ตอนที่ 15 …. การเดินทางเพิ่งจะเริ่มต้น
ข้ามขั้นตอนการขอเชงเกนต์วีซ่า (Schengen Visa) ไปเลยก็แล้วกัน
เพราะไม่มีอะไรยุ่งยาก ...
เล่าให้อ่านคร่าว ๆ ก็คือ
เชงเกนต์วีซ่าเป็นวีซ่าที่ทำทีเดียว
แต่สามารถเข้าได้ 15 ประเทศในยุโรป
ประเทศที่ไปขอเชงเกนต์วีซ่าก็ต้องเป็นประเทศที่จะเข้าไปเป็นประเทศแรก
หรือเป็นประเทศที่อยู่นานที่สุดในการท่องเที่ยวครั้งนั้น
...
วันเดินทาง
ออกจากบ้าน 9.30 น. เพื่อเตรียมตัวขึ้นรถไฟขบวน 10.11 น.
ไปถึงลอนดอนประมาณเที่ยงครึ่ง แล้วก็รีบต่อ tube
ไปที่ London Heathrow Airport …
เพื่อบินไปมิวนิค (Munich ภาษาอังกฤษ) หรือ มึนเช่น (Muchen ภาษาเยอรมัน)
...
17.45 น. เครื่องแลนด์ดิ่งลงอย่างปลอดภัยที่เมืองมิวนิค
ตามเวลาประเทศเยอรมัน (ซึ่งเร็วกว่าที่อังกฤษ 1 ชั่วโมง)
ผ่านกระบวนการเกี่ยวกับคนเข้าเมืองต่าง ๆ เรียบร้อย
ก็ออกมารอ ‘บี’ ...
เกือบหนึ่งทุ่ม ... ยังไม่มีวี่แววของ ‘บี’ ... นนท์เริ่มกระวนกระวาย
“สงสัยต้องไปเที่ยวกับเพื่อน 2 คนแล้วมั๊ง” นนท์บ่นสีหน้าดูเป็นกังวล
และน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย ...
ผมแอบยิ้ม ในใจภาวนาว่า ... ‘อย่ามาเลย’
ไม่ใช่เพราะอยากไปเที่ยวกับนนท์แค่สองคนหรอกนะ
แต่ผมรู้สึกไม่อยากไปเที่ยวกับคนที่ไม่ค่อยสนิทเท่านั้นเอง
ก็บอกแล้วว่าผมเข้ากับคนยาก ... ผมไม่ใช่คนมนุษยสัมพันธ์ดีมากนัก
แต่เพราะการมาเที่ยวครั้งนี้นนท์สัญญากับผมว่า
‘ ‘เพื่อน’ จะดูแลเพื่อน ... จะไม่ปล่อยให้เพื่อนเหงา’
มือถือของนนท์ใช้การไม่ได้ ... นนท์ให้ผมไปแลกเหรียญเพื่อหยอดโทรศัพท์
ผมกับนนท์มีเงินยูโรแต่เป็นแบงค์ ... ก็เลยซื้อไอติมหนึ่งแท่งเพื่อแลกเหรียญ
นนท์หยอดเหรียญไปที่ตู้โทรศัพท์แล้วกดเบอร์ ...
‘ติดต่อไม่ได้’ ผมคิดในใจ ... แต่ ...
“กำลังหาที่จอดรถ” เสียงบีตอบกลับมา
รอซักพักบีเดินมาพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน ... พี่อูกับพี่โม่
เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของบี ... มาจากอเมริกา ...
พี่อูเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ปากบางได้รูป
รูปร่างบอบบางท่าทางเซอร์ ๆ ผมยาวม้วนเป็นมวยไว้ด้านหลัง
ส่วนพี่โม่เป็นผู้ชายผิวขาวจัด ปากแดง ผมยาวประบ่า
ท่าทางลุย ๆ ... พี่สองคนเป็นแฟนกัน ...
หลังจากแนะนำตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ขึ้นรถที่เช่ามาเพื่อขับไปเที่ยวตลอดทริปนี้
รถที่เยอรมันเป็นรถพวงมาลัยซ้าย และขับรถเลนขวา
ทำให้ผมรู้สึกงงและสับสนกับทิศทางเล็กน้อย ...
บีให้พี่อูเป็นคนขับรถเพราะตอนที่อยู่อเมริกาพี่อูก็ขับรถตลอด
เลยค่อนข้างชินกับการขับรถด้านขวา ... พี่อูขับรถเก่งมาก
นิ่มนวลและไม่กระตุกเลยทั้ง ๆ ที่เป็นรถเกียร์ธรรมดา ...
ส่วนบีนั่งข้างคนขับคอยดูแผนที่
เรียกว่าทริปนี้ .. บีเป็นเนวิเกเตอร์ ...
ส่วนด้านหลังสามคนซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ชายทั้งสามคน คือ นนท์ ผม และพี่โม่ ...
นั่งเป็นผู้โดยสารอย่างเต็มใจ ...
“คืนนี้เราจะไปนอนที่ Salzburg (ออสเตรีย) ก่อน” ‘บี’บอก
พร้อมกับดูแผนที่ และบอกทางให้คนขับ
ระหว่างเดินทางก็แวะทางอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เป็นอาหารจำพวกไส้กรอกกับขาหมูเยอรมัน
“นนท์อยากทานอะไร” บีถามนนท์ก่อนอ่านรายการอาหารให้ฟัง
“แนะนำมาเลย… อะไรก็ได้” นนท์บอก
“เพื่อนล่ะอยากทานอะไร” พี่อูถามผม
“เพื่อนทานอะไรก็ได้ ... เหมือนผมละกัน” นนท์ก็ตอบคำถามแทน
บีเลยสั่งอาหารเป็นขาหมูเยอรมันให้พวกเราคนละจาน
อาหารรสชาติใช้ได้และให้ปริมาณเยอะมากจนกินไม่หมด
ระหว่างทานอาหารผมแทบไม่ได้พูดเลยซักคำ
ส่วนบีก็ชวนนนท์คุยตลอด ...
... เดินทางไปถึง Salzburg เกือบเที่ยงคืน
โรงแรมที่พักเป็นโรงแรมที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาที่มีหิมะปกคลุมและทุ่งหญ้ากว้าง
สวยงามมาก ... เราจองห้องพัก 2 ห้อง
“ผู้ชายนอนด้วยกัน 3 คน” บีบอกพลางลากกระเป๋าเข้าไปในห้องหนึ่ง
“แต่พี่อยากอยู่ห้องเดียวกับอู” พี่โม่แย้งขึ้นมา
“ไม่ได้.. แล้วจะให้บีนอนไหน …” บีเถียงสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“จะแยกแฟนเค้าไม่ให้อยู่ด้วยกันได้ไง” พี่โม่ยังบ่นต่อไปอีก ...
แต่ไม่จริงจังอะไรนัก .. ท่าทางเหมือนอยากจะแกล้งมากกว่า
“งั้นน้องบีไปนอนคนเดียวสิ ... อุตส่าห์มายุโรปก็อยากจะสวีทกับแฟนอะ”
พี่โม่พูดต่อ ...
“เลิกแกล้งน้องได้แล้ว ...” พี่อูพูดตัดบท ... ท่าทางง่วงมาก
ก็ขับรถคนเดียวตั้งเกือบ 6 ชั่วโมง ... พูดจบก็ลากกระเป๋าตามบีเข้าไปในห้อง
ก่อนจะหันมาโบกมือให้พี่โม่แล้วบอกว่า
“เหนื่อย ... ง่วงด้วย ... good night ...” แล้วปิดประตู ...
ในห้องที่พักมีเตียงสามเตียง ... เข้าใจว่าตอนที่จองก็จองห้องแบบมีสามเตียงมาแต่แรก
“ ‘ยศ’จะตามมาอีก 3-4 วันนี้แหละ ...” พี่โม่บอกกับนนท์ ...
นนท์บอกว่า ‘ยศ’ คือเพื่อนอีกคนที่อยู่ที่อเมริกา
และนนท์ก็บอกอีกว่าจะมีเพื่อนมาจากฝรั่งเศสอีก 2 คน
จะตามมาสมทบในวันเดียวกันกับยศ ...
จะมีคนที่ผมไม่รู้จักมาเพิ่มอีกกี่คนเนี่ย ...
แค่นี้ผมรู้สึกเซ็งเล็กน้อย ... ก็แทบไม่พูดไม่จากับใคร ... เพราะพูดไม่ทัน
ทุกคนดูเหมือนรู้จักและสนิทกันหมดเลย
“บางคน ‘เพื่อน’ ก็ไม่รู้จัก” นนท์บอกเหมือนรู้ความคิดของผม
“ใครที่ ‘เพื่อน’ ไม่รู้จัก ...” ผมถาม
“ก็คนที่มาจากฝรั่งเศสไง ... เคยได้ยินแต่ชื่อ ...
รู้แต่ว่าเป็นเพื่อนของบีเท่านั้นเอง” นนท์บอก ... ผมพยักหน้ารับรู้
รู้สึกเหงานิดหน่อย ... ไม่รู้ทำไม
รุ่งขึ้น ... เราตื่นกันค่อนข้างสาย ...
คงเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางเมื่อคืน
ลงมาทานอาหารเช้าซึ่งเป็นขนมปัง style เยอรมัน
มีแฮม และแยม หมูบดทากับขนมปัง ... ผมว่าไม่อร่อยเลย
ขนมปังก็แข็งมาก ... ผมวางขนมปังลงหลังจากกัดได้แค่คำเดียว ...
“อิ่มแล้วเหรอ ... กินให้หมดจะได้มีแรงเที่ยว” พี่อูบอกแล้วหันมายิ้มให้ ...
รอยยิ้มของพี่เค้าทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นจัง ... ผมหยิบขนมปังก้อนโตมากินจนหมด
ออกเดินทางต่อ ... ไปดูรอบ ๆ เมือง Salzburg มีปราสาทบนภูเขา
และมีรูปปั้นของ Mozart …
“Salzburg เป็นเมือง The Sound of Music ไง”
บีพยายามให้ความรู้กับทุกคน ... ผมทำหน้างงกับ The Sound of Music
“ก็หนังที่มาถ่ายทำที่นี่น่ะ ... เป็นหนังเรื่อง classic เลยนะ”
พี่อูยื่นน้ำให้ผม ... และขยายความเรื่อง The Sound of Music ให้ฟัง
“ที่นางเอกร้องเพลงบนภูเขาด้วย ... เขาลูกโน้น ...” ผมมองตามมือพี่อู
อืม ... สวยจริง ๆ มีหิมะปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่งด้วย
เหมือนกับอยู่ในฝันเลยไม่แปลกใจที่เอามาเป็นโลเคชั่นถ่ายหนัง
ตลอดการเดินไปรอบ ๆ เมือง ผมถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวอย่างเซ็ง ๆ
เพราะบีเดินกับนนท์และขอให้นนท์ถ่ายรูปให้ตลอด ...
ผมรู้สึกเหงานิด ๆ …
ตั้งแต่มาถึงเยอรมันและถึงตอนนี้ ... นนท์ดูไม่ค่อยสนใจผมเลย
เราคุยกันน้อยมาก ๆ จนบางทีผมรู้สึกว่า
‘ไม่น่ามาเลย’
และอยากกลับไปอังกฤษซะตอนนี้ ....
“เป็นไร” เสียงคุ้นเคยทักขึ้น ... นนท์นั่นเอง ...
“เปล่า” ผมตอบแต่แอบน้อยใจนิด ๆ อยากบอกนนท์เหลือเกินว่า
ก่อนมาใครนะบอกว่า
‘ ‘เพื่อน’ จะดูแลเพื่อน ... จะไม่ปล่อยให้เพื่อนเหงา’
... แต่ผมก็ได้แค่คิด ... ยังไม่ทันตอบอะไรมากกว่านั้น
“นนท์ …. ถ่ายรูปให้หน่อย” เสียงบีเรียกนนท์ให้ไปถ่ายรูป ...
นนท์หันมามองหน้าผมแล้วลูบหัวผมเบา ๆ ก่อนเดินไปตามเสียงเรียก
ผมอยากจะร้องไห้จริง ๆ ไม่รู้ทำไม ...
ได้แต่พูดอยู่ในใจว่า
‘เรามาทำบ้าไรที่นี่วะเนี่ย’
“เพื่อน ... ถ่ายรูปให้พี่หน่อย” พี่อูเรียกเสียงดังให้ผมไปถ่ายรูปคู่ให้ ...
“คร๊าบ” ผมบอก ... แล้ววิ่งไปตามเสียงเรียก พลางนึกในใจว่า
ต่อไปนี้ผมจะไม่สนใจนนท์แล้ว ...
ผมมาเที่ยวผมจะต้องสนุกกับการเที่ยวครั้งนี้
ให้สมกับที่เสียเวลาและเสียเงินมา
ความสนุกของผมไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร ผมต้องสนุกด้วยตัวของผมเอง
...
แวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารจีน
กินพวกติ่มซำ ... ฮะเก๋า ขนมจีบ อร่อยดี
อาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบกินติ่มซำมาก ๆ อยู่แล้ว ...
แต่ชามะลิกับน้ำเก็กฮวย ... รสชาติประหลาด
พวกเราออกเดินทางต่อ
เนวิเกเตอร์บอกว่าที่ที่จะไปต่อ คือ เวียนนา
พี่อูขับรถและบีดูแผนที่ตามเคย ...
ส่วนผู้โดยสารสามคนด้านหลังนั่งหลับตลอดทาง ...
เกือบถึงเวียนนา แวะจอดถามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเรื่องที่พัก
เพราะยังหาที่พักไม่ได้ ... เต็มทุกที่
จนในที่สุด ... หลังจากหลงทางและหาที่พักอยู่นานจน 3 ทุ่ม
ก็ได้ที่พักเป็น Youth hostel
ในห้องมีเตียงสองชั้นเรียงกันประมาณ 15 เตียง
ห้องนั้นสามารถนอนได้ 30 คน ...
... และตอนนี้ก็มีคนนอนอยู่เกือบเต็มแล้ว ...
หลังจากวางของใช้จำเป็นบนเตียงชั้นบนแล้ว
ผมเดินออกมาเพื่อไปห้องน้ำ …
เห็นนนท์นั่งอยู่ที่โซฟาใกล้กับห้องนอน
ท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย
คงเพราะไม่ได้ทานอาหารเย็นและที่พักก็ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่
แต่ช่างนนท์เถอะ ... ผมไม่สนใจอยากจะถามนนท์หรอก
เพราะตอนที่กำลังจะเดินไปหานนท์นั้น
เห็นบียื่นแซนวิชให้นนท์แล้ว
หลังจากเดินออกจากห้องน้ำ มองไปที่โซฟาตัวเดิมก็ไม่เห็นนนท์แล้ว
“เพื่อน” เสียงหวาน ๆ เรียกขึ้น ผมหันไปมองตามเสียงเรียก
“หิวมั๊ย” พี่สาวที่แสนดีถามพลางยื่นแซนวิชและน้ำส้มมาให้ ...
ผมส่ายหน้า ... ผมไม่หิวจริง ๆ รู้สึกแต่ว่าเหนื่อย อยากนอนมากกว่า
ผมกล่าวขอบคุณ ... ไม่รับแซนวิชและน้ำส้มที่พี่อูยื่นมาให้ …
พี่อูเลยยื่นให้พี่โม่ ... พี่โม่หยิบแซนวิชกับน้ำส้ม ... แต่กลับยื่นน้ำส้มให้ผมอีกครั้ง
“น้ำส้มละกัน” พี่โม่พูด ... “จะได้มีแรง”
ผมหยิบน้ำส้มจากมือพี่โม่มาดื่มจนหมด ... รู้สึกตื้นตัน
พี่สองคนนี้ผมเพิ่งรู้จักแท้ ๆ
ยังใส่ใจผมมากกว่าใครบางคนที่ผมรู้จักและสนิทมากซะอีก
‘ ‘เพื่อน’ จะดูแลเพื่อน ... จะไม่ปล่อยให้เพื่อนเหงา’
... คนที่พูดประโยคนี้ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน ...
ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง
โดยไม่ลืมบอกราตรีสวัสดิ์พี่สาวและพี่ชายที่แสนดีของผม ...
เข้ามาในห้องก็พยายามก้าวเท้าให้เบาที่สุด
เพราะเกรงใจคนอื่น ๆ ที่นอนแล้ว
แค่หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ...
คงเพราะทั้งเหนื่อย ... และเหงา
เช้าวันรุ่งขึ้น ... ตื่นสาย (อีกแล้ว)
ไปอาบน้ำ ... แล้วมาทานอาหารที่ห้องอาหาร
“หลับสบายมั๊ย” พี่อูทักแล้วชี้ให้นั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ
“หลับเป็นตายเลยพี่ ... สงสัยจะเหนื่อยมาก” ผมตอบพี่อู
“พี่ก็หลับสนิทเลย ... ตอนเช้าตื่นมาตกใจ
ในห้องมีผู้ชายเต็มเลย” พี่อูพูดยิ้ม ๆ เพราะในห้องที่นอนได้ 30 คนนั้น
ตอนเช้าเพิ่งได้เห็นชัด ๆ ว่ามีผู้หญิงแค่ 4 คนเท่านั้นเอง
คือ พี่อู บี และผู้หญิงฝรั่งอีก 2 คน
“มิน่าล่ะ เมื่อคืนก็คิด ๆ ว่าทำไมเค้าถึงนอนถอดเสื้อกันทั้งนั้นเลย”
พูดจบก็หัวเราะคิก
“หัวเราะอะไรคร๊าบ” พี่โม่เดินถือจานอาหารเช้าแบบอังกฤษ
มาวางที่โต๊ะ 2 จาน
“เดี๋ยวไปหยิบน้ำส้มมาให้” พี่โม่พูดกับพี่อู ... แล้วหันมาถามผม
“... เพื่อนเอาน้ำอะไร … เดี๋ยวหยิบมาเผื่อ”
“ผมจัดการเองพี่ ... ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณพี่โม่
แล้วเดินไปตักอาหารบุพเฟ่แบบอังกฤษ ... เห็นอาหารอังกฤษแล้ว
‘คิดถึงอังกฤษ ... อยากกลับเมือง ... โว๊ย ....’ ผมคิดในใจ …
มาอยู่ที่นี่แค่ไม่กี่วัน ‘คิด’ วาจาหยาบคายไปหลายรอบแล้ว
หลังจากตักอาหารเสร็จ ... ผมก็กลับมานั่งทานที่โต๊ะกับพี่อูและพี่โม่
มองหานนท์ ... เช้านี้ผมตื่นมายังไม่เจอหน้านนท์เลย
“นนท์กับบีไปไหนอะ” พี่โม่ถามขึ้นมาลอย ๆ
ไม่ได้เจาะจงตัวว่าถามใคร... ผมมองหน้าพี่อู
เพราะคงเป็นคนเดียวที่น่าจะรู้คำตอบ ...
“ไปสถานีรถไฟ ...” พี่อูตอบ
“อ๋อ …” พี่โม่ตอบสั้น ๆ
ผมมองหน้าที่อูกับพี่โม่สลับกันไปมา ... ถามสั้นตอบสั้น
แต่รู้เรื่องกันด้วยแฮะ ...
‘พี่ครับผมไม่รู้เรื่องเลยครับช่วยขยายความด้วยครับ ...‘
ผมคิดในใจอีกแหละ ... ไม่ได้ถามใคร
รู้สึกงง .. ไปสถานีรถไฟทำไม ... ทำไมทุกคนรู้เรื่องยกเว้นผม
ไว้รอถามนนท์ก็ได้ ...
‘แต่เค้าจะกลับกันมากี่โมงล่ะ’
ผมคิดในใจอีกแหละ ... แต่เหมือนพี่โม่รู้ใจผม ... พี่โม่ถามขึ้นมาก่อน
ก็ดีผมจะได้ไม่ต้องถามเอง
“เค้าจะกลับกันมาเมื่อไหร่ล่ะ”
“เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะ ... เดินไป ... สถานีอยู่แค่ใกล้ ๆ นี้เอง” พี่อูบอก
แต่เค้าไปกันทำไมนะ ... นนท์กลับมาเมื่อไหร่จะต้องถามนนท์ซะแล้ว