Waiting Weddingชุดสีขาว
เขาใส่ชุดสูทสีขาว ทรงผมถูกเซ็ทเป็นทรงอย่างดี มองจากตรงนี้ เขาช่างดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตร
เขาหันมายิ้มให้ผม
รอยยิ้มที่ทำให้ผมยิ้มตาม
“ไปกันเถอะ..ได้เวลาแล้ว”
ยื่นมือมาให้จับ
ฝ่ามือที่ใหญ่และอบอุ่นของเขา…
ผมหลับตา ซึบซาบความอบอุ่นนั้นลึกเข้าไปถึงหัวใจ
………………………….
…………………
เช้าวันนี้ทุกคนในบ้านตื่นเร็วเป็นพิเศษ
เห็นพ่อลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดเต็มยศแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน เช่นเดียวกับแม่ ที่หาชุดผ้าไทยดูหรูหราขึ้นมาใส่ ลุกขึ้นมาทำผมตั้งแต่เช้ามืด
พอแซวเข้าหน่อยก็บอกว่าชุดของจริงเตรียมไว้ใส่คืนนี้ นี้แค่อาหารเรียกน้ำย่อย
เป็นเช้าที่ทุกคนแจ่มใส รอยยิ้มและบรรยากาศแห่งความสุขกระจายไปทั้งบ้าน จนผมอดยิ้มตามไม่ได้
“เอ้า กาย ทำไมยังไม่แต่งตัวหล่ะลูก”
“เช้าไปหรือเปล่าครับแม่”
“ไม่เช้าไปหรอก แล้วทำไมลูกยังใส่ชุดนอนอยู่อีก วันนี้วันสำคัญเลยไม่ใช่หรือไง เร็วๆ รีบขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ชุดแม่แขวนไว้อยู่หน้าตู้แล้ว แม่ให้เวลายี่สิบนาทีเท่านั้นนะ”
“แล้วเราจะไปไหนกันก่อนครับ”
“ไปทำบุญไง งานมงคลแบบนี้ต้องทำบุญเอาฤกษ์เอาชัยก่อนสิ”
“แม่ทำยังกับผมกับมันจะไปรบ”
“ชีวิตคู่ก็คือการออกรบนี่แหละ”
ผมยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ
กลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง พึ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าที่แม่เลือกให้ถูกแขวนไว้หน้าตู้จริงๆ ทำอย่างนี้มาตั้งแต่ผมยังเด็ก จนตอนนี้อายุก็ใกล้จะขึ้นเลขสามเต็มทน ทุกอย่างก็ยังไม่เคยเปลี่ยน
กำลังจะเข้าไปอาบน้ำ มือถือก็ร้องดังขึ้นมา เปิดดูเมสเสจ ผมยิ้มตาม
‘รีบๆอาบน้ำนะ รออยู่’
ผมรีบส่งกลับไป เพราะรู้ดีว่าคนที่ส่งข้อความมานั้นใจร้อน รออะไรไม่ค่อยได้หรอก เดี๋ยวจะโมโห แล้วทำให้วันดีๆอย่างวันนี้ต้องหดหู่
‘กำลังจะไปอาบน้ำนี่แหละ’
‘ไปช่วยขัดให้เอาไหม? จะได้สะอาดทุกซอกทุกมุม’
ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ส่งตอบกลับไป รีบเข้าไปอาบน้ำ กวักน้ำเย็นๆขึ้นพรมหน้า เรียกความสดชื่นเข้าหาตัวเอง
เห็นตัวเองในกระจก
ไม่ได้เหลือเค้าโครงของวัยเด็กอีกต่อไป ตอนนี้ผมได้โตกลายเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ มีหน้าที่การงานที่ต้องทำ ภาระมากมายที่ต้องรีบผิดชอบ
เห็นความสุขในดวงตาของตัวเอง..
ยิ้มตอบความคิดนั้น ยกมือขึ้นลูบกระจกอย่างเผลอไผล
วันนี้แล้วสินะ..
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง…
อดไม่ได้ที่จะนึกถึงใบหน้าของอีกคนที่คิดว่ายังกำโทรศัพท์รอข้อความตอบกลับ
…………………………………
……………………….
“เอ้า มาสักที ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอแบบนี้ได้ยังไง”
ยังไม่ทันจะเดินลงจากบันไดดีเลย ก็ได้ยินเสียงบ่นของแม่นำมาก่อน มองลงไปที่ชั้นล่าง เลยรีบยกมือไหว้ ครอบครัวอีกฝ่ายเขายกกันมาทั้งบ้านเสียแล้ว “ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องปล่อยให้รอ”
“ไม่เป็นไรหรอก คนกันเอง ตื่นสายเหมือนเคยสิหนูกาย”
“ครับ”
ยิ้มตอบเขินๆ เห็นสายตาคุณแม่ของพฤกษ์มองมาเต็มไปด้วยความเอ็นดู ข้างๆมีชายหนุ่มคนนึงนั่งอยู่ กำลังกดมือถือยิกๆ พอเห็นว่าผมเดินลงมาก็เก็บมือถือลงไป ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้าไม่เปลี่ยน
“เร็วๆสิกาย ช้าอย่างนี้เดี๋ยวพี่ทิ้งนะ”
“ไปพูดยังงี้กับน้องเขาได้ยังไง!”
“ก็มันช้า ช้าอย่างนี้มากี่ปีแล้วแม่ ถามจริง ตั้งแต่อยู่ประถมจนตอนนี้จบทำงานก็ยังช้าไม่เปลี่ยน”
“พูดมากหน่ะพี่พฤกษ์” พอเดินไปใกล้ก็ถูกลากไปกอดคอ ได้กลิ่นที่คุ้นเคย เหลือบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย เห็นรอยยิ้มอยู่บนใบหน้านั้น
ดีจัง…
ดีจังที่พี่มีความสุข…
บ้านพี่พฤกษ์เอารถตู้มารับ จึงพอที่จะพาสองครอบครัวไปทำบุญที่วัดได้พร้อมกัน พ่อผมก็นั่งคุยกับพ่อพี่พฤกษ์เหมือนเคย พอๆกับบรรดาแม่ๆที่ยังขุดเรื่องในอดีตของลูกมาคุยได้ไม่เปลี่ยน เห็นพี่พฤกษ์ยื่นหัวเข้าไปฟังด้วยตอนที่แม่แฉผม พอดึงตัวไว้ไม่ให้ฟังก็หันมายิ้มให้
“ทำไม พี่ก็รู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว แค่อยากจะรู้เพิ่มแค่นี้ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ ผมไม่ให้ฟัง”
อีกฝ่ายยิ้ม ยิ้มอย่างยอมจำนน
เสื้อผ้าที่ใส่วันนี้เป็นสีเหลืองนวล สีโปรดของผม ดูก็รู้ว่ากำลังเอาใจกันสุดฤทธิ์
ยิ้ม ยิ้มออกมาจากความรู้สึก
นั่งติดกัน มือข้างหนึ่งจึงถูกดึงไปกุมไว้ ไม่ได้หันไปมองหน้าพี่พฤกษ์ที่เสหน้าหนีไปทางหน้าต่าง รับรู้เพียงความรู้สึกอบอุ่นที่มือ
ความอบอุ่นทางกาย…ที่ซึมลึกไปถึงในหัวใจ….
……………………
……………..
ทำบุญเสร็จในตอนเช้า ก็มาแวะกินมื้อกลางวันกันที่ร้านอาหารริมแม่น้ำ น่าเสียดายที่เวลามีน้อย ทุกคนจึงไม่ค่อยได้พูดกัน เพราะหลังจากนี้ก็ต้องรีบไปเตรียมงานที่โรงแรมกันแล้ว เห็นพี่พฤกษ์มองปลากระพงนึ่งซีอิ๊วมาหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่ได้ตักไปกินซักที จึงตักไปให้
“ไม่ต้องตักให้ก็ได้”
“ผมเห็นพี่มองหลายครั้งแล้ว”
“ก็แค่มองเฉยๆ ไม่ได้อยากกินเท่าไหร่ กายกินไปเถอะ”
“ผมกินเยอะแล้ว”
“เยอะจริงๆด้วย” เห็นอีกฝ่ายหลุดหัวเราะ เลยเอามือตีเบาๆที่ต้นแขน ไม่อยากให้เจ็บ แต่แค่หยอกเล่นเท่านั้น “กินเยอะแบบนี้ระวังใส่สูทไม่ได้นะ”
“พี่ต่างหากที่ต้องระวัง”
“รีบๆกินไปเถอะหนุ่มๆ อย่าเล่นกัน เดี๋ยวไปไม่ทันละอายเขาแย่”
พวกผมพยักหน้า เหลือบมองหน้ากันและกัน
หัวเราะขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
อยากจะใช้ช่วงเวลาแบบนี้ไปด้วยกันนานๆ
ช่วงเวลาที่แสนมีความสุขแบบนี้
โทรศัพท์ดังคั่นขึ้นมา เห็นพี่พฤกษ์มองหน้าเจอ แล้วก็เหลือบหันมามองหน้าผม
ผมได้แต่ยิ้มตอบ พี่พฤกษ์จึงพยักหน้าแล้วเดินหลบออกไป
อากาศร้อนอบอ้าว ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ดูเหมือนฝนจะตั้งเค้าตกเร็วๆนี้
เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยรอบๆตัวเริ่มเบาลงก่อนจะหายไปในความรับรู้
ได้แต่เฝ้ามองหลังแผ่นหลังนั้นอยู่ห่างๆ จดจำทุกรายละเอียดเก็บไว้ในความทรงจำที่แสนมีค่า…
………………………….
……………………
“เอ้า แขม่วพุงหน่อย”
“แม่ ผมก็บอกแล้วให้เอาใหญ่กว่านี้ไซส์นึง”
“ก็กายอยากกินเยอะเองทำไม แม่เตือนแล้วก็ไม่เชื่อว่ากินน้อยๆหน่อย”
“ผมหิวนี่น่า”
แม่ถอนหายใจ แต่ก็ยิ้มออกมาในที่สุด
“ลูกแม่โตป่านนี้แล้วหรอเนี่ย”
“ผมก็อยู่กับแม่ตลอด แม่ไม่รู้เลยหรือไง”
“นั่นสินะ…”
ตอนนี้ แม่ลูบหัวผมไม่ถึงแล้ว
ได้เห็นริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆบนหน้าแม่ แล้วอดใจหายไม่ได้
เวลามันผ่านเร็วขนาดนี้เลยหรือ?
ยังจำได้ ที่วิ่งเล่นกับพี่พฤกษ์ตอนเด็กๆ หัวเราะด้วยกัน โกรธกันบ้าง แต่บางครั้งก็กอดกันไว้ในเวลาที่เสียใจ
เพราะมีพี่อยู่ข้างๆ ผมจึงมีกำลังที่จะก้าวเดินต่อมาจนถึงจุดนี้
เป็นสิ่งที่ยังไม่เคยได้พูดออกไป
“ไปหาพี่พฤกษ์เถอะลูก ติดกระดุมให้เรียบร้อยก่อนนะแล้วค่อยไป เดี๋ยวๆ แม่ว่าผมยังไม่ค่อยดีเลย”
“แม่ พอเถอะครับ เยอะไปแล้ว เดี๋ยวผมหล่อไปแล้วพี่พฤกษ์เขาไม่ยอม”
“พฤกษ์นี่ก็หวงลูกแม่เหลือเกินเลยนะ”
ผมได้แต่ยิ้มรับ
เป็นวันที่อยากจะยิ้มให้มากที่สุด เพราะวันนี้เป็นวันที่มีความสุขอยู่รอบตัวผมมากที่สุด
ทุกคนยิ้ม เฝ้ามองดูด้วยสายตาที่อบอุ่น
ใจเต้นแรง
รู้สึกหายใจลำบากนิดหน่อยตอนที่เดินไปตามทางเดินของโรงแรม พรมสีแดงตัดกับรองเท้าหนังสีดำเข้มของตัวเอง ขัดมันวาวจนคิดว่าน่าจะใช้ส่องแทนกระจกได้ไม่ต่างกัน
เสียงเหยียบของรองเท้ากลายเป็นเสียงทุ้มต่ำเพราะถูกพรมดูดเสียงไว้ เป็นเสียงเดียวที่ดังขึ้นในความวังเวง
หยุดที่หน้าห้องๆหนึ่ง ได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากข้างใน
เคาะเบาๆ ประตูก็เปิดออก
พี่พฤกษ์ยืนอยู่ตรงนั้น..
คนที่มาเปิดประตูให้ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน น่าจะเป็นเพื่อนที่ทำงาน เห็นยืนอยู่ในนั้นหลายคน บางคนก็หันมามองผมแล้วยิ้มให้ ผมเดินเข้าไปด้วยความประหม่า
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นหืม?”
“ไม่รู้ดิ ผมตื่นเต้นมั้ง”
“อะไรกัน ป่านนี้แล้วยังมาตื่นเต้นอีก ไม่ปล่อยให้หนีกลับหรอกนะ”
“แหงหล่ะ ใครจะหนีกลับตอนนี้กัน แขกมาเต็มไปหมดแล้ว”
ดูท่าพี่พฤกษ์ก็จะตื่นเต้นไม่น้อย
ชุดสูทพอดีกับตัวพี่เขา ชุดสูทสีขาวสะอาด…ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาวันนี้ ทำให้ไม่อาจจะละสายตาจากพี่เขาได้เลย
นึกย้อนกลับไปถึงวันแรกที่เจอกัน
วันที่ได้เจอเด็กผู้ชายข้างบ้านคนหนึ่ง เตะบอลเข้ามาในบ้าน ทำกระถางต้นไม้แตกไปหลายใบ ผมที่ยืนอยู่หน้าบ้านจึงวิ่งไปเก็บลูกบอลให้ แต่ดันเหยียบถูกเศษแก้ว ร้องไห้แง
ก็มีแต่เสียงของพี่พฤกษ์ที่ดังเข้ามา ตะโกนเรียกคนในบ้านผม มือที่เกาะรั้วบ้านผมนั้นโยกไปมาเหมือนจะช่วยทำให้คนในบ้านรู้เร็วมากขึ้น
แม่วิ่งหน้าตาตื่นออกมา อุ้มผมที่มีแผลเข้าไปในบ้าน พ่อที่ออกมายืนดูก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่ก็เดินออกไปเปิดประตูรั้วให้พี่พฤกษ์เข้ามาทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน
พี่พฤกษ์นั่งอยู่ที่พื้นข้างโซฟา มองผมด้วยสายตารู้สึกผิด “เราขอโทษ เราผิดเองที่เตะบอลเข้าบ้านนาย เจ็บมากหรือเปล่า เราไม่ได้ตั้งใจ”
ได้ยินเสียงขอโทษไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ร้องไห้จนหลับไปพร้อมกับเสียงนั้น ตื่นมาก็ยังเห็นพี่พฤกษ์ตาแป๋วมองอยู่ข้างๆ
ตั้งแต่วันนั้น..
ผ่านมากี่ปีแล้วนะ ไม่เคยจะจำได้สักที
พ่อแม่ของผมกับพี่พฤกษ์สนิทกันตั้งแต่ครั้งนั้น เราจึงเหมือนโตมาด้วยกัน
“พฤกษ์ ถึงฤกษ์แล้วนะ...”
พ่อเปิดประตู ยื่นหน้าเข้ามาบอก พี่พฤกษ์รีบเดินตรงไปทางประตูแต่ก็สะดุ้ง วกหันกลับมา “โทษทีๆ ลืมเราไปเลย พี่ตื่นเต้นไปหน่อย”
“ไปกันเถอะ..ได้เวลาแล้ว”
เสียงที่เหมือนปลอบประโลมผม ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย…
มือนั้นยื่นออกมา
ผมมองมือนั้นที่ยื่นมาหาผม เงยหน้ามองพี่พฤกษ์ในเวลานี้ สายตาของพี่เขาเต็มไปด้วยความสุข จนรู้สึกได้
ผมยิ้มกลับ
ยื่นมือออกไป จับเข้ากับมือพี่เขา ได้ยินเสียงพูดคุยของเพื่อนๆพี่พฤกษ์ตลอดทางที่เดิน อยู่ในลิฟต์ เฝ้ามองเลขบอกชั้นที่นับถอยหลังลงเรื่อยๆ
เหมือนเวลาของผม…
3
2
G
ประตูลิฟท์เปิดออก เสียงกิ๊งของลิฟท์เหมือนเสียงเตือนของนาฬิกา
มือของพี่พฤกษ์เย็นเฉียบ เปียกเหงื่อจนลื่นมาถึงมือผม
“ตื่นเต้นใช่ไหม?”
“อืม กายไม่ตื่นเต้นหรอ?”
“คงไม่เท่าพี่หรอก”
พี่พฤกษ์พยักหน้า ตอนนี้พวกผมกำลังเดินตรงไปที่ฮอลล์ใหญ่ ประตูบานสูงที่เปิดออกนั้น เห็นคนอยู่เต็มไปหมด อยู่ในชุดหรูหรา ทุกคนล้วนแต่มีความสุข
แสงไฟสีนวลอ่อนกระทบลงพื้นหินสีดำสนิท พี่พฤกษ์หยุดเดินต่อ หันไปบอกเพื่อนๆ “เข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป”
เหลือกันเพียงสองคน
ยังเห็นแขกในงานเดินวนเวียนอยู่ข้างนอกบ้าง แต่ดูจะไม่สนใจพวกผมเท่าไหร่
“ขอกอดหน่อยนะ”
ผมอ้าแขน ไม่ต้องรอ ไม่มีเวลาอิดออดอีกต่อไป
ผมเป็นของพี่หมดแล้ว
ทั้งหัวใจของผม ทั้งความรู้สึกของผม
ในเวลานี้
มันถึงเวลาแล้ว
“ไปสิพี่ เดินเข้าไป”
ผมปล่อยแขนของผมออก พี่พฤกษ์ละตัวออกมา
คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปากผม ไม่ได้พูดออกไป
“อย่าปล่อยให้พี่แจนเขารอนานเลย พี่เข้าไปเถอะครับ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”
“เพื่อนเจ้าบ่าวอย่าเข้าไปสายนะ เดินเข้าไปพร้อมพี่นี่แหละ”
“ไม่เป็นไรครับ ด..เดี๋ยวผมตามไป”
ถึงเวลา
ที่ผมจะปล่อยพี่ไป
“พี่ไปก่อนนะ”
ผมพยักหน้า
มองดูแผ่นหลังนั้นที่กำลังไกลออกไป ภาพเมื่อตอนกลางวันย้อนกลับเข้ามาอีกครั้งในความคิด แต่ในเวลานี้ ณ ตอนนี้ ที่ๆผมยืนอยู่ ผมไม่มีโอกาสจะรั้งพี่เขาไว้อีกต่อไป
ผมไม่เคยทำ ไม่เคยกล้าพอ
ความรู้สึกทั้งในมันอัดแน่นจนเจ็บปวดไปหมด บางครั้งรู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมา แต่ก็ต้องทนเก็บไว้
เจ็บปวด
ผมเฝ้ามองหลังของพี่ด้วยรอยยิ้ม น้ำตาไหลลงรดแก้มโดยที่ผมไม่รู้ตัว
แผ่นหลังที่เลือนรางขึ้นทุกที เห็นเพียงแสงไฟที่ดูเหมือนดาวดวงเล็กๆเต็มไปหมด
ยกมือขึ้นปาดน้ำตา
เดินตามเข้าไป ระยะทางสั้นๆ รู้สึกยาวนานจนบรรยายออกมาไม่ได้
หัวใจ…เหมือนถูกบีบไว้
ผมเจ็บ ไม่รู้จะหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ได้ยังไง
“มาสักที หายไปไหนมาลูก แม่ตกใจหมด”
“เจอร้านเค้กอยู่ข้างนอก น่ากินมากครับ ผมเลยยืนมอง”
ผมยิ้มอยู่หรือเปล่า? วันนี้เป็นวันมงคล ผมสมควรจะยิ้มให้มากที่สุด
ยิ้มที่แสดงออกถึงความยินดี..ให้คู่บ่าวสาวใหม่
“อะไรกัน รีบๆตามไปสิ เจ้าบ่าวจะขึ้นเวทีอยู่แล้ว”
ผมพยักหน้า เดินตามไป พ่อแม่พี่พฤกษ์ยืนมองอยู่ข้างหลัง
พี่แจนยืนอยู่อีกฟากของห้อง
อยู่ในชุดเจ้าสาว…สวยราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ยืนอยู่ใต้สปอรต์ไลท์ที่ทำให้เธอดูเหมือนกับไม่อาจจับต้องได้
ผมได้แต่มอง
ได้แต่ยินดีกับพี่พฤกษ์
ในที่สุด พี่ก็หาคนที่จะยืนเคียงข้างพี่เจอสักที ผมคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วสำหรับพี่
เวลาของผมหมดลงแล้ว หมดลงโดยที่ยังไม่ได้เริ่มขึ้น
ความรู้สึกทุกอย่างของผม ผมจะเก็บมันไว้ จะรักษาดูแลมันเป็นอย่างดี ไม่มีวันให้ใครเข้ามาแทนที่ตรงนี้ ที่ๆจะเป็นของพี่ตลอดไป แม้ว่าพี่จะไม่เคยรู้ ไม่เคยหันมามอง…
ยิ้ม…ยิ้มทั้งน้ำตา
ผมมีความสุข มีความสุขจริงๆที่ได้เห็นพี่ในเวลานี้
รอยยิ้มเคอะเขินบนหน้าของพี่พฤกษ์นั้นดูน่าเอ็นดู ทำให้ลืมไปด้วยซ้ำว่าพี่กำลังก้าวเดินไปจากผม
ทั้งที่หลังของพี่ อยู่ใกล้แค่นี้..
แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนห่างไกลออกไปเรื่อยๆ พยายามวิ่งตาม แต่กลับพบว่าตัวผมเองยืนอยู่ปลายหุบเหว มองไปอีกฟากของความว่างเปล่า เห็นเพียงแผ่นหลังนั้น รู้สึกถึงความสุข ทั้งๆที่ผมซึ่งอยู่อีกฟากนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น
ชีวิตของพี่กำลังเริ่มขึ้น…
เช่นเดียวกับการรอคอยของผม….ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ได้ยินเสียงร้องแซว “ดีใจจนน้ำตาไหลเลยหรอวะไอ้กาย” ถึงได้เห็นว่าข้างๆก็เป็นเพื่อนพี่พฤกษ์ที่ผมเคยรู้จัก พยักหน้าเร็วๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุด กลั้นไว้ไม่ได้
“ผมดีใจ ดีใจมากครับพี่”………………………………………….
………………………………….
[Waiting Wedding]
[20.12.54]
http://www.youtube.com/v/jDc229SrFiw?version=3&hl=en_US&rel=0ไปอ่านหนังสือต่อแล้ว....