ตอนที่ 40 ♥ ครึ่งหลัง : พระจันทร์ยิ้ม“จะพาผมไปไหนครับ”
“ห้ามถาม เดี๋ยวถึงแล้วก็รู้เอง”
“ความลับเยอะนะครับ”
“บอกก่อนก็ไม่สนุกสิ”
“ตามใจครับ” ผมเอื้อมมือไปกดเปิดเพลง ทำเป็นไม่สนใจไม่ตื่นเต้น ทั้งที่ข้างในใจเต้นรัวราวกับดื่มกาแฟเข้าไปสิบแก้ว
ส้มกับเดซี่คาดเดาว่าพี่สกายจะพาผมไปพบพ่อกับแม่ โต๊ะเดาว่าพี่สกายจะให้แหวนและพาผมไปเดทโรแมนติก
ไม่ว่าข้อไหนจะถูกก็ทำเอาผมนอนไม่หลับมาทั้งคืน เสื้อผ้าไม่รู้ว่าดูดีหรือยัง น้ำหนักก็ไม่ทันลด ความเหมาะสมของเรา
คล้ายกับเลข 1ปกติกับเลข 0 ตัวหนา ความมั่นใจผมจึงเท่ากับหุ่น คือศูนย์นั่นเอง
“เป็นอะไรทำหน้าแปลกๆ”
“ผมหรือครับ”
“พี่อยู่กับข้าวเจ้าสองคน ไม่ใช่ข้าวเจ้าแล้วจะใครครับ”
“ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลย” ใครจะยอมรับครับว่ากำลังนั่งกระวนกระวาย หายใจไม่คล่องอยู่
“แปลก แถมวันนี้แต่งตัวยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่”
“แปลก?” ผมเริ่มหน้าตาตื่น ความกังวลพุ่งทะลุเพดาน
“มัน..มันดูไม่ดีเหรอครับ”
“ดูดี ดูดีเกินไป พี่ถึงบอกว่าวันนี้ข้าวเจ้าดูแปลกๆ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นชอบแต่งตัว”
“ยุ่ง” ผมเมินไปทางอื่น ทำปากยื่นๆ เลียนแบบโต๊ะ เผื่ออีกคนจะเลิกเซ้าซี้
“ไม่ยุ่งเรื่องแฟนแล้วจะให้ยุ่งเรื่องใคร”
“...................”
สองอย่างที่ช่วยผมได้เวลาคิดคำพูดไม่ออกคือคำว่ายุ่ง กับ เงียบ
“หึหึ” เกลียดเสียงหัวเราะของคนรู้ทัน อารมณ์ดีมากตั้งแต่เช้ายิ้มไม่หยุด ส่วนผมยิ้มไม่ออกล่วงหน้ามาตั้งแต่เมื่อคืน
“ถึงแล้ว” ผมมองรอบๆ ยอมรับว่างง
“ที่นี่มัน?”
“ลงได้แล้วครับ” พี่สกายไม่ยอมตอบคำถาม ดับเครื่องยนต์ก้าวลงจากรถไปก่อนผม
ผมลอบถอนใจเบาๆ ข้างในเหี่ยวแฟบลงทันที สถานที่ที่พี่สกายพาผมมา บอกได้คำเดียวว่าห่างไกลคำว่าพบครอบครัว
กับเดทโรแมนติกมากนัก เพราะมันคือโรงเรียน
“เร็วครับ”
“ครับๆ” ผมดึงสายคาดออก เปิดประตูลงไป ยอมรับว่าตั้งความหวังไว้มาก มันเลยหดหู่นิดหน่อย
“กว่าจะมาได้นะมึง” ผู้ชายสองคนลงจากรถคันที่จอดห่างออกไป เดินเข้ามาตบบ่าพี่สกาย
“กูมาตรงเวลา มึงมาเร็วเอง” พี่สกายเขย่ามือกับทั้งคู่ จากที่ดูน่าจะสนิทสนมกันดี แต่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“มา กูแนะนำให้รู้จักกันก่อน นี่ข้าวเจ้าแฟนกู ข้าวเจ้านี่เพื่อนพี่สมัยประถม ชื่ออรรถพล กับวิเชียร”
“นั่นชื่อพ่อกู สวัสดีครับน้องข้าวเจ้า พี่ชื่อวิรัช เรียกพี่วิมก็ได้ ส่วนนี่ไอ้พล”
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน
“ไปกันเลยไหม”
“อืม” พี่สกายโอบไหล่ผม ออกแรงผลักเบาๆ ให้ออกเดิน
“พี่ พล สกาย เรียนด้วยกันที่นี่ สนิทกันตั้งแต่ป.3 ถึง ป.6 ไปแยกกันตอนเข้ามัธยม สกายมันทิ้งเพื่อนตามสาวไปเข้าที่อื่น”
“เฮ้ย มึงจำผิดแล้ว กูย้ายเพราะที่โน้นบาสดัง กูอยากติดทีมชาติ”
“อย่าไปเชื่อมันครับน้องไอ้นี่มันขี้หลี เจ้าชู้มาตั้งแต่เด็กๆ” พี่พลช่วยพี่วิมยืนยันอีกเสียง จนผมต้องหันไปมองหน้าคนที่โอบไหล่อยู่
“ตอนนั้นมันยังเด็ก เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้ว”
“จริงเหรอมึง กูได้ข่าวว่า..”
“หยุดเลยไอ้วิม กูไม่ขำ แฟนกูยิ่งคิดมากอยู่”
“ฮ่าๆ เชื่อมันเถอะครับน้องข้าวเจ้า เดี๋ยวนี้มันถอดเขี้ยวเล็บหมดแล้ว ชวนไปไหนไม่เคยไป ติดแฟน”
“ผมไม่ได้ห้ามนะครับ พี่ๆ จะไปไหนกันชวนพี่สกายได้เลย” ผมรีบออกตัว กลัวพี่ๆ จะคิดว่าผมห้ามไม่ให้พี่สกายไปไหน
“ไง ทีนี้มีอะไรแก้ตัวไหมมึง” พี่วิมหันไปคาดโทษกับเพื่อน
“ไม่มี มึงพูดถูกแล้ว กูติดแฟน แฟนไม่ห้ามแต่กูไม่ไป มึงมีปัญหาอะไรไหม”
“ถุย กล้าพูดนะมึง”
“หยุดเลยพวกมึงพูดจาไม่เพราะ น้องข้าวเจ้ามาเดินกับพี่ดีกว่า เดี๋ยวพี่พาทัวร์เอง” พี่พล เดินย้อนมาหาผม
จับแขนลากออกจากมือพี่สกายที่โอบอยู่
“ไม่ได้เจอกันนาน วอนตีนขึ้นเยอะนะมึงปล่อยแฟนกูเลย” พี่สกายดึงผมกลับมากอดไว้ เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เหลือ
“นี่ห้องชมรม พวกพี่เล่นบาสกันหมด แต่สกายมันเด่นสุด ไม่ได้เด่นฝีมือนะ มันเด่นหน้าตา สาวๆ กรี๊ดกันคอแตก”
“กูคิดผิดคิดถูกวะ ที่เรียกพวกมึงออกมา” พี่สกายส่ายหัว แกล้งทำหน้ากลุ้มใจ
“ใช่แล้วมึงคิดผิดแต่รู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้วเพราะนี่แค่น้ำจิ้ม น้องข้าวเจ้าพวกพี่มีอะไรจะเล่าให้ฟังอีกเยอะเลย”
แล้วพี่วิมกับพี่พลก็ผลัดกันเผาพี่สกาย เรียกว่าเผาจนไหม้เกรียม ผมทั้งขำทั้งประหลาดใจกับวีรกรรมสุดแสบของเด็กเฮี้ยว
เราใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เดินไปทั่วโรงเรียน ก่อนจะย้อนกลับมาที่รถเพื่อแยกย้ายกันกลับ
“ขอบใจมากนะมึง เดี๋ยวกูนัดเลี้ยงข้าว”
“ไม่มีปัญหา คราวหน้ามาด้วยนะข้าวเจ้า”
“ครับ สวัสดีครับ”
พี่สกายออกรถมาได้สักพัก ผมมีบางอย่างที่อยากถามและคิดว่าควรจะถาม
“พี่สกายครับ”
“อย่าเพิ่งครับ ถ้าข้าวเจ้ามีอะไรจะถามพี่ รออีกนิดแล้วพี่จะตอบ”
“ก็ได้ครับ แล้วนี่เราจะไปไหนกันต่อ” ผมดูนาฬิกามันบอกเวลา11.37น.ผมเดาเอาว่าพี่สกายคงพาผมไปทานข้าว
“ไปทานข้าวกัน” ผมพยักหน้ารับ ก็ตรงกับที่เดาเอาไว้
“ทางนี้ๆ” ผมเห็นคนโบกมือให้จากโต๊ะตัวนึงในร้านอาหาร ผมคุ้นหน้าทั้งกลุ่มเพราะเคยเจอกันบ้างแล้ว
มีพี่เขม พี่ป๊อบ พี่นิดหน่อย พี่เปิ้ล พี่ไท ผมไม่เห็นพี่นนท์กับพี่บัว แต่สองคนนั้นไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่
ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมถึงไม่มา
“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ก่อนเพราะเด็กที่สุดในกลุ่ม
“สวัสดี ไม่เจอแป๊บเดียวหล่อขึ้นเยอะเลยข้าวเจ้า” พี่เปิ้ลทักผมอย่างอารมณ์ดี คงเป็นเพราะผมตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ
พี่ๆ เลยไม่ชินตา
“ทานข้าวกันก่อน เดี๋ยวพี่พาทัวร์โรงเรียน พูดถึงนัดกันก็ดี ตั้งแต่เรียนจบไม่ได้กลับมาเลย” ผมเลิกคิ้วหันไปมองพี่สกาย
คนถูกมองเลยชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามของร้าน ผมถึงเพิ่งเห็นว่ามันคือโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
“นั่นสิ แป๊บๆ ปีสามกันแล้ว ชักแก่”
“แก่ไปคนเดียวเลยไอ้ไท กูยังวัยรุ่นแล้วก็จะวัยรุ่นไปอีกนาน”
“นานมากเลยมึง แค่เดินจากที่จอดรถโรงเรียนมานี่มึงยังหอบแทบแดก ปากดี” พี่เขมสกัดดาวรุ่งพี่ป๊อบ จนถูกส่งค้อนให้วงใหญ่
“ผิดจุดประสงค์หรือเปล่ามึง วันนี้เราเตรียมมานั่งยางสกายมัน ไม่ใช่กู”
“เออว่ะ โทษทีป๊อบกูลืมไป ฮ่าๆๆ”
ผมชักเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมานิดๆ ว่าคนที่เอาแต่นั่งยิ้มอยู่ข้างผมต้องการทำอะไรกันแน่
“อาหารมาแล้ว กินๆ ใครอยากได้อะไรเพิ่มสั่งเลย วันนี้สกายเลี้ยง”
“เต็มที่เลยมึง แต่ถ้ากินไม่หมดกูยีหัว เข้าใจ๊”
“ฮ่าๆ มึงพูดอย่างนี้กูคิดถึงตอนไปทัศนศึกษาเลย พวกมึงจำได้ไหมที่..........”
แล้วแต่ละคนก็พากันขุดเรื่องเล่า เท่าที่นึกออกมาเล่าให้ผมฟัง เป็นการรำลึกความหลังและเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ
ของผมที่มีต่อพี่สกายไปด้วย
ผมมองเห็นความแตกต่างของพี่สกายที่พี่วิมกับพี่พลเล่าให้ฟังเล็กน้อย มันเป็นการพัฒนาไปตามวัยของคนๆ หนึ่ง
จากเด็กชายสกายเติบโตขึ้นมาเป็นนายสกาย ผมไม่เคยรู้จักพี่สกายจวบจนเข้ามหาลัย แต่ตอนนี้ในหัวกลับคล้ายจะเห็น
ภาพเหล่านั้น เหมือนเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
“นี่คือร้านที่พี่ชอบมาประจำสมัยเรียนม.ปลาย ตอนปีหนึ่งก็ยังชอบมา”
หลังจากทานกลางวันกับเพื่อนมัธยม เดินเล่นชมโรงเรียน ฟังเรื่องราวมากมายที่เคยเกิดขึ้น พี่สกายก็พาผมมาที่ย่าน
ดังย่านหนึ่ง
“พี่ชอบมาซื้อซีดีเพลงต่างประเทศร้านนี้” พี่สกายผลักประตูร้านเข้าไป พาผมเดินชมรอบๆ
“พี่สนิทกับเจ้าของร้านอยู่ได้ทั้งวัน ตอนนี้แกให้ลูกดูแลเลยไม่ค่อยได้คุยเล่นกันเท่าไหร่”
“ครับ”
“สมัยก่อนพี่ชอบซื้อเสื้อผ้าร้านนี้ เป็นของหิ้วมาจากต่างประเทศ พวกผ้าใบ ยีนส์ เสื้อยืด”
“แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
“ในห้างมันง่ายดี หรือไม่ก็พวกเวปออนไลน์ที่ขายยี่ห้อโปรด”
ผมพยักหน้ารับรู้ ตาก็มองดูพวกเสื้อยืดไปด้วย อยากซื้อให้พี่สกายสักตัว
“ไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวสิครับ ผมอยากดูเสื้อยืด” ผมรีบค้าน อยากซื้ออะไรให้พี่สกายบ้างอุตส่าห์ได้รู้แหล่งแล้ว
“ไว้วันหลังพี่พามาใหม่ครับ เรามีนัดต้องรีบไปต่อ”
“มีนัดอีกเหรอครับ” ผมนึกว่าหมดแล้ว
“ยังครับ”
“พี่นัดไว้ที่ร้านประจำ สมัยปีหนึ่งปีสอง สุมหัวอยู่ร้านนี้ตลอด”
“ที่สาวๆ เขามาเหล่พี่สกายกันเหรอครับ” ผมเคยได้ยินมาว่าใครอยากเข้าใกล้พี่สกายก็ให้ไปร้านนั้น
“รู้ด้วยเหรอ”
“มันเข้าหูผมเอง”
“แอบรักพี่ก็บอกไม่เห็นต้องปิด ถ้ารู้จักร้านตอนนั้นน่าจะไปเหล่พี่ จะได้เป็นแฟนกันเร็วกว่านี้”
“...............”
“เงียบเชียว กำลังเสียดายอยู่สิใช่ไหม รู้อย่างนี้ตอนนั้นไปอ่อยพี่สกายก็ดี”
ผมหมั่นไส้คนดัดเสียงเป็นผู้หญิง มันใช่ไหมครับผมผู้ชายทั้งแท่งไม่ได้สะดีดสะดิ้งขนาดนั้น
“ผลั้ว” เพื่อให้รู้ว่าผมไม่ใช่สาว เลยต้องมีการลงน้ำหนักมือมากหน่อย เล่นเอาคนโดนร้องโอดโอยสะดีดสะดิ้งเสียเอง
“อ้าวโต๊ะ” ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นโต๊ะกับพี่เหนือนั่งอยู่ด้วยท่ามกลางผู้คนที่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
“นั่งกับโต๊ะเร็ว” โต๊ะรีบตบมือลงบนเก้าอี้ข้างตัว คงกำลังอยากได้เพื่อนพอดี
“มาได้ไง”
“พี่เหนือพามา เพิ่งรู้ตอนมาถึงว่าพี่เหนือมีก๊วนนี้ด้วย”
ก๊วนที่โต๊ะว่าคือก๊วนไหนผมยังเดาไม่ถูก เพราะคนแนะนำมัวแต่ทักทายเพื่อนมากหน้าหลายตาที่นั่งอยู่
“แนะนำสักทีมึง กูอยากรู้จักจะแย่แล้ว” เมื่อหนึ่งในนั้นถามขึ้นมา สายตาทุกคู่ก็เปลี่ยนมาจ้องที่ผม
“นี่ข้าวเจ้าแฟนกู นี่เพื่อนพี่ เดี๋ยวให้มันแนะนำตัวกันเอง”
“สวัสดีครับ พี่ชื่อฤทธิ์รู้จักไอ้สกายมันที่สนาม” พอเริ่มแนะนำตัวกันผมก็เดาได้ไม่ยากว่าเพื่อนกลุ่มนี้คือใคร
โลก(ไม่)ลับของพี่สกายที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งคงพอๆ กับโต๊ะที่เพิ่งได้รู้ว่าพี่เหนือก็คือหนึ่งในกลุ่มนี้เช่นกัน
ผมกับโต๊ะตื่นตาตื่นใจไปกับทุกเรื่องที่ได้ฟัง แทบจะลืมแตะต้องอาหารและเครื่องดื่ม ไม่อยากเชื่อว่าทั้งสองคนจะมีมุม
โหดๆ ขนาดนี้
“พี่สกายครับ” ผมนึกอะไรได้เลยสะกิดคนข้างๆ ให้ก้มหน้ามาใกล้ๆ
“ครับ”
“แล้วทำไมคราวนี้ถึงไม่พาผมไปทัวร์ที่สนามล่ะครับ”
“........................”
“พี่สกาย”
“ไม่มีอะไร นัดที่นี่จะได้สังสรรค์กันไปในตัว”
“อย่าไปเชื่อมันเจ้า” คนหูดีที่นั่งถัดไปพูดแทรกขึ้นมา หน้าตายิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับกำลังกุมความลับใหญ่เอาไว้
“มึงอย่าเสือก”
“แต่กูชอบเสือก ไอ้ท้องฟ้ามันไม่อยากพาน้องเจ้าไป เพราะทิวมันอยู่ที่สนาม มันหึงจนขึ้นสมอง ห้ามกระทั่งหายใจใน
สนามเดียวกัน”
“ครับ?” ทิวไหน เกี่ยวอะไรกับผม ทำไมต้องห้ามหายใจที่เดียวกัน
“หือ? ไม่รู้เรื่องไอ้ทิวเหรอ”
“ผมไม่รู้จักครับ ไม่เคยได้ยินชื่อ”
“ก็คนที่ส่งดอกไม้ไปจีบเราไง ชื่อทิวเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกับสกายมัน"
“เพื่อนรัก?” ผมหันไปมองหน้าคนที่คล้ายกำลังเหงื่อตก หน้าแหยแต่เก๊กอยู่
“พี่ไม่ได้เล่าให้เราฟังกลัวไม่สบายใจ ทิวมันชอบซ้ำรอยพี่ทุกเรื่อง ทั้งแข่งรถ ผู้หญิง”
“ตกลงไม่ได้มีใครมาจีบผมจริงใช่ไหมครับ แค่อยากเอาชนะกัน” ผมพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน
“ถ้าแค่นั้นมันไม่หึงหรอกน้อง แต่ไอ้ทิวมันดันชอบขึ้นมาจริงๆ ท้องฟ้าเลยเต็มไปด้วยพายุ คลั่งจนแทบจะถล่มสนาม”
“พี่สกาย” ผมเน้นเสียงเรียกคนที่ไม่มีทีท่าจะสำนึกผิด
“เพราะแบบนี้ใช่ไหมครับพี่ทิวอะไรนั่นเลยหายไป”
“ชอบให้มีคนจีบหรือไง แต่พี่ไม่ชอบ มาจีบอีกก็จะกระทืบอีก”
“พี่สกาย!! โตแล้วนะครับ อย่าทำอะไรเป็นเด็ก”
“ฮ่าๆๆ” พี่ฤทธิ์หัวเราะเสียงดังมาก แถมไปสะกิดเรียกคนอื่นๆ ให้หันมาดู
“มึง มาดูอะไรสนุกๆ นี่ กูแม่งขำ สกายมึงแม่งกลัวเมียนี่หว่า”
“ผม...”
“กูไม่ได้กลัว กูแค่เคารพให้เกียรติ และเชื่อฟังโว้ย”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะที่ดังรอบโต๊ะ ทำให้ผมทำได้แค่สงบปากสงบคำ เลิกที่จะแก้ตัวในเมื่อตัวต้นเหตุไม่ให้ความ
ร่วมมือเลยสักนิด แถมยังยอมรับแบบหน้าชื่นตาบานอีกด้วย
“ไปค้างกับพี่นะ”
“อืม..ก็ได้ครับ” ผมกับพี่สกายออกจากร้านมาได้สักพัก กำลังเดินทางกลับ
“ไม่มีอะไรจะถามพี่เหรอครับ”
“ผมคิดว่าไม่มีครับ”
“แต่พี่อยากบอก” พี่สกายเอื้อมมือมาจับมือผมไปกุมไว้ ใช้เพียงมือเดียวขับรถ
“เมื่อวันก่อนข้าวเจ้าถามพี่ว่าพี่จริงจังกับข้าวเจ้าแค่ไหน พี่รู้ว่าข้าวเจ้าถามถึงในอนาคต อยากรู้ใช่ไหมครับ
ว่าเราจะคบกันไปอีกนานแค่ไหน หรือวันนึงพี่ต้องแต่งงานแบบผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า”
ผมพยักหน้า ทั้งหมดที่พี่สกายพูดคือสิ่งที่ผมคิด
“พี่บอกเจ้าให้เชื่อไม่ได้หรอกว่าในอนาคตเราจะยังอยู่ด้วยกัน เพราะพี่รู้ว่าถึงพี่บอกไปเจ้าก็คงไม่มั่นใจอยู่ดี
สิ่งที่พี่พอจะทำได้คือ
แสดงให้เจ้าเห็นว่าพี่อยากให้เจ้าอยู่ในชีวิตพี่มากแค่ไหน พี่อยากให้เจ้ามีส่วนร่วมกับทุกๆ อย่าง
ทุกๆ เรื่องในชีวิตของพี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตที่เจ้ากังวล พี่อยากให้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้
รักกันแบบนี้ตลอดไป”
“ผม....”
“ได้ไหมครับ ข้าวเจ้าอยู่กับพี่ได้ไหม”
“ผม..”
“พี่รักข้าวเจ้าครับ”
“ผมก็รักพี่สกาย”
“โอ๊ะ!!” รถตวัดวูบเมื่อผมโถมตัวเข้าหาพี่สกาย กอดเอาไว้เท่าที่จะกอดได้
“ฮ่าๆๆ อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวกลับไม่ถึงนะ”
“ผม.ผมอยากกอด” ผมหัดที่จะพูดความจริงในใจออกมา เพื่อตอบแทนสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำให้
“พี่ก็อยากกอดเจ้า อยากทำมากกว่ากอดด้วย”
ถ้าเป็นปกติผมคงเด้งตัวออกมาแทบไม่ทัน อาจจะอายมุดไปกับประตูรถแล้ว แต่วันนี้ผมแค่ซุกหัวลงกับต้นแขนพี่สกาย
“อืม ถึงก่อนนะครับ”
“ข้าวเจ้า” พี่สกายเบนรถเข้าซ้ายอย่างรวดเร็วสมกับที่เป็นนักแข่งมาก่อน รถจอดสนิทเปิดไฟกระพริบอยู่ข้างทาง
“อืมมม อุ่นจัง หอมด้วย” คนกอดอยู่ไม่สุข ปากจมูกตามมาคลอเคลียไม่ห่าง
“เฮ้อ ไม่น่าเลย”
“อะไรครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อได้ยินเสียงถอนใจยาว
“คิดผิดจริงๆ”
“คิดผิด?” ผมตกใจเมื่อคิดว่าพี่สกายหมายถึงคิดผิดเรื่องที่ทำมาทั้งหมดวันนี้
“เรื่อง..เรื่องอะไรครับ”
“เดี๋ยวเราก็รู้”
พี่สกายกดริมฝีปากหนักๆ กับปากผมเป็นการปิดท้าย ก่อนจะถอยตัวกลับไปขับรถตามเดิม
“เฮ้ออออ”
“ที่นี่?” ผมเกาะเบาะแน่น ไม่ยอมลงรถ
“บ้านพี่เองครับ คืนนี้เราจะค้างกันที่นี่”
“ค้างเหรอครับ!!”
“ใช่ เร็วลงมา ป่านนี้แม่พี่ชะเง้อจนคอยาวแล้ว ไลน์ตามพี่จนแอปเกือบค้าง อยากเจอลูกสะใภ้เร็วๆ”
“แม่..แม่พี่สกายรู้เรื่องผมเหรอครับ” ผมยิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปใหญ่ สภาพตอนนี้ดูดีไม่ได้ครึ่งของตอนเช้า
ทั้งเหงื่อ ทั้งความยับของเสื้อผ้า แถมไม่ได้ทำใจไว้เพราะคิดว่าคงไม่ได้มาแล้ว
“รู้ทั้งบ้าน พี่บอกตั้งแต่เริ่มคบกัน”
“ไม่เห็นเคยบอกผมเลย” ผมลากเสียงอ่อน ตัวก็อ่อนด้วย กลัวจนแขนขาไม่มีแรง
“พี่ไม่อยากให้เราคิดมาก ขืนบอกก็เอาแต่กังวลอีก เลยบอกแม่กับพ่อไว้ว่าลูกสะใภ้พร้อมเมื่อไหร่จะพามาเปิดตัว”
“แล้วที่เฮ้อเมื่อกี้นี้?” หรือพี่สกายจะเริ่มกังวลเรื่องให้ผมมาเจอพ่อกับแม่
“เฮ้อออ ไม่อยากมาแล้ว อยากกลับคอนโดไปทำอย่างอื่นมากกว่า เด็กยั่วซะขนาดนั้นใครอยากจะกลับมานอนบ้านพ่อกับแม่”
“พี่สกาย” ผมกลับมาอายหน้าแดงจนได้ สู้คนหน้าตายไม่ได้จริงๆ
“ไปเถอะครับ พ่อกับแม่พี่รออยู่” มือที่ยื่นมาให้ราวกับกำลังรอการตอบรับว่าผมพร้อมที่จะก้าวไปด้วยกันหรือไม่
ผมมองมือใหญ่ที่ยื่นอยู่ตรงหน้า มือที่ไม่เคยปล่อยมือผมสักครั้งตั้งแต่วันแรกที่เราคบกัน แล้วทำไมผมถึงเอาแต่คิดมาก
ทำให้คนที่รักผมพลอยไม่สบายใจไปด้วย มันไม่ถูกต้องเลย
ผมค่อยๆ ยื่นมือออกไปวางบนมือที่รอรับ มืออุ่นจับกระชับมือผมไว้ บีบเบาๆ ให้กำลังใจ ก่อนที่เราสองคนจะเดินเข้าบ้าน
ไปพร้อมกัน
“ข้าวเจ้า” คนที่นอนกอดผมเรียกขึ้นมาเบาๆ
“ครับ”
“ตกลงพี่อร่อยไหมครับ”
“หือ?”
“ก็ที่เดซี่ถามเจ้าวันนั้นไงครับ ตกลงพี่อร่อยไหม”
“พี่สกายได้ยิน?!!”
รอยยิ้มกว้างตอบคำถามได้ชัดเจน โอ๊ย ผมว่าเพื่อนผมสามคนร้ายแล้ว พอคิดถึงหน้าซื่อๆ ที่ถามผมว่าอร่อยไหม
เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างแล้วอยากซัดให้หมอบ
“ว่าไงครับ อร่อยไหม”
“โอ๊ย....ข้าวเจ้า..โอ๊ย......”
“พอแล้วครับ เดี๋ยวเนื้อพี่หลุด”
“อยากรู้ไม่ใช่เหรอครับว่าอร่อยไหม ผมจะลองกินเดี๋ยวนี้แหละ”
“ไม่อยากรู้แล้วคร้าบบบ พี่ไม่อยากรู้แล้ว”
“แม่ช่วยผมด้วย เมียรังแก!!”
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
Darin ♥ FANPAGE