รักของเรา กับกาวน์ตัวเก่า ในวันที่ฝนพรำ (part1)
ความทรงจำบางอย่าง เราเคยคิดว่ามันจางหายหรือปลิวไปกับสายลมแล้ว
แต่แท้จริงมันไม่เคยหายไปไหนเลย ยังคงอยู่ตรงนั้น
และหวนกลับมาให้คิดถึง
ที่ทำได้... แค่คิดถึง
แต่เราเลือกได้
ว่าจะร้องไห้หรือยิ้มไปกับมัน
“พี่ฮาร์ฟครับขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมครับ”
สิ้นคำขอร้องที่ฟังดูตกประหม่าและตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังเดินผ่านไปอย่างรีบเร่งหยุดฝีเท้าและหันมองตามเสียงเรียกซึ่งอยู่ในชุดครุยยาวทับชุดนักศึกษาดูสง่า แม้จะเป็นชายหนุ่มทั้งแท่งแต่ก็ปรุงแต่งทรงผมและหน้าตามาอย่างดีไม่แพ้สาวๆ เพื่อวันแห่งความสำเร็จที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตนี้
นรกรเงียบไปนานพอสมควรจนบัณฑิตใหม่เริ่มลุกลี้ลุกลนเพราะคิดว่าทำอะไรผิด แต่เขาแค่อยากถ่ายรูปกับอาจารย์ที่อดทนสั่งสอนคนหัวทึบอย่างเขาจนมีวันนี้
“ถ้าอาจารย์รีบก็ไม่เป็นไรครับ” เขาบอกทั้งยังรีบเปลี่ยนสรรพนามเพราะกลัวจะโดนหาว่าลามปาม แต่พี่วินทร์เคยบอกไว้นี่นาว่าตอนเรียนเป็นศิษย์-อาจารย์ และเรียนจบเมื่อไหร่เราคือเพื่อน พี่น้องร่วมวิชาชีพ... ดูท่าอาจารย์นรกรจะไม่คิดแบบนั้นสินะ
เขาเดินคอตกกลับไปหากลุ่มเพื่อนที่บ้างก็ชูไม้ชูมือส่งกำลังใจให้ บ้างก็ทำหน้าล้อเลียนในความใจกล้าแล้วก็ดันผิดหวังกลับมา
“ได้สิ”
“ครับ” นึกว่าตัวเองหูเพี้ยนไปจนกระทั่งหันมาเห็นนรกรเดินตามมา
“ขอโทษที พอดีพี่กำลังคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ เลยไม่ทันได้ฟังที่เรียก” นรกรบอกพลางพยายามปรับสีหน้าให้เข้ากับบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยความชื่นมื่น
“ขอบคุณครับ” คนที่กลับกลายเป็นฝ่ายถูกเรียกหน้าตื่นขึ้นมาทันที
“แล้วพี่ต้องทำยังไง”
“ทำยังไง คือ...?” บัณทิตใหม่ทวนคำ
“ก็นั่นไง” นรกรชี้มือไปที่ตากล้องซึ่งยืนส่งยิ้มแฉ่งสู้แสงแดดยามเที่ยงวันมาให้ “สมัยพี่ไม่มีอะไรแบบนี้น่ะ” อย่าว่าแต่เรื่องมีตากล้องเดินตามเก็บภาพทุกอิริยาบทเลย แม้แต่ครอบครัวที่มาแสดงความยินดีก็ไม่มี เขาไม่มีภาพที่เป็นของตัวเองเลยสักใบ มีเพียงรูปที่รับพระราชทานปริญญาบัตรเพียงใบเดียวเท่านั้น อันที่จริงเขาแทบไม่มีความทรงจำที่ดีในวันนี้เลยด้วยซ้ำ
“อ้อ! ไม่ต้องทำอะไรเลยครับพี่ฮาร์ฟแค่ยืนข้างๆ ผมก็พอครับ”
“แค่นั้นเหรอ” นรกรถามย้ำอีกครั้ง
“ยิ้มด้วยก็ดีครับ”
หลังจากให้ตากล้องรัวชัตเตอร์จนพอใจ นรกรก็เตรียมจะผละแต่ก็ถูกเรียกไว้อีกครั้ง
“พี่ฮาร์ฟครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขออีกสักรูปสองรูปได้ไหมครับ”
“ได้สิ”
“เฮ้ย! มันจะมากไปแล้วนะเว้ย เรื่องอะไรแกยึดพี่ฮาร์ฟไว้เดียววะ ถอยออกมาให้พวกเราถ่ายมั่งสิ” เสียงบ่นดังมาจากกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่ถัดออกไป
“อะไร ก็พวกแกไม่ขอเองล่ะ”
“มาๆ ถ่ายด้วยกันหมดนี่แหละ” นรกรบอก รู้สึกงงๆ ที่จู่ๆ ก็มีคนมาขอต่อคิวเต็มไปหมด ทั้งยังเริ่มตาลายกับบรรดานักศึกษาแพทย์ที่เข้ามารุมล้อม
“ไม่เอาครับ ผมจะถ่ายกับพี่ฮาร์ฟสองคน นี่มันวันของผมนะเรื่องอะไรต้องเอาไอ้บ้านี่เข้ามาในเฟรมด้วยล่ะ”
“วันนี้แกรับปริญญาคนเดียวไง๊”
“เออ”
“ไอ้นี่ เดี๋ยวปั๊ด!”
“ถ้าไม่เลิกทะเลาะกันพี่ไปแล้วนะ” นรกรแทรกขึ้นทำเอาสองหนุ่มเงียบกริบก่อนเจ้าตัวจะหลุดขำออกมา “ล้อเล่นน่า จะกลุ่มจะเดี่ยวก็ได้ทั้งนั้นแหละวันนี้พี่ว่างทั้งวัน”
“ทำอะไรกันอยู่น่ะท่าทางน่าสนุกจัง”
คนในชุดกาวน์ซึ่งเดินผ่านมาพอดีแวะเข้ามาร่วมวง
“พี่ปอ” นรกรก้มศีรษะทักทาย ซึ่งก็ได้รอยยิ้มกว้างตอบกลับไป
“พี่ถ่ายด้วยคนสิ” คณิณบอก
“เชิญเลยครับ เดี๋ยวพี่ปอยืนคู่กับพี่ฮาร์ฟตรงกลางนะครับ”
“จะดีเหรอ นี่วันของพวกนายนะ พี่ต้องยืนริมสิ”
“พวกผมเรียงตามลำดับอาวุโสครับ ใครแก่ต้องยืนกลาง”
คณิณยกมือขึ้นกอดอก “คิดว่าฉันกลับไปแก้เกรดไม่ทันสินะ”
“ไม่ทันแน่ๆ ครับ และขอบคุณสำหรับ B+นะครับ” บัณทิตใหม่ยิ้มทะเล้น และได้รับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตอบกลับไป
นรกรยืนมองคณิณคุยเล่นกับน้องๆ เขาเป็นแบบนี้เสมอ เข้ากับคนง่ายและเป็นที่รักของทุกคน ซึ่งมันต่างกันกับเขาราวฟ้ากับเหว
“ร้อนไหม?” คณิณหันมาถามพลางยกสองแขนขึ้นป้องแดดให้
“นิดหน่อยครับ” นรกรตอบ
และจู่ๆ โดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ฝนเม็ดเล็กๆ ก็โปรยปรายลงมาก่อนที่กลายเป็นห่าฝน
ทุกคนพากันวิ่งวุ่นหลบฝนจ้าละหวั่น นรกรเหลียวมองซ้ายขวาท่ามกลางความสับสนเพราะตรงนี้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ยังไม่รู้จะไปทางทิศใด ฝ่ามือหนึ่งก็ฉวยเข้าที่ข้อมือและดึงให้วิ่งตามไปหลบใต้ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด
“ดูสิ นึกจะตกก็ตกนะฟ้าฝน” คณิณบ่นพลางชะเง้อมองผ่านม่านสายน้ำที่ไหลมาตามกันสาดไปยังท้องฟ้าที่จู่ๆ ก็มืดทึบขึ้นทันทีทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังมีแดดเปรี้ยงอยู่แท้ๆ
“นั่นน่ะสิครับ” นรกรตอบพลางเหลือบมองคนข้างกาย เพราะมีคนมาหลบฝนกันเยอะทำให้เขาต้องยืนเบียดกับคณิณจนไหล่ชนไหล่ และรับรู้ได้ถึงผิวกายที่ยังอุ่นท่ามกลางอุณหภูมิที่เริ่มเย็นลง
ทว่าเหนือกว่าการได้มองและสัมผัส คือการที่สมองดันหวนคิดถึงวันที่เขาไม่เคยลืม วัน...ที่เหมือนกับวันนี้ไม่มีผิด
วันที่ฝนตก... วันที่ฝนพาคนรักของเขาจากไป
“ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่เราเลิกกันเถอะ”
คำที่หลุดออกจากปากชายหนุ่มตรงหน้าฟังดูแสนธรรมดาจนคนฟังต้องถามซ้ำว่าไม่ได้ยินผิดไป
“พี่ปอพูดว่าอะไรนะครับ”
“ฉันบอกว่าเราเลิกกันเถอะ”
สองมือที่ประคองดอกกุหลาบช่อโตจับกันแน่น สมองยังไม่ยอมเข้าใจความหมายใดๆ ในเมื่อคนที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเพิ่งยื่นดอกไม้แสดงความยินดีให้เขา
“นี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ฉันจะให้นาย ในฐานะแฟน จากนี้ไปเราจะไม่มาเจอกันอีก”
“ผมถามได้ไหมครับว่าทำไม”
“เพราะฉันอยากเลิกไง”
พูดจบคณิณก็หันหลังเดินจากไป พร้อมกับที่ฟ้าเปลี่ยนสีและทิ้งมวลน้ำมหาศาลลงมา ทุกคนในสนามพากันวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น ในขณะที่นรกรตัวชาจนก้าวขาไม่ออก ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมในต้องเกิดในวันนี้ วันสำคัญที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต
เคยคิดว่ารักมันไม่มั่นคง จนกระทั่งคนตรงหน้าเดินเข้ามาทำให้ความคิดนั้นเปลี่ยนไป แต่แล้วทำไมสุดท้ายมันถึงได้แปรปรวนยิ่งกว่าฟ้าฝนในเดือนกันยายนแบบนี้ล่ะเสียงฟ้าผ่าดังครืนใกล้ๆ ดึงสตินรกรกลับจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน ถึงแม้หลังจากนั้นเขาจะปรับความเข้าใจกับคณิณได้ในที่สุดว่าเพราะต้องไปแต่งงานกับหญิงสาวที่ครอบครัวหมายหมั้น แต่มันก็ไม่อาจเรียกคืนหรือลบล้างความทรงจำอันเลวร้ายในวันนั้นได้เลย
“รับปริญญาหน้าฝนนี่ไม่ไหวเลยนะ” คณิณบ่นพลางชะเง้อคอมองท้องฟ้ามืดครึ้มที่ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะซา
“ครับ” นรกรบอกพลางพยายามสะบัดเรื่องในหัวออกไป แต่กลับถูกแทนด้วยเรื่องราวต่อมาที่เขากำลังเดินอย่างเชื่องช้าราวกับคนไร้สติท่ามกลางสายฝนเม็ดใหญ่ที่เทลงมา ในมือกอดดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่ตอนนี้ดอกหนึ่งในนั้นยังถูกทับแห้งอยู่ในสมุดบันทึกของเขาในลิ้นชัก
“เปียกหมดเลย” คณิณบอกพลางยกมือขึ้นช่วยเสยผมที่ลู่ลงปรกตาเพราะเปียกฝน
นรกรสะดุ้งเล็กน้อยกับฝ่ามืออุ่นที่แตะลงบนผิวแก้มเย็นเฉียบของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว พยายามขืนตัวหนีแต่ก็ไม่ทันมือที่ขยับตามมา จะปฏิเสธตอนนี้ก็กลัวจะโดนหาว่ารังเกียจ เขาจึงต้องยืนนิ่งให้มือนั้นช่วยจัดผมจนเสร็จ “นิดหน่อยเองครับ ขอบคุณที่ปอนะครับที่ช่วยบังฝนให้” เขารู้สึกขอบคุณจริงๆ ในจุดนี้ เพราะถ้าคณิณไม่ถอดกาวน์ของตัวเองออกมาช่วยกันฝนให้ เขาคงกลายเป็นลูกหมาตกน้ำไปแล้ว
“รีบกลับไปเช็ดผมให้แห้งล่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”
“ขอบคุณครับ” นรกรมองคนตรงหน้าที่ส่งยิ้มพรายมาให้ และแววตาคู่นั้นมันช่างอบอุ่นยิ่งกว่าฝ่ามือที่แตะอยู่ข้างแก้มนี่เสียอีก
และมันช่างแตกต่างกับภาพแผ่นหลังที่เดินห่างออกไปหวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ความเหมือนที่แตกต่างกับเมื่อวันวาน จนทำให้นรกรอดคิดไม่ได้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากวันนั้นคณิณไม่เดินจากไป หรือถ้าเขาจะมีความกล้ามากพอที่จะวิ่งตามหรือส่งเสียงเรียกออกไป และยืนหยัดในความสัมพันธ์ คนที่ยืนเคียงข้างเขาในวันนี้จะยังเป็นผู้ชายคนนี้หรือเปล่า
oooooo
“ทำอะไรอยู่เหรอ” วินทร์ที่เดินออกมาจากห้องน้ำถามคนที่กำลังนิ่วหน้าเครียด... ไม่สิ! ต้องเรียกว่าจมอยู่กับหนังสือบนโต๊ะทำงานจะเหมาะกว่า
“เปล่าครับ” นรกรตอบทั้งที่ยังไม่หันมา
วินทร์เดินไปยืนซ้อนหลังแล้วดึงผ้าเช็ดตัวที่คล้องอยู่รอบคออีกฝ่ายขึ้นมา ตั้งใจจะช่วยเช็ดผมให้แต่เรือนผมนั้นกลับหมาดจนเกือบแห้งในขณะที่ผ้าชื้นแค่เพียงเล็กน้อย ทำให้วินทร์นึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเพราะนั่นหมายความว่านรกรมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับอะไรสักอย่างจนปล่อยให้ผมแห้งไปเอง
ได้ข่าวว่าเมื่อกลางวันก็ไปตากฝนมานี่นา... คอยดูนะถ้าป่วยขึ้นมาแบบครั้งที่แล้ว คราวนี้เขาจะแกล้งให้หนำใจเลยถือว่าเป็นการเอาคืนเรื่องที่ทิ้งเขาไว้หลังประตู
“งั้นก็นอนกันเถอะ”
“พี่วินทร์นอนก่อนเลย ผมอยากนั่งอ่านหนังสือต่ออีกสักหน่อย”
“หนังสือนั่นสำคัญกว่าฉันเหรอ” เพราะนัยน์ตากลมตวัดมองมา วินทร์จึงรีบยิ้มกว้างให้รู้ว่าล้อเล่น
จะมีแค่สองเรื่องที่ทำให้นรกรหงุดหงิด นั่นคือเรื่องงานกับการถูกรบกวนตอนอ่านหนังสือ ซึ่งเขาก็เว้นช่องว่างนั่นให้มาโดยตลอด แต่บางที ไม่สิ! บ่อยครั้งที่นรกรชอบลืมเวลาจมอยู่กับงานหรือการอ่านหนังสือเป็นวันๆ ข้าวปลาไม่กิน จนพวกเขาต้องมีการตั้งข้อตกลงเพื่อเจอกันครึ่งทาง แน่นอนว่าการเรียกไปนอนเป็นหนึ่งในนั้นแต่นี่เพิ่งสองทุ่มเขาจึงไม่เร้าหรือต่อและยื่นข้อเสนอใหม่
“ฉันจะให้เวลาถึงสี่ทุ่ม ตกลงไหม”
“ครับ”
วินทร์ยิ้มกว้างขึ้นอีก มือใหญ่คว้าเข้าที่ปลายคางรั้งให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นมาแล้วกดจูบเข้าที่กลางหน้าผาก “จะรอที่เตียงนะ รีบมาล่ะเตียงมันกว้างไม่มีคนนอนข้างๆ แล้วมันเหงา” ทิ้งท้ายด้วยการหอมแก้มซ้ายขวาไปอีกข้างละฟอด เขาจงใจไม่จูบเพราะจะเก็บไว้รวบยอดตอนนรกรมาขึ้นเตียง
หลังจากที่วินทร์ผละไป นรกรก็ปิดหนังสือ… เขาโกหกวินทร์เพราะอันที่จริงเขาแทบอ่านไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำเมื่อในสมองคิดฟุ้งซ่าน นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองไปนอกหน้าต่างที่สายฝนซึ่งตกตั้งแต่ช่วงเช้ายังไม่ขาดสาย เขาถอนหายใจยืดยาวแล้วเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดก่อนจะหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าที่ซุกไว้ล่างสุดขึ้นมา แล้วเปิดไปที่หน้าสุดท้าย
ที่ๆ ดอกกุหลาบ ดอกหนึ่งถูกทับอยู่ตรงนั้น
.
.
.
วินทร์รู้สึกตัวครึ่งหลับครึ่งตื่นเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงยวบบนฟูก เขาปรือตาดูนาฬิกาหัวเตียงที่บอกเวลาตีสามกว่าแล้ว “นายทำผิดที่ตกลงกันไว้นะฮาร์ฟ”
นรกรไม่ตอบคำถามนั้น แต่ซุกศีรษะเข้าที่หัวไหล่ แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่วินทร์ใจอ่อน เขายกแขนขึ้นโอบรอบไหล่รั้งให้คนตัวเล็กกว่าขึ้นมานอนหนุนบนอกพลางลูบมือเบาๆ ไปตามแผ่นหลังจนอีกฝ่ายผล็อยหลับไปในสุด
แต่เขากลับเป็นฝ่ายข่มตานอนไม่ลง ถึงจะดูเป็นเรื่องปกติ หากสังหรณ์ในใจบอกว่ามีอะไรสักอย่างที่มันไม่ปกติ ในเมื่อนรกรจะทำแบบนี้เวลารู้สึกผิดหรืออยากอ้อน แต่เขากลับไม่คิดถึงข้อหลังและนรกรไม่มีวันรู้สึกผิดกับการอ่านหนังสือ และไม่ว่าจะเพราะอะไรแต่นั่นไม่ทำให้เขารู้สึกดีเลย รู้สึกในอกเบาหวิว ราวกับหัวใจมันหายไปทั้งที่เจ้าของหัวใจนั้นก็นอนแนบชิดอยู่ด้วยกันแท้ๆ
เสียงฟ้าร้องครืนครางดังขึ้นราวกับจะร้องเตือน นัยน์ตาคมตวัดมองออกไปนอกหน้าต่างยังสายฝนที่ยังคงโปรยปราย ถึงจะรู้อยู่เต็มอก หากยังภาวนาจนสุดใจขอให้ไม่ใช่อย่างที่คิด
แล้ววินทร์ก็ได้รู้ว่าลางสังหรณ์นั้นไม่ผิดก็ในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง
“ฮาร์ฟ” เสียงทุ้มเรียกขึ้นพร้อมกับที่เจ้าของเสียงชะโงกหน้าเข้ามาในห้องทำงาน “ว่างไหม”
“ว่างครับ”
วินทร์มองตามแผ่นหลังของคนที่เดินตามคณิณ… หรือจะพูดให้ชัดๆ ไปเลยก็คือแฟนเก่าออกไปโดยที่ไม่คิดจะบอกอะไรเขาที่นั่งหัวโด่อยู่ด้วยกันสักคำ และที่สำคัญคือนรกรสามารถละมือไปจากหนังสือเล่มที่กำลังอ่านอยู่ได้ทันทีโดยไม่มีอิดออดราวกับกำลังรออีกฝ่ายอยู่แล้วเช่นกัน
และก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ ในลักษณะนี้อีกหลายครั้งในระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน จนวินทร์เริ่มรู้สึกไม่ดีนั่นยังไม่รวมถึงอาการเหม่อมองออกไปหน้าต่างทุกๆ ครั้งที่ฝนตก
วินทร์รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไร เขาเข้าใจทุกอย่างดี แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือตัวของตัวเอง ว่าควรจะยืนอยู่ตรงไหน ในเมื่อคนที่อยากจะยืนเคียงข้างกำลังเดินออกห่างไปทุกที
อย่างวันนี้ที่เขาดูเหมือนเป็นส่วนเกินทั้งที่เดินมาด้วยกัน แถมคณิณยังเป็นฝ่ายเดินมาสมทบทีหลังด้วยซ้ำ
“พี่ปอคิดว่าแบบนี้ดีไหม” นรกรบอกพลางยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปให้ดู
คณิณขยับเข้ามาหาเพื่อดูให้ขัดๆ “ก็ดีนะ ถ้านายชอบ ฉันก็ว่าดีทั้งนั้นแหละ”
“ถ้าผมตัดสินใจได้จะถามพี่ปอเหรอครับ”
นัยน์ตาคมตวัดมองคนนั้นทีคนนี้ที …มันคือการปรึกษาเคสใช่ไหม? หรืออะไร ยังไง แล้วทำไม นรกรถึงเลือกจะถามผู้ชายคนนั้นทั้งที่อยู่กับเขาแท้ๆ …อ้อ ใช่สิ! เขามันไม่ใช่หมอเฉพาะทางโรคหัวใจนี่นา
วินทร์พยายามทำเป็นไม่สนใจและเสมองไปทางอื่นแต่เพราะศีรษะที่ขยับเข้ามาใกล้กันทุกทีของทั้งคู่ทำให้เขาอดทนต่อไปไม่ไหวจนต้องชะโงกหน้าเข้าไปขอแทรกกลาง “คุยอะไรกันอยู่เหรอ”
“เปล่านี่” คณิณหันมาตอบกึ่งๆ จะไม่พอใจนิดๆ ที่โดนขัด
“จะเปล่าได้ยังไงก็เห็นอยู่ว่าคุยกันอยู่”
“ก็แค่เรื่องทั่วๆ ไป ใช่ไหมฮาร์ฟ”
วินทร์หันไปมองคนรักของตน คาดว่าคำตอบที่ได้น่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่านั้น แต่นรกรกลับเลือกที่จะเข้าข้างคณิณ “ครับ”
คณิณแอบยักคิ้วให้เขาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปคุยกับนรกรต่อราวกับวินทร์ไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น “ตามนั้นแหละ เอาตามที่นายชอบเลย ฉันไปก่อนนะ”
“ครับ”
วินทร์กอดอกมองคนที่เดินจากไปแล้วหันไปถามนรกรอีกครั้ง “ตกลงคุยเรื่องอะไรกัน”
“เอ่อ…” นรกรอึกอัก “เปล่าครับ ไม่มีอะไรจริงๆ”
“ไม่มีะไร แล้วทำไมบอกฉันไม่ได้ล่ะ”
“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ นี่นา อ๊ะ! ได้เวลาสอนแล้ว ผมไปก่อนนะครับ”
“เย็นนี้ฉันมีผ่าตัด ถ้านายเสร็จเร็วรอที่ห้องทำงานละกันนะจะได้กลับพร้อมกัน” วินทร์นัดแนะเวลา ถึงจะอยู่ด้วยกันแต่ทั้งสองขับรถมาคนละคันเพื่อความสะดวก ไม่ว่าจะในเรื่องของกายหรือใจ ที่จะไม่ต้องตอบคำถามคนที่บังเอิญผ่านมาเห็น
“ครับ” นรกรรับคำ
แล้วทั้งคู่ก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานในส่วนของตน
จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย วินทร์ที่ผ่าตัดเสร็จเร็วกว่าเวลาค่อนข้างเยอะเพราะเคสที่จองห้องผ่าตัดไว้ก่อนหน้ายกเลิกไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็เดินฮัมเพลงกลับไปห้องทำงาน เขาลืมเรื่องที่หงุดหงิดเมื่อเช้าไปจนหมดแล้วและตั้งใจจะไปเซอร์ไพรส์นรกรด้วยการชวนออกไปกินข้าวเย็นข้างนอก ในหัวคิดวางแผนเสียดิบดี แต่กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายแปลกใจ
ในห้องทำงานที่เงียบสนิท มีคนสองนั่งอยู่ทีแรกเขาคิดว่านรกรกำลังคุยอยู่กับศาสตราจารย์สรวิชญ์แต่เมื่อดูดีๆ เขาก็พบว่าไม่ใช่
วินทร์เปิดประตูแง้มไว้เล็กน้อย เขากอดอกพิงกรอบประตูและหวังลึกๆ ในใจว่าจะมีใครหันมาเห็นเขา แต่หลังจากยืนมองอยู่เกือบ 5 นาที สองคนที่คุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนานในเรื่องที่เขาไม่ได้ยินก็ยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ตั้งใจจะเคาะประตูส่งสัญญาณแต่แล้วเสี้ยวนาทีก่อนที่หลังมือจะสัมผัสบานประตูกลับชะงักไป วินทร์กำมือแน่น ริมฝีปากเม้มสนิท เขาลดมือลงแล้วหีนหลังเดินจากไปโดยไม่หันมามองซ้ำสอง
เพราะเขาทนไม่ได้กับสายตานั้น สายตาที่เป็นประกายเจิดจ้า เขาเฝ้ามองนรกรมาตั้งหลายปีทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่ายังไง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านรกรมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้กลับไปคุยกับคนรักเก่าอย่างป็นปกติได้ในที่สุด
เสียงเม็ดฝนกระทบหน้าต่างดังเปาะแปะ วินทร์เงี่ยหูฟังเสียงนั้นแล้วก็ได้แต่ภาวนาอยู่เงียบๆ ในใจว่าขอให้ฝนช่วยดับถ่านไฟเก่าให้มอดไป อย่าได้ทำให้มันติดไฟขึ้นมาเลย
(ยังไม่จบนะคะ)