ตอนที่ 6
พี่อิสคนดี
เช้านี้ผมรีบตื่นแต่เช้าแล้วออกไปเรียน ก่อนออกจากบ้านเลยไม่ได้เจอหน้าใครนอกจากย่า ย่าไม่ได้ว่าอะไรเรื่องที่ผมหายไปสองคืนแล้วก็บอกว่าป้าไม่ได้พูดถึงเลย ก็คงมีความจริงข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าต่อให้ผมจะหายไปไหนมันก็ไม่มีใครเดือดร้อนเลย...ผมไม่ได้สำคัญ
ผมเดินเรื่อยๆ ไปโรงเรียนอย่างไม่รีบร้อนเพราะมีเวลาเหลือเฟือ เดินมองฟ้า มองเมฆที่มืดครึ้ม วันนี้ฝนก็คงจะตกอีกเช่นเคย
“หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว...”
หือ? เพลงนี้?
“หนูมาลี มีลูกแมวเหมียว ขนมันปุยคล้ายสำลี...”
เสียงเพลงทำสองขาผมหยุดชะงัก ยกเป้ที่สะพายหลังอยู่ขึ้นฟังจึงได้ยินว่าเสียงมันมาจากตรงนั้น ผมล้วงเข้าไปข้างในแล้วหยิบมือถือที่กำลังร้องเพลงนั้นออกมา พี่อิสตั้งริงโทนเสียงเดียวกับของเขาเอาไว้ให้ด้วยและคนที่โทรเข้ามาก็มีแต่เขาคนเดียว
พี่อิสระ♥
“สวัสดีครับ”
“สุภาพเกิ๊น! กูหยาบๆ อยู่นี่ยิ่งถ่อยเลยเนี่ย จะพูดเพราะอะไรนักหนา”
“อ้าว แล้วพี่จะให้รับว่าไง”
“ฮัลโหล โย่เย่ อะไรก็ว่าไป”
“พี่มีอะไรเปล่าอะ”
“ไม่มีอะ แค่อยากรู้ว่ามึงรับโทรศัพท์เป็นเปล่า”
“ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะพี่”
“เออ รับเป็นก็ดี”
“ไหนบอกว่าให้โทรตอนมีเรื่องด่วนเท่านั้นไง พี่ไม่ได้มีเวลาว่างมาคุยโทรศัพท์ไม่ใช่เหรอ”
“แน่ะ หัดยอกย้อน กูเป็นคนซื้อโทรศัพท์ให้ กูจะโทรตอนไหนก็ได้เว้ย! แล้วนี่ไปโรงเรียนยัง”
“กำลังไปครับ”
“แล้วป้ามึงว่าไงมั่งอะ”
“ยังไม่เจอหน้าเลย”
“เออๆ”
“เป็นห่วงเหรอ”
“กูเปล่า! แต่ไอ้พวกเหี้ยนี่มันกดดันกู ให้กูโทรมาถามเนี่ย”
“โดนกดดันบ่อยเนอะพี่เนี่ย”
“เออดิ! งั้นแค่นี้”
ตู๊ด...ตู๊ด...
กดวางสายไปรวดเร็วอย่างนั้น ผมหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเก็บมือถือเข้าเป้ไปเหมือนเดิม เดินมาสักพักก็ถึงโรงเรียน ผมไม่ได้มาโรงเรียนวันหนึ่งแต่โชคดีที่ไม่มีการบ้านอะไรต้องตามส่ง หลังจากจบคาบวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นคาบสุดท้ายก่อนพักกินข้าว เมธีมันรีบไปพบครูวิชาเคมีเพราะมันไม่เข้าใจบทเรียนและให้ผมไปรอที่โรงอาหารเลย ผมกำลังเก็บของขณะที่เพื่อนในห้องทยอยออกไปกันหมดแล้ว
“ปกรณ์”
“...”
“ปกรณ์!”
ผมหันไปมองตามเสียงครูที่หันมาเรียก หันซ้ายหันขวาก็เห็นว่าในห้องมีแต่ผมคนเดียว
“ปกรณ์ เธอช่วยยกนี่ไปที่ห้องครูหน่อยได้ไหม”
“ได้ครับ” ผมตอบรับแล้วยกเล่มรายงานทั้งหมดเดินตามครูออกไป ระหว่างนั้นครูหันมาบอกกับผม
“ขอบใจมากนะจ๊ะปกรณ์”
“ครูครับ”
“ว่าไงปกรณ์”
“ผมชื่อปวินท์ครับ”
รอยยิ้มของอีกฝ่ายค้างชะงัก ได้แต่มองตากันในความเงียบครู่หนึ่ง ครูยกมุมปากยิ้มแห้งๆ ก่อนก้าวเท้าฉับๆ เดินนำไปก่อน ขนาดครูที่นั่งจ้องตากันทุกวันยังลืมชื่อผมเลย...ไร้ตัวตนเลเวลอัป
“ไอ้ปิง!”
ผมหยุดเท้าขณะที่กำลังหอบรายงานไปไว้ห้องพักครู ไม่ต้องหันไปดูเจ้าของเสียงเรียกก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไอ้ยิม
“มีอะไร”
“กูขอรายงานคืนก่อน กูก๊อปไอ้เดย์มาแล้วลืมลบชื่อ อยู่ไหนวะ นี่ไง เล่มนี้ของกู” มันชี้ไปที่รายงานเล่มเกือบสุดท้าย
“เดี๋ยวหาที่วางก่อน...”
“ไม่ต้อง กูรีบ”
ฟึบ!
“เฮ้ย!” ผมโวยลั่นเพราะมันดึงเอารายงานเล่มเกือบสุดท้ายออกไป เป็นเหตุให้สี่สิบกว่าเล่มข้างบนร่วงกระจายลงพื้น มันยักไหล่หน่อยๆ ก่อนรีบวิ่งออกไปจากตรงนี้ ทิ้งให้ผมได้แต่ถอนใจเบาๆ แล้วนั่งลงกับพื้นเก็บรายงานทั้งหมดคนเดียว สายตาที่กวาดมองรายงานที่กระจายอยู่ตามพื้นเห็นมือหนึ่งยื่นเข้ามาช่วยเก็บจึงต้องเงยหน้ามอง...ช็อกห้องสองและแสงออร่าของเขา
“ต่อยให้ไหม”
“ฮะ?” ผมร้องถามพลางกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจคำถามเมื่อครู่
“ก็ไอ้คนที่ชอบแกล้งปิงไง ต่อยให้ไหม”
“เฮ้ย ไม่เอา”
“ยอมให้มันแกล้งอยู่ได้”
“เดี๋ยวมันเบื่อก็เลิกแกล้งเองแหละ”
“ใจเย็นเหลือเกินนะ” ช็อกว่าแล้วเอารายงานในมือตีใส่หัวผมเบาๆ ผมหดคอลงเล็กน้อยตอนที่ถูกตี โดนสันอะ เจ็บนะ
“ให้ช่วยถือไหม จะไปห้องพักครูวิทย์ปะ”
“ไม่เป็นไร”
“นี่ก็จะไปเหมือนกัน เอามาดิ” เขาว่าแล้วยกรายงานไปจากผม เหลือไว้ในมือผมสี่ห้าเล่มก่อนเดินนำไปที่ห้องพักครูหมวดวิทยาศาสตร์
“เร็วๆ ดิ” เมื่อคนที่เดินนำไปหันมาเรียก ผมจึงรีบก้าวช่วงขาสั้นๆ ตามให้ทันไปเดินข้างๆ เขา ระหว่างทางเกือบจะทุกคนที่เดินสวนกันจะหันมาทักทายช็อก เพราะแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเขา แล้วเขาก็เพิ่งได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น คนดีศรีมัธยมซึ่งมีพิธีมอบรางวัลหน้าเสาธงไปเมื่อเช้านี่เอง เพิ่มความฮอตแบบทวีคูณ
“หวัดดีช็อก”
“หวัดดีครับ”
“ไงพี่ช็อก นักเรียนดีเด่น”
“อย่าแซวๆ”
“พี่ช็อกหล่อจังวันนี้”
“หล่อทุกวันเหอะ”
ช็อกก็ฮอตตามประสาของช็อก ผมที่เดินมาด้วยกลายเป็นวิญญาณ ทุกคนเดินผ่านและเฉียดไหล่ไปแบบไม่มีใครมองเห็น...ไร้ตัวตนเลเวลตันแล้ว
...
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้ทำงานจนถึงเที่ยงคืนเพราะพรุ่งนี้พี่อีมจะกลับมาทำงานตามปกติ หลังเลิกงานผมเดินตรงกลับบ้านเหมือนเคย แต่เดินมาได้ครึ่งทางฝนก็เทลงมาไม่หยุด ไม่รู้ว่านี่มันฤดูอะไรกันแน่ ผมวิ่งเข้ามาหลบหน้าร้านอาหารร้านหนึ่งที่ปิดไปแล้ว ยืนรอให้ฝนหยุดแต่มันไม่ยอมหยุดสักที ยืนอยู่ตรงนี้มืดๆ คนเดียวก็น่ากลัวแปลกๆ จึงตัดสินใจปลดเป้มากอดเอาไว้ ดึงหมวกฮู้ดขึ้นคลุมหัวแล้ววิ่งฝ่าฝนกลับบ้านเลย กลับมาถึงบ้านเจอป้าที่ยังไม่นอนกำลังนั่งอยู่ที่หน้าทีวี ผมหยุดยกมือไหว้เขาแต่ถูกสวนกลับมาด้วยคำบ่นลั่น
“ตัวเปียกจะมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม พื้นเลอะเทอะหมด มึงมาเช็ดเลยนะ!”
ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วตรงเข้าห้อง รีบถอดเสื้อผ้าที่เปียกโชกออกแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบลวกๆ หยิบผ้าแห้งมาเช็ดกระเป๋า เปิดดูให้แน่ใจว่าข้างในไม่มีอะไรเปียก ในกระเป๋าไม่มีอะไรมากนอกจากสมุดเล่มหนึ่งกับขนมปังไส้กรอกที่ยังไม่ได้กินชิ้นหนึ่ง
“หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว...”
แล้วก็ลืมไปเลยว่าในนั้นมีโทรศัพท์มือถืออยู่ด้วยจนกระทั่งมันส่งเสียงร้องจึงรีบกดรับ
“ว่าไงพี่อิส”
“ไม่สวัสดีครับแล้วเหรอ”
“ก็พี่บอกว่าไม่ต้องสุภาพ”
“ว่าง่ายนะมึงเนี่ย เชื่องกว่าหมาที่เคยเลี้ยงอีก”
“พี่อิส เดี๋ยวต่อยเลย โทรหาผมทำไมเนี่ย ว่างมากเหรอ”
“กูมีธุระด่วน”
“มีอะไรเหรอ”
“กูจะถามว่ามึงซื้อขนมปังที่ไหน อร่อยดี กูชอบ”
“เนี่ยเหรอเรื่องด่วน”
“เออ ด่วนสำหรับกูละกัน ตกลงร้านไหน”
“ไม่ได้ซื้อ ได้ฟรีมาจากร้านที่ทำงาน”
“เหรอ แล้วกูไปซื้อได้ไหม”
“ได้ดิ ก็เขามีไว้ขาย”
“เออ แล้วนี่ถึงบ้านแล้วใช่ปะ”
“ครับ เพิ่งถึงเลย”
“เปียกฝนปะ กูเห็นฝนตก”
“เปียกสิจะเหลือเหรอ”
“ระวังไข้แดกละกัน”
“ผมไม่ป่วยง่ายๆ หรอกน่า”
“เฮอะ ป่วยขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้ จะไปยืนสมน้ำหน้ามึงถึงบ้านเลย”
“ไอ้ปิง! กูบอกให้มึงมาเช็ดพื้น!” เสียงป้าที่ดังมาจากข้างนอกเรียกความสนใจทั้งหมดของผมไป จึงรีบบอกลาพี่อิสแล้วกดวางสาย
“พี่อิส แค่นี้ก่อนนะ”
“อ้าว เฮ้ย...”
ผมยัดมือถือเข้าไปใต้หมอน ก่อนป้าจะเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี ปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดรับฟังคำสั่งของป้าที่พูดซ้ำ
“กูบอกให้มึงไปเช็ดพื้นไง”
“ครับๆ”
“เมื่อกี้มึงพูดกับใคร กูได้ยินเสียงคุย”
“ปิง...คุยคนเดียวครับ” ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินออกมาข้างนอก
“ประสาทแดกนะมึงเนี่ย”
ผมไม่ได้สนใจคำพูดของป้า ไปหยิบผ้ามาถูพื้นที่ผมทำเปียกเมื่อกี้ เสร็จแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงที่นอนทั้งๆ ที่หัวยังเปียกอยู่เพราะขี้เกียจลุกไปอาบน้ำ ล้วงเข้าไปใต้หมอนหยิบมือถือที่ยัดเข้าไปเมื่อครู่ออกมาแล้วจ้องมันอยู่อย่างนั้น แค่มองมือถือเฉยๆ ไม่ได้เปิดหน้าจอหรือทำอะไรกับมันเลยก่อนจะหลุดยิ้มออกมาบางๆ โทรศัพท์นี่ดีจัง อยู่ห่างกันตั้งไกล ยังได้ยินเสียงกันได้ด้วย ชอบจัง...หมายถึงโทรศัพท์นะ
...
ต่อให้กลางคืนจะนอนดึกแค่ไหนแต่ในทุกเช้าผมจะต้องตื่นเร็วเสมอ คงเป็นเพราะความเคยชิน เช้านี้ของผมก็เหมือนเมื่อวาน ผมเดินถือขนมปังกินมาเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ เก็บไส้กรอกไว้กินตอนสุดท้ายเหมือนทุกที
“หลินปิง!”
ผมหันขวับไปมองเสียงที่คุ้นเคย เจ้าของจักรยานเก่าๆ คันนั้นกำลังพุ่งเข้ามาหา ผมเหลือบตามองไส้กรอกในมือ ก่อนจะรีบยัดมันเข้าปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ง่ำๆๆๆ!”
พี่อิสใช้เท้าเบรกจักรยานแล้วหยิบถุงบางอย่างที่วางอยู่ในตะกร้าส่งให้ผม
“กูซื้อขนมปังมาฝาก”
ฮะ?
“แค็กๆ!” ผมสำลักไส้กรอกที่อัดเข้าไปเต็มปากเพราะรีบกินไปหน่อยมันเลยทรยศด้วยการเข้าไปติดอยู่ในคอ
“เป็นอะไรของมึง”
“ติดคอ!”
“เอ้า! ตะกละไง ตะกละ”
พลั่ก!
พี่อิสเข้ามาทุบหลังให้ ไส้กรอกก็หลุดออกจากคอพอดี รอดตายหวุดหวิด แต่ไม่แน่ใจว่าควรขอบคุณหรือด่าเพราะพี่อิสตีหลังแรงจนเข่าทรุดลงกับพื้น ดีที่เขาคว้าแขนผมเอาไว้ได้ทันเพื่อช่วยให้ทรงตัวขึ้น
“เชี่ย! กูตบเบาๆ เองนะ”
“พี่อะ เจ็บหลังเลย”
“เปราะบางเกิน แล้วอะไร แดกยังไงให้ติดคอ”
“กลัวพี่แย่ง”
“เฮอะ! สมน้ำหน้า!”
ผมได้แต่เหลือบตามองเคืองๆ แล้วเลื่อนไปยังถุงขนมปังที่ตะกร้าหน้าจักรยาน
“ไหนอะ ซื้ออะไรมาฝาก”
“ไม่ฝากละ เปลี่ยนใจไม่ให้แดก เสือกหวงกูก่อน”
“ง่ะ!”
“ไม่ต้องทำหน้าดัดจริต ไม่ให้แดก”
“แต่พี่ทำผมเจ็บหลังนะ เป็นรอยแน่ๆ”
“ไหนมาดู”
“เฮ้ย!” ผมโวยลั่นเพราะพี่อิสจับผมหันหลัง ถอดเป้แล้วดึงเสื้อคลุมผมขึ้น
“มาดูหน่อย”
“เฮ้ยพี่! ไม่เอา!”
“อย่าดิ้นสิวะ!”
พี่อิสดึงทั้งเสื้อคลุมและเสื้อนักเรียนผมออกจากกางเกงได้สำเร็จ ถกเสื้อด้านหลังขึ้นแล้วก็พูดออกมาหน้านิ่งๆ
“เออ แดงจริงด้วย”
“ก็พี่ตบแรง”
“มึงขาวเหอะ โดนอะไรนิดอะไรหน่อยก็แดงไม่ใช่หรือไง อีกอย่างกูช่วยไม่ให้ไส้กรอกติดคอมึง ทั้งๆ ที่มึงควรตายด้วยความตะกละตะกลามของมึงไปแล้ว ที่จริงมึงควรขอบคุณกูนะ”
“ขอบพระคุณครับ” ผมหันไปพูดขณะที่ยัดเสื้อเข้าในกางเกง ถ้าพิจารณาหน่อยก็คงเข้าใจว่าประชด แต่คนอย่างพี่อิสคงจะไม่เสียเวลาพิจารณาหรอก
“เออ จำใส่กะลาหัวที่มึงครอบด้วยผมทรงผมอะไรของมึงก็ไม่รู้เอาไว้ว่ากูคือผู้มีพระคุณของมึง”
ผมหันมองตาขวางอีกที มาว่าทรงผมอีก เด็กม.ปลายใครเขาๆ ก็ไว้รองทรงเว้ย!
“งั้นผมไปเรียนแล้วนะ”
“เออ แล้ววันนี้เลิกงานกี่โมง”
“สามทุ่มครับ”
“อือ ไปเรียนเหอะ”
“ไม่ให้ขนมปังแน่นะ”
“ไม่”
“ใจร้าย”
“เออ กูมันคนไม่มีหัวใจไง” เขาผลักหัวผมทีหนึ่งก่อนจะปั่นจักรยานออกไป ผมเดินเข้าโรงเรียนเหมือนอย่างเคย เมื่อถึงคาบเรียนก็เปิดเป้ล้วงเข้าไปหยิบปากกา แต่กลับพบสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้ผมนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามันคือขนมปังไส้กรอกสองชิ้น หลุดยิ้มออกมานิดๆ ไม่รู้ว่าคนมือไวเอามาใส่ไว้ตอนไหน ผมเพิ่งรู้จักกับพี่อิสเลยไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนยังไง เท่าที่รู้คือเป็นคนพิลึกแล้วก็ปากหมา...แต่ว่าใจดีมากๆ เลย
...
วันนี้เวลาทำงานผมแค่สี่ชั่วโมงเลยเสร็จไวกว่าที่คิด ยังไม่ทันเหนื่อยเลยก็ได้เวลาเลิกงาน แถมวันนี้ผมยังหน้าบานตลอดการทำงานเพราะเงินเดือนออก แถมได้เยอะด้วยเพราะก่อนหน้านี้เลิกดึกหลายวัน วันนี้ก็เลยเดินตัวปลิวออกจากร้านหลังเลิกงาน ตั้งใจจะไปแวะหาอะไรอร่อยๆ กินเพื่อให้รางวัลตัวเองเสียหน่อย ก่อนเสียงมือถือที่ดังขึ้นจะทำให้หยุดชะงักกลางทาง
“หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว”
มันเปลี่ยนเสียงยังไงอะ...ตั้งใจว่าจะถามพี่อิสทีหลังแต่มีหวังเขาคงไม่ยอมให้ผมเปลี่ยนแน่ๆ ส่ายหัวเบาๆ กับความคิดของตัวเองแล้วกดรับ
“ครับพี่อิส”
“เลิกงานยัง”
“เลิกแล้ว”
“อือ ก็ดี กลับบ้านดีๆ”
“พี่อยู่ไหนอะ”
“กูก็อยู่บ้านกูดิ”
ผมกำลังจะตอบกลับไปแต่สายตามองไปเห็นหัวของคนคนหนึ่งโผล่ออกมาจากกำแพงตรงหัวมุมถนน คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะหัวนั้นคุ้นเหลือเกิน ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเป็นคนที่คิดเอาไว้ แล้วกรอกเสียงลงไปในสายโทรศัพท์
“บ้านพี่อยู่ตรงนี้เหรอ”
“เชี่ย!” เขาสะดุ้งเฮือกแล้วกระโดดออกไปอย่างตกใจ เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นผมก็ถอนใจทีหนึ่ง
“เดี๋ยวนี้นอนในถังขยะเหรอ” ผมว่าแล้วชี้ไปที่ถังขยะสามสีข้างๆ
“กูอุตส่าห์แอบ”
“หัวโผล่อะ”
เขาเหลือบตาไปมองกำแพงแล้วพูดพึมพำคนเดียว
“กำแพงเหี้ยนี่จะสร้างให้มันสูงๆ หน่อยไม่ได้หรือไงวะ”
“พี่มาทำอะไรเนี่ย”
“ก็ผ่านมาเฉยๆ”
“เดี๋ยวนี้ผมเจอพี่บ่อยมากเลยอะ”
“ทำไม ไม่อยากเจอหรือไง”
“อ๋อ เข้าใจละ พี่ตามดูผมใช่ปะ”
“ทำไมกูต้องตามดูมึงด้วย!” หันมาพูดเสียงดังด้วยใบหน้ายุ่งๆ
“เป็นห่วงผมอะดิ”
“กู...” เขาอึกอักที่จะตอบ ผมจึงแทรกสวนกลับไป
“อ๋อ หรือโดนพวกพี่ปรินซ์กดดันอีก โดนกดดันมาใช่ไหม ฮะๆๆ”
“เออ!” เขาตะคอกกลับมาตอนที่ผมกำลังเซ้าซี้
“เออนี่คือ...?”
“โดนกดดันเว้ย! แล้วก็...เป็นห่วงนิดหน่อย” เสียงพูดเบาๆ แบบไม่เต็มปากเต็มคำกับใบหน้ายุ่งๆ ทำผมหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย ฝ่ามือของเขายกขึ้นผลักหัวผมเบาๆ ทีหนึ่ง
“เออพี่อิส วันนี้ผมเงินเดือนออก ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันปะ ผมเลี้ยงเอง”
“จะมาเลี้ยงกูทำไม เก็บตังค์ไว้ใช้เหอะ”
“ก็ผมอยากขอบคุณพี่ที่ให้ผมไปนอนบ้านไง พี่อยากได้คำขอบคุณรสชาติเหมือนอะไร”
“สเต๊ก” คนที่บอกให้ผมเก็บตังค์ไว้ใช้สวนกลับมาทันควัน ผมจึงหันไปพยักหน้าหงึกๆ เพราะอยากกินด้วยเหมือนกัน
“เอาดิ ไปเลย ร้านไหน นำไป”
“เลี้ยงจริงอะ”
“จริงสิ”
“กูไม่ปฏิเสธนะ เพราะกูเป็นพวกหิวตลอดเวลาแต่เสือกไม่ค่อยจะมีกิน”
“ครับ วันนี้ผมรวย”
จริงๆ ก็มีเรื่องที่ต้องขอบคุณเขาหลายเรื่อง ขอบคุณที่ให้ไปนอนบ้าน ขอบคุณที่ซื้อมือถือให้ ขอบคุณที่ใจดีกับผม และขอบคุณที่เป็นห่วง...เพราะผมไม่ได้รับความห่วงใยจากใครมานานมากแล้ว
To be continued.