ขออภัยไปนานค่าาาา พอดีติดธุระ เคลียร์งานก่อนถึงช่วงหยุดยาว วันนี้มาลงให้แล้วนะคะ เดี๋ยวจะแถมให้อีก 1 ตอนด้วย
ไปอ่านกันเลยค่ะ
บทที่ ๑๓
“ท่านพี่ขอรับ”
ชินกฤตยกมือตบบ่าหนาของคนเป็นพี่ชายอย่างแผ่วเบา รู้ซึ้งดี ภายใต้ใบหน้าเงียบขรึม สุดแสนจะเย็นเยียบราวน้ำค้างจากชั้นฟ้านั้นแสนเจ็บปวดเจียนตายเพียงใด แม้ทศกัณฐ์จะเป็นยักษ์ผู้เหี้ยมโหด แสนเกรี้ยวกราดในสายตาคนหมู่มาก ทว่าใครจะรู้ว่าจุดอ่อนที่เลวร้ายที่สุดของเขา ไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่เป็นบุคคลอันเป็นที่รักต่างหาก
ปลายนิ้วใหญ่ลูบกระจกห้องฉุกเฉินที่กั้นขวางพวกเขาสองคนไว้ด้วยหัวใจร้าวระทม ขอบตาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริกคล้ายเจ้าของร่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์ทั้งหมดอย่างเต็มกำลัง
“อยากพักสักหน่อยไหม”
“ไม่”
“แต่ท่านพี่นั่งเฝ้าอยู่ที่นี่หลายชั่วโมงแล้วหนา หากเกิดอันใดขึ้นกับท่านอีก ข้ากับเจ้าอินจักทำเยี่ยงไร” ชินกฤตบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าลืมสิ ท่านพี่เพิ่งเสียพลังไปส่วนหนึ่งเพราะช่วยเหลือเขา ยังไงท่านพี่ก็ต้องพัก”
“ข้ายังสบายดี”
“เหตุใดท่านจึงดื้อดึงเช่นนี้”
“เพราะเปรมยังมิแคล้วจากบ่วงภัย เขาต้องการกำลังใจจากข้า แลข้าก็ใคร่อยู่รอดูเขาฟื้นเช่นกัน” อสุเรนทร์ยิ้มน้อย น้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผาะจากหัวตา ร่วงหล่นกระทบพื้นกระเบื้องสีขาวขุ่นจนแตกกระกายออกเป็นวงกว้าง พยายามกลืนก้อนสะอื้นก้อนใหญ่ลงคอ กำมือตัวเองแน่นอย่างข่มอารมณ์ หากเวลานี้มันช่างยากเหลือเกิน
“ท่านพี่ทศ”
“ทุกอย่างเป็นความผิดของข้า”
“...”
“ข้าทำให้เปรมต้องมาพบกับ...”
“หยุดพูดจาว่าร้ายตนเองเสียที” คนที่เคยใจเย็นที่สุดในบ้านกลับบันดาลโทสะออกมา ดวงตาเขียวอมทองแวววาบเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหายไป ชินกฤตสูดลมหายใจเข้าลึกและปล่อยออกยาวเหยียด
“แม้นท่านพี่จักโทษว่าเป็นความผิดตน พ่อเปรมก็หาได้ฟื้นคืนสติไม่”
“...”
“เรื่องนี้มิมีผู้ใดผิด หากแต่มันเป็นผลกรรมที่พ่อเปรมจักต้องผ่านมันไปให้ได้ ข้ารู้ว่ามันยากเกินกว่าท่านจักรับไหว แต่เชื่อข้าเถิด...เขาจักต้องรอด”
“แล้วหากเปรมมิรอดเล่า”
อสุเรนทร์หวนย้อนนึกไปถึงเรื่องราวในสมัยอดีตกาล ไม่ใช่ชาตินี้ชาติแรกที่เขาได้ผูกรักกับผู้มีจิตวิญญาณอันเต็มเปี่ยมของสีดา ทว่ายังมีชาติอื่นๆที่พญารากษสอย่างเขาต้องประสบพบเจอทั้งความสุข ความโหยหาและการสูญเสียที่เปรียบประดั่งหนามแหลมคมคอยทิ่มแทงใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขายังจำได้แม่นถึงคราวที่ต้องสูญเสียนางอันเป็นที่รักในชาติก่อนๆเพราะเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว
ผิดหวัง ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เหตุใดยามใกล้ประสบผลในสิ่งปรารถนากลับต้องมีบางอย่างขวางกั้น พาลให้พวกเขาทั้งสองจำต้องพลัดพรากลาจากกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หรือนี่...จะเป็นเพราะเดชะบุญที่เคยสร้างร่วมกันมาน้อยเกินไป ถึงมิอาจนำพาความรักของเขาให้อยู่คู่กับคนรักตราบชั่วกัลปาวสาน
คำถามมากมายวกวนเวียนไปมาในหัวสมอง แต่ไม่มีคำถามไหนเลยที่อสุเรนทร์สามารถตอบได้ หัวของเขามันหนักอึ้งและตื้อตึงไปเสียหมด คล้ายมีหินก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งกดทับเอาไว้ จะหยิบจับหรือขว้างทิ้งก็ทำไม่ได้
ช่างน่าเวทนา
“นี่คือบททดสอบของพ่อเปรม หากเขายังอยากกลับมาหาคนในครอบครัวหรือคนรัก เขาจักรีบหาทางกลับมาเอง สิ่งที่ท่านพี่ทำได้ในเพลานี้คือรอ”
“เจ้าเห็นอนาคตของเขาหรือเปล่า”
“ขออภัย มันมืดสนิท ข้ามองมิเห็นสิ่งใดเลย”
“เจ้าจักบอกข้าว่า...”
“หาไม่ขอรับท่านพี่ พ่อเปรมยังมิตาย ที่ข้ามองมิเห็นเขาอาจเป็นเพราะเขาอยู่อีกภพภูมิหนึ่งซึ่งข้าตามไปรู้แจ้งมิสะดวกนัก”
“แล้วนั่นมิได้หมายถึงตายดอกรึ!”
“แค่จิตออกจากร่าง จักตายได้อย่างไร”
“แล้วถ้าจิตหาทางกลับคืนร่างมิได้เล่า”
“ข้าบอกว่ามิเป็นกระไรก็มิเป็นกระไร ท่านอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ได้ฤาไม่” ชินกฤตเสยผมที่ปรกหน้าไปทางด้านหลัง สุดจะทนกับความดื้อรั้นของคนข้างๆ บอกกล่าวอะไร เคยฟังที่ไหน ดื้อแพร่งคิดไปก่อนเสียทุกเรื่องราว “ดวงชะตาของเขาเป็นคนดวงแข็ง ต่อให้ถูกรถชนหนักกว่านี้ ข้าเชื่อเขาต้องกลับมาแน่”
“ข้าเชื่อเช่นเจ้า แต่เราก็ควรมีแผนสำรอง”
“ท่านคงไม่....”
“ใช่ ข้าจะใช่
วิธีนั้น”
“ไม่...ท่านพี่ทศ เราจักมิใช่
มันเด็ดขาด!” ใบหน้าซีดเซียว ผลกระทบการการมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเคร่งขรึม
“ท่านก็รู้มันเสี่ยงต่อชีวิตรากษสอย่างเรา”
“หากมันได้ผล ถึงเสี่ยงข้าก็จะทำ”
“พี่ทศ”
“อย่าห้ามข้าเลยน้องรัก”
“เรายังคิดค้นวิธีอื่นได้ แต่สิ่งนี้โปรดเถิด ให้มันเป็นทางเลือกสุดทายที่พวกเราจักทำ”
ประกายแห่งความเศร้าวูบขึ้นที่ดวงตาของชายหนุ่มใกล้วัยกลางคน เขารู้ กฎ แห่งธรรมชาติ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับเสมอไป ไม่มีใครหนีพ้น แต่เปรมจะเป็นคนแรกที่เขายอมจะแหกกฎทุกคน ละเมิดลิขิตสวรรค์ทุกประการ เพื่อนำพามาซึ่งการคงอยู่ของเจ้าจอมขวัญ
ต่อให้เปรมตกนรก เขาก็ตามกลับขึ้นมา หรือถ้าอยู่บนสวรรค์ เขาก็จะสอยเจ้าตัวให้กลับลงมาอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ดั่งเดิม
“เจ้ารู้ใช่ฤาไม่น้องรัก
หากเปรมมิกลับมาภายในเจ็ดราตรี ข้าคงต้องทำมัน”
“พ่อทศ!!”
เสียงแหบพร่าติดสั่นดังจากทางด้านหลัง พร้อมกับบรรดาคนในครอบครัวของคนที่เขารักสุดหัวใจกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว โดยเฉพาะคนเป็นแม่ เห็นจะอาการหนักกว่าใคร จากใบหน้าสวยสุกปลั่งกลับกลายเป็นขาวซีด ขอบตาและจมูกเริ่มแดงช้ำเธอเดินเข้ามาหาเขาแล้วจับแขนแกร่งยึดไว้เป็นที่พึ่ง
“สวัสดีครับ”
“น้องเป็นอย่างไรบ้าง พ้นขีดอันตรายหรือยัง ละ...แล้วหมอเขาว่าอย่างไรบ้าง เปรมไม่ได้เป็นอะไรหนักมากใช่ไหม ตอบแม่สิทศ ตอบแม่!”
“คุณ ใจเย็นๆสิ”
“ตอบแม่ น้องปลอดภัยดีหรือเปล่า”
“คุณดาว”
“ฉันเย็น ฮึกๆไม่ไหวแล้วพี่แอ๊ด”
“ลูกเราต้องไม่เป็นอะไร อย่าร้องไห้สิคุณ” เรียวแขนหนาของผู้เป็นสามีโอบกระชับภรรยาแนบแน่น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังอู้อี้อยู่ในอ้อมอกอยู่เนิ่นนาน มันเป็นเสียงที่ฟังแล้วชวนให้คนอื่นๆเศร้าซึม ร้าวระทมไปตามๆกัน อสุเรนทร์มองหญิงวัยกลางคนแล้วมองเลยไปสบชายวัยกลางคนรูปร่างสมส่วน คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายที่ยืนนิ่งอยู่ทางด้านหลัง เขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตาเสมากับปู่ไม้เอาไม้มาหวด มาเคาะหัวให้แตก เลือดกระเซ็นซ่าน ยังดีเสียกว่ายืนเงียบ ไม่ทำอะไรเลยแม้กระทั่งโหวกเหวกโวยวาย
มันน่ากลัวเกินไป
“ทศ”
“ครับคุณพ่อ” ร่างสูงตอบรับคำชายวัยกลางคน
“ได้พักบ้างหรือยัง สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”
“ผมไม่เป็นอะไรครับ”
“พ่อรู้ว่าเราเป็นห่วงเปรมมาก แต่ยังไงก็พักผ่อนสักหน่อยเถอะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน พวกเราคงไม่สบายใจ”
“ครับ ผมเข้าใจ แต่ผมยังไหวอยู่”
ในเมื่อเจ้าตัวบอกเต็มเสียงขนาดนั้น กษิดิษก็ทำได้แค่พยักหน้ารับส่งๆ
“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น พ่อรู้แค่เปรมเขาวิ่งตึงตังออกจากบ้านพร้อมกับกุญแจรถ รู้อีกทีก็ตอนที่...อินใช่ไหม โทรมาบอกว่าเปรมประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บสาหัสอยู่ในห้องฉุกเฉิน ถ้าเล่าได้ก็เล่านะทศ”
ชินกฤตบีบไหล่พี่ชายเป็นเชิงให้กำลังใจ
“คือวันนี้ช่วงบ่ายผมโทรไปบอกเปรมว่าจะไม่เข้าไปหาเพราะน้องชายเกิดไม่สบาย ก็เลยจะอยู่ดูอาการสักหน่อยแล้วค่อยไปหาเขาพรุ่งนี้ที่บ้าน” อสุเรนทร์พูดเว้นวรรค สูดหายใจเข้าลึกๆ “เราคุยตกลงกันเรียบร้อย ผมคิดว่าเรื่องทุกอย่างคงจบ
แต่พอผมโทรไปหาเขาอีกครั้ง...เขากลับบอกใกล้ถึงบ้านผมแล้ว ผมพยายามไกล่เกลี่ยบอกให้รีบกลับบ้านไปซะเพราะฝนทำท่าจะตกหนัก มันคงไม่ดีแน่ๆถ้าขับรถต่อไปเรื่อยๆ...”
“...”
“ผมถือสายคุยกับเขาตลอดเวลา และรู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น ผมขอโทษ ถ้าผมไปหาเขาเร็วกว่านี้ เปรมก็คง – ทุกอย่างเป็นความผิดของผม ผมขอโทษครับ”
“งั้นแม่ก็ผิดด้วยที่อนุญาตเปรมออกไปหาทศเอง แม่น่าจะห้ามน้องเอาไว้”
“หมายความว่าไงคุณ”
“เปรมเขาน้อยใจที่พี่ทศของเขาไม่ยอมมาหา ฉันก็เลยแนะนำว่าให้ไปหาพ่อทศที่บ้านเสีย เรื่องราวมันจะได้จบๆไป แต่ไม่เคยคิดเลยว่าทุกอย่างจะเลวร้ายแบบนี้ ฉันโทษนะคะพี่แอ๊ด ฉันโทษ”
ทุกคนในที่นี้ต่างตกอยู่ในอาการตรึงเครียด ร่างสูงก้มหน้าคางชิดติดอก น้ำตาเม็ดแรกหลั่งรินและหยดลงบนพื้นเย็นหลายต่อหลายหยด ความทุกข์ที่สะสมเอาไว้นานหลายชั่วโมงเริ่มพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า เขายกมือขึ้นปิดบังหน้าของตัวเองแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อย ฟังดูขมขื่น ระโหยโรยแรงราวกับสัตว์ใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก
ดวงดาวเห็นจึงเกิดเวทนา อ้าแขนรวบตัวชายหนุ่มร่างสูงมากอด พลางลูบแผ่นหลังอันสั่นเทานั้นอย่างปลอบประโลมด้วยหวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย
“ผมขอโทษ”
“อยากร้องก็ร้องออกมาให้หมดนะลูก ร้องออกมา”
“ผมอยากให้เขากลับมา”
“ทุกคนอยากให้น้องกลับมาทั้งนั้นจ๊ะ”
“ผมขอโทษ ฮึกๆ ผมน่าจะเป็นคนไปหาเปรมที่บ้านเอง”
“มันไม่ใช่ความผิดของเอ็งหรอกพ่อหนุ่ม ทุกชีวิตล้วนมีเวรกรรมติดตัว เราห้ามไม่ได้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราหรือคนใกล้ตัวของเราเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร...บางทีเผลอๆอาจเกิดตอนเจ้าเปรมอยู่บ้านก็ได้”
“พวกเรารู้
เวลานี้คงใกล้มาถึง เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลยนะพ่อทศ พวกยายเข้าใจกันดี”
“แต่ผมปกป้องเปรมไม่ได้”
“ขนาด
ทศกัณฐ์ ผู้มีอิทธิฤทธิ์มากยังปกป้องนางอันเป็นที่รักจากฝ่ายศัตรูไม่ได้ แล้วเอ็งเป็นใคร เป็นมนุษย์เทเลพอร์ตหรือไงถึงจะสามารถวาบไปช่วยเจ้าเปรมได้ทัน”
“...”
“อย่าโทษตัวเองเลยทศ เฮ้อ...แค่เอ็งช่วยยืดเวลาตายให้หลานข้าอยู่นานขึ้นก็ดีโขแล้ว”
อสุเรนทร์เหลือบดวงตาอันแดงก่ำกลับมามองปู่ไม้และยายนวลที่กำลังส่งยิ้มบางอย่างคนมองโลกในแง่ดี มือที่เคยกำแน่นจนข้อนิ้วขาว ความโมโหและโกรธตนเองค่อยๆแผ่วลง คล้ายไฟที่ลุกโหมกระหน่ำเริ่มถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์แห่งสรวงสวรรค์
“ลูกแม่เขาเป็นคนดี เทวดาต้องคุ้มครอง”
ไม่กี่นาทีต่อมาบานประตูที่ปิดสนิทมานานนับสี่ชั่วโมงก็เลื่อนเปิดออกแช่มช้า ปรากฏชายวัยกลางคนในชุดผ่าตัดสีเขียวเดินออกมาด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาว่าคิดสิ่งใดอยู่ อสุเรนทร์ผละกายออกจากมารดาของคนรักก่อนจะเดินตรงดิ่งไปหาหมอคนนั้นทันที
“คุณหมอครับ เปรมเป็นอย่างไรบ้าง ปลอดภัยดีใช่ไหม”
“ครับ คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่ค่อยมีอะไรน่ากังวลนักแต่หลังจากนี้คงต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอวัยวะภายในบางจุดได้รับความเสียหายไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะสมองได้รับความกระทบกระเทือนมากกว่าบริเวณอื่น จำต้องตรวจดูอย่างละเอียดอีกทีว่าจะเกิดปัญหาอื่นตามมาทีหลังหรือเปล่า”
“แล้วลูกดิฉันจะฟื้นเมื่อไหร่คะ” ดวงดาวถามเสียงสั่นเครือ
“ทั้งที่ทั้งนั้นมันขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของคนไข้และความพร้อมของเขาด้วยน่ะครับ หมอเลยไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้”
“คุณเป็นหมอ ทำไมถึงตอบเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ถ้าแฟนผมไม่ฟื้น ผมกับครอบครัวของเขาจะทำยังไง”
“พี่ทศ ใจเย็น” ชินกฤตเอ่ยปราม
“คุณต้องการเท่าไหร่ กี่แสน กี่ล้านบอกผมมา ไม่ว่าต้องใช้เงินมากแค่ไหนผมยอมทั้งนั้น ขอให้เขารอดกลับมา หมอเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
“ครับ หมอเข้าใจ และหมอจะพยายามทำให้เต็มที่ที่สุด”
“รักษาคำพูดไว้แล้วกัน”
“ไม่เอาน่าพี่ทศ”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
ร่างสูงหันหน้าหากำแพง ปล่อยให้น้ำตาไหลนองหน้าบ่งบอกว่าเขากลัวมากแค่ไหน เสียงร่ำไห้ทุ้มแผ่วของอสุเรนทร์สะท้อนดังก้องไปตามทางเดินแห่งนี้ สะท้อนไปถึงใจคนฟังและคนที่เพิ่งมาใหม่อย่างรณพักตร์ที่ตามมาสมทบ
ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอยเดิม
“เปรม...ฮึก...เปรมจ๋า เปรมต้องกลับมาหาพี่นะ”
“กลับมา”
“พี่รักเปรมมาก...มากเหลือเกิน”
“ได้โปรด...อย่าทิ้งพี่ไปอีก”
....น้องต้องกลับมาหาพี่ ได้ยินไหม....ความรู้สึกวูบนั้นคล้ายเป็นเพียงระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อเปรมลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ทุกสิ่งก็ดูเป็นสีเทาหมองหม่นจนเขาต้องหลับตาอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้นใหม่อีกหน ทุกอย่างพร่ามัวคล้ายมีหมอกหนาทึบปิดกั้นไว้จากทั่วสารทิศ แม้แต่สีที่มองเห็นก็ยังเหมือนกับการมองจอโทรทัศน์สมัยก่อนที่ยังคงเป็นภาพขาวดำไม่มีสีสันสดใส
เขาอยู่ที่ไหน
นั่นคือสิ่งเดียวที่สมองพอจะกลั่นกรองออกมาเป็นประโยคได้ พยายามหาเหตุผลมารองรับสถานการณ์ในตอนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่จนแล้วจนเล่าก็หาอะไรมาเป็นคำตอบที่ดีที่สุดไม่ได้เลย สิ่งที่ชายหนุ่มคิด มีความเป็นไปได้สองอย่างคือ
มันเป็นเพียงความฝัน
หรือไม่...
ก็คือโลกหลังแห่งความตายม่านหมอกสีขาวโอบล้อมรอบตัวหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่บดบังทัศนียภาพรอบด้านเท่านั้น ซ้ำยังทำให้ระบบทางเดินหายใจติดขัดเข้าไปอีก และที่น่ากลัวกว่านั้นคือมีเสียงร้องไห้โหยหวนที่แว่วตามสายลมมาเป็นระรอก ดวงตาเรียวสวยสั่นระริก ยกมือปิดหู ม่านน้ำตาบดบังทุกอย่างให้เขาเห็นไม่ถนัด แต่เท้าก็ยังวิ่ง วิ่ง วิ่งต่อไปอย่างไร้จุดหมายด้วยความหวาดกลัว
พ่อ
แม่
คุณตา คุณยาย
คุณปู่ คุณย่า
พี่ทศ ช่วยผมด้วย...
เปรม...เปรมจ๋า ได้ยินพี่ไหมดวงตาเรียวเบิกกว้าง หันมองตามเสียงเรียกแสนคุ้นเคย แต่ไม่ว่าจะหันซ้าย หันขวา หันไปมองด้านหลังหรือชะเง้อมองด้านหน้ากลับไม่ปรากฏร่างของผู้พูดแม้เสี้ยวเดียว น้ำตาเม็ดเล็กไหลพรูลงมาจากดวงตาหมองหม่นไร้ประกาย สองมือยื่นออกไปคลำทางสะเปะสะปะ
“พี่ทศ พี่ทศใช่ไหม ช่วยเปรมด้วย”
เปรม...กลับมา....“พี่ทศอยู่ไหน เปรมอยู่ตรงนี้”
เปรม....“พี่ทศ!”
ร่างบางวิ่งล้มลุกคลุกคลานด้วยความหวาดวิตก เขามองไม่เห็นทาง มองไม่เห็นแม้กระทั่งมือตัวเองที่กำลังกวัดแกว่งตัดผ่านอากาศ ยิ่งเส้นทางห่างไกลจากจุดเริ่มต้นมากเท่าใด หัวใจยิ่งเต้นแรงและเร็วมากกว่าที่คิดเอาไว้
ดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างอยู่บ้าง หมอกสีเทาเริ่มจางลงจนมองเห็นทางเดินได้เลือนรางและค่อยๆแจ่มชัดขึ้น ตอนนี้รอบกายของเปรมคือทุ่งหญ้ากว้างสีน้ำตาลเทา ดูแห้งแล้งและเวิ้งว้าง แม้ดูไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังนับว่าน่ากลัวอยู่ดี
น้ำตาที่เคยเอ่อล้นอาบแก้มนวลค่อยเหือดหายไปอย่างช้าๆ รอบกายไม่พบสิ่งมีชีวิตสิ่งใดปรากฏอยู่เลย มีเพียงทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาตัดกับขอบฟ้าสีทะมึน ถ้านี่คือฝัน มันต้องเป็นฝันที่ว้าเหว่และอยากตื่นมากที่สุด
แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ....
“ไม่ มันเป็นแค่ฝัน ฉันยังไม่ตาย ต้องยังไม่ตายสิ” เปรมรำเพยรำพันกับตัวเองไม่ดังไม่เบาจนเกินไป เดินลัดเลาะผ่านทุ่งหญ้าเหี่ยวเฉานานนับนาที
ความหวาดกลัววูบเข้าจับใจ เหมือนเด็กที่หลงทางแล้วหาทางกลับบ้านไม่เจอ นั่นแหละ คือสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ หากเป็นไปได้ ร่างบางต้องการออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด อยากกลับไปหาคนในครอบครัว หาคนที่รอคอยเขาอยู่อีกฝากฝั่งหนึ่ง
มันต้องมีทางออกสักทางสิ
“ใยสีหน้าดูทุกข์ระทมนักออเจ้า”
ร่างกายสะดุ้งโหยง เท้าทั้งสองข้างชะงักฉับพลันขณะได้ยินเสียงทักจากใครบางคนไม่ใกล้ไม่ไกล ร่างบางพยายามหรี่ตาเพ่งมองไปยังจุดต้นกำเนิดของเสียง แม้จะเห็นเป็นเพียงแค่เงาดำมืด แต่ก็พอรู้คนพูดคือผู้หญิง และน่าจะสวยมากทีเทียว
“คุณเป็นใครครับ”
“เป็นคนที่ผ่านมาเจอออเจ้าพอดี”
“อ่าครับ” ยอมรับเลยล่ะว่าตอนนี้ค่อนข้างกลัวเล็กน้อย สืบเนื่องจากภาษาการพูดคุยของบุคคลเบื้องหน้า ไม่ต้องวิเคราะห์หาหลักฐานมาพิสูจน์ก็รู้ว่าเป็นคนโบราณ อาจจะยุคสุโขทัย อยุธยา หรือไม่ก็เก่าแก่กว่านั้น
“ออเจ้ากลัวข้าฤา”
“ป...เปล่าครับ”
“มิต้องกลัวไปดอก ข้ามิทำร้ายผู้ใด โดยเฉพาะออเจ้า
ข้าใคร่ปกป้องมากกว่าทำร้าย”
ก้านนิ้วเรียวบางยกขึ้นลูบกลุ่มไหมนุ่มเชื่องช้า อ่อนโยน เพื่อเป็นการบอกนัยๆว่าเจ้าตัวไม่จำเป็นต้องกลัวเธอแม้แต่น้อย และน่าแปลกที่เขากลับรู้สึกไว้วางใจผู้หญิงคนนี้อย่างประหลาด
“เชื่อข้าเถิดพ่อเปรม ข้านั้นแสนจริงใจต่อออเจ้ากว่าผู้ใด”
“คุณรู้ชื่อผม?”
“ใช่ ข้ารู้ แลตระหนักดีว่าเหตุใดเจ้าต้องมาพบชะตากรรมเช่นนี้”
“...”
“มากับข้าเถิดออเจ้า”
มือเรียวบางยื่นมาหยุดตรงหน้าเขา เปรมมองอย่างชั่งใจนัก ฝั่งหนึ่งบอกให้ยื่นไปจับเลย ไม่ต้องกลัวอันตรายใดๆ ส่วนอีกฝั่งก็เอ่ยห้าม กลัวเป็นกลลวงของผีสางที่จะพาเขาไปตายมากกว่ารอดชีวิต
“คุณคือใครกันครับ พอจะบอกผมก่อนได้ไหม”
“หากออเจ้ามากับข้า ข้าจักบอกทุกสิ่งอย่างที่ออเจ้าใคร่รู้”
เปรมเม้มปาก ไม่แน่ใจนัก
“หากปรารถนาจักกลับไปปะหน้าคนรักแลครอบครัวแล้ว ออเจ้าต้องมากับข้าหนา”
“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง”
เธอหัวเราะในลำคอแผ่ว ก่อนใช้มือข้างหนึ่งลูบพวงแก้มของชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน “เพราะออเจ้าคือคนคนเดียวในเพลานี้ที่จักแก้ไขความผิดพลาดต่างๆในอดีตกาลได้”
“แก้ไข?”
“มาเถิด ยังมีสิ่งมากมายรอให้ออเจ้าค้นหาอยู่”
ต่อด้านล่างจ้าา