♣Maybe...รักนี้อาจเป็นนาย♣
บทที่ 13
Go to the beach
สัมผัสนั่นมัน...
>///<
ให้ตายสิ! ผมไม่กล้าไปเจอหน้าพี่ปืนอีกแล้ว แค่คิดใจก็เต้นระรัวเหมือนจะกระเด็นออกมาจากอก สัมผัสที่ร้อนวูบวาบยังตราตรึงอยู่ไม่หาย รู้เลยว่าหน้าตัวเองต้องแดงมากแน่ๆในตอนนั้น
แต่มันก็...รู้สึกดีมากๆ มากจนบอกไม่ถูก
สายตาของพี่ปืนตอนที่ถอนจูบออกมานั่น...มันช่าง...
“ต้นหอม”
ทำยังไงดีล่ะ ถ้าเจอหน้ากันอีกครั้งผมควรจะต้องทำตัวยังไง ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว แม้ว่ามันจะผ่านมาอาทิตย์หนึ่ง และถึงแม้ว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาผมจะมีสอบ ซึ่งผมก็อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลยสักนิด >_<; แต่ผมกลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันเหมือนกับเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
และ...เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ผมไม่ได้เจอพี่ปืนเลย
คือผมไม่กล้าไปเจอเองแหละ
“ต้นหอม เรียกเนี่ย ได้ยินไหม”
โธ่เอ้ย!
ผมขยี้หัวตัวเองอย่างบ้าครั่ง ผมน่าจะไปหาพี่เขา ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ปืนลืมผมไปหรือยัง ผมมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม และคำถามสำคัญคือ...
พี่ปืนจูบผมทำไม?
ทำไมกันนะ...
ป๊อก!
“โอ๊ย!” ผมสะดุ้งออกจากภวังค์เมื่อความเจ็บแล่นจากหน้าผากไปจนถึงแกนกลางสมอง ผมยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเองแทบจะทันที
“ใจลอยๆ คิดอะไรอยู่ฮะ! เรียกก็ไม่ได้ยิน ว่าไง มัวแต่คิดถึงใครอยู่หืม” แมทหรี่ตามถามอย่างจ้องจับผิด
“เปล่าสักหน่อย”
ใครจะไปบอกกัน เรื่องแบบนั้น...
“ไม่สบายหรือเปล่า หน้าแดงๆ” แมทเอื้อมมือมาแตะที่หน้าผากผมสีหน้าดูเคร่งเครียดเพราะความเป็นห่วง
“สบายดี ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ว่าแต่จัดของเสร็จหรือยัง”
พรุ่งนี้ต้องไปค่ายกับชมรมภาพถ่ายแล้ว เพราะอย่างนี้ไง ผมถึงได้นั่นฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้ ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงถ้าพรุ่งนี้เจอพี่ปืน
“เก็บแล้ว เราล่ะ คงเก็บเรียบร้อยแล้วสินะ” แมทยกยิ้มมุมปากอย่างคนรู้ทัน
เกลียดจริงๆคนรู้ทัน
คืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะตื่นเต้น คิดมาก กังวล ฟุ้งซ่าน บ้าบออยู่คนเดียว เดินลงมากินนมไปสามกล่องแล้วยังนอนไม่หลับเลย กว่าจะได้หลับก็เกือบถึงเวลาที่ต้องตื่น พอตีห้าครึ่งแมทก็มาปลุกผมให้ตื่น ซึ่งผมไม่อยากจะตื่นเลย ไม่ไปแล้วได้ไหม...
“ไม่อยากเจอหรือไงไอ้พี่ปืนนั่นน่ะ”
“อ๊ะ! ตื่นแล้ว” ผมดีดตัวลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อพี่ปืน
“-_-^”
“แหะๆ” ผมหัวเราะแห้งๆก่อนจะกระดึบๆลงจากเตียงแสนรัก ไว้พี่กลับมาจะมานอนใหม่นะน้องเตียงสุดที่รัก
“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวจะยกกระเป๋าลงไปข้างล่างให้” แมทเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของผมที่วางอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผมรีบวิ่งเข้าไปห้องน้ำอาบน้ำแบบเร่งด่วน ก่อนจะออกมาแต่งตัวด้วยชุดที่เลือกไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ไม่มีอะไรมากก็แค่กางเกงเดฟสีดำกับเสื้อกล้ามสีขาวตามด้วยเสื้อแจ็กเก็ตตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมา แค่นี้ก็เรียบร้อย ผมเซตผมอีกนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จ ก่อนออกจากห้องก็ไม่ลืมหยิบกล้องไปด้วย ของผมเป็น Nikon ของแมท เป็น Cannon แต่ว่าผมถ่ายไม่เก่งเท่าแมทหรอก แมทเคยไปเรียนถ่ายภาพ แต่ผมไม่เคย
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม ไม่ลืมอะไรนะ” แมทถาม ผมพยักหน้าตอบก่อนจะช่วยแมทขนของรถ มุ่งหน้าสู้มหาวิทยาลัย ระหว่างทางผมแวะเซเว่นเพื่อซื้อของกินในตอนเช้าก่อนออกเดินทาง เราต้องไปรวมตัวกันที่คณะนิเทศฯก่อน โดยรถที่ใช้โดยสารไปทางชมรมเป็นคนจัดหา ซึ่งก็ได้เป็นรถตู้จำนวน 3 คัน
“ใครที่มาแล้วรบกวนมาเซ็นชื่อทางนี้ด้วยนะครับ”
คนเริ่มทะยอยมากันบ้างแล้ว ดีที่ผมกับแมทมาทัน ยังไม่จัดว่าสายเพราะพี่ๆเขานัดเจ็ดโมงเช้า ตอนนี้เพิ่งจะหดโมงครึ่ง ผมกับแมทวางกระเป๋าไว้ตรงที่คนอื่นๆนั่งรวมกันเตรียมขึ้นรถก่อนจะเดินไปเซ็นชื่อ
พี่ปืน...นั่นอยู่ตรงหนั้น
สีหน้าดูเหนื่อยๆ ง่วงๆ
“อ้าว น้องต้มหอมนี่เอง มาๆ มาเซ็นชื่อก่อน” พี่...เอ่อ ชื่ออะไรนะ
โอเค...ถึงผมจะเป็นคนที่ไอคิวสูง เป็นเด็กอัจฉริยะ(เมื่อนานมาแล้ว) แต่สำหรับคนที่เจอกันแค่ครั้งสองครั้งแล้วก็ไม่ได้มีบทบาทในชีวิตผมมากนัก ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกถ้าหากว่าผมจะจำพวกเขาไม่ได้ แต่ผมรู้อย่างหนึ่งนะ พี่เขาต้องเป็นเพื่อนกับพี่ปืนอย่างแน่นอน
“ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าจำพี่ไม่ได้สินะ พี่ชื่อเวฟอ่ะ เซ็นชื่อตรงนี้”
ผมยิ้มรับแห้งๆก่อนจะเซ็นชื่อลงไปที่ช่องว่าง เสร็จแล้วก็ยื่นปากกาส่งต่อให้แมท เบี่ยงตัวมายืนอยู่ข้างๆแทน ผมมองพี่ปืนที่นั่งนิ่งมองไปที่แมทก่อนจะค่อยๆเงยหน้ามามองผม ดวงตาสีดำสนิทนั่น...
ตึกๆๆๆ
บ้าจริง! แค่สบตาพี่ปืนแค่นี้ผมก็ใจเต้นแรงแล้ว
“เอาไหม” พี่ปืนหยิบนมช็อคโกแลตให้ผม ผมอึ้งนิดหน่อยแต่ก็เอื้อมมือไปรับมาพลางยิ้มและเอ่ยขอบคุณเบาๆ แต่พี่เขากลับทำหน้านิ่งเหมือนเดิม แมทที่เซ็นชื่อเสร็จยืดตัวขึ้นมองผมทีมองพี่ปืนทีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ผมกับแมทแยกไปนั่งรอคนที่เหลือจนได้เวลาออกเดินทาง สรุปว่ามีคนไปแค่สามสิบคนเท่านั้น ซึ่งจัดว่าน้อยถ้าเถียบกับจำนวนคนที่ไปค่ายอื่น แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้วทริปในครั้งนี้จะเรียกว่าไปค่ายก็ไม่ถูก มันเหมือนกับเป็นทริปท่องเที่ยวเพื่อสนองความต้องการเสียมากกว่า เพราะทุกอย่างดูจะสะดวกสะบายไปเสียหมด สถานที่ที่ไปก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองไทย ‘หัวหิน’ นั่งรถตู้ไป และจากที่พี่เวฟ (ผมจำชื่อได้ล่ะ) บอกก่อนขึ้นรถเกี่ยวกับที่พักก็คือ เราจะนอนกันที่รีสอร์ทที่เหมาทั้งรีสอร์ทเพื่อการนี้ จากที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ ขอบอกเลยว่าค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก ดังนั้นคนที่มาร่วมทริปนี้ถึงได้มีน้อยนัก โดยส่วนมากก็จะเป็นคนที่เรียนนิเทศฯเอกภาพถ่ายอยู่แล้ว นอกนั้นก็คือนักศึกษาจากคณะอื่นที่สนใจในการถ่ายภาพอย่างผมกับแมทนั่นละ
หลังจากเช็คชื่อเสร็จเรียบร้อยเราก็แยกย้ายกันขึ้นรถ ผมได้นั่งคันเดียวกับพี่ปืน อ่ะๆ อย่านะ อย่ามองผมแบบนั้น ผมเปล่าเลือกนะ แต่พี่เวฟเขาบอกให้ผมกับแมทมานั่งคันเดียวกันกับพวกพี่เขาต่างหาก รถคันที่ผมนั่งด้านหน้าเป็นพี่คนที่ชื่อเหนือเพื่อนพี่ปืน เบาะหน้าเป็นรุ่นพี่ปีสองคณะนิเทศฯที่เรียนเอกภาพถ่ายสามคน ถัดลงมาเป็นพี่เวฟและพี่ก้อง ถัดลงมาอีกเป็นผมและแมท ที่นั่งของผมติดกันหน้าต่าง ด้านข้างแมทเป็นเด็กปีหนึ่งคณะเดียวกับแมท เห็นว่ารู้จักกันด้วย และพี่ปืนนั่งข้างหลังคนเดียว เน้นนะว่าคนเดียว ไม่ยอมให้ใครนั่งด้วย ทีแรกพี่เหนือจะนั่งแต่พี่ปืนไม่ยอม เลยต้องไปนั่งข้างคนขับอย่างที่เห็น
พอรถเคลื่อนตัวออก หลายคนก็เริ่มหลับ ผมหันหลังไปมองพี่ปืน ก็เห็นพี่เขานั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสบายใจ...มั้งนะ ก็พี่ปืนเล่นไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย ทำหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เก่งแค่ไหนผมก็เดาไม่ออกหรอกว่าพี่เขาคิดอะไรอยู่
“อ่ะ กินซะ” แมทสะกิดเรียกผม
ผมหันกลับมานั่งตามเดิม ก่อนจะรับกล่องนมที่เจาะเรียบร้อยแล้ว เป็นกล่องเดียวกับที่พี่ปืนให้มา
“จะเอาอันไหน แฮมหรือทูน่า”
“แฮม” ผมตอบ
แมทยื่นแซนวิทแฮมที่ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้วมาให้ผม ก่อนที่แมทจะลงมือกินแซนวิททูน่า ผมจัดการแซนวิชและนมภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้สึกอิ่ม
“แมท เอาไส้กรอก” ผมบอก จำได้ว่าแมทซื้อไส้กรอกมาด้วย
“ยังไม่อิ่ม?”
“อืม เหมือนยังไม่ได้กินอะไรเลยด้วยซ้ำ” ผมลูบท้องบอก แมทหัวเราะเบาๆก่อนจะหยิบไส้กรอกให้ผม
“น้องต้นหอมนี่ดูจะกินเก่งนะ” พี่ก้องที่นั่งด้านหน้าหันมาคุยกับแมท ผมไม่สนใจนั่งจิ้มไส้กรอกกิน มืออีกข้างก็รื้อถุงที่ใส่ของกินมาดูว่ามีอะไรบ้าง
“ยิ่งกว่ากินเก่งอีก กินได้ไม่หยุดปาก” แมทพูดขำๆก่อนจะขยี้หัวผม ผมปัดมือแมทออกก่อนจะขึงตาใส่ ผมอุตส่าห์เซตผมมาอย่างดี ดูสิเสียทรงหมด เดี๋ยวไม่หล่อกันพอดี
“เป็นแฟนกันเหรอ” พี่ก้องถามหน้าตาย ผมนี่อ้าปากค้าง ก่อนจะกลืนไส้กรอกลงคอ ไม่คิดว่าจะถามตรงขนาดนี้
“แล้วพี่คิดว่าไงล่ะ” แมทไม่ตอบแต่ถามกลับพลางกระตุกยิ้มมุมปาก มือก็เช็ดซอสที่เลอะที่มุมปากออกให้ผม ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมา
“งั้นก็แสดงว่าเป็นแฟนกันสินะ น่าเสียดาย พี่ก็ชอบเหมือนกัน” ตาที่มองมาที่ผมเป็นประกาย
“o_o” ผมนี่อึ้งเลยครับ
“ไม่ได้หรอกครับ คนนี้ผมหวง”
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับที่ใครต่อใครจะคิดว่าผมกับแมทเป็นแฟนกัน เกือบทุกคนแหละที่คิดแบบนั้น แม้แต่พวกไข่ดาวยังคิดว่าแมทเป็นแฟนผมเลย แต่ถึงทุกคนจะเข้าใจอย่างนั้นทั้งแมทและผมก็ไม่ได้คิดจะแก้ตัว ไม่รู้จะทำไปทำไม ถึงบอกไปถ้าเขาไม่คิดจะเชื่อก็เสียเวลาเปล่า แต่ตอนนี้ผมกลับอยากจะหันไปบอกคนที่นั่งข้างหลังว่า ผมกับแมทไม่ได้เป็นอะไรกัน
ผมค่อยๆหันหลังไปมองพี่ปืน สายตาก็สบเข้ากับดวงตาเข้มที่สะกดผมได้ทุกครั้ง คิ้วของพี่ปืนขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะคลายออก แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกได้ว่า...พี่ปืนอารมณ์ไม่ดี เป็นเพราะเรื่องเมื่อกี้หรือเปล่านะ
ไว้ผมค่อยหาจังหวะบอกแล้วกัน คงมีบ้างแหละสักจังหวะหนึ่งที่ผมสามารถคุยกับพี่เขาได้
“จะกินอีกไหม”
“ไม่แล้ว” ผมบอกแมทก่อนจะส่งถุงขนมให้แมท ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เริ่มรู้สึกไม่ได้ เชื่อเถอะ เดี๋ยวผมต้องเมารถแน่ๆ
“นอนไหม” แมทถามอีกครั้ง ผมพยักหน้าก่อนจะเอบซบที่ไหล่ของแมทตามความเคยชิน จากนั้นไม่นานผมก็ผล่อยหลับไป ตื่นอีกทีก็เข้าสู่ตัวเมืองเพชรบุรีแล้ว แต่ผมนั่งนอนหลับตาอยู่เพราะรู้สึกเวียนหัว อาการของการเมารถ ผมเป็นแบบนี้ประจำแหละ ปกติถ้านั่งด้านหน้า มองตรงไปข้างหน้าก็จะไม่เมารถ
ผมนอนหลับตาไปเรื่อยๆไม่อยากขยับตัวหรือลืมตา กลัวจะอ้วกออกมา ได้ยินเสียงแมทคุยกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ แล้วก็ได้ยินเสียงพี่ก้องกับพี่เวฟเถียงกับไปมา บางครั้งผมได้ยินเสียงพี่ปืนพูดขึ้นมาบ้างเมื่อพี่เวฟถามหรือดึงพี่ปืนเข้าสู่วงสนทนาด้วย
เสียงทุ่มนุ่มที่ติดจะเย็นชา
ดวงตาสี่นิลนั่นก็เย็นชา
คำพูดก็ไร้อารมณ์
ใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไร
ดูๆแล้วเหมือนจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจ แต่เปล่าเลย ทุกอย่างที่เป็นพี่ปืนดึงดูดผมได้อย่างง่ายดาย และผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้เจอได้สบตากับพี่ปืนต้องรู้สึกเช่นเดียวกัน
คนๆนี้ ดูลึกลับและน่าค้นหา
ล่อลวงให้ใครต่อใครเขาหาโดยที่ไม่ต้องทำอะไร อันตรายใช่ไหมคนแบบนี้ แต่ถึงจะรู้ว่าอันตรายและเสี่ยงแค่ไหน แต่ผมก็เต็มใจที่จะเดินเข้าไป แม้ปลายทางนั้นผมอาจจะต้องบาดเจ็บกลับมาก็ตาม
“ถึงแล้ว เที่ยงพอดี เดี๋ยวเราลงไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วค่อยเอาของไปเก็บที่ที่พักแล้วกัน”พี่เหนือตะโกนบอกทุกคนในรถ
“ต้นหอม ถึงแล้ว ตื่นได้แล้ว” ผมกระซิบเรียกผมเสียงเบา
“อื้อ” ผมส่ายหน้าไปมากับไหล่ของแมท แต่ไม่ยอมลืมตา ผมเวียนหัวมากที่สุด
“น่ารักดีนะ ดูท่าจะขี้อ้อน” เสียงพี่เวฟดังขึ้น แต่ผมไม่สนใจ ผมจะอ้วกอ่ะ TxT
“ก็ครับ เวียนหัวเหรอ” แมทถาม ผมพยักหน้าตอบก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น
แมทดึงผมลงจากรถ พอลงนถได้ผมก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆทันที ไม่ไหวครับ โลกหมุนไปหมด
“ไหวไหมนั่น เอายาไหม” เสียงใครสักคนเอ่ยพูดขึ้น แมดึงผมให้ลุกขึ้น ผมก็ลุกตามแต่โดยดีก่อนจะเดินตามเข้าไปในร้านอาหาร แมทจับผมนั่งลงถามผมว่าอยากเข้าห้องน้ำไหม ผมส่ายหน้า แมทเลยเดินไป ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะและหลับตาลง
“นี่” แรงกระกิดกับเสียงเรียกทำให้ผมต้องฟื้นยกหัวขึ้นจากแขนเงยหน้าขึ้นมอง เจอพี่ปืนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม และคนอื่นที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้วย
“กินซะ” พี่ปืนส่งยากับน้ำเปล่าให้ผม สายตากึ่งบังคับนั่นทำเอาผมไม่กล้าปฏิเสธทั้งๆที่ไม่ชอบ แต่พี่ปืนไม่ใช่แมท ถ้ารายนั้นอาจจะยอมตามใจผม แต่กับพี่ปืน ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ เลยต้องจำใจรับยามากินด้วยความพะอืดพะอมก่อนจะฟุบหน้าลงตามเดิม
“ไม่ปลุกน้องขึ้นมากินข้าวเหรอ” เสียงพี่เวฟถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ไม่กินหรอกครับถ้าเวียนหัวแบบนี้” แมทตอบ
“แต่นี่มันเที่ยงแล้วนะ” นี่คงเป็นพี่เหนือมั้ง
“ครับ แต่ถ้าเรียกจะงอแงเอาเปล่า ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ผมได้ยินทุกคนบนโต๊ะพูดคุย แต่อาการเมารถและมึนๆเพราะยาทำให้ผมได้แต่นอนฟังไปแบบนั้น จนทุกคนกินข้าวเสร็จ แมทถามว่าผมอยากกินอะไรไหม ผมได้แต่ส่ายหน้า จะอ้วกแบบนี้ผมไม่อยากกินอะไรหรอก พอจะขึ้นรถไปที่รีสอร์ทผมยินนิ่งไม่อยากขึ้นรถ ถ้านั่งอีกผมต้องตายแน่ๆ
“แปบเดียวน่า เดี๋ยวก็ถึงที่พักแล้ว อยากมาเองนะ อย่างอแง” แมทเอ็ดเบาๆ ผมเลยต้องจำใจขึ้นรถครั้ง มันเป็นอะไรที่ทรมานมาก ผมเกลียดการเมารถ!
“พาน้องไปพักก่อนไป เดี๋ยวพี่ไปเอากุญแจห้องให้”
ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหน้ารีสอร์ท เสียงพูดคุยของสมาชิกที่มาด้วยดังเซงแซ่ด้วยความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์เท่าไหร่ อยากจะนอน ถ้าได้นอนตื่นขึ้นมาผมคงจะดีขึ้น
พอได้กุญแจห้องแมทก็พาผมมานอนพักที่ห้อง พอถึงบ้านพักผมก็เดินไปพุ่งลงกับเตียง รู้สึกเหมือนแมทจะถอดถุงเท้าให้ แต่ผมขอไปเฝ้าพระอินทร์ก่อน ไม่ไหวแล้ว!
สาบานสิว่าผมมาออกค่ายถ่ายรูป ไม่ได้มาออกค่ายนอนชิงแชมป์ถ้วยพระราชทาน T^T
(ต่อ)