Special Idylle: As We're Growing Up Part III (Final)
น้ำเสีย.. น้ำที่มีสิ่งปนเปื้อนมากจนไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
เมื่อปล่อยออกสู่ธรรมชาติก็มีแต่จะพาให้น้ำในธรรมชาติเสียหายไปด้วย จึงเป็นความจำเป็นของระบบบำบัดน้ำเสีย..
ผมศึกษารายงานสถิติน้ำเสียชุมชนรวมถึงลักษณะทางเคมีของน้ำเสีย
อืม.. มีค่าทางเคมีบางอย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจแฮะ เอาไว้ ผมค่อยถามไอ้หมอกเรื่องนี้
ผมเลื่อนหน้าจอแท็ปเล็ตไปมาระหว่างรอโชเฟอร์เจ้าเก่าที่ม้าหินอ่อนหลังเลิกเรียน เพื่อนสามสี่คนนั่งอยู่ด้วยกัน
“เอ้า ชีสมึง!” สักคนยื่นมาให้
ผมพยักหน้าขอบใจ พลางรับมา กดหัวปากกา เตรียมลงชื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
ตามรายชื่อที่เป็นทางการผมไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สองนามสกุล ชื่อของผมจึงมีเพียง ‘กวีกานต์ ทัศนศุภกฤษณ์’
แต่ในที่อื่นๆ ที่ที่ผมสามารถเขียนได้อย่างเสรี.. ผมจะลงชื่อเต็มเสมอ ‘กวีกานต์ สิริรัตน์ ทัศนศุภกฤษณ์’
ครู่ต่อมา..
เพื่อนสนิทร่วมคณะและอดีตรูมเมท นามว่า ‘ม่อน’ ก็เรียกผม
“ไอ้ดิ้ล พ่อมึงมา!”
ผมเงยหน้าขึ้น หันไปด้านหลังตามสายตามัน ก็เห็นพ่อคนที่สามของตัวเองเดินมาจริงๆ
ผมได้แต่หัวเราะขณะเก็บสมบัติใส่กระเป๋า เพื่อนคนอื่นมองเราสองคนอย่างรู้กัน
แน่ละ.. หมอกมารับมาส่งผมตลอดสองปีที่ผ่านมา แม้แต่คนโง่ที่สุดก็เดาได้ว่าเราเป็นอะไรกัน
และเมื่อใดก็ตามที่ถูกถามเรื่องนี้.. ผมก็พร้อมที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา
การมีคนรักเป็นผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายคนนั้นคือ ‘ไอหมอก’ ไม่มีอะไรให้ผมต้องอับอายเลยสักนิด..
“ไปละเว้ย!” ผมเอ่ยลาพวกมัน
“เชิ๊ญ เชิญตามพ่อมึงไปเลยครับ”
ไอ้ม่อนแม่งโคตรกวนตีน กวนตีนยิ่งกว่าที่ผมคิดตอนปีหนึ่งมากโข ผมจึงจัดให้มันไปหนึ่งดอก
“เออ.. อย่าให้พ่อมึงมาบ้างนะ กูจะประกาศให้รู้กันทั้งภาคเครื่องกลเลยสัด!”
“กูประกาศของกูเองได้ ขอบใจสัด!”
ผมหัวเราะอารมณ์ดีกับท่าทีขัดเขินของเพื่อนซี๊ แล้วออกเดินเคียงมากับร่างสูงที่พยักหน้าให้เพื่อนวิศวฯของผมน้อยๆเป็นเชิงทักทาย
“เปิดเทอมวันแรกก็ขยันหน้าเคร่งเลยนะ” มันชวนคุย
ผมยิ้มตอบกลับไป “ก็ปีสามแล้ว ต้องจริงจังแล้วไง”
“ก็เห็นจริงจังมาตลอดนี่”
“ฮ่ะๆ” ผมหัวเราะน้อยๆ
“ไปกินข้าวกันดีกว่า กูมีเรื่องคุณสมบัติทางเคมีที่ไม่เข้าใจอยากถามมึงด้วย”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“หมอก ไอดิลอยู่ไหน” เสียงทุ้มดังมาตามสาย ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ขณะตอบ
“อยู่คณะครับผม คาบนี้น่าจะเรียนชลศาสตร์”
“แล้วเราล่ะ”“อยู่คณะเช่นกันครับ กำลังจะเข้าเรียนเคมีอนินทรีย์..”
“มันจะพูดเพราะทำไมนักหนาวะ” พ่อหล่อพึมพำ
“มาเชียงใหม่ กำลังขับรถไปมอนะ จะไปเซอร์ไพรส์ไอดิลสักหน่อย ไม่รู้วันนี้เลิกเรียนกี่โมง”“สี่โมงเย็นครับ” ผมตอบพ่อหล่อ “ปกติผมไปรับเองที่คณะ”
“เยี่ยม งั้นสี่โมงไปเจอกันที่คณะวิศวฯนะครับ คุณว่าที่ลูกเขย”“ตกลงครับ คุณว่าที่พ่อตา”
หยอกล้อกันถูกคอ ก็คุยกันรู้เรื่องได้ไม่ยาก ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ายิ้มๆ
“หมอก เดี๋ยวกูมา”
ร่างที่เดินสวนออกมาจากห้องเรียนหลังวางกระเป๋าที่โต๊ะเรียบร้อย เอ่ยบอกสั้นๆ
“อืม” ผมได้แต่ครางรับ
ปล่อยให้เพื่อนสนิทเดินจากไป พร้อมสมบัติส่วนตัวเพียงสองชิ้น ไฟแช็คและอะไรบางอย่างที่เป็นมวนๆ..
ผมส่ายหน้าบางๆ รู้จักกันมาจนขึ้นปีสาม ก็เพียงพอจะทำให้รู้ว่ามันจะไปทำอะไรก่อนเข้าเรียน
เคยบอกกับมันแล้ว ว่าสิ่งที่ทำน่ะเป็นโทษกับตัวเอง มันก็ได้เพียงยักไหล่ ตอบง่ายๆ ‘รู้สึกดีว่ะ ไม่อยากเลิก’
ผมไม่เคยตำหนิเพื่อน เรื่องแบบนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคล มันถูกกฎหมายด้วยซ้ำไป..
เพียงตักเตือนในฐานะเพื่อนสนิท และตักเตือนเพียงครั้งเดียว ไม่ได้เซ้าซี้อีก เพราะใครก็ตามที่ไม่ใช่ไอดิล ผมจะไม่พูดซ้ำสอง..
เพื่อนมักจะงงที่ผมไม่กินเหล้าและไม่สูบบุหรี่
ทั้งนี้ ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนดีอะไร ผมเพียงแค่ไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำสิ่งนั้น เท่านั้นเอง..
การรู้จักกับพี่หมอของในฝันเป็นสิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่งในชีวิตของผม เพราะมันทำให้ได้เห็นมุมมองชีวิตในเรื่องของความเจ็บป่วย
โดยเฉพาะความเจ็บป่วยที่เรื้อรัง..
ในชีวิตที่อยู่บนความไม่แน่นอนนี้ ความเจ็บป่วยหรือความตายเป็นเรื่องยากที่จะทำนาย
ดูแลตัวเองมาดีตลอด จู่ๆ มาจากไป ก็มีให้เห็นถมเถ แต่นั่นมันเป็นเรื่องสุดวิสัยเกินป้องกัน
ทว่า ในสิ่งที่ป้องกันได้ ทำไมถึงจะบั่นทอนร่างกายเร็วเกินไปล่ะครับ..
เพื่อนซี้เดินกลับมาแล้ว.. ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร
ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งจะมีใครมาช่วยทำให้มันรู้สึกดีกว่า.. จนอยากเลิกได้สักที..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“สบายกันดีนะ”ผมยกมือไว้พ่อหล่อ พ่อน่ารักและพยักหน้าตอบรับคำทักทาย “สบายดีครับ”
สองพ่อไม่ได้มาเยี่ยมไอดิลบ่อยนัก ซึ่งในเรื่องนี้..ไอดิลงอนจนหายงอน จนงอนอีกรอบและหายงอนอีกหลายๆรอบไปเรียบร้อยแล้ว
ปิดเทอมที่ผ่านมา เจ้าตัวก็ไม่ยอมกลับบ้าน ด้วยมุ่งมั่นกับการเรียนซัมเมอร์และนัดคุยปรึกษากับ ‘ลุงโจ’ ผู้ซึ่งถูกกล่าวขวัญถึงใน ‘INDY in love’ ที่ผมเคยอ่าน
หัวข้อการสนทนาก็ไม่พ้นการจัดการกับของเสียทั้งหลาย เช่น น้ำเสียและขยะ ซึ่งเป็นหมวดหมู่ของวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมที่ไอดิลให้ความสำคัญเป็นพิเศษและตั้งใจจะทำโปรเจ็คต์เรื่องนี้ ซึ่งลุงโจผู้มากประสบการณ์ก็ชี้แนะไอดิลได้เป็นอย่างดี..
“ไอดิลใจเย็นๆ ศึกษาปัญหาให้ทะลุปลุโปร่ง การเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงจะทำให้แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
แล้วยิ่งปัญหาสะสมมานานเท่าไหร่ การแก้ไขก็ยิ่งต้องกินเวลานานเท่านั้น
แต่ลุงดีใจนะ ดีใจที่ลูกของทัศน์กับเกรย์จะเริ่มต้นแก้มันเดี๋ยวนี้”ลุงโจเอ่ยเช่นนี้เมื่อเดินเคียงไปกับไอดิลตามสันเขื่อนอ่างแก้ว มีลุงหนุ่มเดินชมนก ชมไม้และชมน้ำอยู่ไม่ไกลนัก
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความภูมิใจก็โลดขึ้นในอกผม..
‘กวีกานต์’ คนที่กว่าจะตัดสินใจได้ว่าตัวเองชอบอะไร จะเรียนอะไร ก็ปาเข้าไปเกือบติวคณิตฯให้ไม่ทัน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนที่มุ่งมั่นอย่างมากที่สุดในสายงานของตัวเอง
ไอดิลอาจไม่รู้ตัว.. แต่ในเส้นทางที่มันตั้งใจจะไป ทุกสิ่งที่มันเตรียมตัวและพยายามทำ ..ทำให้ผมรู้ว่า คนรักจะยอมอยู่กับของเสีย ..เพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้น..
“สี่โมงกว่าแล้ว ยังไม่เห็นลูกเลยอ่ะ”
พ่อน่ารักชะเง้อมอง และภายในไม่กี่อึดใจต่อมา ร่างเล็กในเสื้อช็อปน้ำเงินก็ค่อยๆก้าวออกมาจากตึกคณะ
“นั่นไงครับ..” ผมบอกพ่อน่ารัก พยักพเยิดไปทางหน้าตึก
...
......
ต้องยอมรับว่า.. ในทีแรกพ่อน่ารักหาไอดิลไม่เจอ ..หรืออาจจะเจอ แต่ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น..
ผมมองเข้าไปในดวงตาของสองพ่อที่นิ่งอึ้งไป.. และผมเข้าใจ..
ก็เหมือนที่ผมเห็นมาตลอดสองปีกว่าในมหาวิทยาลัยแห่งนี้..
ไอดิลที่กำลังเดินมาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว การตั้งใจกับการศึกษา การออกแรงทำประโยชน์กับผองเพื่อนในนาม 'วิศวฯบำเพ็ญ' การพบเห็นและเรียนรู้สิ่งต่างๆทำให้เขาสมาร์ทขึ้น.. เป็นหนุ่มขึ้น..
ไม่ว่าจะมีคนรักเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นรุกหรือรับ คนที่ผมเห็นตรงหน้าก็คือลูกผู้ชายที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
คนเดียวกับที่เคยเป็นเด็กน้อยหน้าแบ๊ว ซึ่งมักถูกล้อว่า ‘ลูกเกย์’ แต่ก็ไม่เคยหวั่นไหว หยัดยืนเคียงข้างผู้มีพระคุณเสมอมา
ไอดิลกล้าหาญมาแต่ไหนแต่ไร ไม่น่าแปลกใจที่วันนี้.. เขาจะเติบโตเป็นชายหนุ่มที่เข้มแข็งและสง่างาม..
พ่อหล่อและพ่อน่ารักมองลูกชายคนเดียวอย่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิ
ทว่า.. นั่นมันก็ก่อนที่ไอดิลจะสังเกตเห็นพ่อตัวเอง
“พ่อ พ่อออออ!!”“เย้ย!” พ่อทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน
แววตาเปี่ยมล้นด้วยความภูมิใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกลอกไปมา ขณะลูกชายตะโกนเรียกลั่นทั้งคณะ พลางวิ่งดุ๊กดิ๊กโผเข้าหาเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น
“อ๊ากกก พ่อ พ่อมาเยี่ยมผมแล้ว โคตรคิดถึง ผมโคตรคิดถึงพ่อเลยยย!”
มือเรียวโอบไหล่พ่อไว้คนละข้าง หน้าซุกลงไปยังที่ซึ่งไหล่ของคนทั้งสองชนกัน
ที่สุดพ่อหล่อกับพ่อน่ารักก็อดใจไม่ไหวต้องหัวเราะลั่นออกมาจนได้
ผมเองก็ยิ้ม.. โตแค่ไหน ไอดิลก็ยังคงเป็นไอดิล น่ารักเหมือนเคย..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ไอดิล?”ประตูเปิดออก และผมก็มองเห็นร่างสูงเลิกคิ้ว “ไม่มีเรียนเหรอ?”
“ยกเลิกไป class นึง ก็เลยย่ำต็อกมาหา รู้ว่าวันนี้มึงเรียนบ่าย”
ผมเดินสวนเข้าห้อง พลางดึงประตูปิดล็อค
“แล้วทำไมไม่โทรมา กูจะได้ไปรับ”
“อื้อ ใกล้แค่นี้ แล้วก็เป็นกลางวัน เดินได้สบายมากน่า อย่าเริ่มเทศน์เลยครับพ่อ”
หมอกหลุดหัวเราะ เอามือมายีหัวผมเล่นเหมือนเคย “กูจะอาบน้ำพอดี”
อื้ม.. กูก็เห็นอยู่ ผมมองร่างสูงแผ่นอกเปลือยเปล่าที่คาดผ้าขนหนูไว้ผืนเดียวยิ้มๆ
“ไม่ต้องมามองกูด้วยสายตาแบบนั้นเลย” มันบีบจมูกผม “เดี๋ยวเถอะมึง!”
ผมหัวเราะบ้าง รุนหลังมันไปทางห้องน้ำ “ไปอาบน้ำเถอะไป กูไม่ปล้ำมึงหรอก”
“ขยันยั่วกูจริ๊ง..”
“ปีสามแล้ว กูก็มีสิทธิ์ยั่วป่ะ” ผมเย้า
“มึงยั่วกูมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วไอ้เกรียน!” เสียงเข้มว้ากไม่จริงจังนัก
ปะทะคารมกันเล็กน้อยพอให้ชื่นใจ แล้วหมอกก็เข้าห้องน้ำไป
ผมก็ได้แต่นั่งยิ้มๆอยู่ปลายเตียง เพิ่งจะเมื่อวานที่พ่อเลียบๆเคียงๆ ถามว่า.. ‘มีอะไรกันหรือยัง’ ซึ่งผมก็ปฏิเสธไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ รู้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วว่าพ่อๆขอเอาไว้ ไม่ให้หมอกทำอะไรเกินเลยกับผม จนกว่าจะปีสาม.. และร่างสูงก็ไม่เคยผิดคำพูด..
นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนพอใจ แล้วผมจึงลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า ดูว่ามันจะใส่ชุดอะไรไปเรียนซึ่งก็ไม่น่าคิดมาก ตราบเท่าที่ผมใส่แต่ช็อปน้ำเงินวิศวฯ ก็เห็นหมอกใส่แต่เชิ๊ตเหลืองวิทยาฯเหมือนกัน วันที่ขี้เกียจซักเชิ๊ตจริงๆนั่นแหละ ร่างสูงถึงจะใส่ชุดนักศึกษา
ผมออกไปเก็บผ้าที่ระเบียงเข้ามาข้างใน เสื้อ-กางเกงบอลและชุดใส่นอนที่ไม่ต้องรีด ผมแยกพับไว้ในตู้ ส่วนชุดนักศึกษาและเสื้อเชิ้ต ผมวางไว้บนเตียง และลงมือรีดมัน..
ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ ผมเงยหน้าขึ้นมาจากเตารีด
“อะไร?”
“เปล๊า” ร่างที่มีหยดน้ำเกาะพราวปฏิเสธเสียงสูง แต่แล้วก็เอ่ยเย้าๆ ขณะเช็ดตัว
“เห็นมึงรีดผ้าให้ทีไร ใจเต้นทุกที ยิ่งใส่ช็อปแต่งตัวเรียบร้อยแบบนี้ด้วย กูยิ่งรู้สึกว่ามึงโคตรเซ็กส์ซี่..”
“แล้ว.. อยากให้เซ็กส์ซี่กว่านี้มะ?” ผมเอ่ยเบาๆ “จะได้ถอดให้ดู”
รู้จักไอดิลน้อยไป ยอมแพ้ที่ไหนล่ะครับเรื่องแบบนี้!
แล้วก็เป็นร่างสูงเองเหมือนเคยที่ต้องส่ายหัว ยิ้มน้อยๆ ด้วยความปลง
"เขินให้มันดูดีบ้างก็ได้"
"ฮ่ะๆ" ผมหัวเราะลั่น แล้วก็เปลี่ยนประเด็น
“มึงจะแต่งตัวเลยไหม เข้ามอเลยหรือเปล่า?”
ผมเหลือบมองนาฬิกา อีกราวสามชั่วโมงจึงจะถึงเวลาเรียน แต่บางที ในเวลาว่างเราก็ชอบนั่งอ่านหนังสือหรือทำงานกันใต้ต้นไม้ในมออยู่แล้ว
“ออกเลยก็ได้นะ มึงจะได้ไม่อุดอู้อยู่ในห้อง”
มือแกร่งหยิบกางเกงยีนส์ที่ผมพาดรอไว้กับเก้าอี้ไปใส่ และยืนอกเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าเพื่อรอเชิ๊ตเหลืองที่ผมกำลังรีด..
รีดเสร็จ ผมก็ถอดปลั๊ก เก็บที่รองรีด แต่ไม่ยอมยื่นเชิ๊ตให้มัน กลับผึ่งไว้ด้วยสองมือ ทำนองว่าจะใส่ให้..
“ส่งมานี่น่า..” ร่างสูงหรี่ตา รู้ตัวว่าถูกยั่วเย้า
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่พูดอะไร แต่กระชับเสื้อยืนยันเจตนา
“ขยันทำเข้าไป ไอ้ท่าทางแบบนี้..” เสียงเข้มบ่น พ่นลมหายใจน้อยๆ แต่ก็เดินเข้ามาหาแบบขี้เกียจถียงด้วย
ท่อนแขนเต็มไปด้วยมัดกล้ามจากการออกกำลังกายยกขึ้นสอดเข้าในแขนเสื้อ ข้างซ้าย.. ข้างขวา..
ผมค่อยๆติดกระดุมให้ เริ่มจากเม็ดล่าง ไล่ขึ้นมา
ใจสั่นนิดๆเมื่อนิ้วสัมผัสกับกล้าม เนื้อหน้าท้องเปลือยเปล่านั้น..
ผมติดกระดุมอีกเม็ด.. และอีกเม็ด มือเผลอลูบไล้บริเวณใต้ลำคอ..ที่ซึ่งควรจะห้อยเกียร์ของผมได้แล้ว..
“ดิ้ล.. อย่าทำแบบนี้”
มือแกร่งทั้งสองยกขึ้นมาจับมือผมไว้ ลมหายใจติดขัดน้อยๆ “เดี๋ยวกูทนไม่ไหว..”
“ก็.. ไม่ต้องทนแล้ว..” ผมเอ่ยน้ำเสียงเบาหวิว ก่อนที่ไม่อาจจะเอ่ยคำใดได้อีก
ร่างสูงรวบเอวเข้าหา สัมผัสท่อนล่างบดเบียดแนบชิด มือเชยคางผม โน้มใบหน้าลงมาประทับจูบ
เรียวลิ้นแทะเล็มริมฝีปากผมเบาๆ ก่อนจะค่อยๆหนักหน่วงขึ้น.. ผมเปิดปากรับการรุกเร้านั้นอย่างคุ้นชิน
แม้จะยังไม่เคยลึกซึ้งจนกลายเป็นของกันและกัน แต่จูบนั้น.. นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ..จนรู้จังหวะกันดี
เรียวลิ้นถูกดูดดึงแล้วก็ถอยห่าง ปล่อยให้ผมรุกบ้าง และก็กลับมาเร่งเร้าใหม่..
มือแกร่งปลดกระดุมเสื้อของผมออก จมูกโด่งซุกไซร้ซอกคอ ทำให้รู้สึกมากจนต้องกัดปากกลั้นเสียงเอาไว้
มือผมขยุ้มเชิ๊ตอีกฝ่ายแน่น ก่อนจะค่อยๆแกะกระดุมที่ไม่น่าจำเป็นต้องติดตั้งแต่แรกออก..
เสื้อช็อปของผมถูกปล่อยลงพื้น มือสากลูบไล้แผ่นหลังเบาๆ แนบแผ่นอกเปล่าเปลือยชิดกัน เมื่อผมเองก็ถอดเสื้อเชิ้ตของเจ้าตัวออก แล้วปล่อยไว้ข้างเสื้อตัวเองเบื้องล่าง
ร่างสูงกว่าเอนตัวผมนอนลงกับเตียง ริมฝีปากย้ายจากลำคอกลับขึ้นมาประกบเรียวปาก
ผมเองก็จูบตอบ ยกแขนขึ้นโอบรัดรั้งร่างมันเข้ามาใกล้ เสียงลมหายใจหอบๆดังประสานกันในความเงียบ
เรามองตากัน.. ไม่ได้คิด.. ไม่ได้เตรียมตัว.. ไม่ได้ตั้งใจ.. ว่าจะทำแบบนี้กันในวันนี้ แต่ถ้าหากมันนำทาง ผมก็พร้อมที่จะตามไป
อย่างไรก็ตาม..
ร่างกำยำหยุดชะงัก พ่นลมหายใจออกเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงหนัก
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
“อ..ออกไปข้างนอก..” ผมทวนคำ
หมอกค่อยๆ ลุกขึ้นจากตัวผม ผมก็ยันตัวลุกขึ้นตามอย่างงงๆ
ออกไปข้างนอกทำไม.. นี่จะไม่ทำอะไรเหรอวะ นี่มันปีสามแล้วนะ หรือไง?
“อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้น”
เสียงเข้มว่า แล้วหันมองไปทางอื่น ท่าทีดูฝืนๆ เสมือนต้องพยายามอย่างมากให้ตนเองทำเช่นนั้น
“เดี๋ยวก็ได้เสียตัวหรอก”
ผมเลิกคิ้ว กูก็พร้อมเสียอยู่แล้วนี่ไง แบบว่า..มึงจะหยุดทำไมล่ะ?
“กู..” หมอกเอ่ยในที่สุด “กูยังไม่อยากทำอะไรมึง”
ไม่อยากทำอะไรกู..?
“ทำไมวะ” ผมขมวดคิ้วใส่แม่ง
มันหันมามองจนได้ ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ “ถามแบบนี้ อยากโดนมากหรือไง หืม?”
ไอ้..! ผมหน้าขึ้นสี สะบัดตัวหนีงอนๆ ตั้งท่าจะลุกขึ้นจากเตียง อยากลุกหนีไป ทั้งที่ยังไม่รู้จะไปไหน ห้องก็แคบเพียงแค่นี้
ทว่า.. แขนแกร่งนั้นคว้าเอวผมเอาไว้ได้ทันเช่นเคย
“กูไม่อยากให้พ่อมึงคิดว่าพอขึ้นปีสามปุ๊บ กูก็กระโจนใส่มึงปั๊บ ยิ่งตอนนี้ พ่อก็มาเยี่ยมด้วย” มันอธิบาย แต่ผมยังคงเม้มปากอยู่
“กูไม่ได้ไม่หื่นนะ..” หมอกยิ้ม มือข้างหนึ่งกอดเอว อีกข้างเกลี่ยไรผมที่ลงมาปรกหน้าออกให้
“อยู่ใกล้คนที่เรารัก เราชอบ.. มันก็มีอารมณ์ มันก็อยากทำนั่นแหละ แล้วถ้าพ่อมึงไม่พูดดักไว้ตั้งแต่แรก และขอคำมั่นจากกู กูก็คงทำไปตั้งแต่ตอนปีหนึ่งแล้วล่ะ” เสียงเข้มยอมรับ
“แต่ว่า.. พอกูรอ รอไปเรื่อยๆ จากที่รอก็เลยไม่ได้รอ แค่..รักมึงไปเรื่อยๆ ดูแลกัน สนับสนุนกันในสิ่งที่ดี ห้ามปรามกันในสิ่งที่ผิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว..”
ผมได้แต่มองมันนิ่ง..
“ที่สำคัญที่สุด..” มือแกร่งเลื่อนลงมาไล้แก้มผม มองตานิ่งราวกับอยากให้เข้าใจว่า 'สำคัญ' จริงๆ..
“กูคิดว่า.. มึงคงจะเจ็บ เจ็บมาก.. กูยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทนเห็นมึงร้องไห้ได้ไหม”
ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมองผมอย่างห่วงใย
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. เป็นการร้องไห้ที่กูเป็นคนทำ”
...
....
ผู้ชายแบบมึงนี่มีคนที่สองไหมวะ กูอยากรู้แค่นี้จริงๆ..
ผมมองหน้าคนคุ้นเคยที่เข้าใจมาตลอดว่ารู้จักดี แต่ปรากฏว่าแต่ละปีที่ผ่านไป คนตรงหน้าก็มีอะไรให้ผมประหลาดใจเพิ่มขึ้นเสมอ..
“แล้ว..แล้วมึงจะรอจนเรียนจบอย่างที่พ่อน่ารักว่าตอนแรกเลยงั้นสิ” ผมถามค่อยๆ
“ไม่รู้ว่ะ” ไอ้หมอกโคลงศีรษะ เอ้า!
“ปีสามกูรับปาก แต่เรียนจบนี่กูไม่รู้ วันนี้กูยังห้ามตัวเองได้ แต่พรุ่งนี้ก็อาจจะไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่มันถึงเวลา เราก็คงรู้เองนั่นแหละ..”
“โด่เอ๊ย” ผมยิ้มขำๆ แกล้งเย้า “งี้กูก็ต้องคอยต่อไปสิเนี่ย เป็นพรุ่งนี้ทีเถ๊อะ เพี้ยง!”
“ไอ้ดิ้ล” หมอกเสียงเข้มขึ้น “ไม่ต้องมาท้าทายเลย”
ผมหัวเราะคิกคัก ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงมัน พลิกตัวนอนคว่ำอวดแผ่นหลังขาวและแอ่นสะโพกขึ้นน้อยๆ
“เฮ้ย! นี่มึงอยากเสียตัวจริงๆใช่ไหมเนี่ย”
ร่างสูงลงมาคร่อมผมไว้ พลิกร่างให้หันมาเผชิญหน้ากัน..
ผมยังยิ้มร่าเริง โคตรมีความสุขที่กวนตีนมันได้ “อื้มม อยากมาก อยากเสียให้มึง”
“ได้!” อีกฝ่ายทำหน้าน่ากลัว แล้วก็ลงมือ…
“เฮ้ยยย หยุด อ๊ากก จั๊กจี้!”
ผมทั้งดิ้น ทั้งหัวเราะ เมื่อนิ้วชี้สองข้างของแม่งจี้เอวผมไม่หยุด
“ฮ่ะๆ โอ๊ย..หมอก พอ!” ผมดิ้นหนีพัลวัน
ไอ้หมอกหัวเราะเช่นกัน เพียงแป๊ปเดียวก็หยุดมือ ใบหน้าซบลงกับเรือนผมของผม ท่อนแขนพาดผ่านเอวไว้หลวมๆ โอบกอดจนลมหายใจเป็นปกติ ผมจึงอ้อนขอมัน
“นอนเล่นก่อนได้ไหม เที่ยงๆ ค่อยเข้ามอกัน”
ไอ้หมอกพ่นลมหายใจ ตอบกลับยอมๆ แต่ก็ไม่วายเสริม
“เออ.. แต่นอนเฉยๆนะมึง อย่ายั่วอีก”
“รู้แล้วน่า มึงยังไม่พร้อม กูก็ไม่คิดจะรวบรัดหรอก กูเห็นใจ” ผมตอบกลับเย้าๆ
“ฮึ่ม! ดี.. พูดแบบนี้ไปเถอะ พูดให้เยอะๆ เวลามึงร้องไห้ ร้องบอกว่าเจ็บ ร้องขอให้หยุด กูจะได้ไม่ต้องสงสาร”
เสียงเข้มขู่ ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้ม
ไม่กลัว ไม่เกรงอะไรทั้งสิ้น รู้จักคนตรงหน้าดีพอที่จะรู้ว่า..
หากผมไม่ไหว ไม่ว่าต้องการแค่ไหน หมอกจะไม่มีทางฝืนใจ
ผมสอดมือกอดเอวหนาเอาไว้แน่นอย่างเคย และไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่ทำแบบนี้ มันก็รู้สึกอบอุ่นเสมอ..
“หมอก..” ผมพึมพำ “ขอบคุณนะ”
“ถ้ากูจะทำอะไรแบบนั้น ..ก็ต้องกับมึงเท่านั้นแหละ ..ไอดิล” หมอกกระซิบริมหู
“รอไหวไหมครับ..”
ผมไม่ตอบ แต่พยักหน้ารับ
..ถ้าเป็นผู้ชายคนนี้ ผมยินดีรอตลอดไป... . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .