฟังเขาได้เพียงเสี้ยววินาทีก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ..เปลวดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ไหล่กว้างสั่นระรัวแต่ก็ยังพยายามที่จะใช้มันเป็นที่พักพิงให้ผมคลายความรู้สึกในใจนี้ลง ขณะเดียวกันเขาก็ซุกใบหน้าอยู่ที่ไหล่ของผม “..มันผ่านไปแล้วนะเทียนไข มันผ่านไปแล้ว..ทุกอย่างกำลังดีขึ้น ผมไม่เป็นไรแล้ว..”

       “ครับ.. เราเข้าใจแล้ว เปลวก็..หยุดร้องได้แล้วนะ..” ผมพูดพร้อมกับกระชับอ้อมแขนของตัวเองขึ้นมาโอบกอดเขาตอบ

       ..ผมเข้าใจแล้วล่ะเปลว ที่คุณบอกว่าคุณไม่เป็นไร ทุกอย่างกำลังดีขึ้น..

       จริงๆ คุณกำลังโกหกอยู่ใช่ไหม.. คุณกำลังแสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างสำหรับคุณมันกำลังดีขึ้นเพื่อให้ผมสบายใจ

       รู้มั้ยเปลว..

       คำโกหกของคุณ..ทำให้ผมเจ็บปวดอีกแล้ว







       ..เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วผมก็ไม่ทราบได้ ทว่าผมและเปลวก็ยังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างนั้น เราจมอยู่กับความรู้สึกในใจของตัวเองจึงไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก หากแต่ผมกลับรู้สึกว่าอ้อมกอดนี้ทำให้ผมและเปลวได้เข้าใจกันมากขึ้น ราวกับว่าเราต่างก็ได้ส่งผ่านความรู้สึกต่างๆในใจให้กันและกัน ..ผมและเปลวยังคงมอบอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นให้กันต่อไป เราใช้ฝ่ามือเล็กๆลูบหัว ใช้ไหล่ที่สั่นเทาซับน้ำตาให้กัน ..เป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งเสียงสะอื้นค่อยๆเบาลง อ้อมกอดนี้จึงค่อยๆคลายออก ..ขณะเดียวกันหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมามากมายก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มแสนหวาน

       “ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงยิ้มรับพร้อมกับตอบกลับเขาไปด้วยน้ำเสียงสดใส

       “ครับ ไม่ร้องแล้ว”

 

       ..ผมและเปลวคุยกันได้ซักพักก็ได้เวลาที่เปลวจะต้องไปเรียน เราจึงบอกลากันสำหรับวันนี้ จากนั้นเปลวก็ขอตัวออกไป ส่วนผมเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้แต่พยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ และส่งเขาผ่านทางสายตา ..ครั้งนึงผมเคยกลัวการจากลาของเราแบบนี้ กลัวว่าซักวันนึงแผ่นหลังที่ค่อยๆห่างออกไปจนลับสายตาจะไม่กลับมาอีก ..แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกต่างออกไป สายตาของผมสามารถมองไปยังแผ่นหลังที่ค่อยๆห่างออกไปของเปลวได้โดยที่ไม่มีความรู้สึกนั้นเลย

       คงจะเพราะ..คำบอกลาที่เปลวให้กันล่ะมั้ง

       ‘เจอกันพรุ่งนี้นะ’

       …ผมจึงมั่นใจว่าอีกไม่นานเจ้าของแผ่นหลังกว้างนี้จะกลับมาหากันอีก












       ไม่นานนักเวลาก็ผันผ่านไป ท้องฟ้าเบื้องบนที่เคยปรากฎสีคราม มีหมู่เมฆสีขาว ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มแก่ และหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลาลับของฟ้า ก็เปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน ..ผมเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าในแต่ละวันอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เหตุผลนึงก็เพราะไม่มีอะไรให้ทำไปมากกว่านี้ แต่อีกเหตุผลนึงก็คือ..ผมชอบที่จะเฝ้ามองพวกมัน อยากจะสัมผัสก้อนเมฆสีขาว อยากจะขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วมองทิวทัศน์จากข้างบน และที่สำคัญเลยก็คือ..ผมอยากจะให้ตัวผมเองเป็นอย่างท้องฟ้า ถึงแม้จะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างในแต่ละวัน แต่ท้องฟ้าก็อยู่กับมนุษย์เราตลอดไป

       ผมอยาก..คงอยู่ตลอดไปเหมือนกับท้องฟ้า



       ‘ตายไปน่ะดีแล้ว’

       ‘เปลวไม่ได้สนใจใยดีนายจริงๆหรอกเทียนไข’

       ‘ไปๆซะตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า อยู่ต่อไปยังไงนายก็ตายอยู่ดี’




       ..ผมไม่อยาก..จากเปลวไปเลย

       ..ครั้งนี้ไม่มีใครแกล้ง ผมได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยพวกนั้นจริงๆ.. ถึงแม้จะไม่อยากฟัง จะยกมือขึ้นมาปิดหู จะพยายามกลบเสียงเหล่านั้นด้วยเสียงของตัวเอง หรือจะดิ้นรนหลีกหนีมันไปเท่าไหร่ก็เปล่าประโยชน์ เสียงพวกนี้ไม่ได้มาจากภายนอก แต่มันมาจากตัวผมเอง มาจาก..สมองที่ไม่สมดุลของผมเอง..

       …เหนื่อยเหลือเกินที่จะสู้ต่อ







       ..หลังจากนั้นวันใหม่ก็มาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่าจนผ่านไปเกือบจะหมดเดือน สำหรับคนป่วยอย่างผมมันไม่มีอะไรแปลกไปจากเดิมซักเท่าไหร่ …ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ทานอาหารเช้า รอพี่พยาบาลมาดูอาการ และรอที่จะได้เจอเปลว

       เขายังคงมาเยี่ยมผมทุกวันอยู่เหมือนเดิม อาจจะเป็นช่วงสายๆหน่อย หรือไม่ก็ช่วงบ่าย แต่เขาก็จะมาหาผมอยู่เสมอ ทุกวันของผมจึงถูกเติมเต็มด้วยรอยยิ้มของเปลวในชุดนักศึกษาอย่างนี้ตลอดมา ..จากก่อนหน้าที่ผลักไสไล่ส่งเขามาตลอดตอนนี้ผมก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเปลวมากขึ้น ผมอาจจะไม่ได้โกรธเคืองอะไรเหมือนที่ผ่านมาแล้วเพราะรู้ว่าเปลวสูญเสียความทรงจำ แต่ผมก็ยังไม่สามารถลบภาพการกระทำของเปลวออกไปจากหัวได้อยู่ดี

       จริงๆ..ผมไม่อยากจะนึกถึงมันเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพียงแค่เห็นหน้าเขา ทุกอย่างในคืนวันปัจฉิมก็จะปรากฎขึ้นมาในหัว มันไม่ได้ดีกับตัวผมหรอก..ผมรู้ แต่ผมก็ยังอยากจะเจอเขาอยู่ดี

       

        ..วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยๆ เหนื่อยแบบที่ไม่มีแรงจะทำอะไรเลย ผมจึงไม่สามารถลงไปข้างล่างได้ ทว่าในวันที่อาการผมไม่สู้ดีแบบนี้ ผมกลับพึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีอีกหลายเรื่องเลยที่อยากจะบอกให้เปลวรู้ และคำถามอีกมากมายเลยที่ผมอยากจะถามเปลวออกไป แต่ก็ได้แค่..คิดรอไว้เท่านั้น เพราะเก้าอี้ข้างๆเตียงยังคงว่างเปล่าอยู่เช่นเคย ผมจึงนั่งๆนอนๆอยู่แบบนั้นให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ..เป็นแบบนั้นไปจนกระทั่งเข็มสั้นบนนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังเคลื่อนที่ไปอยู่ระหว่างเลขห้าและเลขหก ..ผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเปลวอาจจะไม่ว่างสำหรับวันนี้



       “…” นึกๆดูแล้วก็แปลกดีเนอะที่ผมเอาแต่มองไปที่ประตูห้องอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ว่าเปลวจะมาหรือไม่มานั่นมันก็เป็นเรื่องของเขา และถึงแม้เปลวจะไม่มาผมก็ไม่มีสิทธิ์รู้สึกอะไรหรือเรียกร้องอะไรได้อยู่แล้ว…ความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้น ผมควรจะยอมรับให้ได้จริงมั้ย.. แต่ผมกลับทำไม่ได้เลย

       ผมไม่แน่ใจ …ไม่แน่ใจเลยว่าถัดจากวันนี้..

       ..จะมีวันอื่นให้ผมได้บอกเปลวอีกหรือเปล่า





       จมอยู่กับความคิดนั้นไปได้ซักพัก ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ..ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผมเห็นดังนั้นแล้วจึงเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดนั่นเข้าไปไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ก่อนจะปั้นสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับคนตัวสูงในชุดนักศึกษาที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา

       “..พึ่งเลิกหรอเปลว” ผมเอ่ยทักเขาในทันที คนมาเยี่ยมเมื่อเห็นว่าผมกำลังมองเขาอยู่เขาจึงยิ้มรับ ก่อนจะตรงมาแทนที่ที่ว่างบนเก้าอี้ข้างเตียง

       “ครับ ขอโทษนะที่มาซะค่ำเลย ผมคง..ไม่ได้รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณใช่ไหม..?” เขาพูดตอบ

       “ไม่หรอก เราดีใจซะอีกที่คุณมาเยี่ยม ..ขอบคุณนะครับ” ..ผมคิดถึงเสียงของคุณจังเลยเปลว คุณรู้มั้ย..ตลอดทั้งวันมานี้ผมเอาแต่เฝ้ารอคุณมาหา มันนานมากๆเลยกว่าเวลาจะผ่านไปแต่ละนาที

       “ฮ่าๆ ดีใจจังเลยครับ ..แล้วนี่..เป็นยังไงบ้างวันนี้..?”

       “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” ..ขอโทษนะครับที่ผมโกหก แต่ถ้าผมโกหกแล้วทำให้คุณไม่ต้องมาคอยกังวลเกี่ยวกับผม..ผมก็ยินดีที่จะทำ “แล้ว..คุณล่ะ? ที่มหา’ลัยเป็นยังไงบ้าง”

       “ก็ดีครับ ผมเรียนรู้จากเหตุการณ์ในโรงอาหารวันนั้นแล้ว ก็เลย..เริ่มฝึกใช้ชีวิตคนเดียว” เปลวยังคงรอยยิ้มของเขาไว้บนหน้า หากแต่น้ำเสียงของเขากลับฟังดูเศร้าสร้อยลงไปมาก ..ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะไม่มีใครคาดคิด แต่ต้นเหตุที่เกิดขึ้นก็เป็นเพราะผม.. “..ไม่ต้องขอโทษผมแล้วนะครับสำหรับเรื่องนั้น มันผ่านไปแล้วตอนนี้ผมโอเคดี”

       “…” ..เป็นผมอีกแล้วที่ทำร้ายเขา ทำร้ายเปลวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       “วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับคุณหรือเปล่าครับเทียน” เปลวเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นเมื่อเห็นว่าสีหน้าผมเริ่มเปลี่ยนไป ผมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อลบความรู้สึกนั้นออกไป บทสนทนาที่ผมเฝ้ารอมาตลอดทั้งวันจะได้ไม่เต็มไปด้วยบรรยากาศสีเทา

       “จริงๆก็เบื่อๆนิดหน่อย แต่ว่า..พอเปลวมา เราก็ไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว” นี่เป็น..ความรู้สึกจริงๆของผมเลยแหละ พอมีเปลวมาอยู่ข้างๆแบบนี้ ความรู้สึกเหนื่อยหน่ายก่อนหน้านี้ทั้งหมดทั้งมวลก็จางหายไปหมดเลย

       “ดีใจนะครับที่อยู่กับผมแล้วคุณไม่เบื่อ”  ..ลึกๆก็คงเป็นเพราะความผูกพันระหว่างผมกับเขา  แต่ผมคิดว่า..สีหน้าของเขา น้ำเสียง และรอยยิ้มตอนนี้ของเขาต่างหากที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อ “วันนี้ผมแวะห้องสมุดมา คุณสนใจเอาเล่มนี้ไปอ่านมั้ยครับ ผมยืมมาให้คุณโดยเฉพาะเลยพอเห็นว่าเป็นหนังสือแนะนำประจำสัปดาห์”

       “…” ผมยิ้ม ก่อนจะรับหนังสือที่เขายื่นมาให้ด้วยความยินดี ..นอกเหนือไปจากสิ่งที่ผมกล่าวไปทั้งหมดก็คงจะมีความน่ารักของเปลวตรงนี้ด้วยเหมือนกันที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อ ..เขาทำให้ผมรับรู้เลยว่าถึงแม้ในเวลาที่ห่างกัน แต่เปลวก็ยังคงนึกถึงผม

       “เปลวสนใจ..ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกับเรามั้ย” เพราะงั้น..ก็คงถึงเวลาแล้วที่ผมจะแสดงให้เห็นว่าผมเองก็นึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างกัน

       “ครับ..?” ฮ่าๆ กะไว้แล้วว่าเขาต้องทำหน้าแบบนี้ ความหมายที่ผมอยากจะสื่อก็ตรงตามที่พูดไปนั่นแหละ ตรงนี้อยู่สูงจากพื้นดินแปดชั้น ซึ่งก็สูงพอที่จะนั่งมองพระอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าได้โดยไม่มีตึกรามบ้านช่องมาขวางกั้นทรรศนะ และผมก็จำได้ว่าหน้าต่างบริเวณหน้าลิฟต์ก็อยู่ทางทิศตะวันตกพอดี ผมก็เลย..อยากไปดูพระอาทิตย์ตกดินกับเปลวตรงนั้นด้วยกัน

       “ตามมานะครับ!” ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่จู่ๆผมก็มีแรงพอที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งนำเปลวออกไปได้ซะอย่างนั้น

       “ไปไหน? เดี๋ยวก่อนเทียน! รองเท้าคุณ!” คงจะเพราะ..ผมคิดถึงเรื่องราวเก่าๆมั้ง เลยตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้กลับไปทำอะไรแบบนั้นอีกครั้ง..

       ..ตอนที่ผมและเปลวยังเป็นแค่เด็กมอสาม สมัยที่หัวผมยังเกรียน ในขณะที่หัวเปลวไว้รองทรงแต่มีรอยกรรไกรฉับอยู่สองรอยด้านหลัง วันนั้น..ผมถูกเขาแกล้งเอารองเท้านักเรียนผมไปซ่อน ตอนแรกผมก็ตามเกมเขาไปด้วยการตามหารองเท้าของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอ ในขณะที่เขาและผองเพื่อนก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด ผมจึงเลือกที่จะไม่สนใจรองเท้าตัวเองอีก แล้วเดินกลับบ้านไปทั้งอย่างงั้น ยอมรับว่าวินาทีนั้นผมหงุดหงิดอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าเปลวเริ่มหน้าเสียและกำลังวิ่งตามผมมาติดๆ ผมก็ตัดสินใจวิ่งหนีเขาไปพร้อมกับทิ้งท้ายว่า

        ‘กลับบ้านคนเดียวเลยนะ กุญแจอยู่กับกู แต่กูจะล็อกบ้าน มึงเข้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้า’

        พอคนขี้แกล้งอย่างเปลวได้ยินแบบนั้นก็สับตีนแตกวิ่งตามผมจนทัน แต่ผมตอนนั้นก็แสบอยู่พอตัว พอเห็นว่าเปลวกำลังวิ่งมาก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก จนสุดท้ายก็เสียหลักสะดุดล้มจนได้แผล



       ‘มึงจะวิ่งหนีกูทำไมวะ ดูไอ้ฟาย ล้มเลยสมน้ำหน้า’

       ‘ไม่เจ็บหรอก วิ่งเท้าเปล่าเมื่อกี้ก็ไม่เจ็บ’

       ‘ขี้โม้ ไม่เจ็บจริงมึงคงไม่ร้องไห้’

       ‘เจ็บก็ได้ถ้างั้น’

       ‘เห็นมั้ยล่ะ..’

       ‘เห็น แต่ก็ไม่เจ็บเท่ากับตอนที่กูใจไม่ดีเพราะหารองเท้าไม่เจอ แล้วมึงหัวเราะ’

       ‘เออน่า ขอโทษละกัน กูก็ถือรองเท้ามาให้มึงแล้วตั้งแต่ตอนที่มึงเดินออกมา แต่มึงเสือกวิ่งหนีกูอีก..’

       ‘ก็มึงเสือกตามกูมาอะ’

       ‘ขอโทษครับ’

       ‘กลับบ้านดีกว่า’

       ‘เดินไหวเปล่า..? ไม่น่าไหว..งั้นมานี่ดีกว่า ขี่หลังกู’




       ..หลังจากนั้นฉากหนังอินเดียก็จบลง เด็กหนุ่มผมรองทรงต้องชดใช้ความผิดด้วยการให้เด็กหนุ่มเจ้าของหัวเกรียนๆอีกคนขี่หลัง มือข้างนึงถือรองเท้าห้อยต่องแต่งไปมา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็บ่นกันไปตลอดทาง คนนึงเอ็ดที่อีกคนวิ่งไม่ระวังจนหกล้ม อีกคนก็เอ็ดที่เจ้าตัวเอารองเท้าไปซ่อน

       เป็นแบบนั้นไปจนเด็กหนุ่มเจ้าของผมรองทรงเอ่ยบอกกับคนบนหลังว่าพระอาทิตย์กำลังตกดิน ทุกอย่างจึงกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง



       ‘มึงดูนู่น’

       ‘ดูอะไร..? พระอาทิตย์อะหรอ’

       ‘เออ สวยดีเนอะมึงว่าปะ’

       ‘ก็ปกติหรือเปล่า’

       ‘หึ มันทำให้ท้องฟ้าตอนนี้สวยมากๆเลย’

       ‘…’

       ‘กูอยากเป็นพระอาทิตย์ ที่ทำให้ท้องฟ้าน่ามองได้แบบนี้’

       ‘ขอโทษนะ แต่ไม่เก็ท’

       ‘จะบอกว่า..ขอโทษนะที่แกล้ง กูจะไม่ทำอีกแล้ว’




       …ภาพท้องฟ้าขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับไปในวันนั้นจึงเป็นภาพที่สวยงามอีกภาพนึงเลยสำหรับเรา เพราะนอกเหนือจากท้องฟ้าแล้วก็ยังมีอีกสิ่งนึงที่ทำให้ภาพนี้องค์ประกอบลงตัว สิ่งนั้นก็คือ…รอยยิ้มของกันและกัน





       “..ไหนล่ะพระอาทิตย์ตกดินของคุณ” เปลวแค่นขำ เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเบื้องบนไม่มีดวงตะวันให้เห็นเลย ภาพตรงหน้ามีเพียงแสงสีส้มที่เล็ดลอดออกมาจากก้อนเมฆก้อนใหญ่ แผ่รัศมีกินพื้นที่อยู่ตรงขอบฟ้าทิศตะวันตก  ผมที่วิ่งมาถึงก่อนเห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่เกาหัวแก้เก้อ

       “ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะครับ” อุตส่าห์คิดว่าจะเป็นโอกาสให้อะไรตอบแทนเปลวบ้างแล้วแท้ๆ แต่หมู่เมฆกลับไม่ให้ความร่วมมือกับผมเอาซะเลย



       “..หน้าต่างตรงนี้เปิดได้หรือเปล่าครับ ผมว่าตอนนี้ลมน่าจะกำลังเย็นสบายแน่ๆ” คนตัวสูงกว่ายิ้มถามพร้อมกับปลดล็อกหน้าต่างกระจกก่อนจะเลื่อนออก

       “เมื่อกี้เปลวได้ถามเราหรือเปล่า หรือเปลวแค่พึมพัมกับตัวเองเฉยๆ”

       “ทั้งสองครับ”

       โอเค.. ผมจะพยายามเข้าใจคุณแล้วกันนะ



       ครู่ต่อมาหน้าต่างกระจกตรงหน้าก็ถูกเปิดออกจนกว้าง กระแสลมธรรมชาติจากภายนอกจึงพวยพัดเข้ามาด้านใน กระทบกับผิวกายของเราทั้งสองจนรู้สึกเย็นวาบเนื่องด้วยตอนนี้อยู่ในฤดูหนาว ทว่าสายลมเหล่านี้กลับทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย และยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นไปอีกเมื่อได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอดพร้อมกับหลับตา ผมทำแบบนั้นไปได้ซักพัก ก่อนจะถูกดึงกลับมาสู่โลกความเป็นจริงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงของเปลว



       “ทำไมจู่ๆ..ถึงชวนผมมาดูพระอาทิตย์ตกดินหรอครับ”

       “…”

       “ผมแปลกใจนิดหน่อย ..ปกติผมจะเป็นฝ่ายชวนคุณอยู่ตลอด ผมกังวลมากเลยว่าจะกวนคุณมากไปมั้ย จะทำให้คุณรำคาญกันหรือเปล่า”

       “ไม่หรอก เราไม่รู้สึกแบบนั้นแล้วล่ะ..ตั้งแต่ที่เริ่มเข้าใจเปลว” ใช่แล้ว..ผมไม่เคยนึกรำคาญเขาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นที่ชานบันได กลับกันผมกลับ..เฝ้ารอเวลาที่จะได้เจอเขาอยู่ทุกวัน “แล้วก็..ที่ชวนมาดูพระอาทิตย์ตกดิน..”

       “…”

       “คงเพราะ..เราคิดถึงเปลว”

       ผมคิดถึงเปลว ..คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ระหว่างเปลวและผมที่มันไม่มีทางย้อนคืนกลับมาได้แล้ว..

       “งั้น..ผมคงต้องย้ายมาตั้งฐานทัพอยู่นี่แล้วใช่ไหมครับ” เปลวปั้นสีหน้าจริงจังพร้อมกับพูดเสียงเข้มประหนึ่งว่าตัวเองเป็นพลทหารหน่วยไหนซักหน่วย ..ก็เกือบจะคล้ายแล้วแหละถ้าเขาไม่หลุดยิ้มออกมาซะก่อน ..ผมมองภาพที่เห็นก่อนจะหลุดขำให้กับท่าทีและคำพูดของเปลว

       “ที่นี่น่าเบื่อจะตายไป…คุณไม่ชอบหรอก” ผมพูดต่อ ..โรงพยาบาลไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับเขาหรอก ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว

       “ผมไม่น่าจะเบื่อหรอกครับ”

       “…”

       “..เพราะที่นี่มีคุณ” ..ที่ไม่เหมาะก็เพราะว่าถ้าเกิดเขามาอยู่นี่จริงๆ นอกจากโรคประสาท โรคไต ผมคงจะเป็นคนไข้โรคหัวใจเพิ่มขึ้นมาอีกโรค

       “ไม่หรอก..ชีวิตข้างนอกมีสีสันกว่าเยอะ” ผมพูดต่อ พยายามคงน้ำเสียงให้ดูปกติที่สุดไม่ให้เปลวรับรู้ได้ว่าหัวใจผมกำลังเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ทว่าหลังจากที่ผมพูดจบ เปลวที่ยืนอยู่ข้างๆก็นิ่งไปชั่วขณะ ..เขาไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา เพียงแต่มองมาที่ผมนิ่งๆด้วยสายตาที่ผมก็อ่านไม่ออก



       “คุณอยาก..กลับไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมั้ยครับ” และหลังจากที่จมอยู่กับความเงียบมาได้ครู่หนึ่ง จู่ๆเสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยขึ้นมา “ถ้าได้ออกไป…คุณจะทำอะไรเป็นอย่างแรก”

       “…” ถึงผมจะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เปลวถามซักเท่าไหร่ แต่เมื่อลองจินตนาการดูแล้ว ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ..ก็คงจะเป็นวันที่ดีมากๆเลยที่ผมจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับสิ่งที่ผมเฝ้าฝัน “..อาจจะดูน่าขำหน่อยนะ แต่ว่า..เรามีความฝัน”

       “…”

       “เราอยากเป็นหมอ เวลาคนที่เรารักเจ็บป่วยหรือไม่สบาย เราอยากเป็นคนที่ช่วยรักษาให้เขาหาย ..ฝันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ” จริงอยู่ที่ผมเคยหมดหวังและล้มเลิกความฝันของตัวเองไปแล้วหลายครั้งตลอดช่วงเวลาในโรงพยาบาล แต่ผมก็ปฏิเสธสิ่งที่เป็นตัวผมไม่ได้อยู่ดี ..ผมชอบในสายอาชีพนี้ ..ผมหลงรักความสุขของคนไข้ที่ถูกรักษาจนหายดี เพราะฉะนั้นหากว่าซักวันหนึ่งผมมีโอกาสได้กลับออกไปอีกครั้ง ผมก็จะกลับไปทำตามความฝันของตัวเองอีก ถึงแม้ว่าจะต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ก็ตาม

       “ไม่เห็นว่ามันจะน่าขำตรงไหนเลย เท่ดีออก”

       “ถ้าเปลวรู้ว่าตอนเด็กๆเรามุ่งมั่นขนาดไหนเปลวก็คงจะขำแหละ”

       “ขนาดไหนกันครับ?”

       “ตอนเด็กๆแม่เราป่วย เพราะงี้เลยเป็นสาเหตุให้เราอยากเป็นหมอ ตอนนั้นเราอยู่แค่ประถมเองนะ แต่เด็กชายเทียนไขคนนี้กลับเอาแต่อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน จนแม่ถามว่าจะอ่านอะไรขนาดนั้น เราก็ตอบไปว่าเราจะไปสอบหมอ ทั้งๆที่ตอนนั้นแค่ป.4”

       “…”

       “เพราะงั้นนี่คงเป็น..สิ่งที่เราคิดจะทำน่ะแหละ ถ้าได้กลับไปใช้ชีวิตข้างนอกอีก..” พอพูดจบผมก็หันกลับมามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆอีกครั้ง

       “…”

       “…” และผมก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น..

       “ผมรู้สึก..เหมือนเคยได้ยินคุณพูดแบบนี้มาแล้ว” ครู่หนึ่ง..สายตาของเปลวกลับมาเป็นสายตาของเปลวคนนั้นที่ผมรัก

       ..ความรู้สึกกระอักกระอ่วนทำอะไรไม่ถูกเกิดขึ้นกับตัวผม เสี้ยวหนึ่งความรู้สึกหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ ผมกลัว..กลัวว่าเปลวคนนั้นจะกลับมาทำร้ายผมอีก ..แต่พอได้สังเกตท่าทางของคนตรงหน้าดูดีๆแล้วผมก็พบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เมื่อกี้เป็นแค่ภาพๆนึงที่แล่นเข้ามาในหัวของเขาเท่านั้น เปลวคนนั้นไม่ได้กลับมาจริงๆอย่างที่ผมคิด ซึ่งก็..ดีแล้วล่ะ ดีแล้วที่เขาไม่ได้จำอะไรได้ และถ้าผมมีสิทธิ์เลือก..

       “ไม่หรอก เปลวคิดไปเองมากกว่า” ..ผมก็ขอเลือกให้เขาจำอะไรไม่ได้อีกเลยเช่นกัน

 

       



       


       หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่ออีก เปลวจึงขอตัวกลับบ้าน ส่วนผมก็เดินกลับมาพักผ่อนที่ห้องเหมือนเดิม จมจ่อมอยู่กับความรู้สึกขุ่นมัวในใจอยู่แบบนั้นตลอดทั้งคืน

       ผมไม่แน่ใจเลยว่าความรู้สึกของตัวเองตอนนี้จริงๆแล้วผมต้องการอะไรกันแน่ ใจหนึ่งผมอยากเจอเปลว อยากพูดคุยกับเขา อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเขาให้มากกว่านี้ ทว่าอีกใจนึงพอผมได้เห็นท่าทางที่เหมือนเปลวจะจำอะไรซักอย่างได้ ผมก็อยากจะถอยออกมาให้ห่างจากเขา วินาทีนั้นเสี้ยวนึงในหัวผมอยากจะให้เขาหายไปเสียด้วยซ้ำ

       คงจะดีกว่ามากถ้าเปลวจำอะไรไม่ได้ไปตลอด ให้เปลวเป็นเปลวที่ทำให้ผมในตอนนี้มีความสุขต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ..ให้อดีตที่เลวร้ายเป็นเพียงเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว และให้ภาพจำดีๆเป็นความทรงจำอันแสนงดงามที่พอนึกถึงก็จะยิ้มแบบนี้ต่อไป

       ขอให้มันเป็นแบบนั้น…ได้ไหม



 











       “อรุณสวัสดิ์ครับเทียนไข”

       ..เวลาผ่านไปจนเช้าวันใหม่ของผมเริ่มต้นขึ้น ทว่าเริ่มต้นได้ไม่กี่ชั่วโมงเสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง ผมที่พึ่งทานอาหารเช้าและทานยาเสร็จเรียบร้อย กำลังลงมาเดินเล่นข้างล่างพอได้ยินดังนั้นผมจึงหันไปหาต้นตอของเสียง ก่อนจะพบกับใบหน้าหล่อที่กำลังยิ้มแป้นในชุดนักศึกษา

       “กำลังจะไปเรียนหรอ..?” ผมเอ่ยถาม

       “ครับ ผมมีเรียนเก้าโมง..”

       “อีกสิบนาทีเนี่ยนะ จากนี่ไปมหาลัยก็ไม่ได้ใกล้เท่าไหร่เลยนะเปลว…จะทันหรอ” บางครั้งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเปลวซักเท่าไหร่ หลายครั้งแล้วเหมือนกันที่เปลวตกอยู่ในช่วงเวลาเร่งรีบแต่เขากลับเลือกที่จะแวะมาเยี่ยมผมก่อน เช่นเดียวกับวันนี้ 

       “จริงของคุณ..แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยากแวะมาเยี่ยมคุณก่อน วันนี้น่าจะเลิกค่ำ”

       “ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้น วันนี้ไม่ว่างเปลวก็มาวันอื่นก็ได้” ผมสบตากับเขา ..จริงอยู่ที่พอเห็นหน้าเปลวแล้วภาพในคืนวันปัจฉิมจะผุดขึ้นมาในหัวและมันไม่ดีกับตัวผมเลย แต่ทุกครั้งก้อนเนื้อในอกกลับมีแต่ความรู้สึกยินดี ที่มากไปกว่านั้นมันยังสูบฉีดเลือดอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่ใบหน้า

       “ผมอยากมาเจอคุณ”

       “…”

       “อีกอย่างผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย และที่สำคัญ…จำได้ไหม..? เทียนอนุญาตผมแล้วด้วยน้า” ก็ดูสิ่งที่เปลวพูดสิ ..จะไม่ให้ผมรู้สึกแบบนั้นได้ยังไงกัน

       “เรากลัวว่าคุณจะไปสายต่างหาก”

       “เป็นห่วงผมหรอครับเทียน”

       “…” ..และนอกจากความรู้สึกที่หัวใจเต้นถี่ระรัวแล้ว พอได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มของเปลวพูดแบบนี้ผมก็มักจะทำอะไรไม่ถูกทุกที ไม่รู้เลยว่าควรจะตอบกลับเขาไปยังไง ไม่รู้เลยว่าควรจะทำตัวแบบไหน

       “ฮ่าๆ คุณหน้าแดงนะรู้ตัวหรือเปล่า” เปลวเอ่ยแซว ทำเอาผมต้องยกมือขึ้นมาทาบแก้มเพื่อสำรวจว่าตัวเองเป็นอย่างที่เปลวพูดจริงมั้ย พออีกฝ่ายเห็นว่าผมมีปฏิกิริยาแบบนี้เจ้าตัวก็แค่นขำเบาๆ ผมหันไปมองค้อน เมื่ออีกฝ่ายเห็นสีหน้าของผมที่บอกบุญไม่รับเลยกระแอมกระไอเล็กน้อยแล้วคงสีหน้านิ่งเฉยเสมือนว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       เปลว.. ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

       ถึงเขาจะจำเรื่องราวต่างๆไม่ได้แต่นิสัยของเขา ท่าทางของเขา อารมณ์ทางสีหน้า นัยน์ตา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้าของผมตอนนี้ก็คือเปลวคนนั้น 

       “จริงสิ..อันนี้ผมมาเอามาให้คุณอ่าน ให้คุณเปิดก่อนเลย เป็น Best seller เลยนะครับ คิดว่าคุณน่าจะสนใจ เห็นว่าคุณชอบอ่านหนังสือ” เขาพูดพร้อมกับหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างก่อนจะยื่นมาให้ผม มันถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสอย่างดี “อ่านเสร็จแล้วมาเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับ ผมไปเรียนก่อนนะ…วันนี้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว”

       ..แม้แต่นิสัยนี้ เปลวก็ไม่เปลี่ยนไปเลย พอเขารู้ว่าผมชอบอะไร เขาก็จะพยายามหาสิ่งนั้นมาให้ผมเสมอ จำได้ดีเลยว่าครั้งนึงผมเคยบอกว่าผมชอบหนังแอคชั่นไซไฟ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หาหนังแอคชั่นไซไฟมาแล้วก็ชวนผมดูด้วยกัน หรือแม้แต่ครั้งนั้นที่ผมบอกว่าผมชอบทานแกงเขียวหวานที่พ่อเปลวซื้อมาให้ วันถัดมาเปลวก็หาสูตรแกงเขียวหวานแล้วทำให้ผมทานในทันที

       ..คิดถึงคุณจังเลยเนอะ



       “ภารกิจอะไรของคุณกัน” ผมเอ่ยถาม ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาจนหุบไม่อยู่ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอ เป็นปฏิกิริยาอัติโนมัติที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว

       “ก็…เอาหนังสือมาให้คุณอ่าน แล้วก็..มาเจอคุณครับ”

       “…” และก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่หัวใจผมเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอกแบบนี้

       “วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะหนาว ยังไงคุณก็ดูแลตัวเองด้วยนะเทียน เดี๋ยวหลังเรียนเสร็จจะเอาเสื้อกันหนาวมาให้”

       “โอเค เปลวรีบไปเถอะเดี๋ยวสาย”

       …หลังจากนั้นพวกเราก็แยกกัน เปลวโบกมือลาก่อนจะเดินไปทางออกของโรงพยาบาล ส่วนผมเมื่อรับหนังสือมาจากเขาเรียบร้อยผมก็เดินกลับขึ้นไปบนห้องพักผู้ป่วยดังเดิม

       จริงๆ..ที่ลงมาข้างล่างนี่ก็เพราะจะมาเจอเปลวนั่นแหละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกวันผมจะตั้งตารอเพื่อเจอเขาอยู่เสมอเลย

       วันนี้ก็เช่นเดียวกัน…อีกเก้าชั่วโมงเปลวน่าจะเรียนเสร็จ ผมจะอ่านหนังสือที่เขาพึ่งให้มาฆ่าเวลาเพื่อรอให้ถึงตอนที่เปลวจะมาหาผมอีกครั้ง หลังจากนั้นผมก็จะเล่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ให้เขาฟัง รับเสื้อกันหนาวจากเขา เอ่ยขอบคุณ ถามกันว่าระหว่างวันเป็นยังไงบ้าง พูดคุยกัน หัวเราะไปด้วยกัน ก่อนจะเอ่ยลากันด้วยคำว่า ‘เจอกันใหม่พรุ่งนี้’

       ภาพในหัวถูกวาดขึ้นมามากมาย ผมเห็นรอยยิ้มของเปลว สีหน้าของเขาที่อบอวลไปด้วยความสุข เพียงเท่านี้ช่วงวันของผมที่แสนเงียบเหงาก็กลายเป็นวันที่พิเศษขึ้นมาในทันที

       ขอให้..เป็นอย่างที่หวังนะ





       หนังสือที่เปลวเอามาให้ผมอ่านเป็นหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต ในเล่มนี้พูดถึงความสุขของคนเราในหลายๆความหมาย ผมใช้เวลาระหว่างที่รอนี้กวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษร เปิดแต่ละหน้าเบาๆด้วยความทะนุถนอม ซึมซัมสิ่งที่หนังสือต้องการจะสื่อให้ได้มากที่สุด

       ในเล่มบอกว่าความสุขมักจะทำให้เรายิ้มได้ ทำให้เราหัวเราะ ทำให้เรามองโลกใบนี้ในแง่มุมที่ดีขึ้น บางครั้งก็เกิดขึ้นเพราะว่าได้พูดคุย ได้สบตา ได้นั่งมองจากฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร และที่สำคัญคือ ความสุขเกิดขึ้นเพราะ..ได้รักในสิ่งนั้น พอได้อ่านทั้งหมดนี้ผมจึงสามารถนิยามความสุขได้เพิ่มอีกความหมายหนึ่ง

       ความสุขของผมคือ..เปลว

       ตอนนี้..ขอแค่มีเขา ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว



       



       แต่ผมลืมไป

       ผมลืมไปว่า..เทียนไขคนนี้ไม่เคยสมหวังกับอะไรเลย

       “…”

       ..เก้าชั่วโมงผ่านไปตามเวลาที่ผมได้คำนวณไว้ แต่ประตูห้องก็ไม่ถูกเปิดออก

       ..แสงสว่างจากภายนอกเริ่มหายไปแล้ว ในห้องที่ผมอยู่จึงค่อยๆมืดลง อากาศเริ่มเย็นเมื่อผนวกเข้ากับลมเอื่อยๆที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ ..หนังสือที่เปลวให้มาผมอ่านจบไปแล้ว ในใจกำลังเตรียมคำพูดที่จะบอกเล่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ให้เขาฟัง ในหัวกำลังคิดถึงใบหน้าซื่อๆของเขาตอนที่เห็นผมมีความสุขกับสิ่งที่เขาให้มา

       ผม..ทำได้แค่นั้น

       ทำได้แค่..วาดภาพอยู่ในหัว จมอยู่กับจินตนาการแสนเพ้อเจ้อของตัวเอง



       สุดท้าย..ท้องฟ้าก็ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆอีก จึงแน่ใจได้แล้วว่าวันนี้..เป็นแค่ ‘อีกวัน’ จากจำนวนวันที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของคนป่วยที่กำลังจะจากไปอย่างผม..

       ที่จริง..ผมอาการแย่ลงมากสำหรับเรื่องไต ไม่ว่าจะทานยาหรือรักษาด้วยวิธีใดแต่อาการผมก็ยังไม่ดีขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้น..ผมอาการทรุดลงเมื่อสองวันที่ผ่านมา และต้องเริ่มฟอกไตตั้งแต่วันพรุ่งนี้

       ..ผมทราบความจริงในเรื่องนี้ดี แต่ในหัวของผมไม่สามารถยอมรับมันได้ ทันทีที่ผมปล่อยให้ตัวเองนึกถึงหรือเป็นกังวลเรื่องนี้เมื่อไหร่ ผมก็จะหวาดกลัวขึ้นมา และทันทีที่ผมหวาดกลัว ภาพและเสียงที่ผมพยายามหลีกหนีก็จะกลับมาอีกครั้ง

       เพราะเหตุนี้เปลวจึงเป็นความสุขเดียวที่ผมมีอยู่ ผมอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ไปกับการได้เจอเขา พูดคุยกับเขา

       ..ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันกับเขา..ตลอดจนกว่าวันนั้นจะมาถึง

 

       ผมอยากให้เป็นแบบนั้นมากๆเลย แต่ว่า…ฮ่าๆ มันคงไม่มีทางเป็นไปได้ คงจะ..ผิดที่ผมเองนี่แหละ ที่ไม่เคยเผื่อใจสำหรับเวลาแบบนี้เลย ..ผิดที่ผมเชื่อเสียสนิทใจในทุกคำที่เปลวพูด..

       ‘เดี๋ยวหลังเรียนเสร็จจะเอาเสื้อกันหนาวมาให้’

       ..และเพราะผมเชื่อว่าเปลวจะมาหา พร้อมกับเอาเสื้อกันหนาวมาให้จริงๆ ในใจของผมเลยกลับมาเจ็บปวดอีกแล้ว..

       “…” ..ไม่รู้ว่าทำไมสายตาของผมถึงเอาแต่มองไปที่ประตู ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าเปลวไม่มาแล้ว ไม่รู้เลยว่า..ทำไมลึกๆในใจผมยังคงหวังอยู่ ยังคง..หวังอยู่เล็กๆว่าเปลวกำลังเดินทางนำเสื้อกันหนาวมาให้ผมอยู่ ยังคง..หวังว่าจะได้คลายหนาวด้วยเสื้อกันหนาวตัวนั้น



       ตุบ!

       ..หนังสือปกแข็งร่วงหล่นไปจากมือ ผมจึงกลับมาสู่โลกความเป็นจริงอันว่างเปล่า

       “…”

       คุณคง..ไม่มาแล้วจริงๆ



       สำหรับวันนี้..คงได้เวลาบอกลากันแล้ว

       ..เมื่อเริ่มยอมรับความจริงที่ไม่อยากยอมรับได้ ผมจึงหยิบหนังสือที่เปลวให้ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกอดมันไว้ในอ้อมอก

       “เจอกันพรุ่งนี้นะ”

       ไว้พรุ่งนี้..ถ้าคุณมาผมจะเล่าให้ฟังนะครับว่านิยามความสุขของผมเป็นอย่างไร











       ..แสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้ผมได้รู้ว่าเช้าวันใหม่มาเยือนแล้ว วันใหม่..ที่ปกติต้องได้ยินเสียงของคุณ

       คุณ..กำลังเดินทางมาหากันแล้วใช่ไหม..?



       คิดได้แบบนั้นแล้วผมจึงยิ้มออกมา ก่อนจะรีบจัดการกับอาหารเช้า ทำธุระส่วนตัว แล้วลงไปข้างล่างทันทีพร้อมกับหนังสือที่เปลวให้ซึ่งผมแนบไว้ในอ้อมกอด และไม่ลืมที่จะเดินไปบอกกับพี่พยาบาลใจดีคนเดิมว่าผมจะลงไปข้างล่าง

       จุดหมายที่ผมจะไปก็คือม้านั่งตรงสวนข้างหลังอาคารเฉลิมพระเกียรติ จุดนั้นเป็นจุดที่ผมและเปลวต่างก็รู้กันดี อาจจะเรียกได้ว่า..เป็นสถานที่สำหรับเราเลยก็ได้ เพราะหลายต่อหลายครั้งเรามักจะเจอกันที่นี่ และมักจะนั่งคุยกันตรงม้านั่งตัวนั้นเสมอ

       ฉะนั้นวันนี้ผมก็เชื่อว่าจะเป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าจะได้เจอเปลวที่นั่น



       ทว่า..แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไร สิ่งที่อยู่กับผมก็มีเพียงหนังสือเล่มเดิมในอ้อมแขนของตัวเอง และที่นั่งข้างๆที่ว่างเปล่า

       ผมอยากจะนั่งรออยู่ตรงนี้ด้วยความหวังลมๆแล้งๆอีกซักนิด หากแต่ผมไม่อาจทำได้อย่างใจต้องการ เมื่อถึงเวลาที่แพทย์นัดไว้..พี่พยาบาลที่ผมบอกเอาไว้ว่าจะไปนั่งเล่นที่สวนเขาก็มาตามให้ไปเข้ารับการฟอกไต

       เป็นการ..ฟอกไตครั้งแรกในชีวิตเลย



       จริงๆผมวาดภาพเอาไว้เหมือนกันนะว่าเปลวจะอยู่ข้างๆผม รอผมจนกว่าการฟอกไตจะเสร็จสิ้น  มืออุ่นๆของเขาประสานกับฝ่ามือของผมให้ความรู้สึกหวาดกลัวในใจมันหายไป แต่น่าเสียดายที่พอเอาเข้าจริงๆ..กลับไม่มีเปลวอย่างที่ผมวาดฝันเอาไว้

       ‘หมอครับ ..ขอผมจับหนังสือเล่มนี้เอาไว้ได้ไหม..’ ผมก็คงจะต้อง.. พยายามข่มความกลัวเอาไว้ให้ได้ด้วยตัวคนเดียว



       หลายชั่วโมงผ่านไป การฟอกไตแล้วเสร็จสำหรับวันนี้ ผมจึงถูกส่งขึ้นมาพักผ่อนบนห้องพักผู้ป่วยดังเดิม และทุกอย่าง..ก็ยังคงเงียบเหงาเหมือนเดิม

       ก่อนนอนคืนนั้น ผมกระชับหนังสือที่เปลวให้ขึ้นมากอดอีกครั้ง สายตายังคงมองไปที่ประตูห้องด้วยความหวัง ก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กๆออกมาด้วยความสุข..

       “เจอกันใหม่พรุ่งนี้” ..ที่ผมสรรสร้างขึ้นมาปลอบประโลมหัวใจที่กำลังร้องไห้









       คืนนั้นผมฝัน.. ฝันถึงเปลวและผมในอดีต ..ภาพในฝันเป็นสีโทนซีเปีย ฉากในฝันเป็นห้องนอนสีเทาหม่นของเปลว..ที่โซนโปรดของเขา เรากำลังเล่นเกมด้วยกัน ท่ามกลางเสียงบ่นเป็นระยะๆของเปลวเพราะไม่สบอารมณ์ที่ผมเล่นไม่เก่ง ทว่าพอเจ้าตัวเห็นว่าผมน้อยเนื้อต่ำใจ เขาก็ยื่นจอยบังคับมาให้ผมพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า ‘มานี่เดี๋ยวกูสอน’ ก่อนจะขยับมานั่งอยู่ข้างหลังผมแล้วจับมือผมให้บังคับจอยตามที่เขาทำ ..ในฝันนั้นเปลวและผมต่างเราก็มีความสุข ถึงแม้ตอนแรกจะขุ่นเคืองกันอยู่บ้างแต่หลังจากนั้นเราก็มีแต่เสียงหัวเราะ

       หากแต่..ความสุขของเราอยู่ได้แค่เพียงชั่วขณะหนึ่งฉากในฝันก็เปลี่ยนไป



       เปลวยืนหันหลังอยู่ข้างหน้าผมในชุดนักศึกษา เขาใส่หมวกหมวกไหมพรมที่ผมถักให้ ระยะห่างระหว่างเราค่อนข้างไกลกันพอสมควร ฉากรอบนอกมีเพียงแสงสว่างสีขาว

       ‘เปลว.. เปลวรอด้วย’ เทียนไขในฝันเอื้อมมือออกไปข้างหน้าพร้อมกับวิ่งไปหาคนที่เขารัก ทว่าไม่ว่าจะวิ่งไปเท่าไหร่เปลวก็ยิ่งไกลออกไปมากเท่านั้น

       ‘เปลว!’ ผมตะโกนเรียกอีกครั้ง และครั้งนี้เปลวก็หยุดอยู่กับที่ เขากำลังจะหันกลับมาหาผม

       ‘เปลว..รอด้วย!’ ตัวผมในฝันยังคงร้องเรียกเขาอยู่อย่างนั้น และจังหวะนั้นเองที่เปลวหันกลับมาหาผม ใบหน้าหล่อของเขากำลังจะปรากฎรอยยิ้มกว้างขึ้นมา ทว่าจู่ๆ..รอบนอกของเราก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน มือของผมเอื้อมออกไปข้างหน้าหวังจะจับต้องเปลว หากแต่..ไม่ทันที่ผมจะได้สัมผัสตัวเขา..

       ‘ขอโทษนะเทียนที่กูปกป้องมึงไม่ได้’

      เปลวก็จางหายไป


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
15


‘น้ำตาเทียน’


2/2





       “เปลว!” ผมตกใจตื่นขึ้นมาทันทีที่ภาพในฝันทุกอย่างมืดสนิท เมื่อรู้สึกตัวการหายใจของผมก็หนักหน่วงรุนแรง เหงื่อกาฬผุดขึ้นตามลำตัวเต็มไปหมดทั้งๆที่อากาศหนาวเย็น

       “…” ใช้เวลาชั่วครู่สำหรับคนป่วยอย่างผมในการรวบรวมสติกลับมา แต่ไม่นานนักผมก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่ผมเห็นเมื่อครู่มันไม่ใช่ความจริง

       ..ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง แล้วผมก็พบว่าตอนนี้เช้าแล้ว..เป็นรุ่งอรุณสุดท้ายของปีนี้ เข็มสั้นบนนาฬิกาที่ฝาหนังอยู่ระหว่างเลขแปดและเก้า ผมจึงสลัดภาพความฝันเมื่อครู่ออกแล้วลุกไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวที่จะ..ลงไปรอเปลวอีกครั้ง

       หลังจากที่ทานข้าวและทานยาเสร็จเรียบร้อยผมก็ลงไปข้างล่าง มุ่งตรงไปที่ม้านั่งตัวเดิม พร้อมกับหนังสือของเปลวเช่นเดิม

       ..ระหว่างทางผมเปิดหนังสือที่เปลวให้ไว้ขึ้นมาอ่านอีกครั้งเผื่อว่าผมอาจจะลืมเนื้อหาบางส่วนไป เวลาที่จะไปเล่าให้เปลวฟังเนื้อหาจะได้สมบูรณ์ครบถ้วน ..ผมใช้เวลาในการเดินประมาณห้านาทีผมก็มาถึงม้านั่งอันเป็นจุดหมาย จริงๆผมก็ยังก้มอ่านหนังสืออยู่แหละ แต่ก็รับรู้ได้เพราะตรงนี้จะมีลมอยู่แทบจะตลอดเวลา



       “เทียนครับ” เสียงอันคุ้นหูดังเข้ามาในโสตประสาท ผมลดระดับของหนังสือตรงหน้าลง ก่อนจะหันไปด้านหลังซึ่งเป็นที่มาของเสียงที่ได้ยิน แต่ไม่ทันที่ผมจะได้หันไปผ้าหนาๆก็ถูกคลุมมาที่ไหล่ของผม “ตรงนี้ลมแรง เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

       “…” ..และทันทีที่ผมรู้ว่าเป็นใคร จู่ๆน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้

       “ผมขอโทษนะที่หายไป” เปลว..กลับมาหาผมแล้ว คุณกลับมาหาผม..กลับมาอย่างที่คุณพูดเอาไว้ ..ถึงแม้มันจะเลยมาสองวันแล้ว แต่ผมก็ดีใจเหลือเกินที่คุณกลับมา..

       ดีใจเหลือเกินที่คุณไม่ได้โกหกกันอีก..



       “ผมติดธุระนิดหน่อย..พึ่งเรียบร้อยเมื่อวาน ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกคุณเอาไว้ก่อน”

       “ครับ ไม่เป็นไร อย่างน้อยเปลวก็กลับมาหาเราแล้ว” ผมกระชับเสื้อกันหนาวให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะหันไปหาคนตัวสูงด้วยรอยยิ้มที่ส่งตรงมาจากหัวใจ ทว่ารอยยิ้มของผมก็ต้องหุบลงเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นผ้าพันแผลที่พันอยู่ที่มือข้างนึงของเปลว “…มือเปลวไปโดนอะไรมา?”

       “…” เจ้าตัวดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าผมไปสังเกตเห็นบาดแผลที่ถูกปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้วของเขา

       “เจ็บไหม? ขอเราดูหน่อย..” ผมจับมือเขาขึ้นมาดูด้วยความร้อนรน พลิกสังเกตซ้ายและขวาเบาๆ

       ..ดีเหลือเกินที่ดูเหมือนจะไม่ใช่บาดแผลรุนแรง



       “สะบัดมือไปชนขอบโต๊ะน่ะครับ ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว”

       “โธ่ ทีหลังเปลวต้องระวังให้มากกว่านี้นะ” ผมเอ่ยบอกเขาอย่างจริงจัง คิ้วทั้งสองเผลอขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้เห็นอีกฝ่ายหัวเราะออกมานั่นแหละผมถึงได้รู้ตัวว่า…ผมเป็นห่วงเขา

       “ครับ ผมจะเชื่อฟังหมอเทียนครับ!” เปลวพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับตอบเสียงใส และคำว่า ‘หมอเทียน’ ที่เปลวพูดเมื่อกี้ก็ทำให้ผมที่สีหน้าจริงจังเมื่อครู่หลุดขำ

       “ยังไม่ใช่หมอซักหน่อย”

       “เดี๋ยวก็ใช่ครับ” เจ้าตัวรีบพูดต่อทันทีด้วยน้ำเสียงยียวน ทว่ามันกลับ..ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจ “..ถึงตอนนั้นผมจะป่วยเยอะๆแล้วไปให้หมอเทียนรักษา”

       “เรื่องไม่มีใครคิดทำ เปลวคิดตลอดเลยนะ”  อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว ..เปลวเป็นคนแบบนั้นจริงๆตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เรื่องไหนที่แปลกๆ ไม่มีใครคิดทำ เปลวมักจะทำ



       “เปลวจะรอ..จนกว่าเราจะเรียนจบมั้ยล่ะ” ผมถามต่อ และคำตอบที่ได้ก็ทำเอารอยยิ้มของผมหุบไม่อยู่..

       “รออยู่แล้วครับ”

       “…”

       “รออยู่ตรงนี้..”

       “…”

       “อยู่ข้างๆคุณตลอดไปเลย”



       ..ขอบคุณนะเปลว

       ขอบคุณที่ทำให้..เราอยากกลับไปทำตามความฝันอีกครั้ง



        ..กระแสลมพัดผ่านพวกเราทั้งสองอีกระลอก นำพาเอาความหนาวเย็นมากระทบผิวหนัง ดีหน่อยที่ผมได้เสื้อกันหนาวของเปลวช่วยเอาไว้ ทำให้ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนั้นซักเท่าไหร่ ..ผมและเขาเดินมานั่งตรงม้านั่งกันแล้ว ตลอดช่วงที่ได้พูดคุยกัน บรรยากาศรอบนอกที่ผมรับรู้ก็อบอวลไปด้วยความสุข ผมยิ้ม..เปลวก็ยิ้ม เราต่างก็หัวเราะไปด้วยกันกับบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง

       และในที่สุด..ผมก็ได้เล่าเรื่องราวจากหนังสือให้เขาฟัง โดยที่ไม่ใช่ภาพเพ้อฝันที่ผมวาดขึ้นมาในหัวอีก..

       “เปลวรู้มั้ยความสุขคืออะไร” ผมหันไปหาเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า หนังสือที่เปลวให้มาตอนนี้ผมวางมันไว้บนหน้าตัก มือข้างหนึ่งจับมันไว้ด้วยความหวงแหนส่วนอีกข้างวางไว้บนพื้นที่ระหว่างผมกับเขา ในใจนึกไปถึงความรู้สึกตอนที่ได้อ่านเนื้อหาข้างใน “..หนังสือเล่มนี้ที่เปลวให้เรามา เขียนบอกเอาไว้ว่า ความสุข..มักจะทำให้เรายิ้มได้ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพราะว่าเรารักในสิ่งนั้น ..อาจจะเป็นหน้าที่การงาน วิชาชีพ งานอดิเรก หรือใครซักคน”

       “…” ..คนตัวสูงขยับหันมาหาผมอย่างใคร่รู้ เราสบตากัน ผมจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของเปลวได้ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อ

       “..เราลองคิดๆดูแล้ว…ความสุขของเราก็แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย”

       “…”

       “แต่ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น ความสุขของเรามักจะเกิดขึ้นเพราะคนๆนึง” ..ก่อนหน้านี้ผมเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าความสุขมันหน้าตาเป็นแบบไหน ชีวิตที่อยู่ตัวคนเดียวแต่เหมือนกับแบกรับโลกทั้งใบเอาไว้มันทำให้ผมเหนื่อยล้าและท้อใจเป็นอย่างมาก จนสุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ดูน่าเบื่อไปเสียหมด เป็นแบบนั้น.. กระทั่ง..ความสุขของผมเกิดขึ้นอีกครั้ง

       “ใครกันครับ..?”

       “เขา..เหมือนเป็นโลกทั้งใบของเรา” ..เป็นความสุขที่เกิดขึ้นเพราะใครคนนึงที่ผมเคยเกลียดแสนเกลียด ทว่าพอเราได้เข้าใจกัน..รู้ตัวอีกทีใครคนนั้นก็เป็นโลกทั้งใบของผมไปแล้ว “..เขาทำให้แต่ละวันที่มันไม่มีอะไรเลยของเรา กลับมาเป็นวันที่แสนพิเศษ”

       “…”

       “เขาชอบซื้อของมาฝากเรา ทำอะไรมาให้เราอยู่บ่อยๆ ครั้งนึงเขาเอาแอปเปิลรูปกระต่ายมาให้ เขาบอกว่าเขาซื้อมาแต่เรารู้..เรารู้ว่าเขาเป็นคนหั่นมาเอง เพราะแอปเปิลทุกชิ้นไม่มีชิ้นไหนสมส่วนเลย” นึกแล้วก็แอบขำอยู่เหมือนกันนะตอนนั้น เขาบอกว่าเขาซื้อมา แต่พอผมเอามาดู..แอปเปิลทุกชิ้นขาดๆเกินๆหมดเลย พลาสติกถนอมอาหารก็ห่อไม่ได้มาตรฐานซักเท่าไหร่ “..แต่เรากลับยิ้มไม่หุบเลย เมื่อเห็นถึงความตั้งใจของเขา”

       “…”

       “เขาเป็นคนที่เราต้องขอโทษเขาอยู่บ่อยๆเพราะเราทำร้ายเขาเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้..เราอยากจะขอบคุณเขา”

       “…”

       “ขอบคุณ..ที่เขาเข้าใจเรา ไม่ถือโทษโกรธในสิ่งที่เราทำกับเขาแล้ว”

       “…”

       “ขอบคุณ..ที่เขาทำให้เราหายเศร้า เลิกหวาดกลัว ทำให้เรายิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น พูดเก่งมากขึ้น ..ทำให้อาการป่วยของเราดีขึ้นอย่างรวดเร็ว” ..คุณหมอภวิดาเคยบอกกับผมว่าอยากให้ผมนึกถึงคนสำคัญของผมเอาไว้ พวกเขาจะคอยให้กำลังใจผมอยู่เสมอ ซึ่งใครคนนั้นก็เป็นคนสำคัญของผมเช่นเดียวกัน เมื่อผมทำตามที่หมอบอกหลังจากนั้นอาการป่วยของผมก็ดีขึ้นมาก ถ้าวาดลงกราฟ..กราฟของผมก็ไม่เคยตกอีกเลย มีแต่คงที่และพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น เพราะฉะนั้น..ผมเลยอยากขอบคุณคุณความสุขของผมและอยากให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกของผม..

       “…”

       “ขอบคุณนะเปลว…สำหรับทุกอย่างเลย” ..ที่ผมรู้สึกมาตลอดหลังจากที่มีเขาอยู่ข้างๆแบบนี้



       ..ใบไม้สีน้ำตาลหลายสิบใบร่วงหล่นมาจากต้น ก่อนจะถูกสายลมพัดพาให้ปลิวตกลงสู้พื้นดินอย่างช้าๆ หากแต่มีใบไม้ใบนึงที่แปลกแยกจากเพื่อนสูง มันไม่ปลิวตกลงสู่พื้น แต่มันกลับปลิวมาตกบนหน้าผม ผมที่กำลังจริงจังกับเรื่องที่พูดออกไปเมื่อครู่  โธ่…เปลวต้องหัวเราะผมแหงๆ

       “เทียน..ใบไม้..” นั่นไง ผมคิดไม่ผิดเลย ..คนตรงหน้าพอเห็นแบบนั้นแล้วก็หัวเราะลั่นอย่างที่ผมคิดไว้ ..แต่หลังจากนั้นเปลวก็ยื่นมือมาใกล้ผม ก่อนจะค่อยๆหยิบใบไม้ที่ติดอยู่บริเวณพื้นที่ตาและสันจมูกของผมออก ทันทีที่ผิวนุ่มๆจากฝ่ามือของเขาสัมผัสโดนใบหน้า..หัวใจของผมก็เริ่มทำงานหนักอีกแล้ว



       “เทียนครับ” เสียงอันคุ้นหูเอ่ยเรียก ..ใบไม้ถูกกำจัดออกใบจากใบหน้าผมแล้ว หากแต่สัมผัสจากมือของเปลวก็ยังคงทำให้หัวใจของผมเต้นถี่ระรัว ผิวนุ่มๆไม่ได้สัมผัสใบหน้าผมแล้วแต่ว่าเลื่อนลงมาสัมผัสที่ฝ่ามือของผมที่วางอยู่ระหว่างผมและเปลวแทน..



       “แล้ว..เทียนรู้มั้ย ตอนนี้ความสุขของผมคืออะไร”

       “…”

       “ความสุขของผมตอนนี้คือรอยยิ้มของคุณ”

       “…” นี่เปลว..ไม่ได้วางแผนจะทำให้ผมหัวใจวายใช่ไหมครับ..

       “อาจจะเพราะผมเคยเห็นแต่ตอนที่คุณร้องไห้ พอได้เห็นคุณยิ้มผมก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า..นี่แหละคือความสุขของผม”

       “…”

       “ผมเลยสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะทำให้คุณยิ้ม และจะไม่ทำให้คุณกลับไปร้องไห้อีกแล้ว” ..เปลวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมยิ้มให้กับสิ่งที่ได้รับรู้ ก่อนจะละมืออีกข้างจากหนังสือบนหน้าตักมาแนบบนหลังมือของเปลว ดวงตาสีนิลของเขาก้มมองลงมาที่มือของผม ทว่าหลังจากนั้น..จู่ๆเปลวก็นิ่งไป ไหล่กว้างของเขาสั่นเทาขึ้นมาจนผมสังเกตได้ “เพราะฉะนั้น..สัญญาเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหมเทียน.. ว่าคุณ..จะไม่ร้องไห้อีกแล้ว”

       “…” เปลวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ..เขายังคงก้มมองไปที่มือของเราที่สัมผัสกันอยู่เหมือนเดิม ผมมองภาพที่เห็นด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจ ทีแรกผมก็ดีใจนะ..ที่รอยยิ้มของผมเป็นความสุขของเขา แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าอะไรบางอย่างมัน..ผิดเพี้ยนไป

       “นะ..สัญญานะ..” ..อาจจะเพราะการเว้าวอนของเปลวแบบนี้ น้ำเสียงที่สั่นเครือของเขาทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด..

      “…”

      “..สัญญากัน..นะ” ..ผมอาจจะไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เปลวต้องการซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามันสามารถทำให้ไหล่กว้างของเขาหายจากอาการสั่นเทา สามารถทำให้น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาเลิกสั่นเครือได้แล้วล่ะก็..

       “สัญญาครับ” ..ผมก็ยินดีที่จะรับคำ



       ..หลังจากนั้นท่าทีของเปลวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม ผมพยายามสังเกตสีหน้าของเขาทว่าก็ไม่ได้คำตอบอะไร เพียงแต่นัยน์ตาสีนิลของเขาทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาในหัว เพราะเส้นเลือดในตามันดูแดงขึ้นมาราวกับว่าเมื่อครู่เปลวกำลังจะร้องไห้

       เราคุยกันได้ซักพักพระอาทิตย์ก็โผล่ออกมาจากหมู่เมฆ สาดแสงและความอบอุ่นลงมา ..ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์อยู่เกือบจะเหนือหัวแล้วก็เลยหันไปหาเปลวอีกครั้ง 

       “ใกล้จะเที่ยงแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน คุณหมออนุญาตเราแค่ถึงเที่ยง เราต้องพักผ่อน” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นหนังสือของเปลวคืนเขาไป “ขอบคุณนะที่เอามาให้เราอ่าน”

       “ครับ งั้นผมไปเรียนก่อน พักผ่อนเยอะๆนะครับ ..หมอเทียน”

       “…” ..ตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่าเปลวกลัวผมไม่เชื่อว่ารอยยิ้มของผมเป็นความสุขของเขาหรือเปล่า เพราะคำว่า ‘หมอเทียน’ ของเขาทำให้ผมยิ้มไม่หยุดเลยวันนี้ 

       งั้น..ถ้าเป็นแบบนั้น ผมขอทำให้เขายิ้มไม่หยุดบ้างดีกว่า

       จะได้..เท่าเทียม : D

       “คนไข้ก็..ตั้งใจเรียนนะครับ”

   





       หลังจากที่แยกตัวออกมาผมก็กลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้งเพื่อทานอาหารกลางวัน ..ยอมรับว่าจนถึงตอนนี้แล้วผมก็ยังยิ้มไม่หุบ ผมรู้สึกสบายใจและมีความสุขมากๆ ที่การรอคอยของผมไม่สูญเปล่า ผมได้ทำสิ่งผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการที่ผมได้บอกเล่าเรื่องราวภายในหนังสือให้เปลวฟัง ได้พูดคุยกับเขา รับเสื้อกันหนาวมาจากเขา และได้ขอบคุณเขาจากใจจริง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผมเลยที่..หลายๆอย่างเป็นไปอย่างที่ผมหวัง



       นั่งยิ้มนอนยิ้มไปได้ซักพักผมก็เข้าไปแทรกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวเพื่อพักผ่อน ทว่า..ไม่ทันที่ผมจะได้หลับตาประตูห้องก็ถูกเปิดออก..

       “คุณเทียนไขคะ คุณหมอภวิดารออยู่ที่ห้องทำ ECT แล้วค่ะ” พี่พยาบาลเดินเข้ามาเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร พอได้ยินสิ่งที่เธอบอกผมจึงได้รู้ว่าผมลืมตารางการรักษาของตัวเองไปเสียสนิท ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ผมต้องทำ ECT

       “โอเคครับ” ผมตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วค่อยๆหย่อนขาลงจากเตียง พี่พยาบาลเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาช่วยเหลือ

       “วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะคะสำหรับการทำ ECT หลังจากนี้คุณหมอภวิดาจะเปลี่ยนการรักษาเป็นจ่ายยาให้ทานเหมือนเดิมค่ะ”



       ดูเหมือนว่า..

       วันนี้จะเป็นวันที่ดีมากๆเลยล่ะเปลว ถ้าคุณรู้คุณต้องดีใจมากแน่ๆ..

       อาการป่วยของผม..อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่อันตรายต่อผู้อื่นแล้ว



       

        …เวลาผ่านไปจนทุกอย่างเสร็จสิ้นกระบวนการ แต่เพราะหมอภวิดาอยู่พูดคุยกับผมต่อด้วย กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปพอสมควรเลยทีเดียว เธอถามไถ่ถึงอาการของผม ความรู้สึกของผมตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งผมก็บอกเธอไปตามตรง ส่วนคุณหมอ..พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ดูเธอโล่งใจขึ้นมากๆ เธอเอ่ยชมผมอยู่หลายครั้งว่าผมเก่งมากๆที่ผ่านมันไปได้ ..ทั้งหมดทั้งมวลนี่ผมก็ต้องขอบคุณคุณหมอเขามากๆเลย เธอไม่เคยยอมแพ้เลยถึงแม้ว่าอาการผมจะแย่ลงอยู่หลายครั้ง ต้องขอบคุณหมอจริงๆที่สู้ไปกับผมและไม่เคยทิ้งผมเลย

       ..ขอบคุณมากนะครับ



       จากนั้นเราก็มีคุยกันเรื่องแผนการรักษาต่อจากนี้อีกซักหน่อย เพราะผมยังต้องพึ่งยาอยู่เพื่อให้หายขาดและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นหนักอีก ซึ่งกว่าจะเสร็จพระอาทิตย์ก็ย้ายตำแหน่งมาอยู่ทางทิศตะวันตกเสียแล้ว

       ..ท้องฟ้าเบื้องบนมีหมู่เมฆปรากฎอยู่ประปราย หมู่เมฆพวกนั้นกำลังเคลื่อนที่ไปตามทิศทางของมัน ..ผมที่พึ่งเสร็จจากกระบวนการรักษาทุกอย่างกำลังพาตัวเองไปที่ลิฟต์เพื่อกลับขึ้นไปบนห้อง แต่ระหว่างทางที่ค่อยๆเดินไปผมก็มองหมู่เมฆพวกนั้นไปด้วย

       ..แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างกระจกใส ตกกระทบกับพื้นหินอ่อนสีขาวจนเห็นเป็นเงาของช่องหน้าต่างอยู่ที่พื้น ..ภาพที่ผมเห็นตอนนี้ดูสวยงามเหมือนกันนะ เพียงแต่แดดค่อนข้างแรงไปหน่อยผมเลยรู้สึกแสบตา

       ทว่า..จู่ๆเงาที่พื้นหินอ่อนก็ค่อยๆจางหายไป แสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมาเมื่อครู่..ก็หายไปเช่นกัน ..เมฆก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเคลื่อนตัวไปบดบังดวงอาทิตย์ จนทำให้มุมมองจากบนโลกตรงนี้ไม่สามารถสังเกตเห็นดวงอาทิตย์ได้ เพราะงั้นผมจึงสามารถจ้องมองท้องฟ้าได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะแสบตาเพราะแสงอาทิตย์อีก 

       มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วใช่ไหม..? ผมเองก็คิดแบบนั้น แต่ผมกลับรู้สึก..หวั่นๆใจยังไงก็ไม่รู้



       ‘กูอยากเป็นพระอาทิตย์ ที่ทำให้ท้องฟ้าน่ามองได้แบบนี้’



       จู่ๆคำพูดของเปลวก็ดังขึ้นมาในหัว ตอนนั้นผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อเลยซักนิด แต่ว่าตอนนี้..ภาพเมื่อครู่ได้อธิบายอะไรบางอย่าง..



       ท้องฟ้าจะน่ามอง

       ก็ต่อเมื่อ..พระอาทิตย์หายไป







       ..ผมสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัว ก่อนจะรีบเดินไปยังลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง ใช้เวลาชั่วครู่ผมก็มาถึงบริเวณหน้าลิฟต์ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปกดลูกศรชี้ขึ้นตรงหน้า ก่อนจะขยับถอยออกมาเมื่อรอให้ประตูลิฟต์เปิดออก ..ตัวเลขข้างบนลิฟต์ครั้งแรกปรากฎเป็นเลขเจ็ด แต่ก็ค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆ เมื่อลิฟต์ใกล้จะลงมาถึงชั้นล่าง

       และขณะที่ยืนรออยู่ตรงนั้น ผมก็ได้มีเวลาจมอยู่กับความคิดในหัวของตัวเอง

       ผม..พยายามบอกตัวเองว่าให้มองไปยังอนาคต คิดถึงอนาคตต่อจากนี้ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน แต่ทว่า..เสียงของเปลวที่จู่ๆผมก็นึกถึงก่อนหน้านี้ก็ยังคงรบกวนใจผมอยู่ตลอด

       และสุดท้าย..ผมก็สลัดมันออกไปจากหัวไม่ได้



       ‘ถ้ามึงบอกว่ามึงจะไม่ทำอีกแล้ว กูก็คงจะไม่มีเหตุผลอะไรจะโกรธมึงแล้วเหมือนกัน’

       ‘โอเค โล่งแล้วกู’

       ‘เออแล้วเมื่อกี้ที่มึงพูด..มันหมายความว่าไงวะ?’

       ‘ที่กูพูด..?’

       ‘ก็ที่มึงบอกมึงอยากเป็นพระอาทิตย์อะไรซักอย่างอะ อยากจะเก็ทแต่กูไม่เก็ทว่ะ..จริงๆ’

       ‘ฮ่าๆ มันไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก กูแค่หมายถึง.. จะว่าไงดี’

       ‘ว่าไงก็ได้ครับคุณ เร็วเถอะ อยากรู้’

       ‘ท้องฟ้าที่กูพูด..กูหมายถึงมึง’










       ติ๊ง!

       ..ในที่สุดประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออก ตัวที่เปิดออกเป็นตัวที่อยู่ขวามือของผม เท้าซ้ายและขวาของผมจึงก้าวสลับกันไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงเมตร

       หากแต่..ไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวไปต่อ ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่า..ขาทั้งสองมันก้าวไม่ออกอีกต่อไปแล้ว

       ..ภาพที่เห็นคือคนตัวสูงที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี ข้างๆตัวเขามีเสาน้ำเกลือ และพยาบาลคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยกัน

       “..เปลว..” ผมเอ่ยเรียกคนที่ออกมาจากลิฟต์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จู่ๆน้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาจนรู้สึกร้อนผ่าว

       รูปร่างของเขา.. ส่วนสูงของเขา.. ใบหน้า ริมฝีปาก และนัยน์ตาสีนิลของเขา..

       คนตรงหน้าผมตอนนี้..คือเปลวจริงๆ



       “…”

       ปกติผมก็ควรจะดีใจใช่มั้ย..ที่เปลวกลับมาหากันอีก.. ผมควรจะเป็นแบบนั้น..

       “คุณ..คุณเป็นอะไร ทำไมคุณถึง..” ..ผมควรที่จะ..ไม่ร้องไห้ ควรจะยิ้มออกมาอย่างทุกครั้งที่เราเจอหน้ากันไม่ใช่หรอ.. ทำไมตอนนี้ผมกลับ..ยิ้มไม่ออกเลย..

       “..อา..ฮ่าๆ ความลับไม่มีในโลกจริงๆสินะ..” ..ทุกอย่างมันตื้อไปหมด ในหัวขาวโพลน ทุกส่วนของร่างกายไม่มีส่วนใดเคลื่อนไหว

       “ทำไมคุณถึง..ใส่ชุดนี้” ผมเอ่ยถามคนตัวสูงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่พยายามคงไว้ให้ดูปกติให้มากที่สุด ..ตอนที่เจอกันเมื่อเช้าจนถึงตอนเที่ยงเขาใส่ชุดนิสิต หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าเขาจะไปเรียน แล้วเราก็แยกกัน ทุกอย่างมันก็ดูปกติดี คุณไปเรียนบ่ายเวลาเลิกของคุณก็น่าจะประมาณห้าโมงแต่นี่พึ่งบ่ายสามกว่าๆ ยิ่งไปกว่านั้น..ชุดที่คุณใส่อยู่..

        ..มือของผมเริ่มสั่นระรัวอย่างไม่อาจควบคุมได้ และทุกอย่างมันก็ยิ่งหนักขึ้นเมื่อสายตาของผมเหลือบไปเห็นหลังมือของเปลวที่เคยมีผ้าพันแผล ตอนนี้กลับมีเข็มจากสายน้ำเกลืออยู่ด้วย

       …เปลวเอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้นและไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่มองผมด้วยสายตาที่ผมไม่อยากเห็น.. ไม่อยากเห็นเลย

       ไม่อยากเห็นเปลวเจ็บปวดเลย..



       ทำไมกันเปลว.. ทำไมคุณถึงใส่ชุดนี้..

       …ทำไมคุณถึงใส่ชุดเดียวกับชุดที่ผมใส่อยู่



       “เทียน..คุณจำสัญญาที่คุณเคยให้ผมได้มั้ยครับ จำได้มั้ย..ที่ผมเคยบอกคุณ..” ..เปลวขยับเข้ามาใกล้ผม เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม เราห่างกันไม่ถึงฟุต

       “…” ..ภาพที่ผมเห็นเริ่มพร่าเบลอจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ..ฝ่ามืออุ่นๆของเขาเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าของผม นิ้วหัวแม่มือของเขาเกลี่ยลงบนเปลือกตาของผมอย่างเบามือ วินาทีนั้นผมจึงไม่สามารถกลัดกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป หยาดน้ำสีใสไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่ได้..

       “สัญญากันแล้ว..ห้ามผิดสัญญานะรู้มั้ย”

       “…” ..ทำไมคุณถึงไม่เคยบอกผม ทำไมเปลวถึงไม่เคยบอกเราเลย.. ทำไมผมถึงไม่เคยรู้เลย..

       “ห้ามร้องไห้ ไม่ร้องแล้วนะครับ ..นะครับ” ..น้ำเสียงทุ้มนุ่มเริ่มสั่นเครือ เปลวยังคงเว้าวอนให้ผมทำตามคำสัญญา แต่ผมก็ไม่อาจรักษาสัญญานั้นไว้ได้อีกแล้ว เพราะแบบนี้ใช่ไหม.. คุณถึงพยายามบอกเราอยู่หลายครั้งว่าไม่อยากให้เราร้องไห้..

       ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย..เปลว

       ทำไมคุณทำแบบนี้..



       “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่..ไข้หวัด..” คนตัวสูงลูบหัวผม รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา ทว่า..ไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยคดี เสียงหวานของพยาบาลคนนั้นก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเปลว

       “คุณทินกรคะ ห้องเอกซเรย์เชิญทางนี้ค่ะ” ..ทันทีที่ผมได้ยินผมก็แทบจะไม่มีแรงเหลือให้ยืนหยัดอยู่ตรงนั้นได้ ..ทำไมเปลวถึงต้องเอกซเรย์.. เปลวปกติดีไม่ใช่หรอ.. ก่อนหน้านี้เปลวยังยิ้ม ..เปลวยังหัวเราะไปกับผมอยู่เลย

       ภาพหลอน.. ใช่แล้ว นี่เป็นภาพหลอนต่างหาก.. มันไม่ใช่ความจริงหรอก..

       “..ฮ่าๆ ขอโทษนะครับที่ผมโกหกคุณมาตลอดเลย” มันต้อง…ไม่ใช่ความจริง

       “…” ..ทั้งๆที่พยายามบังคับให้ตัวเองเชื่อไปแบบนั้นแล้วแท้ๆ..

       “ผมต้องไปแล้วนะครับ”

       แต่กลับ..ไม่มีประโยชน์อะไรเลย








มีต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2019 11:07:55 โดย _MindSky »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       “…”

       ..เทียนไขนั่งนิ่งๆอยู่ข้างหน้าห้องเอกซเรย์ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า สายตามองไปข้างหน้าโดยไร้จุดโฟกัส ..ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ข้างหน้าเขา แต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่นิ่งๆแบบนั้นโดยแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

       เวลาผ่านไปแล้วร่วมชั่วโมง ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มมืดลง แต่ประตูที่อยู่ข้างหลังก็ยังไม่ถูกเปิดออก เปลวยังคงอยู่ข้างในนั้น เทียนไขจึงทำได้แค่พยายามข่มความรู้สึกในใจของตัวเอง และรอให้เวลาแต่ละวินาทีค่อยๆผ่านไป ซึ่งสำหรับเทียนไขแล้ว..มันนานเหลือเกินในความรู้สึก

       คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แต่เทียนไขก็ไม่สามารถรู้คำตอบของคำถามพวกนั้นได้เลย สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงจมอยู่กับความสงสัยเหล่านั้น จมอยู่กับภาพความทรงจำเก่าๆ..



       ‘เทียน มึงว่า..เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปได้มั้ยวะ’

       ‘เปลวก็รู้..ตลอดไปมันไม่มีจริง’

       ‘กูอยากจะเป็นคนแรกที่ทำให้มันเป็นจริง’

       ‘แต่ไม่ว่ายังไง..สุดท้ายแล้วเราก็ต้องจากกันอยู่ดี’

       ‘ก็แค่จากกันปะวะ ยังไงก็ยังอยู่ด้วยกันได้อยู่ดี’

       ‘ไม่เก็ทอะ’

       ‘ก็..ถึงแม้จะจากกันไปแล้ว แต่เราก็ยังอยู่ด้วยกัน’

       ‘…’

       ‘อยู่ในใจของกันและกัน’

       ‘…’

       ‘ตลอดไป’




       ..ทำให้จนถึงตอนนี้..หยาดน้ำตาเม็ดใสก็ยังคงไหลรินออกจากดวงตาทั้งสอง เทียนไขภาวนาอยู่ซ้ำๆว่าขอให้ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่ความจริง บางทีนี่อาจจะเป็นฉากอันเลวร้ายฉากนึงในความฝัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นภาพที่เกิดขึ้นเพราะโรคประสาทของเขากำเริบขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้ว..ขอร้อง อย่าให้ทั้งหมดนี้เป็นความจริงเลย..



       “อ้าวเทียน” ..เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นหู เทียนไขรับรู้ดีว่าตอนนี้กำลังมีใครซักคนเรียกชื่อเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้หันไปตามเสียงที่เรียก สายตาของเขายังคงมองไปข้างหน้านิ่งๆ แววตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ



       “เวลานี้คุณควรจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้องแล้วนะครับ” จนเมื่อเสียงทุ้มนุ่มนี้ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆกับนั่งลงข้างๆเขา ใบหน้าของเทียนไขจึงค่อยๆหันมา..

       “..เปลว..” เป็นใบหน้าที่..เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ซึ่งพอเปลวได้เห็นแล้วเขาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง ในหัวของเขาคิดเพียงอยากจะปลอบประโลมเทียนไข ..อยากจะดึงคนที่เขาไม่เคยอยากให้ร้องไห้เลยเข้ามากอด ..อยากจะกุมมือที่เล็กกว่ามือของเขาเอาไว้แล้วบอกว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น ..อยากจะลูบหัวเทียนไขด้วยความเอ็นดูอย่างที่เคยทำ แต่ตอนนี้เปลวคงไม่มีสิทธิ์นั้นอีกต่อไปแล้ว

       ..เขาลืมไปเลยว่า เปลวไฟอย่างเขา..ถ้ายิ่งใกล้ชิดเทียนไขมากเท่าไหร่ เทียนไขก็จะยิ่งละลายมากขึ้นเท่านั้น

       เปลวคิดมาตลอดว่าสิ่งที่เขาทำมันจะทำให้เทียนไขมีความสุขและไม่กลับมาร้องไห้อีก แต่สุดท้าย..เมื่อการกระทำของเขาและคำพูดของเขามันเริ่มถลำลึก เทียนไขก็เจ็บปวดอยู่ดี

       เปลวไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น.. ไม่อยากเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดที่เขาทำไปหวังเพียงแค่เทียนไขจะมีความสุข หวังให้ความสุขคงอยู่กับเทียนไขต่อไปเรื่อยๆ เพื่อชดเชยในสิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้แม้ตอนนี้เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็ตาม

       เป้าหมายของเปลว อาจจะเรียกได้ว่า..ส่งเทียนไขให้ถึงฝั่งละมั้ง ..พอเทียนไขมีความสุขและมีชีวิตที่ดีขึ้น เปลวได้ชดใช้ในสิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้ ตอนนั้นเปลวก็คงจะไม่จำเป็นอะไรแล้ว ถึงเวลานั้น..ก็คงจะเป็นเวลาที่ดีมากๆ

       สำหรับ..การจากไป



       ..แต่ทุกอย่างก็พังทลายไปเสียหมด

       เพราะความ..ไม่รอบคอบของเขาเอง



       “คุณคง..จะอยากรู้ใช่ไหม..? ว่าผมเป็นอะไร” เปลวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะค่อยๆผ่อนออก ..ตอนนี้เขาคงไม่สามารถเป็นคนปกติในสายตาเทียนไขได้อีกแล้ว

       “อยากรู้..”

       “…” เปลวเหลือบไปเห็นฝ่ามือเล็กๆทั้งสองข้างของเทียนไขที่กอบกุมกันอยู่บนหน้าตัก มันสั่นเทา แต่ก็ยังพยายามปลอบประโลมกันและกันอยู่แบบนั้น ..หนึ่งความคิดแล่นเข้ามาในหัว เป็นความคิดที่สั่งการให้เปลวเอื้อมมือไปสัมผัสมือเล็กของเทียนไขเอาไว้ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ทำ เสียงแหบพร่าของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น..

       “อยากรู้เรื่องอะไรหรอ”

       “…”

       “ฮ่าๆ เปลวเป็น..โลกทั้งใบของเราไง” ..จู่ๆภาพที่เห็นก็พร่าเบลอขึ้นมาทันที สุดท้ายแล้วเปลวก็ไม่อาจกลัดกลั้นความรู้สึกของตัวเองไว้ได้ เม็ดน้ำตาร่วงหล่นลงมาจากนัยน์ตาสีนิลของเขาไม่รู้หยุด …เทียนไขเห็นดังนั้นแล้วจึงเอื้อมมือข้างนึงขึ้นมา ก่อนจะมอบสัมผัสอุ่นๆผ่านฝ่ามือนั้นลงที่ข้างแก้มของเปลว นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงที่เปลือกตาอย่างเบามือเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ และที่แย่ไปกว่านั้น..

       “เปลว.. ไม่ร้องไห้นะ อย่าร้องไห้เลยนะ” ..รอยยิ้มของเทียนไขเป็นความสุขของเปลว เทียนไขจึงกำลังพยายามยิ้ม สรรสร้างรอยยิ้มออกมาให้สวยที่สุด เขายิ้มออกมา..ทั้งๆที่น้ำตาอาบแก้ม

       ภาพที่เห็นตรงหน้าจึงทำให้เปลวได้รู้.. การโกหกของเขาทำให้เทียนไขต้องเจ็บปวดอีกแล้ว

       ท้ายที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ..ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย



       “เทียน..” เปลวเอ่ยเรียก ..มาถึงตอนนี้ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหกต่อไปแล้ว แม้ว่าจะไม่บอกกันตอนนี้ แต่ซักวันนึงเทียนไขก็คงจะรู้อยู่ดี เพราะฉะนั้น..

       ขอโทษนะเทียนไข..ที่ต้องทำให้คุณเจ็บปวดอีกแล้ว



       คิดได้แบบนั้นเปลวจึงใช้หลังมือซับน้ำตาออก แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง..

       “คุณช่วย..มากับผมหน่อยได้มั้ยครับ” ก่อนจะพาเทียนไขไปพบคุณหมอประจำตัวของเขา





       





       ..ไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย เปลวเลื่อนประตูตรงหน้าออกไปด้านหนึ่ง ก่อนจะเดินนำเทียนไขเข้าไป ซึ่งข้างในก็มีคุณหมอท่านหนึ่งนั่งรออยู่แล้ว



       “สวัสดีครับคุณทินกร” คุณหมอเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มทันทีที่เห็นคนไข้ของตัวเองเข้ามาข้างใน และเขาก็ต้องแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่เห็นผู้ป่วยอีกคนเข้ามาด้วย

       “สวัสดีครับหมอ คนนี้เป็นเพื่อนสนิทของผม ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไง..ผมอยากรับรู้ไปพร้อมๆกับเขาครับ” เปลวตอบกลับ ก่อนจะแทรกตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของคุณหมอ เทียนเองก็เช่นกัน

       “ได้ครับ” คุณหมอคลี่ยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปสนใจจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าต่อเพื่อสังเกตดูผลที่ได้จากการเอกซเรย์อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ช่วงเวลาก่อนที่จะได้รู้ผลเพียงชั่วครู่นี้เปลวจึงหันกลับมามองใบหน้าหวานข้างๆอีกครั้ง..



       ‘ถ้าคุณร้องไห้อีก..ผมจะอยู่ข้างๆคุณนะ’



       เปลวคิดอยู่ในใจ ทันใดนั้นรอยยิ้มบางๆก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขา เปลวจึงเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือเล็กเอาไว้



       ขอโทษนะ







       

       “เรายังไม่หมดหวังนะครับคุณทินกร” ไม่นานนักช่วงเวลาอันน้อยนิดนี้ก็หมดลง คุณหมอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับขยับจอคอมพิวเตอร์ให้ฝั่งตรงข้ามของเขาสามารถเห็นหน้าจอได้

       “…” ภาพที่ปรากฎบนหน้าจอก็คือ.. ภาพจากการเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์สองภาพ ภาพแรกทางฝั่งซ้ายมือมีก้อนเนื้อเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้น อีกภาพทางฝั่งขวาก็มีก้อนเนื้อนี้เหมือนกัน ต่างกันก็เพียงแต่..

       ..มันใหญ่กว่าเดิมพอสมควรเลย





       “มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราทุกคนหวัง แต่ว่าหลังจากนี้..เราจะสู้ไปด้วยกัน” คุณหมอพูดต่อ ส่วนเปลวเมื่อได้เห็นภาพที่จอคอมพิวเตอร์แล้ว…เขาก็พูดอะไรไม่ออกเลย ถึงแม้จะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ..

       “หมอขออภัยที่ต้องแจ้งให้ทราบ เนื้องอกที่สมองของคุณทินกร..”

       “…”

       “เป็นเนื้อร้ายครับ” ..จิตใจเขากลับแหลกสลายแทบจะไม่มีชิ้นดี



       ..แต่ถึงกระนั้นเปลวก็พยายามคงรอยยิ้มไว้บนหน้าอยู่เช่นเดิม ส่วนหนึ่งเขายิ้มเพื่อตอบรับคำของคุณหมอ แต่ลึกๆแล้วเขายิ้ม..ยิ้มเพื่อที่จะไม่ให้คนข้างๆเขาตอนนี้ต้องร้องไห้ไปมากกว่านี้อีก..

       ทำอย่างที่เสียงๆหนึ่งเคยดังขึ้นมาในหัวของเขาเมื่อนานมาแล้ว..



       ‘ทำไมมึงขี้แยจังวะ เข้มแข็งหน่อยดิ ใครทำอะไรมึงมึงสวนเลย อย่าไปกลัว’

       ‘ขอโทษ.. เราขอโทษนะ ขอโทษที่ขี้กลัว..’

       ‘อ่าว..ร้องหนักกว่าเดิมอีก’

       ‘…’

       ‘มึงก็คงเป็นมึงสินะ งั้นเอางี้ละกัน..’

       ‘…’

       ‘กูจะปกป้องมึงเอง’














       ..ฝ่ามือทั้งสองยังคงกอบกุมกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งออกมาจากห้องตรวจ เขาและเทียนไขไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีส้ม ผู้คนภายในโรงพยาบาลเริ่มลดน้อยลง …เทียนไขตอนนี้สงบลงไปมาก ซึ่งผิดกับที่เปลวคิดเอาไว้ตอนแรก แต่เมื่อเปลวจะเริ่มเดินไปข้างหน้า จู่ๆเทียนไขก็ยืนอยู่นิ่งๆอยู่ที่เดิมไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน

       “เปลว” ..เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกเขาหลังจากจมอยู่กับความเงียบมานาน ..เทียนไขตอนนี้ไม่มีอีกแล้วสำหรับรอยยิ้มหวานๆ เขาก้มหน้างุด ร่างกายกลับมาสั่นเทาอีกครั้งเพราะแรงสะอื้น ..เทียนขยับมาใกล้เปลว ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับมือเปลวขึ้นมา..แล้วตบลงบนหน้าของตัวเอง



       เพี้ยะ!

       “ช่วยด่าเราหน่อย ทำร้ายเราที ทำยังไงก็ได้ให้เราตื่น..” ไม่ใช่หรอก..ไม่ใช่เลย นี่มันไม่ใช่ความจริง.. ตื่นเถอะ..ตื่นได้แล้ว… ไม่อยากรับรู้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว..

       “เทียนอย่า..!” ..เทียนไขยังคงพยายามทำร้ายตัวเองไม่หยุด เมื่อเปลวไม่ให้ความร่วมมือเขาก็ใช้ฝ่ามือของตัวเองฟาดลงบนใบหน้าเต็มแรง ..ความเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่ถ้ามันสามารถช่วยให้เขาตื่นจากฝันร้ายนี้ได้เขาก็จะทำ ..เทียนไขคิดแบบนั้น พยายามหลอกตัวเองต่อไปว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่ความจริง หากแต่…ลึกๆในใจเขากลับรับรู้ทุกอย่างดี  เขาเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่างแล้ว..

       ..ภาพเอกซเรย์ที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ วันที่ที่ปรากฎบนภาพทางฝั่งซ้าย..เป็นวันเดียวกันกับวันที่เขาพบคุณหมอภวิดาเพื่อปรับแผนการรักษาเป็นการรักษาด้วย ECT

       ใช่แล้ว.. วันที่เขาเดินสวนกับเปลวตรงหน้าลิฟต์นั่นเอง



       เป็นวันนั้น.. วันที่เขาเอาแต่ด่าทอ เอาแต่พ่นคำพูดร้ายๆสาดใส่เปลวไม่รู้หยุด..



       ‘ฮ่าๆ… ไม่ได้หวังจะให้คุณอภัยให้กันหรอกนะครับ แต่แค่อยากให้คุณรับรู้บ้างซักนิด ว่าผมเองก็..’

       ‘กูไม่ได้อยากรู้ และที่สำคัญกูไม่ใช่คนในครอบครัวของมึง!!’

       ‘อา..นั่นสินะ ก็จริงของคุณ..’

       ‘ไปซะ ไม่ต้องกลับมาที่นี่แล้ว กูรำคาญ’

       ’ขอโทษอีกครั้งนะครับ แต่ที่อยากจะบอกก็คือ..ผมพยายามแล้ว พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ..’




       ..โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าวันนั้นก่อนหน้าที่เปลวจะมาเจอเขา..

       เปลวพึ่งได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต



       ..วันนั้นเป็นวันที่เปลวอ่อนแอจนแทบจะไม่มีแรงยืน โลกทั้งใบของเขาหยุดนิ่ง เวลาก็เหมือนถูกหยุดด้วยเช่นกัน ทุกอย่างมันดูมืดมนไปหมด เสียงรอบข้างไม่มีผลอะไรต่อประสาทการได้ยินของเขาเลย ทว่าพอได้ยินเสียงเรียกของเทียนไข..เปลวก็กลับมาสู่ความเป็นจริง

       กลับมาเพื่อให้เทียนไขทำร้ายเขาซ้ำอีกครั้ง







       “ทำไมล่ะเปลว.. ทำไม ทำไมเปลวไม่เคยบอกเราเลย.. ทำไม..” เทียนไขสะอื้นอย่างหนัก เสียงแหบพร่าเอ่ยถามออกไปไม่รู้หยุด ภาพใบหน้าของเปลวที่น้ำตาอาบแก้มในวันนั้นฉายเข้ามาในหัว ก้อนเนื้อในอกเจ็บปวดราวกับถูกบีบให้แหลกสลาย

       “…”

       “ทำไมหรอเปลว.. ตอบเราหน่อยได้มั้ย..”

       “…”

       ..หลากหลายคำถามพร่ำพูดออกมาซ้ำๆแต่คนตรงหน้าก็ไม่ให้คำตอบ เปลวเอาแต่เงียบอยู่อย่างนั้นไม่แม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมาซักคำ   เปลวโกรธ..เขาโกรธตัวเองเหลือเกินที่ทำให้เทียนไขกลับมาร้องไห้ เขาโกรธตัวเองเหลือเกินที่โกหกเทียนไขมาทั้งหมด..

       “มีอะไรอีกบ้างที่เรายังไม่รู้ มีอะไรอีกบ้างที่เราโง่..”

       “พอแล้วเทียนไข” เสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้น ก่อนจะดึงเทียนไขเข้าไปในอ้อมกอด.. “พอแล้ว…คุณไม่ได้ผิดอะไรเลย”

       “เราจะไม่ผิดได้ยังไง.. เราทำร้ายเปลว เราทำร้ายเปลวอีกแล้ว..” ..เทียนไขได้รับอ้อมกอดแสนอบอุ่น อ้อมกอดที่เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเขา หากแต่..มันกลับยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด..

       “ไม่เลย..คุณไม่ได้ทำร้ายผม ผมต่างหากที่ทำร้ายคุณ ..ทำร้ายมาตลอด ผมทำให้คุณร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..” เปลวกระชับอ้อมกอด เขาพยายามปลอบประโลมให้เทียนไขสงบลง แต่ทันทีที่เขาได้สัมผัสเนื้อตัวที่สั่นเทาของเทียนไข ก็กลับกลายเป็นเขาเองที่..ร้องไห้

       

       “ขอโทษนะเทียน..ผมขอโทษ”

       ขอโทษนะ..ที่ทำให้ร้องไห้อีกแล้ว

       ขอโทษจริงๆ..



       “ต่อจากนี้..เปลวบอกความจริงเราได้ไหม …อย่าโกหกกันอีกเลยนะ” ..เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้น ก่อนจะใช้แขนของตัวเองมอบความอบอุ่นให้กับเปลวเช่นกัน

       “แต่ความจริงของผมมันจะทำให้คุณเจ็บ..”

       “ไม่เป็นไรหรอก” คนตัวเล็กกว่าสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ “..ความเจ็บของเราไม่สำคัญเท่ากับเปลว”

       “…”

       ..ต่อให้ต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน ต้องทรมานอีกซักเท่าไหร่ ถ้าเพื่อเปลว …เขาก็ยอม

       “เปลวสำคัญกับเรามากนะรู้มั้ย”

       “…” คนตัวสูงกว่าเมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้าใส่ ..ทำไมเขาถึงทำร้ายคนที่มองเขาเป็นคนสำคัญแบบนี้ได้ลง ทำไมเขาถึงเลือกที่จะโกหก เลือกที่จะให้เทียนไขต้องเจ็บปวดแบบนี้..



       “..ขอโทษอีกครั้งนะ” เปลวพูด

       “ไม่เป็นไรแล้ว” เทียนไขคลายอ้อมกอดแล้วปั้นรอยยิ้มแสนหวานขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้เปลวรับรู้ว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรจริงๆ ก่อนจะพูดต่อ..  “แต่เปลว..ช่วยตอบคำถามเราหน่อยนะ”

       “ครับ” คนตัวสูงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เทียนไขจึงมองนัยน์ตาสีนิลอีกครั้งเพื่อความแน่ใจสำหรับคำถามที่เขาจะถามออกไป

       “เปลวไปเรียนจริงๆหรือเปล่า”

       “…” ทว่าทันทีที่ได้ยิน รอยยิ้มเมื่อครู่ของเปลวก็จางหายไป ในเมื่อเขารับคำของเทียนไขไปแล้ว เขาก็คงต้องพูดความจริง..



       “ผม..โกหก”

       “…”

       “จริงๆแล้ว..ผมไม่ได้ไปเรียนเกือบเดือนแล้วล่ะ” และนี่..คือความเป็นจริงที่เปลวพยายามปกปิดมาโดยตลอด.. “ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่า..ที่ผมมักจะปวดหัวอยู่บ่อยๆเป็นเรื่องปกติของคนที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างผม แต่ช่วงหลังๆอาการมันก็เริ่มรุนแรงขึ้น..”

       “…”

       “ผมปวดหัวมากๆ โดยเฉพาะช่วงเช้าหลังจากที่ตื่นนอน ผมอาเจียนหลายครั้งโดยที่ไม่มีสาเหตุอะไรเลย ผมก็เลยมาหาหมอ ..วันนั้นผมมากับพละพลครับ แต่ผมไม่ได้บอกเขาว่าผมเป็นอะไร บอกแค่ว่าไม่สบายเฉยๆ เขาเลยไม่ห่วงผมมากแล้วก็เดินเข้าไปทักคุณนั่นแหละครับ”

       “…”

       “ผมไม่ได้ชอบเลยนะครับที่เขาเข้าไปพูดกับคุณแบบนั้น แต่เพราะผมเองก็คุยกับหมออยู่เลยไม่ได้เข้าไปห้าม ..สำหรับเรื่องระหว่างผมกับเขาหลังจากนั้นเราก็เริ่มห่างกัน อาจจะเพราะผมพยายามปกปิดเรื่องอาการป่วยของผมกับเขา ระยะห่างก็เลยเกิดขึ้น เขาก็เลยเริ่มเปลี่ยนไปอย่างที่ผมเคยบอกคุณ” ..ตอนนั้นเปลวตัดสินใจที่จะไม่บอกใครเลยเพราะว่าเขาไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วง ..เปลวจึงดูปกติดีในสายตาคนอื่นรวมถึงในสายตาคนรักอย่างพละพลด้วยเช่นกัน และเพราะว่าเปลวอยากจะคงคำว่าปกตินี้ให้ได้นานที่สุด.. ซึ่งมันสวนทางกับอาการหลายๆอย่างที่เริ่มแสดงออกมาเรื่อยๆ เปลวก็เลยเลือกที่จะเก็บตัว หลังจากนั้นก็ค่อยๆห่างออกมาจากพละพล ..ฝั่งคนรักของเขาอย่างพละพลพอเห็นว่าเปลวเริ่มเปลี่ยนไป พละพลก็เจ็บปวดไม่ต่าง ในหัวคิดไปไกลถึงขั้นว่าเปลวกำลังจะทิ้งกัน เขาเริ่มเครียด ทั้งเครียดจากการเรียนและเครียดจากเปลวด้วย เครียดจนต้องพึ่งแอลกอฮอล์ให้ย้อมความเจ็บปวดเป็นความสุข และเพราะแอลกอฮอล์..ผลสุดท้ายที่พละพลได้ก็คือเขาไปร่วมหลับนอนกับเด็กหนุ่มต่างมหาลัย ในทีแรกเขาโกรธตัวเองมากๆที่ปล่อยตัวเองจนมาเจอแบบนี้ แต่เมื่อเขาถูกเติมเต็มอยู่บ่อยครั้ง เปลวก็ค่อยๆจางหายไปจากความรู้สึก..

       “…”

       “..วันถัดมาคุณหมอนัดผมมาเอกซเรย์ ซึ่งก็คือวันเดียวกับวันที่เราเจอกันหน้าลิฟต์นั่นแหละครับ ..ผลเอกซเรย์ของวันนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ..ผลเอกซเรย์ของวันนั้นเปลวรับรู้เพียงแค่ว่าเขามีเนื้องอกอยู่ในสมอง ซึ่งต้องรอทำการตรวจและวินิจฉัยต่อไปว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย  “..และจากประวัติการรักษาของผมที่สมองไม่ค่อยสมบูรณ์ คุณหมอเลยบอกผมว่าถ้าผมเริ่มรักษาตั้งแต่ตอนนี้โอกาสหายก็จะมีมากขึ้น วันพรุ่งผมก็เลยเริ่มเข้ารับการรักษาเลยครับ”

       “…”

       “ผม..นอนโรงพยาบาลมาตั้งแต่วันนั้น”

       เปลว..นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเช่นเดียวกับเทียนไข



       “แต่ที่ผ่านมาเปลวก็ดูปกติไม่ใช่หรอ.. เปลวไม่ได้ใส่ชุดผู้ป่วยแบบนี้..”

       “ผม..เปลี่ยนไปใส่ชุดนิสิตเฉพาะช่วงที่ผมจะไปเจอคุณครับ” ..ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี่คือสิ่งที่เปลวกระทำ เขาจะตื่นเช้าๆ เพื่อจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปใส่ชุดนิสิตแล้วลงไปรอเจอเทียนไข

       “…”

       “..ที่ทำแบบนี้ก็เพราะผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ อยากได้ยินคุณหัวเราะ อยากเห็นคุณมีความสุข..” เสียงทุ้มนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยความรู้สึกที่รู้สึกจริงๆในใจ

       “…”

       “เพราะงั้นแล้ว..อย่าร้องไห้นะครับ” ฝ่ามือนุ่มของเปลววางลงบนกลุ่มผมของคนตรงหน้า ก่อนจะลูบเบาๆ ส่วนเทียนไข..ไม่ทันที่เปลวจะพูดทันขาดคำ น้ำตาเขาก็รื้นเอ่อขึ้นมาอีกระลอก..

       “ทำไมคุณถึงหวังดีกับเราได้ถึงขนาดนี้..” เพียงแต่ระลอกนี้..ไม่ได้เกิดจากความโศกเศร้า

       แต่เป็นความรู้สึกเปรมปรีดิ์และตื้นตันใจ

       ..ขอบคุณนะเปลว



       “..ส่วนนึงก็เพื่อชดใช้ในสิ่งที่ผมเคยทำเอาไว้กับคุณแหละครับ” เปลวเอ่ยตอบ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ลึกๆแล้วผมเสพติด..”

       “…”

       “ผมเสพติดรอยยิ้มของคุณ” มันไม่ใช่คำหวาน แต่เป็น..ความรู้สึกของเปลวจริงๆ “..พอได้เห็นรอยยิ้มของคุณครั้งนึงแล้ว ผมก็อยากจะเห็นอีก..อยากเห็นไปเรื่อยๆเลยครับ”

       “…” ..สุดท้ายแล้วหยาดน้ำตาที่รื้นเอ่อขึ้นมาเมื่อครู่ก็ร่วงหล่นโดยไม่อาจห้ามตัวเองได้ เทียนไขโผเข้าไปกอดคนตัวสูง ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอยู่หลายครั้ง แต่จริงๆสำหรับเทียนไขแล้ว..ต่อให้พูดออกไปอีกซักพันครั้งหรือหมื่นครั้ง มันก็ยังไม่มากพอสำหรับสิ่งที่เปลวทำเพื่อเขา

       “ผมจะไม่โกหกคุณอีกแล้วล่ะเทียน” เปลวพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า แขนทั้งสองข้างโอบแผ่นหลังของเทียนไขไว้แน่น ..พวกเขาทั้งสองต่างก็มอบความอบอุ่นให้กันและกัน ส่งผ่านความรู้สึกต่างๆมากมายที่รู้สึกอยู่ในใจให้ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับรู้ จนในที่สุดความตึงเครียดเมื่อครู่ก็ค่อยๆจางหายไป..













       “จริงสิ..ปีใหม่นี้คุณอยากทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า..?” เปลวคลายอ้อมแขนออก แต่ก็ยังคงเหลือไว้หลวมๆ เขาเปิดประเด็นขึ้นมาด้วยความหวังที่กระจุกแน่นอยู่ในอก

       “ไม่รู้เหมือนกัน ปกติเราไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรกับวันพวกนี้เท่าไหร่” แต่คำตอบที่เขาได้ก็ทุบทำลายความหวังเมื่อครู่ของเขาจนพังทลายไม่เหลือซาก

       “โธ่ ลองคิดดูซักอย่างสิครับ” หากแต่เปลวยังคงรบเร้าอย่างไม่ยอมแพ้ เทียนไขจึงหลุดขำให้กับสีหน้าของเปลวตอนนี้ที่ดูผิดหวังเหมือนกับเด็กน้อยโดนแย่งของเล่น

       “เรา..น่าจะอยากดูดอกไม้ไฟตอนที่เคาท์ดาวน์ล่ะมั้ง”

       “งั้น..เราไปดูดอกไม้ไฟด้วยกันนะครับ”

       “จะออกไปตอนนี้เลยก็คงไม่ได้แล้วแหละ”

       “ใครบอกว่าจะออกไปล่ะครับ อยู่ที่นี่นี่แหละ”

       “…”

       “ดูดอกไม้ไฟกับผมบนห้อง”




ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       …ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มแปรเปลี่ยนจากสีส้มในยามที่อาทิตย์อัสดง เป็นสีมืดทะมึนเมื่อไม่มีสิ่งใดคอยให้แสงสว่างได้เพียงพอเหมือนอย่างดวงตะวัน แต่ก็ยังพอมีแสงจากดวงดาวที่อยู่ห่างไกลระยิบระยับให้เห็นอยู่ประปราย ซึ่งพอผนวกเข้ากับแสงจากตึกรามบ้านช่องแล้ว ภาพที่เห็นตอนนี้ก็เป็นภาพที่สวยงามภาพนึงเลยทีเดียว

       เทียนไขและเปลวตอนนี้ทั้งสองคนขึ้นมาบนห้องแล้ว ห้องที่พวกเขาเลือกคือห้องของเทียนไข เหตุผลก็เพราะว่าอยู่สูงกว่า น่าจะเห็นอะไรได้ชัดกว่า

       ด้วยความที่เริ่มเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว เปลวก็เลยไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเล่นบทนักศึกษายอดนักซื้อของฝากคนนั้นอีก เขาสามารถขึ้นมาบนห้องพักผู้ป่วยได้สบายๆโดยที่ไม่ต้องถูกมองแบบงงๆว่ามาทำไมอย่างที่เทียนไขเคยมองอีกต่อไป

       และที่จู่ๆเปลวก็พูดถึงเรื่องปีใหม่ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากมายเป็นพิเศษเลย เขาก็แค่…อยากใช้เวลาอยู่กับเทียนไขให้นานขึ้นก็เท่านั้น อาจจะไม่ได้มีการฉลองอะไรที่ใหญ่โต ไม่มีการกินเลี้ยง หรือมีดนตรีบรรเลงให้เอิกเกริก

       แต่แค่เขาทั้งสองมีความสุข..เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

       



     

       ..หลังจากที่ขึ้นมาบนห้องแล้ว ไม่นานนักอาหารเย็นของทางโรงพยาบาลก็ถูกนำมาส่ง เปลวจัดแจงวางจานอาหารไว้บนโต๊ะคร่อมเตียงทั้งสองจาน จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงเพื่อร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าของเตียงอย่างเทียนไข ..ก่อนหน้านี้อาหารของโรงพยาบาลมันเคยจืดชืดไร้รสชาติสำหรับพวกเขาทั้งสอง แต่พอได้มาทานด้วยกันพร้อมกับบทสนทนาและเสียงหัวเราะแบบนี้ อาหารทุกอย่างก็ดูอร่อยไปเสียหมด



       “พอขึ้นปีใหม่..คุณอยากทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” เปลวพูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองเทียนไขที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก เจ้าตัวได้ยินแบบนั้นแล้วช้อนพร้อมข้าวพูนๆก็ชะงักค้างกลางอากาศ ปากที่กำลังอ้าก็ต้องหุบลง เปลวเห็นภาพตรงหน้าก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง

       “จริงๆเราวางแผนไว้เยอะแยะเลยนะถ้าเรามีโอกาสหายดี” เทียนไขตอบพร้อมกับมองค้อนไปหนึ่งสเต็ป

       “หายดีอยู่แล้วน่า คุณเข้มแข็งซะขนาดนี้”

       “..ไม่แน่หรอก..” เขาอาจจะหายสำหรับโรคประสาท แต่โรคไตที่เขากำลังเผชิญเขาไม่อาจมั่นใจได้เลยจริงๆ..

       “งั้น..ผมมีอะไรจะให้” เปลวพูดขึ้น ระหว่างนั้นเทียนไขก็นำข้าวบนช้อนเมื่อครู่เข้าปาก ส่วนเปลวก็ใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบบางอย่างขึ้นมา..

       “…” บางอย่างที่เรียกว่า..กำลังใจ

       “นี่ครับ..” เปลวยื่นมือมาข้างหน้า ก่อนจะชูสองนิ้วให้เทียนไขพร้อมรอยยิ้ม “ผมให้คุณ”

       “…” ซึ่งก็ทำให้เทียนไขแทบจะสำลัก

       “Victory นะครับเทียนไข” ..แต่เทียนก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า..เปลวทำให้เขายิ้มอีกแล้ว



       “เราเกือบไม่รอดเพราะ victory คุณแล้วนะเมื่อกี้”

       “555555555โทษทีครับ” เปลวหัวเราะร่วน ก่อนจะถามต่อ “แล้ว..แผนที่คุณว่า เป็นยังไงหรอครับ..?”

       “ถ้ามีโอกาสหาย ระหว่างที่รอขึ้นปีการศึกษาใหม่ เรา..อยากไปต่างประเทศ” เทียนตอบ

       “…”

       “เราอยากไปมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ คิดไว้กับแม่หลายอย่างเลยว่าจะไปที่ไหน ..ไปทำอะไรบ้าง”

       “ไปกับครอบครัวใช่มั้ยครับ ดีจัง”

       “ฮ่าๆ เราไม่มีครอบครัวให้ไปไหนด้วยหรอก ได้แค่คิดน่ะแหละ”

       “งั้น..ไปกับผมมั้ยครับ”

       “…”

       “ไว้เราทั้งสองคนหายดีแล้วเราไปต่างประเทศกัน ว่าแต่..คุณอยากไปประเทศไหนล่ะ”

       “จริงๆเราอยากไปหลายประเทศเลย”

       “งั้นไปทุกประเทศที่อยากเลยดีมั้ยครับ”

       “เที่ยวเสร็จล้มละลายงี้หรอครับ น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ”

       “555555555555” เปลวขำลั่นจนทำเอาเทียนไขที่นั่งตรงข้ามหลุดขำไปด้วย เป็นแบบนั้นอยู่ชั่วขณะก่อนเปลวจะคุมสติตัวเองแล้วกลับมานั่งยิ้มจนตาหยีเหมือนเดิม ”ไว้ไปด้วยกันนะครับ”

       “ครับ ..ไว้ไปด้วยกัน”

       ซึ่งเทียนไขเองก็..ยิ้มอยู่ไม่ต่างกัน









       ..เวลาผันผ่านไปจนวันใหม่ใกล้เข้ามาถึง เหลืออีกเพียงห้าสิบกว่านาทีก็จะเปลี่ยนศักราชเป็นศักราชใหม่ ..ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท บรรยากาศภายในโรงพยาบาลจึงเงียบลงไปมาก

       หลังจากที่ทั้งสองคนทานข้าวเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็มาย้ายถิ่นฐานมานั่งอยู่ที่พื้นแทนนั่งบนเตียง เบื้องหน้าเป็นกระจกใสที่มีทิวทัศน์ภายนอกเป็นเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ ..บรรยากาศแบบนี้ยังไงก็ควรจะต้องมีเครื่องดื่มอะไรซักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็มี

       ..น้ำเปล่าขวดหนึ่งวางอยู่ข้างๆ



       “เทียนครับ” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นมาจากด้านข้างของเทียนไข เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยตอบแต่ก็พยักหน้ารับ หลังจากนั้นสายตาก็มองไปยังทิวทัศน์ภายนอกต่อ “ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้มั้ย..”

       “..ได้ครับ”

       “ก่อนหน้านี้…ผมเป็นคนยังไงหรอครับ” เทียนไขนิ่งไปชั่วขณะ เขาหันมามองคนตัวสูงข้างๆ

       ..ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะเทียน ก็แค่ตอบคำถามที่เขาถามเท่านั้น

       “เปลวเป็นคนที่..จู่ๆก็เข้ามาทักเรา เป็นคนหลงทางที่เข้ามาถามทางคนหลงทางอย่างเราอีกที” ..เทียนพยายามคงน้ำเสียงเอาไว้ ก่อนจะพูดไปแบบติดตลก พยายามไม่ทำให้สถานการณ์มันดูเครียด พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องราวในอดีต หากแต่เขาไม่รู้เลยว่า..ยิ่งเขาพูดถึงมันมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งคิดถึงมันมากเท่านั้น..

       “…”

       “เปลวพูดคำหยาบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็..เป็นเพื่อนที่ดีกับเพื่อนคนอื่นๆทุกคน”

       “…”

       “..เปลววาดรูปสวยมากๆ ทั้งรูปการ์ตูน และรูปเหมือน แบบแปลนบ้านเปลวก็วาดได้ ทุกอย่างในเรื่องของศิลปะเปลวถนัดหมด”

       “…”

       “..เปลวเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เก่งกีฬาหลายอย่าง ที่เก่งที่สุดน่าจะฟุตบอล เพราะเปลวชอบฟุตบอลมาก”

       “…”

       “เปลวเป็นคนใจดี..เปลวเป็นคนที่เข้ามาช่วยเราตอนที่เรากำลังจะจมน้ำ แล้วก็ช่วยเราจากตอนที่ถูกเพื่อนแกล้ง..”

       “…” และเมื่อยิ่งคิดถึงมากเท่าไหร่..

       “เปลวเป็นคนแรกของเราในหลายๆเรื่อง ..เป็นเพื่อนคนแรก ..เป็นคนที่ไม่รังเกียจเด็กขี้ขโมยอย่างเราคนแรก ..เป็นคนที่สอนให้เราเล่นเกมคนแรก ..เป็นลูกศิษย์ติวเตอร์เทียนไขคนแรก..”

        ..ก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น



       “เราเคย..รักกันใช่มั้ยครับ”

       “…” ..เทียนนิ่งไปทันทีที่ได้ยินคำถาม ในหัวบอกให้เขาเลือกที่จะไม่ตอบ หรือไม่ก็ส่ายหัวปฏิเสธไป แต่ลึกๆในใจกลับแย้งว่าในเมื่อเปลวก็พูดความจริงแล้ว เขาเองก็ควรจะพูดความจริงออกไปด้วยเหมือนกัน

       แต่ถ้าเขาพูดออกไป..เขาก็จะเจ็บปวดมากกว่าตอนนี้เสียอีก..



       “…” ไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจอะไรมือของเทียนไขที่วางอยู่ระหว่างเขาทั้งสองก็ถูกสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือของเปลวกอบกุมเอาไว้ “ไม่เป็นไรนะ.. ผมอยู่ข้างๆคุณ”

       “…” รอยยิ้มบางๆเกิดขึ้นบนใบหน้าของเทียน เขาจึงตัดสินใจได้แล้วว่าเขาควรจะเชื่อ..ความรู้สึกในใจ

       “…”

       “เราเคย..รักกันจริงๆนั่นแหละ” ริมฝีปากเม้มแน่น เทียนไขพยายามพูดความจริงเช่นเดียวกับเปลวออกไป “เรา..เป็นคนรักกัน”

       “ผมในตอนนั้น..ดูแลคุณดีหรือเปล่า”

       “…” ..ภาพความทรงจำเก่าๆไหลย้อนขึ้นมาในหัว “คุณดูแลเราดี..ดีมาก”

       “…”

       “เรามีความสุขมากๆเลยที่มีคุณคอยเคียงข้าง..”

       “…”

       “แต่ขณะเดียวกัน..คุณก็ทำให้เราเจ็บปวดด้วยเช่นกัน ..เป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืม”

       “เพราะงั้นเราก็เลยเลิกกันใช่มั้ยครับ”

       “…” ..ราวกับถูกมีดแหลมๆแทงสวนเข้าไปกลางหัวใจ ความเจ็บปวดในวินาทีที่รู้ว่าเปลวคบกับพละพลหวนกลับมาให้รู้สึกอีกครั้ง “จริงๆแล้ว..เรายังไม่เลิกกัน”

       “…”

       “เราและเปลวยังไม่มีใครบอกเลิกกัน” อาจจะเพราะเหตุนี้เทียนไขจึงก้าวเดินไปข้างหน้าไม่ได้เสียที ..ถูกจองจำด้วยคำบอกรัก และความทรงจำที่คอยหลอกหลอน

       “…” เปลวนิ่งไป ก่อนจะหันมาหาเทียนไขเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นอะไรบางอย่างมาจากอีกฝ่าย และเมื่อหันไปเขาก็ได้พบว่า..

       “เขายังเป็นคนรักของเราอยู่” ..เทียนไขกำลังร้องไห้

       “…”

       “ที่แย่ก็คือ..ความจริงแล้วเรายังคงรักเขา ..รักมาจนถึงทุกวันนี้” ..ร่างบางข้างๆเปลวกำลังสะอื้นอย่างหนักหน่วง หยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่รู้หยุด เทียนไขตัวสั่นระรัว ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่ภาพจำในอดีตเต็มไปหมด..

 

       ‘เปลวจะไม่ทิ้งเราไปจริงๆใช่มั้ย’

       ‘ไม่ทิ้งครับ กูไม่มีทางทิ้งมึง’

       ‘เรากลัวว่าซักวันเราจะต้องเลิกกัน’

       ‘มึงไม่ต้องกลัวเลยเทียน’

       ‘ทำไมล่ะ’

       ‘มันจะไม่มีวันนั้น’




       หากแต่..ไม่ใช่แค่เทียนไขที่ภาพจำปรากฎขึ้นมาในหัว..

       เปลวเองก็เช่นกัน



       “โอ๊ย!” ความรู้สึกเหมือนถูกใครซักคนกำลังบีบศีรษะเกิดขึ้นกับเปลวอย่างรุนแรง ก้อนเนื้อในอกเต้นถี่รัว เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาตามผิวหนัง ...จู่ๆเรื่องราวในอดีตก็ปรากฎขึ้นมาในหัว ภาพทุกภาพ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดปรากฎเป็นฉากๆ



       ‘ว่าแต่..มึงชื่ออะไรวะ’

       ‘เราชื่อเทียน’




       เป็นภาพตั้งแต่ที่เทียนยิ้ม..



       ‘แล้วนี่…จะเลิกเรียกเพื่อนได้ยัง? ..อยู่กันสองคนแล้วนะ’

       ‘ไม่อยากให้กูเรียกเพื่อนหรอ? งั้นกูเรียกเมียจ๋า…อย่างนี้ได้ปะ’

       ‘ไม่ได้โว้ย!’




       จนกระทั่ง..



       ‘เปลวอยากให้เราไปใช่ไหม?’

       ‘…’

       ‘ขอโทษที่…เรายังมีชีวิตอยู่’

       ‘…’

       ‘เราจะไป’




       ..น้ำตาเทียนหลั่งไหล



       …มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมากอบกุมศีรษะตัวเอง ความปวดหัวรุนแรงมากขึ้นจนเปลวน้ำตาไหล เสียงกรีดร้องทรมานดังออกมาจากเขา คนตัวสูงนอนไปกับพื้น ดิ้นรนไปด้วยความเจ็บปวด

       “เปลว!” เทียนไขตกใจกับภาพตรงหน้าอย่างสุดขีด เขากุลีกุจอเข้าไปหาเปลวที่กำลังดิ้นเร่าๆอยู่ ก่อนจะใช้มือจับแขนเปลวเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่

 

       “เปลว..เปลวเป็นอะไร..” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามออกไป แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา ..สีหน้าของคนตัวสูงยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และเสียงร้องอยู่เช่นเดิม



       “เปลว..!” เทียนไขร้องเรียกอีกครั้ง ทว่าเขาก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆเปลวก็โผขึ้นกอดเขาเอาไว้แน่น ..อ้อมแขนของเปลวกอดรัดเทียนไขอย่างรุนแรง เปลวตัวสั่นระรัวอย่างไม่อาจควบคุมได้ เสียงกรีดร้องเมื่อครู่ตอนนี้เริ่มเบาลง หากแต่..เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นแทน

       “กูขอโทษเทียน..กูขอโทษ” เสียงอันสั่นเครือพร่ำอยู่ข้างๆหูเทียนไขไม่หยุด ..ทันทีที่เขาได้ยินทั่วทั้งร่างกายก็ชาวาบ ความรู้สึกบางอย่างจุกขึ้นมาที่อก ก่อนจะถูกระบายออกไปทางหยาดน้ำตา

       “ปล่อยกู!” เทียนใช้แรงทั้งหมดพยายามผลักเปลวให้ออกไปไกลๆ แต่ก็ไม่อาจทำสำเร็จ ..เปลวกอดเขาไว้อย่างแนบแน่นจนแทบขยับไม่ได้ เทียนไขจึงใช้กำปั้นและเล็บทุบและจิกข่วนไปบนแผ่นหลังของเปลว

       “มึงทำกูเลย..ทำให้สาสมกับที่กูทำกับมึงไว้..” เปลวพร่ำบอก ความเจ็บปวดตามร่างกายเกิดขึ้นจนรู้สึกแสบราวกับแผ่นหลังได้รับแผลถลอกจากเรียวเล็บ

       “ปล่อย..! ปล่อยกู..ปล่อย…” เทียนไขร้องไห้..ร้องไห้อย่างหนักหน่วง เขายังคงทุบและทำร้ายเปลวอยู่เหมือนเดิม ทำร้ายจนเขาหมดแรงแต่เปลวก็ยังกอดเขาอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย

       “ขอโทษนะ..ขอโทษ..” ..เสียงทุ้มนุ่มเริ่มอ่อนลง เช่นเดียวกันกับคนตัวเล็กในอ้อมกอดที่ไม่ดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว

       “มึงกลับมาอีกทำไม.. ทำไมมึงไม่ตายๆไปซะเปลว กูเจ็บมาพอแล้ว..กูพอแล้ว” ภาพในคืนวันปัจฉิมปรากฎชัดขึ้นมาในหัว ..ทั้งเสียงร้อง ..ความรู้สึกอันทรมานในตอนนั้น และความเจ็บปวดที่เห็นเปลวนั่งอยู่ห่างๆโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย ทุกอย่างมันย้อนกลับมาให้รู้สึก..

       “กูก็เจ็บมาไม่ต่างจากมึงเลยเทียน กูอยากจะพอแล้วเหมือนกัน แต่กูทิ้งมึงไปไม่ได้..”

       “…”

       “ฟังกูนะเทียน..มึงฟังกูซักนิดได้ไหม.. ขอแค่ให้มึงเข้าใจกูก็พอ แล้วมึงจะโกรธจะเกลียดกูยังไงก็แล้วแต่มึงเลย”

       “กูไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” ..ไม่อยากฟังแล้ว เหนื่อยเกินกว่าจะรับฟังอะไรอีกต่อไปแล้ว ระหว่างเรามันควรจบลงเสียตั้งแต่ตรงนี้

       “นะเทียน..นะ กูเจ็บจนจะตายแล้ว..” เปลวยังคงเว้าวอนคนในอ้อมกอด เสียงของเขาสั่นเครือจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ในหัวตอนนี้ภาพในอดีตยังคงผุดขึ้นมาไม่รู้หยุด ความทรมานจากการปวดศีรษะยังคงเกิดขึ้น

       “…”

       “วันนั้นไอ้แม็กมันบังคับกู..มันชอบมึง มันอยากได้มึง ถ้ากูไม่ทำตามที่มันบอกมันจะทำร้ายพ่อ.. ช่วงนั้นมึงก็รู้ว่าพ่อไม่ค่อยสบายแล้ว” เปลวไม่รอให้เทียนให้คำตอบอีกต่อไป หัวใจของเขาเต้นถี่รัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาร้อนใจอย่างถึงที่สุดที่จะบอกความจริงออกไป   “มันให้กูเลือกระหว่างพ่อกับมึง.. กูขอโทษนะเทียน..กูขอโทษจริงๆ”

       “กูไม่เชื่อมึงหรอก ปล่อยกู!” แต่ก็เหมือนจะเปล่าประโยชน์..

       “เทียนกูขอโทษ.. แต่กูก็โดนมันซ้อมเหมือนกัน กูพยายามจะพามึงหนีแล้ว..แต่กูไม่มีแรงเลย” เสียงของเทียนไขเหมือนเป็นเหล็กแหลมๆที่เสียดแทงก้อนเนื้อในอก เปลวชาวาบไปทันทีที่ได้ยิน หากแต่ริมฝีปากของเขาก็ยังคงพร่ำอธิบายเหตุการณ์ในวันนั้นไม่รู้หยุด น้ำตาไหลนองทั้งสองข้างแก้ม

        “กู! ไม่! เชื่อ! มึงหลอกกูไปให้คนอื่นเอา มึงมันเหี้ย! แค่นี้แหละที่กูรับรู้!!!”

        “กูรู้..กูรู้เทียน กูรู้ว่ากูเหี้ยขนาดไหนที่ทำไปแบบนั้น แต่กูทำไปเพราะไม่มีทางเลือกจริงๆว่ะ.. กูมืดแปดด้านไปหมดแล้วตอนนั้น ทุกอย่างมันรุมเร้าจนกูแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

        “เรื่องของมึงเถอะ”



        “…” ฉึก.. ความเจ็บปวดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้มึงควรจะพอแล้วหรือเปล่าเปลว.. ต่อให้พยายามอธิบายยังไงก็คงไม่มีใครเชื่อมึงหรอก  ..เสี้ยวหนึ่งในความรู้สึกเปลวรู้สึกแบบนั้น เสียงของเขาในมุมของเขามันเป็นเพียงแค่เสียงเล็กๆเท่านั้น ต่อให้ตะโกนให้ดัง ร้องออกไปให้ดังแค่ไหนก็ไม่มีได้ยิน

        “และต่อให้มึงจะกอดกูไว้แบบนี้ต่อไปยังไงกูก็ไม่มีทางอภัยให้มึงอยู่ดี”

        ไม่มีเลยจริงๆ..



        ..เปลวก็เป็นแค่คนๆนึงเท่านั้นไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร เขาเป็นแค่คนๆนึงที่มีความรู้สึกทุกอย่างเหมือนกันกับเทียนไข แต่เทียนไขอาจจะไม่เคยรู้เลยว่า..แท้จริงแล้วคนๆนี้อ่อนแอขนาดไหน..



        “งั้นมึง..ฆ่ากูเลยได้ไหม..” ฮ่าๆ.. บางที..อาจจะอ่อนแอกว่าเทียนไขเสียด้วยซ้ำ

        “…”

        “กูไม่รู้แล้วว่าทำไมกูถึงยังมีชีวิตอยู่ กูควรจะตายตั้งแต่ตอนที่โดนรถชนแล้ว…ตั้งแต่ที่กูช่วยมึง”

        “…”

        “ทำไมกูไม่ตายวะเทียน.. ทำไมกูไม่ตายไปซักที..” ..ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาในตอนที่สูญเสียความทรงจำไปแล้วหรือว่าเป็นตัวเขาตอนนี้ ทุกตัวตนของเขาต่างก็เจ็บปวด ทรมานไปหมดจนแทบจะไม่มีแรงเดินต่อไปได้อีกแล้ว

        “…”

        “..กูขอโทษนะเทียน แค่นี้แหละที่กูอยากจะบอก” สุดท้ายเปลวก็ต้องยอมรับความจริงนั่นแหละว่าไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาเคยเผชิญ กำลังเผชิญ และกำลังจะเผชิญอยู่ได้ สุดท้าย…เขาก็คงต้องคลายอ้อมกอดนี้แล้วปล่อยเทียนไขไป

       อา…อยากเห็นรอยยิ้มของคุณอีกจังเลย











        “เดี๋ยว..” ทว่าเทียนไขกลับเอ่ยขึ้นมาในขณะที่เปลวกำลังจะก้าวเดินออกไป

        “…”

        “ทำไมตอนนั้นมึงถึงมาช่วยกู..มึงคิดอะไรอยู่ถึงขับรถพุ่งมาเร็วขนาดนั้นเพื่อช่วยกู..” เด็กน้อยในสายตาของเปลวเอ่ยถามตามความสงสัยที่ตกค้างอยู่ในหัว

        “…”

        “มึงไม่คิดบ้างหรอถ้ามึงไม่ใส่หมวกกันน็อคแล้วมึงจะเป็นยังไง คิดว่ากูจะดีใจหรอถ้ามึงตาย” เปลวได้ยินแบบนั้นแล้วจึงคลี่ยิ้มบางๆออกมาให้กับคำถามทั้งหมดทั้งมวลเมื่อครู่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าเทียนไขจะตั้งคำถามให้มันน่าขำขึ้นมาทำไม ทั้งๆที่มันก็แน่นอนอยู่แล้ว..

        “กูไม่ได้คิดไรเลย”

        “…”

        “รู้แค่ว่า…ต้องช่วยมึงให้ได้”

        “แล้วชีวิตมึงล่ะ ไม่ห่วงบ้างหรอ”

        “ถ้ามันจำเป็นกูก็พร้อมจะให้มึง”

        …ถ้ามันทำให้คนที่เขารักได้มีชีวิตอยู่ต่อ ถึงแม้เขาจะต้องตาย เปลวก็ยินดี
















ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       23.30

      …เปลวกำลังจะเดินออกไปจากห้องแล้ว แผ่นหลังกว้างกำลังจะจากผมไปอีกครั้ง เป็นการจากลาโดยที่ผมไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหรือเปล่า..

       ความรู้สึกหลากหลายความรู้สึกพัลวันกันอยู่ในใจ …วินาทีแรกที่คนใจร้ายอย่างเปลวกลับคืนมา ผมอยากจะทุบกระจกแล้วผลักเขาให้ตกลงไป ทว่าเขากลับกอดผมเอาไว้แน่นเสียจนผมแทบหายใจไม่ออก แถมยังพร่ำพูดเรื่องโกหกให้ผมฟังอยู่นานเสียจนรำคาญหู แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทนฟัง

       ..ตอนแรกผมก็รู้สึกแบบนั้น หากแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกต่างออกไป ผมเจ็บ …มันเจ็บปวดเสียจนใจแทบสลายเมื่อเปลวคลายอ้อมกอดแล้วผมได้เห็นใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำตาที่ยังคงร่วงหล่นเม็ดแล้วเม็ดเล่าไม่รู้หยุด ผมอยากจะเอื้อมมือไปกอดเขาเอาไว้อีกครั้ง แต่ก็ได้แค่คิด เพราะเปลวได้ลุกขึ้นจากตรงนั้นแล้ว

       พื้นที่ที่เคยมีเขาอยู่ข้างๆผม

       ตอนนี้..เป็นพื้นที่ว่างเปล่า



       “เปลว” ผมเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยเรียกเขาอีกครั้งก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกไป

       “…”

       “มึงไม่ได้…โกหกกูใช่มั้ย” ผมเอ่ยถามตามสิ่งที่ก้อนเนื้อในอกมันเรียกร้องให้ถามออกไป ผมไม่รู้เลยว่าคำตอบที่ได้จะเป็นยังไงแล้วหลังจากนั้นผมจะทำอะไรต่อ ..ถ้าเปลวตอบว่าทั้งหมดนี้เขาโกหก..ผมก็ควรที่จะปล่อยเขาไปใช่ไหม ..แล้วถ้าเปลวตอบว่าเขาไม่ได้โกหกล่ะ..? ผมจะกอดเขาเอาไว้เหมือนที่ผ่านมา…ผมจะยกโทษให้เขาได้จริงๆหรอ..

       “กูเป็นคนยังไงในสายตามึง”

       “…”

       “กูเป็นคนโกหกใช่มั้ย เพราะงั้น.. ก็ไม่ผิดหรอกที่มึงจะคิดว่ากูโกหก คิดยังไงก็แล้วแต่มึงเลยเทียน…มึงมีสิทธิ์นั้น แค่กูได้บอกมึงไปกูก็โล่งแล้ว”

       “…”

       “..มันไม่สำคัญหรอกว่ามึงจะเชื่อกูมั้ย ..ยกโทษให้กูมั้ย กูแค่อยากจะขอโทษมึงเฉยๆ”

        “…”

        “วันนี้..กูรู้เรื่องทุกอย่างแล้วนะ…กูขอโทษมึงจากใจจริงได้แล้ว”

        “…” จริงอย่างที่เขาพูด.. ผมอยากได้ยินคำขอโทษที่ออกมาจากใจจริงของเปลวมาโดยตลอด

        “กูอาจจะต้องเจ็บปวดไปกับเรื่องนี้ไปจนตาย แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ามึงจะมีความสุขหรือเปล่าหรอก เพราะงั้นทำตามที่ใจมึงคิดว่ามันดีกับตัวมึงเถอะ ถ้ากังวลเกี่ยวกับกู..กูจะบอกว่าไม่ต้องกังวลเลย กูโอเค..กูควรจะโอเคได้แล้วเพราะกูพยายามที่จะโอเคมานานพอสมควรแล้ว”

       “…”

       “..ไปก่อนนะ” ..รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าของเปลว เขาเอ่ยลาก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินต่อ…

       “กูรักมึง” ..ผมก็พูดออกไป ..พูดความรู้สึกจริงๆในใจ

       “…”

       “รัก..โดยที่กูก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังรัก”

       “…”

       “ทั้งๆที่มึงทำแบบนั้นกับกู.. มึงทำให้กูเจ็บจนแทบขาดใจ มึงทำให้กูเป็นอย่างทุกวันนี้..”

        “…”

        “ตอนที่ที่ตรงนี้มันไม่มีมึงอยู่…กูคิดถึงมึงมากเลยนะรู้มั้ย” คิดถึง..คิดถึงมากๆ ที่ที่เคยมีมึงอยู่แต่พอมันไม่มีมึงแล้ว กูโคตรคิดถึงมึงเลย..

        “…”

        “นั่นแหละกูถึงได้รู้ว่า..ลึกๆกูยังรักมึงอยู่”

        “…”

        “..ถ้ากูเชื่อมึง กูจะไม่เจ็บอีกแล้วใช่มั้ย..?” ผมเอ่ยถาม

        “เทียน.. มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้ามึงจะรอคำตอบจากกู กูอยากให้มึงตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่าจะฟังคำขอร้องจากกูนะ”

        “…”

        “ไม่ว่ามึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ กูก็ยังรักมึงเสมอ..”

        “…” ..ผมวิ่งเข้าไปโผกอดเขาเอาไว้แทนคำตอบ



        “อย่าทำให้กูเจ็บอีกนะเปลว”

        จะไม่ให้..เขาจากไปอีกแล้ว





       เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ผมไม่รู้ แต่ผมก็ยังคงกอดเปลวอยู่อย่างนั้น พยายามซุกซ่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของตัวเองไว้ที่แผงอกเพื่อรอให้เปลวพูดอะไรซักอย่างตอบกลับมา

       “ขอบคุณว่ะ..ขอบคุณมากๆเลย” แล้วผม..ก็ได้คำตอบเป็นอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเปลว คราวนี้มันไม่ได้แน่นจนอึดอัดเหมือนครั้งก่อน ..อ้อมกอดครั้งนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยของผมอย่างที่เคยเป็นมาเลย

       “อยู่กับกูนะ” ผมพูด ก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้ขึ้นมาอีกระดับ รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข “อยู่ส่งท้ายปีแล้วก็เริ่มปีใหม่ไปด้วยกันเหมือนอย่างเคย..”

       “ดูพลุอะไรของมึงน่ะนะ? ดูอยู่ได้ทุกปีไม่เบื่อหรอ”

       “555555จำได้แล้วหรอ”

       “เออ กูจำได้ละ”

       “จำได้ก็น่าจะรู้ด้วยดิว่ากูรอดูพลุทุกปีทำไม”

       “…”

       “เพราะเปลวชอบดูไง”





       23.45

       ..หลังจากนั้นผมและเขาจึงกลับมานั่งอยู่ที่เดิมตรงหน้ากระจกใสอันมีทิวทัศน์ข้างนอกเป็นตึกรามบ้านช่อง

       “ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีสำหรับมึงนะ ขอให้มึงสมหวังในทุกๆอย่าง ตลอดปีเลย” คนตัวสูงพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มรับแล้วพูดต่อ..

       “มึงก็เหมือนกันนะ”

       “ไม่เหมือนดิ” หากแต่เปลวกลับปฏิเสธ “กูไม่ขออะไรมากหรอกครับ ขอแค่..”

       “…”

       “มีมึงอยู่ข้างๆแบบนี้ไปเรื่อยๆก็พอ”



       “..ขอบคุณนะเปลว” เราจะอยู่ข้างๆคุณไปแบบนี้แหละ ความรู้สึกทุกอย่างอาจจะไม่ได้ดีขึ้นภายในวันนี้ตอนนี้ แต่ว่าถ้าเราอยู่เคียงข้างกันไปแบบนี้เรื่อยๆเราเชื่อว่าซักมันจะดีขึ้นแน่นอน   “เริ่มจุดพลุกันแล้วล่ะ มองจากที่สูงแบบนี้สวยจังเลยเนอะ”

       “จริงด้วย มองได้ไม่เบื่อเลย”

       “เนอะ กูก็คิดแบบนั้น พลุสวยจริงๆ” ผมยิ้มกว้างก่อนจะหันกลับไปมองพลุดอกไม้ไฟที่ไกลลิบตาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะแตกออกเป็นประกายหลากสี

       “ใครบอกว่ากูหมายถึงพลุ”

       “…”

       “กูหมายถึงมึงต่างหาก”

       “..ไม่เขินหรอก” เปลว..ก็ยังเป็นเปลวจริงๆ

 

       “ขอโทษนะที่ปีนี้กูไม่มีของอะไรให้มึงเลย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น

       “ไม่เป็นไรหรอก…แค่มีมึงอยู่ตรงนี้กูก็ดีใจแล้ว” ผมตอบ ผมน่าจะตัดสินใจถูกแล้วจริงๆแหละที่เชื่อเขาและให้โอกาสเขาอีกครั้ง เพราะถ้าผมปล่อยให้เขาจากไป ผมก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าตอนนี้ผมจะเจ็บปวดขนาดไหน

       “อ่าวกูว่าจะใช้มุกนี้หยอดมึงซักหน่อย”

       “อ่าวหรอ เอาใหม่มั้ยล่ะ”

       “เอามึงแทนได้ไหม”

       “เสมอต้นเสมอปลายเลยนะคุณ ไม่แคร์สถานที่ ไม่แคร์ชุดที่ใส่อยู่ใดๆทั้งสิ้น เอาเปลวคนที่พูดคุณผมกลับคืนมาเดี๋ยวนี้เลย”

       “ก็กูนี่แหละมัน และต่อให้เป็นมันที่พูดจาดีแต่ลึกๆมันก็คิดแบบนั้นอยู่”

       “ขนลุกแล้ว” ..เกินคาดนะ เปลวคนก่อนหน้านี้ดีมากจริงๆ ดีจนไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะไปอยู่ในหัวเขาได้ แต่ผมก็คงลืมไปว่าเขาก็คือเปลวในรูปแบบนึง เปลวคนที่ขอในเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาย

       “หนาวหรอ” ทว่าดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดไปอีกทาง.. “ขอกอดหน่อยนะครับ”



       “เรา..ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันเนอะ” ผมตกไปอยู่ในพื้นที่อ้อมอกของเขาอีกครั้ง ด้วยความที่ผมเตี้ยกว่าอยู่เกือบคืบทำให้ตอนนี้ที่ผมพูดออกไปผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขา แต่ก็ไม่เห็นหน้า ซักเท่าไหร่เห็นแต่สันกรามคมๆประหนึ่งมีดปอกผลไม้

       “เยอะจริงๆนั่นแหละ แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องราวทั้งหมดนี้เหมือนกัน ที่ทำให้กูรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่ากูจะสูญเสียความทรงจำ จะถูกทำร้าย..แต่กูก็ยังรักมึง” จู่ๆใบหน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่เปลวพูด เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆนั่นแหละว่าต้องขอบคุณเรื่องราวทั้งหมด เพราะถ้าเรื่องทั้งหมดไม่เกิดขึ้น..เราก็คงไม่รู้เลยว่า..

       เรารักกันมากขนาดนี้



       “เราก็รักเปลวนะ” ผมตอบ ก่อนจะพูดต่อ..

       “จะรักตลอดไปเลย” แล้วผมก็พบว่า..เราพูดพร้อมกัน







       23.50

      ..เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนมาถึงช่วงสิบนาทีสุดท้ายก่อนจะส่งท้ายศักราช ผมยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเปลวอยู่แบบนั้นเหมือนเดิม มัน..อุ่นมากๆเลยในอากาศหนาวๆแบบนี้

       เป็นไปได้ผมก็อยากให้อ้อมกอดอุ่นๆนี้คงอยู่ตลอดไป



       “มึงว่าพรุ่งนี้..เราจะเป็นยังไงกันต่อหรอ” แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่า..มันจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า

       “หมายถึง..?”

       “กูกลัว”

       “…”

       “กลัวว่าวันพรุ่งนี้มันจะไม่เหมือนกับวันนี้” ผมกลัว.. กลัวความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ กลัวว่าวันที่ผมลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้อีกแล้วมันจะมาถึง

       “…”

       “กลัวว่าถ้าเกิดกูหลับตาแล้วทุกอย่างมันจะไม่เหมือนเดิมอีก”

       “…”

       “กลัวว่าถ้าวันพรุ่งนี้มาถึง..เราอาจจะไม่อยู่ด้วยกันแล้ว” อดคิดไม่ได้จริงๆว่าถ้าเกิดวันที่ผมหรือเปลวจากกันไปมาถึง..คนที่ยังอยู่ตรงนี้จะเป็นอย่างไร

       “ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันอยู่”

       “แต่กูกลัว..” ภาพที่เห็นตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องคิดมากแบบนี้ ที่แย่ก็คือสิ่งที่ผมคิดกำลังทำให้ผมเศร้าโศก

       “จับมือกู”

       “…” ทว่าจู่ๆเปลวก็ขยับที่ทางให้ผมสามารถสัมผัสมืออุ่นๆของเขาได้ ผมไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่แต่ก็ทำอย่างที่เปลวบอก ก่อนจะรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของตัวเองกำลังถูกบีบเบาๆเป็นครั้งคราว แผงอกข้างหลังผมกำลังขยับเอนไปทางซ้ายช้าๆก่อนจะขยับเอนมาทางขวาทำให้ผมโยกไปตาม เสียงทุ้มนุ่มฮัมทำนองอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆหู..

       “ปิดตานะ”

       “…”

       “..Just close your eyes, the sun is going down..”

       “…”

       “You’ll be alright, no one can hurt you now”

       “…”

       “Come morning light…”

       “…”

      “You and I be safe.. and…sound”



      …เปลวฮัมเพลงด้วยโทนต่ำจนดูแหบพร่าอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไพเราะเสียจนผมลืมความรู้สึกเมื่อครู่ไปเสียสนิท..

      “…ไม่รู้เลยว่าเปลวร้องเพลงเพราะ”

      “กูชอบเพลงนี้” เขาก้มมายิ้มให้ผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองทิวทัศน์ภายนอกเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็โยกตัวไปมาเพื่อให้ผมคลายความเศร้าไปด้วย “..ถ้ามึงรู้สึกแบบนั้นอีกก็นึกถึงเพลงนี้ไว้นะ”

       “..คิดถึง hunger games เลยเนอะ ฉากที่รูว์ตาย…จำได้เลยว่าตอนนั้นมึงร้องไห้” ผมมองหน้าเปลวที่กำลังหลงไหลไปกับพลุหลากสีภายนอกด้วยความเอ็นดู เขาในมุมนี้ดูเหมือนเด็กตัวน้อยๆคนนึง เป็นเด็กที่อ่อนไหวง่าย ดูเป็นคนหัวอ่อน ..เปลวชอบดูพลุดอกไม้ไฟ เรานอนดูพลุดอกไม้ไฟด้วยกันครั้งแรกเมื่อหกปีที่แล้ว และเราก็อยู่ดูด้วยกันมาทุกปี จนถึงตอนนี้เด็กคนนั้นก็ยังชอบที่จะมองประกายหลากสีพวกนั้นอยู่เหมือนเดิม

       “…”

       “ครั้งที่สองเองมั้งที่เห็นมึงร้องไห้ เพราะครั้งแรกคือตอนที่มึงช่วยกูขึ้นมาจากน้ำ” ผมพูดต่อ  “ตอนนั้นต้องขอบคุณมึงจริงๆนะ แล้วก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่ตัดสินใจอะไรโง่ๆทำให้มึงต้องลำบาก”

      “…”

      “ขอบคุณมึงนะเปลว ขอบคุณจริงๆ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ขอบคุณจริงๆที่ไม่ทิ้งกูไป”

      ขอบคุณนะครับ





      “..มึงมีอะไรอยากจะบอกกับตัวมึงส่งท้ายปีเก่ามั้ย” เจ้าของสันกรามคมเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปได้ซักพัก สิ่งที่อยากจะบอกกับตัวเองในปีนี้หรอ..

       “คงจะบอกว่า..ขอบคุณมากๆที่อดทนมาขนาดนี้ละมั้ง ขอบคุณที่เชื่อว่าฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ”

       “เก่งมากลูกพ่อ”

       “แล้วมึงล่ะ? มีอะไรอยากจะบอกมั้ย” ผมถามต่อ

       “กับตัวเองกูคงไม่มี กูมีแต่กับมึง..”

       “…” ผมขยับออกมานั่งดีๆเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเปลวเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าจริงจัง สายตาของเขาจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาที่ผมก็อ่านไม่ออก ทว่าทันใดนั้นเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ของเปลวก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณให้ผมและเขารู้ว่าเรามาอยู่ในห้วงนาทีสุดท้ายของปีกันแล้ว

         “…” ..เปลวหันไปหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ไม่ห่างก่อนจะกดปิดนาฬิกาปลุกแล้วกลับมานั่งอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง  “และแค่คำพูดของกู ..กูก็คงจะสื่อออกไปได้ไม่หมด..”



       10

       ..คนตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ผม มือของเขาขยับมาเท้าพื้นที่ข้างหลังตัวผม ทำให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้นอีก..



       6

      ใบหน้าหล่อของเปลวเริ่มใกล้เข้ามาจนระหว่างเราเหลือระยะห่างอยู่ไม่ถึงคืบ นัยน์ตาสีนิลของเขาทำให้ผมละสายตาออกไปไม่ได้เลย มันดูลึกล้ำราวกับกำลังชักชวนให้ผมดำดิ่งลงไป



       3

      ..ฝ่ามืออีกข้างของเปลวเอื้อมขึ้นมาสัมผัสที่ท้ายทอยของผม ก่อนจะลูบไล้เบาๆ แล้วใช้มันตรึงเอาไว้ไม่ให้ผมเคลื่อนหนี



       2

       ปลายสันจมูกของเราสัมผัสกัน ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดลงมาบริเวณริมฝีปาก ใบหน้าของผมรู้สึกร้อนผ่าว หัวใจเต้นถี่ระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก



       1

       ..เปลือกตาของผมค่อยๆปิดลง ภาพที่เห็นจึงถูกความมืดเข้าแทนที่ หากแต่ผมก็ยังรับรู้ทุกอย่างได้ผ่านการสัมผัสของเปลว เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา..ริมฝีปากของเปลวก็แตะลงบนริมฝีปากของผม





       Happy New Year !

      …เสียงจากภายนอกดังขึ้นพร้อมกับเสียงพลุดอกไม้ไฟที่ถูกประโคมจุดจนละลานตาไปทั่วท้องฟ้า …มืออีกข้างของเปลวเลื่อนมาโอบร่างของผมให้เข้าไปใกล้ชิดเขาให้มากขึ้นกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ยังมอบรสจูบแสนหวานให้ผมไปด้วย  เพราะความคิดถึงที่แทบจะล้นออกมา..ผมจึงใช้มือทั้งสองข้างประสานกันอยู่ที่ท้ายทอยของเปลว และโอบกอดเขาเอาไว้อย่างหวงแหน



       “สวัสดีปีใหม่นะครับคุณหมอ” เปลวสละริมฝีปากออกก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้น

       “สวัสดีปีใหม่ครับคุณจิตรกร” ก่อนจะตอบเขากลับไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมื่อเปลวได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกไปแก้มของเขาก็ปรากฎเลือดฝาดอย่างเห็นได้ชัด มันแดงไล่ไปจนถึงใบหู ผมแค่นขำกับภาพที่เห็น เปลวเลยหลบเลี่ยงด้วยการดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด

       “รักมึงจัง..” เปลวพูดหลังจากที่ผมกอดเขากลับพร้อมกับแนบเคียงใบหน้าไว้กับไหล่กว้าง ทว่าทันทีที่ผมสัมผัสเข้ากับร่างกายเขาเต็มๆผมก็รู้สึกว่าตัวเขาแปลกๆไป เปลวหายใจถี่รัวมากๆจนผมไม่รู้สึกว่ามันปกติ แผ่นหลังของเขามีเหงื่อออกทั้งๆที่อากาศภายในห้องหนาวเย็น และผมก็ชาวาบไปทั้งร่าง..เมื่อได้ยินเสียงเบาหวิวของเขาพูดอยู่ข้างๆหู

       “กูไม่อยาก..จากมึงไปเลย” ก่อนจะต้องรู้สึกหนักอึ้งเพราะน้ำหนักตัวของคนในอ้อมกอดของผม ราวกับว่าเปลวทิ้งมวลของตัวเองทั้งหมดลงมาที่ผมอย่างไรอย่างนั้น

       ราวกับว่า…เปลวไม่รู้สึกตัวแล้ว



       “เปลว..” ไม่หรอก..มันไม่จริงหรอก เมื่อกี้เปลวยังจูบผมอยู่เลย เราพึ่งจะอวยพรให้กันในวันปีใหม่.. เราพึ่งจะยิ้มให้กันอยู่เลย..



       “เปลว.. เปลวตื่น” ผมพยายามเขย่าตัวเขาให้เขารู้สึกตัว พอจะเป็นไปได้ไหมว่าเปลวแค่ง่วงแล้วก็หลับไป พอจะเป็นแบบนั้นได้ไหม..



       “เปลว..ได้ยินเราไหม..” น้ำตารื้นเอ่อขึ้นมาก่อนจะหลั่งไหลออกไปอย่างไม่อาจหักห้ามไว้ได้ ผมยังคงพยายามเขย่าตัวคนในอ้อมกอดอยู่ซ้ำๆ อยากจะผละเขาออกมาดูใบหน้าเหมือนกันว่าเปลวเป็นอะไรไป แต่ผมกลับกลัว.. กลัวว่าถ้าผละออกมาแล้วพอเห็นไปหน้าของเปลว ผมจะรับความจริงไม่ได้..

       “เปลวสัญญาไว้แล้วนะว่าจะไม่ทิ้งกัน..”



       “สัญญากันแล้ว…ต้องรักษาสัญญานะรู้มั้ย”



       

       



       












— TBC —





_________________________
ตอนต่อไปตอนสุดท้ายแล้วนะคะ
 













       









 

       



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2019 11:15:16 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1


16


บทส่งท้าย




       ถ้าหากว่า..จะวอนขออะไรซักอย่าง พระเจ้าจะยอมฟังเสียงของเรามั้ยนะ..

       ถ้าหากว่า..จะวอนขอให้ที่ว่างตรงนี้มีเขาเข้ามาแทนที่อีกครั้ง พระเจ้าจะบันดาลให้เราหรือเปล่า..

       ถ้าหากว่า..จะยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ตอนนี้เพื่อแลกกับชีวิตของเขา พระเจ้าจะคืนเขากลับมาใช่ไหม..

       แล้ว..ถ้าหากว่า พระเจ้าไม่มีอยู่จริง และคำขอของเราไม่มีใครรับฟัง

       เราจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร       





       ..ดวงตะวันอุทัยขึ้นบนท้องนภาอีกครั้ง วันนี้เป็นวันแรกของศักราชใหม่ เป็นโอกาสดีสำหรับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆในชีวิต สำหรับคนส่วนใหญ่อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่คงจะไม่ใช่กับเทียนไข

       ร่วมเจ็ดชั่วโมงหลังจากที่เปลวถูกพาตัวออกไป ส่วนเขาก็ถูกบังคับให้นอนพักอยู่ที่นี่ ไม่ได้รับอนุญาตให้ตามลงไป เปลือกตาของเทียนไขก็ไม่ได้ปิดลงเลยตั้งแต่ตอนนั้น ..เขารับรู้ทุกอย่างตราบจนถึงตอนนี้ มือเล็กวางอยู่นิ่งๆขนาบไปกับลำตัว ดวงตาทั้งสองทอดมองออกไปโดยไร้จุดโฟกัส ในหัวปราศจากกระบวนการคิด ทุกอย่างรอบๆตัวดูว่างเปล่าไปเสียหมด เว้นก็แต่…ก้อนเนื้อในอกที่กำลังส่งเสียงสะอื้นอยู่ข้างในเงียบๆ



       รสจูบของเปลวยังคงตราตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก ลมหายใจที่เป่ารดเขาอ่อนๆ.. ดอกไม้ไฟหลากสีที่ประดับประดาท้องฟ้า.. อ้อมกอดอันแสนอบอุ่น.. ฝ่ามือของเราที่ประสานกันอยู่นานเท่านาน.. สัมผัสทั้งหมดนี้เทียนไขยังคงรู้สึกถึงมัน..



      ‘กูไม่อยาก..จากมึงไปเลย’



       ..รวมถึงวินาทีที่เปลวหมดสติในอ้อมแขนของเขาด้วยเช่นกัน



         หยาดน้ำตาสีใสไหลรินออกมาจากดวงตาอีกระลอกเมื่อนึกถึงสัมผัสเหล่านั้น ฝ่ามือเล็กทั้งสองของเทียนไขจึงขยับขึ้นมาก่อนจะโอบกอดร่างกายของตัวเอง แล้วค่อยๆขยับเอนไปทางซ้ายจากนั้นก็ขยับเอนมาทางขวา ฮัมเพลงที่เปลวร้องให้ฟังด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ..ปลอบประโลมด้วยความอบอุ่นของอ้อมกอดที่เขาหวังว่ามันจะคล้ายอ้อมกอดของเปลว



       ‘ทำไมมึงถึงชอบให้กูกอดวะ’

       ‘ไม่รู้เหมือนกัน มันแค่..อุ่นดี เหมือนตอนที่เรากอดแม่ล่ะมั้ง ทำไมล่ะ? เปลวไม่ชอบกอดเราหรอ’

       ‘ถ้ากูตอบว่าชอบ..มึงจะรู้สึกแปลกๆหรือเปล่า’

       ‘ไม่แปลกหรอก แล้วนี่แสดงว่าเปลวก็ชอบหรอ..?’

       ‘ครับ กูชอบเวลาที่มีมึงมาอยู่ในอ้อมกอดของกู…แบบนี้’

       ‘เดี๋ยวก่อนเปลว..นี่โรงเรียน’

       ‘ก็มึงบอกว่าไม่แปลกไม่ใช่หรอ’

       ‘…’

       ‘เวลามึงอยู่ในอ้อมแขนกูแบบนี้ มันทำให้กูรู้สึกว่า..’

       ‘…’

      ‘มึงจะปลอดภัย และไม่มีใครมาทำร้ายมึงได้อีก’




       เปลว..เปลวช่วยกลับมากอดเราอีกครั้งได้มั้ย

















       ฝั่งผู้ป่วยอีกห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นล่าง บรรยากาศภายในห้องมืดสลัว เกลียวม่านนิ่งเงียบไม่ไหวติงไปตามแรงลม ทำให้บดบังแสงจากภายนอกจนหมดสิ้น

       ..คนตัวสูงที่พึ่งรู้สึกตัวได้ไม่นานมานี้ขยับลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนจะกวาดสายตาสังเกตสภาพที่เป็นอยู่ เขาก้มมองเรียวแขนของตัวเองที่เคยเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแกร่ง ทว่าตอนนี้กลับไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว เป็นเพียงเรียวแขนลีบๆที่ไม่ว่าใครก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็น

       “…”

       เปลวกวาดสายตามองไปที่ชุดนิสิตที่แขวนไว้ห่างออกไปจากเขาไม่กี่ก้าว รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะค่อยๆพยุงตัวเองลงมาจากเตียงแล้วก้าวไปหาชุดนิสิตตัวนั้น

       มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปจับเชิ้ตสีขาวหมายจะนำมาสวมใส่แทนที่ชุดผู้ป่วยที่กำลังใส่อยู่ เหตุผลก็เพื่อที่จะได้ทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนอย่างที่ผ่านมา เพื่อที่..เทียนไขจะได้ลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และเพื่อที่เทียนไขจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวแบบนี้

       ..หากแต่เปลวก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ ในขณะที่เขาหยิบไม้แขวนที่แขวนเสื้อนิสิตไว้ออกมา จู่ๆความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นที่ศีรษะอย่างรุนแรงทำเอาเชิ้ตสีขาวในมือของเขาร่วงหล่นลงพื้นในทันที

       “…” เปลวกัดฟันแน่นเพื่อระบายความเจ็บปวดที่รู้สึก แต่ก็ต้านทานเอาไว้ไม่อยู่ เขาเซถอยหลังก่อนจะล้มลงกับพื้น เสาน้ำเกลือข้างๆตัวจึงล้มตาม เสียงของแข็งกระทบกับพื้นจึงดังไปทั่วอาณาบริเวณ

       ..ภาพที่เปลวเห็นเริ่มพร่าเบลอ จนในที่สุดหยาดน้ำตาจากความทรมานที่สมองก็ร่วงหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง ..ไม่มีทางไหนเลยที่เปลวจะสามารถใช้เพื่อหลบหลีกความเจ็บปวดนี้ เปลวต้องอดทน…ถึงแม้จะทนไม่ไหวแต่เขาก็ต้องทน ทำได้แค่เฝ้ารอพยาบาล คุณหมอหรือใครซักคนเข้ามาช่วยเท่านั้น

        ที่แย่ไปกว่านั้น..ความเจ็บปวดในสมองเป็นเหตุให้มวลของเหลวอะไรบางอย่างดึงดันขึ้นมาที่หน้าอก เปลวพยายามกลัดกลั้นมันเอาไว้ แต่มันก็ดันตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆจนยากที่จะต้านทานไว้ได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องปล่อยให้ตัวเองอาเจียนออกมา



       ทว่าจริงๆแล้วสำหรับเปลว..เขาคิดว่าการที่อาการปวดมันเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ดี ..การที่มันเกิดขึ้นในช่วงเช้าแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีแล้วจริงๆ เพราะอย่างน้อยๆตอนนี้เทียนไขของเขาก็ยังไม่ตื่นแน่ๆ อย่างน้อยๆ..เทียนไขก็จะได้ไม่เห็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่แทบทุกวัน และอย่างน้อยๆ..เทียนไขก็จะได้ไม่ต้องมาเห็นภาพที่น่าสมเพชแบบนี้

       ‘ได้โปรด..จดจำผมไว้แต่ภาพที่ผมยิ้มแล้วก็หัวเราะไปกับคุณแค่นั้นเถอะนะ’ เปลวคิดแบบนั้น



       แต่ดูเหมือนว่า..มันจะไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเท่าไรนัก



       “เปลว” เสียงเปิดประตูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงอันคุ้นหูที่เปลวสามารถรับรู้ได้ในทันทีเลยว่าเจ้าของเสียงคือใคร

       “…”

       “เปลว!” เทียนไขร้องเรียกด้วยความตกใจอย่างสุดขีดหลังจากที่เห็นเจ้าของหัวใจของเขานอนหันหลังให้อยู่ที่พื้น ทว่าไม่ทันที่เรียวขาจะได้ก้าวเข้ามาใกล้เปลวก็พูดขึ้นมาเสียก่อน..

       “ออกไป”

       “…” ปลายเท้าทั้งสองข้างชะงักหยุด โสตประสาททบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่อย่างไม่เชื่อหู

       “ไม่ได้ยินหรอ บอกให้ออกไปไง!”

       “…”

       “กลับไปอยู่ในที่ที่มึงควรอยู่ แล้วอย่ามาที่นี่อีก”

       ..หยาดน้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างไม่รู้หยุด เปลวกัดฟันทนความทรมานพร้อมกับพยายามพูดออกไปเสียงแข็งด้วยความเจ็บปวด เว้าวอนอยู่ในใจซ้ำๆ..

       ‘ออกไป..ออกไปเถอะนะเทียน หันหลังกลับไป.. ก้าวเดินออกไป.. เดินจากกูไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าจะรอให้เป็นกูที่ต้องจากไป เพราะฉะนั้นแล้ว..ทิ้งกูไว้ตรงนี้เถอะนะ..’



       “ทำไมเปลวพูดแบบนี้ เมื่อวานเรายัง..”

       “เรายังไม่เลิกกันใช่ไหม? ได้ งั้นก็เลิกซะตั้งแต่ตอนนี้”

       “…”

       “ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว”

       “ฮ่าๆ..งั้นเมื่อวานนี้ กูคงจะโง่ไปเองใช่ไหม..”

       “…”

       “เข้าใจแล้ว..” เสียงเบาหวิวพูดขึ้นก่อนจะค่อยๆจางหายไปกับอากาศ ส่วนคนฟังที่นอนนิ่งๆอยู่ที่พื้นทันทีที่ได้ยินเขาก็สะอื้นหนักขึ้นอย่างรุนแรง ร่างกายสั่นเทาไปหมด

       ‘ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ไปจากกู..ขอบคุณมากๆเลยที่เทียนไขของกูรักตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว’



       ..หากแต่เสี้ยววินาทีถัดมาเปลวกลับรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆบางอย่างที่กำลังโอบกอดสารร่างพร้อมกับช้อนศีรษะที่แนบไปกับพื้นของเขาขึ้นมา

       “..ถึงมึงจะโกหกกูอีกซักร้อยครั้งพันครั้ง กูก็คงจะทิ้งมึงไม่ลงหรอกเปลว”

       “…” ..เปลวไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเทียนไขถึงได้ดื้อด้านแบบนี้

       “ค่อยๆลุกนะ” คนตัวเล็กกว่าพยุงคนที่นอนอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อยๆเดินไปในห้องน้ำ ..เปลวพยายามระมัดระวังอย่างสุดขีดไม่ให้คราบของเหลวไปโดนผิวสีเปลือกไข่ของเทียนไข แต่ก็ล้มเหลวเพราะเจ้าตัวดันใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดคราบอาเจียนบนใบหน้าอย่างไม่คิดรังเกียจ



       “ทำไมมึงไม่ฟังกูเลย” เปลวเอ่ยถาม ในขณะที่เทียนไขกำลังจัดแจงทำความสะอาดใบหน้าให้ตัวเอง

       “กูฟัง..แล้วกูก็เจ็บมากด้วย”

       “…”

       “แต่ถ้าจะให้กูทิ้งมึงไปจริงๆ กูคงเจ็บมากกว่าหลายเท่า” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นใบหน้าหล่อของเทียนไข เสื้อผู้ป่วยของเปลวถูกเจ้าตัวค่อยๆปลดออก จนสุดท้ายท่อนบนของเขาก็ไม่เหลืออะไรไว้ปกปิด “ล้างตัวไปนะ เดี๋ยวกูไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้”

       “…” เปลวพยักหน้า ก่อนจะทำตามที่เทียนไขบอก อาการปวดศีรษะเขายังคงรู้สึก ทว่าพอเห็นเทียนไขทำแบบนี้แล้วเขาก็พอทนต่ออาการได้อย่างน่าประหลาด

       แต่ก็คงจะไม่ใช่ทั้งหมด



       คิดอะไรได้ไม่ถึงนาทีมวลของเหลวภายในร่างกายก็ดึงดันที่จะออกมาอีกครั้ง ด้วยความร้อนรน..ฝักบัวในมือจึงร่วงหล่นกระแทกกับพื้น เทียนไขที่กำลังหาชุดผู้ป่วยสำรองอยู่ข้างนอกเมื่อได้ยินเสียงกระแทก เจ้าตัวก็รีบกุลีกุจอเข้ามาอย่างเร็วรี่

       คนตัวเล็กกว่าพาดเสื้อผ้าไว้ที่ราว ก่อนจะตรงเข้าไปหาเปลวที่กำลังอาเจียนอยู่ที่ชักโครก ฝ่ามือเล็กทาบลงบนแผ่นหลังกว้าง จากนั้นก็ลูบเบาๆ

       “กูเรียกพยายาลมาแล้วนะ เสร็จแล้วเดี๋ยวเปลี่ยนชุด แล้วกลับไปบนเตียงเหมือนเดิม”

       “ขอบคุณมาก แต่ว่า..มึงออกไปได้ไหม กูไม่ได้อยากให้มึงมาเห็นสภาพกูแบบนี้ กูขอร้องจริงๆ..” สิ่งที่เทียนไขทำไม่ใช่สิ่งที่เปลวต้องการเลยซักอย่าง ..ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเทียนไขถึงไม่นึกรังเกียจของเหลวพวกนี้ ..ทำไมเทียนไขถึงไม่นึกสมเพชเขา ภาพเหล่านี้มีแต่จะสลักลึกลงไปในหัว ยิ่งจมอยู่กับมันเทียนไขก็จะถูกมันตามหลอกหลอนไปไม่จบไม่สิ้น ซึ่งเทียนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังปล่อยให้ภาพเหล่านี้มันเข้าไปอยู่ในหัวอยู่อีก

       “จะให้กูทิ้งมึงไปได้ยังไง ตอนนั้นมึงยังไม่ทิ้งกูเลย” 

       “…”

       “..ตอนที่กูจมน้ำ ตอนนั้นสภาพกูหนักกว่ามึงด้วยซ้ำ มึงยังกล้าปั๊มหัวใจ..มึงยังกล้าเป่าปากกูเลย”

       “…”

       “ตอนนั้นมึงรังเกียจกูหรือเปล่าล่ะ..?”

       “..ไม่ กูไม่รังเกียจมึงเลย”

       “ตอนนี้กูก็เหมือนกัน”

       “…”

       “กูรังเกียจคนที่กูรักไม่ลงหรอก” ..ภาพในวันนั้นฉายย้อนขึ้นมาในหัวของพวกเขาทั้งสอง



      ‘เทียน’

       ‘…’

       ‘มึงไม่จำเป็นต้องเลิกฝันเลยเว้ย มีคนโชคร้ายอยู่อีกเป็นหมื่นๆคนที่รอให้มึงไปรักษา ..เพราะงั้นอย่าทิ้งฝันตัวเองดิ เท่ดีออกที่ความฝันมึงยิ่งใหญ่ขนาดนี้’

       ‘…’

       ‘มึงเก่งมากเลยนะที่อดทนมาได้ขนาดนี้..’

       ‘…’

       ‘กูก็…ไม่รู้หรอกนะเว้ย เพราะกูก็ไม่เคยพบเจออะไรแบบมึง แต่ว่าต่อจากนี้..มึงจำไว้เลย..’

       ‘…’

       ‘เทียน…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงยังมีกูเว้ย…มึงยังมีกู’




       ..รอยยิ้มอันแสนหวานจึงปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมด้วยแววตาที่หยาดเยิ้มไปด้วยความทรงจำ

       “ขอบคุณมึงมากๆเลยนะเทียน”

       “เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะคุณ” เทียนแค่นขำ เปลวเห็นแบบนั้นแล้วจึงเอื้อมมือไปกดชักโครก จากนั้นก็ขยับไปที่อ่างล้างมือเพื่อทำความสะอาด

       “รู้สึกใส่เสื้อผ้าเองไม่ได้ว่ะ แขนขาไม่ค่อยมีแรงเลย” ..ก่อนจะยิ้มชั่วร้ายอยู่หน้ากระจก

       “จริงหรอ งั้นเดี๋ยวกูใส่ให้”

       “รบกวนมึงด้วยนะ”

       “เฮ้ย ไม่รบกวนเลย เพราะกูไม่ได้จะใส่ให้มึง กูใส่ให้ตัวเอง เสื้อกูก็เปื้อนนะ..เห็นมั้ย?”

       “…” ดูเหมือนว่าครั้งนี้..เทียนไขจะรู้ทันเขาซะแล้ว

       “ล้อเล่น …เดี๋ยวกูค่อยเปลี่ยนทีหลัง มึงขยับมานี่ดิเดี๋ยวใส่เสื้อให้”

       “กางเกงด้วยดิ”

       “ครับ”

       แต่คิดอีกที..เทียนไขก็ยังเป็นเทียนไขนั่นแหละ







       ..หลังจากนั้นไม่นานพี่พยาบาลก็เข้ามาดูอาการของเปลวพร้อมกับให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ เปลวพักอยู่ร่วมชั่วโมงความเจ็บปวดที่ศีรษะจึงค่อยๆเบาลง

       ผ้าม่านสีครีมถูกเปิดออกกว้างจนทำให้แสงแดดยามสายสาดส่องเข้ามาภายในห้องได้ บรรยากาศขณะนี้จึงไม่อึมครึมเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

       “รู้สึกยังไงบ้าง..? ดีขึ้นบ้างมั้ย” เทียนไขเอ่ยถาม

       “ดีขึ้นบ้างแล้วแหละ ..แล้วนี่วันนี้มึงว่างหรอ”

       “ไม่รู้เหมือนกัน แต่บอกพี่พยาบาลไว้แล้วว่าจะลงมาหามึง”

       “ถ้าเขาอนุญาตมึงง่ายๆแบบนี้ก็แสดงว่ามึงใกล้หายแล้วอะดิ เห็นแต่ก่อนตอนมึงลงไปข้างล่างพี่เขาจะตามดูมึงอยู่ห่างๆตลอดเลย”

       “ถูกต้องแล้วค้าบ กูไม่ต้องทำ ECT แล้วด้วย แต่ก็ยังต้องกลับไปกินยาเหมือนเดิมอยู่”

       “งั้นอย่างนี้มึงก็น่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลอีกไม่นานแล้วดิ”

       “…” เทียนไขนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ยิน ความรู้สึกบางอย่างในใจพร่ำบอกกับเขาซ้ำๆว่าให้เขาพยักหน้าแล้วตอบรับไปว่าเป็นอย่างที่เปลวพูด ถึงแม้ความจริงจะไม่เป็นแบบนั้นก็ตาม..



       “น่าจะนะ หมอก็บอกกูแบบนั้น” ยิ้ม..ยิ้มเข้าไว้

       “…ดีแล้ว” หากแต่..จริงๆเปลวก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น นายทินกรในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดการรักษารับรู้ความจริงในข้อนี้ดี โรคประสาทของเทียนไขกำลังจะหายแล้วก็จริง แต่ไม่ใช่กับอาการไตวายเรื้อรังที่ค่อยๆหนักขึ้นอยู่ทุกขณะตามกาลเวลา

       เทียนไขอาจจะไม่เคยพูดถึงอาการป่วยของตัวเองในเรื่องนี้ แต่เปลวก็รับรู้ทุกอย่างแล้ว รับรู้ด้วยว่าเทียนไขกำลังพยายามทำตัวให้ปกติเวลาอยู่กับเขา



       “จับมือหน่อย” เปลวเอ่ยขอ ก่อนจะเอื้อมมือไปกอบกุมมือเล็กที่อยู่ข้างๆเตียง

       “ไม่รอกูอนุญาตหน่อยหรอ”

       “หึ มึงช้า”

       “งั้นไม่ให้จับแล้ว”

       “งั้นจะจับอย่างอื่น”

       “งั้นจับมือต่อก็ได้ เอามีดมั้ย..ตัดไปได้นะ” ..ทันทีที่ได้ยินเปลวก็เลื่อนมือน้อยๆขึ้นมา ก่อนจะประทับรอยจูบลงบนหลังมือ

       “ไม่ใช้มีดแต่ใช้ปากแทนได้มั้ย” พูดไม่ทันจบเจ้าตัวก็ละเลงจูบไปจนทั่วทั้งหลังมือและหน้ามือ กลิ่นกายอ่อนๆปะทะเข้ากับจมูกจนทำให้เปลวอยากจะสูดอากาศบริเวณรอบๆเทียนไขเข้าไปในปอดให้หมดแต่เพียงผู้เดียว

       “นอนพักเถอะคุณ เล่นอะไรกับมือเราอยู่ได้” เปลวหัวเราะชอบใจ ก่อนจะประสานมือกับเทียนไข สอดแทรกเรียวนิ้วทุกนิ้วไว้ระหว่างกันแล้ววางไว้ข้างๆตัว 

       “..อยากหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้จังเลย” เสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้น

       “…”

       “อยากอยู่กับมึงแบบนี้ไปตลอดจัง..” ที่จริง...เปลวเองก็ไม่ต่างอะไรกับเทียนไขเลย เขาทั้งระแวงแล้วก็หวาดกลัวอย่างสุดขีด

       “กูจะอยู่กับมึงแบบนี้ตลอดไป” เทียนไขยิ้มตอบ ตลอด..ตลอดไปน่ะหรอ เปลวอาจจะเคยพูดออกไปแบบนั้น แต่มีตลอดไปอยู่จริงๆหรือเปล่าเปลวยังไม่แน่ใจกับตัวเองเลยด้วยซ้ำ

       “เทียน”

       “…”

       “ถ้ามีใครซักคนจำเป็นที่จะต้องปล่อยมือกันก่อน ขอให้คนๆนั้น..เป็นกูได้มั้ย”

       “…”

       “ขอให้มันเป็นกูเถอะนะ…”

       ตอนนี้เทียนไขอาจจะยังไม่เข้าใจอะไร แต่ซักวันเขาก็คงจะเข้าใจเองเมื่อวันนั้นมาถึง ..วันที่เปลวไม่อาจต่อสู้กับสิ่งที่กำลังเผชิญได้ วันที่..สมองของเขาไม่ทำงานอีกต่อไป ฝ่ามือเล็กๆของเปลวนี้จะสามารถมอบสิ่งที่จำเป็นต่อเทียนไขได้

       อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมาก แต่ให้คิดซะว่าเป็นของตอบแทนเล็กๆน้อยๆ

       สำหรับการที่เรา…ได้รักกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-04-2019 00:07:24 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       ..ท้องฟ้าสีครามและหมู่เมฆสีหมอก ค่อยๆเคลื่อนที่ไปช้าๆตามอัตราเร็วลมเบื้องบน เวลาในช่วงวันจึงผันผ่านไป ก่อนจะมาหยุดอยู่ช่วงเย็นที่ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแสด

       รถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนที่มาหยุดอยู่หน้าตึกคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ภายในรถฝั่งคนขับเป็นหญิงสาวอายุย่างเข้ายี่สิบ เธอขับรถมารอรับแฟนหนุ่มของเธอเพื่อไปเที่ยวเล่นตามห้าง หรือไม่ก็ร้านอาหารที่ไหนซักที่ แต่ในตอนนี้เธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไปที่ไหนดี



       Rrrrrrrrrr

       …และระหว่างที่รอ เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆก็ดังขึ้น เธอวางมือจากแท็บเล็ตตรงหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอจึงไม่ลังเลเลยที่จะรับสาย

       “เป็นไงบ้างเปลว” เธอกรอกเสียงหวานลงไปผ่านโทรศัพท์ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงโทนต่ำตอบกลับมา

       [แย่นิดหน่อย เออผึ้ง…กูจะบอกว่ากูจำทุกอย่างได้แล้วนะ]

       “เสียงแบบนี้.. จริงด้วย เปลวจริงๆด้วย!” และใช่.. หญิงสาวที่ว่าก็คือ ‘น้ำผึ้ง’ นั่นเอง

       [ตั้งแต่ไปหัวหินตอน ม.1 เราก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันอีกเลยเนอะ กูก็มาสูญเสียความทรงจำอีก..]

       “จริงแหละ ปัญหาของผู้ใหญ่แต่ดันทำให้เด็กๆอย่างเราเดือดร้อน เทียนก็ไม่ใช่คนเดียวกับพ่อเทียนเขาซักหน่อย ไม่รู้ทำไมต้องเกลียดกันถึงขนาดนั้น”

       [กูไม่โกรธใครหรอก ป้าวรรณแม่มึงแกก็มีเหตุผลของแกที่ตัดญาติกันกับพ่อกู]

       “แต่เหตุผลตอนนั้นเป็นเราเราก็รับไม่ได้นะเปลว แค่พ่อเปลวรับเทียนไขมาอยู่ด้วยแค่นั้นเอง แม่เราไม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นเลย”

       [คงเพราะ..ป้าวรรณคิดว่าพ่อเทียนเป็นคนทำให้แม่แท้ๆของกูจากไปล่ะมั้ง แกคงคิดว่าพ่อเทียนจะทำร้ายแม่เพื่อหวังจะเอาเงิน..จำได้ว่าแกบอกว่าแกเห็นกับตาเลยนี่ พอพ่อกูยังไปสนิทสนมกับคนแบบนั้นอีกป้าวรรณก็เลยโกรธจนตัดขาดกัน..]

       ..เคยมีคำพูดที่บอกไว้ว่าอดีตก็คืออดีต มันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วและไม่ควรเก็บมาใส่ใจ บนโลกใบนี้ก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่ว่า หากแต่..มันไม่ใช่แค่นั้น

       อดีตคือเรื่องราวที่ส่งผลทำให้เกิดปัจจุบัน



       ยี่สิบปีก่อนหน้านี้ในพื้นที่ที่กว้างกว่าสองไร่ มีการสร้างบ้านของคู่รักคู่หนึ่ง ครอบครัวของฝ่ายหญิงเป็นผู้ถือหุ้นส่วนของบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง ส่วนฝ่ายชายเป็นพนักงานธรรมดาๆของบริษัทนั้น

       หลังจากที่แต่งงานกันทั้งคู่ก็ตั้งใจที่จะสร้างบ้านซักหลังไว้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวสุขสันต์ พอเริ่มสร้างไปได้จนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว ทั้งคู่ก็มาดูความคืบหน้าของงานที่บ้านหลังนั้น ที่พิเศษก็คือมีข่าวดีเกิดขึ้น..อีกไม่นานครอบครัวนี้จะสุขสันต์อย่างแท้จริง เพราะลูกตัวน้อยๆในท้องของฝ่ายหญิงที่ใกล้จะคลอดแล้วในอีกไม่กี่สัปดาห์

       ทว่าทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง อุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ..แท่งไม้แท่งใหญ่ขนาดกว่าสองเมตรร่วงหล่นลงมาจากนั่งร้านในขณะที่คุณแม่คนนี้กำลังเดินผ่าน ทุกคนในบริเวณนั้นต่างก็เห็นกันเป็นตาเดียวว่ามันจะตกมาโดนหัวเธอแน่ๆ เสียงร้องตะโกนจากคนเป็นพ่อที่อยู่ห่างออกไปดังขึ้นเพื่อให้เธอได้สติ ทว่ามันก็ช้าเกินไปเสียแล้ว

       แต่ทันใดนั้นก็มีคนงานคนหนึ่งกระโจนเข้าไปหาเธอแล้วดึงเธอให้ออกมาจากตรงนั้น และใช่..คนงานคนนี้ก็คือพ่อของเทียน เด็กในท้องคือเปลว ส่วนผู้ชายที่ตะโกนเรียกอยู่ห่างออกไปก็คือพ่อของเปลว

       พ่อเทียนช่วยเธอไว้ได้ทันเวลาก็จริง แต่เพราะความร้อนรนจากการรีบกระโจนเข้าไปช่วยทำให้ทั้งคู่ล้มลง ..เสียงจากไม้ใหญ่กระทบพื้นและเสียงร้องตะโกนดังสนั่นไปทั่วอาณาบริเวณ ชาวบ้านละแวกนั้นหลายสิบคนจึงออกมาสังเกตดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ..เป็นจังหวะเดียวกับที่รถหรูอีกคันเข้ามาจอดในบริเวณบ้านพอดี และคนในรถคือแม่ของน้ำผึ้ง พี่สาวของคุณแม่คนนี้ ..ภาพที่คนบริเวณนั้นเห็นคือชายที่แต่งตัวโสโครกเต็มไปด้วยดินและปูนกำลังรวบคนท้องที่แต่งตัวดูมีสกุลไปไว้ในอ้อมกอด ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีที่พี่สาวมีภาพที่เห็นจึงสลักลึกลงไปในหัวจนยากที่จะลืมเลือน

       และยิ่งไปกว่านั้น…เนื่องจากว่าผู้เป็นแม่ล้มลงกับพื้น ในเวลาต่อมาเด็กในท้องและแม่จึงมีโอกาสรอดแค่ห้าสิบห้าสิบ

       ถ้าจะให้แม่รอด…ก็ต้องเอาเด็กออก

       ถ้าจะให้เด็กรอด…แม่ก็จะจากไปตลอดกาล



       พ่อของเปลวอยากจะเลือกรักษาชีวิตของแม่ไว้ ทว่าคุณแม่กลับเลือกที่จะสละชีวิตตัวเองและฝากลูกให้ฝ่ายพ่อดูแล

       จากเหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้คำว่า ‘สุขสันต์’ ของครอบครัวนี้พังทลายไม่มีชิ้นดี เด็กที่เกิดมาไม่มีแม่ และถูกพ่อเกลียดมาตั้งแต่วันนั้น ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด..

       ชายผู้ถูกมองว่าสกปรกโสมมอย่างพ่อของเทียนไขถูกก่อกวนจากลิ่วล้อของครอบครัวฝั่งผู้ที่จากไป เขาไม่คิดเลยว่าการที่เขาคิดจะทำดี กลับนำพาหายนะมาสู่ครอบครัวของตัวเอง ..หลังจากวันนั้นข่าวที่แพร่ออกไปมีเพียงหัวข้อข่าวโง่ๆที่ว่าเขากำลังประทุษร้ายคนท้อง ถูกคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าค่าตาประนาม และที่เลวร้ายที่สุด…

       ..พ่อของเทียนไขถูกลิ่วล้อพวกนั้นบังคับให้เสพยา ครั้งแรกเขาไม่ยอม ผลที่เขาได้รับคือหมัดและฝ่าเท้านับสิบ ท้ายที่สุดเขาก็เลยหนีไม่พ้น

       มีเพียงพ่อเปลวเท่านั้นที่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดีกว่าใคร ..ถ้าไม่ได้พ่อเทียนไขช่วยไว้ในวันนั้น ทุกอย่างมันก็คงย่ำแย่เสียยิ่งกว่านี้

       ชายวัยกลางคนทั้งสองติดต่อกันอยู่บ้างในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ แต่พอเวลาผ่านไป..จากสองก็กลายเป็นหนึ่ง

       พ่อของเทียนถูกประหาร



       ความเครียดและความทุกข์ทำให้พ่อเปลวติดเหล้าเมาสุรา ผลาญเงินไปกับแอลกอฮอล์เพื่อหวังจะให้มันเยียวยาจิตใจ เขาหาผู้หญิงคนใหม่เพื่อจะให้แทนที่แม่ของเปลว แต่ผู้หญิงคนนี้กลับยิ่งเพิ่มปัญหาให้เขาได้ทุกเมื่อเชื่อวันโดยมีเรื่องเงินเป็นสาเหตุ พอพ่อเปลวไม่มีเงินเพียงพอต่อความต้องการของเธอสุดท้ายเธอก็ทิ้งพ่อเปลวไป

       หลายปีต่อมาเมื่อพ่อเปลวมีโอกาสได้พบกับลูกของเพื่อนผู้โชคร้าย เขาก็เลยให้เปลวไปทำความรู้จักเอาไว้ ทว่าในเวลาต่อมากลับมีเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า ..ฝั่งมารดาของเด็กคนนี้เสียชีวิต เขาพึ่งรู้เรื่องเพราะเปลวเป็นคนมาบอก วินาทีแรกเขาอยากจะช่วยเด็กคนนี้ แต่เมื่อคำนึงถึงผลที่จะตามมาจากบรรดาวงศาคณาญาติของเขาแล้วเขาก็เลือกที่จะตัดใจ หากแต่เปลวกลับรบเร้าเขาอยู่นานจนสุดท้ายเขาก็เลยเป็นต้องจำยอม

       ไม่กี่วันให้หลังเมื่อแม่ของน้ำผึ้งรับรู้ว่าพ่อเปลวเก็บเด็กสลัมมาเลี้ยง ซ้ำยังเป็นลูกของคนที่ทำให้ชาติตระกูลเสื่อมเสีย เธอจึงตัดสินใจริบทรัพย์สินที่เคยเป็นของน้องสาวทุกอย่างกลับมา แต่เมื่อเห็นว่ามันแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว บ้านก็ถูกขายไป เธอเลยตัดหางปล่อยวัด และไม่เผาผีครอบครัวนี้อีก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังย้ายโรงเรียนให้ลูกสาวไปเรียนโรงเรียนที่อื่นอีกด้วย เหตุผลเพียงเพราะกลัวเสนียดติด

       น้ำผึ้งจึงห่างหายออกไปตั้งแต่ตอนนั้น



       “แต่ตอนนี้แม่ก็รู้แล้วแหละว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แม่เราก็อยากจะเจอเทียนไขซักครั้งเหมือนกันนะ..อยากจะขอโทษซักครั้ง” เธอกัดฟันพูดออกไป ลึกๆรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่าเพียงแค่คำขอโทษไม่อาจทดแทนสิ่งที่เสียไป แต่เธอก็ทำสิ่งที่เธอทำได้อย่างถึงที่สุดแล้ว …การทำให้ผู้เป็นแม่ที่จงเกลียดจงชังเป็นหนักหนาได้เข้าใจเรื่องที่เกิดทั้งหมดจริงๆเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ แต่เธอก็ทำสำเร็จ

       ..หลังจากที่แม่ของน้ำผึ้งรับรู้ว่าพ่อเปลวได้จากไปแล้ว เปลวสูญเสียความทรงจำ รวมถึงเทียนไขที่หายตัวไป เธอก็เลยยอมฟังเสียงของลูกสาวตนเอง หวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น และคำพูดที่พ่อเปลวพยายามอธิบายให้เธอฟังอีกครั้ง

       แม่น้ำผึ้งจึงได้เข้าใจแล้วว่า..

       ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำ…เป็นความผิดมหันต์ที่ไม่ควรค่าแก่การอภัย



       [เทียนไม่ได้รู้เรื่องนี้หรอกมั้งกูว่า แต่ก็ดีแล้วแหละที่มันไม่รู้..แค่นี้มันก็มากเกินกว่าที่คนๆนึงจะรับไหวแล้วว่ะผึ้ง]

       “…เปลวจำเรื่องทั้งหมดได้แล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? งั้นเปลวช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟังที…ให้ไปหาที่โรงพยาบาลมั้ย? วันนี้อยากได้อะไรหรือเปล่า แอปเปิล เสื้อกันหนาวหรือขนม?”

       [ฮ่าๆ ของพวกนั้นไม่จำเป็นแล้ว…ตอนนี้เทียนก็อยู่กับกูนี่แหละ หลับมาตั้งแต่บ่ายแล้ว]

       “โอเคงั้นไม่ไปรบกวนดีกว่า ว่างจะเล่าตอนไหนก็บอกด้วยละกัน” น้ำผึ้งแค่นขำให้กับความน่ารักของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เธอยังจำได้ดีเลยว่าครั้งแรกที่เด็กชายทินกรบอกกับเธอว่าตัวเองกำลังแอบชอบผู้ชาย แถมปากโดนปากกันไปแล้วด้วย วินาทีนั้นคุณทินกรเขาดูไร้เดียงสามากๆ ..เป็นรักแรก ..เป็นรักที่รักมากๆ ..และดูเหมือนจะเป็นรักเดียวของเขาด้วย เธอนับถือความรักของเปลวมากๆเลย

       ทว่า..น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ตอบกลับมากลับดูเศร้าสร้อยจนเธอนึกหวั่นใจ

       [กู..ไม่รู้เหมือนกันว่ะว่าจะว่างอีกทีวันไหน]

       “…”

       [กูกลัวว่ะผึ้ง]

       “…”

       [หมอบอกกูว่ากูยังพอมีหวัง…แต่กูไม่แน่ใจเลย กูทรมาน..ขนาดหมอให้ยาไปแล้วก็ยังทรมาน]

       “…”

       “เปลว..เปลวจะไม่เป็นไร” เธอเอ่ยปลอบ ..น้ำผึ้งเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเปลวต้องเผชิญกับอะไรบ้างสำหรับที่ผ่านมา รวมถึงตอนที่เปลวจำอะไรไม่ได้ และเธอก็เป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับเปลว ช่วงเวลานั้นทุกอย่างมันหนักหนาสาหัสมากๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวันยาวนานราวกับต้องใช้เวลากว่าร้อยปี …แต่สุดท้ายเธอก็ช่วยให้เปลวก้าวผ่านมันมาได้ เปลวสามารถกลับมาเรียนที่มหาลัยตามที่เปลวคนเก่าตั้งเป้าเอาไว้ในแผ่นกระดาษโน้ตบนกระดานไวท์บอร์ดที่อยู่ในห้องนอน

       ทว่าในความเป็นจริง..ถ้าจะบอกว่าเปลวก้าวผ่านมันมาได้ทั้งหมดก็คงจะเป็นการโกหก เปลว..มีความผิดปกติบางอย่างที่รักษาไม่หายตั้งแต่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ และเธอก็ไม่คิดเลยว่ามันจะร้ายแรงจนถึงขั้นเป็นเนื้องอก



       [มึงอยากรู้ใช่ไหมว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง..?]

       “ก็อยาก…แต่ถ้าเปลวยังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องเล่าก็ได้”

       [กูพร้อมแล้ว]

       “…”

       [แต่ก่อนอื่นมึงช่วยทำตามที่กูขอหน่อยได้ไหม..]













       ..ท้องฟ้าเริ่มถูกสีโทนมืดจากทางทิศตะวันออกกลืนกิน มันไล่ระดับสีจากน้ำเงินเข้ม ม่วง ชมพู แดงอ่อนและสีแสดจากแสงอาทิตย์ที่กำลังอัสดงทางทิศตะวันตก พอรวมกันแล้วก็กลายเป็นท้องฟ้าที่ไม่ว่าใครถ้าได้มองก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันแน่ๆว่าสวยงามราวกับภาพศิลปะชั้นเลิศ

       ..บรรยากาศภายในห้องเริ่มมืดสลัวลงอีกครั้งตามธรรมชาติ มีเพียงแสงจากตึกรามบ้านช่องภายนอก และแสงจากช่องกระจกตรงประตูเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา

       คนตัวเล็กยังคงหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆเตียง ศีรษะของเทียนไขมีแขนข้างหนึ่งของเขาเป็นหมอน ส่วนอีกข้างยังคงประสานกันกับเปลวอย่างแนบแน่นอยู่ดังเดิม

       เปลวมองใบหน้าที่กำลังจมอยู่กับฝันหวานอย่างเอ็นดู ช่วงไหล่ของเทียนไขขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าไปในปอด ก่อนจะกลับมาเป็นปกติเมื่อค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา เปลวจ้องไปได้ซักพักรอยยิ้มก็เกิดขึ้นกับเขาโดยที่ไม่รู้ตัว

       “เทียน”

       “…” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเบาๆ ทว่าเทียนไขกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับ

       “ขี้เซาเหมือนกันนะมึงเนี่ย” คนตัวสูงใช้ฝ่ามืออีกข้างขยี้กลุ่มผมสีดำเบาๆ เมื่อเห็นว่าผมเริ่มยุ่งเขาก็หัวเราะอยู่คนเดียว แต่ก็ลูบและจัดแจงให้ทรงผมกลับมาเป็นทรงเดิม สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของผู้ที่เป็นโลกทั้งใบของเขา..



      ‘เปลว บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำลัด เปลวไม่ได้แม่นขนาดนั้น เห็นมั้ยเนี่ยมันผิด ทำใหม่เลย ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามดิ ติวเตอร์เทียนอยู่ตรงนี้แล้ว’



       ‘มึงซ้อมใช่มั้ยวันนี้? กูมีธุระกับพวกงบประมาณว่ะ อาจจะเสร็จช้ากว่ามึง ถ้ากูช้า..มึงกลับไปก่อนได้เลยนะ แต่ยังไงกูก็จะรีบเคลียร์ตรงนี้ให้เสร็จให้เร็วที่สุดแหละ เผื่อเราจะได้กลับพร้อมกัน’




       มึงคง..เหนื่อยมามากใช่ไหมเทียน? แต่กูขออะไรมึงหน่อยได้ไหม.. ขอเพียงนิดเดียวเท่านั้น..

       “..พอจะเป็นไปได้ไหมที่มึงจะคงใบหน้าแบบนี้ของมึงไว้..”

       “…”

       “มึงที่มีแต่เสียงหัวเราะ.. เส้นตื้นกับมุกโง่ๆที่กูชอบเล่น”

       “…”

       “มึงที่มีแต่รอยยิ้ม.. มองท้องฟ้าก็ยิ้มให้กับท้องฟ้า มองพระจันทร์ก็ยิ้มให้กับพระจันทร์”

       “…”

       “ถ้ากูไม่อยู่แล้ว..”

       “…”

       “มึงช่วยคงสิ่งพวกนี้เอาไว้ได้ไหมเทียน” กูขอร้อง นะ..นะเทียน



       …หยาดน้ำตารื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดได้มากมายขนาดนี้เมื่อจินตนาการถึงวันที่ใบหน้าของเทียนไขไม่ได้หลับตาพริ้ม ไม่ได้มีรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะใดๆหลงเหลืออยู่อีกต่อไป

       “กูอยากให้มึงสัญญากับกูจังเลยเทียน.. อยากให้มึงสัญญากับกูอีกซักคำ”

       “…”

       “ถ้ากูปล่อยมือแล้ว…มึงต้องก้าวไปข้างหน้านะ”

       อย่าจมอยู่กับอดีต.. อย่าจมอยู่กับเรื่องราวที่พอมึงนึกถึงแล้วมึงจะเจ็บปวด

       “ถ้าเกิดมีใครซักคนที่ดีพร้อมเข้ามาในชีวิตมึง..”

       “…”

       “จับมือเขาไว้แล้วก้าวไปกับเขานะ”

       ..มึงอาจจะจับเอาไว้แน่นเหมือนอย่างที่จับกับกูเลยก็ได้ กูจะมีความสุขมากๆเลยถ้ามึงทำแบบนั้น

       ได้โปรด..มีความสุขเถอะนะ







       “เปลว” ..เสียงแหบพร่าของคนขี้เซาเอ่ยขึ้น เปลวจึงใช้หลังมือที่ไม่ได้ประสานกับเทียนไขซับคราบน้ำตาเหล่านั้นออกไปแล้วปลูกปั้นรอยยิ้มขึ้นมาเหมือนเดิม

       “สวัสดีตอนเย็นครับคุณเทียนไข”

       “ฮ่าๆ เสียงแบบนี้มันเปลวเวอร์ชั่นคนดีนี่ครับ”

       “ผมก็เป็นคนดีตลอดนั่นแหละคุณ” หัวเราะเร็วเปลว..เก็บความรู้สึกทั้งหมดนั่นเอาไว้ซะแล้วหัวเราะร่วนเหมือนอย่างที่นายชอบทำ..

       “ค่ำแล้วหรอเนี่ย.. เราหลับไปนานแค่ไหนหรอเปลว”

       “ตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงตอนนี้อะ” อดทนเอาไว้ก่อน.. อย่ารู้สึก.. ห้ามรู้สึก

       “จริงหรอครับ ..ยังไม่หายง่วงเลย”

       “กลับไปนอนต่อที่ห้องของคุณดีกว่านะ เริ่มมืดแล้ว”

       “กอดก่อนไปได้มั้ย..”

       “…” เปลวแค่นขำ ก่อนจะอ้าแขนกว้างรอให้เจ้าตัวเล็กของเขาเข้ามาเติมเต็ม เทียนไขเห็นดังนั้นแล้วก็ยิ้มแป้น จากนั้นก็ขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วซุกตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดแสนอบอุ่น

       “ขอหมอมาอยู่กับคุณได้ไหมเนี่ย..” คนในอ้อมกอดบ่นอุบอิบ แต่ก็ดังพอที่เปลวจะได้ยิน เขาจึงลูบหัวเทียนไขเบาๆ แล้วพูดต่อ

       “ฉากรักในโรงพยาบาลหรอ.. น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”

       “ขอตัวก่อนนะครับ” เปลวหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นๆแล้วสะบัดเจ้าตัวเล็กของเขาไปมาเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว

       “วันนี้..ฝันดีนะครับ” เปลวเอ่ยออกไปพร้อมรอยยิ้ม เขาคลายอ้อมกอดไว้หลวมๆก่อนจะก้มลงไปประทับริมฝีปากไว้ที่หน้าผากสีเปลือกไข่

       “ฝันดีครับ” ..แต่เทียนไขกลับเล่นใหญ่กว่าด้วยการขยับขึ้นมาแล้วประทับริมฝีปากบนริมฝีปากของเปลว

       “ร้ายนะคุณเนี่ย”

       “ฮ่าๆ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” คนตัวเล็กกว่าค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดก่อนจะหย่อนเท้าลงบนพื้น ทว่าไม่ทันที่จะได้ก้าวเดินเสียงของเปลวก็ดังขึ้นมาเสียก่อน..

       “เดี๋ยวก่อนเทียน”

       “ครับ?”

       “พรุ่งนี้เราไปเดินเล่นที่สวนหลังอาคารกันดีมั้ย…ซักสิบโมง” ขออีกนิด.. อีกนิดเดียวเท่านั้น..

       “มึงจะไม่เป็นไรหรอเปลว”

       “ไม่เป็นไร” ..ใช่แล้ว ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรนะเปลว เข้มแข็งหน่อย.. ยิ้มเข้าไว้

       “โอเค ได้ แต่ถ้ารู้สึกไม่ดียังไงมึงต้องรีบบอกกูเลยนะ”

       ..คนตัวสูงไม่ได้ให้คำตอบเป็นเสียงพูด เขาพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ฝั่งเทียนไขเห็นแบบนั้นแล้วก็โบกมือบ๊ายบายจากนั้นก็เดินจากไป



       และทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น…

       “โอ๊ย!” ..ความเจ็บปวดในศีรษะก็เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง เปลวนิ่วหน้าด้วยความทรมาน ร่างกายสั่นระรัวโดยที่ไม่อาจควบคุม

       เขาทำได้แค่ให้เวลาอันเชื่องช้านี้ผันผ่านไปรอจนกว่าความเจ็บปวดจะทุเลาลง ..ระหว่างนั้นก็จมอยู่กับความรู้สึกที่เหมือนถูกใครซักคนบีบกระโหลกอย่างรุนแรงต่อไปเรื่อยๆ



       “ทนอีกหน่อยนะเปลว..” เสียงทุ้มนุ่มพยายามกล่อมเกลาตัวเอง เปลวพยายามข่มความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ถึงแม้จะยากลำบาก



       “ทนหน่อย..รอให้ถึงพรุ่งนี้” ขอแค่พรุ่งนี้..พรุ่งนี้เท่านั้น



       ‘ซักวันพอเราโตขึ้น..เปลวก็คงจะต้องแต่งงานกับใครซักคนใช่ไหม’

       ‘ก็ใช่ มึงเองก็เหมือนกัน’

       ‘งั้นแสดงว่าซักวันเราก็คงต้องเลิกกัน..จริงมั้ย’

       ‘ถ้าเลิกแล้วจะแต่งงานกับใครวะ’

       ‘ครับ?’

       ‘ถ้ากูเลิกกับมึงแล้วกูจะแต่งงานกับใคร มึงจะแต่งงานกับใคร’

       ‘…’

       ‘เพราะงั้นไม่เลิกหรอก’

       ‘…’

       ‘พอกูกับมึงโตขึ้นมากกว่านี้…เราจะแต่งงานกัน’

       ‘กูไปตกลงปลงใจกับมึงตอนไหนเนี่ย’

       ‘เออเชื่อเถอะน่า พอแต่งงานกันเสร็จแล้วเราก็จะไปฮันนีมูนกันที่ไหนซักที เป็นคู่รักที่มีความสุขที่สุดในโลก’

       ‘ไม่อยากเป็นคู่ที่มีความสุขในโลกเท่าไหร่เลยอะ อยากเป็นแค่คู่รักที่มีความสุขด้วยกันสองคนไปเรื่อยๆก็พอ’

       ‘…’

       ‘ส่วนฮันนีมูน…เอาจริงๆอยากไปดวงจันทร์’

       ‘พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์มีนะ’

       ‘เอาดวงจันทร์จริงๆดิคุณ’

       ‘พูดเหมือนยอมแต่งกับกูเลยคุณเทียนไข’

       ‘อ่าวแล้วกูไม่ยอมได้หรอ’

       ‘ไม่ได้ครับ’

       ‘นั่น’

       ‘..สัญญานะ’

       ‘สัญญา’




       ขอเพียงแค่วันพรุ่งนี้…เปลวก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว



       ..ใบหน้าซื่อๆของเทียนไขปรากฎขึ้นมาในหัว ..เด็กน้อยที่ดูอ่อนแอในอดีตวันนี้เริ่มกลับมาเข้มแข็งขึ้นแล้ว

       ..ดีเหลือเกินที่เทียนไขของเขาไม่ถูกใครก็ตามมาทำร้าย

       ..ดีเหลือเกินที่เทียนไขของเขาหัวเราะได้อีกครั้ง   

       ..ดีเหลือเกินที่เทียนไขของเขาเริ่มมีความสุขบ้างแล้ว

       “กูอยากอยู่เห็นมึงมีความสุขแบบนี้ไปนานๆจังเลยเทียน..”











       



       เวลาผันผ่านไปจนถึงช่วงสายของวันต่อมา ขณะนี้เหลือประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะสิบโมง …บริเวณหลังอาคารเฉลิมพระเกียรติวันนี้พอจะมีแสงแดดอยู่บ้าง แต่เมื่อผนวกเข้ากับสายลมเอื่อยๆแล้วก็เป็นอากาศที่เย็นสบาย

       ..วันนี้อาจจะดูเหมือนเป็นวันธรรมดาๆวันหนึ่ง ทว่ามันกลับพิเศษมากๆสำหรับใครบางคน



       “ขอโทษนะที่รบกวนพวกแกวันหยุดแบบนี้ แถมฉุกละหุกอีกด้วย” เสียงหวานพูดขึ้นก่อนจะดับเครื่องยนต์รถหรูของเธอ

       “ไม่เป็นไรเลยเว้ยผึ้ง มันสำคัญสำหรับเพื่อนเรา” คนที่นั่งอยู่ข้างหลังเอ่ยตอบ

       “โก้ กูฝากเอาขาตั้งวาดรูปไปวางไว้ที่นั่นก่อนนะ มึงไปรออยู่นู่นเลย เดี๋ยวกูกับผึ้งจะขึ้นไปรับพวกมันก่อน ผึ้งเดี๋ยวเราจะขึ้นไปหาเทียน ส่วนผึ้งขึ้นไปหาเปลวนะ” เมธที่นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับหันไปแจกแจงหน้าที่ให้กับอีกสองคนที่เหลือ จากนั้นเจ้าตัวก็เปิดประตูรถลงมาที่กระโปรงหลังเพื่อนำอุปกรณ์ต่างๆออกมา



       “เดี๋ยวก่อนๆ” น้ำผึ้งพูดขึ้น “เรามีอะไรอยากจะขออยู่อย่าง..”

       “…”

       “สัญญาได้มั้ยว่าจะทำ”

       “ได้อยู่แล้ว ว่ามาเหอะ” โก้ให้คำตอบ น้ำผึ้งมองอีกสองคนอย่างช่างใจ ก่อนจะเอ่ย ‘คำขอร้อง’ ออกไป

       “ช่วยทำเหมือนว่า…เปลวกับเทียนปกติดีได้ไหม” เพียงแต่..คำขอร้องนี้มันไม่ใช่ของน้ำผึ้ง แต่ว่า...เป็นของเปลว เปลวอยากให้ใครก็ตามที่มาวันนี้ทำตัวให้เป็นปกติ อาจจะต้องเสแสร้งหรือแสดงละครกันอยู่บ้าง แต่เปลวก็ต้องการให้เป็นแบบนั้น

       “…”

       “อย่างที่เราบอกไป..เปลวเองก็ป่วยเหมือนกัน แต่เขาค่อนข้างที่จะหนักกว่าเทียนไข”

       “…”

       “เปลวอยากให้วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของเขา…เป็นวันพิเศษวันสุดท้ายในความทรงจำของเขา..”

       “ทำไมถึงสุดท้ายวะ..?” โก้เอ่ยถาม

       “เปลวบอกว่า…เปลวอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”

       “…”

       “…สัญญานะว่าจะทำแบบนั้น”

       “..โอเค” ชายหนุ่มทั้งสองไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่แต่ทั้งคู่ก็พยักหน้าตอบกลับไป

       เมธเดินกลับไปเปิดประตูรถอีกครั้งเพื่อหยิบชุดสองชุดที่แขวนอยู่ในรถออกมา ..หลังจากนั้นทั้งสามคนก็แยกกันไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับ



       

       ไม่นานนักเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ผ่านพ้นไป เข็มสั้นบนนาฬิกาที่ฝาผนังเคลื่อนที่เลยเลขสิบไปประมาณเจ็ดองศา ..คนตัวสูงตอนนี้เขาลงไปที่สวนแล้ว เหลือก็แต่ฝั่งของคนที่ตัวเล็กกว่าที่ยังสับสนงุนงงอยู่กับชุดที่เมธขีดเส้นใต้ว่าต้องใส่



       “เมธ กูไม่เข้าใจว่ะ..ทำไมกูต้องใส่สูทวะ” ใช่แล้ว..ชุดที่เทียนไขต้องใส่ก็คือชุดสูท จำเป็นจริงๆหรอที่คนป่วยอย่างเขาจู่ๆก็ต้องไปใส่ชุดสูท

       “รีบเปลี่ยนเถอะเพื่อนรัก” เมธเตรียมจะดึงม่านบังเตียงให้เทียนไข สถานะตอนนี้เขาพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม แต่เพื่อนของเขาก็ยังเอาแต่ทำหน้างงกับชุดตรงหน้าอยู่เหมือนเดิม

       “อย่างน้อยก็ตอบกูหน่อยไม่ได้หรอ ว่าทำไมกูต้องใส่”

       “วันนี้เป็นวันพิเศษ” เมธให้คำตอบ ลึกๆก็อยากจะพูดไปตรงๆแหละ แต่น้ำผึ้งกรอกหูเขามาตลอดทางว่าห้ามบอกเทียน ปล่อยให้เทียนได้เห็นด้วยตัวเอง

       “ใส่ก็ใส่” ทันทีที่ได้ยินเมธถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก มือของเขาก็ไม่รอช้า รีบรูดม่านไปจนบดบังเทียนไขได้มิดชิด

       ..ใช้เวลาชั่วครู่สำหรับการเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดผู้ป่วยมาอยู่ในชุดสูท แต่ไม่นานนักเทียนไขก็เสร็จเรียบร้อย



       “..ทำไมมึงดูดีจังวะ” และเสี้ยวแรกที่เมธได้เห็นเพื่อนตัวเองในชุดแบบนี้เขาก็แทบจะตะลึง เทียนไขที่เคยพบเจอในชีวิตประจำวันว่าดูดีแล้ว พอมาใส่สูทแบบนี้แล้วยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่

       “ลงไปข้างล่างใช่ไหม?” เทียนแค่นขำพร้อมกับเอ่ยถาม

       “ใช่แล้วเพื่อน…ทุกคนรออยู่ที่นั่น”


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       ..ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนวันนี้เต็มไปด้วยหมู่เมฆ มีนกกระจิบตัวน้อยๆบินพาดผ่านไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องประสานกันได้อย่างน่าฟัง นอกอาคารก็มีสายลมเอื่อยๆพัดผ่านผิวหนังอยู่แทบจะตลอดเวลา

       เทียนไขในชุดสูทกำลังจะก้าวลงชานบันไดเพื่อไปยังจุดที่นัดหมายกันเอาไว้ ทว่าไม่ทันที่ปลายเท้าจะหย่อนถึงบันไดขั้นต่อไปสายตาของเขาก็ไปกระทบเข้ากับแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกติดเอาไว้บนต้นไม้ข้างหน้า



       ‘จำที่เราเคยคุยกันได้ไหม?’



       มันเขียนเอาไว้แบบนั้น เป็นลายมือที่เทียนไขรู้สึกคุ้นเคยกับมันมากๆ ราวกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน อาจจะเป็นแบบนั้นจริงแต่ก็คงจะนานมาแล้ว

       ..ทว่าเดินผ่านต้นไม้นั้นไปได้ไม่กี่ก้าว ที่ต้นข้างหน้าก็มีกระดาษใบหนึ่งติดอยู่ และต้นที่อยู่ถัดไปก็มีติดอยู่เช่นเดียวกัน ..ยาวไปจนถึงต้นไม้ใหญ่ที่เขาคุ้นเคยกับมันดี

       

       ‘ที่มึงบอกว่า…อยากจะเป็นคู่รักที่มีความสุขด้วยกันสองคนไปเรื่อยๆก็พอ’



       “…”



       ‘ตอนนั้น…เด็กเอ๋อสองคนคุยกัน วาดฝันกันซะใหญ่โตทั้งที่ไม่รู้เลยว่าจะได้ทำแบบนั้นกันจริงๆมั้ย’



       “…”



       ‘แต่ตอนนี้กูคิดว่ากูรู้แล้วล่ะ…ว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ’



       “…”



       ‘มันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือมีพิธีรีตองอะไรมากมาย แต่ว่า…คุณเทียนไขครับ’



       “…”



       …สองเท้าก้าวมาจนถึงต้นไม้ใหญ่อันคุ้นตา  ฝั่งตรงข้ามของต้นไม้นี้เป็นม้านั่งตัวเดิมที่เขาและเปลวมักจะมาเจอกันอยู่บ่อยๆ เทียนไขจำได้…เขาจำได้ดีเลยว่าที่ตรงนี้…เป็นที่แห่งความทรงจำ

       และก็เหมือนเดิม…กระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่บนต้นไม้ ข้างบนถูกแต่งแต้มด้วยปากกาเคมีเป็นลายมือเดียวกับทุกแผ่นที่ผ่านมา …เทียนไขหยุดกึกอยู่ตรงนั้นเมื่อประกอบทุกตัวอักษรได้เป็นข้อความ



       ‘แต่งงานกันนะ’



       …เสียงไวโอลินดังขึ้นที่อีกฝั่งของต้นไม้ มันถูกบรรเลงเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองเสนาะหู เทียนไขหันหลังกลับไปหาเมธอีกครั้งเพื่อที่จะถามว่าสิ่งที่เห็นหมายความว่าอะไร ทว่าเจ้าตัวก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว …ด้วยความสงสัยในหัว คนตัวเล็กในชุดสูทจึงเดินตามเสียงไวโอลินนี้ไป และภาพที่ประจักษ์แก่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็คือ…

       ม้านั่งตัวนั้น..ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ประดับสีโทนอ่อน มีเศษใบไม้สีน้ำตาลจัดเรียงเอาไว้รอบๆเป็นรูปหัวใจ ห่างออกมาข้างหน้าประมาณห้าเมตรมีกระดานวาดภาพพร้อมขาตั้งตั้งอยู่ ส่วนรอบนอกที่โรงพยาบาลจัดสวนด้วยหินอ่อนเป็นที่นั่งเอาไว้ มีผู้หญิงผมสลวยคนหนึ่งกำลังบรรเลงไวโอลิน และผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวราวกับว่าตัวเองเป็นบาทหลวงนั่งอยู่



       “เทียน” เสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นหูเอ่ยเรียก เทียนไขจึงหันไปตามเสียงนั้น ก่อนจะพบกับคนตัวสูงที่อยู่ในชุดสูทแบบเดียวกัน

       “…”

       “มึงยังอยาก…ฮันนีมูนบนดวงจันทร์กับกูอยู่มั้ย” จู่ๆ..ก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ใบหน้าของเปลวตรงหน้าถูกเบลอด้วยหยาดน้ำสีใสที่รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตา

       “มันไปจริงๆได้ที่ไหนเล่า..” ไม่คิดเลยว่าเปลวจะจำคำพูดของเด็กช่างฝันในวันนั้นได้

       “อาจจะไปไม่ได้..แต่ว่าก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วนะ”

       “…”

       “ลอง..มองขึ้นไปดูดิ” เรียวนิ้วยกขึ้นชี้ไปข้างบน เทียนไขจึงเงยหน้าขึ้นตาม

       ..บอลลูนกลมๆลายดวงจันทร์เส้นผ่านศูนย์กลางเกือบเมตรที่ถูกผูกห้อยไว้กับกิ่งไม้ใหญ่คือสิ่งที่ปรากฎให้เห็น กระแสลมบางเบาสัมผัสผิวของมันทำให้ดวงจันทร์ตรงหน้า…หมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ ราวกับว่าเป็นดวงดาวจริงๆ



       “…” ..หยาดน้ำตาไหลพาดผ่านสองข้างแก้มอย่างไม่อาจกลัดกลั้นไว้ ทว่ามันก็ไม่สามารถปกปิดรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเทียนไขได้



       “เทียนครับ”

       ..คนตัวสูงจับมือของเทียนไขข้างหนึ่งขึ้นมา นัยน์ตาสีนิลของเปลวจับจ้องรอยยิ้มของเทียนไขอย่างไม่ละสายตา ..เสียงไวโอลินค่อยๆเบาลงก่อนจะหยุดบรรเลง สิ่งที่โสตประสาทรับรู้จึงเหลือเพียงเสียงของลม และเสียงทุ้มนุ่มของคนตรงหน้า

       “แต่งงานกับผมนะ” เสี้ยววินาทีต่อมา..เปลวก็ปิดเปลือกตา ก่อนจะจุมพิตลงบนผิวสีนวลที่หลังมือ ..ฝั่งเจ้าตัวเล็กของเปลวดูเหมือนจะน้ำตาไหลหนักหน่วงมากขึ้น เจ้าตัวถึงกับต้องใช้มืออีกข้างยกขึ้นมาป้องปาก

       “ครับ” เทียนไขให้คำตอบ ก่อนจะโผเข้ากอดคนตรงหน้า “ขอบคุณนะเปลว…ขอบคุณมากๆเลย”



       สำหรับตอนนี้…ถ้ามีใครซักคนเอ่ยถามพวกเขาว่าพวกเขามีความสุขหรือเปล่า คำตอบที่ได้ก็คงจะได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดไตร่ตรองอะไรเลยแม้แต่น้อย

       ก็จริงที่ในอดีตพวกเขาต่างก็เจ็บปวด  สังคมรอบข้างต่างก็ทำร้ายพวกเขาอย่างทารุณ ..บาดแผลบางบาดแผลที่เกิดขึ้นก็เป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหาย ..เหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เคยพบเจอก็ไม่สามารถลบเลือนออกไปจากความทรงจำได้ ความอ่อนแอที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทั้งเปลวและเทียนไขเกือบจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาอันแสนโหดร้ายนี้อยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว…

       พวกเขาทั้งสองก็ผ่านมันมาได้



       และถ้าถามว่าตอนนี้พวกเขามีความสุขหรือเปล่า คำตอบก็คือ..

       ‘ใช่แล้ว…ตอนนี้ผมและเทียนมีความสุขมากๆเลย’



       “อะแฮ่ม… เอ่อ..ขอเวลาห้านาทีให้พ่อได้ทำพิธีหน่อยนะลูก” โก้ในชุดบาทหลวงกระแอมกระไอก่อนจะใช้เสียงแหบๆโคเวอร์เป็นผู้สูงอายุที่น่าเคารพนับถือ แต่ถ้าถามว่าที่ตรงนี้มีใครนับถือมั้ย…ก็คงไม่ ชุดที่ใส่อยู่นี่สงสัยกะจะใส่วันรับปริญญาอีกหกปีข้างหน้าด้วยแหงๆ

       “ไอ้โก้หรอ555555555555” เทียนไขหัวเราะร่วนเมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยมีหนวดปลอมติดอยู่

       “เออกูเนี่ยแหละ อย่าขำดิอยู่ในพิธีนะโว้ย! ไอ้เมธไอ้ผึ้งพวกมึงก็มาร่วมเป็นสกีพยานตรงนี้ได้แล้ว”

       “สกีบ้านมึงไอ้สัด” เมธตะโกนไล่หลังแต่ก็เดินมาตรงนี้อย่างที่โก้สั่ง ฝั่งคุณบาทหลวงพอเขาได้ยินเสียงด่าเขาก็ขำลั่นเป็นอันว่าพอใจ ก่อนจะหันกลับมาสำรวมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ในมือยกโพยที่ยับยู่ยี่ขึ้นมาดูอย่างโปรเฟซชั่นนอล



       “ทินกร ประดิษฐ์จันทร์ คุณยินดีที่จะยอมรับนายเทียนไข จินตนันท์เป็น ‘คู่ชีวิต’ ไหม คุณสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขา ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในยามป่วยไข้และสบายดี จะรักและให้เกียรติเขาตลอดชั่วชีวิตของคุณหรือไม่” บาทหลวงจำเป็นเอ่ยถาม คนตัวสูงผู้ถูกถามจึงจับมือทั้งสองข้างของเทียนไขเอาไว้ก่อนจะเอ่ยตอบ..

       “ยินดีครับ”

       “เทียนไข จินตนันท์ คุณล่ะ…ยินดีที่จะยอมรับคนๆนี้เป็น ‘คู่ชีวิต’ ของคุณหรือเปล่า” โก้ถามต่อ เจ้าตัวเล็กของเปลวพอได้ยินแบบนั้นแล้วเขาก็กระชับฝ่ามือของเปลวเอาไว้ ประสานกันอีกครั้งราวกับเป็นสัญลักษณ์ว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน

       “ครับ…ผมยินดี”



       ..จากนั้นสกีพยานหมายเลขหนึ่งก็หยิบไวโอลินของเธอขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะบรรเลงทำนองเสนาะหูเคล้าคลอคู่รักที่กำลังมองตากันอย่างไม่ละสายตา ส่วนสกีพยานหมายเลขสองอย่างเมธก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

       นั่นก็คือ…ปรบมือ



       “เชิญคุณทินกรสวมแหวนให้คุณเทียนไขได้เลยครับ”

        …คนตัวสูงขยับมาใกล้ ก่อนจะจับมือของเทียนไขขี้นมา ไม่นานนักแหวนสีเงินที่ดูเหมือนจะแพงหูฉี่ก็ถูกสวมใส่มาที่นิ้วนางข้างซ้ายของเทียนไข ก้อนเนื้อในอกของเจ้าตัวเล็กในวินาทีนี้พองโตและเต้นถี่รัวราวกับไวโอลินของน้ำผึ้งบรรเลงเป็นจังหวะร็อค เจ้าตัวมองดูทุกการกระทำของเปลวด้วยความรู้สึกที่ทำให้น้ำตาหลั่งไหลไม่หยุดทั้งๆที่ยิ้มอยู่



       “ต่อไป…เชิญคุณเทียนไขครับ” อ่าวเดี๋ยวก่อน เทียนไขมีแหวนซะที่ไหนกัน

       “ฮ่าๆกะไว้แล้วว่ามึงต้องทำหน้างี้ อ่ะนี่…ใส่ให้กู กูจะแกล้งๆทำเป็นไม่รู้” เปลวแค่นขำพร้อมกับหยิบกล่องแหวนสีเข้มออกมาจากกระเป๋ากางเกงเอามาใส่ในมือของเทียนไข

       ฝั่งเจ้าตัวเล็กของเปลวเมื่อได้รับแหวนมาแล้ว เขาก็จับมือของอีกฝ่ายขึ้นมา ..จากนั้นก็ค่อยๆสวมสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเราต่างก็เป็น ‘คู่ชีวิต’ ของกันและกันเข้าไปที่เรียวนิ้วนางข้างซ้ายของเปลว

       “เรารักคุณนะ”

       พร้อมกับ..พูดคำๆนี้ออกไป



       “…” เปลวนิ่งไปครู่หนึ่ง …จริงๆตอนนี้มีความรู้สึกอีกมากมายเลยที่เขาอยากจะพูดออกไป 

       เปลวอยากจะขอบคุณ..ขอบคุณเทียนไขที่ทำให้เขาได้รู้ว่าการได้รักใครซักคน ได้ดูแลใครซักคน ได้รับผิดชอบใครซักคน มันล้ำค่าและมีคุณค่ามากๆ ทั้งในตำแหน่งของผู้ให้และในตำแหน่งของผู้รับ ..ความทรงจำดีๆ ..เรื่องราวดีๆก็เกิดขึ้นเพราะการที่เปลวและเทียนไขได้ร่วมกันกระทำสิ่งเหล่านี้

       แต่ขณะเดียวกันเปลวก็อยากจะขอโทษด้วยเช่นกัน

       เปลวอยากขอโทษ…ขอโทษสำหรับเหตุการณ์นั้นในคืนวันปัจฉิมที่ทำลายทุกอย่างลงจนมันพังทลายไม่มีชิ้นดี แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรมาทดแทนกันได้ แต่นั่นแหละ… ต่อเทียนไขแล้ว..เปลวทำได้แค่ขอโทษจริงๆ แต่ถ้าต่อตัวเขาเอง…ตราบาปนี้จะติดตัวเขาไปจนกว่าบนโลกนี้จะไม่มีเขาอยู่

       และเพราะ…บนโลกนี้จะไม่มีเขาอยู่แล้วจริงๆ.. เปลวเลยอยากขอโทษในสิ่งนี้ด้วยเหมือนกัน

       ‘ขอโทษนะ…ที่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณมาทำอะไรแบบนี้’

       ‘ขอโทษนะ…ที่ผมดันบอกว่าผม ‘ยินดี’ ที่จะซื่อสัตย์กับคุณทั้งในยามที่ป่วยไข้และสบายดี ทั้งๆที่ผม..ไม่มีทางได้อยู่ในยามที่ ‘สบายดี’ อีกต่อไปแล้ว’

       ‘ขอโทษนะ…ที่คนโกหกอย่างผม ในวันนี้กลับเลือกทำตามสัญญา…สัญญาที่เราจะแต่งงานกัน’

       ‘แล้วก็…ขอโทษนะสำหรับวันนี้ที่ผมแต่งงานกับคุณ’



       เปลวกำลังเห็นแก่ตัว…เขารู้ เขารู้ดี

       แต่นี่ก็เป็นสิ่งเดียวแล้วล่ะที่เปลวอยากจะทำ

       เป็น…ความทรงจำสุดท้าย



       “ผมก็รักคุณนะเทียน…รักมากๆเลยครับ..”













       …เวลายังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป จนในที่สุดช่วงเวลาอันแสนงดงามนี้ก็ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย

       เป็น ‘สุดท้าย’ แล้วจริงๆ..สำหรับเปลว



       “เทียน…เปลวบอกให้มึงอ่านหนังสือเล่มนี้หน่อย” เมธเดินเข้ามาหาเทียนไขที่กำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิม เขาเดินมาพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งในมือ

       “ทำท่าอ่าน..?” คนตัวเล็กถามอย่างสงสัย

       “เปล่า..อ่านจริงๆนั่นแหละ เปลวอยากให้มึงทำตัวสบายๆ อ่านเหมือนเวลาปกติที่มึงอ่าน”

       เทียนไขได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้ ก่อนจะยื่นมือไปรับหนังสือเล่มนั้น พอรับมันมาไว้ในมือเขาก็พบว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เปลวเคยให้เขายืมมาอ่าน แต่ที่แปลกไปก็คือ..มีโน้ตอยู่แผ่นหนึ่งติดอยู่บนในเล่มบนแผ่นที่เป็นปกใน



      ‘ความสุขเล่มนี้ จริงๆคุณไม่ต้องคืนผมหรอก…มันเป็นของคุณครับ ทุกๆอย่างของผมรวมถึงหัวใจเป็นของคุณ…คุณเทียนไข จินตนันท์’



       “…” รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้า ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆเปิดอ่านมันอีกครั้งอย่างทะนุถนอม ท่องไปในโลกแห่งความสุขในหนังสือเล่มนี้อย่างเพลิดเพลินใจ



       …ห่างออกไปข้างหน้าระยะประมาณเกือบห้าเมตร ปลายพู่กันถูกจุ่มลงไปในจานสี ก่อนจะถูกนำขึ้นมาจากนั้นจรดลงบนแผ่นเฟรมผ้าใบที่ถูกล็อคไว้กับขาตั้งสำหรับวาดภาพ

       “จะวาดอะไรอีกล่ะทีนี้ คอลเลคชั่นเทียนไขเต็มบ้านแล้วนะเปลวรู้ยัง” น้ำผึ้งเอ่ยถามในขณะที่จ้องมองดูลูกพี่ลูกน้องวาดภาพด้วยรอยยิ้ม

       “วาดเพิ่มอีกซักรูปจะเป็นไรไป”

       “แล้วนี่…จะตั้งชื่อรูปนี้ว่าอะไรหรอ”

       “รูปนี้ชื่อว่า..”

       “…”

       “‘เปลวเทียน’ แล้วกัน”

       ..คนตัวสูงยิ้มกว้างจนตาหยี ก่อนจะหันกลับไประบายพื้นหลังด้วยสีโทนอ่อนอย่างเบามือ สายตาเหลือบไปมองเจ้าตัวเล็กของเขาอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่หันไปเขาก็จะเห็นว่าเทียนไขกำลังยิ้มให้กับหนังสืออยู่เสมอ มันทำให้เปลว…มีความสุขเหลือเกินกับการวาดรูปครั้งนี้



      ‘เฮ้ย มึงอะ’

        ‘…’

        ‘หยุดก่อนเว้ย รอด้วย กูไม่รู้ทาง’

        ‘…’

        ‘เอ้า รอกูก่อน’

        ‘…’

        ‘เฮ้อ เหนื่อยเลย..’

        ‘มีอะไรรึเปล่า..’

        ‘พึ่งเข้า พึ่งย้ายมาแถวนี้ พึ่งเคยมาโรงเรียนนี้ด้วย พากูไปห้องหน่อย..’

        ‘…’

        ‘ได้มั้ย..?’

        ‘เอ่อ..คือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องตัวเองอยู่ไหน’

        ‘อ่าว… ว่าจะหาคนนำทาง ดันเจอคนหลงทางเหมือนกันเฉยเลย ฮ่าๆ อะไรวะเนี่ย’




       …ภาพในวันแรกที่รู้จักกันฉายย้อนขึ้นมาในหัว เด็กน้อยสองคนในวันนั้นตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ทั้งตัวของพวกเขาเอง และสังคมรอบตัว

       ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ ‘เปลวจุดเทียน’ ให้ส่องสว่าง หรือตอนที่ ‘เปลวเผาเทียน’ ให้มอดไหม้ละลายเป็นไขน้ำตา

        สิ่งนั้นคือ…ความรักของพวกเขา

        ความรัก..ระหว่าง ‘เปลวเทียน’



        อาจจะไม่ใช่ความรักที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่สำหรับเปลวและเทียนไขแล้ว ต่อให้มีใครคนใดคนหนึ่งจำเป็นต้องปล่อยมือกันไปก่อน อีกคนที่ยังคงอยู่ก็จะยังคงเชื่อมั่นในความรักนี้

       พอถึงตอนนั้นแล้ว..อาจจะหลงเหลืออยู่แค่คำว่า ‘เคย’ สำหรับทุกอย่าง

       …ที่ตรงนี้เคยมาด้วยกัน

       …อาหารจานนี้เคยทานด้วยกัน

       …หนังเรื่องนี้เคยดูด้วยกัน

       แต่ขอให้ยกเว้นไว้อยู่อย่างนึง

       ยกเว้น… ‘เคยรัก’

       มันคือรัก..รักที่จะคงอยู่ตลอดไป

       

       

       

       






ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1



(Special) Tian’s Tears



“Memories Jigsaw Puzzle”








       ‘เปลว วันนี้วันอะไรรู้เปล่า’

       ‘รู้ดิ วันจันทร์ไง’

       ‘ผิด วันนี้วันครบรอบ’

       ‘กูก็ล้อเล่นเฉยๆหรอก กูเตรียมของไว้ให้มึงด้วย’

       ‘เหมือนกัน’

       ‘ไม่รู้ว่ามึงจะชอบหรือเปล่า..แต่ว่า กู..ตั้งใจวาดมากๆเลย’

       ‘…’

       ‘อะนี่ กูวาดให้มึงนะ ใส่กรอบให้เรียบร้อย’

       ‘ส..ส่วนอันนี้ เปลวคงจะเคยเห็นเรานั่งถักบ้างแล้วแหละ แต่เราพยายามแอบๆถักแล้วนะ กะจะเซอร์ไพรส์..’

       ‘หมวก..?’

       ‘ใช่แล้ว…หมวกไหมพรม’

       ‘..ขอบคุณมากนะเว้ยเทียน’

       ‘ยังไม่หมดแค่นี้นะ เรายังมีนี่ด้วย’

       ‘ไหน?’

       ‘อ้อมกอด’

       ‘…’

       ‘แบบนี้ไง..’

       ‘น่ารักว่ะ แฟนใครวะ’

       ‘แฟนคุณเปลวเขาอะครับ’

       ‘เนี่ย จะไม่ให้รักได้ไง อยู่กับกูไปนานๆนะเทียน’

       ‘นานขนาดไหนหรอ?’

       ‘ตลอดไปเลย’

       ‘เปลวก็เหมือนกันนะ’

       ‘อยู่ข้างๆกัน…ตลอดไป’




       ตลอดไป..? คำนี้ปรากฎขึ้นมาในหัวหลายต่อหลายครั้ง หลอกหลอนให้จมปลักอยู่กับมันร่ำไป คงจะไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยถ้า ‘ตลอดไป’ ที่เคยให้กันมันเป็นความจริง

       แต่แย่หน่อยนะ…ที่มันไม่ใช่

       และในเมื่อมันไม่ใช่ความจริง…เราจึงรู้สึกถึงความเจ็บปวด



       “ของน้อยจังเลยวะมึงเนี่ย” เมธเอ่ยขึ้นหลังจากยกกล่องลังที่ใส่ข้าวของต่างๆของเทียนไขลงจากรถมาวางไว้ที่หน้าบ้านได้สำเร็จ

       “ขาดเหลืออะไรหรือเปล่าเทียน บอกเราได้นะ…เดี๋ยวจัดการให้” ลูกสาวเศรษฐินีพูดพร้อมกับปิดประตูรถหรูอย่างเบามือ เธอถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย พอเห็นว่าเสื้อผ้าและของใช้หลายๆอย่างของเทียนไขรวมกันแล้วมีขนาดแค่ลังกล่องเดียว

       “ไม่เป็นไรหรอกน้ำผึ้ง…แต่ก็ขอบคุณมากนะ  ขอบคุณที่มาส่งเราด้วย เดี๋ยวเราจัดของทั้งหมดนี้เองก็ได้ รบกวนเมธกับน้ำผึ้งมามากแล้ว” เด็กขี้เกรงใจตอบ …เทียนไขในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในชุดผู้ป่วยอีกต่อไป หากแต่อยู่ในชุดลำลองตัวใหญ่โคร่งที่ยืมมาจากเมธ

       “งั้นเดี๋ยวกูช่วยยกลังนี้ไปไว้ในบ้านให้นะ” เมธบอกก่อนจะยกกล่องลังขึ้นมาอีกครั้งแล้วมุ่งตรงไปที่ประตูกระจกสีทึบที่อยู่ไม่ห่าง ซึ่งผู้ดูแลบ้านชั่วคราวอย่างน้ำผึ้งได้ทำหน้าที่เปิดรอไว้แล้วเรียบร้อย

       “ขอบคุณมึงมากเมธ” เทียนไขตบบ่าเพื่อนรักของเขาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหันกลับมามองบริเวณพื้นที่รอบๆบ้านอันคุ้นตาอีกครั้ง ขณะนั้นรอยยิ้มเมื่อครู่ก็ค่อยๆจางหายไป



       “โอเคหรือเปล่าเทียน?” น้ำผึ้งเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเทียนไขมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

       “โอเคๆ ไม่เป็นไรแล้ว”

       ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไรหรอก มันผ่านไปแล้ว ผ่านไปแล้วนะเทียนไข..

       “ถ้ารู้สึกไม่ดียังไงก็รีบบอกเราเลยนะ ถ้าไม่โอเคกับที่นี่ก็อย่าพึ่งฝืนตัวเองก็ได้เทียน” ฝ่ามือนุ่มๆตบลงบนบ่าเบาๆเพื่อปลอบประโลม ก่อนจะพูดต่อ “เรากับเมธเป็นห่วงเทียนนะ …ถ้าเปลวอยู่ตรงนี้ เปลวก็คงจะพูดแบบเดียวกันกับเรานี่แหละ”

       “แต่เขาเป็นคนอยากให้เรากลับมาที่นี่ไม่ใช่หรอ”

       “…”

       “เปลวอยากให้เรากลับมาที่บ้านหลังนี้…เขาคงไม่ได้ห่วงเราจริงๆหรอก” ใช่แล้ว…คนใจร้ายคนนั้นเขาไม่ได้ห่วงกันเลยแม้แต่นิดเดียว เปลวมันคนเห็นแก่ตัว ชอบโกหกหลอกลวง ไม่เคยมีความจริงใจต่อกันเลยซักครั้ง

       “ผิดแล้ว..เพราะเปลวเป็นห่วงเทียนต่างหากถึงอยากให้เทียนกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้”

       “…”

       “ที่บ้านนี้เหมือนเปลวมีอะไรบางอย่างจะบอกเทียนนะ…เรารู้สึก” น้ำผึ้งยิ้มกว้างเวลาพูดถึงความรักของลูกพี่ลูกน้องคนเก่งของเธอ …จนถึงตอนนี้แล้วน้ำผึ้งก็ยังคงนับถือความรักของเปลวมากๆ และน้ำผึ้งก็เชื่อด้วยว่าถ้าเทียนไขได้รับรู้ทุกอย่างแล้วจริงๆ เทียนไขก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน

       ถูกต้องแล้ว…ที่เธอพูดออกไปว่าเธอรู้สึก จริงๆไม่ใช่แค่รู้สึก แต่มันคือความจริง …ความจริงที่เปลวฝากไว้ให้เธอส่งสาส์นไปให้ถึงเทียนไข

       “…”

       “เรารู้ว่ามันยาก…แต่เทียนต้องผ่านมันไปให้ได้นะ”

       “เราจะพยายาม”

       …ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่เอาจริงๆแล้วเทียนไขไม่มั่นใจเลยซักนิดว่าตัวเองจะทำได้ ก้าวแรกที่ลงออกมาจากรถแล้วรู้ว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่บ้านของเปลว กลับมาสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ หยาดน้ำตาโง่ๆนี่ก็รื้นเอ่อขึ้นมารอบดวงตาในทันที ไม่เข้าใจเลยซักนิดว่าทำไมต้องรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ให้กับคนใจร้ายอย่างเปลว

       …ทว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหน ภาพเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาสองคนก็จะปรากฎขึ้นมาให้เห็นเสมอ ที่ข้างหลังต้นไม้ต้นนั้น…เด็กสองคนนั้นเคยใช้เป็นที่แอบในเกมเล่นซ่อนหา โรงจอดรถว่างๆตรงนี้…เด็กน้อยสองคนนั้นเคยวิ่งเล่นด้วยกัน ห้องนั่งเล่นที่มองเห็นผ่านกระจกตรงประตู…ที่ตรงนั้นเด็กน้อยสองคนก็เคยนอนหนุนตักพร้อมกับดูทีวีไปด้วยกัน

       เป็นอย่างนี้แล้ว…เทียนไขจะผ่านมันไปได้ด้วยวิธีไหนกัน.. วิธีไหนหรอที่จะทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นที่นี่.. วิธีไหนหรอที่จะทำให้เขาลืมภาพของเด็กสองคนนั้น

       …วิธีไหนหรอที่จะทำให้เทียนไขลืมเปลวได้





       ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เดินกลับไปขึ้นรถ เจ้าของใบหน้าสวยลดกระจกลงมายิ้มให้พร้อมกับโบกมือบ๊ายบาย ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปจากพื้นที่ของบ้านหลังนี้

       และทันทีที่ประตูรั้วปิดสนิท ความรู้สึกหลากหลายในใจที่เทียนไขพยายามข่มเอาไว้ก็ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้อีกต่อไป



       ‘สรุปคือ…เราแต่งงานกันแล้วใช่ไหมเปลว’

       ‘ครับ เราแต่งงานกันแล้ว’

       ‘คิดไงของมึง จู่ๆก็ขอกูแต่งงาน’

       ‘กูแค่…อยากเป็นคนที่อยู่ดูแลมึงไปตลอด แล้วก็อีกอย่าง…กูทำตามสัญญาด้วย’

       ‘งั้นจับมือหน่อย’

       ‘…’

       ‘ถ้าจะอยู่ดูแลกู…ขอแค่เราจับมือกันไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆก็พอแล้ว’




       …ตอนนั้นเราจับมือกันแน่น แน่นจนขนาดที่ทำให้เทียนไขมั่นใจเลยว่าจะไม่มีใครปล่อยมือกันไปก่อนแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเปลวหรือเป็นตัวเขาเอง



       ‘กูรักมึงนะเปลว’

       ‘กูรักมึงมากกว่า’




       และยิ่งเราบอกรักกัน…เทียนไขก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น เขามั่นใจมากๆว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี อาจจะใช้เวลาซักหน่อยแต่เปลวกับเขาต้องได้ออกจากโรงพยาบาลและกลับไปใช้ชีวิตข้างนอกด้วยกันแน่ๆ

       ทั้งๆที่หวังเอาไว้แบบนั้นแท้ๆ…

       แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา…มือของเปลวที่เคยประสานกันเอาไว้ก็คลายออกทีละนิด..ทีละหน่อย

       จนสุดท้าย…

       เปลวก็ปล่อยมือกัน



       ‘คนโกหก’

       ‘คนเห็นแก่ตัว

       ‘คนใจร้าย’

       ทุกๆคำหลอมรวมกลายเป็นเปลว เทียนไขจำได้ดีเลยว่าเปลวจะไม่ทำให้เขาเจ็บปวดอีก แต่เปลวก็ยังทำ …นี่ไงคนโกหก

       แหวนสีเงินที่นิ้วนางข้างซ้าย…จริงๆมันต้องใส่เป็นคู่ แต่เปลวกลับทิ้งให้เทียนไขใส่เพียงคนเดียว …นี่ไงคนเห็นแก่ตัว

       การจากไปโดยไม่มีคำบอกลา ไม่มีอะไรซักอย่าง จู่ๆเปลวก็หลับตาแล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

       นี่ไง...คนใจร้าย



       คุณใจร้าย…ใจร้ายปล่อยมือเรา

       คุณใจร้าย…ใจร้ายที่แสร้งยิ้มให้เราตายใจว่าคุณจะไม่เป็นอะไร คุณทำเหมือนว่าตัวคุณเองกำลังมีความสุข ทั้งๆที่จริงๆแล้วคุณกำลังทรมาน

       คุณใจร้าย…ใจร้ายที่เรากอดคุณแล้วคุณกลับไม่กอดเราตอบ

       และคุณก็ใจร้าย…ใจร้ายที่คุณไม่ยอมยิ้มให้เราอีกต่อไปแล้ว



       คุณใจร้ายจังเลยเปลว..

       ใจร้ายมากๆเลยที่…แม้แต่วินาทีสุดท้ายของคุณ…คุณก็ยังบอกรักเรา

       คุณอาจจะไม่ได้บอกเป็นคำพูด แต่เรารู้…วันนี้เรารู้แล้ว เรารู้แล้วว่าคุณรักเรามากจริงๆ…



       ‘เทียน’

       ‘…’

       ‘ถ้ามีใครซักคนจำเป็นที่จะต้องปล่อยมือกันก่อน ขอให้คนๆนั้น..เป็นกูได้มั้ย’

       ‘…’

       ‘ขอให้มันเป็นกูเถอะนะ…’




       ..หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หลังจากที่เปลวปล่อยมือกันไปแล้ว ฝั่งเทียนไขก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน อาการไตวายของเขาทรุดหนักจนทำให้ต้องปลูกถ่ายไต เทียนไขรับรู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำได้ในทันที ช่วงเวลานั้นเขาจึงคิดเพียงแค่ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่เขาจะมีชีวิตอยู่ คงจะดีกว่ามากๆถ้าตัวเขาลาจากโลกนี้ไป คงจะดีสำหรับทุกฝ่ายเลย

       หากแต่ในขณะที่เขากำลังสิ้นหวังนั้น…คุณหมอก็เข้ามาบอกเขาให้เขาเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต

       เป็นไตของผู้ป่วยที่สมองตายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

       …เป็นไตของเปลว



       เปลวใจร้าย..ใจร้ายเหลือเกินที่รักเจ้าตัวเล็กของเขามากมายขนาดนี้











       …หมู่เมฆบนท้องฟ้าวันนี้ดูเหมือนว่าจะเศร้าสร้อย พวกมันรวมตัวกันเป็นเมฆหนาสีหม่น ส่งเสียงร้องออกมาเป็นครั้งคราว และไม่นานหลังจากนั้นเม็ดฝนก็ค่อยๆโปรยปรายลงมา เสียงละอองน้ำกระทบกับหลังคาดังขึ้น เทียนไขจึงละสายตาจากบรรยากาศเก่าๆนอกบ้านแล้วเดินเข้าไปหลบฝนข้างใน

       แปลกเหมือนกันนะที่ฝนมาตกหน้าหนาว บางที..อาจจะเพราะคนบนฟ้ากำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่า..?



       …ทันทีที่ก้าวเข้ามาข้างในบ้าน กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความทรงจำก็โชยเข้ามาเตะจมูก จากตรงนี้มองตรงไปที่ห้องครัวจะเห็นโต๊ะทานอาหาร ซึ่งเด็กน้อยสองคนนั้นก็เคยนั่งทานด้วยกันที่นั่นเหมือนกัน หรืออาจจะมองเฉียงไปทางซ้ายจากห้องครัวนิดหน่อย ตรงนั้นพอเปิดประตูออกไปก็จะเป็นห้องซักล้าง เด็กน้อยสองคนนั้นเคยซักชุดนักเรียนด้วยกันพร้อมกับแกล้งกันจนทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยฟองจากผงซักฟอก



       “คง…ทำได้แค่คิดถึงแล้วใช่ไหมเปลว..” 



       รู้อยู่หรอกว่าคุณไม่เคยอยากให้เราร้องไห้ แต่ตอนนี้…เราไม่ไหวจริงๆ



       “คิดถึงเปลวจัง..”



       กลับมาหากันหน่อยได้ไหม.. เราร้องไห้อยู่นะ กลับมาปลอบเรา…ดึงเราเข้าไปกอดหน่อยได้ไหม กลับมาทำให้เรายิ้มอีกครั้งได้ไหมเปลว..





       …แสงไฟในบ้านเริ่มมืดสลัว เสียงเม็ดฝนภายนอกดังเคล้าคลอกับเสียงสะอื้นไห้ภายในหัวใจดวงน้อยๆที่กำลังจมอยู่กับอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ เทียนไขรู้…เขารู้ดีว่าเปลวอยากจะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปมากมายขนาดไหน

       ตัวเขาเองก็อยากจะทำให้เปลวสมหวัง อยากจะมีชีวิตอยู่ให้สมกับสิ่งที่เปลวให้เขามา ทว่าพอเอาเข้าจริงๆมันทรมานมากเลย… ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปเต็มไปด้วยเรื่องราวนับร้อยนับพันที่เด่นชัดอยู่ในความทรงจำ

       เปลวคงจะอยากให้เทียนไขจมอยู่กับความทรงจำพวกนี้ใช่ไหม..? งั้น…จะเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าเทียนไขคนนี้ จะขอดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความทรงจำพวกนี้ให้ลึกอีกซักนิด

       จะเป็นอะไรไหม…ถ้าเทียนไขคนนี้จะตามเปลวไป



       กระปุกยานอนหลับกระปุกหนึ่งถูกหยิบออกมาจากตู้ยาสามัญประจำบ้าน รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าเมื่อได้เห็นฉลากยาอันคุ้นตา เป็นแบบนั้นไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินไปที่ประตูหน้าบ้านอีกครั้ง แล้วล็อคทั้งลูกกรงข้างนอกและประตูกระจกอย่างแน่นหนา

       “ครั้งนี้ขออย่าให้มีใครมารั้งกันไว้อีกเลยนะ” คนตัวเล็กพูดออกไปเสียงเบาหวิว จากนั้นก็หันกลับมาก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปข้างบนชั้นสอง

       ขึ้นไปที่..ห้องนอนของเขากับเปลว



       ใช้เวลาไม่ถึงนาทีเทียนไขก็มาหยุดอยู่ที่ประตูห้อง มือข้างหนึ่งหมุนลูกบิดก่อนจะค่อยๆดันประตูออกไป ทว่า..

       “…” ห้องข้างในกลับอยู่ในสภาพที่แทบจะว่างเปล่า

       ชั้นหนังสือตอนนี้ไม่มีหนังสืออยู่อีกต่อไป โซนโต๊ะทำงานก็มีเพียงโต๊ะคอมพิวเตอร์และเก้าอี้เท่านั้น ที่นอนตรงหน้าเหลือเพียงที่นอนเปลือยเปล่าไม่มีเครื่องนอนใดๆปกปิด

       จู่ๆ…คำพูดของเปลวก็ปรากฎขึ้นมาในหัว



       ‘ดึกแล้วนะ นอนที่นี่ก็ได้ มีห้องว่างอีกหลายห้องเลย…ผมอยู่คนเดียว’

       ‘พ่อล่ะ?’

       ‘ไม่รู้เหมือนกัน’

       ‘…’

       ‘คุณนอนห้องใหญ่ข้างบนได้เลยนะครับ ห้องนั้นมีเตียงมีทีวีมีทุกอย่าง ผมทำความสะอาดประจำเพราะงั้นสบายใจได้’




       ที่เปลวพูดวันนั้นหมายถึง..เขาไม่ได้นอนในห้องนี้แล้วหรือเปล่า..?

       วันนั้นห้องนี้มีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่ๆอย่างที่เปลวพูดจริงๆ แต่ก็มีของบางอย่างที่มันหายไป

       …รูปของเทียนไขบนหัวนอน



       ถึงจะเป็นรูปที่วาดให้เทียนไขในวันครบรอบแต่คนวาดอย่างเขาก็หวงเอามากๆ และต่อให้เป็นเปลวที่สูญเสียความทรงจำไป เปลวก็ยังอยากที่จะจำทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะเอาไปทิ้งหรือเอาเก็บไว้ในห้องเก็บของอย่างแน่นอน

       ความสงสัยและคำถามต่างๆเกิดขึ้นในหัว ..ใจหนึ่งเทียนไขไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้แล้วเพราะคิดว่ายังไงซะก็ไม่มีประโยชน์ หากแต่อีกใจหนึ่งข้อสงสัยและคำถามมากมายต่างก็รบเร้าให้เขาไปหาคำตอบ



       ‘เรากับเมธเป็นห่วงเทียนนะ…ถ้าเปลวอยู่ตรงนี้ เปลวก็คงจะพูดแบบเดียวกันกับเรานี่แหละ’

       ‘แต่เขาเป็นคนอยากให้เรากลับมาที่นี่ไม่ใช่หรอ’

       ‘…’

       ‘เปลวอยากให้เรากลับมาที่บ้านหลังนี้…เขาคงไม่ได้ห่วงเราจริงๆหรอก’

       ‘ผิดแล้ว..เพราะเปลวเป็นห่วงเทียนต่างหากถึงอยากให้เทียนกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้’

       ‘…’

       ‘ที่บ้านนี้เหมือนเปลวมีอะไรบางอย่างจะบอกเทียนนะ…เรารู้สึก’




       …จมอยู่กับความคิดได้ครู่หนึ่งเทียนไขก็ตัดสินใจนำกระปุกยาในมือไปวางบนโต๊ะทำงานไว้ชั่วคราว ก่อนจะเดินออกมาจากห้องแล้วไล่เปิดประตูห้องนอนห้องอื่นๆบนชั้นสอง

       และสิ่งที่เขาพบก็คือ…ความว่างเปล่า



       ห้องพวกนั้นตอนนี้กลายเป็นห้องเก็บของ ซึ่งเทียนไขก็เข้าไปหาดูแล้วแต่เขาก็ไม่พบรูปวาดรูปนั้นจริงๆ เจ้าตัวเล็กของเปลวจึงไตร่ตรองอีกครั้งถึงความน่าจะเป็น ก่อนจะตัดสินใจเดินลงมาข้างล่างเพื่อมุ่งหน้าไปห้องนอนห้องเดียวที่ยังเหลืออยู่

       ห้องนอนของพ่อเปลว



       ทว่าประตูห้องกลับล็อค แทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิดเทียนไขก็รีบเดินไปหยิบกุญแจสำรองที่แขวนอยู่บริเวณทีวีทันที และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็นำกุญแจมาไขห้องนี้ได้สำเร็จ …ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ในอก หัวใจของเขาเริ่มสูบฉีดเลือดเร็วขึ้นเมื่อฝ่ามือของตัวเองจับลงบนลูกบิดและกำลังจะเปิดมันออกไป

        “…”

        ประตูถูกเปิดออก ...ภายในห้องมีราวจับที่ถูกต่อเติมมาจากกำแพง เริ่มจากที่เตียงไล่ยาวไปจนถึงห้องน้ำ ส่วนฝั่งตรงข้ามก็มีอยู่เช่นเดียวกัน ไล่ตั้งแต่โต๊ะทำงานมาจนถึงประตูห้องจุดที่เทียนไขยืนอยู่ …ผนังห้องมีภาพวาดนับสิบภาพติดอยู่ทั่วห้อง บางภาพก็ถูกวางซ้อนๆกันเอาไว้บนเก้าอี้ ..จานสีและพู่กันมากมายก็วางอยู่บริเวณนั้น ทว่าบางส่วนก็กระจัดกระจายบนพื้น …มีถุงยาและแผงยาที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ยารักษาอาการป่วยทั่วไปวางอยู่บนเตียงนอนเต็มไปหมด นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีเอกสารอีกนับสิบแผ่นวางอยู่ที่โซนเดียวกัน และยังมีหนังสืออีกหลายสิบเล่มที่ถูกวางซ้อนๆกันบนโต๊ะทำงาน …พอเห็นชื่อหนังสือแต่ละเล่มแล้วเทียนไขก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าของทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นของๆใคร



       “นี่…ห้องของเปลวหรอ..?”

       ก่อนหน้านี้…เปลวนอนอยู่ที่นี่มาตลอดเลยใช่ไหม..?

       คำถามเกิดขึ้นในหัว เทียนไขไม่เข้าใจทุกอย่างตรงหน้าเขาตอนนี้เลย ทำไมเปลวต้องมีราวจับ..? ทำไมภาพวาดของเปลวถึงเยอะขนาดนั้น..? ยาพวกนี้คืออะไร..? ที่ผ่านมาเปลวป่วยอยู่แล้วหรอ..?

       ช่วงที่เรายังทำร้ายกันและกัน…คุณป่วยมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรอ…?



       ตุบ!

       ..ด้วยความที่ไม่ทันจะได้ระวังอะไร ไหล่ของเทียนไขก็ชนเข้ากับตู้เก็บของจนทำให้มีกล่องอะไรบางอย่างร่วงหล่นลงมาที่พื้น ทำเอาฝากล่องเปิดออก ของที่อยู่ข้างในก็ปรากฎให้เขาเห็น



       ‘อย่าบอกว่ามึงกะจะให้หมวกมัน..?’

       ‘ใช่ มัน..ไม่ดีหรอ..?’

       ‘กูว่าเวิร์คนะ เห็นว่ามันชอบใส่นี่ ได้ยินพวกเด็กคณะมันคุยกัน’

       ‘กูก็คิดแบบนั้น หมวกใบเดิมของเปลวมันเก่าแล้วอะ ดูโทรมๆ แถมยังสกปรกอีกต่างหาก กูเลยไปซื้อใบใหม่มา กะว่าจะให้เขา’

       ‘เออใช่ วันนั้นที่มันใส่มา โอโหคือแบบ..กูอยากให้เงินไปซื้อใหม่’

       ‘ความรู้สึกเดียวกัน เหมือนจะเป็นหมวกถักเองนะ ลายผ้าถึงดูแหว่งๆขาดๆเกินๆ’




       “…” เทียนไขนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบของข้างในกล่องขึ้นมา ข้างในนั้นมีกระดาษโน้ตสองแผ่นเขียนตัวอักษรด้วยลายมือที่เขาคุ้นเคย

       แผ่นแรกอยู่ข้างล่างเขียนเอาไว้ว่า..



       ‘ห้ามเอาไปใส่ เดี๋ยวจะเปื้อน หวง หาหมวกที่สวยที่สุดเท่านี้ไม่ได้แล้ว *เขียนไว้เตือนตัวเองนี่แหละ’



       ส่วนอีกแผ่นที่อยู่ข้างบน…



       ‘ขอโทษนะเปลวคนเก่า แต่เราจำเป็นต้องใช้ ถ้าได้ใบใหม่มาเมื่อไหร่จะเอามาเก็บไว้เหมือนเดิม’

       ‘จะดูแลอย่างดี…เราสัญญา’




       โน้ตทั้งสองแผ่นนี้…วางอยู่บนหมวกไหมพรมที่เขาถักให้เปลว

       

        “เพราะแบบนี้…พอเปลวได้หมวกของพล เปลวเลยไม่ใส่หมวกของเราอีกเลยใช่ไหม..”

        …หยาดน้ำตาร่วงหล่นอย่างไม่อาจกลัดกลั้นไว้ได้ เจ้าตัวเล็กของเปลววางกล่องเอาไว้บนชั้นข้างๆตัวก่อนจะหยิบหมวกไหมพรมขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ซึมซับสัมผัสที่ครั้งหนึ่งเปลวเคยใส่หมวกใบนี้ สัมผัสกลิ่นอายของคนตัวสูงที่เขาคิดถึง



       ทว่าเป็นแบบนั้นไปได้ไม่กี่นาที สายตาของเทียนไขก็ไปกระทบเข้ากับรูปภาพรูปหนึ่งที่ติดอยู่ที่ผนังเหนือโต๊ะทำงาน มันเป็นภาพของคนๆหนึ่งที่ยังไม่เสร็จดี แต่รูปร่างและการแต่งตัวของคนๆนั้นกลับดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็น…ตัวเขาเอง

 

       สองเท้าก้าวเข้าไปหารูปนั้นอย่างไม่คิดรีรอ  ที่ข้างใต้ของภาพมีข้อความบางอย่างเขียนอยู่ เป็นข้อความที่..ยิ่งเทียนไขเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ หยาดน้ำตาก็ยิ่งหลั่งไหลมากขึ้นเท่านั้น..



‘จู่ๆคนๆนี้ก็ปรากฎขึ้นมาในหัว รู้สึกคุ้นๆอยู่เหมือนกันนะแต่นึกไม่ออก ไม่สิ..นึกไม่ได้เลย ที่วาดค้างไว้ครั้งก่อนอยู่ดีๆก็ปวดหัว หน้ามืดจนล้ม สีหกหมดเลย รูปนี้คงจะวาดได้แค่นี้แหละ



แล้วก็ตอนที่วาด…เกือบจะนึกชื่อคนในรูปออก

ตอนนี้อาจจะยังนึกไม่ออก แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะครับ’




       …ตอนนั้นที่เปลววาดภาพๆนี้ เขาพยายามอย่างมากที่จะจรดปลายพู่กันลงบนเฟรมผ้าใบทั้งๆที่มือยังสั่นๆ ร่างกายยังไม่พร้อมที่จะทำอะไร แต่เพราะเปลวกลัว…เปลวกลัวว่าถ้าปล่อยให้ภาพที่สลัวเบลอในหัวมันหายไป เปลวจะไม่มีวันนึกถึงมันได้อีก วินาทีนั้นคนตัวสูงของเทียนไขจึงตัดสินใจเก็บภาพสกรีนช็อตในหัวของตัวเองออกมาเป็นภาพวาดภาพนี้ทั้งๆที่ร่างกายยังเป็นแบบนั้น ผลที่ออกมาจึงทำให้เขาวาดต่อไม่ได้ และค้างเติ่งอยู่เพียงแค่นั้น

       จริงๆ ภาพทุกภาพในห้องนี้สำหรับเปลวแล้วมันก็เหมือนจิ๊กซอว์ แต่เป็นจิ๊กซอว์ความทรงจำ …เปลววาดเพื่อบันทึกภาพในหัวอันเลือนลางที่ปรากฎขึ้นมาเพียงชั่วครู่ให้ออกมาเป็นภาพจริงๆ เขาเขียนความรู้สึกและเรื่องราวที่นึกออกไว้ จากนั้นก็ค่อยๆนำภาพทุกภาพมาร้อยเรียงกันหวังเพียงให้จิ๊กซอว์ความทรงจำนี้สมบูรณ์



       …เทียนไขจ้องมองภาพตรงหน้านี้อยู่ครู่หนึ่ง รูปแบบการวาดและเทคนิคการใช้สีอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงลายมือที่เขียนอยู่ใต้ภาพ ทำให้ความคิดถึงทำงานหนักอีกครั้ง

       “ดีจังที่เปลวไม่ยอมแพ้…ดีจังที่สุดท้ายเปลวก็นึกชื่อเราออก..” ที่คุณไม่ยอมแพ้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ แต่มันแย่ตรงไหนรู้มั้ย..

       “กลับมาเรียกเทียนหน่อยได้มั้ยเปลว..กลับมาได้ไหม..” มันแย่ตรงที่…เปลวกลับมาเรียกชื่อเราไม่ได้อีกแล้ว



       ดวงตาทั้งสองข้างยังคงมีน้ำตาร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งที่ประจักษ์แก่เทียนไขค่อนข้างพร่าเบลอ แต่ก็ชัดเจนมากๆเมื่อหวนคิดถึงใบหน้าของคนใจร้ายคนนั้น


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
       …ถัดมาจากภาพวาดเหนือโต๊ะทำงานไปทางขวา ตรงนั้นมีกระดานไวท์บอร์ดเล็กๆที่เต็มไปด้วยกระดาษโน้ตหลายสิบใบ แต่ละใบถูกเขียนด้วยลายมือเดียวกันกับลายมือบนภาพเมื่อครู่ ข้อความบนโน้ต…คนตัวสูงเอาแต่พูดถึง ‘ใครคนนั้น’ อยู่เสียทุกแผ่น



       ‘ฝันถึงคนๆเดิมอีกแล้ว คุณเรียกชื่อผม เสียงคุณเพราะมาก 19 พ.ค’

       ‘จะเขียนมือซ้ายดู เผื่อจะนึกชื่อคุณออก 26 พ.ค’

       ‘ต่อไปจะหลับวันละ10ชั่วโมง เผื่อในฝันจะเห็นหน้าคุณชัดขึ้น…อยากจำคุณได้จัง 14 มิ.ย’




        ทั้งหมดนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจักรวาลเล็กๆของเปลวเลยก็ว่าได้ คนตัวสูงเขียนเอาไว้เวลาตั้งเป้าหมายว่าจะพยายามทำอะไรซักอย่างเพื่อให้ใครคนนั้นปรากฎขึ้นมาในหัวและในความฝันบ่อยขึ้นและชัดเจนขึ้น เปลวพยายามหลายอย่าง บางครั้งก็เหมือนกับเป็นการบนเล็กๆน้อยๆ แต่เพราะสิ่งนี้สมองของเปลวจึงฟื้นฟูตัวเองรวดเร็วขึ้น มากถึงแม้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด



       …ทางขวาของกระดานไวท์บอร์ด ตรงนี้เป็นมุมแคบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยภาพวาดหลายภาพที่เปลวเอามากองๆกันไว้ แต่ละภาพเป็นวิวทิวทัศน์ที่ชั่วขณะหนึ่งเปลวรู้สึกว่าเคยเห็น บางภาพเป็นมุมมองจากหน้าต่าง บางภาพเป็นมุมมองจากที่สูง และบางภาพก็เป็นภาพท้องฟ้าในแต่ละช่วงเวลา ถ้าเป็นคนอื่นมาเห็นอาจจะตัดสินไปแล้วว่าภาพพวกนี้ดูไม่มีอะไรเลย แต่สำหรับเปลวแล้วเขาเชื่อว่า ถ้าใครคนนั้น…คนที่เป็นส่วนหนึ่งในจักรวาลเล็กๆของเขาผ่านมาเห็น คนๆนั้นจะต้องมองภาพทั้งหมดนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่าแน่ๆ

        “พระอาทิตย์ตกดินรูปนี้สวยจังเลยเนอะ”

        และใช่…เทียนไขก็คือคนๆนั้น

        “อยากนั่งดูกับเปลวอีกจัง…”

        คนๆนั้น..ที่รู้ดีว่าภาพทั้งหมดนี้คือความทรงจำที่เขาและเปลวเคยมีร่วมกันมา และเป็นคนๆนั้นที่ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากจะโอบกอดทิวทัศน์ในภาพพวกนี้เอาไว้ด้วยความเศร้าโศก



       ถัดมาจากตรงนั้นมีรูปวาดขนาดเล็กแขวนอยู่ที่ผนัง ภายในภาพมีเด็กผู้ชายสองคนในชุดนักเรียนกำลังเดินคู่กันไป คนหนึ่งหันมายิ้มกว้างให้อีกคนที่ตัวเตี้ยกว่าหน่อยๆ ส่วนอีกฝ่ายไม่ได้หันหน้ามาให้เห็นแต่อย่างใด มีเพียงแผ่นหลังบางๆให้รับรู้ว่านี่คือเด็กผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น และภาพนี้…ก็เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ความทรงจำ





‘รูปนี้วาดเด็กผู้ชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงต้องวาดให้คนนึงใส่ชุดเก่าๆ

เด็กสองคนนี้กอดคอกัน

เล่าเรื่องตลกอะไรซักอย่างแล้วก็หัวเราะไปด้วยกัน



ที่แปลกก็คือ…

ทำไมรู้สึก…ผูกพันกับรูปนี้จัง’






       “…” ทว่าเมื่อเทียนไขกวาดสายตามองดูดีๆ ภาพที่แขวนอยู่ทั่วห้องก็มีข้อความอยู่ข้างล่างแทบทุกภาพ

       “ข้อความบนภาพพวกนี้หรือเปล่าที่น้ำผึ้งบอกเราว่าเปลวมีอะไรบางอย่างอยากจะบอก..”

       หนึ่งคำถามเกิดขึ้นในหัว …มันไม่ใช่ว่าเทียนไขจะไม่อยากรับฟังสิ่งที่เปลวจะบอก แต่ตัวเขาในตอนนี้อ่อนแอเกินไป แค่มาอยู่ในบ้านหลังนี้เทียนไขก็ทรมานจนแทบจะล้มทั้งยืนอยู่แล้ว



       ‘อ่านเถอะครับ ทั้งหมดนี้..เพื่อคุณเลย’

       หากแต่…ก้อนเนื้อในอกกลับส่งเสียงออกมาแบบนั้น

       “ถ้าเราเจ็บ..คุณจะอยู่ข้างๆเราใช่มั้ย”

       คนตัวเล็กก้มมองลงไปที่สัญลักษณ์คู่ชีวิตสีเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายอยู่ครู่หนึ่งเพื่อใช้ตัดสินใจว่าควรเลือกที่จะรักตัวเองแล้วเดินออกไป หรือจะกระโจนเข้าหาหนามแหลมๆที่พร้อมจะเสียดแทงกันให้เจ็บปวด และไม่นานนักเขาก็ได้คำตอบให้ตัวเอง

       “ขอโทษนะเทียนไข…ขอโทษนะที่ต้องทำให้เจ็บปวดอีกแล้ว..”





‘รูปนี้เป็นรูปแรกที่วาด หมอบอกให้ออกกำลังสมอง บ่อยๆ เลยคิดว่าการวาดรูปน่าจะช่วยได้



อยากจำทุกอย่างได้จัง…

อยากรู้ว่าคนที่เราเห็นลางๆในความฝันคือใคร



ต่อจากนี้จะวาดรูป แล้วก็เขียนความรู้สึกหรือเรื่องราวที่นึกขึ้นได้ไว้ข้างล่าง



ส่วนรูปนี้ระหว่างที่วาด…

รู้สึกคิดถึงใครบางคน…ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคือใคร’
       



       …ภาพนี้เป็นภาพของคนในความฝันที่เปลวเห็น คนตัวสูงพยายามวาดออกมาให้ชัดเจนมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ตอนนั้นเขากลับลืมรายละเอียดไปเสียหมด คนในภาพๆนี้จึงดูเลือนลางเสมือนกับว่าอยู่ในสายหมอก ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ในขณะที่เปลววาด เขารู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้วาด และยิ่งไปกว่านั้น…ภาพๆนี้ทำให้เขารู้สึกคิดถึง…เป็นความคิดถึงครั้งแรกเลยหลังจากที่สูญเสียทุกอย่างไป

       เพียงแต่…เปลวไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังคิดถึงใคร





‘รูปนี้วาดโต๊ะกินข้าวกับมือสองคู่ที่กำลังแย่งกุ้งตัวโต



..ทำไมเรารู้สึกสะใจยังไงก็ไม่รู้ อย่างกับเคยแย่งกุ้งใครเหมือนในรูป



รูปนี้อาจจะขี้เหร่หน่อยเพราะลองใช้ข้างที่ไม่ถนัดวาดดู เผื่อจะทำให้นึกอะไรออก



ต่อจากนี้จะพยายามให้มากขึ้น

เราจะพยายามนึกให้ออกให้ได้ว่าตัวเองเป็นใคร



แล้วพอวันนึงที่ความพยายามของเราสำเร็จ

เราเชื่อว่าคนที่เราคิดถึง…จะต้องภูมิใจในตัวเรามากแน่ๆ’






       “…” หยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย …ทำไมเทียนไขจะจำไม่ได้ล่ะว่าครั้งนึงที่พ่อเปลวซื้อกุ้งตัวโตมาให้กิน เขากับเปลวตื่นเต้นกับมันมากๆจนเปิดศึกสงครามกันตลอดมื้ออาหาร ความรู้สึกในตอนนั้นเขาจำได้ดีเลยว่าเขารู้สึกอย่างไร เป็นช่วงเวลาดีๆที่พวกเขาต่างก็มีความสุข มีรอยยิ้ม และมีเสียงหัวเราะ

       ฮ่าๆ… อยากจะหัวเราะให้ได้เหมือนตอนนั้นจังเลยเนอะ



       …ภาพๆนี้เปลววาดหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ เขารู้สึกคุ้นเคยกับองค์ประกอบหลายๆอย่างบนโต๊ะอาหาร รวมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าด้วย ความรู้สึกในใจจึงพร่ำบอกเขาว่าให้วาดภาพนี้

       วินาทีนั้นหนึ่งความคิดโลดแล่นเข้ามาในหัว เปลวเลือกที่จะใช้ข้างไม่ถนัดวาด มันลำบากก็จริงแต่เขาก็มีความสุขมากๆเมื่อจินตนาการถึงวันที่เขาจำทุกอย่างได้ พอถึงตอนนั้นคนที่เขาเฝ้าคิดถึงก็คงจะภูมิใจในตัวเขามากแน่ๆ เปลวมั่นใจแบบนั้น

       “…”

       และใช่…เทียนไขภูมิใจในตัวเปลวจริงๆ

       ถ้าเขาเป็นเปลวที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายแบบนี้ เขาก็คงไม่ทำอะไรมากไปกว่าพักผ่อนให้ได้มากๆ ทว่าเปลวกลับเลือกที่จะพยายามทำอะไรหลายๆอย่างให้ความทรงจำตัวเองกลับมา จริงๆในห้องนี้มีอุปกรณ์อีกหลายอย่างเลยที่บ่งบอกให้รู้ว่าเปลวพยายามมามากขนาดไหน …เกมอักษรไขว้เป็นปึกที่เปลวทำอย่างเป็นจริงเป็นจัง …รูบิคที่มากกว่าทรงลูกเต๋าธรรมดา …ราวจับพวกนี้นอกจากจะเอาไว้ช่วยเดินในช่วงแรกๆแล้วเปลวก็ยังใช้มันเวลาอยากจะฝึกสมองด้วยการเดินปิดตาอีกด้วย อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย…แต่ตอนนั้นมันยากมากจริงๆ สำหรับคนที่สูญเสียทุกอย่างไปอย่างเขา

       และผลจากความพยายามของตัวเขาเองทั้งหมดก็ทำให้…จิ๊กซอว์ความทรงจำสมบูรณ์



       “เราอยู่ตรงนี้เพื่อภูมิใจในตัวคุณแล้วนะ..”

       หากแต่ความภูมิใจที่เทียนไขรู้สึก..กลับยิ่งทำให้เขาร้องไห้





       คนตัวเล็กที่กำลังท่องไปในจักรวาลเล็กๆของเปลวเดินทางจนมาถึงภาพวาดภาพสุดท้าย ภาพนี้อยู่ถัดออกมาจากเตียงนอนเพียงไม่กี่ก้าว ข้อความที่เขียนเอาไว้อยู่ข้างหลังภาพแทนที่จะเป็นใต้ภาพเหมือนทุกภาพที่ผ่านมา …ทว่าก่อนที่เทียนไขจะก้าวไปหาภาพตรงหน้า สายตาของเขาก็ถูกดึงให้ไปสนใจกองยาและกระดาษเอกสารหลายแผ่นบนที่นอน

       สำหรับยาหลายชนิดบนเตียงนี้เทียนไขไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักเพราะไม่คุ้นตาเลยแม้แต่อย่างเดียว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาให้ความสนใจไปที่เอกสารที่วางอยู่โซนเดียวกันแทน …มือเล็กของเจ้าตัวเอื้อมไปหยิบบางแผ่นขึ้นมาอ่านคร่าวๆ ก่อนจะทรุดลงที่เตียงเพราะไม่มีเรี่ยวแรงยืนได้อีกต่อไปเมื่อได้รับรู้

       ..กระดาษหลายแผ่นเป็นใบนัดของหมอ และมีอีกประมาณสองสามแผ่นเป็นใบรายงานผลตรวจหรืออะไรซักอย่างที่เทียนไขไม่อยากเข้าใจ …ไม่อยากเลย



      ‘…จากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ส่งผลให้สมองของคุณทินกรมีเลือดคั่ง จำเป็นต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน…’



       ‘…การผ่าตัดเปิดกระโหลกผ่านไปได้ด้วยดี…’



       ‘…คุณทินกรสูญเสียความทรงจำ…’



       ‘…ปรึกษาเรื่องปวดหัวศีรษะเรื้อรัง…’




       นี่เป็น..ข้อความคร่าวๆบนเอกสารทั้งหมดนั้น

       เรื่องที่เปลวสูญเสียความทรงจำไปจากอุบัติเหตุครั้งนั้นเทียนไขรับรู้แล้วก็จริง แต่เขาไม่คิดเลยว่าเปลวจะเจ็บหนักขนาดนี้ เทียนไขไม่เคยรู้เลย…

       …น้ำตาเม็ดใสร่วงหล่นไม่รู้หยุดเมื่อได้อ่าน และที่แย่ที่สุดที่เทียนไขไม่อาจให้อภัยตัวเองได้…ทำไมเขาถึงพึ่งมารู้เรื่องเอาตอนนี้

       ทำไมถึงพึ่งมารู้ตอนที่เปลวไม่อยู่ให้เขาได้พูดอะไรออกไปอีกแล้ว



       “ขอโทษ..ขอโทษนะเปลว..”

       ริมฝีปากบางพยายามเม้มแน่นเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงร้องไห้มันดังไปมากกว่าเดิม ความรู้สึกผิดมากมายถาโถมเข้าใส่เทียนไขทุกทิศทุกทาง ภาพในอดีตฉายย้อนเข้ามาในหัวซ้ำๆ เป็นภาพที่เขาทั้งบีบและผลักศีรษะที่บอบช้ำของเปลวไปจนกระแทกกับกำแพงแข็งๆอย่างไร้ความปรานี

       “ขอโทษนะ..ขอโทษ..”

       ทว่าต่อให้พร่ำออกไปกี่สิบครั้งพันครั้ง เปลวก็ไม่มารับรู้อีกต่อไปแล้ว

       แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ..หลังจากที่เขารับรู้ทุกอย่างที่เปลวอยากจะบอก เขาก็คงจะตามเปลวไปในอีกไม่นาน





‘รูปนี้เป็นรูปสุดท้ายที่วาดก่อนจะเริ่มเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล



ขอโทษนะที่เว้นว่างจากรูปเก่าไปซะนาน ปัญหาอะไรหลายๆอย่างเยอะมากจนเราเหนื่อยแทบจะไม่อยากสู้แล้ว



เราวาดท้องฟ้าตอนกลางคืนกับดอกไม้ไฟ เป็นทิวทัศน์บนภูเขาที่ข้างหน้ามีแม่น้ำพาดผ่าน ส่วนอีกฝั่งของแม่น้ำเป็นเมืองใหญ่



ไม่รู้เหมือนกันว่าวาดอะไรอยู่ ภาพนี้ไม่ใช่ภาพที่เห็นในหัว แต่เป็นความรู้สึก…เราอยากวาดก็เลยวาดเพราะหวังจะให้ใจเราสงบลงบ้าง

แต่มันก็…ไม่เป็นแบบนั้น



เราพึ่งรู้ว่าเราเป็นเนื้องอก

ไม่แน่ใจแล้วว่า ‘ซักวันนึง’ ของเราที่ความทรงจำทุกอย่างจะกลับมามีอยู่จริงๆหรือเปล่า

เสียใจอยู่เหมือนกันนะสำหรับเรื่องนี้ แต่ที่เสียใจยิ่งกว่าก็คือ..



เราจะไม่มีโอกาสได้ขอโทษคุณจากใจแล้วจริงๆหรอเทียนไข



ทำไมเราถึงรู้ตัวช้าขนาดนี้ก็ไม่รู้ แต่เรารู้..เรารู้แล้วนะว่าคนที่เราคิดถึง คนที่เราฝันถึงเขาเป็นใคร

เขาเป็นคนๆเดียวกับคนในรูปนั้น



ก่อนหน้านี้รู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เห็นรูปๆนั้น เราเลยเอาไปเก็บ ..เก็บไว้จนลืมไปแล้วว่ามีรูปนั้นอยู่

รูปของคุณ..



…รูปของเทียนไข

คนที่ผมคิดถึงมาตลอดคือคุณนี่เอง’





       ..ทันทีที่อ่านจบสายตาก็กวาดมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ด้านบนของชั้นวางของที่สูงกว่าระดับความสูงของเทียนไขไปมาก ข้างบนนั้นมีผ้าสีครีมคลุมอะไรบางอย่างรูปทรงสี่เหลี่ยมไว้อยู่

       ไม่รอช้า..เทียนไขมองหาอะไรที่พอจะใช้ปีนขึ้นไปได้อย่างเร็วรี่ จากนั้นก็ค่อยๆเอื้อมมือขึ้นไป นำสิ่งที่ผ้าสีครีมคลุมอยู่ลงมา และทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในผ้าคลุม หยาดน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาอีกระลอกอย่างหนักหน่วง

       มันเป็น...รูปๆนั้นที่เปลวมอบให้เจ้าตัวเล็กของเขาในวันพิเศษของพวกเขาทั้งสอง

       เป็นรูปของเทียนไข..



สุขสันต์วันครบรอบครับ

อยู่รอรับภาพวาดของกูแบบนี้ปีหน้าด้วยนะ

รักมึงนะ รักมากกว่าดอกไม้ไฟ : D

       





       เปลว…ใจร้ายกับเทียนไขอีกแล้ว

       “…เลยวันครบรอบมาแล้วนะ ไหนล่ะภาพที่เปลวจะให้.. เราอยู่ตรงนี้แล้ว.. ไหนล่ะเปลว” เสียงแหบพร่าพร่ำพูดออกไปไม่หยุด เทียนไขสะอึกสะอื้นอย่างหนัก ..การจากลาเจ็บปวดแค่ไหนเขาได้รับรู้แล้วในวันนี้

       หากแต่ดูเหมือนว่า…

       เทียนไขจะลืมอะไรไปบางอย่าง..



       ‘อยู่รอรับภาพวาดของกูแบบนี้ปีหน้าด้วยนะ’ จริงๆเปลวให้เทียนไขไปแล้วต่างหาก เพียงแต่เทียนยังไม่เคยนำภาพนั้นออกมาอย่างเป็นจริงเป็นจังเลยซักครั้งเพราะกลัวว่าจะเจ็บปวด

       เป็นภาพที่..เปลววาดให้เขาตอนงานแต่งงานเล็กๆในโรงพยาบาลแห่งนั้น



       …เทียนไขตอนนี้ความรู้สึกมากมายกระจุกอยู่เต็มไปหมดที่ก้อนเนื้อในอก เขาร้องไห้ระลอกแล้วระลอกเล่าอยู่ตรงนั้นพร้อมกับภาพวาดของเปลวที่มีคำบอกรักอยู่ข้างใต้ …เป็นแบบนั้นร่วมชั่วโมงก่อนที่คนตัวเล็กจะตัดสินใจยอมแพ้ …ยอมแพ้ต่อโชคชะตาทุกอย่าง

       สองเท้าพยายามยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้งถึงแม้จะสั่นเทา เทียนไขที่กำลังดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความทรงจำประคองตัวเองออกมาจากห้องนั้นอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มเลื่อนลอยไปไกล

       ทว่าก้าวออกมาได้ไม่เท่าไหร่สายตาของเขาก็ไปกระทบเข้ากับภาพวาดที่อยู่ในกล่องลัง เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็เดินไปที่ที่กล่องนั้นวางอยู่ ก่อนจะค่อยๆนำภาพที่เห็นเมื่อครู่ขึ้นมา

       เทียนไขจำได้..เขาจำได้ดีเลยว่าภาพวาดภาพนี้ เปลววาดเป็นความทรงจำสุดท้ายตอนที่พวกเขาแต่งงานกัน จำได้ดีเลยว่ามันเป็นภาพผู้ชายในชุดเจ้าบ่าวสองคนนั่งอยู่ด้วยกันบนม้านั่ง คนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือพร้อมรอยยิ้ม ส่วนอีกคนกำลังเล่าเรื่องอะไรซักอย่างพร้อมเสียงหัวเราะ แขนของเขาโอบไหล่ของอีกคนเอาไว้ด้วย ส่วนพื้นหลังเป็นอาคารสูงกว่าสิบชั้น มีเงาของแสงแดดพาดเฉียงกับตึก มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างๆ และมีใบไม้สีน้ำตาลปลิวไสวไปตามลมตกแต่งอยู่หลายจุด

       เขาจำได้หมดเลยว่าภาพนี้เป็นอย่างไร หากแต่ที่ผ่านมาเทียนไขไม่อยากจะมองภาพนี้ให้เจ็บปวดหัวใจ เพราะฉะนั้นเขาก็เลยไม่ได้ใส่ใจในภาพนี้ซักเท่าไหร่

       แต่ก็คงจะไม่ใช่กับครั้งนี้



       เทียนไขเห็นเงาของตัวหนังสือด้านหลังภาพที่สะท้อนกับแสงไฟภายในบ้าน มือทั้งสองจึงค่อยๆพลิกภาพตรงหน้าไปดูด้านหลัง …ก้อนเนื้อในอกสูบฉีดเลือดถี่รัว เสียงภายในใจร่ำร้องบอกให้เขาอ่านข้อความข้างหลังนี้อยู่ร่ำไป เมื่อทนต่อการรบเร้าไม่ได้ เทียนไขจึงค่อยๆกวาดสายตาไปทีละตัวอักษรอย่างทะนุถนอม

       …น้ำตาเม็ดใสร่วงหล่นลงบนเฟรมผ้าใบ เสียงร้องไห้ดังคลอเคลียกับเสียงฝนภายนอก ยิ่งอ่านเทียนไขก็ยิ่งเจ็บปวด ทุกคำที่เขียนทำให้เขานึกถึงใบหน้าซื่อๆของเปลว นึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นึกถึงใบหน้าของคนที่อยู่ข้างๆเขามาตลอด…



       





เทียน



ถ้าคุณสงสัยว่า...ที่ผ่านมาผมมีความสุขหรือเปล่า ที่ต้องทนซ่อนความเจ็บปวดกับอาการป่วยอยู่หลายครั้งเงียบๆคนเดียวไม่ให้คุณรู้



ผมจะบอกว่า

ผมน่ะ...ไม่จำเป็นต้องมีความสุขก็ได้

ขอแค่มีคุณ...มีคุณก็พอแล้ว




..ขอแค่มีคุณอยู่ข้างๆ

..ขอแค่ได้จับมือคุณเอาไว้ ขอแค่ได้เห็นคุณยิ้ม ได้แอบมองคุณเวลาคุณหลับ

..ต่อให้ต้องเจ็บปวดขนาดไหนผมก็จะอดทนเอาไว้ แล้วก็จะยิ้มให้คุณเหมือนตัวผมในรูปนี้



ตอนที่คุณได้อ่านข้อความข้างหลังนี่ ผมก็คงจะจากคุณไปแล้ว

คุณอาจจะโกรธผม คุณอาจจะเกลียดผมไปแล้วที่ผมเอาแต่โกหก ซ้ำยังเห็นแก่ตัวที่ปล่อยมือไปจากคุณ

ผมไม่ว่าอะไรคุณหรอกนะเทียนถ้าคุณจะคิดแบบนั้นกับผม แต่อยากให้รู้ไว้ว่าผมที่อยู่บนท้องฟ้าจะยังรักคุณอยู่เสมอ



ผมกลัวมากๆเลยว่า ถ้าผมจากไปแล้วคุณจะไม่อยากมีชีวิตอยู่

ลอง…นึกถึงสีหน้าของคุณหมอตอนเห็นว่าเทียนกำลังจะหายดีได้ไหมครับ เขาดูดีใจมากๆเลยใช่ไหม..? ถ้าเทียนทำตามความฝันของตัวเองต่อไป

ซักวันนึง…เทียนก็จะได้รู้สึกเหมือนที่คุณหมอของเทียนรู้สึก



ข้างๆเทียนยังมีเพื่อนที่พร้อมจะสู้ไปด้วยกันกับเทียนอยู่นะ พวกเขาไม่ทิ้งเทียนแน่นอน



เพราะฉะนั้นแล้ว..

ขอได้ไหมเทียน…ผมขอให้คุณอยู่ต่อไปได้ไหม

มีชีวิตอยู่ต่อไป…เพื่อตัวคุณเอง



คุณอาจจะคิดว่าผมจากไปไกล

แต่จริงๆแล้ว…ผมไม่ได้จากคุณไปไหนไกลขนาดนั้นหรอกนะเทียน



ผมยังอยู่ตรงนี้

…นั่งอยู่กับคุณในภาพนี้

…ยิ้มอยู่ข้างๆเทียนแบบนี้

วันไหนที่คุณคิดถึงกัน...ก็ขอให้คุณเงยหน้าขึ้นมามองภาพนี้นะครับ



หรือถ้าไม่คิดถึงผม …แต่คุณเหนื่อยๆจากเรื่องราวในแต่ละวัน ผมก็ขอให้คุณมองมาที่ภาพนี้เหมือนกัน



ผมจะยิ้มรอคุณอยู่ตรงนี้เสมอ

เป็นเปลวที่จะอยู่คู่เทียนตลอดไป : D



เปลวเทียน

ทินกร ประดิษฐ์จันทร์

2 มกรา









       “ขอบคุณนะเปลว..ขอบคุณมากๆเลย” ขอบคุณสำหรับภาพนี้ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำเพื่อเรา

       ถ้าคุณบอกแบบนี้แล้วเราก็คงจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แน่นอนว่ามันยากลำบากแน่ๆสำหรับเรา แต่เราก็จะพยายามดูอีกซักครั้ง ถ้าวันไหนไม่ไหวก็คงจะต้องขอมองรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณจากภาพนี้เช่นกัน

       

       “ดีจังเลยเนอะเปลว…ที่เราได้รักกัน”

       




















       …เช้าวันรุ่งขึ้นเทียนไขก็เริ่มต้นใหม่จากจุดสตาร์ท เขาเริ่มจากการทำงานบ้านและจัดข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองที่ติดตัวมาให้เข้าที่ ม่านที่เคยบดบังแสงสว่างเจ้าตัวก็เปิดออกเพื่อให้แสงแดดส่องถึง

        ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขาเองจะผ่านมันไปได้จริงๆมั้ย แต่เทียนไขก็จะพยายาม…เขาจะพยายามอย่างถึงที่สุด เปลวเองก็เคยมีช่วงที่ยากลำบากเหมือนกันแต่สุดท้ายเปลวก็ยังผ่านมันไปได้เพราะความพยายาม ฉะนั้นแล้วเทียนไขจึงคิดว่าถ้าเขาพยายามบ้าง…เขาก็คงจะผ่านมันไปได้เช่นกัน

       พอถึงวันนั้นที่ทำได้แล้วจริงๆ..

       เทียนไขก็เชื่อว่า…เปลวต้องภูมิใจในตัวเขามากแน่ๆ





       ช่วงเย็นของวันเดียวกัน เมธ โก้ และน้ำผึ้งก็มาเยี่ยมเขาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่พอได้เห็นสีหน้าของเทียนไขดูแจ่มใสมากขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็เป็นยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ พวกเขาก็คลายความกังวลไปได้เยอะเลย

       บทสนทนามากมายถามไถ่กันถึงเรื่องราวในอดีต พวกเขาทั้งสี่คนอยู่คุยกันที่บ้านหลังนั้นอยู่หลายเรื่อง บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ



       ‘เทียน’

       ‘ว่าไงผึ้ง’

       ‘เห็นรูปที่เปลววาดยัง’

       ‘เห็นแล้วๆ ทำไมผึ้งรู้ล่ะว่าเปลววาดรูปพวกนั้น’

       ‘ต้องรู้สิเทียน ถึงจะเป็นญาติที่หลุดวงโคจรไปไกลแต่เปลวก็เป็นลูกพี่ลูกน้องที่เราสนิทที่สุดเลย’

       ‘แล้วผึ้งพอจะรู้ไหมว่าทำไมห้องเก่าเปลวถึงไม่มีของอะไรอยู่แล้ว’

       ‘ฝีมือเรานี่แหละ เปลวเขาคำนวณมาแล้วว่าเทียนน่าจะขึ้นไป’

       ‘เขาสั่งเสียกับผึ้งเยอะมากเลยสิเนี่ย’

       ‘ไม่เยอะๆ นี่เรามีลิสต์ลงกระดาษด้วยนะ ประมาณห้าหน้าได้..แต่ก็ยังไม่หมด..’



        จริงๆแล้วที่เทียนไขกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ที่เทียนไขเดินขึ้นไปแล้วห้องนอนว่างเปล่าไม่มีอะไรจนทำให้สงสัย ที่เทียนไขได้เห็นรูปพวกนั้นรวมถึงงานแต่งงาน …ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือเปลวล้วนๆ เขาสั่งน้ำผึ้งยิบๆเลยว่าให้ทำอะไรบ้างถ้าเกิดเขาจากไป

         …แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพื่อที่เทียนไขจะได้มีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข และก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างที่เปลวหวังเอาไว้

        หากแต่นั่นก็ยังไม่หมด.. ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เปลวบอกน้ำผึ้งเอาไว้ หลังจากที่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้น้ำผึ้งรับรู้



       ‘เรื่องแม็กพวกเรารอได้นะเทียน รอวันที่เทียนพร้อมที่จะพูดจริงๆ’

       ‘ขอบคุณมากๆเลยผึ้ง ขอเวลาอีกซักหน่อยเราว่าเราน่าจะพร้อมแล้วแหละ’

       ‘ทางนี้หลักฐานทุกอย่างก็พร้อมแล้วเหมือนกัน’



       และใช่…เปลวอยากให้เทียนไขแจ้งความ ถึงมันจะผ่านมานานเป็นปีแล้วก็ตาม เขาอยากให้เทียนไขปลอดภัยจริงๆ ไม่อยากให้มีใครทำร้ายเทียนได้อีก

       …เปลวฝากหลักฐานทั้งหมดที่เขามีไว้กับน้ำผึ้งแล้วให้น้ำผึ้งเป็นคนจัดการ ฝั่งลูกสาวเศรษฐินีอย่างเธอเนื่องจากมีความรู้สึกผิดเรื่องที่แม่ทำกับครอบครัวเทียนไขอยู่ ก็เลยตกลงใจจะช่วยอย่างสุดความสามารถ

       ส่วนหลักฐานที่เปลวมี เขามี ‘คลิปเสียง’ ที่แอบบันทึกเอาไว้เวลาถูกไอ้แม็กข่มขู่ ตอนนั้นที่ตัดสินใจบันทึกคลิปเสียงพวกนี้ไว้เหตุผลก็เพราะเปลวเห็นว่าอีกฝ่ายก็ใช้วิธีนี้มาข่มขู่กัน ฉะนั้นก็คงจะไม่ผิดอะไรถ้าเปลวจะใช้วิธีนี้เพื่อเป็นหลักฐานในกระบวนการยุติธรรม ทว่าเขากลับประสบอุบัติเหตุไปเสียก่อน ทำให้คลิปเสียงพวกนี้ถูกลืมไป …พอเขาจำทุกอย่างได้เปลวก็เลยนึกถึงคลิปพวกนั้นอีกครั้ง

       จริงๆ เปลวไม่ได้หวังอะไรมากนัก เขาหวังแค่ให้หลักฐานชิ้นนี้ช่วยหนุนนำหลักฐานทางการแพทย์ชิ้นอื่นๆ รวมถึงคำให้การหากเทียนไขไปแจ้งความ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว





       

       ‘เทียน ไอ้พลตอนนี้ซึมๆไปเลยว่ะหลังจากรู้ว่าเปลวไม่อยู่แล้ว’

       ‘ตอนนี้พลอยู่ไหนเมธ’

       ‘มันโอเคแหละ กูว่าคงจะรู้สึกผิดมั้ง’

       ‘ถ้าทุกอย่างโอเคแล้วมึงพากูไปอธิบายให้มันฟังหน่อยได้ปะเมธ กูอยากให้มันเข้าใจ หลังจากนั้นมันจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่มัน’



       ส่วนพละพล ..หลังจากที่รับรู้ว่าคนรักเก่าของตัวเองจากไปแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเลย วันงานของเปลวก็เป็นวันแรกที่พละพลรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เปลวห่างออกไปจากเขา แท้จริงแล้วเปลวป่วย ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเกิดขึ้นกับเขา มันจุกๆอยู่ในอก เขาอยากจะร้องไห้เพื่อระบายออกไปแต่เขาก็ร้องไม่ออก ได้แต่หวังให้เวลาช่วยให้ตัวเองดีขึ้น



       พวกเขาสี่คนอยู่คุยกันต่ออีกซักพักเพื่อวางแผนอะไรหลายๆอย่างต่อจากนี้ เทียนไขบอกกับพวกเขาว่าเดี๋ยวเปิดภาคเรียนใหม่จะกลับไปเรียนอีกครั้ง ทันที่คนอื่นๆได้ยินแบบนั้น

       …รอยยิ้มกว้างก็เกิดขึ้นกับพวกเขาพร้อมๆกัน





       ‘คิดถึงเปลวเหมือนกันเนอะเทียน ถ้าตรงนี้มีเขาอยู่คงจะมีกว่านี้มากๆเลย’

       ‘ก็จริงของผึ้งนะ แต่ว่าจริงๆแล้วเปลวก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ’

       ‘…’

       ‘อยู่ในใจเรา’

       













Memories Jigsaw Puzzle - End

For contact Twitter: @_mindsky
For Hashtags: #เปลวจุดเทียน

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มันอบอุ่นในหัวใจอ่ะ  ถึงจะเศร้าแต่ก็ยังยิ้มได้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด