ตอนที่ 14 {ใกล้} อีก 1 สัปดาห์ก็จะสิ้นปีแล้ว
สำหรับผมปีนี้ถือว่าสมบุกสมบันมากทีเดียว มีเรื่องมากมายเข้ามาไม่หยุดหย่อนแต่ผมก็ยังแก้ไม่ได้ซักอย่าง
กับกวินความสัมพันธ์ของเรากลับมาดีเหมือนเดิมในขณะที่ความรู้สึกผิดของผมที่มีต่อน้องยังเท่าเดิม ตราบใดที่ยังไม่ได้ขอโทษเรื่องความเข้าใจผิดนั้นผมไม่มีทางรู้สึกโล่งใจหรอก
ถามว่าตอนนี้สงสัยใครเป็นพิเศษไหมบอกเลยว่ามืดแปดด้าน
ถ้าไม่ติดคีย์เวิร์ดคนใกล้ตัวล่ะก็ป่านนี้ผมตามไปต่อยไอ้นพชัยแล้ว
“พี่เสือมานานรึยัง ผมเพิ่งเคลียร์งานเสร็จว่ะ” เจ้าของเสียงนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม
วันนี้ผมนัดกวินออกมาทานข้าวเย็นด้วยกัน ดูสภาพน้องมันแล้วก็รู้เลยว่ามันเหนื่อยล้าเพียงใด
นึกย้อนไปถึงข้อความที่ได้อ่านแล้วก็ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมสภาพมันถึงเป็นแบบนี้
“สั่งอาหารเลยมั้ย”
“คิดยังไงนัดผมออกมากินข้าววะพี่” ถามขณะเปิดเมนูอาหาร
“มีเรื่องจะถามหน่อย”
“ถามเลยก็ได้นะพี่”
“รออาหารก่อนดีกว่า” ผมบอกขณะเรียกพนักงานมารับออเดอร์
รอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ
เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระในตอนที่ค่อยๆ รับประทานอาหารรสชาติยอดเยี่ยม ต้องขอบคุณไอ้เอิ้นที่แนะนำร้านอาหารนี้ให้ถึงราคาจะไม่ค่อยสบายกระเป๋าก็เถอะ
“พี่บอกมีเรื่องจะถาม” กวินวางช้อนลงแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ตอนที่เอ็งเมา…”
“ผมพูดอะไรไม่ดีกับพี่รึเปล่า”
“ขอโทษนะวิน”
“เรื่องอะไรพี่”
“พี่คิดว่าเอ็งเป็นคนใส่ร้ายพี่ว่ะ”
คนถูกผมปรักปรำด้วยความคิดนั่งนิ่งไปจนผมรู้สึกใจคอไม่ดี ไม่นานนักเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าชื่นมื่นราวกับเรื่องที่ผมเพิ่งพูดไปเมื่อครู่เป็นเรื่องตลก
“ก็ไม่แปลกหรอกพี่ ผมเองก็ทำตัวน่าสงสัย”
“ไม่โกรธเหรอวะ”
“ไม่หรอก แต่ถ้าพี่ได้ยินเรื่องที่ผมจะบอกพี่ต่อจากนี้พี่ต้องโกรธผมแน่ๆ เลยว่ะ”
“อะไร” ผมเริ่มใจคอไม่ดี
“ตอนที่พี่ถูกพักงานผมเองก็กำลังพยายามทำบางอย่างเหมือนกัน
กวินนิ่งไปราวกับกำลังตัดสินใจว่าควรจะเล่าต่อดีหรือไม่ กระทั่งผมยกยิ้มบางแบบที่คิดว่ามองแล้วทำให้รู้สึกดีที่สุดมันจึงว่าต่อ
“ผมน่ะพยายามจะเป็นเหมือนพี่มาตลอดเลยนะ กระทั่งตอนพี่ถูกพักงานแม้จะเสียใจแต่ลึกๆ แล้วผมกลับดีใจว่ะเพราะเท่ากับว่าช่วงเวลานั้นผมจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าทำได้เหมือนพี่ เผลอๆ อาจจะดีกว่าพี่ด้วยซ้ำ แต่เชื่อมั้ยพี่พอได้ลองทำจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย อย่างไรผมก็ไม่มีทางทำได้เหมือนพี่”
อยู่ๆ คำของไอ้เอิ้นก็ผุดขึ้นมาในหัว
‘Put the Right Man to the Right Job เลือกคนให้ถูกงาน’
“เหนื่อยมั้ยวะ”
“โคตรเหนื่อย” คนตรงหน้าผมยกยิ้มเพลียๆ “แต่มันก็คุ้มนะ อย่างน้อยๆ สิ่งที่ผมทำและผลที่ได้รับก็ทำให้ผมรู้ว่าผมเหมาะหรือไม่เหมาะกับอะไร ผมจะไม่พยายามเป็นเหมือนพี่แล้ว แต่ผมจะเป็นตัวของตัวเอง เก่งในแบบของตัวเองและจะประสบความสำเร็จให้เท่ากับพี่”
“มึงนี่แม่งทำกูรู้สึกว่าตัวเองเลวไปเลยว่ะ”
“พี่เสือก็ไม่ใช่คนดีไม่ใช่รึไง”
“เออ กูแม่งเลวไง วิน กูถามมึงอีกเรื่องนึงได้มั้ย”
“เรื่องพี่นพใช่ป่ะ” ถามผมกลับราวกับรู้ใจ แต่ก็ดีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อม
“อือ” ผมพยักหน้ารับ มือชื้นเหงื่อเมื่อแอบลุ้นไปกับคำตอบที่กำลังจะได้รับ
“พี่นพเป็นรุ่นพี่สายรหัสของผม”
สายรหัส? ผมทราบว่าสองคนนี้เรียนจบจากที่เดียวกัน แต่ไม่เคยคิดว่าโลกมันจะกลมได้ขนาดนี้
“เขาสอนผมหลายๆ เรื่องแต่ผมไม่เคยเอาข้อมูลบริษัทเราไปบอกเขานะพี่ พี่นพเองก็ไม่บอกอะไรผมเลยเหมือนกัน”
“งั้นเหรอ คนอย่างไอ้นพไม่น่าจะยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือ”
“พี่เสือกับพี่นพเหมือนกันอยู่อย่างนึงนะ”
“กูกับไอ้นพเนี่ยนะ กูดีกว่ามันเยอะว่ะวิน”
“พี่เสือคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ
“ไอ้นี่ !!”
ผมแยกเขี้ยวใส่แต่ไอ้วินกลับหัวเราะก่อนจะว่าต่อ
“พี่นพเคยตื๊อถามผมเรื่องเกี่ยวกับบริษัทอยู่ครั้งนึง พอผมไม่บอกเขาก็ไม่ถามอีก เหมือนพี่เสือที่เวลาผมมีปัญหาพี่จะถามผมครั้งเดียวถ้าผมแก้ไม่ได้พี่ก็จะลงมือทำเอง นั่นแหละที่ผมคิดว่าพวกพี่เหมือนกันมากๆ เลย”
“งั้นเหรอไม่คิดว่ามันจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้”
“พี่นพไม่ได้ยอมแพ้ครับ พี่นพแค่หาทางของตัวเอง พี่เสืออาจจะเคยเห็นพี่นพไปเสนอเงื่อนไขต่างๆ ให้น้องพนักงานขายของเราใช่มั้ยล่ะ”
ผมพยักหน้ารับ ก็เห็นๆ กันอยู่อะนะ
“แต่เขาก็ไม่เคยตื๊อน้องเลยนะครับ ถ้าน้องยอมรับเงื่อนไขก็ไปแต่ถ้าไม่โอเคก็ไม่เป็นไร พี่เสือรู้มั้ยว่านั่นทำให้ผมคิดได้ว่าอย่างไรผลประโยชน์ที่ได้รับก็เป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ของการเลือกงาน”
“มันก็จริงว่ะ” ก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอก อย่างไรเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต “ไม่คิดว่าไอ้นพจะเป็นคนดีขนาดนี้ มึงเข้าข้างพี่ตัวเองรึเปล่าวะ”
“ผมมองพี่นพอย่างไม่มีอคติต่างหาก”
อย่างนั้นเหรอ คำพูดของกวินทำให้ผมนึกถึงวันที่เจอนพชัยครั้งแรก ตอนนั้นผมชื่นชมมันมากเลยนะ เรียนเก่ง บุคลิกภาพดี ดูดีจนไม่คิดว่ามันเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่งเมื่อเรากลายเป็นศัตรูผมก็ไม่เคยมองมันให้แง่ดีอีกเลย
แน่นอนว่าคงเป็นเพราะปมถูกอคติบังตาไปแล้ว มันคงดีถ้าเรามองทุกๆ โดยปราศจากอคติได้
“ขอบคุณพี่เสือที่ถามผมตรงๆ”
เสียงกวินดึงผมให้หลุดจากความคิดที่ย้อนกลับไปในอดีต
“คืนที่ทะเลกูมอมเหล้ามึงนะวิน”
“ผมรู้ พี่แอบดูโทรศัพท์ผมด้วยล่ะสิ”
“มึงรู้ได้ไง” หรือว่ามันแกล้งเมาวะ
“วันก่อนคุณเอิ้นเรียกผมเข้าไปคุย แล้วเขาก็โทรไปต่อว่าฝั่งโน้นเรื่องที่ใช้คำพูดรุนแรงกับผม พี่กับคุณเอิ้นสนิทกันจนผมอิจฉาแล้ว”
มีแต่คนบอกว่าผมสนิทกับไอ้เอิ้นว่ะ เอาวะสนิทก็สนิท
“แล้วมันว่าไงอีก”
“คุณเอิ้นบอกว่าเราทำงานกันเป็นทีม”
“แค่นี้?”
“ไม่นะพี่ คำพูดของคุณเอิ้นทำให้ผมคิดได้ว่าผมไม่ใช่ตัวคนเดียว ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรผมจะไม่เก็บไว้คนเดียวอีกแล้ว”
“จำคำพูดตัวเองไว้ อย่าให้กูรู้ว่ามึงเก็บเรื่องทุกข์ใจไว้คนเดียวอีก จะต่อยให้คว่ำเลย”
“ผมดีใจนะที่ร่วมงานกับคนดีๆ อย่างพี่เสือและคุณเอิ้น โคตรโชคดีเลยว่ะ”
“ดีใจเหมือนกันที่ได้ร่วมกันน้องกวิน”
“ขนลุกไปหมด” ไอ้น้องกวินสั่นระริกเมื่อพูด
เออ ขนลุกจริง
“แล้วพี่สงสัยใครเป็นพิเศษมั้ยนอกจากผม” เข้าสู่โหมดเครียดเฉยเลย
ผมมุ่นคิ้วก่อนจะส่ายหน้าอย่างคนหมดทาง
“คนจากฝั่งเดอะเฟิร์สรึเปล่า แบบเอาชื่อพี่ไปอ้างเพื่อแย่งลูกค้าเรา พี่ก็รู้ว่าคุณปรีชาติดพี่จะตาย ตอนด่าผมนี่ชมพี่จ๊น !!!” กวินทำเสียงเอือมๆ แล้วกรอกตามองบน
“เกิดเป็นเสือนี่มันเหนื่อย”
“ค่อยๆ คิดนะพี่ ผมเอาใจช่วย”
▼▲ ▼▲ ▼
ผมกับกวินแยกกันที่หน้าร้านตอนที่เคลียร์ปัญหาทุกอย่างจบแล้ว รู้สึกดีราวกับยกภูเขาออกจากอกเลยล่ะ
เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก รู้สึกดีอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ ความคับข้องใจก็เข้ามาเบียดพื้นที่หัวใจอีกหนเมื่อเผลอเหลือบมองไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามแล้วเห็นว่าใครนั่งอยู่ข้างในนั้น
ไอ้เอิ้นกับคุณปรีชา
คุณปรีชาคือลูกค้าที่จะจบงานกับเราใน 1 สัปดาห์ข้างหน้า คนที่ด่าไอ้กวินอย่างกับหมูกับหมาอย่างไรล่ะ
แปลกจัง ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าสองคนนี้คุ้นเคยกันถึงขั้นนัดกันกินข้าวแบบส่วนตัว
อยู่ๆ คำว่าคนใกล้ตัวที่ไอ้สนิมเคยบอกก็สว่างขึ้นในหัว
ผมพยายามมองข้ามไอ้เอิ้นแล้วแต่หลายอย่างที่มันทำ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเป็นมันที่ใส่ร้ายผม
ที่บอกว่าชอบผม บางทีอาจจะเป็นแค่ลมปากที่พูดออกมางั้นๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย
▼▲ ▼▲ ▼
ผมไม่ได้แวะไปหาเจ้ศรีในร้านตอนที่กลับมาถึงบ้านอย่างที่เคยทำ หลายๆ อย่างที่ยังถูกผูกเป็นปมอยู่ในใจทำให้ผมอยากทำแค่อย่างเดียวคือนอนเฉยๆ
ไม่ใช่อะไรหรอก ขี้เกียจล้วนๆ เลย
ผมยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก เหลือบมองเสื้อวินที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะหลับตาลง
บางทีผมอาจจะไม่ต้องกลับไปทำงานที่นั่นอีก ถ้าเรื่องทุกอย่างจบก่อนปีใหม่นี้
ความเหนื่อยล้าทำให้ดวงตาปิดลง
ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ไม่น่าจะใช่เจ้ศรีเพราะแม่ผมไม่ได้มีมารยาทขนาดนั้น พ่อเหรอ? ไม่มีทางหรอก ร้อยวันพันปีพ่อไม่เคยมาเคาะห้องผม ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพ่อรู้หรือเปล่าว่าห้องลูกชายอยู่ตรงไหนของบ้าน
มันเหรอ?
อยู่ๆ ก็นึกถึงไอ้เอิ้นขึ้นมา
“เสือ...”
และก็ใช่มันจริงๆ
“เอิ้นเข้าไปได้มั้ย”
“กูไม่อยากคุยกับมึง” ผมตะโกนตอบออกไป
“งอนอะไรอีกเนี่ย” ไม่ได้ฟังกันเลยใช่มั้ย บอกว่าไม่อยากคุยด้วยไงแล้วยังถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้ามา ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆ กันอีกต่างหาก
“มึงไปกินข้าวกับคุณปรีชา อย่าคิดว่ากูไม่เห็น”
“หึง?”
“หึงเหี้ยไร กูจริงจังนะเอิ้น”
“เสือสงสัยเอิ้นเหรอ”
เออสงสัย
ใจจริงก็อยากจะตอบไปอย่างที่ใจคิดแต่เมื่อมองเข้าไปในตาของคนตรงหน้าแล้วก็พูดอะไรไม่ออกเลย ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจมันในขณะที่มันโคตรดีกับผม
“กวินเล่าให้เสือฟังแล้วใช่มั้ยว่าเอิ้นโทรไปต่อว่าคุณปรีชา เค้าโกรธมากเลยนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเอิ้นคงยอมแต่เมื่อคิดว่าถ้าเป็นเสือ เสือต้องไม่ยอมแน่ๆ เอิ้นก็เลย...ต่อว่าเค้าไปยกใหญ่เลยล่ะ”
“ทำเป็นเก่ง”
“ก็ไม่เก่งหรอก เอิ้นลำบากใจมากเลยที่ต้องทำร้ายคนนึงเพื่อปกป้องอีกคน”
ผมเงียบ มองไอ้เอิ้นที่แสดงสีหน้าลำบากใจสุดๆ
“แต่ว่านะ หลังจากได้คุยกับกวินเมื่อวันก่อน ดูเค้าไม่เครียดเท่าไหร่แล้ว ความลำบากใจมันก็ค่อยๆ หายไป เข้าใจความรู้สึกของเสือเลยล่ะ”
“ความรู้สึกอะไรของกู”
“ตอนที่เสือปกป้องน้องในทีม ตอนที่เสือปกป้องเอิ้น เอิ้นเข้าใจแล้วว่าระหว่างทางมันอาจจะเจ็บปวดแต่ที่ปลายทางถ้าคนที่เรารักไม่ต้องทุกข์เราก็มีความสุขแล้ว ใช่มั้ย เอิ้นเข้าใจถูกใช่ป่ะ”
“กูเคยปกป้องมึงตอนไหน”
“ปากแข็งนะเรา” พูดเฉยๆ ไม่ได้ต้องยื่นมือมาเกลี่ยริมฝีปากกัน ครั้นเมื่อผมปัดออกมันก็เลื่อนมาวางมือไว้ที่ข้างแก้ม
มองลึกเข้ามาในดวงตาของผมด้วยแววตาลึกซึ้ง
“ไม่ต้องมามองเลย แล้วลงไปจากเตียงกูด้วย”
“ทำไม กลัวเอิ้นเหรอ แต่จะว่าไปตอนนั้นเสือก็รู้สึกดีไม่ใช่เหรอ” หมายถึงวันนั้นหน้าห้องน้ำ
ไอ้ระยำ ถ้าผ่าสมองมันออกคงมีแต่เรื่องอย่างว่าที่ทะลักออกมา
แล้วพอพูดก็วางมือลงบนขาของผมลูบสูงขึ้นมา ปลุกเร้ากันสุดๆ ถ้าไม่คว้ามือแกร่งข้างนั้นเอาไว้ล่ะก็อารมณ์หื่นของเสือต้องมาแน่ๆ
ผมนี่แม่ง นิดๆ หน่อยๆ ก็ตื่นละห่า
“เอิ้นเหนื่อยจังเลยเสือ” ว่าพร้อมกับวางศีรษะแนบใบหน้าลงบนแผ่นอกของผม “เมื่อกี้คุณปรีชาด่าเอิ้นจนไม่มีช่องว่างให้สำนึกผิดเลย”
“ยังไม่พอใจใช่มั้ยถึงมาให้กูด่าถึงนี่” ผมวางมือลงบนแผ่นหลังคนบนอกแล้วตบเบาๆ
“ถ้าเป็นเสือ ให้ด่าทั้งชีวิตยังได้เลย”
“มึงนี่นะ ไม่เบื่อบ้างเหรอวะ”
“เอิ้นไม่เคยเบื่อเสือ”
“ทำไมมึงถึงชอบคนอย่างกูวะ”
“คนอย่างเสือเป็นยังไงเหรอ” ไอ้เอิ้นผละออกจากอกแล้วมองหน้าผมตรงๆ ในดวงตาคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยคำถาม
“หยาบคาย นิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว ขี้เกียจ เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ได้เรื่อง”
“ทำไมพูดถึงแต่ข้อเสียของตัวเองล่ะ ถ้าเอาแต่ข้อเสียมาพูด เราคงไม่มีสิทธิ์ให้ใครมารักหรือรักใคร เสือต้องเข้าใจนะ ว่าคนหนึ่งคนประกอบด้วยทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่มีใครที่เป็นคนดี 100% หรอก อย่างเอิ้น ถึงจะมีข้อดีที่หล่อมาก ดูรวยแต่จริงๆ แล้วเอิ้นขี้เกียจอาบน้ำสุดๆ เลย”
“ตลกนะมึงอะ”
“นี่ไม่เชื่อเหรอ ลองไปอยู่ด้วยกันซักวันสิ แล้วเอิ้นจะพิสูจน์ให้ดู”
ผมเบือนหน้าหนีเม้มริมฝีปากอย่างไม่รู้จะด่ามันด้วยคำไหนดี ไอ้เอิ้นแม่งหาช่องว่างให้ตัวเองเอาเปรียบผมได้ตลอดเลยว่ะ
“ลองไปคิดดู เอิ้นชวนจริงจังนะเนี่ย”
“มึงจะยังไม่หยุดใช่มั้ย”
“เขินเหรอ เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือเขินกว่านี้อีก”
ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ ให้หัวใจสั่นไหว ผมแม่งก็ไม่ยอมผละออกนะ จ้องมันกลับอยู่นั้นแหละ
“พร้อมจะเขินรึยัง”
“อะไรของมึง” เมื่อผมพูดจบประโยคไอ้เอิ้นก็จับไหล่ของผมบีบเบาๆ ไม่รู้หรอกว่ามันต้องการจะสื่ออะไรและก่อนที่ผมจะผลักไสมันออกไปไกลๆ คนตรงหน้าของผมก็เอ่ยออกมาซะก่อน
“เวลาที่เรารักใครเรามักจะมองข้ามข้อเสียของเขาไปจนหมด แต่สำหรับเอิ้น เมื่อได้รักใครแล้วนั่นหมายความว่าเอิ้นรับได้ทั้งข้อดีและข้อเสียของเขา”
“...”
“เวลาเสือด่าเอิ้น หมายความว่าสิ่งที่เอิ้นทำมันทำให้เสือเขินมากๆ จนทำอะไรไม่ถูกก็เลยแก้เขินด้วยการด่าเอิ้น”
“หือ มึงนี่จินตนาการสูงเนอะ”
“แน่นอนสิ เอิ้นจินตนาการถึงเสือตลอดแหละ”
“ไอ้ทะลึ่ง”
“เสือคิดอะไรเนี่ย คิดว่าเอิ้นจินตนาการถึงตอนที่ทำเรื่องอย่างว่าเหรอกฃ ก็ถูกนะ” ใบหน้าของผมร้อนฉ่า “แต่เวลาอื่น เอิ้นก็คิดถึงเสือเหมือนกัน เสือเป็นแรงบันดาลใจของเอิ้น เป็นคนที่ทำให้เอิ้นพยายามเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ เพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ๆ เสือไง”
“...”
“เสือบอกว่าเสือนิสัยไม่ดี แบบไหนล่ะที่เรียกว่านิสัยไม่ดี เสือเป็นคนขี้โกหกเหรอ เป็นคนผัดวันประกันพรุ่งรึเปล่า เห็นแก่ตัว ก็ไม่นะ เอิ้นเคยเห็นเสือสละที่นั่งบนรถเมล์ให้คนแก่ เคยเห็นซื้อข้าวให้คนจรจัด เคยพาหมาข้ามถนน นี่หรือคนนิสัยไม่ดี แต่ถ้านิสัยไม่ดีในความหมายของเสือคืออารมณ์ร้อนวู่วาม แคร์แต่คนอื่น ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีต ใช่ เสือนิสัยไม่ดีเลย แต่จะบอกให้นะ เอิ้นเองก็คงนิสัยไม่ดีเหมือนเสือ”
ฟังไอ้เอิ้นแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีขึ้นมาเลยว่ะ
“เสือบอกว่าเสือขี้เกียจ แล้วไงอะ คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะขี้เกียจ เอิ้นเองก็ขี้เกียจเหมือนกันนะบางที”
“...”
“เรื่องเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ มันอาจจะเป็นนิสัยที่ติดตัวเสือมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าแก้ไม่ได้ เอิ้นก็พร้อมจะยอมรับ บอกแล้วไงว่าเอิ้นยอมรับทุกอย่างของคนที่เอิ้นรัก”
“...”
“และการที่เสือบอกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง เสือรู้มั้ยว่าเสือโคตรดูถูกตัวเองเลย ถ้าเสือไม่ได้เรื่อง พวกบริษัทคู่แข่งจะแย่งตัวเสือไปทำไม เสือน่ะโคตรเก่งเลยรู้เปล่า”
“...”
“เอิ้นไม่อยากให้เสือมองแต่ข้อเสียของตัวเอง ถ้าเราไม่รู้จักข้อดีของตัวเองเราก็จะไม่กล้าทำอะไรซักอย่าง ในสายตาเอิ้นเสือเป็นคนดี รักเพื่อนพ้อง เห็นอกเห็นใจคนอื่น เป็นห่วงคนรอบข้างเสมอ ตรงไปตรงมา ไม่อายที่จะทำอะไรก็ตามที่ตัวเองคิดว่ามันไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าจะให้เอิ้นสาธยายความดีของเสือ วันนี้ทั้งวันคงไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
“มึงนี่ ท่าทางจะหลงเสน่ห์กูมากๆ เลยเนอะ”
“แล้วเมื่อไหร่เสือจะหลงเสน่ห์เอิ้นบ้างล่ะ”
“ฝันไปเถอะ”
“งั้นนอนกันจะได้ฝัน” ว่าจบก็ดันตัวผมให้ล้มลงบนเตียงก่อนจะวางศีรษะลงบนอกของผมอีกครั้ง คิดว่าไอ้เอิ้นคงได้ยินเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นแรงเพราะคำชื่นชมของมันแน่ๆ
“กวนตีน อยากนอนนักก็กลับบ้านไปสิวะ อย่ามาเนียน”
“นอนนี่แหละ แม่ชวนให้อยู่กินข้าวก่อน”
“ถ้าแม่กูรู้ว่ามึงคิดอกุศลกับกูล่ะก็ แม้แต่หลังคาบ้านกูมึงก็ไม่มีสิทธิ์เห็น”
“ความรักไม่ใช่เรื่องอกุศลซะหน่อย แล้วอีกอย่างนะ แม่รู้ว่าเอิ้นชอบเสือ”
“หือ มึงอย่ามาตลก”
“แม่ยังบอกให้เอิ้นดูแลเสือดีๆ”
“ไม่มีทาง เมื่อหลายวันก่อนแม่ยังบอกให้กูหาเมียอยู่เลย”
“แม่บอกว่าเสือไม่ชอบผู้หญิง ชอบเอิ้นจนไม่มีที่ว่างในหัวใจให้ใครแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“มึงนี่!!!” เอะอะวกเข้าเรื่องผมมีใจให้มันตลอดเลยว่ะ ฟังจนเคลิ้มคิดว่าตัวเองมีใจให้มันจริงๆ แล้วเนี่ย เอ๊ะ! หรือว่าที่จริงผมก็มีใจให้มันแล้ว
ไม่มีทางหรอก ทั้งเรื่องความรู้สึกของผมและเรื่องแม่
“เขินจนหูแดงแล้ว” มันบอกในตอนที่ช้อนสายตาขึ้นมองผม
เกลียดแม่งว่ะ ทั้งที่รู้สึกอย่างนั้นแต่ผมกลับไม่ผลักไสมันออกไป และหากจะทำก็ทำได้ง่ายๆ เลย
▼▲ ▼▲ ▼
ผมใช้เวลาไม่กี่วันที่เหลือก่อนปีใหม่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อวินของไอ้แชมป์ คิดไว้ว่าวันที่ 30 จะแคะกระปุกเอาเงินไปซื้อของขวัญปีใหม่ให้เจ้ศรีกับพ่อ แต่ถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าของแบบไหนที่พวกท่านจะชอบ
“มุ่นคิ้วอีกแล้วเดี๋ยวหน้าก็แก่ก่อนวัยอันควรหรอก”
“ไหนมึงบอกจะกลับบ้านไงแล้วทำไมยังเสนอหน้ามานี่ล่ะ” ระหว่างรอผู้โดยสารไอ้ผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ก็โผล่มา
ไอ้เอิ้นโผล่มาที่วินบ่อยจนคนในซอยคิดว่ามันเป็นหัวหน้าวินแล้ว ก็ดูมันแต่งตัวสิ ดีเกินหน้าเกินตา
“ไม่อยากกลับเลย ปีใหม่อยากอยู่กับเสือมากกว่า”
“กลับไปเยี่ยมครอบครัวน่ะถูกแล้ว”
“เสือว่าดีเหรอ”
“อือ”
“เสือว่าดี เอิ้นก็ว่าดีด้วย ว่าแต่มีเรื่องอะไรให้คิดเหรอ หน้ายุ่งเชียว”
“คืองี้นะ กูจะซื้อของขวัญให้เจ้กับพ่อไง แต่ยังคิดไม่ออกเลยว่ะว่าจะซื้ออะไร”
“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ถ้าเป็นของที่คนที่เรารักซื้อให้ล่ะก็ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ผู้รับก็ดีใจหมดแหละ”
“ไม่สิมึง นอกจากดีใจที่ได้รับแล้วก็ต้องดีใจที่เป็นของที่ตัวเองชอบด้วยดิวะ”
“ผู้หญิงชอบเครื่องประดับ เสือน่าจะซื้อสร้อยหรือไม่ก็ต่างหูให้แม่นะ ส่วนพ่อ ชอบอ่านหนังสือใช่มั้ย ซื้อหนังสือดีๆ ซักเล่มให้ท่านสิ”
“มึงรู้จักพ่อกับแม่กูดีกว่ากูอีก” ผมนี่ดูเป็นลูกที่ไม่น่ารักเลยว่ะ
“ก็เอิ้นชอบเสือนี่”
“ถึงจะรู้ว่าพ่อชอบอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าชอบอ่านหนังสือแนวไหน ยากฉิบหาย”
“ลองถามแม่สิ”
“ถ้าถามเจ้ เจ้ก็รู้สิว่ากูจะซื้อของขวัญปีใหม่ให้น่ะ”
“รู้ก็ไม่เห็นเป็นไร”
“มันไม่เซอร์ไพร์สไง”
“เอิ้นคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปห้างกัน”
“อะไร กูต้องทำมาหากินครับ”
“เอิ้นก็ต้องทำงานเหมือนกัน ไปกันตอนเย็นนะ ไปนะเสือ”
แม้อยากจะปฏิเสธแต่หน้าเจ้ากรรมดันกดลงตอบรับคำชวนมันไปซะอย่างนั้น ถ้าไม่ติดว่าหล่อผมตัดคอตัวเองทิ้งไปแล้วจริงๆ นะเนี่ย
หลังจากนั้นผมก็ขับวินไปส่งมันที่คอนโด ย้ำว่าส่งแค่หน้าคอนโด จะบอกอะไรให้นะ อย่างเสือน่ะ ถ้าไม่เมาหรือหิวไม่ยอมเข้าห้องไอ้เอิ้นง่ายๆ หรอกโว้ย
ไอ้นี่ก็แปลกนะ รถหรูมีไม่ขับ ดันอยากซ้อนมอเตอร์ไซค์ ลำบากผมต้องตื่นเช้ามารับไปทำงานอีก
แต่เงินดีครับ ยอมให้มันดมซอกคอกับกอดเอวนิดหน่อย ได้ตั้งเที่ยวละ 500 ขอโทษอย่าแจ้ง สคบ. ครับ เพราะผู้บริโภคเต็มใจให้เอาเปรียบ
▼▲ ▼▲ ▼
เรานัดเจอกันที่ห้างในวันถัดมา ผมมาถึงทีหลังและเมื่อมาถึงร้านกาแฟที่นัดหมายผมนี่อยากจะหมุนตัวแล้วเดินกลับไปทางเดิมในทันทีเมื่อเห็นว่าตรงที่นั่งข้างๆ ไอ้เอิ้นนั้นไม่ได้ว่างเปล่า
ใช่ครับ มันพาคนอื่นมาด้วย และคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร เพื่อนสนิทมันไงคุณลลินคนสวย
สวยจนกูอยากจะเดินหนีเชียวล่ะ
“เสือ ทางนี้”
กูเห็นแล้วไม่ต้องโบกไม้โบกมือทำหน้าดี๊ด๊า รู้ไหมว่ากูหมั่นไส้มึงมาก
ถึงจะอยากถอยหลังกลับแค่ไหนแต่ในเมื่อนัดกันไว้แล้วก็จำต้องเดินเข้าไปหาครับ
ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ทักทายเพื่อนสนิทไอ้เอิ้นให้เขารู้ว่าเป็นคนมีมารยาทแล้วจึงล้วงมือถือขึ้นมากดเลย ไม่อยากมองหน้าใครทั้งนั้นแหละ อารมณ์เสีย
“เราไปหาข้าวเย็นกินกันก่อนมั้ย” เป็นไอ้เอิ้นที่เอ่ยขึ้นในสถานการณ์ที่ผมโคตรจะอึดอัด
“กูไม่หิว”
“แต่ลลินหิวค่ะ ไปหาอะไรกินก่อนนะเอิ้น กว่าจะซื้อของเสร็จก็คงดึกอ่ะ กินตอนนั้นคงไม่ดี”
“ถ้าหิวก็ไปกินกันเลย เดี๋ยวกูไม่ซื้อของเองคนเดียวก็ได้”
“ไม่เอาน่าเสือ เดี๋ยวเอิ้นเลี้ยง” สัมผัสได้เลยว่าน้ำเสียงคนพูดลำบากใจ แล้วไงอะ ใครบอกให้พาเพื่อนสนิทมา
“กูไม่หิว” ผมบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแล้วลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป เสียงหวานที่โคตรจะยียวนกวนอารมณ์ก็ดังขึ้นซะก่อน
“คุณเสือนี่ขี้หึงจังเลยนะครับ”
“ว่าไงนะครับ” ผมไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เมื่อกี้คุณลลินอะไรนี่บอกว่าผมหึง
ไม่หึงโว้ย
“เปล่าค่ะ แต่ถ้าคุณเสือไม่ได้เป็นอย่างที่ลลินว่าก็ไปทานข้าวด้วยกันก่อนสิคะ”
ผมหันไปมองไอ้เอิ้นที่นั่งหน้าเจื่อนอยู่ข้างๆ เธอ ผมไม่เห็นใจมันหรอกนะ หาเรื่องใส่ตัวเองนี่หว่า ไม่สมน้ำหน้าให้ก็บุญหัวแล้ว
“ต้องขอโทษคุณลลินจริงๆ ครับ ก่อนมาผมแวะกินก๋วยเตี๋ยวในซอยมาแล้ว คงไปกินด้วยอีกไม่ได้”
“แค่ไปนั่งด้วยกันก็ได้ค่ะ”
“ไม่ดีกว่าครับเสียเวลา ขอตัวนะครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ เหลือบมองไอ้เอิ้นก่อนจะเดินออกจากร้านมา
ให้มันได้อย่างนี้ เป็นคนนัดกูมาแต่กลับเลือกที่จะไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิท
ถึงจะโกรธจนอยากกลับบ้านแต่ไหนๆ ก็เสียเวลามาถึงนี่แล้วก็ควรจะลองไปเดินเลือกดูของเลยดีกว่า
ผมเดินลงไปที่ชั้นล่างในส่วนของซุปเปอร์มาเก็ตก่อน ไม่ได้มาห้างนานแล้วไม่รู้ว่าน้องๆ พนักงานขายที่ผมเคยดูแลเป็นอย่างไรบ้าง
“พี่เสือ” เพียงผมเดินเข้าไปใกล้น้องที่ยืนจัดของตรงชั้นวางก็ยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ “สบายดีมั้ยคะ ไม่ได้เจอกันเลย หนูเป็นห่วงพี่แทบแย่”
“ถ้าพี่ป่วยจะเดินมานี่ได้ไง”
“กวนเหมือนเดิม แต่เห็นพี่สบายดีหนูก็สบายใจค่ะ”
“แล้วเป็นไงบ้าง สินค้าขายดีมั้ย”
“ก็เรื่อยๆ ค่ะ พี่เสือคะที่ในตลาดเขาลือกันว่าพี่เสือจะย้ายไปเดอะเฟิร์ส จริงรึเปล่าคะ พี่เสือยังจะตามไปดูแลพวกหนูใช่มั้ยคะ”
“พี่ไม่ได้ไปนะ เป็นแค่ข่าวลือ”
“อ้าว ในห้องประชุมตอนต้นเดือน หลังพวกพี่วินกลับ คุณปรางเข้ามาเอาใบสมัครให้เซ็น เขาแจ้งพวกเราว่าจะได้ร่วมงานกับพวกพี่เสือเหมือนเดิม บอกว่าพวกพี่อาจจะยกทีมมาทำงานที่เดอะเฟิร์สเลย”
“คุณปราง พูดแบบนั้นเหรอ”
“ค่ะ ตอนแรกพวกเราก็ลังเล แต่พอทราบว่าจะได้ทำงานกับพวกพี่เหมือนเดิมก็เลยเซ็นสัญญาจ้างไปแล้ว”
“อ้าว”
ผมคิดคำพูดไม่ออกเลย ได้แต่ร้องอ้าวๆ ซ้ำไปซ้ำมา
“ถ้าเป็นอย่างที่พี่เสือว่า น่าเสียดายจังเลยค่ะที่จะไม่ได้ร่วมงานกับพี่เสืออีกแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายหรอก เราก็ทำงานด้วยกันมานานแล้ว ทำกับคนอื่นบ้างจะได้เรียนรู้ คิดซะว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้การทำงานจากคนใหม่ๆ ได้รับประสบการณ์ที่เราไม่เคยได้รับ ถ้าเรากล้าที่จะเดินออกมาจากกำแพงของเรา เราจะรู้ว่าการเริ่มใหม่มันไม่ได้น่ากลัวเลย”
“หนูก็คิดได้นะ แต่หนูทำงานกับพวกพี่มานานมากมันก็เลยมีความกลัวอยู่ลึกๆ เมื่อรู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลง”
“ไม่เป็นไรน่า คนเก่งไม่ว่าจะทำงานที่ไหน ถ้าเราทุ่มเทและรู้จักปรับตัวเราก็อยู่ได้”
“พี่เสือนี่ยังให้กำลังใจคนเก่งเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“แน่นอน นี่พี่เสือไง เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว ถ้ามีอะไรโทรปรึกษาพี่ได้ตลอดเหมือนเดิมนะ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณพี่เสือมากที่แวะมาหาหนู”
“ตั้งใจทำงานครับ”
ผมบอกลาแล้วจึงเดินห่างออกมา ไม่ได้ตั้งใจดูอะไรในซุปเปอร์มาเก็ตเป็นพิเศษจึงมุ่งหน้าไปยังบันไดเลื่อนเลย แต่เพียงเดินผ่านชั้นอาหารสัตว์ก็ถูกใครคนหนึ่งที่ผมไม่เจอมานานดักหน้าเอาไว้ซะก่อน
ไอ้คุณนพชัย สายรหัสกวินอย่างไรล่ะ
[- T B C -]กลับมาแล้ว คิดถึงพี่เสือกับคุณเอิ้นกันไหม
ตอนนี้หลายอารมณ์มากๆ เลยค่ะ เรื่องของกวินจบแค่นี้แหละ
ตอนเขียนคุณเอิ้นพูดถึงเสือ โอ้โห มีความสุขมากค่ะ เขียนไปก็ยิ้มไป
ถามตัวเองตลอดว่าคุณเอิ้นเขาหลงพี่เสือมากกว่าเราหรือเปล่านะ 555
หลังจากนี้จะกลับมาอัพปกติแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณที่ยังรอและติดตามกันนะ
รักค่ะ
แจ๊ส