บทที่ 24
ใครบางคนมายืนอยู่หน้าบ้านผม จะใช่ไอ้คนที่วิ่งไล่ผมเมื่อคราวก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้
ระหว่างที่ผมกำลังลังเลว่าควรจะเอ่ยเรียกหรือออกตัววิ่งหนีเลยดี อีกฝ่ายก็รู้ตัวเสียก่อนว่าผมอยู่ด้านหลังเขา ชายคนนั้นเอื้อมมือลงไปที่เอว ซึ่งคงกำลังจะหยิบปืนขึ้นมาแน่ ผมตัวแข็งไปทันที
“อ้าว ออสติน” ชายคนนั้นเอ่ยเรียกอย่างงงๆ “มาซะเงียบเชียว ทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“ไคล์!” ผมร้องด้วยความโล่งใจทันที ก่อนจะเริ่มโวยวายใส่ “นายต่างหาก มายืนหน้าบ้านคนอื่นเขาแบบนี้ทำไมกัน ฉันนี่ใจหายวาบเลย นึกว่าไอ้บ้าที่ไหนพยายามจะเอาตัวฉันไปอีก”
อีกฝ่ายจ้องผมเขม็งกับคำพูดนั้น ผมยักไหล่อย่างเสียไม่ได้
“เอาเป็นว่า เข้ามาก่อนสิ แล้วนี่นายมานานหรือยัง ทำไมไม่โทรมา”
“บังเอิญผ่านทางเลยแวะมาน่ะ เอาพวกเบเกอรี่มาฝากด้วย ตอนแรกก็ว่าจะกลับแล้วเพราะเห็นนายไม่อยู่บ้าน”
ไคล์นั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกอย่างคุ้นเคย ผมรินชาให้เขา เปิดถุงมองทาร์ตไข่ที่เจ้าตัวซื้อมาฝากพร้อมกับสโคน กลิ่นหอมของมันลอยมาแตะจมูก แต่ผมไม่มีความอยากเลย
“หน้านายดูโทรมมากเลยนะ ออสติน”
“ขอบใจ อรุณสวัสดิ์เหมือนกัน ไคล์ นายหาคำอื่นเปิดบทสนทนาดีกว่านี้ไม่ได้แล้วใช่ไหม”
เจ้าหน้าที่หนุ่มยิ้มออกมานิดหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ผมมองมือของตัวเองที่กำลังถือถ้วยชาอยู่ มันสั่นไปหมด อีกฝ่ายมองตามหน้านิ่ง
“ฉันรู้อะไรที่ไม่ควรรู้มาน่ะ”
“อะไรเหรอ”
“ก็… หลายอย่าง” ผมตอบกำกวม ยกชาขึ้นมาจิบ เฝื่อนคอชะมัด “นายคิดว่าตอนนี้คริสเป็นยังไง”
“คริสเตียนเหรอ” ไคล์ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ผมลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา แล้วก็คิดลงความเห็นว่ามันเป็นของจริง “ทำไมอยู่ๆ พูดถึงหมอนี่ขึ้นมา หรือว่าคนที่ทำคดีนี้ได้ความคืบหน้าอะไร”
“อืม จะว่างั้นก็ได้มั้ง”
“เขาว่าไงล่ะ”
ผมมองตาเขาอย่างค้นคว้า ไคล์ทำสีหน้างุนงงมาให้ผม
“อะไร ออสติน ทำไมมองฉันแบบนั้น”
“แค่อยากรู้ว่านายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่รึเปล่า”
ไคล์ทำหน้าฉงน “ฉันจะปิดบังอะไรนายทำไม เดี๋ยวก่อน นี่เรื่องของคริสเตียนใช่ไหม นายรู้อะไรมา ออสติน”
“คริสตายแล้ว ไคล์”
อีกฝ่ายเบิกตากว้างขึ้นอย่างอึ้งๆ หมอนี่ตกใจจริงๆ ไม่ได้โกหก ผมคบกันมันมานานจนรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเป็นยังไงถ้าโกหกหรือปิดบังบางอย่าง เสียดายที่ผมไม่ได้รู้จักไซม่อนนานพอที่จะจับสังเกตได้แบบนี้
“งั้นเหรอ พวกเขาเจอศพคริสเตียนแล้วเหรอ”
ผมนิ่งเงียบไป อันที่จริงก็ไม่ได้เห็นศพเต็มๆ ในวิดีโอนั่นหรอก แค่เลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วเท่านั้นเอง
แต่… หัวใจนี่ ถ้ามันเป็นของคริสจริงๆ ก็แปลว่าหมอนั่นต้องตายไปแล้วแน่ล่ะ
“นายไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเหมือนกันใช่ไหม ไคล์”
“ไม่ ฉันไม่รู้เลย เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคริสตายมานานแล้ว”
“อืม” คำนวนจากช่วงเวลาหลายเดือนที่ผมได้หัวใจนี่มา ก็นานแล้วนะ “เดี๋ยววันนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาล”
“อะไร” น้ำเสียงชายหนุ่มงุนงงเมื่อเห็นผมซดชาหมดรวดเดียวแล้วเดินเอาไปเก็บในครัว “นายยังจะไปทำงานอีกเหรอ ก็ไม่ใช่ว่าแค่ชั่วคราวรึไง”
“ชั่วคราวแหละ แต่ฉันต้องไปคุยกับเพื่อนฉันเรื่องหัวใจบ้าบอนี่”
“คนที่เป็นเจ้าของไข้นายน่ะเหรอ”
“ใช่”
“แล้วมันมีปัญหาอะไร”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ตามปกติแล้วไม่ค่อยมีความลับอะไรกับเพื่อนคนนี้ แต่ตอนนี้ผมเองยังไม่แน่ใจในข้อมูลที่เพิ่งได้มา ครั้งก่อนผมก็โดนไซม่อนหลอกไปแล้วว่าหัวใจที่ได้มาเป็นของพี่ชายเจ้าตัว มาคราวนี้เขาก็เป็นฝ่ายที่เอาวิดีโอนั่นให้ดู
ผมหมายถึง… ผมเองแหละที่เป็นคนคาดคั้นเขาเรื่องนั้น แต่ผมไม่มีทางรู้นี่ว่าหัวใจที่ได้มาเป็นของคริสจริงๆ ใช่ไหม?
แต่… อะแมนด้าต้องรู้ และส่วนลึกในตัวผมก็รู้ แต่ผมจะต้องยืนยันเรื่องนี้ ให้มันเด็ดขาดกันไปข้าง
“ฉันจะบอกนาย หลังจากแน่ใจแล้วก็แล้วกัน” ผมตัดบท เดินขึ้นบ้านไปเพื่อจัดการตัวเอง ผมเสียเวลาคร่ำครวญสติแตกมาเยอะแล้วเมื่อคืน ถึงเวลาต้องยอมรับความจริงเสียที
…
“คุณยังจะมาหาฉันด้วยเรื่องนี้อีกเหรอคะ ออสติน” นั่นคือสิ่งแรกที่อะแมนดาพูดหลังจากที่ผมเริ่มต้นสนทนาได้เพียงไม่กี่ประโยค
ผมเหลือบตาไปมองที่ประตูห้อง เช็คให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาช่วงเวลานี้ หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานถอนหายใจ ยอมลุกขึ้นไปล็อกประตูออฟฟิศของตัวเองแล้วจึงกลับมานั่งที่เดิม
“ฉันบอกให้คุณไปหาคนที่พอจะพูดด้วยได้บ้างแล้วนี่”
“ขอทีเถอะ อะแมนด้า คุณก็รู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ผมเคารพคุณมาตลอด ให้เกียรติคุณ ไว้ใจคุณ คุณไม่ควรทำแบบนี้กับผม”
ท่าทีของเจ้าหล่อนดูอึดอัดขึ้นทันทีอย่างคนมีชนักติดหลัง ผมรีบรุกต่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดช่องให้หล่อนหยุดคิดนาน
“คุณรู้ว่าคริสเตียนตายแล้วใช่ไหมครับ”
ใบหน้าของเจ้าหล่อนซีดเผือดลงอย่างน่าใจหาย นั่นประไร ถ้าเกิดว่าจี้ให้ถูกจุดล่ะก็ ต่อให้อีกฝ่ายอยากจะปกปิดหรือโกหกแค่ไหนก็ได้ได้ไม่เนียนหรอก
ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับหัวใจโดนกดทับ ผมเอ่ยปากถามต่อเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว ผมจี้มาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้
“แล้วตอนนี้หัวใจของหมอนั่นก็อยู่ในตัวผมใช่ไหม”
หญิงสาวครางออกมาอย่างห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ ราวกับความอดกลั้นทั้งหมดได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา เห็นอีกฝ่ายฟุบหน้าลงไปบนฝ่ามืออย่างอ่อนล้าแล้วผมรู้สึกอยากจะครางดังๆ บ้าง
ไม่มีการพลิกผันใดๆ ในเรื่องนี้ หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียนจริงๆ ลึกๆ ลงไปแล้วผมก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะ แต่ก็ยังหวังว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไร้สาระแล้วก็ย้ำให้ผมแน่ใจ หาหลักฐานอย่างอื่นมาให้ผมว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกนี่เคยเป็นของคนอื่นมาก่อน ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คริส
“ทำไม” ผมพูดเหมือนคราง “คุณทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ทำไมไม่บอกผมสักคำ”
“คุณไม่ควรจะรู้เรื่องนี้” หล่อนส่ายหน้า ปาดน้ำตาด้วยหลังมือ ผมเลื่อนกล่องทิชชู่ไปให้ “มันควรจะเป็นความลับ มันควรจะเป็นความลับไปตลอดกาลด้วยซ้ำ”
“แต่ผมไม่มีทางรู้ว่าคริสเตียนตายแล้ว และผมไม่ยอมแค่ลืมเรื่องของหมอนั่นไปง่ายๆ แน่”
“ถ้าแค่ทางเจ้าหน้าที่งี่เง่าพวกนั้นบอกคุณว่าคริสเตียนตายแล้ว เรื่องก็ควรจะจบแล้วแท้ๆ” แพทย์หญิงพูดอย่างอัดอั้นระคนโกรธเคือง “ทุกอย่างนี่มันวุ่นวายไปหมดเพราะพวกเขาทำให้มันเป็นเรื่องยากทั้งนั้น ถ้าแค่บอกคุณว่าคริสเตียนตายไปแล้ว เรื่องก็จบ คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องหัวใจนี่เลย ยังไงมันก็เป็นความลับทางการแพทย์อยู่แล้ว ทำไมมันถึงได้---”
“พอแล้วครับ” ผมตัดบท รู้สึกช่องท้องปั่นป่วนขึ้นมา แต่ผมก็ทำเพียงแค่ลุกออกจากเก้าอี้ “ผมจะไปหาเจ้าหน้าที่เพรซตอนแล้ว ขอบคุณมากครับที่บอกความจริงกับผม”
“คุณจะไปหาลูซี่เหรอคะ” หล่อนถามอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ ทั้งหมดที่ฉันพูดนี่ยังไม่พออีกเหรอ”
“งั้นคุณบอกผมมา อะแมนดา” ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อระคนแค้นเคือง เรื่องนี้ทำให้ผมเป็นต่อเจ้าหล่อนอยู่นิดหน่อย “คุณรู้จักเจ้าหน้าที่เพรซตอน รู้เรื่องหัวใจของผม เพราะเพรซตอนเป็นเจ้าหน้าที่ที่พบศพของคริสเตียนใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“คุณได้ดูวิดีโอนั่นรึเปล่า”
หล่อนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น ไม่ตอบ ผมพยักหน้ารับแกนๆ ก่อนจะตรงดิ่งไปที่ประตู ปลดล็อกมัน หากยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป เสียงเบาหวิวจากคนด้านหลังก็รั้งเขาไว้
“คุณไม่ควรดูมันเลย ออสติน ไม่ควรเลย”
ผมเห็นด้วยกับคำพูดเจ้าหล่อนสุดหัวใจเลยล่ะ
…
ไซม่อนโทรเข้ามือถือผมเป็นครั้งที่สิบของวัน ผมปรายตามองชื่อของเขาอย่างเย็นชาก่อนจะปล่อยมันเงียบไปเองเหมือนที่ทำเมื่อเก้าครั้งก่อน
ก้าวเท้าเข้าไปในสำนักงานที่เพรซตอนอยู่ พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่เคยพาผมไปถึงโต๊ะทำงานของเพรซตอนจำผมได้ และไม่กี่อึดใจต่อมาผมก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องสองต่อสองกับเจ้าหน้าที่คนนี้
หล่อนยกมือประสานขึ้นไว้บนโต๊ะ ท่าทางเหมือนพวกเจ้าหน้าที่ทั่วไปที่กำลังจะสอบปากคำผู้ต้องสงสัย ผมไม่ถือเรื่องนั้นหรอก มันอาจกลายเป็นบุคลิกที่ติดเป็นนิสัยไปแล้วของพวกตำรวจก็ได้ แต่ผมแค่สงสัยวารอบนี้ ใครจะสอบปากใครกันแน่
“ฉันอยากจะขอโทษคุณเรื่องคราวก่อนที่ขอให้คุณกลับไป ขอโทษที่ผิดสัญญากับคุณนะคะ คุณหมอการ์ดเนอร์”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” ผมว่าเสียงเรียบ ลอบมองปฏิกิริยาของคู่สนทนา “ผมรู้ว่าคุณคงขัดคำขอของไซม่อนไม่ได้ เขาขอไม่ให้คุณพูดถึงเรื่องคดีของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนกับผมใช่ไหม”
หล่อนหายใจแรงขึ้นนิดหนึ่ง ผมอาจจะไม่ใช่คนที่จับพิรุธเก่งนะ แต่ถ้าลองมานั่งในห้องเงียบๆ สองต่อสองแบบนี้ ยิ่งอีกฝ่ายมีความรู้สึกผิดต่อผม ความอึดอัดมันจะปรากฎออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นพอๆ กับความจริงที่เพรซตอนปิดไว้
“และการที่อะแมนดาแนะนำให้ผมมาหาคุณเพื่อถามเรื่องหัวใจ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า--”
“เรื่องหัวใจนั่น มันควรจะเป็นความลับนะคะ คุณการ์ดเนอร์”
ผมยกยิ้มเหยียด “ใช่ นั่นสินะครับ คุณพูดถูก แต่เรื่องคริสเตียนเองแหละ ผมแจ้งความเรื่องหมอนั่นไปเป็นชาติ ตำรวจเองก็ตามตัวหมอนั่นเป็นปี แต่ผมกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้ตัวอีกทีก็คือได้หัวใจของไอ้โรคจิตนั่นมาอยู่ในตัว คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ความจริงก็คือหมอนั่นยังไม่ตายหรอก มันอยู่ในตัวผมนี่แหละ เต้นตุบอยู่ในอกข้างซ้ายนี่ คุณรู้ไหมว่ามันให้ความรู้สึกยังไง”
“คงจะรู้สึกเหมือนอยากควักหัวใจนั่นออกมาเลยมั้ง” เสียงของใครอีกคนดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายที่ผมไม่รู้จักก้าวเข้ามา ชายหนุ่มคนนั้นมีรอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้า เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาชี้ไปมาไม่เป็นทรง แต่งกายสุภาพและดูไม่มีท่าทีเคร่งขรึมหรือระวังตัวแจเหมือนตำรวจทั่วไป
“คัลเลน!” เพรซตอนหันไปแหวใส่ผู้มาใหม่ สีหน้าตกใจ “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาโดยพลการน่ะ แล้วนี่มาทำอะไร---”
“โว้วๆๆ ใจเย็นๆ สิครับ คุณเจ้าหน้าที่เพรซตอน ไม่เห็นต้องดุกันเลย”
“คุณเป็นใครครับ” ผมถามงงๆ หงุดหงิดไม่น้อยที่โดนขัดจังหวะ กำลังจะลากเข้าเรื่องสำคัญกับเจ้าหน้าที่สาวตรงหน้าแท้ๆ ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มมาให้ผมเหมือนรู้ทัน ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“ผมเฟรดเดอริค คัลเลนครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ออสติน การ์ดเนอร์ครับ” แนะนำตัว เอื้อมมือไปจับมือเขาอย่างเสียไม่ได้ คัลเลนทำสีหน้าอย่างหนึ่งตอนได้ยินชื่อผม เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองรัวๆ
“คุณนั่นเองที่ไซม่อน---”
“คัลเลน” เพรซตอนพูดเสียงเฉียบขาด นั่นทำให้ผมหันหน้าขวับไปมองเจ้าหล่อนทันที ความสงสัยพรั่งพรูออกมา
“คุณรู้จักไซม่อนด้วยเหรอครับ แล้ว… ทำไมครับ เขาพูดอะไรถึงผม”
“อ้อ ก็… หลายอย่างครับ” คัลเลนยกนิ้วเคาะริมฝีปากอย่างยียวน ดูจากภายนอกแล้วเขาน่าจะอยู่ในช่วงกลางถึงปลายสามสิบแล้วแท้ๆ แต่ไอ้ความยียวนที่แสดงออกมานี่ยังกับเด็กวัยรุ่น “เฮ้ เพรซตอน คุณได้บอกเขาเรื่องที่เขาได้อวัยวะของคนที่ข่มขืนตัวเองไปรึเปล่า?”
“คัลเลน!”
ผมหน้าชา นึกอยากถีบผู้มาใหม่คนนี้ไปให้ไกลสุดเท้าเลย เพรซตอนพยายามดันไหล่อีกฝ่ายออกจากห้อง หากชายหนุ่มคนนั้นก้มลงไปกระซิบอะไรบางอย่างกับหญิงสาว และในที่สุดก็ออกไปด้วยกันทั้งคู่
อะไรของมันวะ…
ผมทิ้งน้ำหนักหลังลงบนพนักพิงของเก้าอี้ ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นอย่างบ้าคลั่ง ผมควักออกมา ไซม่อนโทรหาผมเป็นครั้งที่สิบเอ็ด
ผมเหวี่ยงเจ้าเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูเปิดออกอีกรอบ แต่คนที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่เพรซตอน หากเป็นเฟรดเดอริค คัลเลนที่ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าตั้งแต่ความประทับใจแรก ผมถามอีกฝ่ายทันทีอย่างอดทน
“แล้วเจ้าหน้าที่เพรซตอนล่ะครับ”
"ติดงานนิดหน่อยน่ะ พวกงานเอกสารก็วุ่นวายแบบนี้แหละ ชอบบ่นให้ฟังตลอด"
ผมหรี่ตาลงมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งเห็นรอยยิ้มทะเล้นๆ ของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกได้เลยว่านั่นต้องเป็นคำโกหก ผมลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ หวังจะไปตามเพรซตอนกลับมาเหมือนเดิม หากคัลเลนคว้าข้อมือผมไว้อย่างรวดเร็ว ผมสะดุ้งเฮือก ดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมนั้นด้วยสีหน้าที่ซีดลง
"โอ้ เอ่อ โทษที" คนผมน้ำตาลอ่อนว่า ยกนิ้วชี้ขึ้นก่อนจะพูดอย่างนึกขึ้นได้ "กลัวการสัมผัสสินะครับ?"
"เพรซตอนไม่มีทางกลับไปทำงานเอกสารได้หรอก" ผมพูดอย่างเหลืออด "คราวก่อนหล่อนก็ผิดสัญญากับผมด้วยข้ออ้างนี้ ผมเชื่อว่าหล่อนจะไม่ทำแบบเดิม"
คัลเลนส่งยิ้มอย่างไม่อนาทรร้อนใจมาให้ เห็นแล้วแทบอยากจะกระโดดถีบกลางหน้า เผื่อรอยยิ้มกวนประสาทนั่นจะหายไปสักที
"ก็ได้ คุณการ์ดเนอร์ ผมยอมรับแล้ว ผมเป็นขอให้หล่อนไปเอง เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้มีเวลาคุยกับคุณตามลำพัง"
"ผมไม่ได้ต้องการคุยกับคุณ ผมมีธุระกับเจ้าหน้าที่เพรซตอนคนเดียว"
คัลเลนส่งยิ้มบางๆ ให้ผมเช่นเคยก่อนจะส่ายหน้า "คุณไม่เข้าใจ คุณหมอ เพรซตอนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มตัว หล่อนไม่สามารถตอบคำถามทั้งหมดของคุณได้โดยที่ไม่ทำผิดจรรยาบรรณ นั่นในกรณีที่หล่อนรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นนะ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าไม่"
ท่าทีบางอย่างของเขาทำให้ผมคล้อยตามอย่างไม่น่าเชื่อ น้ำเสียงเนิบๆ ที่ดูใจเย็นนั่น ท่าทีที่ดูมีลับลมคมในแต่ก็พร้อมจะเปิดใจนั่นดูขัดแย้งกันเองพิกล
"คุณเป็นใครกันแน่" ผมขมวดคิ้ว "คุณบอกว่าถ้าเจ้าหน้าที่เพรซตอนเป็นคนพูดจะผิดจรรยาบรรณ แต่ถ้าคุณพูด จะไม่ผิดงั้นเหรอครับ?"
"อ้อ ใช่ อันดับแรกเลย ผมไม่ใช่ตำรวจ ผมเป็นผู้ช่วยเท่านั้น เป็น อืม... นักจิตวิทยาล่ะมั้ง คอยวิเคราะห์ที่เกิดเหตุ วิเคราะห์ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่น ใช่ ผมไม่ใช่ตำรวจ และใช่ ผมรู้จักไซม่อน แมคแนร์ เคยทำคดีร่วมกับเขา สนิทกับเขามากกว่าที่เพรซตอนสนิทด้วย หลังๆ มานี่ผมไม่ค่อยได้ร่วมงานกับเขาเพราะมาประจำอยู่กับหน่วยของเพรซตอนแทน แต่ก็ยังนัดเจอกับไซม่อนบ่อยๆ นะ ถ้าคุณอยากรู้ และเชื่อได้เลย ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากกว่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนๆ จะรู้แน่
“ส่วนเหตุผลที่ผมอยากจะคุยกับคุณเรื่องเขา หนึ่งก็คือไซม่อนเคยเล่าเรื่องคุณให้ผมฟัง ผมเองก็อยากลองคุยดูว่าคุณเป็นคนยังไง สอง เพราะเรื่องคดีที่คุณมาหาเพรซตอนเกี่ยวข้องกับคุณค่อนข้างมาก แต่เพรซตอนจะตอบคำถามคุณได้ไม่หมด โดยเฉพาะกับเรื่องไซม่อนด้วยแล้ว ไม่ใช่ว่าหล่อนอยากจะปิดบังอะไรแต่หล่อนเองก็รู้ไม่หมดเหมือนกัน เอาล่ะ คุณมีคำถามอะไรอีก"
"หา?" ไอ้หมอนี่มันพูดบ้าอะไรออกมาบ้างวะเนี่ย
"เอางี้ ขอผมถามคุณดีกว่า" อีกฝ่ายยกมือขึ้นประสานตรงหน้า นัยน์ตาสีฟ้าของเขาราวกับจะอ่านทะลุไปถึงสิ่งที่อยู่ในหัวผมได้ "คุณมาที่นี่ด้วยเรื่องของไซม่อน เฮฟเฟอร์แมน หรือว่าเรื่องหัวใจที่คุณได้ไป?"
"ผมก็มาด้วยเรื่องทั้งหมดนั่นแหละ" ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หากอีกฝ่ายยกมือดีดนิ้วอย่างพึงพอใจ ทำท่าราวกับจะบอกผมว่า 'นั่นแหละ!' เพี้ยนชะมัด
"หมายความว่าคุณเจอความเชื่อมโยงในนั้นใช่ไหม ระหว่างสองคนนั่นกับหัวใจของคุณ คราวนี้ก็มาที่ตัวคุณ"
"คุณจะพูดอะไรกันแน่"
"คุณรู้จักการสะกดจิตรึเปล่า คุณการ์ดเนอร์"
คัลเลนย้อนคำถามกลับมา ผมขมวดคิ้วมุ่นนิดหนึ่งแต่ก็ยอมตามน้ำ "ก็เคยได้ยินมาบ้างครับ แต่ถ้าใช้วิธีนั้นในการสืบคดีล่ะก็ มันผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ"
"แล้วแต่กรณีครับ คุณหมอ ถ้าเราใช้วิธีสะกดจิตพยานที่เห็นเหตุการณ์ล่ะก็ ทางศาลจะไม่อนุญาตให้พยานคนดังกล่าวขึ้นให้การได้ แต่การที่เราจะลงมือเสี่ยงสะกดจิตพยานสักคน เราต้องมั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า การสะกดจิตเป็นภาวะหนึ่งของจิตไร้สำนึก สิ่งที่ต้องทำในขั้นตอนพวกนี้ก็คือ ทำให้คนที่เราสะกดจิตเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงจุดที่คนคนนั้นสามารถเข้าถึงทุกส่วนของจิตใจได้และดึงเอาข้อมูลที่อยู่ในนั้นออกมา ผมเคยรับอาสาสะกดจิตผู้หญิงที่ถูกข่มขืนหนึ่ง เธอสามารถบรรยายรายละเอียดของรอยสักที่อยู่บนตัวผู้ร้ายได้ละเอียดยิบเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเธอนึกอะไรไม่ออกเลยเกี่ยวกับต่อคนก่อเหตุ”
“แล้วคุณจะบอกอะไรผมกันแน่”
“ผมเคยสะกดจิตไซม่อนมาก่อน คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าอะไรอยู่ข้างในจิตใต้สำนึกของเขา”
“ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเกี่ยวอะไรกับผม” แน่ล่ะ ถ้าไซม่อนจะโดนสะกดจิตเพื่อระลึกเอาสิ่งที่เขาเห็นในที่เกิดเหตุหรืออะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรนี่
“มันเป็นเรื่องคดีของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”
“คริสเตียนฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอครับ” ผมถามกลับอย่างสับสน รอยยิ้มขี้เล่นของคนตรงหน้าหายไปแล้ว “ทำไมคุณถึงใช้คำว่าคดีล่ะ”
“ก่อนที่ผมจะพูด ผมต้องบอกก่อนว่าตัวผมเองรับสะกดจิตเพื่อบำบัดให้คนที่มีอาการย่ำแย่ทางด้านจิตใจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมา ถ้าเป็นเรื่องของคนไข้ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นเพราะเรามีข้อตกลงที่ต้องดูแลความลับของคนไข้ แต่ไซม่อนไม่ใช่คนไข้ของผม เขาเป็นเพื่อนผม เขายอมปล่อยให้ผมลงไปเดินเล่นในจิตใต้สำนึกของเขา ยอมบอกความลับของเขาให้ผมฟังเพื่อที่มันจะได้ช่วยเหลือตัวเขาเอง ผมแค่ดึงเขาออกมาจากเหวอันดำมืดในจิตใจของตัวเอง คุณเข้าใจไหม และผมไม่เคยบอกสิ่งที่อยู่ในนั้นให้ใครรู้ แต่ผมจะบอกคุณ ผมคิดว่าคุณมีสิทธิ์ที่ควรได้รู้เรื่องนี้”
“ผมไม่เข้าใจ” ในหัวผมมันสับสนไปหมดแล้วจริงๆ
เฟรดเดอริค คัลเลนโน้มหน้าเข้ามาใกล้ขณะพูดเสียงเรียบ
“ไซม่อนเป็นคนส่งปืนให้คริสเตียนฆ่าตัวตาย”
--------------------------------
Talk: อ้าว เดี๋ยวๆๆ ยังจะมีอะไรพลิกได้อีกเหรอ 555555