Chapter 12 Black Sakura
จากข้อมูลของคาโอรุ… ซุยกับมาซาฮิโกะอยู่ห้องเดียวกันที่ห้อง 201 ห้องใหญ่สุดติดบันไดที่ไทกิ
เคยไปอาศัยซุกหัวช่วงปิดเทอม ส่วนมิสึกิอยู่ชั้นสี่ ห้อง 413 กับรูมเมทอีกคน
แต่ทั้งสามคนก็ไม่คิดว่าภารกิจครั้งนี้จะง่ายดายขนาดนั้น ของที่ซ่อนไว้อาจจะไม่ได้อยู่ในห้องพักก็ได้
แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือต้องหาผู้พิทักษ์ให้พบก่อน ดวลกันให้รู้ผล แล้วจึงจะมีหวังทวงของเป้าหมายมาได้
“นายแน่ใจนะว่าไม่ไปกับฉัน”
ฮิโระถามไทกิอีกรอบ อันที่จริงมันก็ถามไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากไปผจญชะตากรรมกับเจ้ากับคาโอรุ
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะดวลกับมิสึกิ นายสองคนจัดการซุยกับมาซาฮิโกะให้อยู่หมัดก็แล้วกัน”
“เรื่องนั้นมันแหงอยู่แล้ว” ฮิโระรีบคุยโว
“ระวังตัวด้วยนะไทกิ พยายามอย่าเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้โดยไม่จำเป็น นั่นจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด”
คาโอรุย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“ฉันรู้แล้วน่า พวกนายก็ระวังด้วยนะ เอาล่ะ… แยกกันตรงนี้ พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่หอพร้อมของเป้าหมาย”
ไทกิให้กำลังใจอีกครั้ง ก่อนจะหายตัวไปในความมืด คาโอรุกับฮิโระก็พร้อมอยู่แล้ว
สองคนไปด้วยกันจนถึงชั้นสอง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปจัดการกับเป้าหมายของตัวเองตามที่ตกลงกันไว้
ชั้นสี่เงียบสนิท… แม้จะมีไฟเปิดสว่างทั่วโถงทางเดิน แต่ก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ไทกิงัดวิชาชีพเก่ามาใช้
เค้าเคลื่อนตัวด้วยความว่องไวและเงียบที่สุด จนกระทั่งมาถึงหน้าห้อง 413 เค้าก็ลองบิดลูกบิดประตูเบาๆ ปรากฏว่าไม่ได้ล็อก แสดงว่าเจ้าของห้องตั้งใจเปิดรอต้อนรับเค้าอยู่แล้ว
ไทกิเผลออมยิ้ม… ท่าทางรุ่นพี่คนนี้อยากจะดวลกับเค้าตัวต่อตัวมากจริงๆแฮะ ไหนๆคนเค้าก็อุตส่าห์
อยากเจอทั้งที จะมัวมาทำลับๆล่อๆก็เสียมารยาท ไทกิจึงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีก เค้าบิดลูกบิดจนสุด
เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างสง่าผ่าเผย
แล้ว… ก็เป็นไปอย่างที่คิด
รุ่นพี่สุดหล่อนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ใกล้กับโต๊ะหนังสือ ในห้องไม่มีคนอื่น แสดงว่าคงจัดการไล่รูมเมท
ออกไปนอนที่ห้องอื่นเรียบร้อย มิสึกิส่งยิ้มหวานให้ ก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้แขกนั่ง
“เอ้า… เชิญๆ นั่งพักก่อนสิคุณหนู”
ไทกิยังไม่วางใจ และไม่แน่ใจด้วยว่าตกลงรุ่นพี่คนนี้แกใจดีจริงๆ หรือเป็นแผนที่ทำให้ตายใจกันแน่
แต่ก็ยังยอมเดินไปนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย
“ตกลงเราจะดวลกันยังไง?” รุ่นน้องสุดแสบไม่อ้อมค้อม สบโอกาสก็รีบถามทันที
“ดวลเหรอ?” มิสึกิขมวดคิ้ว “ไม่เอาน่า… อุตส่าห์ได้เจอกันตามลำพังทั้งที อย่าซีเรียสสิครับคุณหนู
เรามานั่งคุยกันตามประสาพี่น้องดีกว่า”
“แต่… แต่พี่เป็นคนเจาะจงตัวผมนะ ไม่ใช่เพราะจะเรียกมาดวลหรอกเหรอ”
มิสึกิส่ายหน้าย้ำหนักแน่นอีกครั้ง
“ผมแค่บอกคาโอรุคุงว่าถ้ายอมให้คุณหนูมาพบผม ผมก็จะยอมมอบของเป้าหมายให้ทันที
ผมทำตามสัญญานะ แต่ถ้าคุณหนูไม่สบายใจจะเอาไปตอนนี้เลยก็ได้”
มิสึกิทำท่าจะล้วงของที่เก็บไว้ในเสื้อแจ็กเก็ตให้ไทกิ แต่รุ่นน้องรีบยกมือห้ามไว้
“พี่มิสึกิ… บอกจุดประสงค์ของพี่มาดีกว่า ผมจะรีบทำภารกิจให้เสร็จ แล้วจะได้กลับหอไปนอนซะที”
มิสึกิยิ้มให้อีกครั้ง ล้วงของเป้าหมายออกมาไว้ในกำมือ แต่ยังไม่ให้ไทกิเห็นว่าเป็นอะไร
“ผมมีเหตุผลสองข้อที่ไม่อยากสู้กับคุณ… ข้อแรกคือ ผมรู้อยู่แล้วว่าสู้คุณไม่ได้ ไม่ใช่เพราะฝีมือด้วยกว่า
แต่เพราะผมไม่คู่ควรที่จะสู้”
แค่เหตุผลข้อแรกก็เล่นซะไทกิงงเต็ก จับคิ้วมาขมวดเป็นเลขแปดแทบไม่ทัน
“เหตุผลที่สอง…” คราวนี้มิสึกิยิ้มบางๆ “ผมก็แค่เป็นห่วง เลยอยากเห็นชัดๆว่าคุณยังสบายดี”
อันนี้แหละ… ยิ่งงงที่สุด!
แต่ไทกิยังไม่ทันได้ซักต่อ ข้อกังขาของเค้าก็ได้รับคำเฉลย เมื่อรุ่นพี่เปิดเผยของสำคัญที่กำไว้ในมือให้ไทกิ
ได้เห็นชัดๆเต็มสองตา
ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงเบิกกว้าง บ่งบอกอาการตื่นตกใจอย่างที่สุด
…ดอกซากุระสีดำ…
สัญลักษณ์หนึ่งในยมทูตคนสำคัญแห่ง Death Flowers
‘Black Sakura’
ไทกิกระโดดตัวลอยออกไปยืนตั้งหลักที่ประตู แต่ดวงตาทั้งสองข้างยังจ้องมองคู่ต่อสู้ไม่วางตา
สองยมทูตปะทะกันเป็นเรื่องใหญ่ ขนาดหอลมทั้งหอยังพินาศได้เลยนะเนี่ย
ไม่… ต้องไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่เค้ากำลังจะได้ชีวิตใหม่
ดวงหน้าคมคายของมิสึกิยังคงยิ้มแย้มให้ด้วยไมตรี ก่อนจะขยับเก้าอี้เลื่อนเข้ามาใกล้กันมากขึ้น
“กลับมานั่งเถอะครับคุณหนู ผมบอกแล้วว่าคืนนี้จะไม่มีการดวล จะมีแค่การคุยกันระหว่างพี่น้องเท่านั้น”
ไทกิยอมเดินกลับไปนั่งอีกครั้งถึงจะยังไม่วางใจก็ตาม แต่เพราะเรื่องที่คาใจมันมีมากกว่า
จึงยอมเดินกลับไปหามิสึกิอย่างว่าง่าย
ทำไมซากุระถึงปรากฏตัว?
ปกติหมอนี่ทำงานเป็นแบ็ค ได้ชื่อว่า Shadow of the Rose ที่ผ่านมาเค้าไม่เคยพบคนๆนี้ด้วยซ้ำ
เพราะซากุระจะรับเฉพาะคำสั่งลับเท่านั้น แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงเปิดเผยตัว ทำแบบนี้นับว่าเสี่ยงมากทีเดียว
“ดอกไม้นั่นเป็นของจริงใช่มั้ย?” ไทกิมองไปที่ซากุระสีดำแล้วถามให้แน่ใจอีกครั้ง
“ก็คงไม่มีใครพกของเสี่ยงตายแบบนี้ติดตัวตลอดเวลาหรอกครับ”
“นาย…” ไทกิเริ่มอึกอัก “มาจับฉันกลับไปเหรอ”
มือเย็นๆของมิสึกิเอื้อมมาใกล้ ก่อนจะดึงมือของไทกิเข้าไปกุมไว้
“คุณหนู… ถ้าผมคิดจะจับคุณกลับไปก็คงไม่เปิดเผยตัวหรอก ตอนนี้ผมยังเป็นไท
ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน ผมก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรโดยพละการทั้งนั้น”
“แล้ว… ไม่คิดจะรายงานเรื่องของฉันกับทางองค์กรเหรอ”
“ไม่ครับ”
พอได้ยินอย่างนั้นไทกิถึงค่อยโล่งอก
“งั้นนายก็อยู่ฝ่ายฉันใช่มั้ย?”
“ไม่ครับ”
อ้าว?
“ผมไม่มีฝ่าย ตอนนี้ผมยังเป็นมิตรกับคุณหนู แต่ต่อไปเราอาจต้องกลายเป็นศัตรูกันก็ได้”
“งั้นถ้าฉันจะสั่งมิสึกิในฐานะ Red Rose ให้มาอยู่ฝ่ายฉัน คอยช่วยเหลือฉันล่ะ”
มิสึกิทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะตอบคำถามที่ดับความหวังของไทกิอย่างสิ้นเชิง
“คุณจะสั่งผมได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในองค์กรเท่านั้น ตอนนี้คุณหนีออกมาแล้ว คุณก็เป็นแค่โนมูระ ไทกิ
ไม่มีสิทธิ์สั่งการคนในองค์กรอีกแล้ว แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นแค่เจ้าหน้าที่ระดับล่างก็ตาม
อำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมดตอนนี้จึงตกอยู่ที่คนๆเดียว”
“White Lilly”
ไทกิต่อให้ มิสึกิก็พยักหน้ารับ
“หมอนั่น… ยังสบายดีอยู่เหรอ ‘เซกิ’ น่ะ” ไทกิเบือนหน้าออก ทั้งที่ไม่อยากรู้แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้
“เค้าจะสบายได้ยังไงถ้าไม่มีคุณ แถมตอนที่คุณหนีมายังทำกับเค้าไว้ตั้งเยอะ กว่าจะฟื้นตัวก็ใช้เวลา
ตั้งหลายเดือน แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องไปยุ่งเกี่ยว เซกิคิดอะไรอยู่ และคิดจะทำอะไรต่อไป
ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ”
ไทกิพยักหน้า “ฉันก็พอจะรู้นิสัยเซกิ หมอนั่นต้องพลิกแผ่นดินตามหาฉันแน่ เชื่อขนมกินได้เลย
ฉันถึงอยากให้มิสึกิมาเป็นพวกฉันไงล่ะ ถือว่าฉันขอร้องนะ”
“ผมรับเฉพาะคำสั่งเท่านั้น ไม่เคยรับคำขอร้อง คุณหนูก็น่าจะรู้”
คำปฏิเสธที่ตัดขาดเยื่อใยจนไทกิฟังแล้วยังพูดไม่ออก เดิมทีคิดว่าถ้าได้ซากุระมาเป็นพวก
ก็คงพอจะยืดอิสรภาพตัวเองไปได้อีกหน่อย แต่ถ้าหมอนี่ไม่เอาด้วย เค้าคงแย่
“งั้น… นายจะเอายังไงกับฉัน?” ไทกิถามตรงๆ
มิสึกิจับมือไทกิแบออก แล้ววางดอกซากุระสีดำลงไป
“ซากุระสีดำคือสัญลักษณ์ของผม ตราบใดที่มันยังอยู่ในมือคุณนั่นหมายความว่าคุณอยู่ในความคุ้มครอง
ของซากุระ ใครก็ทำร้ายคุณไม่ได้ ยกเว้นก็แต่ลิลลี่ที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กรในเวลานี้เท่านั้น”
“มิสึกิทำแบบนี้เสี่ยงมากนะ ถ้าเซกิรู้เข้า อาจจะสั่งคนตามล่านายด้วยก็ได้”
“คุณไทกิก็อย่าให้เค้ารู้สิครับ คนในโรงเรียนนี้ทุกคนพร้อมจะปกป้องคุณทั้งนั้น โดยเฉพาะ…
คนที่กำลังรอคุณอยู่ข้างนอก”
ไทกิเหลียวคอมองกลับไปที่ประตู ใครนะ… ใครกันที่พร้อมจะปกป้องตัวอันตรายอย่างเค้า
มิสึกิหมายถึงใครกันแน่ ไทกิหันกลับมามองดอกซากุระในมืออีกครั้งด้วยความตื้นตัน
เดิมทีคิดว่าพอมาเข้าเรียนที่นี่แล้วคงเหงา แต่เค้ากลับได้มิตรแท้มากมาย
โดยเฉพาะมิตรที่คาดไม่ถึงอย่างมิสึกิ
รุ่นพี่เดินเข้ามาดันไหล่รุ่นน้องออกไปที่หน้าประตู
“ไปได้แล้วคุณหนู เป็นเด็กเป็นเล็กนอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
ไทกิจับมือมิสึกิไว้แน่น “พี่มิสึกิ ขอบคุณมาก”
รุ่นพี่โค้งตัวรับ ก่อนจะส่งรุ่นน้องออกไปที่ระเบียง ไทกิกำลังปลาบปลื้มกับของขวัญล้ำค่า
ที่เพิ่งได้รับมาจากภารกิจแรก จนเดินเหม่อไปตามระเบียงทางเดิน แล้วทันใดนั้นเค้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
คนเดินตามหลัง เค้าก็รีบหยุดทันที
เสียงฝีเท้านั้นเบามาก ย่องเข้ามาในระยะใกล้จนแทบไม่รู้สึกตัวแสดงว่าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ถ้าหากไม่ใช่คนที่มีสัญชาตญาณในการต่อสู้ที่ว่องไวก็คงสัมผัสไม่ได้ ใครกันนะที่กล้าล้วงคองูเห่า
ไม่รู้จักตัวหายนะประจำองค์กรมืดซะแล้ว
ดอกกุหลาบแดงที่ซุกไว้ใต้เสื้อแจ็กเก็ตหนา ถูกตวัดออกไปอย่างรวดเร็วดั่งสายลม ปักฉึกผ่านหน้าคนที่กำลัง
สะกดรอยตามเค้าแค่เสี้ยวเดียว ฝีเท้าที่เบาลิ่วราวปุยนุ่นก็หยุดชะงัก เค้าดึงดอกกุหลาบแดงสีสดที่
ปักอยู่บนผนังตึกออกมาถือไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้ตัวแสบ
“ไอ้เรารึก็นึกเป็นห่วง ถ้ารู้ว่านายจะเที่ยวเดินแจกดอกไม้ให้คนอื่นไปทั่วแบบนี้ล่ะก็
ฉันไม่ตามมาให้เสียเวลาหรอก”
ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นไอ้โรคจิตที่ไหนที่แอบย่องตามเค้า แต่พอได้ยินเสียงที่คุ้นหู ไทกิก็ฉีกยิ้มกว้างทันที
“ฉันก็ไม่รู้นะว่าประธานหอคนเก่งจะแอบจิต ชอบย่องตามคนอื่นเค้าเหมือนกัน”
ไอ้ตัวแสบย้อนได้แสบสันอีกตามเคย จนคนที่กำลังนึกห่วงต้องเดินเข้าไปตบหัวสนองปากหมาๆ
“มิสึกิส่งข่าวบอกฉัน ว่านายกับมันสู้กันจนนายบาดเจ็บเลือดอาบ ถ้าฉันรู้ว่ามันจะโกหกก็คงไม่ตามมา
ให้เสียเวลานอนหรอก บ้าชะมัด…”
“มิสึกิบอกนายงั้นเหรอ?” ไอ้ตัวดีพูดไปด้วย ลูบหัวที่ปวดหนึบๆไปด้วย
“ใช่… เราสามคนมีสัญญาณเฉพาะที่ตกลงกันไว้ ว่าถ้ามีคนบาดเจ็บก็ให้รีบแจ้งทันที”
“งั้นแสดงว่าทางฟากนายก็เสร็จแล้วสิ”
ซุยพยักหน้า “คาวาชิมะเคลียร์เงื่อนไขของฉันได้ อีกเดี๋ยวเค้าก็คงตามมา”
“เงื่อนไขอะไรเหรอ บอกหน่อยดิ” ไอ้ตัวดียื่นหน้าเข้าไปแส่ด้วยความอยากรู้
“ไม่ใช่เรื่อง… ว่าแต่นายเถอะใช้มนตร์อะไรถึงผ่านมิสึกิมาได้ ปกติหมอนี่เคี่ยวจะตาย
ขนาดโนะอิสู้กับมันยังแทบเอาตัวไม่รอดเลย”
ไทกิล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ กำดอกซากุระเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าซุยจะรู้จักมิสึกิดีแค่ไหน
แต่คนระดับยมทูตคงไม่เปิดเผยตัวให้คนอื่นรู้ง่ายๆ อย่าเพิ่งบอกหมอนี่ดีกว่า
“ฉันได้มาแล้วก็แล้วกันน่า อ้อ… นั่นไง คาโอรุมาพอดี”
ระฆังช่วยชีวิต…
คาโอรุวิ่งทั่กๆหน้าตาตื่นขึ้นมาตามขั้นบันได ก่อนจะพุ่งเข้ามาฉุดแขนไทกิไว้แน่น
“นาย… รีบไปกับฉัน!” มันไม่พูดพล่ามทำเพลง จู่ๆก็มาลากแข้งลากขาเค้าออกไปนอกหอ
แล้วตกลงมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกล่ะเนี่ย
“เดี๋ยวก่อน… เกิดอะไรขึ้นคาโอรุ ทำไปต้องตกอกตกใจขนาดนั้นด้วย”
“ฮิโระ” คาโอรุละล่ำละลัก “สู้กับรุ่นพี่โอคุจิ ตอนนี้ที่หน้าหอกำลังเดือดใหญ่เลย พวกนั้นใช้อาวุธกันด้วย
เลือดงี้อาบเป็นทาง นายรีบไปดูมันเร็วเข้า”
“มาซาฮิโกะ… ฉันห้ามแล้วไงว่าไม่ให้ใช้อาวุธ” ซุยเองก็ดูจะหงุดหงิดเหมือนกันที่เพื่อนไม่ทำตามแผน
ก่อนจะวิ่งนำรุ่นน้องทั้งสองไปที่ลานหน้าหอ
ตูม!!!!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว สะกดทุกฝีเท้าให้หยุดนิ่งด้วยความตื่นตระหนก คาโอรุกับไทกิ
หันมาสบตากันปริบๆ ชะตากรรมของนักฆ่าคนเก่งแห่งตระกูลโซมะ ป่านนี้จะเป็นยังไง ไม่รู้เลย…
เสียงอึกทึกยังคงดังมาอย่างต่อเนื่องจากลานว่างหน้าหอลม ตอนนี้รุ่นพี่หลายคนได้ตื่นขึ้นมาดูสถานการณ์
จนเต็มระเบียงทุกชั้น แต่เพราะคู่กรณีมันเล่นทึ้งโคมไฟหน้าหอจนยับทุกดวง ข้างล่างจึงมืดมาก
มองไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ฮิโระมันจะตายหรือยังเนี่ย”
ไทกิรีบร้อนวิ่งลงไปที่ลานกว้างด้วยความเป็นห่วงเพื่อนซี้ คาโอรุที่วิ่งตามมาติดๆก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“นี่เป็นแค่การทดสอบไม่ใช่เหรอครับพี่ซุย แล้วทำไมพี่มาซาฮิโกะต้องเอาจริงขนาดนี้ด้วย”
ซุยที่วิ่งนำอยู่ก็ได้แต่ส่ายหน้า
“เราสามคนตั้งเงื่อนไขในการทดสอบไม่เหมือนกัน เพราะงั้นหมอนั่นจะทำอะไรฉันก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามอยู่แล้ว นอกจากมันจะเล่นนอกกติกา”
“กติกาอะไร?” ไทกิรีบสวนทันควัน
“กติกาที่ว่า… จะไม่ทำให้รุ่นน้องบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตาย”
ไม่ทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงตาย… งั้นแสดงว่าถ้าจะอัดเละให้สะบักสะบอมพอหอมปากหอมคอ
ก็คงทำได้งั้นสิ
ฮิโระเอ๋ยฮิโระ… หวังว่าแกคงจะแน่พอรับมือรุ่นพี่บ้าเลือดนั่นได้นะ
ตูม!!!!!!!!
เสียงระเบิดดังลั่น พังแปลงดอกไฮเดรนเยียทางปีกซ้ายไปทั้งแถบ เล่นซะพวกไทกิให้ใจหายวาบ
ตอนนี้พวกเค้าทั้งหมดลงมาถึงลานกว้างหน้าหอแล้ว พอควันระเบิดจางลง ก็เห็นเงาร่างสองร่างได้ชัดเจนขึ้น
ร่างหนึ่งหายใจหอบถี่ฟุบอยู่บนพื้น เหนือขึ้นมายังมีอีกร่างยืนคร่อมอยู่ ในมือถือดาบผอมขนาดพอเหมาะ
จ่อคอหอยคนที่นอนฟุบอยู่
“ฮิโระ!!”
ไทกิร้องเรียกชื่อเพื่อนซี้
แต่… ดูๆแล้วพวกเค้าคงจะมาผิดเวลา
“อ้าว… ไง ไทกิ ทางพวกนายจบแล้วเหรอ”
นักฆ่าผู้กำลังเป็นต่อฉีกยิ้ม ทำเอาเพื่อนๆที่กำลังห่วงมันจะเป็นจะตายส่งสายตาปริบๆงงกันเป็นทิวแถว
“หมอนี่อึดชะมัด เล่นงานเท่าไหร่ก็ไม่ยอมแพ้ซะที ปล่อยให้ฉันเปลืองแรงเสียเวลาสู้ตั้งนาน
แต่นายก็ฝีมือไม่เลวนะ นานแล้วที่ฉันไม่ได้สนุกขนาดนี้ ขอบใจมาก”
มันโม้ยังไม่พอ ยังมีหน้าไปตอกย้ำรุ่นพี่ที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น ก่อนจะลดปลายดาบแล้วยื่นแขน
ไปฉุดตัวรุ่นพี่ขึ้นมา มาซาฮิโกะตีสีหน้าเครียดจัด แต่ก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
“นายแน่มากโซมะ ฉันแพ้แล้ว นี่เป็นเดิมพันตามสัญญา”
มาซาฮิโกะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต เจ้าฮิโระก็อมยิ้มได้ใจ แถมยังคิ้วให้เพื่อน
อวดความแน่ของมัน
แต่ทว่า… พอมันเห็นของเป้าหมายเท่านั้น มันก็ถึงกับหน้าถอดสีซีดเป็นไก่ต้ม
สิ่งมีชีวิตปุกปุย… ตัวเล็กๆ น่าร้าก น่ารัก กำลังส่งสายตากลมโตบ้องแบ๊วให้ฮิโระ มันดิ้นขลุกขลักอย่างร่าเริง
อยู่ในมือของมาซาฮิโกะ แถมยังทำท่าระริกระรี้ดีใจที่จะได้เจ้านายคนใหม่ มาซาฮิโกะเลยรีบสงเคราะห์
ยื่นส่งให้นักฆ่าคนเก่ง
“มะ… มะ… ไม่เอา!!!!!!!!!!!!!!”
เจ้าฮิโระร้องลั่นบ้านแตก ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปหลบหลังคาโอรุที่ยืนอยู่ใกล้และคว้าตัวง่ายที่สุดเอามาเป็นโล่กำบัง
ไทกิเห็นแล้วก็นึกสมเพชมันนัก ทีสู้กับรุ่นพี่จนเลือดอาบเต็มตัวมันยังไม่กลัวสักแอะ แต่นี่กะอีแค่สัตว์ตัวเล็กๆ
มันกลับใส่เกียร์หมาวิ่งหนีซะงั้น แล้วตกลงมันเก่งหรือไม่เก่งกันแน่เจ้าฮิโระเนี่ย
“เอาออกไปนะ ฉันเกลียดหนู!”
“หนูที่ไหน นี่มันแฮมสเตอร์ต่างหาก” คาโอรุช่วยแก้ความเข้าใจผิด ก่อนจะรับสิ่งมีชีวิตน่ารักตัวนั้น
เข้ามาดูใกล้ๆด้วยความเอ็นดู
ฮิโระดันแขนคาโอรุข้างที่ถือสัตว์ประหลาดออกไปไกลตัว “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ คืนหมอนั่นไปเลยนะ
ฉันไม่เอา”
“ไม่เอาแน่นะ?” คาโอรุถามอีกรอบ
“เออ… ไม่เอาก็ไม่เอาสิเฟ้ย เซ้าซี้อยู่ได้”
คราวนี้คาโอรุฉีกยิ้มกว้างขึ้น “ถ้าไม่เอาก็จะถือว่าภารกิจของนายล้มเหลวน่ะสิ”
“ล้มก็ล้มสิ ฉันไม่เห็นแคร์เลย”
“แล้วนายลืมเดิมพันของเราแล้วเหรอ ถ้านายทำภารกิจล้มเหลวก็ต้องเป็นเบ๊ฉันหนึ่งอาทิตย์ ว่าไง?”
สีหน้าของนักฆ่าเริ่มเครียดจัด มองสลับไปมาระหว่างหน้าเจ้าคู่อริกับหนูแฮมสเตอร์
ฮิโระตัดสินใจอยู่พักใหญ่ ถึงจะไม่ค่อยถูกคอกันนัก แต่ยังไงหน้าตาเจ้าคาโอรุก็น่ารักกว่า
ไอ้ตัวขยะแขยงนั่นเป็นไหนๆ เพราะงั้น… เลือกมันดีกว่า
“เออ… ฉันยอมเป็นเบ๊นายก็ได้ แต่ช่วยเอาไอ้นั่นไปคืนรุ่นพี่ก่อนได้มั้ย”
“นายเป็นพยานด้วยนะไทกิ หมอนี้รับปากเป็นเบ๊ฉันแล้ว” คาโอรุหันไปยักคิ้วให้เพื่อนซี้อีกคน
ก่อนจะเอาหนูตัวเล็กไปคืนให้มาซาฮิโกะ
สรุปว่า… ภารกิจแรกจบลง ปีหนึ่งชนะสองแพ้หนึ่ง และคนแพ้ก็ต้องยอมรับการลงโทษไปตามระเบียบ
นอกจากจะโดนทำโทษให้ซ่อมแปลงดอกไฮเดรนเยียที่มันทำพังไปทั้งแถบแล้ว ที่น่าหงุดหงิดใจที่สุด…
ก็คือการเผลอไปตกปากรับคำเป็นเบ๊ไอ้คาโอรุนี่แหละ
วันนี้… เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่เค้ายอมทนมันมาตลอดทั้งสัปดาห์โดยไม่ปริปากบ่น
ก็เพื่อรอวันนี้แค่วันเดียวเท่านั้น
“นี่… จัดของฉันให้ดีๆสิ หนังสือแต่ละเล่มมีค่ามากกว่าตัวนายอีกนะจะบอกให้
เพราะฉะนั้นอย่าหยิบให้มันแรงนัก เดี๋ยวก็ยับพอดี”
คาโอรุที่นั่งเอกเขนกอยู่บนเตียงชี้นิ้วสั่งอย่างสนุกสนาน อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์นอกจากจะมีคนคอยรับใช้
แล้ว ยังสะใจที่ได้แก้เผ็ดไอ้ตัวแสบนี่ด้วย
ฮิโระยัดพจนานุกรมเล่มสุดท้ายเข้าไปเรียงบนชั้น แล้วท่องคาถาศักดิ์สิทธิ์ไว้ในใจตลอด
‘อดทนไว้… ฮิโระ แกต้องทนได้ ฮึ่มๆๆๆ’
“เอาล่ะ… ในเมื่อจัดเสร็จแล้วก็ไปเรียนได้แล้ว เอ้านี่… ถือหน่อย”
คาโอรุโยนกระเป๋านักเรียนไปกระแทกหน้าอกฮิโระจนจุก ก่อนจะเดินตัวปลิวออกจากห้อง
นักฆ่ากัดฟันกรอดๆ กำลังนึกอยากจดชื่อมันไว้ในบัญชีดำ คอยดูเถอะ…
ถ้าหมดสัญญาเมื่อไหร่ล่ะก็ จะขอทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกเลยไอ้คาโอรุ!
ในห้องเรียนก็ยังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องนี้อย่างสนุกปาก ทำเอาเรตติ้งนักฆ่าเนื้อหอมตกฮวบฮาบ
แฟนคลับที่มีอยู่เกือบทั้งชั้นปีก็แปรพักตร์ไปอยู่ข้างคาโอรุจนหมด แต่เรื่องนี้ฮิโระไม่แคร์อยู่แล้ว
เพราะอย่างน้อยเค้าก็ยังมีไทกิคอยอยู่เป็นเพื่อน ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายเป็นปาท่องโก๋
ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
“โอ๊ย! ฉันอยากให้ผ่านวันนี้ไปเร็วๆจังเลย จะได้ประกาศเลิกทาสซะที”
ฮิโระที่กำลังหมดสภาพฟุบหน้าคาจานไก่ทอดบนโต๊ะอาหาร จนไทกิที่กินข้าวไปด้วยยังอดขำไม่ได้
ถึงจะนึกสงสารมันอยู่บ้างก็เถอะ แต่ก็อย่างว่าล่ะน้า… ก็มันหาเรื่องทำตัวเองนี่นา
กลัวหนูตัวเดียวถึงกับยอมเป็นทาสคาโอรุ งานนี้ใครก็ช่วยมันไม่ได้หรอก
“นายก็นะ เป็นถึงนักฆ่ายังกลัวหนู ฉันล่ะสมเพชจริงๆ” ไทกิทับถม
“ก็ฉันมีความทรงจำที่เลวร้ายกับมันนี่ ตอนห้าขวบพ่อฉันเล่นจับฉันโยนเข้าไปลังหนูเป็นพันๆตัวเชียวนะ
ฉันอยู่ในนั้นทั้งคืน โดนมันแทะผมจนร่วงหมดทั้งหัวเลย แล้วหลังจากนั้นฉันก็ไม่เข้าใกล้
ไอ้สัตว์น่าขยะแขยงประเภทนี้อีกเลย”
“ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าคนบ้ากลัวหนูด้วย คิดว่าจะหน้าด้านไม่กลัวอะไรซะอีก”
พอเจอมันแซวเข้า ฮิโระก็เลยแจกฝ่ามือตบหัวมันไปป้าบใหญ่
“นั่นซี้… นอกจากจะบ้าแล้วยังขวัญอ่อน ฉันขอแนะนำนะฮิโระ นายน่ะเปลี่ยนอาชีพไปเถอะ
ขืนฝืนเป็นนักฆ่าต่อไปก็ไม่รุ่งหรอก” คาโอรุที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่วางชามบะหมี่ลงข้างทาสรับใช้
ก่อนจะช่วยไทกิทับถมมันด้วยอีกคน
ฮิโระเหลือบสายตาสีทองคมๆไปฝากรอยแค้นไว้ที่หน้าสวยๆของคาโอรุ ก่อนจะก้มหน้าก้มตา
แทะไก่ทอดต่อเงียบๆ
“ฉันหิวน้ำจังเลย”
คาโอรุเปรย แต่เบ๊ยังทำหูทวนลม
“ฉันหิวน้ำ! ไม่ได้ยินหรือไง ฮึ… คุณทาส” คาโอรุจงใจตะโกนกรอกหู จนคนทั้งโรงอาหารหันมามอง
พร้อมกับพากันอมยิ้ม
“เออ… รู้แล้ว จะตะโกนทำซากอะไรเนี่ย จะเอาน้ำอะไรก็บอกมาเด่ะ”
“โคล่า”
คาโอรุสั่ง ฮิโระก็เดินหน้ามุ่ยกระแทกเท้าไปซื้อมาให้ แต่พอซื้อมาแล้วคนสั่งกลับทำสีหน้าไม่พอใจ
“อืม… ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ช่วงนี้กระเพาะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เปลี่ยนเป็นชามะนาวก็แล้วกัน” คาโอรุยิ้มหวาน
ทั้งที่หน้าเบ๊หนุ่มกำลังเดือดปุดๆ แต่ก็จำใจต้องไปซื้อมาเปลี่ยนให้มันใหม่
“อันนี้ใช่มั้ย” ฮิโระกลับมาพร้อมชามะนาวแก้วใหญ่ ก่อนจะนั่งลงกินข้าวต่อ แต่ยังไม่ทันจะแทะไก่ที่ถือ
อยู่ในมือก็ถูกคาโอรุขัดจังหวะอีกรอบ
“ฉันไม่อยากกินชามะนาวแล้ว ขอเปลี่ยนเป็นชาเขียวแล้วกันนะ”
“นายนี่มัน!” ฮิโระจะวีน แต่ก็ถูกคาโอรุจ้องขู่
“อ๊ะ… อ๊ะ… จะผิดคำพูดเหรอ ฉันก็กะแล้วว่านายไม่มีความอดทน จะเลิกก็เลิกไปเลย
ฉันก็ไม่อยากได้คนไม่รักษาสัญญามาเป็นเพื่อนหรอก”
คราวนี้คาโอรุกัดได้แสบมาก ขนาดไทกิที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยฟังแล้วยังหวั่นใจแทน
แต่คู่อริของมันน่ะเดินลิ่วๆไปร้านน้ำตะโกนสั่งชาเขียวซะลั่นไปทั้งโรงอาหาร
“นายพูดแรงไปนะคาโอรุ ยังไงฮิโระก็เป็นเพื่อน เห็นแก่หน้ามันหน่อยเหอะนะ”
“ฉันก็แค่อยากให้มันมีความอดทน ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทนไม่ได้ มันก็ไม่เหมาะจะเป็นนักฆ่าหรอก
ชอบทำใจอ่อนไม่เข้าท่า”
“ฉันก็รู้นะว่าอันที่จริงนายก็หวังดี แต่เพลาๆความเข้มงวดลงหน่อยไม่ได้เหรอ ฉันล่ะเครียดจน
ปวดหัวแทนเจ้าฮิโระมันแล้วนะเนี่ย”
“หึ หึ… อะไรกันไทกิ อีกวันเดียวมันก็พ้นสภาพความเป็นทาสแล้วน่า ไม่ต้องไปห่วงมันมากนักก็ได้
เดี๋ยวมันก็เหลิงพอดี หมอนี่มันยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย”
ปัง!!
คนบ้าจี้กระแทกแก้วชาเขียวลงโครม จนน้ำหกลงไปโดนรองเท้าคู่โปรดของคาโอรุ
“นี่! นาย!”
พอเห็นรองเท้าคู่เก่งเลอะ ผู้รอบรู้ก็เดือดขึ้นมาทันตาเห็น ไทกิตวัดหางตามองเพื่อนซี้สลับไปมา
ตอนนี้ประเมินไม่ได้แล้วว่าระหว่างหน้ามันสองคน คนไหนจะแดงเด่นกว่ากัน เพราะมันเดือดพอกันทั้งคู่
“เช็ดซะ!” คาโอรุยกเท้าขึ้นมาวางบนเก้าอี้ของฮิโระ กอดอกวางเชิดหน้าสั่งเบ๊ดังลั่น
แต่เบ๊ของเราก็หัวหมอใช่ย่อย เริ่มจะคิดต่อต้านขึ้นมาซะงั้น
“ฉันไม่เช็ดเฟ้ย!”
“ฉันสั่งนายนะ นายไม่มีสิทธิ์เถียง!”
“ฉันไม่ทำซะอย่าง มีอะไรมั้ย!”
นักฆ่ายังเถียงหน้าด้านๆ ลืมสัจจะวาจาที่เคยลั่นไว้จนสิ้น ดวงตาสีเขียวมรกตของคาโอรุเดือดจัด
จนแทบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนของไทกิ เค้าหรี่ตาลงช้าๆ เปลี่ยนสีหน้าเรียบขรึม
ก่อนจะเปรยคำหยามเหยียดที่ฮิโระฟังแล้วต้องจดจำไปจนวันตาย
“เมื่อก่อนฉันเคยนับถือตระกูลโซมะว่าเป็นตระกูลมือสังหารที่มีเกียรติ แต่วันนี้นายทำให้ฉันซึ้งแล้วฮิโระ
คนอย่างนายมันก็แค่นักฆ่าสับปลับที่ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นเพื่อนฉันด้วยซ้ำ
ถ้าไม่มีความอดทนก็เลิกไปเลย ฉันไม่สน เพราะคนอย่างนายมันไม่มีสัจจะ!”
ดวงหน้าขาวผ่องเป็นยองใยของนักฆ่าหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ มือทั้งสองข้างกำแน่น
จนข้อนิ้วซีดสนิท ความเงียบรุมเร้าเข้ามาในโรงอาหารที่เคยเฮฮา
หากสายตาทุกคู่กลับจับจ้องมายังจุดเดียวกัน
จุดเดียว… ตรงที่นั่งของสมาชิกพิเศษปีหนึ่ง
จุดเดียว… ที่ผู้รอบรู้ยืนเชิดหน้าท้าทายราวกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
และ… จุดเดียว… ที่นักฆ่าค่อยๆทิ้งตัวคุกเข่าลงช้าๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจาจากกระเป๋า
แล้วบรรจงเช็ดรองเท้าให้เพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งประกาศด่ามันปาวๆ
“หึ… คนขี้แพ้”
คาโอรุยังหาเรื่องไม่เลิก เค้าหยิบแก้วน้ำหลากสีที่ฮิโระอุตส่าห์เดินไปซื้อมาให้
เทลงบนหัวของนักฆ่าหนุ่มทีละแก้ว เริ่มจากโคล่ากระป๋อง ต่อด้วยน้ำชามะนาว หัวสีทองของฮิโระถูกย้อมด้วยสีต่างๆจนเปียกโชก แต่นักฆ่าหนุ่มที่ยังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดรองเท้าก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นอีก
แล้วในที่สุด… คนที่ทนไม่ได้ก็ปัดมือเพื่อนซี้ออก ตอนที่มันกำลังจะหยิบชาเขียวแก้วสุดท้ายลงไปละเลง
“พอเถอะคาโอรุ นายทำเกินไปแล้ว!”
ไทกิพยายาจะห้าม คาโอรุถึงได้สติ แต่มันก็ช้าไปแล้ว เมื่อนักฆ่าหนุ่มเช็ดรองเท้าจนสะอาดเอี่ยมมันก็เงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับศัตรูอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเล่นมาพร้อมน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งให้ใครเห็น แม้แต่คนที่แกล้งโขกสับมันสารพัดเห็นแล้วยังใจแป้ว ไม่คิดว่ามันจะเสียใจจนถึงกับร้องไห้ออกมา
“สะใจนายแล้วใช่มั้ย”
เสียงเย็นชาที่ส่งมาให้บ่งบอกถึงความเจ็บใจอย่างที่สุด ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งหนีออกไปจากโรงอาหาร
“ครั้งนี้ฉันเข้าข้างฮิโระนะคาโอรุ เพราะนายทำเกินไปจริงๆ แล้วอย่าลืมไปขอโทษมันด้วยล่ะ”
ไทกิที่กำลังโกรธก็คว้ากระเป๋าตัวเองเดินตามฮิโระออกไปติดๆ ทิ้งไว้เพียงเพื่อนผู้รอบรู้ผู้กำลังนึกเสียใจ
อย่างสุดซึ้ง
… พรุ่งนี้มันก็จะเป็นไท คนร่าเริงอย่างมันคงไม่งอนใครนานหรอกน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปขอโทษมันก็ได้…
คาโอรุพยายามคิดแก้ตัวในใจ ก่อนจะไปหมกตัวดับอารมณ์เครียดอยู่ในห้องสมุดตลอดทั้งบ่ายวันนั้น